27 ก.พ. 2024
[Review] Dune : Part Two มหากาพย์หนังเอพิคไซไฟที่เข้มข้นสะกดคนดูแทบทุกวินาที!
เสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงกระแสคุณภาพของหนังภาคต่อ ‘Dune : Part Two’ ที่กำลังถาโถมไปทั่วโลกในขณะนี้ รวมถึงสามารถคว้าคะแนนบวกจาก Rotten Tomatoes ได้ถึง 98% ไม่ใช่เรื่องเกินจริง นี่คือหนังที่พิสูจน์ว่า เดอนี วิลเนิร์ฟ คือผู้กำกับที่เก่งกาจในการตรึงอารมณ์ผู้ชมอย่างแท้จริง และค่อย ๆพัฒนาตัวเองด้วยหนังในสเกลที่ใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้หนัง Dune ภาคใหม่นี้ เหนือว่าภาคแรกในแทบทุกประการ ทั้งการเล่าเรื่องที่ไต่ระดับความเข้มข้นตรึงผู้ชมต่อเนื่องขึ้นไปจากภาคแรก ระดับของงานโปรดักชั่นที่ชวนอ้าปากค้างขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าปีก่อน คือปีของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่แสดงความเป็น ‘เสด็จพ่อ’ จาก Oppenheimer ปีนี้ต้องเป็นปีของ วิลเนิร์ฟ อย่างแท้จริง หนังเรื่องคือพิสูจน์ว่าเขาคือ ‘ตัวพ่อ’ ในการปั้นหนังบล็อกบัสเตอร์ด้วยศาสตร์การทำหนังที่แทบจะสมบูรณ์แบบทุกประการ‘Dune’ คือมหากาพย์หนังไซไฟอวกาศ ที่สร้างจากนิยายชื่อเดียวกันของ แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต ที่ขึ้นชื่อว่าซับซ้อนและดัดแปลงยากที่สุด ความพยายามเพื่อขึ้นจอใหญ่หลายครั้งล้มเหลว จนกระทั่งมาถึงมือของ เดอนี วิลเนิร์ฟ ทำให้ Dune ภาคแรกประสบความสำเร็จ ทั้งคำวิจารณ์และรายรับ แม้จะฉายในช่วงโควิด-19 ยังระบาดหนักก็ตาม โดยในภาคสองนี้ สร้างจากครึ่งหลังของนิยายเล่มแรก เล่าถึงภารกิจของ พอล อะเทรดิส (รับบทโดย ทิโมธี ชาลาเม่ต์) ในการล้างแค้นศัตรูที่เคยสังหารและทำลายตระกูลของเขา โดยพอลต้องร่วมมือกับ ชานี (รับบทโดย เซนดาย่า) หญิงสาวชาวเฟรเมน เพื่อวางแผนโค่นล้มบารอน นำไปสู่สงครามครั้งใหญ่ ที่กำหนดชะตากรรมของจักรวาล โดยหนังภาคนี้นอกจากนักแสดงเซ็ตเดิมจากภาคแรกแล้ว ยังมีนักแสดงใหม่น่าจับตาอย่าง ออสติน บัตเลอร์ จาก Elvis ในบท เฟย์ด-รอธา ตัวร้ายสุดอำมหิต หลานของบารอน และ ฟลอเรนซ์ พิวจ์ ในบท เจ้าหญิงอีรูลาน ลูกสาวของจักรพรรดิผู้ครองอำนาจในจักรวาลอย่างที่เกริ่นไป ‘Dune : Part Two’ คือหนังที่พัฒนาขึ้นจากภาคแรกในแทบทุกประการ และสามารถสะกดวิญญาณผู้ชมได้ตลอดทั้งเรื่อง ด้วยศาสตร์ในการทำหนัง เริ่มจากการเล่าเรื่อง ที่เหตุการณ์ในภาคนี้ แทบจะตรึงผู้ชมให้อยู่กับเส้นเรื่องได้ตลอดเวลา และยิ่งในชั่วโมงหลังที่ทั้งเข้มข้นขึ้น ปมต่างๆยิ่งผูกแน่นขึ้น และความซับซ้อนในความรู้สึกของตัวละคร โดยเฉพาะพอลและซานี กลายเป็นสองขั้วตัวละครที่ มีมิติและมีความลึกด้านอารมณ์แบบสุดๆ ปมขัดแย้งที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ นำไปสู่ครึ่งหลังที่พีกยิ่งกว่าภาคก่อน และทั้งหมด ถูกเล่าผ่านงานโปรดักชั่น ที่ถูกออกแบบมาอย่างมีแนวทางชัดเจน ทุกอย่างที่ปรากฏบนจอ การออกแบบงานสร้างและการดีไซน์เสียง ล้วนมีส่วนสำคัญที่ช่วยตรึงผู้ชมให้อยู่กับหนังเรื่องนี้ได้ตลอด จนทำให้ ‘Dune : Part Two’ น่าจะเป็นอีกหนึ่งหนังบล็อกบัสเตอร์ ที่เป็นเหตุผลสำคัญว่า ทำไมเราถึงยังต้องดูหนังในโรงในยุคนี้ หนังเรื่องนี้ จะขาดอรรถรสอย่างยิ่ง ถ้าไม่รับชมในจอภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดจากการเนรมิตหนังที่เหมือนจะเข้ามือขึ้นเรื่อยๆของ เดอนี สู่การแสดงที่ยอดเยี่ยมครบองค์ของทีมนักแสดงชุดใหญ่ ที่ทุกคนล้วนมีซีนให้ฉายแสง เริ่มจาก ทิโมธี ที่บทซับซ้อนขึ้น ผู้ชมสามารถเห็นพัฒนาการของตัวละครได้อย่างชัดเจน, เซนดาย่า ที่ภาคแรกถูกแซวว่าเป็นนางเอกรับเชิญ เพราะบทน้อยเหลือเกิน ภาคนี้โผล่มาเต็ม และเห็นถึงความรู้สึกทุกแง่มุมของตัวละครเต็มๆเช่นกัน แต่ไฮไลต์สำคัญของภาคนี้ ขอยกให้ทีมนักแสดงใหม่ เริ่มจาก ออสติน บัตเลอร์ ที่คงไม่มีใครติดภาพ Elvis อีกแล้ว เพราะบทในภาคนี้เขาสามารถถ่ายทอดความอำมหิตออกมาได้อย่างเต็มสูบ ผ่านสีหน้าและแววตาที่ดูน่าเกรงขามในทุกวินาทีบนจอ ในขณะที่ ฟลอเรนซ์ พิวจ์ ก็ค่อยๆฉายแสงขึ้นเรื่อยๆ และน่าจะมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นอีกในอนาคต รวมถึงนักแสดงรุ่นใหญ่ คริสโตเฟอร์ วอลเค่น เป็นจักรพรรดิ ที่แสดงความทรงพลังและแสดงอำนาจออกมาผ่านสีหน้าได้หนักแน่นสุดอีกพาร์ทที่ไต่ระดับเพิ่มขึ้นชัดเจนใน Dune : Part Two คือฉากแอ็กชัน ที่นอกจากจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นแล้ว ยังเพิ่มความระทึกขึ้นไปอีก ตั้งแต่ซีนแรกในทะเลทรายเลยด้วยซ้ำ ที่ทำเอาผู้ชมลุ้นจนแทบจะหยุดหายใจ ทั้งหมดนี้ คือบทพิสูจน์ว่า เดอนี วิลเนิร์ฟ คือผู้กำกับระดับมาสเตอร์ของจริง หนังที่เขากำกับ แม้ว่าจะสเกลใหญ่มากขึ้นแค่ไหน เขาก็สามารถเอาอยู่ได้เสมอ ทั้งด้านการเล่าเรื่อง ด้านงานโปรดักชั่น เขาเหมือนกำกับอารมณ์ผู้ชมได้ตลอด ด้วยทุกสิ่งที่ปรากฏบนจอ และทุกเสียงต่างยืนยันว่าทันทีที่ดูหนังจบ แทบอยากจะดู Dune : Part Three ในทันที ถ้าใครมีโอกาส ห้ามพลาดระบบ IMAX โดยเด็ดขาด ความจอยักษ์ของระบบ เสริมความยิ่งใหญ่ และคุมอารมณ์คนดูได้อย่างดีเยี่ยมชมตัวอย่าง Dune : Part Two เข้าฉาย 29 กุมภาพันธ์ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Warner Bros. Thailand