[REVIEW] ‘Bones And All’ หนังโรแมนซ์ปนสยอง ความรักของสองคนกินคน | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Bones And All’ หนังโรแมนซ์ปนสยอง ความรักของสองคนกินคน | GOSSIP GUN

22 พ.ย. 2022

ใครที่ยกให้ Call Me By Your Name เป็นหนังรักในดวงใจ ต้องลองกลับมาลิ้มรสผลงานใหม่ของผู้กำกับ ลูก้า กัวดานิโน ที่กลับมาร่วมงานกับพระเอก ทิโมธี ชาลาเมต์ อีกครั้งใน Bones And All หนังรักในบรรยากาศเหงาๆผสมความสยองสุดแหวก ที่หยิบเอานิยายของ คามิล เดอแองเจลิส ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2015 มาดัดแปลงขึ้นจอใหญ่ โดยก่อนจะเข้าฉายในโรง หนังสร้างกระแสด้วยการตระเวนทัวร์ เดินสายฉายโชว์ในเทศกาลหนังมาแล้วหลากหลาย ทั้งเวนิส นิวยอร์ก เทลลูไลด์ ไปจนถึงลอนดอน ซึ่งล้วนกวาดคำชม และล่าสุดหนังได้คะแนนเฉลี่ยนักวิจารณ์จาก Rotten Tomatoes มาแล้วถึง 86% โดยส่วนใหญ่ชื่นชมในการแสดง การกำกับ การบันทึกภาพ และการผสมผสานระหว่างตระกูลหนังที่แตกต่าง

เทย์เลอร์ รัสเซลล์ นางเอก Escape Room รับบทมาเรน วัยรุ่นสาวที่เติบโตมาด้วยความแปลกแยก เพราะเธอมีพฤติกรรมชอบกินเนื้อคนตั้งแต่เด็กๆ ทำให้พ่อของเธอต้องพามาเรนย้ายเมืองอยู่บ่อยๆ เพื่อหลบหนีจากสังคม จนกระทั่งวันหนึ่งเธอตัดสินใจออกตามหาแม่ที่ทิ้งเธอไปนาน และระหว่างการเดินทางเธอได้พบกับ ลี วัยรุ่นหนุ่มที่ค้นพบว่า ต่่างมีรสนิยมชอบกินเนื้อมนุษย์เหมือนกัน ซึ่งโดยปกติแทบจะหาคนประเภทเดียวกันไม่เจอ กลายเป็นความสัมพันธ์ของสองคนเหงาที่แปลกแยกจากสังคม แต่ต่างเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน และเรื่องราวของทั้งสองนั้นไม่ง่ายดาย เมื่อสันชาตญาณดิบในการกินเนื้อมนุษย์ พร้อมที่จะทำให้เกิดการนองเลือดได้ตลอดเวลา

Bones And All ถือเป็นหนังที่มีรสชาติแปลกน่าลิ้มลองทีเดียวเชียว มันมีส่วนผสมระหว่างหนังรักโรแมนติก และหนังเขย่าขวัญสุดประหลาด คล้ายคลึงกับการหยิบเอาบางมู้ดของ Call Me By Your Name มาผสมผสานกับความแปลกปนสยองของSuspiria อีกหนึ่งผลงานของผู้กำกับ ลูก้า กัวดานิโน ที่ดูเหมือนจะมาคนละทิศคนละทาง แต่กลับเข้ากันอย่างน่าทึ่ง หนังถ่ายทอดด้วยการเล่าเรื่องสไตล์ Road Movie ด้วยจังหวะที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่กลับไม่มีจุดไหนที่น่าเบื่อเลย เสริมความโรแมนซ์ด้วยงานบันทึกภาพที่สวยไร้ที่ติ และเสริมอารมณ์หนังได้อย่างดียิ่ง ส่วนฉากสยอง หนังก็ไม่ยั้งที่จะนำเสนออย่างโหดเหี้ยมและถึงเลือดถึงเนื้อ สมกับชื่อหนัง ตามที่ควรจะเป็น

แกนกลางที่แข็งแรงที่สำคัญสุดของหนังคือนางเอก เทย์เลอร์ รัสเซลล์ ที่เป็นตัวเดินเรื่อง เธอสามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่ซับซ้อนได้อย่างดี ทำให้เธอน่าจะกลายเป็นอีกหนึ่งนักแสดงรุ่นใหม่ที่น่าจับตาในยุคนี้ รับส่งบทบาทกับ ทิโมธี ได้อย่างยอดเยี่ยม ส่วนที่สะพรึงสะกดทุกสายตาจริงๆ คือการปรากฏตัวของ นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ มาร์ก ไรแลนซ์ (จาก Bridge of Spies) ในบทมนุษย์กินคนสุดแปลกแยกจากสังคม ที่เขาถ่ายทอดบทบาทผ่าน สีหน้าแววตาและน้ำเสียง ได้อย่างชวนขนลุก โดยเฉพาะในครึ่งหลังที่ชวนสยดสยองอย่างน่าสะพรึงเลยจริงๆ กลายเป็นว่า 3 นักแสดงนำที่เป็นแกนหลักของเรื่องราว ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างแข็งแรง ยกระดับ Bones And All ให้ดีขึ้นไปอีก

ถึงอย่างไรก็ตาม อาจจะต้องออกตัวไว้ก่อนว่า Bones And All อาจไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน หนังดำเนินเรื่องด้วยจังหวะที่ไม่ได้เร้าใจอะไรมากนัก ค่อยๆทอดอารมณ์ไปกับเรื่องราว บวกกับการที่หนังผสม Genre ที่ต่างกันสุดขั้วเอาใจ ทำให้รสชาติแปลกประหลาด จนบางทีอาจจะยากเกินกว่าจะเข้าใจ แต่ถ้าใครพร้อมจะลิ้มลอง มันคือหนังที่น่าสนใจ ที่สร้างความแปลกใหม่ได้ดีทีเดียว แม้ว่าเรื่องมันจะสยอง แม้ว่ามันจะเล่าถึงมนุษย์กินคน แต่แกนกลางของเรื่อง ที่การเล่าถึง ความรักและความเหงาของคนที่แปลกแยกจากสังคม มันสามารถแทนค่าได้ด้วยกลุ่มคนที่หลากหลาย นี่คือหนังที่พยายามทำความเข้าใจคนชายขอบ และนำเสนอได้อย่างน่าสนใจจริงๆ

ชมตัวอย่าง Bones And All เข้าฉาย 24 พฤศจิกายนในโรงภาพยนตร์

ภาพ : Warner Bros. Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[Review] Dune : Part Two มหากาพย์หนังเอพิคไซไฟที่เข้มข้นสะกดคนดูแทบทุกวินาที!

27 ก.พ. 2024

[Review] Dune : Part Two มหากาพย์หนังเอพิคไซไฟที่เข้มข้นสะกดคนดูแทบทุกวินาที!

เสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงกระแสคุณภาพของหนังภาคต่อ ‘Dune : Part Two’ ที่กำลังถาโถมไปทั่วโลกในขณะนี้ รวมถึงสามารถคว้าคะแนนบวกจาก Rotten Tomatoes ได้ถึง 98% ไม่ใช่เรื่องเกินจริง นี่คือหนังที่พิสูจน์ว่า เดอนี วิลเนิร์ฟ คือผู้กำกับที่เก่งกาจในการตรึงอารมณ์ผู้ชมอย่างแท้จริง และค่อย ๆพัฒนาตัวเองด้วยหนังในสเกลที่ใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้หนัง Dune ภาคใหม่นี้ เหนือว่าภาคแรกในแทบทุกประการ ทั้งการเล่าเรื่องที่ไต่ระดับความเข้มข้นตรึงผู้ชมต่อเนื่องขึ้นไปจากภาคแรก ระดับของงานโปรดักชั่นที่ชวนอ้าปากค้างขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าปีก่อน คือปีของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่แสดงความเป็น ‘เสด็จพ่อ’ จาก Oppenheimer ปีนี้ต้องเป็นปีของ วิลเนิร์ฟ อย่างแท้จริง หนังเรื่องคือพิสูจน์ว่าเขาคือ ‘ตัวพ่อ’ ในการปั้นหนังบล็อกบัสเตอร์ด้วยศาสตร์การทำหนังที่แทบจะสมบูรณ์แบบทุกประการ‘Dune’ คือมหากาพย์หนังไซไฟอวกาศ ที่สร้างจากนิยายชื่อเดียวกันของ แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต ที่ขึ้นชื่อว่าซับซ้อนและดัดแปลงยากที่สุด ความพยายามเพื่อขึ้นจอใหญ่หลายครั้งล้มเหลว จนกระทั่งมาถึงมือของ เดอนี วิลเนิร์ฟ ทำให้ Dune ภาคแรกประสบความสำเร็จ ทั้งคำวิจารณ์และรายรับ แม้จะฉายในช่วงโควิด-19 ยังระบาดหนักก็ตาม โดยในภาคสองนี้ สร้างจากครึ่งหลังของนิยายเล่มแรก เล่าถึงภารกิจของ พอล อะเทรดิส (รับบทโดย ทิโมธี ชาลาเม่ต์) ในการล้างแค้นศัตรูที่เคยสังหารและทำลายตระกูลของเขา โดยพอลต้องร่วมมือกับ ชานี (รับบทโดย เซนดาย่า) หญิงสาวชาวเฟรเมน เพื่อวางแผนโค่นล้มบารอน นำไปสู่สงครามครั้งใหญ่ ที่กำหนดชะตากรรมของจักรวาล โดยหนังภาคนี้นอกจากนักแสดงเซ็ตเดิมจากภาคแรกแล้ว ยังมีนักแสดงใหม่น่าจับตาอย่าง ออสติน บัตเลอร์ จาก Elvis ในบท เฟย์ด-รอธา ตัวร้ายสุดอำมหิต หลานของบารอน และ ฟลอเรนซ์ พิวจ์ ในบท เจ้าหญิงอีรูลาน ลูกสาวของจักรพรรดิผู้ครองอำนาจในจักรวาลอย่างที่เกริ่นไป ‘Dune : Part Two’ คือหนังที่พัฒนาขึ้นจากภาคแรกในแทบทุกประการ และสามารถสะกดวิญญาณผู้ชมได้ตลอดทั้งเรื่อง ด้วยศาสตร์ในการทำหนัง เริ่มจากการเล่าเรื่อง ที่เหตุการณ์ในภาคนี้ แทบจะตรึงผู้ชมให้อยู่กับเส้นเรื่องได้ตลอดเวลา และยิ่งในชั่วโมงหลังที่ทั้งเข้มข้นขึ้น ปมต่างๆยิ่งผูกแน่นขึ้น และความซับซ้อนในความรู้สึกของตัวละคร โดยเฉพาะพอลและซานี กลายเป็นสองขั้วตัวละครที่ มีมิติและมีความลึกด้านอารมณ์แบบสุดๆ ปมขัดแย้งที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ นำไปสู่ครึ่งหลังที่พีกยิ่งกว่าภาคก่อน และทั้งหมด ถูกเล่าผ่านงานโปรดักชั่น ที่ถูกออกแบบมาอย่างมีแนวทางชัดเจน ทุกอย่างที่ปรากฏบนจอ การออกแบบงานสร้างและการดีไซน์เสียง ล้วนมีส่วนสำคัญที่ช่วยตรึงผู้ชมให้อยู่กับหนังเรื่องนี้ได้ตลอด จนทำให้ ‘Dune : Part Two’ น่าจะเป็นอีกหนึ่งหนังบล็อกบัสเตอร์ ที่เป็นเหตุผลสำคัญว่า ทำไมเราถึงยังต้องดูหนังในโรงในยุคนี้ หนังเรื่องนี้ จะขาดอรรถรสอย่างยิ่ง ถ้าไม่รับชมในจอภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดจากการเนรมิตหนังที่เหมือนจะเข้ามือขึ้นเรื่อยๆของ เดอนี สู่การแสดงที่ยอดเยี่ยมครบองค์ของทีมนักแสดงชุดใหญ่ ที่ทุกคนล้วนมีซีนให้ฉายแสง เริ่มจาก ทิโมธี ที่บทซับซ้อนขึ้น ผู้ชมสามารถเห็นพัฒนาการของตัวละครได้อย่างชัดเจน, เซนดาย่า ที่ภาคแรกถูกแซวว่าเป็นนางเอกรับเชิญ เพราะบทน้อยเหลือเกิน ภาคนี้โผล่มาเต็ม และเห็นถึงความรู้สึกทุกแง่มุมของตัวละครเต็มๆเช่นกัน แต่ไฮไลต์สำคัญของภาคนี้ ขอยกให้ทีมนักแสดงใหม่ เริ่มจาก ออสติน บัตเลอร์ ที่คงไม่มีใครติดภาพ Elvis อีกแล้ว เพราะบทในภาคนี้เขาสามารถถ่ายทอดความอำมหิตออกมาได้อย่างเต็มสูบ ผ่านสีหน้าและแววตาที่ดูน่าเกรงขามในทุกวินาทีบนจอ ในขณะที่ ฟลอเรนซ์ พิวจ์ ก็ค่อยๆฉายแสงขึ้นเรื่อยๆ และน่าจะมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นอีกในอนาคต รวมถึงนักแสดงรุ่นใหญ่ คริสโตเฟอร์ วอลเค่น เป็นจักรพรรดิ ที่แสดงความทรงพลังและแสดงอำนาจออกมาผ่านสีหน้าได้หนักแน่นสุดอีกพาร์ทที่ไต่ระดับเพิ่มขึ้นชัดเจนใน Dune : Part Two คือฉากแอ็กชัน ที่นอกจากจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นแล้ว ยังเพิ่มความระทึกขึ้นไปอีก ตั้งแต่ซีนแรกในทะเลทรายเลยด้วยซ้ำ ที่ทำเอาผู้ชมลุ้นจนแทบจะหยุดหายใจ ทั้งหมดนี้ คือบทพิสูจน์ว่า เดอนี วิลเนิร์ฟ คือผู้กำกับระดับมาสเตอร์ของจริง หนังที่เขากำกับ แม้ว่าจะสเกลใหญ่มากขึ้นแค่ไหน เขาก็สามารถเอาอยู่ได้เสมอ ทั้งด้านการเล่าเรื่อง ด้านงานโปรดักชั่น เขาเหมือนกำกับอารมณ์ผู้ชมได้ตลอด ด้วยทุกสิ่งที่ปรากฏบนจอ และทุกเสียงต่างยืนยันว่าทันทีที่ดูหนังจบ แทบอยากจะดู Dune : Part Three ในทันที ถ้าใครมีโอกาส ห้ามพลาดระบบ IMAX โดยเด็ดขาด ความจอยักษ์ของระบบ เสริมความยิ่งใหญ่ และคุมอารมณ์คนดูได้อย่างดีเยี่ยมชมตัวอย่าง Dune : Part Two เข้าฉาย 29 กุมภาพันธ์ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Warner Bros. Thailand

[REVIEW] “Top Gun Maverick” บทพิสูจน์ความเก๋าของแอ็กชันแบบตำนาน | GOSSIP GUN

24 พ.ค. 2022

[REVIEW] “Top Gun Maverick” บทพิสูจน์ความเก๋าของแอ็กชันแบบตำนาน | GOSSIP GUN

Top Gunคือหนังระดับตำนาน มันคือหนึ่งในภาพยนตร์ที่นิยามความเป็นยุค80sอย่างเด็ดชัด เป็นตัวแทนPop Cultureในยุคนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากหนังจะยกระดับให้"ทอม ครูซ"ขึ้นแท่นเป็นพระเอกหนังบล็อกบัสเตอร์แล้ว มันยังส่งอิทธิพลไปถึงทุกวงการแวดล้อม นอกจากจะเป็นแนวทางให้กับหนังแอ็กชันยุคใหม่ หลายฉากในหนังกลายเป็นภาพจำแบบIconicแฟชั่นการแต่งตัวของนักแสดงนำ รวมไปถึงแว่นตาRay Banกลายเป็นภาพแฟชั่นที่นำสมัย แม้แต่เพลงประกอบอย่างTake My Breath Awayก็ยังกลายเป็นงานเพลงที่โดดเด่นสุดเพลงหนึ่งในยุค80sดังนั้นเมื่อเวลากว่า30ปีผ่านไป"ทอม ครูซ"บอกว่า ถึงเวลาแล้วที่จะกลับไปจับโปรเจกต์Top Gunอีกครั้ง มันต้องมีไอเดียอะไรบางอย่างแน่นอนที่เขามั่นใจ เพราะการกลับไปแตะของระดับตำนานไม่ใช่ไอเดียที่ดีนักสำหรับฮอลลีวูด ในTop Gun : Maverickทอม ครูซ กลับไปสวมบทมาเวอริคอีกครั้ง เขาคือนักบินรบระดับตำนาน สร้างสถิติมากมาย คว้าเหรียญฯเกียรติยศมาเต็มบ่า แต่ไม่ยอมขยับตำแหน่งขึ้นไปไหน เพราะสิ่งที่เขารักคือการบินเท่านั้น จนกระทั่งได้รับการมอบหมายหน้าที่ใหม่ ให้กลับไปยัง ท็อปกันอีกครั้ง สถาบันสอนนักบินรบ ที่มีเพียงระดับแถวหน้าของกองทัพที่จะได้มาเรียนที่นี่ ด้วยภารกิจลับที่ต้องใช้ยอดฝีมือเท่านั้น มาเวอริคต้องสอบเทคนิคการบินสุดผาดโผนของเขาให้12รุ่นน้องระดับท็อปของประเทศ โดยจะมีเพียงครึ่งเดียวได้ออกปฏิบัติการจริง และภารกิจนี้เองทำให้เขาได้เจอกับ รูสเตอร์(รับบทโดย ไมล์ เทลเลอร์ จากWhiplash)ลูกชายของกูส เพื่อนสนิทเขาที่เสียชีวิตในภารกิจ ซึ่งเขาเคยสัญญาว่า จะดูแลชีวิตเด็กคนนี้ ไม่ยอมให้ตกอยู่ในอันตราย แต่เมื่อรูสเตอร์ กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจเสี่ยงตายนี้ มาเวอริคจึงต้องทำทุกทางเพื่อไม่ให้ ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง! ตลอดระยะ1เดือนที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศค่อยๆเริ่มถาโถมคำวิจารณ์ในแง่บวกของTop Gun : Maverickออกมา จนกระแสความไฮป์ของหนังเริ่มต้นขึ้น และมาร้อนแรงสุดเมื่อหนังฉายรอบพิเศษในเทศกาลหนังเมืองคานส์ จนกระทั่ง ทอม ครูซ และทีมงานได้รับการยืนปรบมือชื่นชมนานถึง5นาที ซึ่งไม่ใช่บ่อยครั้งนัก ที่หนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์ จะถูกใจผู้ชมในเทศกาลหนังแบบนี้ ซึ่งTop Gun : Maverickก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม ตามกระแสที่กล่าวมาจริงๆ ไม่แปลกใจที่สื่อหลายสำนักจะยกให้มันคือ"หนังบล็อกบัสเตอร์แห่งปี"ตัวหนังเองเหมือนเป็นข้อพิสูจน์ว่า โรงภาพยนตร์ยังคงสำคัญ การดูหนังในโรงคืออรรถรสที่ยอดเยี่ยมที่สุด ด้วยองค์ประกอบต่างๆที่จะกล่าวถึงต่อไป.. หากจะกล่าวกันตรงๆTop Gun : Maverickก็ยังคงเป็นหนังแอ็กชันแบบOld-Schoolคือมันไม่ใช่หนังยุคใหม่ แบบหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เต็มไปด้วย สเปเชียลเอฟเฟกต์มากมาย แต่มันคือหนังแอ็กชันแบบที่เน้นสตันท์ การที่นักแสดงหรือนักแสดงแทนเล่นฉากแอ็กชันเสี่ยงตายด้วยตัวเองจริงๆ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ ทอม ครูซ เชื่อมั่นมาโดยตลอด และพิสูจน์มาแล้วในMission: Impossibleหลายต่อหลายภาค ในTop Gun : Maverickทอมและนักแสดงสมทบต่างต้องขับเครื่องบินรบด้วยตัวเอง(และถ่ายทำด้วยตัวเอง โดยใช้กล้องติดไว้ในห้องนักบิน)ดังนั้น ฉากต่างๆในห้องนักบินจึงออกมาสมจริง มากถึงมากที่สุด สิ่งต่างๆที่ปรากฏในหนังล้วนเป็นแอ็กชันที่อาจจะไม่หวือหวาเท่าหนังที่เน้นVFXแต่มันดูเรียล และดึงอารมณ์ได้ดีมากๆ ข้อดีมากๆของTop Gun : Maverickที่ทำให้องค์ประกอบต่างๆลงตัว และดึงผู้ชมเข้าไปสู่หนังได้ตลอดคือPacingหรือจังหวะความเร็วในการเล่าเรื่องของหนัง หนังไม่ได้เร่งรีบอะไรมากมายนัก ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ยืดยาดจนน่าเบื่อ ทุกฉากใช้จังหวะตัดต่อดึงอารมณ์ได้อย่างพอดี และเมื่อฉากต่างๆในการปูเรื่อง ถูกปูมาอย่างพอเหมาะ จนผู้ชมค่อยๆซึมซับอารมณ์ของตัวละคร เริ่มอินกับปมระหว่างตัวละคร พอเมื่อไปถึงฉากไคลแม็กซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง30นาทีสุดท้าย เมื่อทุกอย่างมันขมวดเข้าด้วยกัน กลายเป็นความรู้สึกที่ลุ้น บีบหัวใจ มากกว่าหนังแอ็กชันทั่วไป ฉากบู๊ที่ตื่นเต้นมากๆอยู่แล้ว ยิ่งเร้าอารมณ์เข้าไปใหญ่ด้วยปมแวดล้อมที่ถูกค่อยๆผูกมากอย่างดี อาจกล่าวได้ว่าTop Gun : Maverickเป็นหนังแอ็กชันที่ประณีตในการเล่า และค่อยๆรีดอารมณ์จากผู้ชมได้อย่างดีมาก จนบางครั้งเราอดน้ำตาซึม หรือปรบมิือให้กับตัวละครอย่างไม่รู้ตัว! แม้ว่าTop Gunภาคแรกจะเป็นไอคอนสำคัญแห่งยุค80sแต่Top Gun : Maverickก็สามารถถีบตัวเองให้เป็นภาคต่อที่ยอดเยี่ยมได้ไม่แพ้กัน จนหลายเสียงเทียบเคียงกับThe Godfather IIในแง่ของการที่เป็นภาคต่อที่มีคุณภาพไม่แพ้ต้นฉบับ ในแง่มุมหนึ่ง ตัวภาคต่อนี้ก็ได้Tributeหนังภาคแรกในหลายๆแง่มุม ฉากแอ็กชันบางฉากที่ทำออกมาเพื่อหวนให้ระลึกถึงความเก๋าของความเก่า สดุดีตัวละครกูสที่จากไปในท้ายภาคแรก หรือแม้แต่การนำ"วัล คิลเมอร์"กลับมาในแบบที่เคารพความเป็นเขาในปัจจุบัน ทั้งหมดนี้ล้วนทำไปเพื่อสดุดีความเป็นIconของภาคแรกทั้งสิ้น และในขณะเดียวกันTop Gun : Maverickก็สร้างตำนานบทใหม่ขึ้นมา ด้วยการสร้างตัวละครกลุ่มใหม่ที่น่าจดจำ ด้วยการเป็นหนังแอ็กชันระดับมาตรฐานคุณภาพสูงในยุค2020sใครจะไปคิดว่าภาคต่อที่ทิ้งห่างจากภาคแรกนานถึง36ปี จะกลายมาเป็นหนังซัมเมอร์ระดับคุณภาพในยุคนี้ได้(และจัดเข้ากลุ่มเดียวกับMad Max : Fury Road, Blade Runner 2049รวมถึงTron : Legacyซึ่งกำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี้ เช่นเดียวกัน เข้ากรุ๊ปหนังภาคต่อจากยุค80sที่คุณภาพคับจอ) ท้ายที่สุดต้องขอบคุณพระเอก"ทอม ครูซ"ที่ดื้อแพ่งไม่ยอมให้ พาราเมาต์ปล่อยหนังเรื่องนี้ลงสตรีมมิ่ง อันที่จริงแล้วTop Gun : Maverickต้องฉายตั้งแต่ก่อนยุคโควิดด้วยซ้ำ แต่เพราะงานPost-Productionไม่เรียบร้อย จึงต้องดีเลย์นานนับปี พอเลื่อนมารอบแรกก็เจอโควิดเข้าไป ทำให้เลื่อนอีกหลายครั้ง รวมจากโปรแกรมแรกที่วางไว้ก็เกือบ3ปี จนในที่สุดTop Gun : Maverickก็ได้พบกับผู้ชมบนจอภาพยนตร์ ที่ๆเหมาะสมที่สุดในการดูหนังเรื่องนี้ และไม่เพียงแต่มันจะเหมาะกับการดูในโรงแล้วTop Gunยังเผยให้เห็นข้อดีของระบบพิเศษทั้งหลาย ทั้งIMAXจอยักษ์ที่เพิ่มดีกรีความตื่นตา,ระบบ4DXที่น่าจะทำให้ผู้ชมเหมือนอยู่บนเครื่องบินจริงๆ และล่าสุดกับScreen Xที่ว่ากันว่าเหมือนเราได้นั่งอยู่ในห้องนักบินกับตัวละครเลยทีเดียว!ใครสะดวกระบบไหนก็ลองพิสูจน์กันดู และไม่ต้องกลัวว่า ไม่เคยดูภาคแรกจะดูไม่รู้เรื่อง เพราะมันถูกออกแบบมาให้ดูแยกได้..และจะทำให้คุณอยากกลับไปหยิบTop Gunในปี1986กลับมาดูอย่างแน่นอน(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] 'ELVIS' นี่คือหนัง BIOPIC ที่ทรงพลังและจัดจ้าน ขึ้นแท่นหนังยอดเยี่ยมแห่งปี | GOSSIP GUN

22 มิ.ย. 2022

[REVIEW] 'ELVIS' นี่คือหนัง BIOPIC ที่ทรงพลังและจัดจ้าน ขึ้นแท่นหนังยอดเยี่ยมแห่งปี | GOSSIP GUN

นึกไม่ออกเลยครับ ว่าใครจะสร้างหนังชีวประวัติของศิลปินระดับตำนานอย่าง เอลวิส เพรสลีย์ ได้จัดจ้านเท่ากับผู้กำกับ บาซ เลอห์มานน์ เหมือนโปรเจกต์นี้ ถูกออกแบบมาสำหรับเขาโดยเฉพาะ เหมือนหนังชีวิตของเอลวิส ถูกรอเวลาเพื่อให้เจอคนที่เหมาะมืออย่างบาซ มากำกับ ตลอดระยะเวลาถึง30ปีที่โลดแล่นในวงการภาพยนตร์ บาซ ทำหนังเพียงแค่5เรื่อง(และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่6)แต่ผลงานเขาทั้งโดดเด่น มีเอกลักษณ์ และได้รับความนิยมล้นหลามแทบทุกเรื่อง ไล่ตั้งแต่Strictly Ballroom, Romeo+Juliet, Moulin RougeมาจนถึงThe Great Gatsbyทุกเรื่องที่ภาพจำในความจัดจ้าน ความอลังการPacingเล่าเรื่องที่ไวทั้งหมด ยกเว้นเพียงAustraliaหนังเอพิคโรแมนติกที่ดูจะพลาดไปหน่อยเพียงเรื่องเดียว การกลับมาครั้งนี้ในรอบ9ปี เหมือนบาซสะสมพลังทั้งหมด มาใส่เต็มให้กับเรื่องนี้Elvisพาผู้ชมย้อนกลับไปสมัยที่ราชาแห่งร็อคแอนด์โรลล์ยังไม่มีชื่อเสียง เอลวิส(รับบทโดย ออสติน บัตเลอร์)เติบโตมาในสังคมของคนดำ หลงใหลในดนตรีของคนผิวดำ จนบางครัั้งก็ถูกเหยียดหยามจนคนขาวด้วยกัน จนกระทั่งเขาได้ถูกค้นพบโดย ผู้พันทอม ปาร์กเกอร์(รับบทโดย ทอม แฮงค์ส)ผู้จัดการศิลปิน ที่มองเห็นเพชรเม็ดงาม ที่พร้อมจะถูกเจียระไน ทอมพาเอลวิสไปเซ็นต์สัญญากับค่ายเพลงยักษ์ ไม่นานเอลวิสจึงดังเป็นพลุแตก ด้วยลีลาการโชว์ การเต้น การสะบัดเอวอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้สาวๆต่างคลั่งไคล้ในตัวเขา หนังค่อยๆพาผู้ชมเข้าไปในโลกของเอลวิส ทั้งชีวิตครอบครัว ชีวิตความรัก เส้นทางในวงการ อุปสรรคมากมายที่เขาต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์กับผู้จัดการของเขาเอง ชายที่ทั้งให้โอกาส และในขณะเดียวกันก็ฉกฉวยผลประโยชน์อย่างบ้าคลั่งจากตัวเขานี่คือหนัง บาซ เลอห์มานน์ ที่เป็น บาซ เลอห์มานน์ มากที่สุดเรื่องนึงเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยเอกลักษณ์สไตล์การเล่าเรื่องที่จัดจ้าน หวือหวา ประโคมสิ่งต่างๆเข้ามาในฉากให้มากที่สุด หนังใช้วิธีการตัดต่อที่เร็วPacingในการเล่าค่อนข้างไว มีแค่บางฉากที่เน้นขยี้อารมณ์ ที่ดึงฉากนั้นให้ช้าลงมา ประกอบกับงานออกแบบงานสร้างที่สุดจะอลังการ เสื้อผ้าที่จัดเต็ม และที่พีกที่สุด คือ เมคอัพและออกแบบทรงผม ที่ไม่ใช่แค่ เอลวิส ที่เหมือนจนน่าตกใจ แต่รวมถึงตัวละครผู้พันทอม ผู้จัดการของเอลวิส ที่แต่งให้ ทอม แฮงค์ส กลายเป็นตัวละครดังกล่าวอย่างเต็มตัว และที่น่าทึ่งคือ หนังเล่าในหลายช่วงเวลา กินเวลานานหลายสิบปี เราจะเห็นตัวละครต่างๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งรูปร่างหน้าตา ซึ่งดูเป็นธรรมชาติจนต้องปรบมือให้ทีมเบื้องหลังของหนังมากๆแต่หัวใจสำคัญจริงๆของElvisก็คือตัวละครเอลวิส ที่ไม่รู้จะต้องขอบคุณอะไร ที่ทำให้ บาซ เลอห์มานน์ ได้เจอกับ ออสติน บัตเลอร์ นักแสดงหนุ่มวัย31ปีคนนี้ สามารถกลายเป็นเอลวิสได้อย่างไม่มีที่ติ ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่เขาสามารถแสดงอารมณ์จากข้างใน ฉากแสดงอารมณ์ที่ซับซ้อน เขาแสดงได้อย่างทรงพลัง และที่ต้องชมมากขึ้นไปอีก คือ ออสติน ร้องเพลงของเอลวิสในหนังด้วยตัวเอง ยิ่งตอกย้ำถึงความครบเครื่องของเขาคนนี้ และแม้จะต้องประกบกับนักแสดงเบอร์ใหญ่อย่าง ทอม แฮงค์ส ในแทบทุกฉาก แต่ออสตินก็สามารถโดดเด่น และดึงสปอตไลท์มาไว้ที่ตัวเองด้วยการแสดงอันน่าทึ่งได้ตลอด ในขณะที่ ทอม แฮงค์ส ก็ถ่ายทอดบทผู้พันทอม ได้อย่างไร้ที่ติเช่นกัน นี่คือตัวละครสีเทา ที่ทอมสามารถบาลานซ์สิ่งที่จะถ่ายทอดออกมาได้ดี และเขาก็ทำหน้าที่เป็นผู้บรรยายเรื่องราวในหนังได้อย่างลงตัวอีกด้วยนี่ไม่ใช่หนังที่เหมาะสำหรับแค่แฟนเอลวิสเท่านั้น แต่นี่คือหนังเด็ดหนึ่งเรีื่องที่ควรค่าแก่การชมในโรงภาพยนตร์ หนังเต็มไปด้วยพลังงานที่ถูกส่งออกมาจากหน้าจอ มันทั้งทรงพลัง จัดจ้าน ฉูดฉาด หวือหวา อาจกล่าวได้ว่าไม่มีฉากไหนที่ บาซ เลอห์มานน์ เบามือกับมันเลย ทุกฉากถูกบีบเค้น ถูกถาโถมด้วยสไตล์อย่างไม่ยั้ง แน่นอนว่าต้นปีหน้า เราคงได้เห็นชื่อหนังElvisโลดแล่นบนเวทีรางวัลอย่างแน่นอน อย่างน้อยสาขา เมคอัพและแฮร์สไตล์ลิส,ออกแบบเครื่องแต่งกาย,ออกแบบงานสร้าง ต้องได้เข้าชิง รวมไปถึง นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ต้องลุ้นให้ค่ายวอร์เนอร์ฯ สามารถรักษากระแสของหนังไปได้เรื่อยๆ และทำแคมเปญโปรโมต ออสตินให้หนักๆอีกครั้งในช่วงประกาศผลรางวัล ไม่แน่เขาอาจจะไม่ใช่แค่ผู้เข้าชิง เพราะคุณภาพการแสดงที่เขาถ่ายทอดออกมา สามารถเป็นถึงผู้ชนะได้อย่างสบายๆ(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ชมตัวอย่างElvisสัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Warner Bros. Thailand

[REVIEW] ‘Knives Out : Glass Onion’ ฆาตกรรมหรรษาเคสใหม่ สนุกฮาชั้นเชิงเกินร้อย| GOSSIP GUN

22 ธ.ค. 2022

[REVIEW] ‘Knives Out : Glass Onion’ ฆาตกรรมหรรษาเคสใหม่ สนุกฮาชั้นเชิงเกินร้อย| GOSSIP GUN

ยกให้เป็นหนังโคตรสนุกส่งท้ายปีเลยก็ว่าได้ สำหรับภาคใหม่ของ Knives Out หนังตามหาฆาตกรสไตล์ Whodunit ที่มาพร้อมกับความแสบสันต์ และทีมนักแสดงชุดใหญ่ ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน Knives Out กลายเป็นหนังระดับโคตรฮิตและกวาดคำวิจารณ์ในแง่บวกไปเพียบ จากทุนสร้างเพียง 40 ล้านเหรียญฯ สามารถทำรายได้ทั่วโลกไปกว่า 300 ล้าน กลายเป็นแฟรนไชส์ใหม่สำหรับพระเอก แดเนียล เคร็ก หลังโบกมือลาบท เจมส์บอนด์ ไปแล้ว เขาก็ได้หนังฮิตชุดใหม่ต่อทันที และเมื่อหนังสามารถเรียกผู้ชมได้มากขนาดนี้ Netflix เลยตาไว ซื้อสิทธิจากค่าย Lionsgate ไปซะเลย และซื้อแบบรวดเดียวทั้งภาค 2 และ 3 ทำให้หนัง Knives Out ภาคใหม่นี้ ผู้ชมจะไม่ได้ดูในโรงเหมือนภาคก่อน แต่จะลงให้ชมใน Netflix เป็นสเต็ปแรกไปเลยหนังภาคใหม่นี้ ใช้ชื่อเต็มๆว่า "Glass Onion : A Knives Out Mystery” พาผู้ชมไปหรรษากับคดีใหม่ของ นักสืบเบอร์นัวห์ บลองค์ ซึ่งรับบทโดย แดเนียล เคร็ก เขาคือนักแสดงคนเดียวจากภาคแรกที่กลับมาแสดงในภาคต่อนี้ โดยเบอร์นัวห์ ได้บัตรเชิญให้ไปร่วมงานปาร์ตี้สุดเอ็กซ์คลูซีฟ บนเกาะส่วนตัวสุดหรู ที่ทะเลในประเทศกรีซ ซึ่งเจ้าของคือมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยจากเทคโนโลยีใหม่ๆ เมื่อเขามาถึงก็ได้พบว่า แขกทั้งหมดล้วนเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมานานของ เศรษฐีคนนี้ ซึ่งทั้ง นักการเมืองปากเก่ง ยูทูปเบอร์สุดเพี้ยน อดีตนางแบบสาวตัวแม่ และอีกเพียบ โดยทุกคนจะต้องมาร่วมสนุกกับการไขปริศนาคดีฆาตกรรม แต่ทุกอย่างกลับเข้มข้นขึ้น เมื่อมีหนึ่งในกลุ่มเพื่อน เสียชีวิตจริงๆ แต่ใครคือฆาตกรกันแน่ ?สามารถพูดได้เต็มปากว่า Glass Onion คือหนังที่โคตรสนุก โคตรแสบ และคาดเดาไม่ได้จริงๆ ดูเหมือนองค์ประกอบในหลายๆอย่างจะถูกเพิ่มขึ้นจากภาคก่อน หลังจากที่ Knives Out ภาคแรกกลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จเกินคาด กลายเป็นจุดที่เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้กำกับ ไรอัน จอห์นสัน มากยิ่งขึ้น ว่าเขามาถูกทางแล้ว กับการผสมผสานระหว่างหนังสไตล์ตามหาฆาตกรสุดเข้มข้น กับหนังตลกเสียดสีสุดแสบสันต์ สิ่งที่ผู้ชมชื่นชอบ ดูเหมือนจะถูกเพิ่มดีกรีในภาคนี้หมด สิ่งที่ทำให้หนังสนุกมาก คือชั้นเชิงในการเล่าเรื่องของไรอัน มันไม่ใช่แค่ผู้ชมจะลุ้นว่าใครจะตาย ใครคือฆาตกร แต่ดีเทลต่างๆที่ใส่มา ล้วนมีความสำคัญแทบทั้งหมด มุกเล็กๆน้อยๆที่หยอดไว้ มันอาจจะเชื่อมโยงกับอะไรบางอย่างหลังจากนั้นก็ได้ กลายเป็นหนังที่เล่าอย่างแพรวพราวจริงๆสิ่งที่ถูกเพิ่มดีกรีขึ้นมาใน Glass Onion อย่างชัดเจนอีก คืองานโปรดักชั่น และอารมณ์ขันสุดแสบ หลังจากที่ภาคแรกเน้นการเล่าเรื่องในคฤหาสน์สุดหรูของคุณปู่ ภาคนี้จัดความใหญ่ด้วยเกาะส่วนตัวกันไปเลย ซึ่งมีรายละเอียดของสถานที่ที่อลังการอยู่ไม่น้อย (รวมถึงสถานที่ที่จะเผยว่าชื่อหนัง Glass Onion หมายถึงอะไร) อีกจุดที่เพิ่มดีกรีขึ้นมา คือ ความตลกแบบแสบจี๊ด หลังจากภาคแรกเสียดสี สังคมอเมริกาและการเมืองแบบไม่แตะเบรก ภาคนี้ดูเหมืิอนจะเสียดสีและล้อเลียน กลุ่มคนที่ถูกยกให้เป็น Elite ของสังคม ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐีเทคโนโลยี (แบบ อีลอน มัสก์) ผู้ที่โด่งดังจากโลกออนไลน์ โดยมุกต่างๆที่แทรกไว้ ค่อนข้างเวิร์กเลยทีเดียว และจังหวะการเล่น การขยี้ก็ค่อนข้างลงตัว จากรอบปฐมทัศน์ในไทยที่ Netflixจัดฉายพิเศษในโรง สามารถบอกได้ว่า หัวเราะกันลั่นโรงจริงๆพาร์ทสำคัญที่เป็นไฮไลต์ของหนังสไตล์ Whodunit คือ Ensemble Cast หลักจากภาคนี้ ไรอัน จอห์นสัน ชวนนักแสดงดังๆมาร่วมแสดงกันแน่นจอ ภาคนี้แม้ว่าดีกรีความดังของนักแสดงอาจจะเทียบภาคแรกไม่ได้ แต่ว่าแต่ละคนก็มีของแบบไม่ธรรมดา ประกอบด้วย เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน, เคต ฮัดสัน, เดฟ บอทิสต้า, แคทเธอรีีน ฮาห์น แต่ที่โดดเด่นเหนือออกมา คือการแสดงของ จาเนล โมเน่ห์ ในบทเพื่อนรักเพื่อนแค้นของคนกลุ่มนี้ ด้วยคาแรคเตอร์ของเธอทำให้ จาเนล สามารถโชว์สกิลได้อย่างหลากหลาย ส่วนนักแสดงนำอย่าง แดเนียล เคร็ก ภาคนี้ดูเหมือนเขาจะเอ็นจอยกับบทมากขึ้น แดเนียลดูสบาย ดูสนุกกับบท จนทำให้คนดูเพลิดเพลินกับตัวละครนี้ไปด้วย จนอยากจะตามต่อภาคหน้าแล้วว่าเขาจะไปคลี่คลายคดีที่ไหนโดยรวม Glass Onion : A Knives Out Mystery ถือเป็นหนังโคตรบันเทิงมากๆ ผสมผสานระหว่างหนังสืบหาฆาตกรกับตลกเสียดสีอย่างลงตัว จนไม่แปลกใจที่หลายๆสถาบันจะให้เรื่องนี้ติดอันดับหนังยอดเยี่ยมของปีด้วย รวมถึง แดเนียล เคร็ก ก็ได้ชิงรางวัลในหลายๆสถาบัน นอกจากทีมนักแสดงสุดแสบแล้ว Knives Out ภาคนี้ยังแอบใส่นักแสดงรับเชิญไว้หลายคน นอกจากคนดูจะเซอร์ไพรสกับเส้นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้แล้ว ยังจะเซอร์ไพรสกับแขกรับเชิญที่หนังใส่มาอีกด้วย (นักแสดงบางคนมาแต่เสียงก็มี) นี่จึงเป็นหนังที่สนุกและห้ามพลาดส่งท้ายปี แม้ว่าคุณจะยังไม่เคยดูภาคแรกมาก่อน ก็สามารถมาเอ็นจอยกับภาคนี้ได้เลย เพราะเป็นการเปิดคดีใหม่ เส้นเรื่องไม่ได้เกี่ยวโยงกันGlass Onion : A Knives Out Mystery สตรีม 23 ธันวาคมใน Netflix

album

0
0.8
1