[REVIEW EXCLUSIVE] : จอร์จ คลูนีย์ x จูเลีย โรเบิร์ต นำทีม "Ticket To Paradise” เผยเบื้องลึกก่อนตีตั๋วรักสู่หนังรอมคอมแห่งปีที่ไม่ควรพลาด ! | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW EXCLUSIVE] : จอร์จ คลูนีย์ x จูเลีย โรเบิร์ต นำทีม "Ticket To Paradise” เผยเบื้องลึกก่อนตีตั๋วรักสู่หนังรอมคอมแห่งปีที่ไม่ควรพลาด ! | GOSSIP GUN

05 ต.ค. 2022

นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้ดูหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ยิ้มไม่หุบตลอดทั้งเรื่อง ยังจำเสียงหัวเราะตอนที่ดู Four Weddings and a Funeral ได้หรือไม่ ยังจำความสุขตอนที่ดู Notting Hill ได้หรือเปล่า และยังจำความอิ่มเอมหัวใจพองโตตอนที่ดู Love Actually กันได้ใช่ไหม ? ดูเหมือนว่าหนังรอมคอมจะห่างหายจากโรงภาพยนตร์ไปพักใหญ่หลายต่อหลายปีที่ผ่านมา และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ยูนิเวอร์แซล มอบความสุขที่ห่างหายไปให้กับผู้ชมทั่วโลกอีกครั้งกับ “Ticket To Paradise” (ตั๋วรักสู่พาราไดซ์) นี่ไม่ใช่แค่การกลับมาของหนังรักเบาสมองแบบที่พวกเราคุ้นเคยและโหยหาเท่านั้น แต่ยังเป็นการกลับมาเจอกันอีกครั้งบนหน้าจอ ของพระเอกเสน่ห์เหลือล้นแห่งยุคอย่าง "จอร์จ คลูนีย์" และราชินีแห่งหนังรักอย่าง "จูเลีย โรเบิร์ต" ซึ่งพิสูจน์กันมาแล้วว่า เคมีของทั้งคู่ช่างเข้าขากันดีเหลือเกิน

ก่อนที่จะได้ชม Ticket To Paradise กันในโรงภาพยนตร์ เราขอพาทุกคนไปพูดคุยกับ ซูเปอร์สตาร์แห่งยุค อย่าง จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต ที่นำทีมนักแสดงและผู้กำกับ จากหนังโรแมนติกเบาสมองแห่งปี มารวมตัวกันที่รอบปฐมทัศน์ในกรุงลอนดอน ซึ่งในโอกาสนี้พวกเขาทั้งหมด ได้เข้าร่วมงาน Press Conference พร้อมกับสื่อมวลชนจากทั่วโลกผ่านทางออนไลน์ และในโอกาสนี้ ทาง EFM94 และเพจ Hollywood GossipGun ก็ได้รับโอกาสพิเศษในการเข้าร่วมด้วย ทำไมเราทุกคนถึงไม่ควรพลาด Ticket To Paradise หนังเรื่องนี้จะมอบความสุขให้ผู้ชมได้ขนาดไหน เราขอพาทุกท่านไปหาคำตอบพร้อมๆกัน

“หนังเรื่องนี้ถูกเขียนบทขึ้นมาเพื่อจอร์จ และจูเลียโดยเฉพาะ” - โอล ปาร์กเกอร์ ผู้กำกับ Ticket To Paradise เล่าถึงไอเดียแรกเริ่มของหนัง เขาเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยมี จอร์จ คลูนีย์ และ จูเลีย โรเบิร์ต อยู่ในหัวตั้งแต่วันแรก และโปรเจกต์นี้คงกลายเป็นอากาศธาตุถ้านักแสดงระดับโลกทั้งสองคนปฏิเสธที่จะรับบทนำ แต่ โอลและแฟนหนังโรแมนติกคอเมดี้ทั่วโลกโชคดี เพราะทั้งสองต่างตอบรับ โอลเล่าต่อว่า - “ผมเขียนบทเพื่อจอร์จ และจูเลียโดยเฉพาะ ถ้าพวกเขาไม่รับเล่น พวกเราคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ สองบทบาทนี้สำหรับพวกคุณเท่านั้น (โอลหันไปหา จอร์จและจูเลีย) ผมเขียนบทเพื่อพวกคุณ ติดต่อไปยังพวกคุณ และภาวนาให้พวกคุณรับแสดงในหนังเรื่องนี้”

ย้อนกลับไป จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต พบกันครั้งแรกในกองถ่าย Ocean's Eleven เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว หลังจากนั้นทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันในทันที จอร์จเล่าให้ฟังว่า เขานั่งอยู่ที่พื้นโรงแรมและเล่นมุกกันเกือบ 5 ชั่วโมง นั่นคือจุดเริ่มต้นความสนิทสนมของทั้งสอง - “สำหรับพวกเรามันง่ายเสมอ ตอนที่ผมได้บทภาพยนตร์ Ticket To Paradise จำได้ว่าโอลส่งให้ทั้งผมและจูเลียพร้อมๆกัน ผมโทรหาจูเลียถามว่า คุณอ่านบทหนังหรือยัง เธอกำลังอ่านอยู่เลย ผมบอกไปว่าผมจะเล่นถ้าคุณเล่น จูเลียก็พูดแบบเดียวกัน โชคดีที่พวกเราใจตรงกัน” - จอร์จเล่าต่อว่า มันสนุกที่ได้ทำงานกับเพื่อน ที่ได้ทำงานกับจูเลีย หลังจากการแสดงหนังด้วยกันครั้งแรก ทั้งสองได้ร่วมงานกันอีกครั้งในภาคต่อ Ocean's Twelve และในหนังระทึกขวัญMoney Monster แต่ใครจะเชื่อว่าทั้งสองคน ยังไม่เคยเล่นหนังโรแมนติกคอเมดี้ด้วยกันมาก่อน

 

ใน Ticket To Paradise จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต รับบทเป็น เดวิด และจอร์เจีย อดีตสามีภรรยาที่กลายความสัมพันธ์จากคู่รัก ไปเป็นคู่แค้น หลังหย่าร้างทั้งคู่แทบไม่เคยพูดจาดีๆ แทบไม่เคยมองหน้ากัน แม้แต่อยู่ในห้องเดียวกันยังเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่แล้วภารกิจที่ทำให้ทั้งสองต้องจับมือกันก็เกิดขึ้น เมื่อ ลิลลี่ ลูกสาวที่เพิ่งเรียนจบของพวกเขา ไปพบรักหนุ่มอินโดนีเซีย หลังเดินทางไปพักผ่อนที่บาหลี และทั้งสองตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน ทันทีที่ เดวิดและจอร์เจีย ทราบข่าว ทั้งคู่จึงรีบซื้อตั๋วบินสู่เกาะบาหลี แต่ไม่ใช่เพื่อแสดงความยินดีกับลูก เป้าหมายของพวกเขา คือการล่มงานวิวาห์ครั้งนี้ให้ได้ เพื่อให้ ลิลลี่ ไม่ทำผิดพลาดในความรัก แบบที่ทั้งคู่เคยเผชิญ และพาเหรดแห่งความอลหม่านก็ได้เริ่มต้นขึ้น ณ ตรงนี้

“แค่ได้มีโอกาสต่อปากต่อคำกับจอร์จ ฉันก็พร้อมโดดเข้าร่วมในหนังแล้ว” - จูเลีย โรเบิร์ต เล่าถึงเหตุผลที่เธอตัดสินใจตอบตกลง กลับมาเล่นหนังรอมคอมทันทีที่อ่านบทจบ หลังจากห่างหายไปนานกว่าทศวรรษ เพื่อไปเล่นหนังแนวอื่นๆ เธอเล่าว่าแค่การที่จะได้เห็น จอร์จ คลูนีย์ ตกหลุมรักเธอแบบหัวปักหัวปำมันก็น่าสนุกเต็มทีแล้ว จูเลียเผยถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครว่า - “แม้ในหนังจอร์จ จะตกหลุมรักฉันอย่างหนัก แต่ฉันไม่รักเขาแล้ว และเขาพยายามใช้โอกาสนี้ที่ลูกสาวของพวกเราจะแต่งงาน เพื่อหาโอกาสกลับมาคืนดีกับเธอ..” - ไม่ทันที่ จูเลีย จะพูดจบ จอร์จก็พยายามพูดแทรกเข้ามาทันที แทบจะไม่ต่างจากบทอดีตผัวเมียคู่นี้ในจอเลย นี่คือการพิสูจน์ให้เห็นว่า นอกจอพวกเขาทั้งสนิทและสนุกกันเพียงใด ในจอก็เป็นเช่นกัน และก่อนที่จูเลียจะพูดจบ จอร์จก็ป้อนคำหวานว่า - “สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผม คือโอกาสที่จะได้เล่นหนังกับราชินีแห่งซิตคอม ราชินีแห่งหนังโรแมนติกเบาสมอง” - นั่นสิ จะพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร ?

ขนาด จอร์จ และจูเลีย ยังไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้ร่วมงานกันเอง แล้วทีมนักแสดงคนอื่นๆ จะพลาดได้ไง สาวน้อยที่โชคดีที่สุดคือ เคทลิน เดเวอร์ นักแสดงสาวที่แจ้งเกิดจาก Booksmart และได้ชิงรางวัล Golden Globes จากมินิซีรีส์Unbelievable เล่าถึงโอกาสแห่งชีวิต ที่เธอได้รับเลือกให้แสดงบท ลิลลี่ ลูกสาวของ จอร์จและจูเลียในหนัง เธอเล่าว่าเหตุผลสำคัญ ที่ตัดสินใจเล่นบทนี้ แน่นอนว่ามันคือการได้เล่นเป็นลูกของ จอร์จและจูเลีย นอกจากนี้เธอเล่าต่อว่า - “ฉันไม่เคยเล่นหนังรอมคอมมาก่อน เลยอยากลองบทที่แตกต่าง และแน่นอนว่าฉันจะได้ทำงานกับเพื่อนสนิท ฉันมีความสุขมากๆระหว่างถ่ายทำหนังเรื่องนี้ มันเยี่ยมมากเลย” - เพื่อนสนิทที่ว่านี้ เคทลินหมายถึง บิลลี่ ลอร์ด นักแสดงรุ่นพี่ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วในBooksmart ซึ่งทั้งสองกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งใน Ticket To Paradise แถมยังแสดงเป็นเพื่อนสนิทกันอีกด้วย เคทลินบอกว่า การได้ร่วมงานกับเพื่อนสนิท ทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้นมาก และแค่โอกาสที่ได้รู้จัก จอร์จและจูเลีย มันก็วิเศษมากๆแล้ว

นอกจาก จอร์จ-จูเลีย และเหล่าบรรดาสาวๆบนเกาะสวรรค์แห่งนี้แล้ว สองนักแสดงหนุ่มที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ เพิ่มความสนุกให้กับ Ticket To Paradise คนแรกคือ แม็กซิม บูเทียร์ นักแสดงและนักดนตรีหนุ่มสุดหล่ชาวอินโดนีเซีย ที่เข้ามารับบท เจด หนุ่มท้องถิ่นที่ ลิลลี่ ลูกสาวของ จอร์จและจูเลีย ตกหลุมรัก แม็กซิม เล่าถึงตัวละครของเขาว่า - “เขามาจากบาหลี เขาเพาะสาหร่ายริมทะเลเป็นอาชีพ เขาเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบๆตัวเขา เขาเหมือนจะเป็นเจ้าชายรูปงามเลยละ” (เพื่อนๆนักแสดงต่างแซวว่า เขาเป็นเจ้าชายแบบออร์แกนิคเลยละ เพราะปลูกสาหร่าย) – เมื่อถูกถามว่า รู้สึกอย่างไรบ้าง ที่ได้แสดงเป็นลูกเขยของ จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต แมกซีนเล่าทันทีว่า ตอนที่เขารับโทรศัพท์ แล้วปลายสายบอกว่าคุณได้เล่นบทนี้นะ เขานี่ตัวแทบลอย การที่ได้ร่วมงานกับจอร์จ มีหลายฉากที่ต้องเล่นด้วยกัน แม็กซิมรู้สึกขอบคุณมากๆที่ได้รับโอกาสนั้น มันเป็นประสบการณ์ที่บ้ามากๆเลย

ปัญหาที่ จอร์จ คลูนีย์ ต้องเผชิญบนเกาะสวรรค์แห่งนี้ ไม่ใช่แค่การหยุดลูกสาวจากงานวิวาห์ที่เขาไม่เห็นด้วยเท่านั้น แต่ยังมีการที่เขาต้องเห็นอดีตคนรักไปมีแฟนใหม่ ที่ทั้งหนุ่ม ทั้งแซ่บยิ่งกว่า เมื่อตัวละครจอร์เจีย กำลังอินเลิฟกับ พอล นักบินหนุ่มซึ่งรับบทโดย ลูคัส บราโว่ หนุ่มหล่อจาก Emily In Paris ซึ่งเมื่อพอลรู้ว่า จอร์เจีย กำลังจะบินไปหาลูกที่บาหลี เขาเลยตัดสินใจแลกเที่ยวบิน เพื่อมาบินในไฟลต์นี้ และเซอร์ไพรสแฟนสาวรุ่นใหญ่ด้วย ลูคัสเล่าถึงตัวละครเขาว่า - “ความน่าสนใจของตัวละครพอล คือเขาแทบจะไม่เคยเจอปัญหาปวดใจมาก่อน เป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์มากๆ เขาเหมือนเด็กอายุ 14 ปี ติดอยู่ในร่างชายวัย 30 ซึ่งผู้กำกับ (โอล ปาร์กเกอร์) เปิดโอกาสให้ผมได้อิมโพรไวซ์ ได้ลองแสดงหลายๆแบบ แล้วจอร์จกับจูเลียก็เล่นตาม มันน่าสนใจมาก”

 

แม้จะได้เล่นหนังเป็นคนรักของ จูเลีย โรเบิร์ต แต่ลูคัสเผยว่า ตอนแรกที่เล่นบทนี้ มันไม่ได้สบายเลย และเขาได้เล่าถึงฉากที่ประหม่าอย่างมาก - “อย่างฉากจูบบนเครื่องบิน ผมแทบไม่เชื่อตัวเองว่าจะได้จูบกับจูเลีย พวกเราขำกันไม่หยุด ผู้กำกับก็เลยบอกว่า จูบใหม่สิ..” ทันใดนั้น ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ จอร์จ คลูนีย์ ก็แซวขึ้นมาทันทีว่า จูเลียนั่นแหละที่อยากจูบอีก ด้านจูเลียแซวตัวเองต่อไปอีกว่า มันอยู่ในสัญญาของเธอเลยนะ นี่คือตัวอย่างความสนุกที่ล้นออกมาจากในจอสู่นอกจอ พวกเขาสนิทกันจริงๆในชีวิตจริง ทั้งจอร์จและจูเลียต่างเอ็นดูลูคัสมาก เขาบอกว่าทั้งสองพยายามเปิดทางให้เขาได้ซีนเสมอ - “มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดมาก หลังจากที่ผมได้ดูหนังเต็มๆเมื่อคืน ผมเริ่มตระหนักได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมไม่ได้บอกพ่อแม่ด้วย แต่พุ่งไปยังกองถ่ายเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วแค่พริบตา เมื่อวานผมเพิ่งมานั่งคิดจริงจังว่า เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย” - ยังไม่ทันจะพูดจบ จอร์จ คลูนีย์ ก็แซวขึ้นมาอีกแล้ว – “ลูคัสเพิ่งอายุ 5 ขวบเอง ตอนที่ Notting Hill ฉาย เขาตั้งตารอจะมาเจอคุณตั้งแต่ตอนนั้นแล้วละ” เชื่อแล้วว่าสนิทกันจริงๆ

 

ทีมนักแสดงทั้งหมด บินไปยังออสเตรเลีย เพื่อถ่ายทำ Ticket To Paradise แทนที่จะเป็นเกาะบาหลี เพราะตอนที่หนังเปิดกล้อง อินโดนีเซีย ยังคงมีมาตรการด้านโควิด-19 ที่ยังรัดกุมทำให้ถ่ายทำไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดทีมงานก็สามารถเก็บภาพบรรยากาศของบาหลีมาใช้จริงๆได้ในเวลาต่อมา นี่คือการถ่ายทำหนังที่เหล่านักแสดงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีวันไหนที่พวกเขาไม่มีความสุขเลย และทั้งหมดต้องขอบคุณทีมงานและผู้กำกับ โอล ปาร์กเกอร์ จูเลีย โรเบิร์ต เผยว่า - “โอล เขาทั้งตลก ทั้งมีความมั่นใจ กล้าหาญ เขารู้จักตัวตนนักแสดงแต่ละคน แล้วค่อยๆปรับให้เข้ากับหนัง” - ในขณะที่ จอร์จ กล่าวเสริมว่า พวกเขาต่างโชคดี โอลเขียนบทภาพยนตร์ที่งดงามออกมา แล้วก็ได้พวกเรามาแสดง เขาต้องหาวิธีในการคุมพวกเราให้อยู่ ตลอดเวลาการถ่ายทำมันสนุกมาก เขาทั้งสุภาพ และนิสัยดี พวกเราแทบจะไม่มีวันแย่ๆในกองถ่ายเลย ซึ่งมันหายากมาก

“ทั้งฉันและจอร์จต่างรู้สึกภาคภูมิใจเมื่อทำให้ผู้ชมหัวเราะได้ ฉันดีใจมากทุกครั้งที่ได้ทำอะไรบางอย่างแล้วได้ยินเสียงหัวเราะในกองถ่าย ทีมงานขำอยู่หลังมอนิเตอร์” - จูเลีย โรเบิร์ต กล่าวถึงการที่เธอและเพื่อนสนิทอย่าง จอร์จ ได้มอบความสุขให้กับทุกคนในกองถ่าย และความสุขเหล่านั้น กำลังจะส่งต่อไปยังผู้ชมทั่วโลก หลังจากที่พวกเราผ่านช่วงเวลาอันยากลำบาก ของการระบาดโควิด-19 นี่คือช่วงเวลาแห่งความสุขที่กำลังกลับคืนมา พวกเราห่างหายจากการหัวเราะดังๆพร้อมกันในโรงภาพยนตร์มานานแค่ไหนแล้ว พวกเราห่างหายจากการเสียน้ำตาในโรงภาพยนตร์มานานแค่ไหนกัน Ticket To Paradise คือตั๋วสู่ความอิ่มเอมที่พวกเราคุ้นเคย นี่คือโอกาสสำคัญที่จะได้ดูหนังโรแมนติกเบาสมอง แบบที่ทุกคนชื่นชอบอีกครั้ง ตั๋วรักสู่พาราไดซ์ 6 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

ภาพ : Universal Pictures
 

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “Top Gun Maverick” บทพิสูจน์ความเก๋าของแอ็กชันแบบตำนาน | GOSSIP GUN

24 พ.ค. 2022

[REVIEW] “Top Gun Maverick” บทพิสูจน์ความเก๋าของแอ็กชันแบบตำนาน | GOSSIP GUN

Top Gunคือหนังระดับตำนาน มันคือหนึ่งในภาพยนตร์ที่นิยามความเป็นยุค80sอย่างเด็ดชัด เป็นตัวแทนPop Cultureในยุคนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากหนังจะยกระดับให้"ทอม ครูซ"ขึ้นแท่นเป็นพระเอกหนังบล็อกบัสเตอร์แล้ว มันยังส่งอิทธิพลไปถึงทุกวงการแวดล้อม นอกจากจะเป็นแนวทางให้กับหนังแอ็กชันยุคใหม่ หลายฉากในหนังกลายเป็นภาพจำแบบIconicแฟชั่นการแต่งตัวของนักแสดงนำ รวมไปถึงแว่นตาRay Banกลายเป็นภาพแฟชั่นที่นำสมัย แม้แต่เพลงประกอบอย่างTake My Breath Awayก็ยังกลายเป็นงานเพลงที่โดดเด่นสุดเพลงหนึ่งในยุค80sดังนั้นเมื่อเวลากว่า30ปีผ่านไป"ทอม ครูซ"บอกว่า ถึงเวลาแล้วที่จะกลับไปจับโปรเจกต์Top Gunอีกครั้ง มันต้องมีไอเดียอะไรบางอย่างแน่นอนที่เขามั่นใจ เพราะการกลับไปแตะของระดับตำนานไม่ใช่ไอเดียที่ดีนักสำหรับฮอลลีวูด ในTop Gun : Maverickทอม ครูซ กลับไปสวมบทมาเวอริคอีกครั้ง เขาคือนักบินรบระดับตำนาน สร้างสถิติมากมาย คว้าเหรียญฯเกียรติยศมาเต็มบ่า แต่ไม่ยอมขยับตำแหน่งขึ้นไปไหน เพราะสิ่งที่เขารักคือการบินเท่านั้น จนกระทั่งได้รับการมอบหมายหน้าที่ใหม่ ให้กลับไปยัง ท็อปกันอีกครั้ง สถาบันสอนนักบินรบ ที่มีเพียงระดับแถวหน้าของกองทัพที่จะได้มาเรียนที่นี่ ด้วยภารกิจลับที่ต้องใช้ยอดฝีมือเท่านั้น มาเวอริคต้องสอบเทคนิคการบินสุดผาดโผนของเขาให้12รุ่นน้องระดับท็อปของประเทศ โดยจะมีเพียงครึ่งเดียวได้ออกปฏิบัติการจริง และภารกิจนี้เองทำให้เขาได้เจอกับ รูสเตอร์(รับบทโดย ไมล์ เทลเลอร์ จากWhiplash)ลูกชายของกูส เพื่อนสนิทเขาที่เสียชีวิตในภารกิจ ซึ่งเขาเคยสัญญาว่า จะดูแลชีวิตเด็กคนนี้ ไม่ยอมให้ตกอยู่ในอันตราย แต่เมื่อรูสเตอร์ กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจเสี่ยงตายนี้ มาเวอริคจึงต้องทำทุกทางเพื่อไม่ให้ ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง! ตลอดระยะ1เดือนที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศค่อยๆเริ่มถาโถมคำวิจารณ์ในแง่บวกของTop Gun : Maverickออกมา จนกระแสความไฮป์ของหนังเริ่มต้นขึ้น และมาร้อนแรงสุดเมื่อหนังฉายรอบพิเศษในเทศกาลหนังเมืองคานส์ จนกระทั่ง ทอม ครูซ และทีมงานได้รับการยืนปรบมือชื่นชมนานถึง5นาที ซึ่งไม่ใช่บ่อยครั้งนัก ที่หนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์ จะถูกใจผู้ชมในเทศกาลหนังแบบนี้ ซึ่งTop Gun : Maverickก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม ตามกระแสที่กล่าวมาจริงๆ ไม่แปลกใจที่สื่อหลายสำนักจะยกให้มันคือ"หนังบล็อกบัสเตอร์แห่งปี"ตัวหนังเองเหมือนเป็นข้อพิสูจน์ว่า โรงภาพยนตร์ยังคงสำคัญ การดูหนังในโรงคืออรรถรสที่ยอดเยี่ยมที่สุด ด้วยองค์ประกอบต่างๆที่จะกล่าวถึงต่อไป.. หากจะกล่าวกันตรงๆTop Gun : Maverickก็ยังคงเป็นหนังแอ็กชันแบบOld-Schoolคือมันไม่ใช่หนังยุคใหม่ แบบหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เต็มไปด้วย สเปเชียลเอฟเฟกต์มากมาย แต่มันคือหนังแอ็กชันแบบที่เน้นสตันท์ การที่นักแสดงหรือนักแสดงแทนเล่นฉากแอ็กชันเสี่ยงตายด้วยตัวเองจริงๆ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ ทอม ครูซ เชื่อมั่นมาโดยตลอด และพิสูจน์มาแล้วในMission: Impossibleหลายต่อหลายภาค ในTop Gun : Maverickทอมและนักแสดงสมทบต่างต้องขับเครื่องบินรบด้วยตัวเอง(และถ่ายทำด้วยตัวเอง โดยใช้กล้องติดไว้ในห้องนักบิน)ดังนั้น ฉากต่างๆในห้องนักบินจึงออกมาสมจริง มากถึงมากที่สุด สิ่งต่างๆที่ปรากฏในหนังล้วนเป็นแอ็กชันที่อาจจะไม่หวือหวาเท่าหนังที่เน้นVFXแต่มันดูเรียล และดึงอารมณ์ได้ดีมากๆ ข้อดีมากๆของTop Gun : Maverickที่ทำให้องค์ประกอบต่างๆลงตัว และดึงผู้ชมเข้าไปสู่หนังได้ตลอดคือPacingหรือจังหวะความเร็วในการเล่าเรื่องของหนัง หนังไม่ได้เร่งรีบอะไรมากมายนัก ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ยืดยาดจนน่าเบื่อ ทุกฉากใช้จังหวะตัดต่อดึงอารมณ์ได้อย่างพอดี และเมื่อฉากต่างๆในการปูเรื่อง ถูกปูมาอย่างพอเหมาะ จนผู้ชมค่อยๆซึมซับอารมณ์ของตัวละคร เริ่มอินกับปมระหว่างตัวละคร พอเมื่อไปถึงฉากไคลแม็กซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง30นาทีสุดท้าย เมื่อทุกอย่างมันขมวดเข้าด้วยกัน กลายเป็นความรู้สึกที่ลุ้น บีบหัวใจ มากกว่าหนังแอ็กชันทั่วไป ฉากบู๊ที่ตื่นเต้นมากๆอยู่แล้ว ยิ่งเร้าอารมณ์เข้าไปใหญ่ด้วยปมแวดล้อมที่ถูกค่อยๆผูกมากอย่างดี อาจกล่าวได้ว่าTop Gun : Maverickเป็นหนังแอ็กชันที่ประณีตในการเล่า และค่อยๆรีดอารมณ์จากผู้ชมได้อย่างดีมาก จนบางครั้งเราอดน้ำตาซึม หรือปรบมิือให้กับตัวละครอย่างไม่รู้ตัว! แม้ว่าTop Gunภาคแรกจะเป็นไอคอนสำคัญแห่งยุค80sแต่Top Gun : Maverickก็สามารถถีบตัวเองให้เป็นภาคต่อที่ยอดเยี่ยมได้ไม่แพ้กัน จนหลายเสียงเทียบเคียงกับThe Godfather IIในแง่ของการที่เป็นภาคต่อที่มีคุณภาพไม่แพ้ต้นฉบับ ในแง่มุมหนึ่ง ตัวภาคต่อนี้ก็ได้Tributeหนังภาคแรกในหลายๆแง่มุม ฉากแอ็กชันบางฉากที่ทำออกมาเพื่อหวนให้ระลึกถึงความเก๋าของความเก่า สดุดีตัวละครกูสที่จากไปในท้ายภาคแรก หรือแม้แต่การนำ"วัล คิลเมอร์"กลับมาในแบบที่เคารพความเป็นเขาในปัจจุบัน ทั้งหมดนี้ล้วนทำไปเพื่อสดุดีความเป็นIconของภาคแรกทั้งสิ้น และในขณะเดียวกันTop Gun : Maverickก็สร้างตำนานบทใหม่ขึ้นมา ด้วยการสร้างตัวละครกลุ่มใหม่ที่น่าจดจำ ด้วยการเป็นหนังแอ็กชันระดับมาตรฐานคุณภาพสูงในยุค2020sใครจะไปคิดว่าภาคต่อที่ทิ้งห่างจากภาคแรกนานถึง36ปี จะกลายมาเป็นหนังซัมเมอร์ระดับคุณภาพในยุคนี้ได้(และจัดเข้ากลุ่มเดียวกับMad Max : Fury Road, Blade Runner 2049รวมถึงTron : Legacyซึ่งกำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี้ เช่นเดียวกัน เข้ากรุ๊ปหนังภาคต่อจากยุค80sที่คุณภาพคับจอ) ท้ายที่สุดต้องขอบคุณพระเอก"ทอม ครูซ"ที่ดื้อแพ่งไม่ยอมให้ พาราเมาต์ปล่อยหนังเรื่องนี้ลงสตรีมมิ่ง อันที่จริงแล้วTop Gun : Maverickต้องฉายตั้งแต่ก่อนยุคโควิดด้วยซ้ำ แต่เพราะงานPost-Productionไม่เรียบร้อย จึงต้องดีเลย์นานนับปี พอเลื่อนมารอบแรกก็เจอโควิดเข้าไป ทำให้เลื่อนอีกหลายครั้ง รวมจากโปรแกรมแรกที่วางไว้ก็เกือบ3ปี จนในที่สุดTop Gun : Maverickก็ได้พบกับผู้ชมบนจอภาพยนตร์ ที่ๆเหมาะสมที่สุดในการดูหนังเรื่องนี้ และไม่เพียงแต่มันจะเหมาะกับการดูในโรงแล้วTop Gunยังเผยให้เห็นข้อดีของระบบพิเศษทั้งหลาย ทั้งIMAXจอยักษ์ที่เพิ่มดีกรีความตื่นตา,ระบบ4DXที่น่าจะทำให้ผู้ชมเหมือนอยู่บนเครื่องบินจริงๆ และล่าสุดกับScreen Xที่ว่ากันว่าเหมือนเราได้นั่งอยู่ในห้องนักบินกับตัวละครเลยทีเดียว!ใครสะดวกระบบไหนก็ลองพิสูจน์กันดู และไม่ต้องกลัวว่า ไม่เคยดูภาคแรกจะดูไม่รู้เรื่อง เพราะมันถูกออกแบบมาให้ดูแยกได้..และจะทำให้คุณอยากกลับไปหยิบTop Gunในปี1986กลับมาดูอย่างแน่นอน(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] ‘SMILE’ เมื่อรอยยิ้มฆ่าคนตาย หนังสยองสุดตึงเครียด | GOSSIP GUN

27 ก.ย. 2022

[REVIEW] ‘SMILE’ เมื่อรอยยิ้มฆ่าคนตาย หนังสยองสุดตึงเครียด | GOSSIP GUN

จุดเริ่มต้นของหนังสยองขวัญแห่งปีอย่าง Smile เกิดขึ้นจากหนังสั้น Laura Hasn't Slept ของ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ ที่คอนเซปต์เจ๋งและสยดสยอง จนถูกใจผู้บริหารของค่ายพาราเมาต์ พิคเจอร์ หนังจึงถูกหยิบมาพัฒนาเป็นหนังใหญ่ โดย ปาร์กเกอร์ ฟินน์ กลับมาสานต่อความหลอนจากหนังสั้นของเขาเอง รับหน้าที่เป็นผู้กำกับหนังใหญ่ครั้งแรก สำหรับ Smile ฉบับยาว เล่าถึง ดร.โรส (รับบทโดย โซซี เบคอน จากซีรีส์ 13 Reasons Why) จิตแพทย์หญิงที่เพิ่งเผชิญเหตุการณ์สุดสยอง เมื่อคนไข้ของเธอฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตา ก่อนตายคนไข้คนนี้คลั่งและบอกว่า มีสิ่งลึกลับที่มีรอยยิ้มไล่ตาม ดร.โรส ยิ่งสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงเริ่มสืบและพบว่า มีคนตายจากรอยยิ้มในลักษณะเดียวกันกว่า 20 คนแล้ว และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ ดูเหมือนว่าคำสาปสุดอาถรรพ์นี้กำลังไล่ตามเธอเช่นกัน !สิ่งที่ทำให้ Smile มีเอกลักษณ์และแตกต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นๆ คือ คอนเซปต์ ที่หยิบรอยยิ้มมาทำให้กลายเป็นความหลอน แม้เราอาจจะเห็นรอยยิ้มแบบหลอนๆในหนังมากมาย (อาทิ Joker และ Stephen King's It) แต่มันไม่เคยถูกหยิบมาเป็นแกนหลักของเรื่องอย่างจริงจัง บวกกับเส้นเรื่องในสไตล์การแก้คำสาป แบบเดียวกับ The Ring ที่ดูเหมือนจะไม่ได้เห็นกันมาสักพักใหญ่แล้ว ทำให้ Smile มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย และหนังยังมีกลิ่นอายแบบ It Follows หนังเขย่าขวัญที่ทำให้คนยืนนิ่งๆดูน่ากลัวได้ เรื่องนี้มีสไตล์คล้ายๆกัน แต่เพิ่มรอยยิ้มเข้าไป ทำให้ระหว่างดูหนัง แม้แต่คนที่ยืนยิ้มนิ่งๆ ยังชวนขนลุกได้ หนังทำให้เราผวาในแบบที่ไม่คาดคิดได้จริงๆนอกจากจะเป็นหนังสยองขวัญ อันที่จริงแล้ว Smile มีความเป็นหนังจิตวิทยาที่ชัดเจนมาก เพราะหนังเล่นกับตัวละครหลักคือ ดร.โรส ซึ่งเป็นจิตแพทย์ แต่อันที่จริงแล้วเธอเองก็เคยเผชิญปัญหาทางจิตมาก่อน และยิ่งมาเจอกับเหตุการณ์หลอนที่หาทางออกไม่ได้แบบนี้ ยิ่งทำให้เธอสติแตกไปกันใหญ่ ความเก่งกาจของหนัง คือการทำให้ผู้ชมตึงเครียด และเหมือนจะประสาทแดกแบบนางเอกได้เหมือนกัน เมื่อหนังยิ่งดำเนินไป ข้อแม้ต่างๆของหนัง ปมคำสาปจากรอยยิ้ม มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ การผูกปมของหนังมันเลยยิ่งแน่นขึ้นไปอีก นั่นทำให้ Smile กลายเป็นหนังสยองขวัญที่บีบหัวใจของคุณช้าๆ แต่เมื่อถึงจุดพีกแล้ว มันยิ่งบีบหัวใจขั้นสุดในส่วนของงานโปรดักชันส่งเสริมความสยองของหนังได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเสียงประกอบ ที่หลอนจับใจ การเคลื่อนกล้องที่หลายครั้งเลือกใช้ภาพกลับหัว สไตล์การตัดต่อ การเชื่อมโยงแต่ละฉาก หลายครั้งที่โฉ่งฉ่าง ทำให้ผู้ชมกระตุกได้เหมือนกัน และการบิลด์ผู้ชมด้วยความสยองในแบบ Jump Scare หนังใช้วิธีนี้ค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่กระนั้นต้องชื่นชมผู้กำกับ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ ที่ให้ฉากหลอกเหล่านี้ ดูมีรสนิยม เป็นการหลอกให้เราตกใจ แบบที่น่าสนใจ ไม่ได้ให้สิ่งลึกลับโผล่มาทื่อๆ อย่างไร้ที่มาที่ไปแต่อย่างใด โดยรวม Smile จึงกลายเป็นหนังสยองขวัญอีกเรื่องของปี 2022 ที่ทำได้ดีเกินคาดจริงๆ ใครที่อยากสัมผัสความหลอน ความตึงเครียด ลองชมหนังเรื่องนี้กันดู 29 กันยายนนี้ในโรงภาพยนตร์ชมตัวอย่าง Smile ยิ้มสยอง สัปดาห์นี้ทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘Black Adam’ แอนตี้ฮีโร่คนใหม่ในจักรวาล DC กับความมันส์แบบจัดหนัก | GOSSIP GUN

20 ต.ค. 2022

[REVIEW] ‘Black Adam’ แอนตี้ฮีโร่คนใหม่ในจักรวาล DC กับความมันส์แบบจัดหนัก | GOSSIP GUN

พอถึงคิวฉายของหนังใหม่ในจักรวาล DC ทีไรก็ทำเอาแฟนหนังซูเปอร์ฮีโร่ลุ้นทุกที เพราะผลลัพธ์ที่ออกมาของค่ายนี้ค่อนข้างผีเข้าผีออกอยู่หลายครั้ง บ้างก็ดีจนน่าอิ่มใจ แต่หลายครั้งก็เละเทะจนทำเอาแฟนๆ กุมขมับ อย่างตอนที่หนังใหญ่ระดับJustice League ออกมาพังไม่เป็นท่า ก็ทำเอาผู้บริหารของวอร์เนอร์เป๋ไปอยู่หลายปีเหมือนกัน สำหรับหนังโปรแกรมล่าสุดอย่าง Black Adam ถือว่าต้องลุ้นหลายๆ อย่าง เพราะแค่ชื่อชั้นของตัวละครนำ ดูจะไม่ได้เป็นที่รู้จักเท่าไรนัก (ต่างจากระดับ แบทแมน หรือ ซูเปอร์แมน) เพราะตัว Black Adam เอง ออกจะเป็นตัวร้ายด้วยซ้ำ แถมแยกมาจากหนัง DC ที่ดังระดับกลางๆอย่าง Shazam! ทำให้คนดูทั่วไปอาจจะไม่คุ้นเคยกับเขาเสียเท่าไหร่ แต่จุดที่แข็งแกร่งมากๆหนังโปรเจกต์นี้ คือการที่ได้ดาราระดับ ดเวย์น จอห์นสัน หรือ เดอะร็อค มารับบทนำ กลายเป็นว่านี่อาจจะเป็นหนังในจักรวาล DC ที่ต้องพึ่งพลังนักแสดงมากที่สุดเรื่องนึงเลยก็ว่าได้แบล็คอดัม (หรือเดิมชื่อ เท็ท อดัม) เขาคือซูเปอร์ฮีโร่พลังเทพ เช่นเดียวกับ ชาแซม เขาได้รับพลังจากเหล่าทวยเทพของอียิปต์ ทำให้มีพลังกำลังเหนือมนุษย์ สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ด้วยพฤติกรรมที่ควบคุมไม่ได้ หลายครั้งที่แบล็คอดัมใช้พลังในการเข่นฆ่ามนุษย์ เขาจึงถูกคุมขังอยู่นานนับ 5 พันปี จนกระทั่งในโลกยุคปัจจุบัน หนังเล่าเหตุการณ์ในเมืองสมมุติที่ชื่อว่า คาห์นดัก ประเทศโลกที่สามที่ถูกกดขี่โดยกองกำลังติดอาวุธ เพื่อปลดปล่อยประชาชนให้ได้รับอิสรภาพ แบล็คอดัมจึงถูกปล่อยตัวออกมาให้เป็นฮีโร่ของชาวคาห์นดัก แต่การปรากฏตัวครั้งนี้ของเขากลับเป็นที่กังวลของฮีโร่อื่นๆ กลุ่ม Justice Society of America จึงถูกส่งตัวมายังคาห์นดัก เพื่อจับตัวแบล็คอดัมกลับไป ท่ามกลางสงครามการแย่งชิง มงกุฏลึกลับที่สามารถมอบพลังมหาศาลให้กับผู้ที่ครอบครองมันแน่นอนว่า Black Adam ไม่ได้ถูกออกแบบให้เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ขวัญใจนักวิจารณ์แบบที่ The Batman หรือ Joker เป็นอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่คะแนนนักวิจารณ์ล่าสุดใน Rotten Tomatoes จะออกมาก้ำกึ่งราวๆ 50% และเมื่อดูหนังเต็มๆก็พบว่า Black Adam ตัดสินใจให้ตัวเองเป็นหนังแอ็กชันหลั่งอะดรีนาลีนเดือดแบบเต็มตัว เอาใจแฟนๆสายแอ็กชัน เน้นความมันส์และสะใจโดยเฉพาะ สไตล์เดียวกับหนัง ดเวย์น จอห์นสันเรื่องอื่นๆ Black Adam จึงมีกลิ่นอายเหมือนการดูหนังแบบ Fast Furious ผสมกับ Jumanji มากกว่าที่จะเป็นหนังฮีโร่นิ่งๆ ดาร์กๆ ทั่วไป หนังใช้เวลาที่ในการเล่าเรื่องแบบติดสปีด ย้อนกลับไปเท้าความเมื่อ 5,000 ปีก่อน ก่อนที่จะตัดมาเล่าเหตุการณ์ในปัจจุบันอย่างรวดเร็ว และใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่จะเข้าฉากแอ็กชันซีนใหญ่ซีนแรกที่ทำให้เราได้เจอกับ แบล็ค อดัม อาจจะบอกได้ว่าหนังเล่าไว จนใครที่เข้าโรงไม่ทัน อาจจะงงกันการปูเรื่องกันเลยทีเดียวแม้ว่าแรกเริ่มเดิมที Black Adam จะถูกวางเป็นตัวละครในหนังShazam! ก่อนที่ผู้บริหารวอร์เนอร์จะเปลี่ยนใจ ให้เขามีหนังเปิดตัวเป็นของตัวเอง แต่อาจจะกล่าวได้ว่า Black Adam ก็ยังมีความเป็น Spin-Off ของ Shazam! จนตอนแรกไม่ได้คาดหวังในสเกลของหนังมากนัก (เพราะอย่าง Shazam ก็ไม่ใช่ใหญ่โตอะไรมาก ถือเป็นหนังจักรวาล DC ไซส์กลางๆ) แต่ปรากฏว่าBlack Adam มาพร้อมกับงานโปรดักชั่นที่ใหญ่โต จนแซงหน้า Shazam! ไปเลยทีเดียว ฉากแอ็กชันมากมายที่เกิดขึ้นในเมืองคาห์นดัก ล้วนน่าตื่นตา หลายฉากทำออกมาได้สนุกเกินคาดไปมาก เช่นเดียวกับมุกตลกในหนัง แม้ว่าจะไม่ได้เน้นอารมณ์ขันมากเท่า Shazam! แต่หลายครั้งที่จังหวะปล่อยมุก ค่อนข้างเวิร์กมากๆ เป็นหนังอีกเรื่องที่ทำได้ดีในโซนนี้ เพิ่มดีกรีความบันเทิงให้กับหนังได้มากขึ้นไปอีก !ข้อดีมากๆ ของ Black Adam คือความสดใหม่ เหมือนผู้ชมได้ดูหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เฟรชมากๆหนึ่งเรื่อง เนื่องด้วยหนังพาเราเข้าสู่ดินแดนใหม่ๆ อย่าง คาห์นดัก แม้ว่ามันจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากหลายๆเมือง โดยเฉพาะ อียิปต์ หรือประเทศเอเชียตะวันออกกลาง แต่ก็ต้องถือว่าไม่ค่อยซ้ำทางกับหนังซูเปอร์ฮีโร่ยุคหลังๆเท่าไหร่นัก บวกกับตัวละครกลุ่มใหม่เกือบทั้งหมด หนังพาผู้ชมไปทำความรู้จักกับทั้งแบล็คอดัม และสมาชิกของ จัสตีซ โซไซตี้ ออฟ อเมริกา ซึ่งแต่ละตัวละครก็มีคาแรคเตอร์ที่น่าสนใจที่แตกต่างกันไป แม้ว่าหนังจะเล่าเรื่องด้วยลำดับเหตุการณ์ที่ค่อนข้างคลีเช่ ตามสไตล์หนังซูเปอร์ฮีโร่ทั่วไป แต่เพราะดีเทลทั้งสถานที่ ตัวละคร ที่มาใหม่แทบทั้งหมด ก็ทำให้การดูหนัง Black Adam ค่อนข้างสดชื่นเมื่อได้ชม เหมือนหนังพาผู้ชมไปสนุกกับเพื่อนๆกลุ่มใหม่ ในประเทศที่แปลกใหม่ ไม่ใช่อะไรเดิมๆที่เราเห็นมาแล้วบ่อยครั้งในฐานะหนังป็อปคอร์นที่เน้นมอบความบันเทิง Black Adam สอบผ่านในจุดนี้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่หนังคุณภาพยอดเยี่ยมในระดับที่ขึ้นหิ้ง แต่มันก็ทำหน้าที่มอบความสนุกให้กับผู้ชมได้อย่างสบายๆ ถือเป็นการจับมือกันอีกครั้งของ ดเวย์น จอห์นสัน กับผู้กำกับ โจเม่ คอลเล็ต-เซอร์ร่า ที่น่าชื่นชม ถัดจาก Jungle Cruise ที่สนุกมากจนดิสนีย์ไฟเขียวสร้างภาคต่อไปแล้วเรื่องนึง นอกจากตัวหนังที่สนุกอย่างน่าพอใจแล้ว ไฮไลต์สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับหนังซูเปอร์ฮีโร่ในยุคนี้คือเหล่าบรรดาฉากแถมช่วง End-Credit ที่สำหรับ Black Adam แม้จะมีแถมเพียงแค่ฉากเดียว แต่ก็พีกในระดับที่ทำให้แฟนๆของDC กรี๊ดสนั่นกันลั่นโรงเลยก็ว่าได้ พีกในระดับที่จักรวาล DC ไม่ได้ทำแบบนี้ได้มาหลายต่อหลายปีแล้ว แม้ว่า Black Adam จะไม่ใช่หนังที่มาพลิกโฉมดีซี แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้แฟนๆได้ยิ้มออกว่า หลังจากนี้ น่าจะมีอะไรสนุกๆรอเราอยู่อีกเพียบชมตัวอย่าง Black Adam วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Warner Bros. Thailand

[REVIEW] ‘Guardians of the Galaxy Vol.3’ ส่งท้ายอย่างยิ่งใหญ่ ปิดไตรภาคการ์เดี้ยนอย่างทรงพลัง | GOSSIP GUN

08 พ.ค. 2023

[REVIEW] ‘Guardians of the Galaxy Vol.3’ ส่งท้ายอย่างยิ่งใหญ่ ปิดไตรภาคการ์เดี้ยนอย่างทรงพลัง | GOSSIP GUN

การเข้าฉายของ Guardians of the Galaxy Vol.3 เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นชัดเจน ถึงการเดินหมากที่ผิดพลาดของMarvel Studios ยิ่งเมื่อผลตอบรับของหนังออกมาในแง่บวกมากๆ ในวันที่ค่ายปล่อย เจมส์ กันน์ ให้หลุดมือไปคุมค่ายคู่แข่งอย่าง DC ไปแล้ว ยิ่งน่าเสียดายแทนยิ่งนัก อันที่จริงแล้วหนังเรื่องนี้ควรฉายได้ตั้งแต่ 2-3 ปีที่แล้วด้วยซ้ำ ตั้งแต่ Avengers : Endgame เพิ่งจบใหม่ๆ พอมาฉายตอนนี้ ซึ่งทิ้งห่างจาก Guardians of the Galaxy Vol.2 นานถึง 6 ปี ดูเหมือนจะกลายเป็นการทิ้งช่วงที่นานเกินไป ทั้งหมดเป็นเพราะความตื่นตูมของดิสนีย์ที่ไล่ผู้กำกับ เจมส์ กันน์ ออกเพราะเหตุดราม่าในทวิตเตอร์อันน้อยนิด จนในที่สุดก็ต้องมาย้อนคำตัดสินของตัวเอง เมื่อเห็น กันน์ ไปกำกับ The Suicide Squad ให้ค่ายคู่แข่ง ทำให้การเกิดขึ้นของหนังเรื่องนี้ช้าเกินไปอย่างน่าเสียดาย ดันมาในช่วงเวลาที่กระแสความไฮป์ของจักรวาลมาร์เวลเริ่มจางหายไปเสียแล้ว..Guardians of the Galaxy Vol.3 ถูกวางตัวไว้ในฐานะหนังปิดไตรภาคของแก๊งการ์เดี้ยน และเล่าเหตุการณ์ไม่นานนักหลังจากAvengers : Endgame เมื่อปีเตอร์ สูญเสียคนรักของเขาอย่างกามอร่าไป สมาชิกของแก๊งอาศัยอยู่ในโนแวร์ และทำภารกิจปกป้องจักรวาลไปเรื่อยๆ ในภาคนี้ หนังจะเล่าเหตุการณ์ใน 2 ไทม์ไลน์ไปพร้อมๆกัน โดยศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่ร็อคเก็ต เมื่อมันถูกโจมตีโดย อดัม วอร์ล็อก ทำให้ชีวิตตกอยู่ในอันตราย ทันใดนั้นทุกคนต่างรู้ว่า ตัวเองแทบจะไม่รู้ที่มาของร็อคเก็ตเลย หนังจึงค่อยๆพาผู้ชมและสมาชิกชาวการ์เดี้ยน ย้อนกลับไปยังที่มาของตัวละครนี้ ซึ่งจะเกี่ยวพันกับเหตุการณ์สำคัญยิ่งในอนาคตที่กำลังจะมาถึง นี่คือหนังที่นอกจากจะพาผู้ชมไปสู่บทสรุปของเหล่าการ์เดี้ยน แต่ก็ยังพาผู้ชมย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นเช่นกันนี่คือหนังปิดไตรภาคที่นอกจากจะคงเอกลักษณ์ของความเป็นGuardians of the Galaxy ไว้ได้อย่างครบถ้วน มันยังกลายเป็นหนังภาคที่ทรงพลังมากที่สุดในบรรดาไตรภาค รวมถึงหนังตระกูลมาร์เวลในยุคหลังๆ แม้ครึ่งแรกหนังจะใช้เวลาพอสมควร ในการเคาะสนิม ค่อยๆพาผู้ชมย้อนกลับไปดูความเป็นไปของตัวละคร แต่เมื่อชั่วโมงหลังมาถึง ทุกองค์ประกอบของ Guardians of the Galaxy Vol.3 ถือว่าก้าวเข้าสู่จุดพีกแทบทั้งหมด ด้วยประเด็นของหนังที่ค่อนข้างจริงจังและจับประเด็นที่ค่อนข้างใหญ่ยิ่งกว่าทุกภาค นำไปสู่ฉากไคลแม็กซ์ที่จัดเต็มทั้งในแง่ของเส้นเรื่องและงานสร้าง กลายเป็นการปิดท้ายการผจญภัยของเหล่าการ์เดี้ยนที่น่าพอใจและคู่ควรสำหรับกลุ่มของคาแรคเตอร์ที่แฟนๆรักเช่นนี้ยิ่งที่แข็งแรงมากๆของหนังตระกูล Guardians of the Galaxy ไม่ใช่ของการแสดงพลังพิเศษของตัวละครแบบในหนังซูเปอร์ฮีโร่ทั่วไป แต่มันคือการแสดงพลังแห่งมิตรภาพและความเป็นอันหนึ่งอันเดียว การจับมือกัน ซึ่งในภาคนี้ไม่ใช่แค่แก๊งการ์เดี้ยนแล้ว แต่มันคือการร่วมมือกันของทุกชีวิต เอกลักษณ์สำคัญที่ทุกตัวละครการ์เดี้ยนมีจุดร่วมกัน คือความ "ไม่สมบูรณ์แบบ"ทุกตัวละครล้วนมีจุดแปลก จุดบกพร่องของตัวเอง แต่เมื่อทุกคนร่วมมือกัน มันกลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ซึ่งหนังภาคนี้โดยเฉพาะในครึ่งหลัง ไม่ได้แค่เชิดชูแค่ความเป็นตัวตนที่ไม่เหมือนใครเท่านั้น แต่เชิดชูการมีชีวิตของทุกชีวิต นี่คือหนังที่่ไม่เพียงแต่จะทำให้เราหันไปมองคนรอบข้าง แต่กลับมองทุกชีวิตอย่างมีคุณค่า แม้ว่าจะไม่ใช่สปีชีย์เดียวกับเราก็ตาม ซึ่งในหนังหลายๆเรื่องมองข้ามจุดๆนี้ไปแม้ Guardians of the Galaxy Vol.3 จะพาผู้ชมไปสู่จุดที่จริงจัง ทรงพลัง และยิ่งใหญ่กว่าทุกภาค ด้วยความซีเรียสของเส้นเรื่องที่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเป็นความตายของตัวละคร ตัวร้ายที่พร้อมฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุเพราะทำตัวเยี่ยงพระเจ้า แต่หนังยังคงเอกลักษณ์ของ Guardians of the Galaxy ไว้อย่างครบถ้วน ในแบบที่ถ้าไม่ใช่ เจมส์ กันน์ ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าใครจะสามารถทำได้ดีเท่า เอกลักษณ์ความเป็นการ์เดี้ยนในที่นี้ ประกอบไปด้วยความเกรียนอย่างร้ายกาจ มิตรภาพอันแน่นแฟ้นของตัวละคร จัดเข้ากลุ่มจำพวกปากร้ายแต่ใจดี จังหวะมุกต่างๆทำออกมาได้ค่อนข้างเวิร์กมากๆ และจังหวะประทับใจก็ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นที่น่าพอใจเช่นเดียวกันโดยรวมแม้ Guardians of the Galaxy Vol.3 จะเป็นภาคปิดท้าย แต่มันก็ได้พาผู้ชมกลับสู่รากเหง้าของตัวละครหลายๆตัว แม้จะชูร็อคเก็ตเป็นแกนหลัก แต่ก็ยังไม่ทิ้ง สตาร์ลอร์ดและตัวละครอื่นๆ เป็นการเหลียวหลังเพื่อไปต่ออย่างแข็งแร็ง นี่คือหนังที่น่าจะเป็นที่พึงพอใจสำหรับแฟนหนังมาร์เวลอย่างแน่นอน และสำหรับผู้ชมทั่วไปก็น่าจะทำให้ตกหลุมรักตัวละครเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น และยิ่งคิดถึงมากขึ้นไปอีกเมื่อเส้นทางในหนังชุดนี้กำลังจะจบลง สิ่งที่อยากทิ้งท้ายแถมไว้สำหรับคนดูทั่วไป ถ้าใครเป็น คนรักสัตว์ และคนรักเสียงเพลงละก็ นี่คือหนังที่จะทำให้คุณฟินมากขึ้นอีกสเต็ปอย่างแน่นอนชมตัวอย่าง Guardians of the Galaxy Vol.3 วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Marvel Thailand

album

0
0.8
1