[REVIEW] ‘Avatar : The Way of Water’ ปรากฏการณ์แห่งโลกภาพยนตร์ ตื่นตาอ้าปากค้าง | GOSSIP GUN

NEW RELEASE

[REVIEW] ‘Avatar : The Way of Water’ ปรากฏการณ์แห่งโลกภาพยนตร์ ตื่นตาอ้าปากค้าง | GOSSIP GUN

15 ธ.ค. 2022

คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะสร้างภาคต่อของหนังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก Avatar ภาคแรกออกฉายเมื่อ 13 ปีก่อน และยังครองตำแหน่งหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของโลก ด้วยรายได้ 2.9 พันล้านเหรียญฯ มันกลายเป็นหนังในดวงใจของใครหลายๆคน มันกลายเป็นหนังที่พลิกโฉมโลกภาพยนตร์ ด้วยเทคโนโลยีการสร้างที่ทันสมัย ดังนั้น เมื่อ เจมส์ คาเมรอน ต้องสร้างภาคต่อให้กับหนังที่ฮิตที่สุดในโลก เขาจึงต้องใช้เวลา และเขาไม่ได้มาแค่เล่นๆ เพราะหนังภาคต่อถูกวางแพลนยาวๆถึงภาค 5 กันเลยทีเดียว (ตอนนี้ถ่ายทำภาค 3 เสร็จแล้ว และถ่ายภาค 4 ไปได้องค์แรก) ดังนั้นผู้ชมจึงต้องรอนานมากกว่าทศวรรษเพื่อกลับสู่แพนโดร่าอีกครั้ง

Avatar : The Way of Water เล่าเหตุการณ์มากกว่า 10 ปีหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก (ห่างพอๆกับปีฉายหนังทั้งสองภาคนั่นเอง) เมื่อ เจคและเนทีรี ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข พร้อมกับสมาชิกครอบครัวใหม่ ทายาทของพวกเขาถึง 4 คน แต่แล้ว มนุษย์ก็ยังไม่หยุดแผนการณ์ที่จะเข้ายึดครองดาวดวงแห่งนี้ แถมยังขยายเขตอาณานิคมกว้างขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจึงต้องลุกขึ้นสู้ เพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์ และได้พบว่าผู้พันไมล์ ศัตรูจากภาคแรกที่แม้เจคจะสังหารไปแล้ว กลับปรากฏตัวขึ้นในร่างใหม่ (แต่เพราะอะไรต้องไปดูกันในหนัง) โดยไมล์มีเป้าหมายเดียว คือการตามล่าเจค และสังหารเขา นี่คือความแค้นส่วนตัวที่นำไปสู่การไล่ล่าครั้งใหม่ เจคจึงต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องครอบครัว นำไปสู่การผจญภัย การต่อสู้ และสงคราม ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

สิ่งที่ทำให้ เจมส์ คาเมรอน ใช้เวลาเตรียมงานสร้างภาคต่อ Avatar นานกว่าทศวรรษคือการพัฒนาเทคโนโลยี ภาคแรกผู้ชมจะเห็นความสมจริง จากการถ่ายทำแบบเทคนิค Motion-Capture ดังนั้น สีหน้า แววตา การขยับตัวของตัวละครจะเหมือนนักแสดง แต่ภาคนี้ไอเดียเขาล้ำกว่า คือจะถ่าย Motion-Capture แบบในน้ำ ซึ่งไม่มีใครเคยทำมาก่อน เขาจึงต้องทดลองอยู่นาน ซึ่งความพยายามนี้เอง ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะไฮไลต์ที่โดดเด่นจริงๆของ The Way of Water นั้น คือฉากใต้น้ำนี่เอง หนังใช้เวลาถึง 2 ใน 3 ของเรื่องกับฉากเหนือน้ำและใต้น้ำ ทำให้เทคนิคนี้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างคุ้มค่า ภาพที่ปรากฏบนจอดูสวยสะกดสายตามากๆ ทำให้สิ่งที่เห็นแล้วตื่นตะลึงในภาคแรก ถูกอัพเลเวลความน่าตื่นตาขึ้นไปอีก ยิ่งดูในระบบ IMAX 3D ยิ่งเพิ่มอรรถรส เหมือนเราหลุดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งนั้นจริงๆ เหมือนเราลงไปในมหาสมุทรจริงๆก็ว่าได้ (ดีไม่ดี สวยกว่าของจริงด้วย)

นอกจากงานสร้างที่สามารถเรียกว่า Visual Stunning สวยงามระดับตื่นตะลึงแล้ว สิ่งที่ทำให้ Avatar ภาคใหม่ตรึงผู้ชมได้ดี คือการไต่ระดับอารมณ์ของหนัง โดยเฉพาะในชั่วโมงสุดท้าย เจมส์ คาเมรอน สามารถเนรมิตฉากไคลแมกซ์สุดยิ่งใหญ่ออกมาได้อย่างไม่ผิดหวัง โดยเฉพาะซีนแอ็กชันในภาคนี้ เล่นใหญ่มาก และทำเอาลุ้นระทึกได้ตลอด แถมดีไซน์มุมกล้องออกมาได้สดใหม่ ทำให้เพิ่มความว้าวขึ้นไปอีก แต่ปัญหาหลักของ Avatar ภาคนี้ กลับเป็นเส้นเรื่อง ที่เหมือนจะยังไม่ได้เดินหน้าไปไหนมากนัก (จนหลายคนแซวว่าหนังรีเมกภาคแรกด้วยซ้ำ) หนังยังคงวนเวียนอยู่กับตัวละครกลุ่มเดิม จากภาคแรกที่เป็นการปกป้องเผ่าพันธุ์และอาณาจักร ภาคนี้ดูเหมือนกับโฟกัสที่ปมแค้นส่วนตัวของตัวละครมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้พลังความหึกเหิม และอารมณ์ร่วมค่อนข้างลดหายไปอยู่บ้าง (แต่ถ้าคิดซะว่าเป็นแผนยาว ที่เขาต้องสร้างถึงภาค 5 ก็พอเข้าใจอยู่ว่าจะเก็บอะไรไว้เล่าอีกเยอะ)

โดยรวม Avatar : The Way of Water คือหนังอีกหนึ่งเรื่องที่สามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็น Cinema Experience ผู้ชมจะได้สัมผัสประสบการณ์ในการดูหนังในโรงที่ยอดเยี่ยม แม้ว่าตัวหนังเองอาจจะไม่ได้สดใหม่เท่าภาคแรก แต่มันก็ยกระดับงานสร้างขึ้นไปจากเดิม อรรถรสในการดูหนังเรื่องนี้ จึงอยู่ที่การได้ดูในโรงภาพยนตร์ที่จอใหญ่ๆ และเสียงกระหึ่มจริงๆ นี่คือหนังอีกเรื่องที่ตอกย้ำว่า การดูหนังในโรงมันแตกต่างจากดูที่บ้านอย่างไร เพราะเชื่อเหลือเกินว่า เมื่อหนังถูกลงในระบบสตรีมมิ่งแล้ว ถ้าดูซ้ำ คงไม่ได้อ้าปากค้าง หรีือเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแพนโดร่า เหมือนตอนดูในโรงอีกแล้ว

ชมตัวอย่าง Avatar : The Way of Water วันนี้ในโรงภาพยนตร์

ภาพ : 20th Century Studios Thailand

related NEW RELEASE

[REVIEW] ‘PROJECT SILENCE’ อีกครั้งที่หนังเกาหลีทำถึง จัดหนักหายนะแบบมะรุมมะตุ้ม

28 ส.ค. 2024

[REVIEW] ‘PROJECT SILENCE’ อีกครั้งที่หนังเกาหลีทำถึง จัดหนักหายนะแบบมะรุมมะตุ้ม

จากความสำเร็จของ ‘Train To Busan’ ที่เป็นหมุดหมายสำคัญ ส่งให้แวดวงหนังเกาหลีก็ขยันสร้างสรรค์ไอเดียหนังหายนะ ให้ออกมามีความแปลกใหม่อยู่เสมอ ครีเอตสถานการณ์อันบีบคั้นด้วยข้อจำกัดที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับหนังแอ็กชันโปรเจกต์ยักษ์ล่าสุดอย่าง ‘Project Silence’ ที่ใส่ข้อแม้เพื่อให้ตัวละครเอาตัวรอด เปลี่ยนจากซอมบี้ที่เริ่มซ้ำซากในยุคหลัง เป็น ‘สุนัขชีวะ’ ที่ผ่านการทดลองทางการทหารให้สังหารมนุษย์อย่างอำมหิต โอกาสที่มนุษย์หน้าไหนจะรอดไปนั้น โอกาสคือศูนย์ จะเปลี่ยนเซ็ตติ้ง จากพื้นที่จำกัดทั้งบนรถไฟหรือเครื่องบิน ให้เป็นสะพานสูงที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และใส่อีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญเพิ่มเข้ามาอีก คือหมอกที่บดบังวิสัยทัศน์ของทุกตัวละคร ทำให้อาจกล่าวได้ว่า ‘Project Silence’ คือหนังที่จัดองค์ประกอบความหายนะ เสิร์ฟมาให้แบบเต็ม ๆ เข้าขั้นมะรุมมะตุ้มอย่างที่เกริ่นไปเลยทีเดียวศูนย์กลางของ ‘Project Silence’ คือ จองวอน (รับบทโดย อีซอนคยุน นักแสดงผู้ล่วงลับจาก ‘Parasite’) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงความมั่นคง ที่กำลังขับรถไปส่งลูกสาวที่สนามบินเพื่อเรียนต่อ แต่อุบัติเหตุครั้งใหญ่ก็ได้เกิดขึ้นบนสะพานเชื่อมระหว่างกรุงโซล กับ สนามบินอินชอน เมื่อหมอกหนาเริ่มปกคลุม ทำให้เกิดเหตุการณ์รถชนกันนับสิบ และหนึ่งในนั้น คือรถบรรทุกลึกลับของกองทัพ ที่กำลังขนอาวุธลับร้ายแรง ไม่นานผู้ประสบภัยบนสะพานก็ค่อย ๆ รู้ชะตากรรมว่าอาวุธดังกล่าว คือ สุนัขที่ผ่านการทดลอง ให้เป็น อาวุธสังหาร มีความแข็งแกร่งและเกรี้ยวกราด พร้อมที่จะสังหารมนุษย์ทุกชีวิต ในขณะที่ทุกคนกำลังพยายามหนีเอาตัวรอด สะพานก็เริ่มพังและถูกตัดขาดจากโลกภายนอก พวกเขาจะเอาตัวรอดได้อย่างไร เมื่อสะพานแห่งนี้เต็มไปด้วยความคลั่ง และความตายที่รอพวกเขาอยู่เชื่อว่าหลายคนรอคอย ‘Project Silence’ เพราะนี่คือผลงานการแสดงชิ้นสุดท้ายของ อีซอนคยุน นักแสดงผู้ล่วงลับที่ฝากผลงานชิ้นนี้ไว้เป็นเรื่องสุดท้าย โดยรวมซอนคยุนยังคงฝากฝีมือการแสดงไว้ได้อย่างน่าจดจำ กับตัวละครที่ค่อนข้างมีมิติ โดยเฉพาะซีนท้าย ๆ เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้สึกบีบหัวใจ และยิ่งคิดถึงเขามากขึ้นไปอีก ว่าหลังจากนี้จะไม่ได้ดูฝีมือการแสดงของนักแสดงมากฝีมือคนนี้อีกแล้ว และที่โดดเด่นไม่แพ้กัน จนไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ จูจีฮุน ที่คาแรกเตอร์ในหนังรับบทเป็นคนขับรถสิบล้อ ที่มีมาดกวนและเรียกเสียงฮาได้ตลอด ต่างจากมาดนิ่ง ๆ แบบในซีรีส์ ‘Kingdom’ หรือหนังอย่าง ‘Along with The Gods’ กลายเป็นตัวละครของ จูจีฮุน ที่สร้างความบันเทิงและเรียกเสียงฮาได้ตลอดทั้งเรื่อง ทุกครั้งที่ปรากฏตัวขโมยซีนอยู่เสมอ สามารถบาลานซ์จากความจริงจังของตัวละคร อีซอนคยุน ให้หนังมีความครบรสมากยิ่งขึ้น มีทั้งมุมจริงจังมาก ๆ และมุมผ่อนคลายเรื่อย ๆและ ‘Project Silence’ คืออีกครั้งที่เกาหลีสามารถทำหนังหายนะได้อย่างถึงรสชาติ แน่นอนว่าเรื่องของงานโปรดักชั่นแทบจะไม่ต้องเป็นห่วง เพราะงานสร้างดูยิ่งใหญ่ สมจริง และสร้างอารมณ์ร่วมได้อย่างดี ที่เอ่ยว่าทำถึง คือหนังสามารถใส่สถานการณ์ชวนตื่นเต้น เสิร์ฟความระทึกมาให้แบบไม่หยุดหย่อน แค่คนดูติดตามเชียร์ตัวละคร ให้รอดพ้นไปจากสถานการณ์ต่าง ๆ ไปตามเส้นเรื่องก็สนุกมากพอแล้ว หนังใส่อุปสรรคต่าง ๆ เข้ามาอย่างไม่สนใจว่ามันจะเว่อร์ หรือเกินจริง เน้นให้คนดูได้เอ็นจอยกับหายนะที่ถาโถมไปเลย แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยมาตรฐานที่ถูกวางไว้สูงโดย ‘Train To Busan’ ตัวหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้แตะสแตนดาร์ดนั้น ในแง่ของความบีบคั้นของเรื่องราว และแง่มุมสะท้อนสังคมที่เรื่องดังกล่าวทำได้เหนือกว่า แต่โดยรวม ‘Project Silence’ ก็ยังเป็นหนังหายนะที่สนุก แปลกใหม่ น่าสนใจทั้งฉากต่าง ๆ และตัวละคร สามารถดูแบบบันเทิงและเอ็นจอยได้อย่างแน่นอนชมตัวอย่าง Project Silence เขี้ยวชีวะคลั่งสะพานนรก ก่อนเข้าไปชมพร้อมกัน 29 สิงหาคมในโรงภาพยนตร์ภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

[REVIEW] ‘John Wick : Chapter 4’ มหากาพย์โลกนักฆ่า ดันบาร์ฉากแอ็กชันสูงลิบ | GOSSIP GUN

24 มี.ค. 2023

[REVIEW] ‘John Wick : Chapter 4’ มหากาพย์โลกนักฆ่า ดันบาร์ฉากแอ็กชันสูงลิบ | GOSSIP GUN

จักรวาลของหนังนักฆ่าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปตั้งแต่มี John Wick หนังแอ็กชันแฟรนไชส์นี้ สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับหนังประเภทนี้อยู่เรื่อยๆ นับตั้งแต่โลกได้รู้จักหนังเรื่องนี้ครั้งแรกในปี 2014 เรื่องราวของนักฆ่าที่วางมือไปแล้ว แต่กลับต้องมาจับปืนอีกครั้ง เพื่อล้างแค้นให้กับสุนัขที่เขารักยิ่งชีพ (เพราะมันคือตัวแทนของภรรยาที่เสียไปแล้ว) จากปมเล็กๆ หนังค่อยๆขยายจักรวาลของนักฆ่าให้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการวางกฏเกณฑ์ วางแบบแผนให้โลกนักฆ่าในหนัง John Wick ดูมีสไตล์ มีรสนิยม ผสมกับฉากต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่าน จากการสั่งสมวิชาของ แชด สตาร์เฮลสกี้ ผู้กำกับหนังที่เติบโตมาจากการเป็นสตันท์ (เขาเคยเล่นเป็นสตันท์ให้ คีอานู รีฟส์มาแล้วใน The Matrix) ทำให้เมื่อแฟรนไชส์นี้ ดำเนินไป มันยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กวาดคำชมมากขึ้นเรื่อยๆ และทำเงินมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับ John Wick : Chapter 4 ที่ยังไม่ทันฉายก็คว้าคะแนนบวกจากRotten Tomatoes ไปถึง 93% แล้ว สูงสุดในบรรดาหนังทั้ง 4 ภาค เช่นเดียวกับรายได้ที่ถูกคาดหมายไว้แล้วว่า นี่คงจะเป็นภาคที่เปิดตัวแรงสุดเท่าที่จักรวาล John Wick เคยมีมาใน John Wick : Chapter 4 เส้นทางชีวิตของ จอห์น เดินทางมาถึงจุดสำคัญ เมื่อเขาถูกอัปเปหิออกจากโลกของนักฆ่า เขาไม่มีสังกัด ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้ และค่าหัวเขาค่อยๆเพิ่มขึ้นในระดับที่คาดไม่ถึง ภาคนี้ จอห์น ต้องเผชิญหน้ากับ อดีตมิตรที่ด้วยเหตุผลบางอย่าง วันนี้เขากลายเป็นศัตรู อย่าง เคน (รับบทโดย ดอนนี่ เยน จาก Ip Man) นักฆ่าตาบอดที่ฝีมือเก่งกาจ เขาต้องเด็ดหัวจอห์น จากคำสั่งของ มาร์คีย์ (รับบทโดย บิลล์ สการ์การ์ด จาก It) สมาชิกระดับสูงของสภาที่ต้องการจบทุกปัญหา เขามาพร้อมกับอำนาจล้นมือ ที่สั่งการให้ยุบทุกโรงแรมที่ให้จอห์นพักพิง สังหารทุกคนที่ช่วยให้จอห์นหลบหนี ทางเดียวที่จอห์นจะรอดพ้นจากการตามล่าครั้งนี้ได้ คือการท้าดวล แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งต้องแลกด้วยชีวิต ถ้าชนะ จอห์นจะรอดพ้นจากทุกคำสั่งตามล่า ไม่ว่าใครที่แพ้ คนนั้นจะมีจุดจบเดียวคือความตายคงจะไม่เกินจริงนัก ถ้าจะกล่าวว่า John Wick : Chapter 4 คือภาคที่เด็ดสุดและเดือดสุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยเส้นเรื่องที่ตึงเครียดยิ่งกว่าทุกภาค ผนวกกับฉากแอ็กชันที่ระดับเวิร์ลคลาส อาจกล่าวได้ว่า John Wick : Chapter 4 คือหนังที่ดันบาร์ความเจ๋งของฉากต่อสู้ขึ้นไปในอีกระดับ ผู้สร้างรู้ดีว่าจุดเด่นของหนังตระกูลนี้คืออะไร ดังนั้น หนังจึงจัดให้ผู้ชมแบบเต็มสูบ หลังจากดูมา 3 ภาคแล้วอาจจะสงสัยว่า ผู้สร้างหมดมุกกับฉากบู๊แล้วหรือยัง แต่ปรากฏว่า หนังยังคงงัดอะไรใหม่ๆออกมาให้ผู้ชมได้อย่างต่อเนื่อง เริ่มจากฉากใหญ่ในญี่ปุ่น ต่อเนื่องมาถึงอิตาลี และปิดท้ายที่ฝรั่งเศส หนังสามารถส่งฉากแอ็กชันขั้นเทพออกมาได้อย่างต่อเนื่อง และไต่ระดับความเดือดได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนอยากจะลุกขึ้นปรบมือให้กับ การออกแบบคิวบู๊ ซึ่งนี่น่าจะเป็นหนังที่ออกแบบคิวบู๊ได้ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบทศวรรษเลยก็ว่าได้สิ่งที่ทำให้ฉากแอ็กชันใน John Wick : Chapter 4 เหนือกว่าหนังเรื่องไหน จนหลายเสียงพร้อมยกให้เป็นหนังแอ็กชันที่เดือดสุดในรอบหลายปี คือการผสมผสานกันอย่างลงตัวของ Choreographer การออกแบบคิวบู๊ที่ไหลลื่นแบบนันสต็อป ซึ่งทุกท่วงท่าถูกนำเสนออย่างหนักแน่น ดุดัน และรุนแรงเต็มสูบแบบไม่ยั้งอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดถูกจัดวางลงในฉากต่างๆที่เต็มไปด้วยลูกเล่นแบบใหม่ แค่เฉพาะฉากในกรุงปารีส ก็สดใหม่ไม่ซ้ำแล้ว ทั้งฉากต่อสู้รอบๆประตูชัยที่มีรถจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉากในอาคารที่ถ่ายทำแบบ Bird's Eye View บวกกับ Long Take และไฮไลต์จริงๆคือ ฉากบันได ที่นำเสนอแบบเต็มไปด้วยไอเดียและอารมณ์ขัน ผสมผสานกับการจัดแสงแบบจัดจ้าน ทุกฉากจึงออกมาตื่นตาและตรึงอารมณ์ กลายเป็นหนังแอ็กชันที่เต็มไปด้วยฉากจำมากมายแน่นอนว่า คีอานู รีฟส์ ยังคงโดดเด่นในบท จอห์น วิค เขายกระดับตัวเองด้วยการแสดงฉากต่อสู้แบบหินๆมากมาย สมาชิกเก่าอย่าง เอียน แมคเชน และลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น ยังคงเป็นสีสันสำคัญให้กับหนัง แต่ไฮไลต์จริงๆ น่าจะต้องยกให้สมาชิกใหม่อย่าง ดอนนี่ เยน ซึ่งหนังสร้างคาแรคเตอร์เขาออกมาได้อย่างมีมิติ และทุกฉากบู๊ที่เขาเข้าไปมีส่วนร่วมนั้น ล้วนเต็มไปด้วยพลัง ดอนนี่เพิ่มความเจ๋งให้ซีนนั้นๆ ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว สามารถตรึงคนดูได้ตลอด และตัวร้ายหลักภาคนี้อย่าง บิล สการ์การ์ด การแสดง สายตาและน้ำเสียงอันเยือกเย็น แผ่รังสีอำมหิตและความน่าเกรงขาม มาได้แบบเต็มๆตั้งแต่ซีนแรก เรารู้ทันทีว่าตัวละครนี้ไร้ความปราณี และไม่มีทางใจอ่อนต่อคนรอบข้างอย่างแน่นอน นี่คือคู่ปรับที่อันตรายของ จอห์น วิค ถือเป็นตัวร้ายที่ทำให้หนังยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกJohn Wick : Chapter 4 คือหนังแอ็กชันที่มาเพื่อยกระดับหนังแอ็กชันอย่างแท้จริงๆ หนังอัดแน่นไปด้วยฉากการต่อสู้แบบเทพๆ ที่มาแบบนันสต็อป แต่ละฉากลากยาวแบบจบฉากนั้น คนดูต้องเหนื่อยกันบ้าง นอกจากนี้เส้นเรื่องยังช่วยเพิ่มอารมณ์ความเข้มข้นให้ทุกฉาก ดูจริงจัง ดูบีบอารมณ์ขึ้นไปอีก ผสมผสานกับสไตล์ด้านภาพและเพลงที่ทำให้ John Wick คือหนังแอ็กชันที่มีรสนิยม โรยนิดๆด้วยอารมณ์ขันแบบตลกหน้าตาย ซึ่งเป็นรสชาติที่ขาดไม่ได้ของหนังชุดนี้ และด้วยความยาวมากกว่า 2 ชั่วโมง 40 นาที ทำให้หนังภาคนี้ มีความเป็นหนัง เอพิค ค่อนข้างสูง ดังนั้น นี่คือหนังแอ็กชันที่รับประกันว่าคุ้มค่าตั๋วอย่างแน่นอน ใครที่กำลังจะไปชม ขอแนะนำว่าเข้าห้องน้ำให้พร้อม เพราะหลัง End-Credit ยังมีฉากแถมอีก 1 ฉากที่คุณไม่ควรพลาดอีกด้วยภาพ : Mongkol Major Mongkol CinemaJohn Wick : Chapter 4 แรงกว่านรก วันนี้ในโรงภาพยนตร์ทุกระบบ

[REVIEW] 'บุพเพสันนิวาส ๒' ปรากฏการณ์ฟินครั้งใหม่ ยิ่งใหญ่ระดับหนังเอพิก | GOSSIP GUN

27 ก.ค. 2022

[REVIEW] 'บุพเพสันนิวาส ๒' ปรากฏการณ์ฟินครั้งใหม่ ยิ่งใหญ่ระดับหนังเอพิก | GOSSIP GUN

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า "บุพเพสันนิวาส" คือปรากฏการณ์ละครโทรทัศน์ ละครพีเรียดจากนิยายของ รอมแพงเรื่องนี้ ค่อยๆไต่เรตติ้งจากตอนแรก 3.8 ทั่วประเทศ ไปจนถึงตอนอวสานที่จบด้วยเรตติ้ง 18.6 กลายเป็นความสำเร็จอย่างงดงามสำหรับ ช่อง 3 ผู้จัดอย่าง บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น และกระแสพระนาง โป๊ป ธนวรรธน์ และเบลล่า ราณี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่จางหาย และคำว่า ออเจ้า กลายเป็นคำฮิตติดปากระดับแมสขั้นสุด ไม่มีใครไม่รู้จักว่า ออเจ้า เป็นคำที่มาจากไหน นอกจากทางบรอดคาซท์ ที่หยิบนิยายเล่มต่อไปอย่าง พรหมลิขิต มาสร้างเป็นละครภาคต่อแล้ว โปรเจกต์ยักษ์ใหญ่สะเทือนวงการภาพยนตร์ คือการจับมือกับ GDH เพื่อสร้างหนัง "บุพเพสันนิวาส ๒" ซึ่งไม่บ่อยครั้งนัก ที่ละครจะมาสร้างภาคต่อเป็นหนังได้ เพราะต้องมีกลุ่มผู้ชมเหนียวแน่นพอจริงๆ ที่จะยอมเสียเงินซื้อตั๋วเข้าไปดู แบบเดียวกับ นาคี ๒ ซึ่งการสร้างหนังในรูปแบบนี้ ได้เกิดขึ้นอีกครั้งแล้วแม้จะบอกในชื่อหนังว่าเป็นภาค 2แต่จริงๆแล้ว "บุพเพสันนิวาส ๒" ก็ทำหน้าที่เป็นทั้งหนัง Stand Alone ผู้ชมที่ไม่เคยดูละครมาก่อนก็สามารถชมได้ เช่นเดียวกับแฟนละคร ที่ก็จะได้จิ้นได้ฟินกันต่อ จากเดิมในละครภาคแรก ที่ดำเนินเรื่องในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในภาพยนตร์ภาคต่อนี้ เปลี่ยนมาเล่าเรื่องในยุคสมัย กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งทำให้แน่ชัดว่า ทั้งโป๊ป และ เบลล่า ไม่ได้รับบทเป็นตัวละครเดียวกับในภาคแรก เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สยามกำลังทำสัญญาซื้อขายเรือเหล็กขนาดใหญ่กับพ่อค้าชาวอังกฤษ โดยโป๊ปรับบทเป็น ขุนสมบัติบดี มีหน้าที่ดูแลการคลัง เขาพยายามหนีการแต่งงานที่พ่อแม่จับหมั้นหมายไว้ให้ เพราะมีนางในฝันที่เฝ้าคิดถึงตลอดเวลา แต่ทันใดที่เขาได้พบกับ เกสร (รับบทโดย เบลล่า ราณี) หญิงที่เหมือนนางในฝันคนนี้ เขารู้ทันทีว่าเธอคือคู่ชีวิต คือบุพเพสันนิวาสของเขา ขุนสมบัติบดีจึงพยายามวางแผนจีบเกสรด้วยทุกรูปแบบ จนกระทั่งทั้งสองได้เจอกับ เมธัส (รับบทโดย ไอซ์ พาริส) ชายที่เดินทางข้ามเวลามาจากยุคปัจจุบัน ซึ่งกำลังจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาลสำหรับผู้เขียนในฐานะที่ไม่ได้ดูละครบุพเพสันนิวาสมาก่อน (แค่ดูแบบไม่ปะติดปะต่อ) ก็ยังสามารถพูดได้เต็มปากว่า เอ็นจอยกับหนังเรื่องนี้ มันคือหนังที่น่ารักมากๆเรื่องนึงเลย ด้วยเคมีของ โป๊ป-เบลล่า ที่ล้นทะลักออกมา เป็นการตอกย้ำว่ากระแสความจิ้นจากฉบับละคร ไม่ใช่เรื่องเว่อร์อะไร และเหมือนว่าผู้สร้างมั่นใจในจุดนี้ว่าผู้ชมต้องชอบแน่ๆ เลยขยันบิลด์โมเมนต์ให้ผู้ชมได้ชุ่มชื่นหัวใจมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตัวละครของ โป๊ป ที่คลั่งรักเอาเสียมากๆ ช่วงครึ่งแรกที่เขาพยายามจะจีบตัวละครของ เบลล่า จึงเป็นอะไรที่สนุกสนานมาก และแฟนๆเอาใจช่วยแน่นอน ในฐานะที่เบลล่า ยังคงมีเสน่ห์ระดับดาเมจขั้นสุด นอกจาก ขุนสมบัติบดี ในหนังจะตกหลุมรักเธอแล้ว เชื่อว่าผู้ชมจะตกหลุมรักไม่แพ้กันแต่กระนั้น "บุพเพสันนิวาส ๒" ก็ไม่ได้มีแค่เส้นเรื่องของพระนาง เพราะปมใหญ่สำคัญอยู่ที่การปรากฏตัวของ ไอซ์ พาริส ในบทเมธัส ชายที่ย้อนเวลากลับมาจากปี 2564และติดอยู่ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ไม่สามารถกลับบ้านได้ เขาได้ไปเกี่ยวพันกับ นายห้างหันแตร (หรือมาจากชื่อ Hunter) พ่อค้าชาวอังกฤษที่พยายามขายเรือเหล็กให้ประเทศสยาม แต่แล้ว เสด็จในกรม (รับบทโดย นนกุล ชานน) กลับไม่เชื่อว่าเรือเหล็กจะลอยน้ำได้ จึงล้มเลิกการซื้อขาย ทำให้พ่อค้าชาวต่างชาติโกรธมาก และขู่จะฟ้อง พร้อมนำกองทัพอังกฤษ แล่นเรือมาปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยา เส้นเรื่องตรงนี้ทำให้ "บุพเพสันนิวาส ๒" มีความเป็นหนังเอพิกมากยิ่งขึ้น หนังเล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม โดยเฉพาะปมการเดินทางข้ามเวลาของเมธัส ทำให้หนังสามารถผูกปมไว้ได้มากมาย และผู้ชมจะต้องค่อยๆรอติดตาม ว่าแต่ละปมจะถูกเฉลยหรือแก้ไขแบบไหนไฮไลต์สำคัญที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้เลยสำหรับ "บุพเพสันนิวาส ๒" คือทีมนักแสดงประกอบที่แต่ละคนโผล่มาแบบจัดหนักจัดเต็ม พร้อมจะขโมยซีนพระนางตลอดเวลา (แต่โป๊ป-เบลล่า ก็สตรองมากจนขโมยซีนไม่ได้) ประกอบด้วย ปุ๊กกี้ ปวีณ์นุช หรือ คุณโฉม รับบทเป็นพี่ปี่ สาวใช้ที่ดูแลนางเอกอย่างใกล้ชิด เคมีระหว่าง ปุ๊กกี้กับเบลล่า ถือว่าเข้าขากันดีมาก หลายฉากรับส่งมุกกันอย่างโบ๊ะบ๊ะทีเดียว รวมไปถึงฉากดราม่าที่ไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้เห็นพี่ปุ๊กกี้ เล่นซีนอารมณ์ ซึ่งเธอก็ทำได้ดีจนผู้ชมอินมากๆอีกด้วย, บ็อบบี้ นิมิตร อีกหนึ่งนักแสดงขโมยซีนจาก เนื้อคู่ ประตูถัดไป รับบท สุนทรภู่ (ฉบับฮา) ทุกครั้งที่ีตัวละครนี้ปรากฏตัวขึ้นบนจอ เราจะได้เสียงฮาจากเขาแทบทุกครั้ง และที่สำคัญคือ ยิ่งหนังดำเนินเรื่องไป ตัวละครนี้จะยิ่งพีกขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย จนแอบเสียดายเล็กน้อยว่า อยากให้สุนทรภู่ ฉบับบุพเพ ได้แอร์ไทม์มากกว่านี้ และพี่กิ๊ก สุวัจนี ที่คัมแบ็คสู่วงการบันเทิงอีกครั้ง เธอรับบทแม่ของพระเอก ที่มาเล่นใหญ่โดยเฉพาะ อะไรที่คิดว่าจะได้เห็นจากพี่กิ๊ก เราจะได้เห็นจากหนังเรื่องนี้อย่างแน่นอนสิ่งที่หลายคนอาจจะตกใจคือ "บุพเพสันนิวาส ๒" มีความยาวมากถึง 2 ชั่วโมง 40 นาที เข้าขั้นหนังเอพิคเลยทีเดียว ซึ่งอันที่จริงตัวหนังเองสามารถกระชับมากกว่านี้ได้ แต่ด้วยความยาวระดับนี้ ในอีกมุมหนึ่งก็ทำให้หนังได้มีโอกาสขยี้ฉากต่างๆได้อย่างเต็มที่ ช่วยให้ผู้ชม โดยเฉพาะแฟนละครได้อินยิ่งขึ้นไปอีก ต้องมาติดตามกันว่า "บุพเพสันนิวาส ๒" จะเป็นปรากฏการณ์ในโลกภาพยนตร์ แบบเดียวกับที่ภาคแรก เคยเป็นปรากฏการณ์ในโลกละครได้หรือไม่ สำหรับใครที่กำลังจะไปชม ถ้าหนังจบแล้วอย่าเพิ่งรีบลุก เพราะมีฉากแถมช่วง End-Credit ซึ่งจะทำให้แฟนๆของ "บุพเพสันนิวาส" ได้กรี๊ดกันอย่างแน่นอนชมตัวอย่าง "บุพเพสันนิวาส ๒" สัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] “Spencer” 3 วันที่หมดรักของเจ้าหญิงไดอาน่า | GOSSIP GUN

18 ม.ค. 2022

[REVIEW] “Spencer” 3 วันที่หมดรักของเจ้าหญิงไดอาน่า | GOSSIP GUN

สมคำร่ำลือจริงๆ สำหรับSpencerของผู้กำกับ พาโบล ลาร์เรน ที่เคยกำกับหนังหญิงโศกอย่างJackieมาแล้ว จากเรื่องนั้นที่เล่าถึงอดีตสุภาพสตรีหมายเลข1ของอเมริกาที่สูญเสียสามีจากเหตุลอบสังหาร มาสู่เจ้าหญิงขวัญใจประชาชนที่หมดรักกับเจ้าชายที่เธอถูกจับคู่ด้วยSpencerคืออีกครั้งที่โลกของภาพยนตร์และซีรีส์ หยิบเอาเรื่องราวของ เจ้าหญิงไดอาน่ามาถ่ายทอด แต่ความแตกต่างของSpencer (ซึ่งเป็นนามสกุลเดิมของไดอาน่า)คือการเลือกเล่าช่วงเวลาระยะสุดท้ายก่อนที่เธอจะแยกทางกับเจ้าฟ้าชายชาร์ล หลังอภิเษกสมรสมานานนับทศวรรษ ช่วงเวลาที่เธออึดอัด ช่วงเวลาที่เธอโศกเศร้า ชีวิตที่เหมือนถูกขังไว้ในกรงทองแน่นอนว่าไฮไลต์สำคัญของ Spencerคือการเลือกให้ คริสเต็น สจ๊วร์ต นางเอกจากTwilightที่ค่อยๆพัฒนาฝีมือเล่นหนังน้อยใหญ่ จนกระทั่งวันนี้เธอพิสูจน์ตนเองในฐานะนักแสดงคุณภาพอย่างเต็มตัว โดยหนังเลือกเล่าเหตุการณ์ที่กินระยะเวลาเพียงแค่3วันเท่านั้น ในช่วงปลายปี1991นับตั้งแต่วันก่อนคริสต์มาส ไปจนถึงBoxing Dayเมื่อเจ้าหญิงไดอาน่าต้องเดินทางไปยัง แซนด์ริมแฮมเฮ้าส์ คฤหาสน์สุดหรูของราชวงศ์ เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสตามประเพณี แต่ทริปนี้สำหรับเธอ เปรียบเสมือนการตกนรก เพราะเธอต้องปฏิบัติกฏระเบียบและขนบต่างๆอย่างเคร่งครัด ท่ามกลางสมาชิกในราชวงศ์ที่เธอรู้สึกแตกต่าง มีเพียงลูกๆของเธออย่าง เจ้าชายวิลเลี่ยมและเจ้าชายแฮร์รี่ ที่ทำให้เธออบอุ่นหัวใจ และเหล่าข้าราชบริพารบางคน ที่เธอสามารถเปิดใจ แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาได้สิ่งที่ยอดเยี่ยมมากๆสำหรับSpencerคือการถ่ายทอดความรู้สึกของเจ้าหญิงไดอาน่า ออกมาให้ผู้ชมสัมผัสได้อย่างเต็มๆ ทั้งความรู้สึกทุกข์ โศกเศร้า อึดอัดกับสภาพแวดล้อม ความรู้สึกที่อยากจะหนีออกไปจากตรงนี้ หลังจากที่ต้องทนทุกข์มาเป็นเวลายาวนาน ทำให้ผู้ชมเข้าใจความรู้สึกของเธอในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนแยกทางกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลได้อย่างดีเยี่ยม สิ่งที่ชอบมากๆ คือการที่หนังพยายามกันตัวละครในราชวงศ์เป็นแค่แบ็คกราวน์เท่านั้น นอกจากลูกๆทั้งสอง สมาชิกคนอื่นๆในราชวงศ์แทบจะไม่มีบทบาทหรือบทสนทนาเลย แต่ไปเน้นที่ไดอาน่า กับผู้ดูแลเครื่องแต่งกายของเธอ ไดอาน่ากับหัวหน้าเชฟประจำวัง หรือไดอาน่ากับหัวหน้าผู้รับใช้ ซึ่งทำให้ได้เห็นแง่มุมความเป็นมนุษย์ ความเป็นคนธรรมดาของเธอได้อย่างดีและทั้งหมดทั้งมวล ศูนย์กลางของหนังที่ทำให้Spencerถ่ายทอดอารมณ์ของไดอาน่าอย่างเต็มเปี่ยม คือการแสดงของ คริสเต็น สจ๊วร์ต ที่ผู้ชมซึมซับความทุกข์และอึดอัดของเธอได้อย่างเต็มร้อย ไม่แน่ใจว่า เจ้าหญิงไดอาน่าตัวจริงในช่วงเวลานั้นเป็นเช่นไร แต่ไม่นานหลังจากชม เราเชื่อว่าเธอคือไดอาน่าอย่างไม่มีข้อสงสัย แน่นอนว่ารูปลักษณ์ภายนอกถูกแต่งจนกลืนไปกับตัวจริง แต่จริต ท่าทางการแสดงออก และอารมณ์ ไม่ว่ามันจะเหมือนจริงขนาดไหน แต่คริสเต็นทำให้เรา"เชื่อ"ว่าเธอคือไดอาน่า และทำให้พวกเรารู้สึกหนักหน่วงไปกับไดอาน่า ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดแล้วอีกหนึ่งจุดสำคัญของSpencerที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ งานภาพของ แคลร์ มาธอน จากPortrait of a Lady on Fireที่ถ่ายทอดทุกฉากในหนังออกมาด้วยภาพสไตล์วินเทจ ดูเก่าๆ ดูฟุ้งๆ เพิ่มความย้อนยุคเข้าไปในหนัง สร้างอารมณ์ร่วม และเพิ่มเสน่ห์ให้Spencerดูเป็นงานศิลปะมากขึ้น ทุกฉากแทบจะสามารถกดหยุดแล้วตัดมาเป็นโปสการ์ดหรือวอลล์เปเปอร์ได้หมดเลย พร้อมด้วยงานดนตรีประกอบจาก จอห์นนี่ กรีนวู้ดจากRadioheadที่ช่วยถ่ายทอดอารมณ์ของเจ้าหญิงไดอาน่าได้อย่างลงตัว(โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ ที่เพลงช่วยเล่าเรื่องได้ดี แต่จะเป็นอย่างไรต้องไปดูเอง)(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

album

0
0.8
1