[REVIEW] ‘Dungeons & Dragons : Honor Among Thieves’ จากเกมคลาสสิกสู่หนังโจรปล้นโจร ที่โคตรมันส์และเถิดเทิง | GOSSIP GUN

ENTERTAINMENT NEWS

[REVIEW] ‘Dungeons & Dragons : Honor Among Thieves’ จากเกมคลาสสิกสู่หนังโจรปล้นโจร ที่โคตรมันส์และเถิดเทิง | GOSSIP GUN

29 มี.ค. 2023

เชื่อว่าเด็กอเมริกันจำนวนไม่น้อย ต้องเติบโตมากับเกมกระดาน Dungeons & Dragons เกมสุดคลาสสิกที่อายุเก่าแก่เกือบ 50 ปี ซึ่งกลายเป็นวัฒนธรรมป็อปที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม มีกลุ่มแฟนเกมที่เหนียวแน่น จนกระทั่งมีนิตยสารที่เกี่ยวกับเกมนี้โดยเฉพาะ และถูกต่อยอดไปเป็นทั้งซีรีส์ และวีดีโอเกมคอมพิวเตอร์มากมาย สำหรับการดัดแปลงเป็นหนังใหญ่นั้นDungeons & Dragons ก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว แต่กลับไม่ได้รับความนิยมมากนัก จนล่าสุดพาราเมาต์ขอคว้าสิทธิ์เกมดังกล่าว มาขึ้นจอใหญ่อีกครั้ง ผ่านฝีมือการกำกับของสองผู้กำกับ โจนาธาน โกลด์สตีน และ จอห์น ฟรานซิส เดลีย์ ที่เคยฝากผลงานเขียนบท Spider-Man : Homecoming มาแล้ว และทั้งคู่ยังโด่งดังจากการกำกับหนังตลกสุดอลหม่านอย่าง Vacation และ Game Night

Dungeons & Dragons : Honor Among Thieves พาผู้ชมเข้าสู่โลกแฟนตาซีที่มนุษย์อาศัยอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดมากมาย โลกที่เวทมนตร์นั้นมีอยู่จริง โดยโฟกัสเรื่องราวที่คู่หูคู่โจร เอดจิ้น และโฮลก้า (รับบทโดย คริส ไพน์ และมิเชลล์ โรดริเกซ) ที่หลังจากออกคุก พวกเขาก็เดินทางไปตามหาคีร่า ลูกสาวของเอดจิ้นที่ฝากเพื่อนไว้ จนกระทั่งเขาได้พบว่า ฟอร์จ (รับบทโดย ฮิวจ์ แกรนต์) เพื่อนคนดังกล่าว บัดนี้ได้กลายเป็นเจ้าเมืองที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ไปแล้ว โดยทั้งเอดจิ้นและโฮลก้าได้พบว่า ฟอร์จนั้นมีแผนการลับสุดอันตรายซ่อนเร้นอยู่ ทั้งคู่จึงต้องรวบรวมเหล่าบรรดาโจรที่พวกเขาเคยรู้จัก กลายเป็นทีมเฉพาะกิจเพื่อบุกไปยังปราสาท ช่วยเหลือคีร่าออกมา พร้อมกับปราบฟอร์จ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

ในบรรดาหนังจากเกมส์ ที่สนุกบ้างแป้กบ้าง (ซึ่งส่วนใหญ่จะออกไปทางคว่ำ) Dungeons & Dragons : Honor Among Thieves สามารถจัดเข้าสู่กลุ่มหนังเกมส์ที่สนุกมากได้อย่างง่ายดาย หลังจากที่ HBO ส่ง The Last of Us กลายเป็นซีรีส์จากเกมส์ที่ฮิตติดลมบนและกวาดคำชมไปมากมายแล้ว ถึงคิวของหนังเรื่องนี้บ้าง ที่จะต่อยอดความนิยมของคอนเทนต์จากเกมที่ออกมาดีอย่างต่อเนื่อง นี่คือหนังแฟนตาซีที่ทำออกมาได้สนุกแบบครบสูตร ทำถึงอารมณ์แบบครบรส ตามที่หนังบล็อกบัสเตอร์ หรือหนังป็อปคอร์นที่ควรจะเป็น มาพร้อมกับเส้นเรื่องที่สนุกน่าติดตาม ฉากแอ็กชันที่ยิ่งใหญ่อลังการชวนลุ้น ไม่ใช่หนังแฟนตาซีที่ดูถูกคนดู ฉากตลกที่สอดแทรกได้อย่างลงตัว จังหวะการปล่อยมุกต่างๆที่ค่อนข้างแม่นยำ และหนังยังสามารถสร้างแก๊งตัวละครที่ีผู้ชมอยากจะเอาใจช่วย ไม่มีตัวไหนเลยที่ดูหลุดออกไปจากโลกของ Dungeons & Dragons

แม้ว่าลุคภายนอกของDungeons & Dragons อาจจะดูคล้ายหนังแฟนตาซีหลายต่อหลายเรื่อง แต่สิ่งที่ทำให้หนังโดดเด่นออกมาจากหนังแฟนตาซีทั่วไป คือ Mood & Tone แบบเถิดเทิงของหนัง ด้วยสไตล์ของผู้กำกับที่ถนัดหนังตลกมาก่อน พวกเขาจึงหยิบอารมณ์ขันไปจัดวางในเส้นเรื่องได้อย่างแม่นยำ พร้อมกับแต่งแต้มตัวละครให้น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นบทพระเอกของ คริส ไพน์ ที่ความอารมณ์ดีของเขายิ่งชวนให้หนังน่าติดตาม แพ็คคู่กับตัวละครของ มิเชลล์ โรดริเกซ ที่เธอเหมือนขั้วตรงข้าม เธอจะเป็นสไตล์ตลกหน้าตาย ทำให้จังหวะรับส่งมุกยิ่งดูแตกต่างและลงตัวไปเสียงอีก แต่นักแสดงที่เหมาะกับบทและเข้ากับหนังได้อย่างมากคือ ฮิวจ์ แกรนต์ เนื่องจากตัวละครของเขามีลักษณะเป็นคนพล่าม พูดไปเรื่อยแบบไร้จุดหมาย คล้ายคลึงกับคาแรคเตอร์ที่ ฮิวจ์ เคยแสดงมาแล้วในหลายต่อหลายเรื่อง ยิ่งเพิ่มความสนุกให้กับหนังยิ่งขึ้นไปอีก

ชื่อของ Dungeons & Dragons : Honor Among Thieves แม้ต้นฉบับจะเป็นเกมที่อายุเก่าแก่เกือบครึ่งศตวรรษ แต่มันกลับกลายเป็นหนังแฟนตาซีที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่า โบราณ เลยแม้แต่น้อย มันเป็นหนังแอ็กชันแฟนตาซีที่อัดแน่นไปด้วยความสนุก ผสมผสานกับความโบ๊ะบ๊ะของตัวละครได้อย่างลงตัว มุกและอารมณ์ขันถูกจับวางไว้อย่างดี ทำให้หนังยิ่งดูมีลูกล่อลูกชน เพิ่มเสน่ห์ของหนังให้มากยิ่งขึ้นไปอีก และที่เซอร์ไพรสยิ่งกว่าคือ นอกจากซีนบู๊และซีนตลกแล้ว หนังยังสามารถเข้าโหมดดราม่าได้อย่างเข้าถึงอารมณ์ ผู้ชมจะสนุกและอินกับหนังไปอย่างไม่รู้ตัว นี่คือหนังสนุกที่เชียร์ให้กวาดรายได้มากๆ เพราะโลกของ Dungeons & Dragons มันช่างบันเทิงจนแอบเสียดายถ้ามันไม่ได้ไปต่อ เพราะฉะนั้นไปดูกันเยอะๆ รับประกันว่า จะเต็มไปด้วยความเอ็นจอย และคุณอาจจะตกหลุมรักเหล่าตัวละครได้อย่างง่ายดาย

ชมตัวอย่าง Dungeons & Dragons : Honor Among Thieves

เปิดรอบพิเศษ 24 มีนาคมหลัง 1 ทุ่ม / ฉายจริง 29 มีนาคม

ภาพ : UIP Thailand

related ENTERTAINMENT NEWS

[REVIEW] ‘Beast’ (สัตว์-ร้าย) 90 นาทีสุดระทึก หนีตายสิงโตกลางป่าลึก | GOSSIP GUN

25 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘Beast’ (สัตว์-ร้าย) 90 นาทีสุดระทึก หนีตายสิงโตกลางป่าลึก | GOSSIP GUN

ถ้าหนังอย่าง Crawl และ The Shallow ทำให้คุณลุ้นจนเหนื่อย ต้องไม่มองข้ามหนังเรื่อง Beast (ชื่อไทย สัตว์-ร้าย) ที่เปลี่ยนจาก จระเข้และฉลาม เป็น สิงโตคลั่ง และเปลี่ยนโลเคชั่น จากในน้ำ มาสู่บนบก กลางทุ่งหญ้าอันกว้างขวางในทวีปแอฟริกา หนังเล่าถึง ดร.เนต (รับบทโดย ไอดริส เอลบ้า จาก The Suicide Squad และ Thor) พ่อหม้ายมาดๆ เขาคือคุณหมอที่เพิ่งสูญเสียอดีตภรรยาไป และเพื่อสานสัมพันธ์กับลูกๆอีกครั้ง เขาจึงตัดสินใจพา แมร์และนอร่าห์ ลูกสาวสองคนของเขา ไปเที่ยวในแอฟริกาใต้ ไปเยี่ยมบ้านเกิดคุณแม่ของพวกเธอ แต่ในขณะที่พวกเขากำลังแล่นรถเยี่ยมชมในเขตอุทยานที่ปราศจากผู้คน ฝันร้ายก็ค่อยๆคลานเข้ามาเพื่อตะครุบพวกเขา เมื่อพวกเขาเจอศพของชาวเผ่าตายเป็นเบือ และต่างมีรอยกัดของสัตว์ใหญ่ที่แสนดุร้าย ไม่นานก็พวกเขาก็ได้เผชิญหน้ากับ สิงโตที่คลั่งผิดปกติ ท่ามกลางสถานที่อันเวิ้งว้าง พวกเขามีเพียงแค่รถคันเล็กๆ ที่ทำให้ปลอดภัยจากสัตว์ร้าย พวกเขาจะเอาชีวิตรอดไปได้อย่างไร เมื่อไม่มีแม้แต่สัญญาณมือถือในการขอความช่วยเหลือ ไร้ซึ่งอาหารและน้ำดื่มที่ใกล้จะหมด ความตายค่อยๆคืบคลานเข้ามาทุกวินาทีBeast ถือว่าเป็นหนังโปรแกรมส่งท้ายซัมเมอร์ของค่ายยูนิเวอร์แซล ที่ฟอร์มหนังอาจจะไม่ได้ใหญ่นัก หรือชวนหวือหวาเท่ากับหนังระทึกขวัญเรื่องอื่นๆ แต่อยากจะบอกทุกท่านว่าอย่าได้มองข้ามหนังเรื่องนี้เชียว ถ้าคุณชื่นชอบหนังระทึกที่จะทำให้ตลอดทั้ง 90 นาทีของหนัง ลุ้นแบบไม่ได้พัก Beast สามารถทำให้ผู้ชมตื่นเต้นได้ในระดับเดียวกับหนังที่เอ่ยชื่อไปอย่างCrawl และ The Shallow จากสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร หนังค่อยๆสร้างข้อจำกัดให้กับตัวละครเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความหวังดูจะริบหรี่ลงเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน Beast ก็ไม่ยั้งมือที่จะทำให้สิงโตคลั่งในเรื่อง ดุร้ายอย่างสมชื่อจริงๆ หลายจังหวะที่สิงโตโผล่ออกมา ทำให้เราตกใจหรือหลอนไม่แพ้กับหนังผีเลยทีเดียว และความดุร้ายของมัน ทำให้ฉากสิงโตโจมตีมนุษย์ ดูอำมหิตสมจริง รุนแรงในระดับบางทีต้องเบือนหน้าหนีเลยทีเดียวองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ Beast กลายเป็นหนังที่ดูสนุกเกินคาด คือความสมจริงในแง่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโลเคชั่นในการถ่ายทำที่ทีมงานบินกันไปถ่ายถึงแอฟริกาใต้จริงๆ ตัวของสิงโตเอง แม้ว่าจะมั่นใจว่าเป็นการใช้ คอมพิวเตอร์กราฟฟิกในการสร้างขึ้นมา แต่ก็ดูสมจริง ไม่ได้รู้สึกขัดหรือสะดุดตาเลยแม้แต่น้อย ไฮไลต์สำคัญคือการเคลื่อนกล้อง ที่ถ้าลองสังเกตุดูหลายๆฉากใช้การถ่ายทำแบบ Long Take และเคลื่อนกล้องอย่างพริ้วไหวตามตัวละครไปจากด้านหลัง เพิ่มระดับความตื่นเต้นให้กับผู้ชมเข้าไปอีก หลายฉากไม่ได้ตัดสลับไปมาจนงง แต่แช่ภาพให้เห็นแบบเต็มๆ แต่จุดปัญหาที่อาจจะทำให้ผู้ชมไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจน คือความดื้อของสองตัวละคร แมร์และนอร่าห์ ที่แอบดื้อขัดคำสั่งคุณพ่อ จนทำให้ผู้ชมก่นด่าอยู่ในใจ อย่างไรก็ตาม คาดว่าผู้กำกับคงจะรู้ว่า คนดูรำคาญแน่ๆ เลยให้ตัวละครในหนังด่านำไปก่อนแล้ว เลยพอจะให้อภัยความชวนหงุดหงิดของสองตัวละครนี้ไปได้โดยรวม Beast ถือเป็นหนังแอ็กชันเขย่าขวัญฟอร์มปานกลางส่งท้ายซัมเมอร์ที่ไม่อยากให้คอหนังระทึกมองข้ามเลยจริงๆ จากตอนแรกที่ผู้เขียน ดูโปสเตอร์ ดูตัวอย่างแล้ว ไม่ได้สะกิดต่อมความอยากดูเท่าไรนัก ปรากฏว่าพอเข้าไปชมในโรงภาพยนตร์จริงๆ สนุกเกินคาดไปมาก คำว่าลุ้นจนเหนื่อยมีอยู่จริงในหนังเรีื่องนี้ อีกส่วนที่ทำให้หนังดูสมจริงยิ่งขึ้นคือ การแสดงของ ไอดริส เอลบ้า และการสร้างตัวละครพระเอก ที่หนังไม่พยายามจะให้เขาเก่งเกินจริงไปมาก เขาเป็นเพียงแค่คุณหมอที่ไร้ทักษะในการต่อสู้ ทำให้หลายฉากออกมาดูทุลักทุเล เพิ่มระดับความลุ้นขึ้นไปอีก เพราะผู้ชมทราบดีว่า ตัวละครมนุษย์ในหนังเป็นรองสิงโตคลั่ง ถ้ามีโอกาส แนะนำให้ชม Beast ในโรงภาพยนตร์ ได้อรรถรส มากกว่ารอดูในระบบสตรีมมิ่งอย่างแน่นอนชมตัวอย่าง Beast สัตว์-ร้าย วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘Bones And All’ หนังโรแมนซ์ปนสยอง ความรักของสองคนกินคน | GOSSIP GUN

22 พ.ย. 2022

[REVIEW] ‘Bones And All’ หนังโรแมนซ์ปนสยอง ความรักของสองคนกินคน | GOSSIP GUN

ใครที่ยกให้ Call Me By Your Name เป็นหนังรักในดวงใจ ต้องลองกลับมาลิ้มรสผลงานใหม่ของผู้กำกับ ลูก้า กัวดานิโน ที่กลับมาร่วมงานกับพระเอก ทิโมธี ชาลาเมต์ อีกครั้งใน Bones And All หนังรักในบรรยากาศเหงาๆผสมความสยองสุดแหวก ที่หยิบเอานิยายของ คามิล เดอแองเจลิส ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2015 มาดัดแปลงขึ้นจอใหญ่ โดยก่อนจะเข้าฉายในโรง หนังสร้างกระแสด้วยการตระเวนทัวร์ เดินสายฉายโชว์ในเทศกาลหนังมาแล้วหลากหลาย ทั้งเวนิส นิวยอร์ก เทลลูไลด์ ไปจนถึงลอนดอน ซึ่งล้วนกวาดคำชม และล่าสุดหนังได้คะแนนเฉลี่ยนักวิจารณ์จาก Rotten Tomatoes มาแล้วถึง 86% โดยส่วนใหญ่ชื่นชมในการแสดง การกำกับ การบันทึกภาพ และการผสมผสานระหว่างตระกูลหนังที่แตกต่างเทย์เลอร์ รัสเซลล์ นางเอก Escape Room รับบทมาเรน วัยรุ่นสาวที่เติบโตมาด้วยความแปลกแยก เพราะเธอมีพฤติกรรมชอบกินเนื้อคนตั้งแต่เด็กๆ ทำให้พ่อของเธอต้องพามาเรนย้ายเมืองอยู่บ่อยๆ เพื่อหลบหนีจากสังคม จนกระทั่งวันหนึ่งเธอตัดสินใจออกตามหาแม่ที่ทิ้งเธอไปนาน และระหว่างการเดินทางเธอได้พบกับ ลี วัยรุ่นหนุ่มที่ค้นพบว่า ต่่างมีรสนิยมชอบกินเนื้อมนุษย์เหมือนกัน ซึ่งโดยปกติแทบจะหาคนประเภทเดียวกันไม่เจอ กลายเป็นความสัมพันธ์ของสองคนเหงาที่แปลกแยกจากสังคม แต่ต่างเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน และเรื่องราวของทั้งสองนั้นไม่ง่ายดาย เมื่อสันชาตญาณดิบในการกินเนื้อมนุษย์ พร้อมที่จะทำให้เกิดการนองเลือดได้ตลอดเวลาBones And All ถือเป็นหนังที่มีรสชาติแปลกน่าลิ้มลองทีเดียวเชียว มันมีส่วนผสมระหว่างหนังรักโรแมนติก และหนังเขย่าขวัญสุดประหลาด คล้ายคลึงกับการหยิบเอาบางมู้ดของ Call Me By Your Name มาผสมผสานกับความแปลกปนสยองของSuspiria อีกหนึ่งผลงานของผู้กำกับ ลูก้า กัวดานิโน ที่ดูเหมือนจะมาคนละทิศคนละทาง แต่กลับเข้ากันอย่างน่าทึ่ง หนังถ่ายทอดด้วยการเล่าเรื่องสไตล์ Road Movie ด้วยจังหวะที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่กลับไม่มีจุดไหนที่น่าเบื่อเลย เสริมความโรแมนซ์ด้วยงานบันทึกภาพที่สวยไร้ที่ติ และเสริมอารมณ์หนังได้อย่างดียิ่ง ส่วนฉากสยอง หนังก็ไม่ยั้งที่จะนำเสนออย่างโหดเหี้ยมและถึงเลือดถึงเนื้อ สมกับชื่อหนัง ตามที่ควรจะเป็นแกนกลางที่แข็งแรงที่สำคัญสุดของหนังคือนางเอก เทย์เลอร์ รัสเซลล์ ที่เป็นตัวเดินเรื่อง เธอสามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่ซับซ้อนได้อย่างดี ทำให้เธอน่าจะกลายเป็นอีกหนึ่งนักแสดงรุ่นใหม่ที่น่าจับตาในยุคนี้ รับส่งบทบาทกับ ทิโมธี ได้อย่างยอดเยี่ยม ส่วนที่สะพรึงสะกดทุกสายตาจริงๆ คือการปรากฏตัวของ นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ มาร์ก ไรแลนซ์ (จาก Bridge of Spies) ในบทมนุษย์กินคนสุดแปลกแยกจากสังคม ที่เขาถ่ายทอดบทบาทผ่าน สีหน้าแววตาและน้ำเสียง ได้อย่างชวนขนลุก โดยเฉพาะในครึ่งหลังที่ชวนสยดสยองอย่างน่าสะพรึงเลยจริงๆ กลายเป็นว่า 3 นักแสดงนำที่เป็นแกนหลักของเรื่องราว ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างแข็งแรง ยกระดับ Bones And All ให้ดีขึ้นไปอีกถึงอย่างไรก็ตาม อาจจะต้องออกตัวไว้ก่อนว่า Bones And All อาจไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน หนังดำเนินเรื่องด้วยจังหวะที่ไม่ได้เร้าใจอะไรมากนัก ค่อยๆทอดอารมณ์ไปกับเรื่องราว บวกกับการที่หนังผสม Genre ที่ต่างกันสุดขั้วเอาใจ ทำให้รสชาติแปลกประหลาด จนบางทีอาจจะยากเกินกว่าจะเข้าใจ แต่ถ้าใครพร้อมจะลิ้มลอง มันคือหนังที่น่าสนใจ ที่สร้างความแปลกใหม่ได้ดีทีเดียว แม้ว่าเรื่องมันจะสยอง แม้ว่ามันจะเล่าถึงมนุษย์กินคน แต่แกนกลางของเรื่อง ที่การเล่าถึง ความรักและความเหงาของคนที่แปลกแยกจากสังคม มันสามารถแทนค่าได้ด้วยกลุ่มคนที่หลากหลาย นี่คือหนังที่พยายามทำความเข้าใจคนชายขอบ และนำเสนอได้อย่างน่าสนใจจริงๆชมตัวอย่าง Bones And All เข้าฉาย 24 พฤศจิกายนในโรงภาพยนตร์ภาพ : Warner Bros. Thailand

[REVIEW] ‘Knives Out : Glass Onion’ ฆาตกรรมหรรษาเคสใหม่ สนุกฮาชั้นเชิงเกินร้อย| GOSSIP GUN

22 ธ.ค. 2022

[REVIEW] ‘Knives Out : Glass Onion’ ฆาตกรรมหรรษาเคสใหม่ สนุกฮาชั้นเชิงเกินร้อย| GOSSIP GUN

ยกให้เป็นหนังโคตรสนุกส่งท้ายปีเลยก็ว่าได้ สำหรับภาคใหม่ของ Knives Out หนังตามหาฆาตกรสไตล์ Whodunit ที่มาพร้อมกับความแสบสันต์ และทีมนักแสดงชุดใหญ่ ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน Knives Out กลายเป็นหนังระดับโคตรฮิตและกวาดคำวิจารณ์ในแง่บวกไปเพียบ จากทุนสร้างเพียง 40 ล้านเหรียญฯ สามารถทำรายได้ทั่วโลกไปกว่า 300 ล้าน กลายเป็นแฟรนไชส์ใหม่สำหรับพระเอก แดเนียล เคร็ก หลังโบกมือลาบท เจมส์บอนด์ ไปแล้ว เขาก็ได้หนังฮิตชุดใหม่ต่อทันที และเมื่อหนังสามารถเรียกผู้ชมได้มากขนาดนี้ Netflix เลยตาไว ซื้อสิทธิจากค่าย Lionsgate ไปซะเลย และซื้อแบบรวดเดียวทั้งภาค 2 และ 3 ทำให้หนัง Knives Out ภาคใหม่นี้ ผู้ชมจะไม่ได้ดูในโรงเหมือนภาคก่อน แต่จะลงให้ชมใน Netflix เป็นสเต็ปแรกไปเลยหนังภาคใหม่นี้ ใช้ชื่อเต็มๆว่า "Glass Onion : A Knives Out Mystery” พาผู้ชมไปหรรษากับคดีใหม่ของ นักสืบเบอร์นัวห์ บลองค์ ซึ่งรับบทโดย แดเนียล เคร็ก เขาคือนักแสดงคนเดียวจากภาคแรกที่กลับมาแสดงในภาคต่อนี้ โดยเบอร์นัวห์ ได้บัตรเชิญให้ไปร่วมงานปาร์ตี้สุดเอ็กซ์คลูซีฟ บนเกาะส่วนตัวสุดหรู ที่ทะเลในประเทศกรีซ ซึ่งเจ้าของคือมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยจากเทคโนโลยีใหม่ๆ เมื่อเขามาถึงก็ได้พบว่า แขกทั้งหมดล้วนเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมานานของ เศรษฐีคนนี้ ซึ่งทั้ง นักการเมืองปากเก่ง ยูทูปเบอร์สุดเพี้ยน อดีตนางแบบสาวตัวแม่ และอีกเพียบ โดยทุกคนจะต้องมาร่วมสนุกกับการไขปริศนาคดีฆาตกรรม แต่ทุกอย่างกลับเข้มข้นขึ้น เมื่อมีหนึ่งในกลุ่มเพื่อน เสียชีวิตจริงๆ แต่ใครคือฆาตกรกันแน่ ?สามารถพูดได้เต็มปากว่า Glass Onion คือหนังที่โคตรสนุก โคตรแสบ และคาดเดาไม่ได้จริงๆ ดูเหมือนองค์ประกอบในหลายๆอย่างจะถูกเพิ่มขึ้นจากภาคก่อน หลังจากที่ Knives Out ภาคแรกกลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จเกินคาด กลายเป็นจุดที่เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้กำกับ ไรอัน จอห์นสัน มากยิ่งขึ้น ว่าเขามาถูกทางแล้ว กับการผสมผสานระหว่างหนังสไตล์ตามหาฆาตกรสุดเข้มข้น กับหนังตลกเสียดสีสุดแสบสันต์ สิ่งที่ผู้ชมชื่นชอบ ดูเหมือนจะถูกเพิ่มดีกรีในภาคนี้หมด สิ่งที่ทำให้หนังสนุกมาก คือชั้นเชิงในการเล่าเรื่องของไรอัน มันไม่ใช่แค่ผู้ชมจะลุ้นว่าใครจะตาย ใครคือฆาตกร แต่ดีเทลต่างๆที่ใส่มา ล้วนมีความสำคัญแทบทั้งหมด มุกเล็กๆน้อยๆที่หยอดไว้ มันอาจจะเชื่อมโยงกับอะไรบางอย่างหลังจากนั้นก็ได้ กลายเป็นหนังที่เล่าอย่างแพรวพราวจริงๆสิ่งที่ถูกเพิ่มดีกรีขึ้นมาใน Glass Onion อย่างชัดเจนอีก คืองานโปรดักชั่น และอารมณ์ขันสุดแสบ หลังจากที่ภาคแรกเน้นการเล่าเรื่องในคฤหาสน์สุดหรูของคุณปู่ ภาคนี้จัดความใหญ่ด้วยเกาะส่วนตัวกันไปเลย ซึ่งมีรายละเอียดของสถานที่ที่อลังการอยู่ไม่น้อย (รวมถึงสถานที่ที่จะเผยว่าชื่อหนัง Glass Onion หมายถึงอะไร) อีกจุดที่เพิ่มดีกรีขึ้นมา คือ ความตลกแบบแสบจี๊ด หลังจากภาคแรกเสียดสี สังคมอเมริกาและการเมืองแบบไม่แตะเบรก ภาคนี้ดูเหมืิอนจะเสียดสีและล้อเลียน กลุ่มคนที่ถูกยกให้เป็น Elite ของสังคม ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐีเทคโนโลยี (แบบ อีลอน มัสก์) ผู้ที่โด่งดังจากโลกออนไลน์ โดยมุกต่างๆที่แทรกไว้ ค่อนข้างเวิร์กเลยทีเดียว และจังหวะการเล่น การขยี้ก็ค่อนข้างลงตัว จากรอบปฐมทัศน์ในไทยที่ Netflixจัดฉายพิเศษในโรง สามารถบอกได้ว่า หัวเราะกันลั่นโรงจริงๆพาร์ทสำคัญที่เป็นไฮไลต์ของหนังสไตล์ Whodunit คือ Ensemble Cast หลักจากภาคนี้ ไรอัน จอห์นสัน ชวนนักแสดงดังๆมาร่วมแสดงกันแน่นจอ ภาคนี้แม้ว่าดีกรีความดังของนักแสดงอาจจะเทียบภาคแรกไม่ได้ แต่ว่าแต่ละคนก็มีของแบบไม่ธรรมดา ประกอบด้วย เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน, เคต ฮัดสัน, เดฟ บอทิสต้า, แคทเธอรีีน ฮาห์น แต่ที่โดดเด่นเหนือออกมา คือการแสดงของ จาเนล โมเน่ห์ ในบทเพื่อนรักเพื่อนแค้นของคนกลุ่มนี้ ด้วยคาแรคเตอร์ของเธอทำให้ จาเนล สามารถโชว์สกิลได้อย่างหลากหลาย ส่วนนักแสดงนำอย่าง แดเนียล เคร็ก ภาคนี้ดูเหมือนเขาจะเอ็นจอยกับบทมากขึ้น แดเนียลดูสบาย ดูสนุกกับบท จนทำให้คนดูเพลิดเพลินกับตัวละครนี้ไปด้วย จนอยากจะตามต่อภาคหน้าแล้วว่าเขาจะไปคลี่คลายคดีที่ไหนโดยรวม Glass Onion : A Knives Out Mystery ถือเป็นหนังโคตรบันเทิงมากๆ ผสมผสานระหว่างหนังสืบหาฆาตกรกับตลกเสียดสีอย่างลงตัว จนไม่แปลกใจที่หลายๆสถาบันจะให้เรื่องนี้ติดอันดับหนังยอดเยี่ยมของปีด้วย รวมถึง แดเนียล เคร็ก ก็ได้ชิงรางวัลในหลายๆสถาบัน นอกจากทีมนักแสดงสุดแสบแล้ว Knives Out ภาคนี้ยังแอบใส่นักแสดงรับเชิญไว้หลายคน นอกจากคนดูจะเซอร์ไพรสกับเส้นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้แล้ว ยังจะเซอร์ไพรสกับแขกรับเชิญที่หนังใส่มาอีกด้วย (นักแสดงบางคนมาแต่เสียงก็มี) นี่จึงเป็นหนังที่สนุกและห้ามพลาดส่งท้ายปี แม้ว่าคุณจะยังไม่เคยดูภาคแรกมาก่อน ก็สามารถมาเอ็นจอยกับภาคนี้ได้เลย เพราะเป็นการเปิดคดีใหม่ เส้นเรื่องไม่ได้เกี่ยวโยงกันGlass Onion : A Knives Out Mystery สตรีม 23 ธันวาคมใน Netflix

[REVIEW EXCLUSIVE] : จอร์จ คลูนีย์ x จูเลีย โรเบิร์ต นำทีม "Ticket To Paradise” เผยเบื้องลึกก่อนตีตั๋วรักสู่หนังรอมคอมแห่งปีที่ไม่ควรพลาด ! | GOSSIP GUN

05 ต.ค. 2022

[REVIEW EXCLUSIVE] : จอร์จ คลูนีย์ x จูเลีย โรเบิร์ต นำทีม "Ticket To Paradise” เผยเบื้องลึกก่อนตีตั๋วรักสู่หนังรอมคอมแห่งปีที่ไม่ควรพลาด ! | GOSSIP GUN

นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้ดูหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ยิ้มไม่หุบตลอดทั้งเรื่อง ยังจำเสียงหัวเราะตอนที่ดู Four Weddings and a Funeral ได้หรือไม่ ยังจำความสุขตอนที่ดู Notting Hill ได้หรือเปล่า และยังจำความอิ่มเอมหัวใจพองโตตอนที่ดู Love Actually กันได้ใช่ไหม ? ดูเหมือนว่าหนังรอมคอมจะห่างหายจากโรงภาพยนตร์ไปพักใหญ่หลายต่อหลายปีที่ผ่านมา และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ยูนิเวอร์แซล มอบความสุขที่ห่างหายไปให้กับผู้ชมทั่วโลกอีกครั้งกับ “Ticket To Paradise” (ตั๋วรักสู่พาราไดซ์) นี่ไม่ใช่แค่การกลับมาของหนังรักเบาสมองแบบที่พวกเราคุ้นเคยและโหยหาเท่านั้น แต่ยังเป็นการกลับมาเจอกันอีกครั้งบนหน้าจอ ของพระเอกเสน่ห์เหลือล้นแห่งยุคอย่าง "จอร์จ คลูนีย์" และราชินีแห่งหนังรักอย่าง "จูเลีย โรเบิร์ต" ซึ่งพิสูจน์กันมาแล้วว่า เคมีของทั้งคู่ช่างเข้าขากันดีเหลือเกินก่อนที่จะได้ชม Ticket To Paradise กันในโรงภาพยนตร์ เราขอพาทุกคนไปพูดคุยกับ ซูเปอร์สตาร์แห่งยุค อย่าง จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต ที่นำทีมนักแสดงและผู้กำกับ จากหนังโรแมนติกเบาสมองแห่งปี มารวมตัวกันที่รอบปฐมทัศน์ในกรุงลอนดอน ซึ่งในโอกาสนี้พวกเขาทั้งหมด ได้เข้าร่วมงาน Press Conference พร้อมกับสื่อมวลชนจากทั่วโลกผ่านทางออนไลน์ และในโอกาสนี้ ทาง EFM94 และเพจ Hollywood GossipGun ก็ได้รับโอกาสพิเศษในการเข้าร่วมด้วย ทำไมเราทุกคนถึงไม่ควรพลาด Ticket To Paradise หนังเรื่องนี้จะมอบความสุขให้ผู้ชมได้ขนาดไหน เราขอพาทุกท่านไปหาคำตอบพร้อมๆกัน“หนังเรื่องนี้ถูกเขียนบทขึ้นมาเพื่อจอร์จ และจูเลียโดยเฉพาะ” - โอล ปาร์กเกอร์ ผู้กำกับ Ticket To Paradise เล่าถึงไอเดียแรกเริ่มของหนัง เขาเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยมี จอร์จ คลูนีย์ และ จูเลีย โรเบิร์ต อยู่ในหัวตั้งแต่วันแรก และโปรเจกต์นี้คงกลายเป็นอากาศธาตุถ้านักแสดงระดับโลกทั้งสองคนปฏิเสธที่จะรับบทนำ แต่ โอลและแฟนหนังโรแมนติกคอเมดี้ทั่วโลกโชคดี เพราะทั้งสองต่างตอบรับ โอลเล่าต่อว่า - “ผมเขียนบทเพื่อจอร์จ และจูเลียโดยเฉพาะ ถ้าพวกเขาไม่รับเล่น พวกเราคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ สองบทบาทนี้สำหรับพวกคุณเท่านั้น (โอลหันไปหา จอร์จและจูเลีย) ผมเขียนบทเพื่อพวกคุณ ติดต่อไปยังพวกคุณ และภาวนาให้พวกคุณรับแสดงในหนังเรื่องนี้”ย้อนกลับไป จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต พบกันครั้งแรกในกองถ่าย Ocean's Eleven เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว หลังจากนั้นทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันในทันที จอร์จเล่าให้ฟังว่า เขานั่งอยู่ที่พื้นโรงแรมและเล่นมุกกันเกือบ 5 ชั่วโมง นั่นคือจุดเริ่มต้นความสนิทสนมของทั้งสอง - “สำหรับพวกเรามันง่ายเสมอ ตอนที่ผมได้บทภาพยนตร์ Ticket To Paradise จำได้ว่าโอลส่งให้ทั้งผมและจูเลียพร้อมๆกัน ผมโทรหาจูเลียถามว่า คุณอ่านบทหนังหรือยัง เธอกำลังอ่านอยู่เลย ผมบอกไปว่าผมจะเล่นถ้าคุณเล่น จูเลียก็พูดแบบเดียวกัน โชคดีที่พวกเราใจตรงกัน” - จอร์จเล่าต่อว่า มันสนุกที่ได้ทำงานกับเพื่อน ที่ได้ทำงานกับจูเลีย หลังจากการแสดงหนังด้วยกันครั้งแรก ทั้งสองได้ร่วมงานกันอีกครั้งในภาคต่อ Ocean's Twelve และในหนังระทึกขวัญMoney Monster แต่ใครจะเชื่อว่าทั้งสองคน ยังไม่เคยเล่นหนังโรแมนติกคอเมดี้ด้วยกันมาก่อนใน Ticket To Paradise จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต รับบทเป็น เดวิด และจอร์เจีย อดีตสามีภรรยาที่กลายความสัมพันธ์จากคู่รัก ไปเป็นคู่แค้น หลังหย่าร้างทั้งคู่แทบไม่เคยพูดจาดีๆ แทบไม่เคยมองหน้ากัน แม้แต่อยู่ในห้องเดียวกันยังเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่แล้วภารกิจที่ทำให้ทั้งสองต้องจับมือกันก็เกิดขึ้น เมื่อ ลิลลี่ ลูกสาวที่เพิ่งเรียนจบของพวกเขา ไปพบรักหนุ่มอินโดนีเซีย หลังเดินทางไปพักผ่อนที่บาหลี และทั้งสองตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน ทันทีที่ เดวิดและจอร์เจีย ทราบข่าว ทั้งคู่จึงรีบซื้อตั๋วบินสู่เกาะบาหลี แต่ไม่ใช่เพื่อแสดงความยินดีกับลูก เป้าหมายของพวกเขา คือการล่มงานวิวาห์ครั้งนี้ให้ได้ เพื่อให้ ลิลลี่ ไม่ทำผิดพลาดในความรัก แบบที่ทั้งคู่เคยเผชิญ และพาเหรดแห่งความอลหม่านก็ได้เริ่มต้นขึ้น ณ ตรงนี้“แค่ได้มีโอกาสต่อปากต่อคำกับจอร์จ ฉันก็พร้อมโดดเข้าร่วมในหนังแล้ว” - จูเลีย โรเบิร์ต เล่าถึงเหตุผลที่เธอตัดสินใจตอบตกลง กลับมาเล่นหนังรอมคอมทันทีที่อ่านบทจบ หลังจากห่างหายไปนานกว่าทศวรรษ เพื่อไปเล่นหนังแนวอื่นๆ เธอเล่าว่าแค่การที่จะได้เห็น จอร์จ คลูนีย์ ตกหลุมรักเธอแบบหัวปักหัวปำมันก็น่าสนุกเต็มทีแล้ว จูเลียเผยถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครว่า - “แม้ในหนังจอร์จ จะตกหลุมรักฉันอย่างหนัก แต่ฉันไม่รักเขาแล้ว และเขาพยายามใช้โอกาสนี้ที่ลูกสาวของพวกเราจะแต่งงาน เพื่อหาโอกาสกลับมาคืนดีกับเธอ..” - ไม่ทันที่ จูเลีย จะพูดจบ จอร์จก็พยายามพูดแทรกเข้ามาทันที แทบจะไม่ต่างจากบทอดีตผัวเมียคู่นี้ในจอเลย นี่คือการพิสูจน์ให้เห็นว่า นอกจอพวกเขาทั้งสนิทและสนุกกันเพียงใด ในจอก็เป็นเช่นกัน และก่อนที่จูเลียจะพูดจบ จอร์จก็ป้อนคำหวานว่า - “สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผม คือโอกาสที่จะได้เล่นหนังกับราชินีแห่งซิตคอม ราชินีแห่งหนังโรแมนติกเบาสมอง”- นั่นสิ จะพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร ?ขนาด จอร์จ และจูเลีย ยังไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้ร่วมงานกันเอง แล้วทีมนักแสดงคนอื่นๆ จะพลาดได้ไง สาวน้อยที่โชคดีที่สุดคือ เคทลิน เดเวอร์ นักแสดงสาวที่แจ้งเกิดจาก Booksmart และได้ชิงรางวัล Golden Globes จากมินิซีรีส์Unbelievable เล่าถึงโอกาสแห่งชีวิต ที่เธอได้รับเลือกให้แสดงบท ลิลลี่ ลูกสาวของ จอร์จและจูเลียในหนัง เธอเล่าว่าเหตุผลสำคัญ ที่ตัดสินใจเล่นบทนี้ แน่นอนว่ามันคือการได้เล่นเป็นลูกของ จอร์จและจูเลีย นอกจากนี้เธอเล่าต่อว่า - “ฉันไม่เคยเล่นหนังรอมคอมมาก่อน เลยอยากลองบทที่แตกต่าง และแน่นอนว่าฉันจะได้ทำงานกับเพื่อนสนิท ฉันมีความสุขมากๆระหว่างถ่ายทำหนังเรื่องนี้ มันเยี่ยมมากเลย” - เพื่อนสนิทที่ว่านี้ เคทลินหมายถึง บิลลี่ ลอร์ด นักแสดงรุ่นพี่ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วในBooksmart ซึ่งทั้งสองกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในTicket To Paradise แถมยังแสดงเป็นเพื่อนสนิทกันอีกด้วย เคทลินบอกว่า การได้ร่วมงานกับเพื่อนสนิท ทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้นมาก และแค่โอกาสที่ได้รู้จัก จอร์จและจูเลีย มันก็วิเศษมากๆแล้วนอกจาก จอร์จ-จูเลีย และเหล่าบรรดาสาวๆบนเกาะสวรรค์แห่งนี้แล้ว สองนักแสดงหนุ่มที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ เพิ่มความสนุกให้กับ Ticket To Paradise คนแรกคือ แม็กซิม บูเทียร์ นักแสดงและนักดนตรีหนุ่มสุดหล่ชาวอินโดนีเซีย ที่เข้ามารับบท เจด หนุ่มท้องถิ่นที่ ลิลลี่ ลูกสาวของ จอร์จและจูเลีย ตกหลุมรัก แม็กซิม เล่าถึงตัวละครของเขาว่า - “เขามาจากบาหลี เขาเพาะสาหร่ายริมทะเลเป็นอาชีพ เขาเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบๆตัวเขา เขาเหมือนจะเป็นเจ้าชายรูปงามเลยละ” (เพื่อนๆนักแสดงต่างแซวว่า เขาเป็นเจ้าชายแบบออร์แกนิคเลยละ เพราะปลูกสาหร่าย) – เมื่อถูกถามว่า รู้สึกอย่างไรบ้าง ที่ได้แสดงเป็นลูกเขยของ จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต แมกซีนเล่าทันทีว่า ตอนที่เขารับโทรศัพท์ แล้วปลายสายบอกว่าคุณได้เล่นบทนี้นะ เขานี่ตัวแทบลอย การที่ได้ร่วมงานกับจอร์จ มีหลายฉากที่ต้องเล่นด้วยกัน แม็กซิมรู้สึกขอบคุณมากๆที่ได้รับโอกาสนั้น มันเป็นประสบการณ์ที่บ้ามากๆเลยปัญหาที่ จอร์จ คลูนีย์ ต้องเผชิญบนเกาะสวรรค์แห่งนี้ ไม่ใช่แค่การหยุดลูกสาวจากงานวิวาห์ที่เขาไม่เห็นด้วยเท่านั้น แต่ยังมีการที่เขาต้องเห็นอดีตคนรักไปมีแฟนใหม่ ที่ทั้งหนุ่ม ทั้งแซ่บยิ่งกว่า เมื่อตัวละครจอร์เจีย กำลังอินเลิฟกับ พอล นักบินหนุ่มซึ่งรับบทโดย ลูคัส บราโว่ หนุ่มหล่อจาก Emily In Paris ซึ่งเมื่อพอลรู้ว่า จอร์เจีย กำลังจะบินไปหาลูกที่บาหลี เขาเลยตัดสินใจแลกเที่ยวบิน เพื่อมาบินในไฟลต์นี้ และเซอร์ไพรสแฟนสาวรุ่นใหญ่ด้วย ลูคัสเล่าถึงตัวละครเขาว่า - “ความน่าสนใจของตัวละครพอล คือเขาแทบจะไม่เคยเจอปัญหาปวดใจมาก่อน เป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์มากๆ เขาเหมือนเด็กอายุ 14 ปี ติดอยู่ในร่างชายวัย 30 ซึ่งผู้กำกับ (โอล ปาร์กเกอร์) เปิดโอกาสให้ผมได้อิมโพรไวซ์ ได้ลองแสดงหลายๆแบบ แล้วจอร์จกับจูเลียก็เล่นตาม มันน่าสนใจมาก”แม้จะได้เล่นหนังเป็นคนรักของ จูเลีย โรเบิร์ต แต่ลูคัสเผยว่า ตอนแรกที่เล่นบทนี้ มันไม่ได้สบายเลย และเขาได้เล่าถึงฉากที่ประหม่าอย่างมาก - “อย่างฉากจูบบนเครื่องบิน ผมแทบไม่เชื่อตัวเองว่าจะได้จูบกับจูเลีย พวกเราขำกันไม่หยุด ผู้กำกับก็เลยบอกว่า จูบใหม่สิ..” ทันใดนั้น ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ จอร์จ คลูนีย์ ก็แซวขึ้นมาทันทีว่า จูเลียนั่นแหละที่อยากจูบอีก ด้านจูเลียแซวตัวเองต่อไปอีกว่า มันอยู่ในสัญญาของเธอเลยนะ นี่คือตัวอย่างความสนุกที่ล้นออกมาจากในจอสู่นอกจอ พวกเขาสนิทกันจริงๆในชีวิตจริง ทั้งจอร์จและจูเลียต่างเอ็นดูลูคัสมาก เขาบอกว่าทั้งสองพยายามเปิดทางให้เขาได้ซีนเสมอ - “มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดมาก หลังจากที่ผมได้ดูหนังเต็มๆเมื่อคืน ผมเริ่มตระหนักได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมไม่ได้บอกพ่อแม่ด้วย แต่พุ่งไปยังกองถ่ายเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วแค่พริบตา เมื่อวานผมเพิ่งมานั่งคิดจริงจังว่า เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย” - ยังไม่ทันจะพูดจบ จอร์จ คลูนีย์ ก็แซวขึ้นมาอีกแล้ว – “ลูคัสเพิ่งอายุ 5 ขวบเอง ตอนที่ Notting Hill ฉาย เขาตั้งตารอจะมาเจอคุณตั้งแต่ตอนนั้นแล้วละ” เชื่อแล้วว่าสนิทกันจริงๆทีมนักแสดงทั้งหมด บินไปยังออสเตรเลีย เพื่อถ่ายทำ Ticket To Paradise แทนที่จะเป็นเกาะบาหลี เพราะตอนที่หนังเปิดกล้อง อินโดนีเซีย ยังคงมีมาตรการด้านโควิด-19 ที่ยังรัดกุมทำให้ถ่ายทำไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดทีมงานก็สามารถเก็บภาพบรรยากาศของบาหลีมาใช้จริงๆได้ในเวลาต่อมา นี่คือการถ่ายทำหนังที่เหล่านักแสดงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีวันไหนที่พวกเขาไม่มีความสุขเลย และทั้งหมดต้องขอบคุณทีมงานและผู้กำกับ โอล ปาร์กเกอร์ จูเลีย โรเบิร์ต เผยว่า - “โอล เขาทั้งตลก ทั้งมีความมั่นใจ กล้าหาญ เขารู้จักตัวตนนักแสดงแต่ละคน แล้วค่อยๆปรับให้เข้ากับหนัง” -ในขณะที่ จอร์จ กล่าวเสริมว่า พวกเขาต่างโชคดี โอลเขียนบทภาพยนตร์ที่งดงามออกมา แล้วก็ได้พวกเรามาแสดง เขาต้องหาวิธีในการคุมพวกเราให้อยู่ ตลอดเวลาการถ่ายทำมันสนุกมาก เขาทั้งสุภาพ และนิสัยดี พวกเราแทบจะไม่มีวันแย่ๆในกองถ่ายเลย ซึ่งมันหายากมาก“ทั้งฉันและจอร์จต่างรู้สึกภาคภูมิใจเมื่อทำให้ผู้ชมหัวเราะได้ ฉันดีใจมากทุกครั้งที่ได้ทำอะไรบางอย่างแล้วได้ยินเสียงหัวเราะในกองถ่าย ทีมงานขำอยู่หลังมอนิเตอร์” - จูเลีย โรเบิร์ต กล่าวถึงการที่เธอและเพื่อนสนิทอย่าง จอร์จ ได้มอบความสุขให้กับทุกคนในกองถ่าย และความสุขเหล่านั้น กำลังจะส่งต่อไปยังผู้ชมทั่วโลก หลังจากที่พวกเราผ่านช่วงเวลาอันยากลำบาก ของการระบาดโควิด-19 นี่คือช่วงเวลาแห่งความสุขที่กำลังกลับคืนมา พวกเราห่างหายจากการหัวเราะดังๆพร้อมกันในโรงภาพยนตร์มานานแค่ไหนแล้ว พวกเราห่างหายจากการเสียน้ำตาในโรงภาพยนตร์มานานแค่ไหนกัน Ticket To Paradise คือตั๋วสู่ความอิ่มเอมที่พวกเราคุ้นเคย นี่คือโอกาสสำคัญที่จะได้ดูหนังโรแมนติกเบาสมอง แบบที่ทุกคนชื่นชอบอีกครั้ง ตั๋วรักสู่พาราไดซ์ 6 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้นภาพ : Universal Pictures

album

0
0.8
1