[REVIEW EXCLUSIVE] : จอร์จ คลูนีย์ x จูเลีย โรเบิร์ต นำทีม "Ticket To Paradise” เผยเบื้องลึกก่อนตีตั๋วรักสู่หนังรอมคอมแห่งปีที่ไม่ควรพลาด ! | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW EXCLUSIVE] : จอร์จ คลูนีย์ x จูเลีย โรเบิร์ต นำทีม "Ticket To Paradise” เผยเบื้องลึกก่อนตีตั๋วรักสู่หนังรอมคอมแห่งปีที่ไม่ควรพลาด ! | GOSSIP GUN

05 ต.ค. 2022

นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้ดูหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ยิ้มไม่หุบตลอดทั้งเรื่อง ยังจำเสียงหัวเราะตอนที่ดู Four Weddings and a Funeral ได้หรือไม่ ยังจำความสุขตอนที่ดู Notting Hill ได้หรือเปล่า และยังจำความอิ่มเอมหัวใจพองโตตอนที่ดู Love Actually กันได้ใช่ไหม ? ดูเหมือนว่าหนังรอมคอมจะห่างหายจากโรงภาพยนตร์ไปพักใหญ่หลายต่อหลายปีที่ผ่านมา และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ยูนิเวอร์แซล มอบความสุขที่ห่างหายไปให้กับผู้ชมทั่วโลกอีกครั้งกับ “Ticket To Paradise” (ตั๋วรักสู่พาราไดซ์) นี่ไม่ใช่แค่การกลับมาของหนังรักเบาสมองแบบที่พวกเราคุ้นเคยและโหยหาเท่านั้น แต่ยังเป็นการกลับมาเจอกันอีกครั้งบนหน้าจอ ของพระเอกเสน่ห์เหลือล้นแห่งยุคอย่าง "จอร์จ คลูนีย์" และราชินีแห่งหนังรักอย่าง "จูเลีย โรเบิร์ต" ซึ่งพิสูจน์กันมาแล้วว่า เคมีของทั้งคู่ช่างเข้าขากันดีเหลือเกิน

ก่อนที่จะได้ชม Ticket To Paradise กันในโรงภาพยนตร์ เราขอพาทุกคนไปพูดคุยกับ ซูเปอร์สตาร์แห่งยุค อย่าง จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต ที่นำทีมนักแสดงและผู้กำกับ จากหนังโรแมนติกเบาสมองแห่งปี มารวมตัวกันที่รอบปฐมทัศน์ในกรุงลอนดอน ซึ่งในโอกาสนี้พวกเขาทั้งหมด ได้เข้าร่วมงาน Press Conference พร้อมกับสื่อมวลชนจากทั่วโลกผ่านทางออนไลน์ และในโอกาสนี้ ทาง EFM94 และเพจ Hollywood GossipGun ก็ได้รับโอกาสพิเศษในการเข้าร่วมด้วย ทำไมเราทุกคนถึงไม่ควรพลาด Ticket To Paradise หนังเรื่องนี้จะมอบความสุขให้ผู้ชมได้ขนาดไหน เราขอพาทุกท่านไปหาคำตอบพร้อมๆกัน

“หนังเรื่องนี้ถูกเขียนบทขึ้นมาเพื่อจอร์จ และจูเลียโดยเฉพาะ” - โอล ปาร์กเกอร์ ผู้กำกับ Ticket To Paradise เล่าถึงไอเดียแรกเริ่มของหนัง เขาเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยมี จอร์จ คลูนีย์ และ จูเลีย โรเบิร์ต อยู่ในหัวตั้งแต่วันแรก และโปรเจกต์นี้คงกลายเป็นอากาศธาตุถ้านักแสดงระดับโลกทั้งสองคนปฏิเสธที่จะรับบทนำ แต่ โอลและแฟนหนังโรแมนติกคอเมดี้ทั่วโลกโชคดี เพราะทั้งสองต่างตอบรับ โอลเล่าต่อว่า - “ผมเขียนบทเพื่อจอร์จ และจูเลียโดยเฉพาะ ถ้าพวกเขาไม่รับเล่น พวกเราคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ สองบทบาทนี้สำหรับพวกคุณเท่านั้น (โอลหันไปหา จอร์จและจูเลีย) ผมเขียนบทเพื่อพวกคุณ ติดต่อไปยังพวกคุณ และภาวนาให้พวกคุณรับแสดงในหนังเรื่องนี้”

ย้อนกลับไป จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต พบกันครั้งแรกในกองถ่าย Ocean's Eleven เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว หลังจากนั้นทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันในทันที จอร์จเล่าให้ฟังว่า เขานั่งอยู่ที่พื้นโรงแรมและเล่นมุกกันเกือบ 5 ชั่วโมง นั่นคือจุดเริ่มต้นความสนิทสนมของทั้งสอง - “สำหรับพวกเรามันง่ายเสมอ ตอนที่ผมได้บทภาพยนตร์ Ticket To Paradise จำได้ว่าโอลส่งให้ทั้งผมและจูเลียพร้อมๆกัน ผมโทรหาจูเลียถามว่า คุณอ่านบทหนังหรือยัง เธอกำลังอ่านอยู่เลย ผมบอกไปว่าผมจะเล่นถ้าคุณเล่น จูเลียก็พูดแบบเดียวกัน โชคดีที่พวกเราใจตรงกัน” - จอร์จเล่าต่อว่า มันสนุกที่ได้ทำงานกับเพื่อน ที่ได้ทำงานกับจูเลีย หลังจากการแสดงหนังด้วยกันครั้งแรก ทั้งสองได้ร่วมงานกันอีกครั้งในภาคต่อ Ocean's Twelve และในหนังระทึกขวัญMoney Monster แต่ใครจะเชื่อว่าทั้งสองคน ยังไม่เคยเล่นหนังโรแมนติกคอเมดี้ด้วยกันมาก่อน

 

ใน Ticket To Paradise จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต รับบทเป็น เดวิด และจอร์เจีย อดีตสามีภรรยาที่กลายความสัมพันธ์จากคู่รัก ไปเป็นคู่แค้น หลังหย่าร้างทั้งคู่แทบไม่เคยพูดจาดีๆ แทบไม่เคยมองหน้ากัน แม้แต่อยู่ในห้องเดียวกันยังเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่แล้วภารกิจที่ทำให้ทั้งสองต้องจับมือกันก็เกิดขึ้น เมื่อ ลิลลี่ ลูกสาวที่เพิ่งเรียนจบของพวกเขา ไปพบรักหนุ่มอินโดนีเซีย หลังเดินทางไปพักผ่อนที่บาหลี และทั้งสองตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน ทันทีที่ เดวิดและจอร์เจีย ทราบข่าว ทั้งคู่จึงรีบซื้อตั๋วบินสู่เกาะบาหลี แต่ไม่ใช่เพื่อแสดงความยินดีกับลูก เป้าหมายของพวกเขา คือการล่มงานวิวาห์ครั้งนี้ให้ได้ เพื่อให้ ลิลลี่ ไม่ทำผิดพลาดในความรัก แบบที่ทั้งคู่เคยเผชิญ และพาเหรดแห่งความอลหม่านก็ได้เริ่มต้นขึ้น ณ ตรงนี้

“แค่ได้มีโอกาสต่อปากต่อคำกับจอร์จ ฉันก็พร้อมโดดเข้าร่วมในหนังแล้ว” - จูเลีย โรเบิร์ต เล่าถึงเหตุผลที่เธอตัดสินใจตอบตกลง กลับมาเล่นหนังรอมคอมทันทีที่อ่านบทจบ หลังจากห่างหายไปนานกว่าทศวรรษ เพื่อไปเล่นหนังแนวอื่นๆ เธอเล่าว่าแค่การที่จะได้เห็น จอร์จ คลูนีย์ ตกหลุมรักเธอแบบหัวปักหัวปำมันก็น่าสนุกเต็มทีแล้ว จูเลียเผยถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครว่า - “แม้ในหนังจอร์จ จะตกหลุมรักฉันอย่างหนัก แต่ฉันไม่รักเขาแล้ว และเขาพยายามใช้โอกาสนี้ที่ลูกสาวของพวกเราจะแต่งงาน เพื่อหาโอกาสกลับมาคืนดีกับเธอ..” - ไม่ทันที่ จูเลีย จะพูดจบ จอร์จก็พยายามพูดแทรกเข้ามาทันที แทบจะไม่ต่างจากบทอดีตผัวเมียคู่นี้ในจอเลย นี่คือการพิสูจน์ให้เห็นว่า นอกจอพวกเขาทั้งสนิทและสนุกกันเพียงใด ในจอก็เป็นเช่นกัน และก่อนที่จูเลียจะพูดจบ จอร์จก็ป้อนคำหวานว่า - “สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผม คือโอกาสที่จะได้เล่นหนังกับราชินีแห่งซิตคอม ราชินีแห่งหนังโรแมนติกเบาสมอง” - นั่นสิ จะพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร ?

ขนาด จอร์จ และจูเลีย ยังไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้ร่วมงานกันเอง แล้วทีมนักแสดงคนอื่นๆ จะพลาดได้ไง สาวน้อยที่โชคดีที่สุดคือ เคทลิน เดเวอร์ นักแสดงสาวที่แจ้งเกิดจาก Booksmart และได้ชิงรางวัล Golden Globes จากมินิซีรีส์Unbelievable เล่าถึงโอกาสแห่งชีวิต ที่เธอได้รับเลือกให้แสดงบท ลิลลี่ ลูกสาวของ จอร์จและจูเลียในหนัง เธอเล่าว่าเหตุผลสำคัญ ที่ตัดสินใจเล่นบทนี้ แน่นอนว่ามันคือการได้เล่นเป็นลูกของ จอร์จและจูเลีย นอกจากนี้เธอเล่าต่อว่า - “ฉันไม่เคยเล่นหนังรอมคอมมาก่อน เลยอยากลองบทที่แตกต่าง และแน่นอนว่าฉันจะได้ทำงานกับเพื่อนสนิท ฉันมีความสุขมากๆระหว่างถ่ายทำหนังเรื่องนี้ มันเยี่ยมมากเลย” - เพื่อนสนิทที่ว่านี้ เคทลินหมายถึง บิลลี่ ลอร์ด นักแสดงรุ่นพี่ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วในBooksmart ซึ่งทั้งสองกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งใน Ticket To Paradise แถมยังแสดงเป็นเพื่อนสนิทกันอีกด้วย เคทลินบอกว่า การได้ร่วมงานกับเพื่อนสนิท ทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้นมาก และแค่โอกาสที่ได้รู้จัก จอร์จและจูเลีย มันก็วิเศษมากๆแล้ว

นอกจาก จอร์จ-จูเลีย และเหล่าบรรดาสาวๆบนเกาะสวรรค์แห่งนี้แล้ว สองนักแสดงหนุ่มที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ เพิ่มความสนุกให้กับ Ticket To Paradise คนแรกคือ แม็กซิม บูเทียร์ นักแสดงและนักดนตรีหนุ่มสุดหล่ชาวอินโดนีเซีย ที่เข้ามารับบท เจด หนุ่มท้องถิ่นที่ ลิลลี่ ลูกสาวของ จอร์จและจูเลีย ตกหลุมรัก แม็กซิม เล่าถึงตัวละครของเขาว่า - “เขามาจากบาหลี เขาเพาะสาหร่ายริมทะเลเป็นอาชีพ เขาเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบๆตัวเขา เขาเหมือนจะเป็นเจ้าชายรูปงามเลยละ” (เพื่อนๆนักแสดงต่างแซวว่า เขาเป็นเจ้าชายแบบออร์แกนิคเลยละ เพราะปลูกสาหร่าย) – เมื่อถูกถามว่า รู้สึกอย่างไรบ้าง ที่ได้แสดงเป็นลูกเขยของ จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต แมกซีนเล่าทันทีว่า ตอนที่เขารับโทรศัพท์ แล้วปลายสายบอกว่าคุณได้เล่นบทนี้นะ เขานี่ตัวแทบลอย การที่ได้ร่วมงานกับจอร์จ มีหลายฉากที่ต้องเล่นด้วยกัน แม็กซิมรู้สึกขอบคุณมากๆที่ได้รับโอกาสนั้น มันเป็นประสบการณ์ที่บ้ามากๆเลย

ปัญหาที่ จอร์จ คลูนีย์ ต้องเผชิญบนเกาะสวรรค์แห่งนี้ ไม่ใช่แค่การหยุดลูกสาวจากงานวิวาห์ที่เขาไม่เห็นด้วยเท่านั้น แต่ยังมีการที่เขาต้องเห็นอดีตคนรักไปมีแฟนใหม่ ที่ทั้งหนุ่ม ทั้งแซ่บยิ่งกว่า เมื่อตัวละครจอร์เจีย กำลังอินเลิฟกับ พอล นักบินหนุ่มซึ่งรับบทโดย ลูคัส บราโว่ หนุ่มหล่อจาก Emily In Paris ซึ่งเมื่อพอลรู้ว่า จอร์เจีย กำลังจะบินไปหาลูกที่บาหลี เขาเลยตัดสินใจแลกเที่ยวบิน เพื่อมาบินในไฟลต์นี้ และเซอร์ไพรสแฟนสาวรุ่นใหญ่ด้วย ลูคัสเล่าถึงตัวละครเขาว่า - “ความน่าสนใจของตัวละครพอล คือเขาแทบจะไม่เคยเจอปัญหาปวดใจมาก่อน เป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์มากๆ เขาเหมือนเด็กอายุ 14 ปี ติดอยู่ในร่างชายวัย 30 ซึ่งผู้กำกับ (โอล ปาร์กเกอร์) เปิดโอกาสให้ผมได้อิมโพรไวซ์ ได้ลองแสดงหลายๆแบบ แล้วจอร์จกับจูเลียก็เล่นตาม มันน่าสนใจมาก”

 

แม้จะได้เล่นหนังเป็นคนรักของ จูเลีย โรเบิร์ต แต่ลูคัสเผยว่า ตอนแรกที่เล่นบทนี้ มันไม่ได้สบายเลย และเขาได้เล่าถึงฉากที่ประหม่าอย่างมาก - “อย่างฉากจูบบนเครื่องบิน ผมแทบไม่เชื่อตัวเองว่าจะได้จูบกับจูเลีย พวกเราขำกันไม่หยุด ผู้กำกับก็เลยบอกว่า จูบใหม่สิ..” ทันใดนั้น ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ จอร์จ คลูนีย์ ก็แซวขึ้นมาทันทีว่า จูเลียนั่นแหละที่อยากจูบอีก ด้านจูเลียแซวตัวเองต่อไปอีกว่า มันอยู่ในสัญญาของเธอเลยนะ นี่คือตัวอย่างความสนุกที่ล้นออกมาจากในจอสู่นอกจอ พวกเขาสนิทกันจริงๆในชีวิตจริง ทั้งจอร์จและจูเลียต่างเอ็นดูลูคัสมาก เขาบอกว่าทั้งสองพยายามเปิดทางให้เขาได้ซีนเสมอ - “มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดมาก หลังจากที่ผมได้ดูหนังเต็มๆเมื่อคืน ผมเริ่มตระหนักได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมไม่ได้บอกพ่อแม่ด้วย แต่พุ่งไปยังกองถ่ายเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วแค่พริบตา เมื่อวานผมเพิ่งมานั่งคิดจริงจังว่า เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย” - ยังไม่ทันจะพูดจบ จอร์จ คลูนีย์ ก็แซวขึ้นมาอีกแล้ว – “ลูคัสเพิ่งอายุ 5 ขวบเอง ตอนที่ Notting Hill ฉาย เขาตั้งตารอจะมาเจอคุณตั้งแต่ตอนนั้นแล้วละ” เชื่อแล้วว่าสนิทกันจริงๆ

 

ทีมนักแสดงทั้งหมด บินไปยังออสเตรเลีย เพื่อถ่ายทำ Ticket To Paradise แทนที่จะเป็นเกาะบาหลี เพราะตอนที่หนังเปิดกล้อง อินโดนีเซีย ยังคงมีมาตรการด้านโควิด-19 ที่ยังรัดกุมทำให้ถ่ายทำไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดทีมงานก็สามารถเก็บภาพบรรยากาศของบาหลีมาใช้จริงๆได้ในเวลาต่อมา นี่คือการถ่ายทำหนังที่เหล่านักแสดงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีวันไหนที่พวกเขาไม่มีความสุขเลย และทั้งหมดต้องขอบคุณทีมงานและผู้กำกับ โอล ปาร์กเกอร์ จูเลีย โรเบิร์ต เผยว่า - “โอล เขาทั้งตลก ทั้งมีความมั่นใจ กล้าหาญ เขารู้จักตัวตนนักแสดงแต่ละคน แล้วค่อยๆปรับให้เข้ากับหนัง” - ในขณะที่ จอร์จ กล่าวเสริมว่า พวกเขาต่างโชคดี โอลเขียนบทภาพยนตร์ที่งดงามออกมา แล้วก็ได้พวกเรามาแสดง เขาต้องหาวิธีในการคุมพวกเราให้อยู่ ตลอดเวลาการถ่ายทำมันสนุกมาก เขาทั้งสุภาพ และนิสัยดี พวกเราแทบจะไม่มีวันแย่ๆในกองถ่ายเลย ซึ่งมันหายากมาก

“ทั้งฉันและจอร์จต่างรู้สึกภาคภูมิใจเมื่อทำให้ผู้ชมหัวเราะได้ ฉันดีใจมากทุกครั้งที่ได้ทำอะไรบางอย่างแล้วได้ยินเสียงหัวเราะในกองถ่าย ทีมงานขำอยู่หลังมอนิเตอร์” - จูเลีย โรเบิร์ต กล่าวถึงการที่เธอและเพื่อนสนิทอย่าง จอร์จ ได้มอบความสุขให้กับทุกคนในกองถ่าย และความสุขเหล่านั้น กำลังจะส่งต่อไปยังผู้ชมทั่วโลก หลังจากที่พวกเราผ่านช่วงเวลาอันยากลำบาก ของการระบาดโควิด-19 นี่คือช่วงเวลาแห่งความสุขที่กำลังกลับคืนมา พวกเราห่างหายจากการหัวเราะดังๆพร้อมกันในโรงภาพยนตร์มานานแค่ไหนแล้ว พวกเราห่างหายจากการเสียน้ำตาในโรงภาพยนตร์มานานแค่ไหนกัน Ticket To Paradise คือตั๋วสู่ความอิ่มเอมที่พวกเราคุ้นเคย นี่คือโอกาสสำคัญที่จะได้ดูหนังโรแมนติกเบาสมอง แบบที่ทุกคนชื่นชอบอีกครั้ง ตั๋วรักสู่พาราไดซ์ 6 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

ภาพ : Universal Pictures
 

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] 'บุพเพสันนิวาส ๒' ปรากฏการณ์ฟินครั้งใหม่ ยิ่งใหญ่ระดับหนังเอพิก | GOSSIP GUN

27 ก.ค. 2022

[REVIEW] 'บุพเพสันนิวาส ๒' ปรากฏการณ์ฟินครั้งใหม่ ยิ่งใหญ่ระดับหนังเอพิก | GOSSIP GUN

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า "บุพเพสันนิวาส" คือปรากฏการณ์ละครโทรทัศน์ ละครพีเรียดจากนิยายของ รอมแพงเรื่องนี้ ค่อยๆไต่เรตติ้งจากตอนแรก 3.8 ทั่วประเทศ ไปจนถึงตอนอวสานที่จบด้วยเรตติ้ง 18.6 กลายเป็นความสำเร็จอย่างงดงามสำหรับ ช่อง 3 ผู้จัดอย่าง บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น และกระแสพระนาง โป๊ป ธนวรรธน์ และเบลล่า ราณี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่จางหาย และคำว่า ออเจ้า กลายเป็นคำฮิตติดปากระดับแมสขั้นสุด ไม่มีใครไม่รู้จักว่า ออเจ้า เป็นคำที่มาจากไหน นอกจากทางบรอดคาซท์ ที่หยิบนิยายเล่มต่อไปอย่าง พรหมลิขิต มาสร้างเป็นละครภาคต่อแล้ว โปรเจกต์ยักษ์ใหญ่สะเทือนวงการภาพยนตร์ คือการจับมือกับ GDH เพื่อสร้างหนัง "บุพเพสันนิวาส ๒" ซึ่งไม่บ่อยครั้งนัก ที่ละครจะมาสร้างภาคต่อเป็นหนังได้ เพราะต้องมีกลุ่มผู้ชมเหนียวแน่นพอจริงๆ ที่จะยอมเสียเงินซื้อตั๋วเข้าไปดู แบบเดียวกับ นาคี ๒ ซึ่งการสร้างหนังในรูปแบบนี้ ได้เกิดขึ้นอีกครั้งแล้วแม้จะบอกในชื่อหนังว่าเป็นภาค 2แต่จริงๆแล้ว "บุพเพสันนิวาส ๒" ก็ทำหน้าที่เป็นทั้งหนัง Stand Alone ผู้ชมที่ไม่เคยดูละครมาก่อนก็สามารถชมได้ เช่นเดียวกับแฟนละคร ที่ก็จะได้จิ้นได้ฟินกันต่อ จากเดิมในละครภาคแรก ที่ดำเนินเรื่องในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในภาพยนตร์ภาคต่อนี้ เปลี่ยนมาเล่าเรื่องในยุคสมัย กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งทำให้แน่ชัดว่า ทั้งโป๊ป และ เบลล่า ไม่ได้รับบทเป็นตัวละครเดียวกับในภาคแรก เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สยามกำลังทำสัญญาซื้อขายเรือเหล็กขนาดใหญ่กับพ่อค้าชาวอังกฤษ โดยโป๊ปรับบทเป็น ขุนสมบัติบดี มีหน้าที่ดูแลการคลัง เขาพยายามหนีการแต่งงานที่พ่อแม่จับหมั้นหมายไว้ให้ เพราะมีนางในฝันที่เฝ้าคิดถึงตลอดเวลา แต่ทันใดที่เขาได้พบกับ เกสร (รับบทโดย เบลล่า ราณี) หญิงที่เหมือนนางในฝันคนนี้ เขารู้ทันทีว่าเธอคือคู่ชีวิต คือบุพเพสันนิวาสของเขา ขุนสมบัติบดีจึงพยายามวางแผนจีบเกสรด้วยทุกรูปแบบ จนกระทั่งทั้งสองได้เจอกับ เมธัส (รับบทโดย ไอซ์ พาริส) ชายที่เดินทางข้ามเวลามาจากยุคปัจจุบัน ซึ่งกำลังจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาลสำหรับผู้เขียนในฐานะที่ไม่ได้ดูละครบุพเพสันนิวาสมาก่อน (แค่ดูแบบไม่ปะติดปะต่อ) ก็ยังสามารถพูดได้เต็มปากว่า เอ็นจอยกับหนังเรื่องนี้ มันคือหนังที่น่ารักมากๆเรื่องนึงเลย ด้วยเคมีของ โป๊ป-เบลล่า ที่ล้นทะลักออกมา เป็นการตอกย้ำว่ากระแสความจิ้นจากฉบับละคร ไม่ใช่เรื่องเว่อร์อะไร และเหมือนว่าผู้สร้างมั่นใจในจุดนี้ว่าผู้ชมต้องชอบแน่ๆ เลยขยันบิลด์โมเมนต์ให้ผู้ชมได้ชุ่มชื่นหัวใจมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตัวละครของ โป๊ป ที่คลั่งรักเอาเสียมากๆ ช่วงครึ่งแรกที่เขาพยายามจะจีบตัวละครของ เบลล่า จึงเป็นอะไรที่สนุกสนานมาก และแฟนๆเอาใจช่วยแน่นอน ในฐานะที่เบลล่า ยังคงมีเสน่ห์ระดับดาเมจขั้นสุด นอกจาก ขุนสมบัติบดี ในหนังจะตกหลุมรักเธอแล้ว เชื่อว่าผู้ชมจะตกหลุมรักไม่แพ้กันแต่กระนั้น "บุพเพสันนิวาส ๒" ก็ไม่ได้มีแค่เส้นเรื่องของพระนาง เพราะปมใหญ่สำคัญอยู่ที่การปรากฏตัวของ ไอซ์ พาริส ในบทเมธัส ชายที่ย้อนเวลากลับมาจากปี 2564และติดอยู่ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ไม่สามารถกลับบ้านได้ เขาได้ไปเกี่ยวพันกับ นายห้างหันแตร (หรือมาจากชื่อ Hunter) พ่อค้าชาวอังกฤษที่พยายามขายเรือเหล็กให้ประเทศสยาม แต่แล้ว เสด็จในกรม (รับบทโดย นนกุล ชานน) กลับไม่เชื่อว่าเรือเหล็กจะลอยน้ำได้ จึงล้มเลิกการซื้อขาย ทำให้พ่อค้าชาวต่างชาติโกรธมาก และขู่จะฟ้อง พร้อมนำกองทัพอังกฤษ แล่นเรือมาปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยา เส้นเรื่องตรงนี้ทำให้ "บุพเพสันนิวาส ๒" มีความเป็นหนังเอพิกมากยิ่งขึ้น หนังเล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม โดยเฉพาะปมการเดินทางข้ามเวลาของเมธัส ทำให้หนังสามารถผูกปมไว้ได้มากมาย และผู้ชมจะต้องค่อยๆรอติดตาม ว่าแต่ละปมจะถูกเฉลยหรือแก้ไขแบบไหนไฮไลต์สำคัญที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้เลยสำหรับ "บุพเพสันนิวาส ๒" คือทีมนักแสดงประกอบที่แต่ละคนโผล่มาแบบจัดหนักจัดเต็ม พร้อมจะขโมยซีนพระนางตลอดเวลา (แต่โป๊ป-เบลล่า ก็สตรองมากจนขโมยซีนไม่ได้) ประกอบด้วย ปุ๊กกี้ ปวีณ์นุช หรือ คุณโฉม รับบทเป็นพี่ปี่ สาวใช้ที่ดูแลนางเอกอย่างใกล้ชิด เคมีระหว่าง ปุ๊กกี้กับเบลล่า ถือว่าเข้าขากันดีมาก หลายฉากรับส่งมุกกันอย่างโบ๊ะบ๊ะทีเดียว รวมไปถึงฉากดราม่าที่ไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้เห็นพี่ปุ๊กกี้ เล่นซีนอารมณ์ ซึ่งเธอก็ทำได้ดีจนผู้ชมอินมากๆอีกด้วย, บ็อบบี้ นิมิตร อีกหนึ่งนักแสดงขโมยซีนจาก เนื้อคู่ ประตูถัดไป รับบท สุนทรภู่ (ฉบับฮา) ทุกครั้งที่ีตัวละครนี้ปรากฏตัวขึ้นบนจอ เราจะได้เสียงฮาจากเขาแทบทุกครั้ง และที่สำคัญคือ ยิ่งหนังดำเนินเรื่องไป ตัวละครนี้จะยิ่งพีกขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย จนแอบเสียดายเล็กน้อยว่า อยากให้สุนทรภู่ ฉบับบุพเพ ได้แอร์ไทม์มากกว่านี้ และพี่กิ๊ก สุวัจนี ที่คัมแบ็คสู่วงการบันเทิงอีกครั้ง เธอรับบทแม่ของพระเอก ที่มาเล่นใหญ่โดยเฉพาะ อะไรที่คิดว่าจะได้เห็นจากพี่กิ๊ก เราจะได้เห็นจากหนังเรื่องนี้อย่างแน่นอนสิ่งที่หลายคนอาจจะตกใจคือ "บุพเพสันนิวาส ๒" มีความยาวมากถึง 2 ชั่วโมง 40 นาที เข้าขั้นหนังเอพิคเลยทีเดียว ซึ่งอันที่จริงตัวหนังเองสามารถกระชับมากกว่านี้ได้ แต่ด้วยความยาวระดับนี้ ในอีกมุมหนึ่งก็ทำให้หนังได้มีโอกาสขยี้ฉากต่างๆได้อย่างเต็มที่ ช่วยให้ผู้ชม โดยเฉพาะแฟนละครได้อินยิ่งขึ้นไปอีก ต้องมาติดตามกันว่า "บุพเพสันนิวาส ๒" จะเป็นปรากฏการณ์ในโลกภาพยนตร์ แบบเดียวกับที่ภาคแรก เคยเป็นปรากฏการณ์ในโลกละครได้หรือไม่ สำหรับใครที่กำลังจะไปชม ถ้าหนังจบแล้วอย่าเพิ่งรีบลุก เพราะมีฉากแถมช่วง End-Credit ซึ่งจะทำให้แฟนๆของ "บุพเพสันนิวาส" ได้กรี๊ดกันอย่างแน่นอนชมตัวอย่าง "บุพเพสันนิวาส ๒" สัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘เธอกับฉันกับฉัน (You and Me and Me)’ หนังแฟนฉันของคนยุคนี้ รักแรกของฝาแฝดสุดประทับใจ| GOSSIP GUN

10 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘เธอกับฉันกับฉัน (You and Me and Me)’ หนังแฟนฉันของคนยุคนี้ รักแรกของฝาแฝดสุดประทับใจ| GOSSIP GUN

ใครที่เคยคิดถึงหนัง Feel Good ดีต่อใจสไตล์ค่ายจีดีเอช (หรือค่ายก่อนหน้านี้) การรอคอยกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว กับผลงานใหม่อย่าง 'เธอกับฉันกับฉัน' ที่จะชวนให้ผู้ชมหวนระทึกถึงความทรงจำในวัยเด็ก และรักแรกในวัยรุ่นของเราอีกครั้ง แต่ความแตกต่างของโปรเจกต์นี้ คือการ ใช้ตัวละครนำเป็นฝาแฝด และพาผู้ชมเข้าสู่โลกของแฝด กับรายละเอียดหลายแง่มุมที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน ผ่านสองผู้กำกับแฝดหญิงอย่าง วรรณแวว และแวววรรณ หงษ์วิวัฒน์ ที่เคยจับงานเบื้องหลังในหลังคาค่ายนี้อยู่นาน ก่อนที่จะได้รับโอกาสในการกำกับหนังใหญ่เรื่องแรก ผ่านการดูแลของ โต้ง บรรจง ผู้กำกับระดับพันล้าน ที่มีผลงานการันตีแน่นเครดิต'เธอกับฉันกับฉัน' พาผู้ชมย้อนกลับไปในยุคสมัย Y2K (ซึ่งอยู่ดีๆก็กลับมาเป็นเทรนด์ ณ เวลานี้) ในปี 1999 ช่วงเวลาที่คนทั้งโลกกำลังหวาดวิตกว่า การก้าวเข้าสู่ยุค 2000 จะเกิดปัญหาด้านคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดภัยพิบัติมากมาย ซึ่งตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุส ว่าโลกอาจถึงจุดสิ้นสุด โดยสองตัวละครหลักของเรื่อง คือ พี่น้องฝาแฝด ยู และ มี (รับบทโดย ใบปอ ธิติยา จิระพรศิลป์ ซึ่งแสดงคนเดียวเป็นสองบทบาทเลย) ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน แชร์หลายๆอย่างด้วยกัน และเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันมาตลอดชีวิต จนกระทั่งพวกเธอได้พบกับ หมาก (รับบทโดย อันโทนี่ บุยเซอเรท์) หนุ่มหล่อลูกครึ่งเพื่อนร่วมโรงเรียน ที่เจอกันตั้งแต่ตอนสอบซ่อม ไปจนถึงช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ที่นครพนม ไม่นานเรื่องราวความรักก็เริ่มเข้ามาในหัวใจของคนทั้งสาม นี่คือรักแรกของสองแฝด กับ หนึ่งหนุ่ม ที่ความสัมพันธ์ค่อยๆ ยุ่งเหยิงและนำไปสู่ การตัดสินใจที่พวกเธอไม่เคยเผชิญมาก่อน'เธอกับฉันกับฉัน' คือหนังที่ค่อยๆพาผู้ชมเข้าสู่โลกของฝาแฝด ที่ทั้งมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป หลายอย่างอาจจะเป็นมุมอินไซด์ที่คนทั่วไปอาจไม่ได้รู้มาก่อน ทำให้เกิิดพล็อตที่ทั้งสนุกสนานและยุ่งเหยิงได้มากมาย จากการที่เธอทั้งสองหน้าเหมือนกัน แทบจะเป็นคนๆเดียวกัน และในขณะเดียวกัน มันก็ถูกเล่าผ่านโครงเรื่องในลักษณะ รักแรก ผสมกับ รักสามเส้า ทำให้นอกจากมุมดีต่อใจแล้ว ผู้ชมสามารถคาดเดาได้เลยว่า จะได้เจอมุมบีบหัวใจอย่างแน่นอน ทำให้หนังนอกจากจะน่าติดตามในปมเรื่องแฝดแล้ว ยังน่าจะทำให้ผู้ชมอินในประเด็นรักแรก หรือรักในวัยเรียนได้อีกด้วยสิ่งที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับ 'เธอกับฉันกับฉัน' ยิ่งขึ้นไปอีก คือการที่หนังเลือกเล่าในบรรยากาศปลายยุค 90s ซึ่งเป็นอีกหนึ่งยุคที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวเพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน กำลังเข้าสู่ยุคออนไลน์ หนังสนุกกับการหยิบ Pop Culture ในยุคนั้นมาเล่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ฉายในปีนั้น เพลงดังที่ถูกปล่อยในช่วงนั้น ร้านอาหารที่เป็นที่นิยมของคนยุคนั้น ไปจนถึงไอเท็มบางอย่างที่บอกยุคสมัยได้อย่างดี สำหรับผู้ชมที่สมัยหนัง แฟนฉัน เข้าฉายแล้วอาจจะเกิดไม่ทัน ไม่ได้อินกับเรื่องแวดล้อมในหนัง อาจจะมาอินกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก สำหรับใครที่อายุราว 30-40 ปี น่าจะเป็นช่วงที่กำลังเติบโต กำลังเสพสื่อ กำลังใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลานั้น หนังทำให้ผู้ชมระลึกถึงความทรงจำในอดีตอันหอมหวานได้อย่างดีอีกด้วยแต่สิ่งที่น่าชื่นชมมากที่สุด ต้องยกให้กับงานสร้าง ที่อาจกล่าวได้ว่า นี่คืองานที่ไม่ง่ายเลยทั้งสำหรับทีมงานและนักแสดง เพราะเมื่อ 'เธอกับฉันกับฉัน' ใช้นักแสดงเพียงคนเดียว เล่นเป็นฝาแฝด ดังนั้นเทคนิคการถ่ายทำหลายๆอย่างจึงถูกหยิบนำมาใช้ ส่วนที่ง่ายหน่อยน่าจะเป็นซีนที่ถ่ายผ่านหลัก ทำให้เห็นตัวละครเพียงคนเดียว แต่สำหรับฉากที่ต้องเห็นทั้งสอง ทั้งถ่ายทำและตัดต่อออกมาได้เนี้ยบมากๆ จนแทบจะไม่มีจุดไหนรู้สึกสะดุดเลย และที่สำคัญต้องชื่นชมน้องใบปออย่างยิ่ง ที่สร้างคาแรคเตอร์ ยูกับมี ออกมาแตกต่างได้อย่างชัดเจน ในช่วงแรกอาจจะต้องตั้งใจดูเพื่อจับความแตกต่างพอสมควร แต่เมื่อหนังดำเนินไป ไม่ใช่แค่ไฝที่ต่าง แต่วิธีการพูด ลักษณะของตัวละครก็สามารถแยกได้ชัด ซึ่งเป็นงานที่ไม่ง่ายเลยสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ ซึ่งต้องปรบมือชื่นชมในจุดนี้โดยรวม 'เธอกับฉันกับฉัน' ถือเป็นหนังไทยที่น่าสนใจและไม่ควรพลาดอีกเรื่อง ด้วยคุณภาพที่กล่าวได้ว่าตามมาตรฐานค่ายจีดีเอช ทั้งในแง่บท งานสร้าง และองค์ประกอบต่างๆ ใครที่เคยคิดถึงหนังอารมณ์ดี หนังแนว Coming-of-Age ที่ทางค่ายเองก็ไม่ได้สร้างหนังแนวนี้มาพักใหญ่ นี่คือการกลับมาที่น่าพอใจ และเชื่อว่า หนังจะสามารถเข้าไปอยู่ในใจของผู้ชมหลายต่อหลายคนได้อย่างแน่นอนชมตัวอย่าง 'เธอกับฉันกับฉัน' วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

[REVIEW] ‘Knock At The Cabin’ เคาะกระท่อมระทึก ตึงเครียดหนักตั้งแต่ต้นจนจบ| GOSSIP GUN

02 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘Knock At The Cabin’ เคาะกระท่อมระทึก ตึงเครียดหนักตั้งแต่ต้นจนจบ| GOSSIP GUN

หลังจากแจ้งเกิดจาก The Sixth Sense ชื่อของผู้กำกับ เอ็ม.ไนท์ ชยามาลาน ก็ไม่เคยหายไปจากฮอลลีวูดอีกเลย เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของหนังระทึกขวัญที่มาพร้อมกับพล็อตหักมุม หรือหลายครั้งที่เล่าถึงเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ชื่อของ เอ็ม.ไนท์ นั้น ไม่ได้การันตีว่าหนังจะออกมาดี ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา หนังของเอ็ม.ไนท์ ถือว่าผาดโผนในแง่คำวิจารณ์พอสมควร มีตั้งแต่หนังที่ดีมากๆ ไปจนถึงหนังที่ห่วยมากๆ ทำให้หลายครั้งที่แฟนหนังเข้าไปชม และนอกจากจะต้องลุ้นกับพล็อตแล้ว ยังต้องลุ้นไปถึงคุณภาพหนังอีกด้วย แต่ดูเหมือนผลงานล่าสุดอย่าง 'Knock At The Cabin' น่าจะจัดเข้ากลุ่มหนัง เอ็ม.ไนท์ ที่คว้าคะแนนบวกไปเสียส่วนใหญ่ โดยล่าสุดคะแนนจาก Rotten Tomatoes สามารถแตะคะแนนบวกได้ถึง 71% แม้จะไม่สูงเท่า The Sixth Sense แต่ก็อยู่ในระดับเดียวกับUnbreakable, Signs และ Split'Knock At The Cabin' มาพร้อมกับเรื่องราวที่เกิิดขึ้นในเพียงสถานที่เดียว แต่คอนเซปท์สุดล้ำ เล่าถึง เอริคและแอนดรูว์ คู่รักชายชาย ที่พาลูกสาวบุญธรรมของพวกเขาไปพักผ่อนในบ้านพักตากอากาศ ซึ่งเป็นกระท่อมกลางป่าที่ห่างไกลจากผู้คน แต่จู่ๆ เสียงเคาะที่ประตูของกระท่อมพวกเขาก็ดังขึ้น พร้อมกับคนแปลกหน้าที่ปรากฏตัวทั้งหมด 4 คน ซึ่งต่างที่มาที่ไป แต่พวกเขามีจุดประสงค์เดียว คือ ต้องการหยุดวันสิ้นโลก ! โดยผู้ที่จะหยุดหายนะนี้ได้ มีเพียง 3 คนในกระท่อมเท่านั้น โดยเพียงเขาต้องตัดสินใจ เสียสละ 1 ชีวิต โดยพวกเขาต้องเลือกกันเอง และฆ่ากันเอง มิฉะนั้น หายนะวันสิ้นโลกจะมาถึง และทุกชีวิตบนโลกจะถึงจุดอวสานแน่นอนว่า 'Knock At The Cabin' จัดเข้ากลุ่มหนัง เอ็ม.ไนท์ ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ข้อดีมากๆของมันคือการที่หนังสามารถรักษาระดับความตึงเครียดไว้ได้ดีตลอดทั้งเรื่อง เพียงไม่กี่นาทีหลังหนังเริ่มฉาย ก็เข้าสู่พล็อตหลักแบบทันที หนังไม่ปล่อยให้มีเวลาน่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย และตั้งแต่วินาทีนั้น หนังสามารถบิวด์ระดับความระทึกได้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเหตุการณ์เริ่มไต่ระดับความบีบคั้น โดยความเจ๋งคือ หนังสามารถตรึงผู้ชมได้อยู่หมัด แม้ว่าจะเล่าเรื่องราวเพียงเหตุการณ์เดียว และในสถานที่เดียว เอ็ม.ไนท์ ยังคงเก่งกาจในการตรึงคนดูไว้กับเหตุการณ์สุดเหวอบนหน้าจอได้เสมอไฮไลต์สำคัญ คือ ทีมนักแสดงที่อาจกล่าวได้ว่า เล่นได้ดีแบบยกทีม นี่คือหนังที่ต้องอาศัยฝีมือการแสดงอยู่ไม่น้อย เพราะแต่ละตัวละครถ้าไม่อยู่ในภาวะสับสน ก็จะต้องมีความซับซ้อนทางอารมณ์ ตัวละครหลักที่สำคัญของหนังคือบท ลีโอนาร์ด ชายปริศนาร่างยักษ์ ซึ่งรับบทโดย เดฟ บอทิสต้า จาก Guardians of the Galaxy หนังเปิดโอกาสให้เขาแสดงเป็นตัวละครที่มีความลึกทางอารมณ์ และเดฟก็ทำได้ดีมากๆเลยทีเดียว โดยเฉพาะฉากที่ผู้กำกับเลือกที่จะโคลสอัพหน้าของเขา แม้ตัวละครนี้จะแสดงออกอย่างนุ่มนวล แต่มันกลับน่าขนลุก และน่าหดหู่อยู่ไม่น้อยสิ่งที่น่าเสียดายเบาๆสำหรับ 'Knock At The Cabin' อาจจะเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของหนัง ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อเป็นหนังของ เอ็ม.ไนท์ ผู้ชมจะต้องคาดหวังไปก่อนแล้วว่า จะเจอกับบทสรุปที่ไม่คาดคิด หรือตอนจบที่ไม่ธรรมดา แต่ปรากฏว่าหนังไม่สามารถพาผู้ชมไปได้ถึงระดับนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 'Knock At The Cabin' ถือเป็นหนังที่ High Concept มากๆ ปูพล็อตมาค่อนข้างแรง แต่กลับแลนดิ้งตอนท้ายอย่างเบาบาง จนแอบเสียดายนิดๆ เมื่อเทียบกับงานชิ้นก่อนอย่าง Old แม้จะแลนดิ้งพลาด แต่ก็ยังปล่อยของหนัก เมื่อเทียบกับผลงานล่าสุดนี้โดยรวม 'Knock At The Cabin' คือหนังของ เอ็ม.ไนท์ ชยามาลาน ในระดับที่ค่อนข้างน่าพอใจเลยทีเดียว หนังมีความน่าสนใจทั้งในแง่พล็อต การสร้างสถานการณ์สุดตึงเครียด ไปจนถึงหลายจุดที่ไม่คาดคิด มาพร้อมกับการแสดงที่ยกระดับฝีมือของหลายต่อหลายคน ใครที่เป็นแฟนหนังของผู้กำกับคนนี้ ก็ไม่น่าพลาดเช่นเดิมชมตัวอย่าง Knock At The Cabin เสียงเคาะที่กระท่อมภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘Plane’ หนังแอ็กชันสายเดือด เครื่องบินดิ่งบนเกาะนรก| GOSSIP GUN

20 ม.ค. 2023

[REVIEW] ‘Plane’ หนังแอ็กชันสายเดือด เครื่องบินดิ่งบนเกาะนรก| GOSSIP GUN

เจอราร์ด บัตเลอร์ ถือเป็นพระเอกสายบู๊ที่ยังคงแอคทีฟต่อเนื่อง ไม่มีช่วงที่ไม่มีหนังเขาเข้าฉายเลย แต่ในแง่กระแสตอบรับ ก็มีทั้งหนังเจ๋งและหนังเจ๊งสลับกันไป แต่กับผลงานล่าสุดที่ชื่อสั้นๆอย่าง Plane (ชื่อไทย ดิ่งน่านฟ้า เดือดเกาะนรก) ต้องจัดเข้าสู่กลุ่มแรก เพราะหนังสามารถกวาดคะแนนผู้ชม Audience Score ไปได้สูงถึง 94% จากเว็บไซด์ Rotten Tomatoes ในขณะที่คะแนนนักวิจารณ์ก็ปาเข้าไป 75% ถือว่าเยอะมากจริงๆ สำหรับพระเอกสายบู๊คนนี้ เพราะโดยปกติหนังของเขาจะถูกจัดเข้าสู่กลุ่มมะเขือเน่ามากกว่า ทำให้ Plane กลายเป็นหนังแอ็กชันสุดเซอร์ไพรส น่าจะตามองเรื่องแรกของปี 2023แน่นอนว่า Plane ต้องเล่าถึงเครื่องบิน โดยเจอราร์ดรับบทเป็นกัปตันโบรดี้ ที่กำลังขับเครื่องบินไฟลต์ข้ามปีใหม่ จากสิงคโปร์มุ่งหน้าสู่โตเกียว ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติราบรื่นดี จนกระทั่งวิกฤตแรกเขาพบว่า เที่ยวบินนี้จะมีนักโทษคดีฆาตกรรมพร้อมผู้คุมมาร่วมเดินทางไปด้วย วิกฤตที่สอง ในขณะที่เขากำลังบินผ่านเหนือทะเลจีนใต้ ก็เกิดสภาพอาการแปรปรวนขึ้นทำให้เขาต้องนำเครื่องลงในพื้นที่ที่ใกล้ที่สุด และวิกฤตสุดท้าย คือการที่เขาได้ค้นพบว่า เกาะที่พวกเขาแลนดิ้งนั้น อยู่ในฟิลิปปินส์ แต่ถูกควบคุมโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนติดอาวุธ ที่แม้แต่รัฐบาลก็ไม่อยากยุ่ง เขาและเหล่าผู้โดยสาร จึงเสี่ยงที่จะถูกจับเป็นตัวประกัน กัปตันเจอราร์ด จึงต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องคนของเขา ซึ่งนั่นรวมถึงการที่จะต้องร่วมมือกับนักโทษบนเครื่อง ที่เป็นอดีตทหารฝีมือฉกาจภาพรวมนั้น Plane มีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับหนังแอ็กชันในแบบที่ควรจะเป็น พล็อตที่สามารถไต่ระดับความตื่นเต้น รักษาบรรยากาศสุดระทึกได้ตลอดเวลา ฉากแอ็กชันที่ดุเดือดสมจริง ตัวร้ายที่น่าเกรงขาม เริ่มจากฉากใหญ่ฉากแรกคือฉากเครื่องบินที่ต้องเผชิญมรสุมและต้องหาทาลงจอดฉุกเฉินให้ได้ หนังสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริง จนใครที่กลัวการขึ้นเครื่องบิน อาจจะหลอนกับฉากนี้ก็ได้ ต่อด้วยฉากแอ็กชันต่างๆบนเกาะที่เข้มข้นถึงใจ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว มีฉากที่พระเอก เจอราร์ด บัตเลอร์ สู้กับตัวร้ายแบบ Long Take ซึ่งเจ๋งมากๆ ฉากการใช้อาวุธปะทะกันที่โหดแบบไม่เกรงใจใครนอกจากนี้ Plane ยังมีองค์ประกอบอื่นๆที่น่าสนใจ ทำให้หนังสนุกแบบครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ขันที่ใส่เข้ามา มาได้ถูกจังหวะถูกที่ และสามารถเรียกเสียงหัวเราะได้บ่อยมากๆ การออกแบบตัวละครของ เจอราร์ด ให้ไม่ได้เก่งกาจเหนือมนุษย์มากนัก ทำให้หนังยิ่งสมจริง ดูพระเอกสูสี หรืออาจจะอ่อนด้อยกว่าบรรดาตัวร้ายด้วยซ้ำ ยิ่งทำให้ผู้ชมอินกับหนังและเอาใจช่วยตัวละครหลักมากขึ้น รวมถึงการที่หนังเรื่องนี้ แทบจะไม่มีตัวละครที่ชวนขัดใจ หรือบทที่งี่เง่าเลย ยิ่งทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกขัดอะไรกับหนัง สามารถเอ็นจอยไปได้ตลอดจนจบในแบบที่ไม่มีอะไรให้หงุดหงิด (ซึ่งหลายครั้งที่หนังแนวนี้ หรือหนังผี จะมีอะไรให้หงุดหงิดเสมอ)สรุปแล้ว Plane ถือเป็นหนังแอ็กชันฟอร์มกลางๆที่ทำถึง และสนุกแบบครบถ้วนมากๆ ถ้าชอบหนังแอ็กชันในสไตล์แบบยุค80s-90s น่าจะชอบเรื่องนี้ มันมีความโหดเหี้ยมในฉากแอ็กชันแบบเดียวกับ Rambo มันมีอารมณ์บางอย่างที่คล้ายกับหนังอย่าง Con Air และอีกหลายๆเรื่อง ถือเป็น 2 ชั่วโมงที่บันเทิงมากๆ และน่าดูในโรงภาพยนตร์จริงๆPlane เปิดรอบพิเศษหลัง 1 ทุ่มตั้งแต่วันนี้ ฉายจริง 26 มกราคมทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

album

0
0.8
1