[REVIEW] “Spencer” 3 วันที่หมดรักของเจ้าหญิงไดอาน่า | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “Spencer” 3 วันที่หมดรักของเจ้าหญิงไดอาน่า | GOSSIP GUN

18 ม.ค. 2022

สมคำร่ำลือจริงๆ สำหรับ Spencer ของผู้กำกับ พาโบล ลาร์เรน ที่เคยกำกับหนังหญิงโศกอย่าง Jackie มาแล้ว จากเรื่องนั้นที่เล่าถึงอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของอเมริกาที่สูญเสียสามีจากเหตุลอบสังหาร มาสู่เจ้าหญิงขวัญใจประชาชนที่หมดรักกับเจ้าชายที่เธอถูกจับคู่ด้วย Spencer คืออีกครั้งที่โลกของภาพยนตร์และซีรีส์ หยิบเอาเรื่องราวของ เจ้าหญิงไดอาน่ามาถ่ายทอด แต่ความแตกต่างของ Spencer (ซึ่งเป็นนามสกุลเดิมของไดอาน่า) คือการเลือกเล่าช่วงเวลาระยะสุดท้ายก่อนที่เธอจะแยกทางกับเจ้าฟ้าชายชาร์ล หลังอภิเษกสมรสมานานนับทศวรรษ ช่วงเวลาที่เธออึดอัด ช่วงเวลาที่เธอโศกเศร้า ชีวิตที่เหมือนถูกขังไว้ในกรงทอง

แน่นอนว่าไฮไลต์สำคัญของ Spencer คือการเลือกให้ คริสเต็น สจ๊วร์ต นางเอกจาก Twilight ที่ค่อยๆพัฒนาฝีมือเล่นหนังน้อยใหญ่ จนกระทั่งวันนี้เธอพิสูจน์ตนเองในฐานะนักแสดงคุณภาพอย่างเต็มตัว โดยหนังเลือกเล่าเหตุการณ์ที่กินระยะเวลาเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น ในช่วงปลายปี 1991 นับตั้งแต่วันก่อนคริสต์มาส ไปจนถึง Boxing Day เมื่อเจ้าหญิงไดอาน่าต้องเดินทางไปยัง แซนด์ริมแฮมเฮ้าส์ คฤหาสน์สุดหรูของราชวงศ์ เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสตามประเพณี แต่ทริปนี้สำหรับเธอ เปรียบเสมือนการตกนรก เพราะเธอต้องปฏิบัติกฏระเบียบและขนบต่างๆอย่างเคร่งครัด ท่ามกลางสมาชิกในราชวงศ์ที่เธอรู้สึกแตกต่าง มีเพียงลูกๆของเธออย่าง เจ้าชายวิลเลี่ยมและเจ้าชายแฮร์รี่ ที่ทำให้เธออบอุ่นหัวใจ และเหล่าข้าราชบริพารบางคน ที่เธอสามารถเปิดใจ แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาได้

สิ่งที่ยอดเยี่ยมมากๆสำหรับ Spencer คือการถ่ายทอดความรู้สึกของเจ้าหญิงไดอาน่า ออกมาให้ผู้ชมสัมผัสได้อย่างเต็มๆ ทั้งความรู้สึกทุกข์ โศกเศร้า อึดอัดกับสภาพแวดล้อม ความรู้สึกที่อยากจะหนีออกไปจากตรงนี้ หลังจากที่ต้องทนทุกข์มาเป็นเวลายาวนาน ทำให้ผู้ชมเข้าใจความรู้สึกของเธอในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนแยกทางกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลได้อย่างดีเยี่ยม สิ่งที่ชอบมากๆ คือการที่หนังพยายามกันตัวละครในราชวงศ์เป็นแค่แบ็คกราวน์เท่านั้น นอกจากลูกๆทั้งสอง สมาชิกคนอื่นๆในราชวงศ์แทบจะไม่มีบทบาทหรือบทสนทนาเลย แต่ไปเน้นที่ไดอาน่า กับผู้ดูแลเครื่องแต่งกายของเธอ ไดอาน่ากับหัวหน้าเชฟประจำวัง หรือไดอาน่ากับหัวหน้าผู้รับใช้ ซึ่งทำให้ได้เห็นแง่มุมความเป็นมนุษย์ ความเป็นคนธรรมดาของเธอได้อย่างดี

และทั้งหมดทั้งมวล ศูนย์กลางของหนังที่ทำให้ Spencer ถ่ายทอดอารมณ์ของไดอาน่าอย่างเต็มเปี่ยม คือการแสดงของ คริสเต็น สจ๊วร์ต ที่ผู้ชมซึมซับความทุกข์และอึดอัดของเธอได้อย่างเต็มร้อย ไม่แน่ใจว่า เจ้าหญิงไดอาน่าตัวจริงในช่วงเวลานั้นเป็นเช่นไร แต่ไม่นานหลังจากชม เราเชื่อว่าเธอคือไดอาน่าอย่างไม่มีข้อสงสัย แน่นอนว่ารูปลักษณ์ภายนอกถูกแต่งจนกลืนไปกับตัวจริง แต่จริต ท่าทางการแสดงออก และอารมณ์ ไม่ว่ามันจะเหมือนจริงขนาดไหน แต่คริสเต็นทำให้เรา "เชื่อ" ว่าเธอคือไดอาน่า และทำให้พวกเรารู้สึกหนักหน่วงไปกับไดอาน่า ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดแล้ว

อีกหนึ่งจุดสำคัญของ Spencer ที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ งานภาพของ แคลร์ มาธอน จาก Portrait of a Lady on Fire ที่ถ่ายทอดทุกฉากในหนังออกมาด้วยภาพสไตล์วินเทจ ดูเก่าๆ ดูฟุ้งๆ เพิ่มความย้อนยุคเข้าไปในหนัง สร้างอารมณ์ร่วม และเพิ่มเสน่ห์ให้Spencer ดูเป็นงานศิลปะมากขึ้น ทุกฉากแทบจะสามารถกดหยุดแล้วตัดมาเป็นโปสการ์ดหรือวอลล์เปเปอร์ได้หมดเลย พร้อมด้วยงานดนตรีประกอบจาก จอห์นนี่ กรีนวู้ดจาก Radiohead ที่ช่วยถ่ายทอดอารมณ์ของเจ้าหญิงไดอาน่าได้อย่างลงตัว (โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ ที่เพลงช่วยเล่าเรื่องได้ดี แต่จะเป็นอย่างไรต้องไปดูเอง)


(ให้ 9 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน)

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Knives Out : Glass Onion’ ฆาตกรรมหรรษาเคสใหม่ สนุกฮาชั้นเชิงเกินร้อย| GOSSIP GUN

22 ธ.ค. 2022

[REVIEW] ‘Knives Out : Glass Onion’ ฆาตกรรมหรรษาเคสใหม่ สนุกฮาชั้นเชิงเกินร้อย| GOSSIP GUN

ยกให้เป็นหนังโคตรสนุกส่งท้ายปีเลยก็ว่าได้ สำหรับภาคใหม่ของ Knives Out หนังตามหาฆาตกรสไตล์ Whodunit ที่มาพร้อมกับความแสบสันต์ และทีมนักแสดงชุดใหญ่ ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน Knives Out กลายเป็นหนังระดับโคตรฮิตและกวาดคำวิจารณ์ในแง่บวกไปเพียบ จากทุนสร้างเพียง 40 ล้านเหรียญฯ สามารถทำรายได้ทั่วโลกไปกว่า 300 ล้าน กลายเป็นแฟรนไชส์ใหม่สำหรับพระเอก แดเนียล เคร็ก หลังโบกมือลาบท เจมส์บอนด์ ไปแล้ว เขาก็ได้หนังฮิตชุดใหม่ต่อทันที และเมื่อหนังสามารถเรียกผู้ชมได้มากขนาดนี้ Netflix เลยตาไว ซื้อสิทธิจากค่าย Lionsgate ไปซะเลย และซื้อแบบรวดเดียวทั้งภาค 2 และ 3 ทำให้หนัง Knives Out ภาคใหม่นี้ ผู้ชมจะไม่ได้ดูในโรงเหมือนภาคก่อน แต่จะลงให้ชมใน Netflix เป็นสเต็ปแรกไปเลยหนังภาคใหม่นี้ ใช้ชื่อเต็มๆว่า "Glass Onion : A Knives Out Mystery” พาผู้ชมไปหรรษากับคดีใหม่ของ นักสืบเบอร์นัวห์ บลองค์ ซึ่งรับบทโดย แดเนียล เคร็ก เขาคือนักแสดงคนเดียวจากภาคแรกที่กลับมาแสดงในภาคต่อนี้ โดยเบอร์นัวห์ ได้บัตรเชิญให้ไปร่วมงานปาร์ตี้สุดเอ็กซ์คลูซีฟ บนเกาะส่วนตัวสุดหรู ที่ทะเลในประเทศกรีซ ซึ่งเจ้าของคือมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยจากเทคโนโลยีใหม่ๆ เมื่อเขามาถึงก็ได้พบว่า แขกทั้งหมดล้วนเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมานานของ เศรษฐีคนนี้ ซึ่งทั้ง นักการเมืองปากเก่ง ยูทูปเบอร์สุดเพี้ยน อดีตนางแบบสาวตัวแม่ และอีกเพียบ โดยทุกคนจะต้องมาร่วมสนุกกับการไขปริศนาคดีฆาตกรรม แต่ทุกอย่างกลับเข้มข้นขึ้น เมื่อมีหนึ่งในกลุ่มเพื่อน เสียชีวิตจริงๆ แต่ใครคือฆาตกรกันแน่ ?สามารถพูดได้เต็มปากว่า Glass Onion คือหนังที่โคตรสนุก โคตรแสบ และคาดเดาไม่ได้จริงๆ ดูเหมือนองค์ประกอบในหลายๆอย่างจะถูกเพิ่มขึ้นจากภาคก่อน หลังจากที่ Knives Out ภาคแรกกลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จเกินคาด กลายเป็นจุดที่เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้กำกับ ไรอัน จอห์นสัน มากยิ่งขึ้น ว่าเขามาถูกทางแล้ว กับการผสมผสานระหว่างหนังสไตล์ตามหาฆาตกรสุดเข้มข้น กับหนังตลกเสียดสีสุดแสบสันต์ สิ่งที่ผู้ชมชื่นชอบ ดูเหมือนจะถูกเพิ่มดีกรีในภาคนี้หมด สิ่งที่ทำให้หนังสนุกมาก คือชั้นเชิงในการเล่าเรื่องของไรอัน มันไม่ใช่แค่ผู้ชมจะลุ้นว่าใครจะตาย ใครคือฆาตกร แต่ดีเทลต่างๆที่ใส่มา ล้วนมีความสำคัญแทบทั้งหมด มุกเล็กๆน้อยๆที่หยอดไว้ มันอาจจะเชื่อมโยงกับอะไรบางอย่างหลังจากนั้นก็ได้ กลายเป็นหนังที่เล่าอย่างแพรวพราวจริงๆสิ่งที่ถูกเพิ่มดีกรีขึ้นมาใน Glass Onion อย่างชัดเจนอีก คืองานโปรดักชั่น และอารมณ์ขันสุดแสบ หลังจากที่ภาคแรกเน้นการเล่าเรื่องในคฤหาสน์สุดหรูของคุณปู่ ภาคนี้จัดความใหญ่ด้วยเกาะส่วนตัวกันไปเลย ซึ่งมีรายละเอียดของสถานที่ที่อลังการอยู่ไม่น้อย (รวมถึงสถานที่ที่จะเผยว่าชื่อหนัง Glass Onion หมายถึงอะไร) อีกจุดที่เพิ่มดีกรีขึ้นมา คือ ความตลกแบบแสบจี๊ด หลังจากภาคแรกเสียดสี สังคมอเมริกาและการเมืองแบบไม่แตะเบรก ภาคนี้ดูเหมืิอนจะเสียดสีและล้อเลียน กลุ่มคนที่ถูกยกให้เป็น Elite ของสังคม ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐีเทคโนโลยี (แบบ อีลอน มัสก์) ผู้ที่โด่งดังจากโลกออนไลน์ โดยมุกต่างๆที่แทรกไว้ ค่อนข้างเวิร์กเลยทีเดียว และจังหวะการเล่น การขยี้ก็ค่อนข้างลงตัว จากรอบปฐมทัศน์ในไทยที่ Netflixจัดฉายพิเศษในโรง สามารถบอกได้ว่า หัวเราะกันลั่นโรงจริงๆพาร์ทสำคัญที่เป็นไฮไลต์ของหนังสไตล์ Whodunit คือ Ensemble Cast หลักจากภาคนี้ ไรอัน จอห์นสัน ชวนนักแสดงดังๆมาร่วมแสดงกันแน่นจอ ภาคนี้แม้ว่าดีกรีความดังของนักแสดงอาจจะเทียบภาคแรกไม่ได้ แต่ว่าแต่ละคนก็มีของแบบไม่ธรรมดา ประกอบด้วย เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน, เคต ฮัดสัน, เดฟ บอทิสต้า, แคทเธอรีีน ฮาห์น แต่ที่โดดเด่นเหนือออกมา คือการแสดงของ จาเนล โมเน่ห์ ในบทเพื่อนรักเพื่อนแค้นของคนกลุ่มนี้ ด้วยคาแรคเตอร์ของเธอทำให้ จาเนล สามารถโชว์สกิลได้อย่างหลากหลาย ส่วนนักแสดงนำอย่าง แดเนียล เคร็ก ภาคนี้ดูเหมือนเขาจะเอ็นจอยกับบทมากขึ้น แดเนียลดูสบาย ดูสนุกกับบท จนทำให้คนดูเพลิดเพลินกับตัวละครนี้ไปด้วย จนอยากจะตามต่อภาคหน้าแล้วว่าเขาจะไปคลี่คลายคดีที่ไหนโดยรวม Glass Onion : A Knives Out Mystery ถือเป็นหนังโคตรบันเทิงมากๆ ผสมผสานระหว่างหนังสืบหาฆาตกรกับตลกเสียดสีอย่างลงตัว จนไม่แปลกใจที่หลายๆสถาบันจะให้เรื่องนี้ติดอันดับหนังยอดเยี่ยมของปีด้วย รวมถึง แดเนียล เคร็ก ก็ได้ชิงรางวัลในหลายๆสถาบัน นอกจากทีมนักแสดงสุดแสบแล้ว Knives Out ภาคนี้ยังแอบใส่นักแสดงรับเชิญไว้หลายคน นอกจากคนดูจะเซอร์ไพรสกับเส้นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้แล้ว ยังจะเซอร์ไพรสกับแขกรับเชิญที่หนังใส่มาอีกด้วย (นักแสดงบางคนมาแต่เสียงก็มี) นี่จึงเป็นหนังที่สนุกและห้ามพลาดส่งท้ายปี แม้ว่าคุณจะยังไม่เคยดูภาคแรกมาก่อน ก็สามารถมาเอ็นจอยกับภาคนี้ได้เลย เพราะเป็นการเปิดคดีใหม่ เส้นเรื่องไม่ได้เกี่ยวโยงกันGlass Onion : A Knives Out Mystery สตรีม 23 ธันวาคมใน Netflix

[REVIEW] ‘John Wick : Chapter 4’ มหากาพย์โลกนักฆ่า ดันบาร์ฉากแอ็กชันสูงลิบ | GOSSIP GUN

24 มี.ค. 2023

[REVIEW] ‘John Wick : Chapter 4’ มหากาพย์โลกนักฆ่า ดันบาร์ฉากแอ็กชันสูงลิบ | GOSSIP GUN

จักรวาลของหนังนักฆ่าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปตั้งแต่มี John Wick หนังแอ็กชันแฟรนไชส์นี้ สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับหนังประเภทนี้อยู่เรื่อยๆ นับตั้งแต่โลกได้รู้จักหนังเรื่องนี้ครั้งแรกในปี 2014 เรื่องราวของนักฆ่าที่วางมือไปแล้ว แต่กลับต้องมาจับปืนอีกครั้ง เพื่อล้างแค้นให้กับสุนัขที่เขารักยิ่งชีพ (เพราะมันคือตัวแทนของภรรยาที่เสียไปแล้ว) จากปมเล็กๆ หนังค่อยๆขยายจักรวาลของนักฆ่าให้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการวางกฏเกณฑ์ วางแบบแผนให้โลกนักฆ่าในหนัง John Wick ดูมีสไตล์ มีรสนิยม ผสมกับฉากต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่าน จากการสั่งสมวิชาของ แชด สตาร์เฮลสกี้ ผู้กำกับหนังที่เติบโตมาจากการเป็นสตันท์ (เขาเคยเล่นเป็นสตันท์ให้ คีอานู รีฟส์มาแล้วใน The Matrix) ทำให้เมื่อแฟรนไชส์นี้ ดำเนินไป มันยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กวาดคำชมมากขึ้นเรื่อยๆ และทำเงินมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับ John Wick : Chapter 4 ที่ยังไม่ทันฉายก็คว้าคะแนนบวกจากRotten Tomatoes ไปถึง 93% แล้ว สูงสุดในบรรดาหนังทั้ง 4 ภาค เช่นเดียวกับรายได้ที่ถูกคาดหมายไว้แล้วว่า นี่คงจะเป็นภาคที่เปิดตัวแรงสุดเท่าที่จักรวาล John Wick เคยมีมาใน John Wick : Chapter 4 เส้นทางชีวิตของ จอห์น เดินทางมาถึงจุดสำคัญ เมื่อเขาถูกอัปเปหิออกจากโลกของนักฆ่า เขาไม่มีสังกัด ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้ และค่าหัวเขาค่อยๆเพิ่มขึ้นในระดับที่คาดไม่ถึง ภาคนี้ จอห์น ต้องเผชิญหน้ากับ อดีตมิตรที่ด้วยเหตุผลบางอย่าง วันนี้เขากลายเป็นศัตรู อย่าง เคน (รับบทโดย ดอนนี่ เยน จาก Ip Man) นักฆ่าตาบอดที่ฝีมือเก่งกาจ เขาต้องเด็ดหัวจอห์น จากคำสั่งของ มาร์คีย์ (รับบทโดย บิลล์ สการ์การ์ด จาก It) สมาชิกระดับสูงของสภาที่ต้องการจบทุกปัญหา เขามาพร้อมกับอำนาจล้นมือ ที่สั่งการให้ยุบทุกโรงแรมที่ให้จอห์นพักพิง สังหารทุกคนที่ช่วยให้จอห์นหลบหนี ทางเดียวที่จอห์นจะรอดพ้นจากการตามล่าครั้งนี้ได้ คือการท้าดวล แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งต้องแลกด้วยชีวิต ถ้าชนะ จอห์นจะรอดพ้นจากทุกคำสั่งตามล่า ไม่ว่าใครที่แพ้ คนนั้นจะมีจุดจบเดียวคือความตายคงจะไม่เกินจริงนัก ถ้าจะกล่าวว่า John Wick : Chapter 4 คือภาคที่เด็ดสุดและเดือดสุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยเส้นเรื่องที่ตึงเครียดยิ่งกว่าทุกภาค ผนวกกับฉากแอ็กชันที่ระดับเวิร์ลคลาส อาจกล่าวได้ว่า John Wick : Chapter 4 คือหนังที่ดันบาร์ความเจ๋งของฉากต่อสู้ขึ้นไปในอีกระดับ ผู้สร้างรู้ดีว่าจุดเด่นของหนังตระกูลนี้คืออะไร ดังนั้น หนังจึงจัดให้ผู้ชมแบบเต็มสูบ หลังจากดูมา 3 ภาคแล้วอาจจะสงสัยว่า ผู้สร้างหมดมุกกับฉากบู๊แล้วหรือยัง แต่ปรากฏว่า หนังยังคงงัดอะไรใหม่ๆออกมาให้ผู้ชมได้อย่างต่อเนื่อง เริ่มจากฉากใหญ่ในญี่ปุ่น ต่อเนื่องมาถึงอิตาลี และปิดท้ายที่ฝรั่งเศส หนังสามารถส่งฉากแอ็กชันขั้นเทพออกมาได้อย่างต่อเนื่อง และไต่ระดับความเดือดได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนอยากจะลุกขึ้นปรบมือให้กับ การออกแบบคิวบู๊ ซึ่งนี่น่าจะเป็นหนังที่ออกแบบคิวบู๊ได้ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบทศวรรษเลยก็ว่าได้สิ่งที่ทำให้ฉากแอ็กชันใน John Wick : Chapter 4 เหนือกว่าหนังเรื่องไหน จนหลายเสียงพร้อมยกให้เป็นหนังแอ็กชันที่เดือดสุดในรอบหลายปี คือการผสมผสานกันอย่างลงตัวของ Choreographer การออกแบบคิวบู๊ที่ไหลลื่นแบบนันสต็อป ซึ่งทุกท่วงท่าถูกนำเสนออย่างหนักแน่น ดุดัน และรุนแรงเต็มสูบแบบไม่ยั้งอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดถูกจัดวางลงในฉากต่างๆที่เต็มไปด้วยลูกเล่นแบบใหม่ แค่เฉพาะฉากในกรุงปารีส ก็สดใหม่ไม่ซ้ำแล้ว ทั้งฉากต่อสู้รอบๆประตูชัยที่มีรถจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉากในอาคารที่ถ่ายทำแบบ Bird's Eye View บวกกับ Long Take และไฮไลต์จริงๆคือ ฉากบันได ที่นำเสนอแบบเต็มไปด้วยไอเดียและอารมณ์ขัน ผสมผสานกับการจัดแสงแบบจัดจ้าน ทุกฉากจึงออกมาตื่นตาและตรึงอารมณ์ กลายเป็นหนังแอ็กชันที่เต็มไปด้วยฉากจำมากมายแน่นอนว่า คีอานู รีฟส์ ยังคงโดดเด่นในบท จอห์น วิค เขายกระดับตัวเองด้วยการแสดงฉากต่อสู้แบบหินๆมากมาย สมาชิกเก่าอย่าง เอียน แมคเชน และลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น ยังคงเป็นสีสันสำคัญให้กับหนัง แต่ไฮไลต์จริงๆ น่าจะต้องยกให้สมาชิกใหม่อย่าง ดอนนี่ เยน ซึ่งหนังสร้างคาแรคเตอร์เขาออกมาได้อย่างมีมิติ และทุกฉากบู๊ที่เขาเข้าไปมีส่วนร่วมนั้น ล้วนเต็มไปด้วยพลัง ดอนนี่เพิ่มความเจ๋งให้ซีนนั้นๆ ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว สามารถตรึงคนดูได้ตลอด และตัวร้ายหลักภาคนี้อย่าง บิล สการ์การ์ด การแสดง สายตาและน้ำเสียงอันเยือกเย็น แผ่รังสีอำมหิตและความน่าเกรงขาม มาได้แบบเต็มๆตั้งแต่ซีนแรก เรารู้ทันทีว่าตัวละครนี้ไร้ความปราณี และไม่มีทางใจอ่อนต่อคนรอบข้างอย่างแน่นอน นี่คือคู่ปรับที่อันตรายของ จอห์น วิค ถือเป็นตัวร้ายที่ทำให้หนังยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกJohn Wick : Chapter 4 คือหนังแอ็กชันที่มาเพื่อยกระดับหนังแอ็กชันอย่างแท้จริงๆ หนังอัดแน่นไปด้วยฉากการต่อสู้แบบเทพๆ ที่มาแบบนันสต็อป แต่ละฉากลากยาวแบบจบฉากนั้น คนดูต้องเหนื่อยกันบ้าง นอกจากนี้เส้นเรื่องยังช่วยเพิ่มอารมณ์ความเข้มข้นให้ทุกฉาก ดูจริงจัง ดูบีบอารมณ์ขึ้นไปอีก ผสมผสานกับสไตล์ด้านภาพและเพลงที่ทำให้ John Wick คือหนังแอ็กชันที่มีรสนิยม โรยนิดๆด้วยอารมณ์ขันแบบตลกหน้าตาย ซึ่งเป็นรสชาติที่ขาดไม่ได้ของหนังชุดนี้ และด้วยความยาวมากกว่า 2 ชั่วโมง 40 นาที ทำให้หนังภาคนี้ มีความเป็นหนัง เอพิค ค่อนข้างสูง ดังนั้น นี่คือหนังแอ็กชันที่รับประกันว่าคุ้มค่าตั๋วอย่างแน่นอน ใครที่กำลังจะไปชม ขอแนะนำว่าเข้าห้องน้ำให้พร้อม เพราะหลัง End-Credit ยังมีฉากแถมอีก 1 ฉากที่คุณไม่ควรพลาดอีกด้วยภาพ : Mongkol Major Mongkol CinemaJohn Wick : Chapter 4 แรงกว่านรก วันนี้ในโรงภาพยนตร์ทุกระบบ

[Review] Thanksgiving สาแก่ใจคอหนังไล่เชือด ฆาตกรโรคจิตกับคืนวันขอบคุณพระเจ้า

30 พ.ย. 2023

[Review] Thanksgiving สาแก่ใจคอหนังไล่เชือด ฆาตกรโรคจิตกับคืนวันขอบคุณพระเจ้า

จะเกิดอะไรขึ้น? ถ้าการลดราคาครั้งใหญ่ Black Friday ในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า กลายเป็นคืนแห่งเลือดในห้างสรรพสินค้าห้างหนึ่ง นี่คือไอเดียตั้งต้นของ Thanksgiving หนังสยองขวัญแนวเชือด ที่เป็นการกลับมาสู่หนังแนวนี้อีกครั้งของผู้กำกับ อีไล รอธ หลังแจ้งเกิดจากหนังสยองขวัญสายโหดอย่าง Cabin Fever และ Hostel แล้วก็วนไปกำกับหนังแนวอื่น ซึ่งเดิมทีไอเดียของ Thanksgiving เริ่มจากการทำตัวอย่างหนังปลอม ๆ ไปใส่ไว้ในหนังชื่อ Grindhouse (2007) จนต่อมา อีไล ได้พัฒนาบทหนัง จนกลายมาเป็นหนังใหญ่ในที่สุด ซึ่งหนังจากเขาเบนเข็มไปกำกับทั้งหนังแอ็กชัน หนังแฟนตาซี และหนังไซไฟ ก็ได้ฤกษ์ที่เขาจะกลับมาทำหนังที่แจ้งเกิดเขาอีกครั้งเสียทีThanksgiving เล่าเรื่องราวความสยองในคืนวันเทศกาลขอบคุณพระเจ้า เมื่อเกิดความโกลาหลขึ้นในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ที่ผู้คนพากันเหยียบกันตาย เพราะแย่งกันซื้อของลดราคา กลายเป็นฝันร้ายของเมืองพลีมัธนับจากนั้น แม้ผู้คนจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่เมื่อ 1 ปีผ่านไป ฝันร้ายก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง เมื่อมีฆาตกรโรคจิตใส่หน้ากาก แต่งตัวเป็นผู้ก่อตั้งเมือง ออกมาไล่เชือดประชาชน ซึ่งทุกคนล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเหตุโศกนาฏกรรมเมื่อปีก่อน โดยเป้าหลักคือ เจสสิก้า หญิงสาวที่พ่อของเธอเป็นเจ้าของห้างที่เกิดเหตุร้าย แถมเธอยังอยู่ในเหตุการณ์คืนวันนั้น จึงกลายเป็นหน้าที่ของ เอริค (รับบทโดย แพทริค เดมพ์ซีย์ จาก Grey's Anatomy) นายอำเภอของเมืองที่จะต้องจัดการคนร้าย ก่อนที่เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง จะกลายเป็นคืนสยองอีกครั้ง!ใครที่เป็นแฟนหนังแนวนี้ Thanksgiving คือหนังที่น่าจะสาแก่ใจคอหนังไล่เชือดอยู่ไม่น้อย โดยรวมนี่คือหนังที่ค่อนข้างเดินตามรอยหนังแนวเดียวกันที่ฮิตในช่วงปลายยุค 90s ไล่ตั้งแต่ Scream, I Know What You Did Last Summer ไปจนถึงUrban Legend เรื่องราวของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ต้องเผชิญกับฆาตกรโรคจิตในหน้ากากปริศนาที่คอยตามไล่ฆ่า กับเหตุฝันร้ายในอดีตที่ตามหลอกหลอนพวกเขา โดยเหตุการณ์มักจะเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆเมืองนึง และฆาตกรก็มักจะเป็นตัวละครสักตัว โดยจะเฉลยปมเหตุการฆ่าในตอนท้าย สำหรับ Thanksgiving แล้ว มาในสูตรแบบเดียวกันนี้เลย แต่ทำออกมาได้อย่างสนุก มีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ใส่มาอย่างน่าพอใจ ซึ่งปัจจุบันผู้ชมอาจจะไม่ค่อยได้เห็นหนังแนวนี้มากนัก เหมือน Thanksgivingสร้างมาให้หายคิดถึงกึ่ง ๆ Tribute ให้ด้วยซ้ำThanksgiving คือหนังที่สามารถนิยามได้ว่า “ฆ่ากันแบบเถิดเทิง” เพราะหนังมีองค์ประกอบที่ทำถึงมาก ๆ ในสองส่วน พาร์ทแรกคือความโหด ที่ Thanksgiving จัดเต็มความโหดแบบไม่ยั้ง ไม่ให้เสียชื่อ อีไล รอธ หลังจากหนังสยองหลายเรื่องกลัวไม่ได้ผู้ชมกลุ่มอายุน้อย เลยโหดแบบเบาๆเพื่อให้ได้เรต PG-13 แต่หนังเรื่องนี้ มุ่งหน้าสู่เรต R แบบไม่กลัว ทำให้ฉากฆ่า ฉากเชือด จัดเต็มทั้งเลือดและฉากอวัยวะขาดแบบสะใจคอหนังเชือด และอีกพาร์ทที่หนังทำได้ดีคือ อารมณ์ขัน หนังเต็มไปด้วยอารมณ์ตลกร้าย จนหลายครั้งตัวหนังเองก็เกือบจะเป็นหนังล้อเลียน Parody หนังแนวไล่เชือดอยู่ไม่กัน โดยเฉพาะพวกฉากฆ่าต่าง ๆ มีดีไซน์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ทำให้หนังยิ่งสนุกมากขึ้นสรุปแล้ว Thanksgiving คือหนังประเภท Teen-Slasher ที่แม้จะเดินตามสูตร แต่ก็ทำออกมาได้อย่างสนุกสนาน มีองค์ประกอบทั้งความโหดและอารมณ์ขันแบบจัดเต็ม เป็นความโหดที่บันเทิงใช้ได้เลย และสำหรับแฟนของ แพทริค เด็มพ์ซีย์ ก็ถือว่าค่อนข้างแปลกตา ที่เขามารับบทนำในหนังแนวนี้ หลังติดภาพเขาเป็นผู้ชายในฝันเจ้าสำอาง บทบาทนี้ก็ดูสดใหม่ดีสำหรับเขาอยู่เหมือนกัน ใครที่คิดถึงหนังไล่เชือดที่เต็มไปด้วยความเถิดเทิง ไม่ต้องเนี้ยบมาก ไม่ต้องฉลาดมาก เรื่องนี้คือตัวเลือกที่น่าสนใจThanksgiving คืนเดือดเชือดขาช็อป / เข้าฉาย 5 ธันวาคมนี้

[REVIEW] ‘Pinocchio’ ความมหัศจรรย์ครั้งใหม่ที่ไม่ซ้ำของเดิม| GOSSIP GUN

09 ก.ย. 2022

[REVIEW] ‘Pinocchio’ ความมหัศจรรย์ครั้งใหม่ที่ไม่ซ้ำของเดิม| GOSSIP GUN

เมื่อนักแสดงเจ้าของสองรางวัลออสการ์ ทอม แฮงค์ และผู้กำกับวิสัยทัศน์กว้างไกล โรเบิร์ต เซเมกคิส มาเจอกันทีไร มักเกิดความอัศจรรย์บนแผ่นฟิล์มมาโดยตลอด นับตั้งแต่ Forrest Gump (1994) ที่ชีวิตอันแสนมหัศจรรย์ได้อย่างน่าประทับใจ ต่อด้วย Cast Away (2000) หนังที่เล่าถึงชีวิตชายติดเกาะที่ไม่เหมือนใคร และ The Polar Express (2004) หนังแห่งการเฉลิมฉลองที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ซึ่งตอนนั้น แฮงค์ เหมาเล่นคนเดียวไป 6 บน จนกระทั่งล่าสุดพวกเขากลับมาเจอกันอีกครั้งในโปรเจกต์รีเมกแอนิเมชั่นคลาสสิก Pinocchioเวอร์ชั่น Live-Action หนังจากดิสนีย์สร้างฉบับการ์ตูน ผ่านมา 80 กว่าปี มีหนังพินอคคิโอมากมายหลายฉบับ แต่ หนังที่ดิสนีย์รีเมกเองนั้นยังไม่เคยมีมาก่อน จนกระทั่งตอนนี้ทอม แฮงค์ รับบท เจปเปทโต ช่างไม้ที่สร้างหุ่นเด็กผู้ชาย พินอคคิโอ ขึ้นมาจากไม้ เพื่อระลึกถึงลูกชายของเขาที่จากไปแล้ว ด้วยคำขอพรของเขา ทำให้ในค่ำคืนหนึ่ง นางฟ้าได้ปรากฏตัวขึ้น (รับบทโดย ซินเทีย อาริโว่ นักแสดง/ศิลปิน เจ้าของรางวัลแกรมมี่) และเสกให้พินอคคิโอ มีชีวิตเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป และเสกให้จิ้งหรีด คอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิด แต่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน เมื่อวันแรกที่ เจปเปทโต ส่ง พินอคคิโอ ไปเรียนหนังสือ เขากลับถูกปฏิเสธเพียงเพราะแค่แตกต่างจากเด็กทั่วไป นำไปสู่การผจญภัย และเรียนรู้โลกกว้าง จนพินอคคิโอเข้าใจว่า อะไรกันแน่คือสิ่งที่ดีงาม อะไรคือความถูกต้องแม้ผู้ชมจะพอรู้เส้นเรื่อง หรือเคยดูหนัง Pinocchio หลากหลายฉบับมาก่อนแล้ว แต่หนังในฉบับนี้ ก็ยังสร้างความสดใหม่ให้เรื่องราวได้ ด้วยองค์ประกอบต่างๆ แม้หนังจะเริ่มต้นด้วยเส้นเรื่องที่ผู้ชมคุ้นเคย แต่เมื่อ พินอคคิโอ ออกจากบ้าน ดิสนีย์ก็ได้ค่อยๆแต่งเติม สร้างสีสันที่แปลกใหม่ จนกระทั่งนำไปสู่องก์สุดท้ายของหนัง ที่มาพร้อมกับไคลแมกซ์ และบทสรุปที่แตกต่างไปจากเดิม นอกจากเส้นเรื่องที่ไม่ซ้ำเดิมแล้ว ดิสนีย์ยังเลือกใส่ Easter Egg เกี่ยวกับดิสนีย์เองเข้ามาเบาๆ ถ้าใครสังเกตทันก็จะเห็นถึงความขี้เล่นของค่าย แต่แม้ว่าตัวบทอาจจะมีอะไรแปลกไปจากเดิม แต่หัวใจของเรื่อง Pinocchio ก็ยังอยู่อย่างครบถ้วน ยังคงให้อารมณ์สุดประทับใจกับผู้ชมได้แทบตลอดทั้งเรื่องในแง่ของงานสร้าง Pinocchio ทำออกมาได้ค่อนข้างสมูธ หลายฉากช่วงแรกๆแม้จะเล่าเรื่องแค่ในบ้านของ เจปเปทโต แต่เราก็สัมผัสได้ถึงความอัศจรรย์เล็กๆ จนกระทั่งฉากที่พินอคคิโอออกไปผจญภัยในโลกกว้าง สร้างความตื่นตาได้ดีทีเดียว อาทิ Pleasure Island ก็ออกแบบมาอย่างน่าดึงดูด หรือฉากไคลแมกซ์กลางมหาสมุทรก็ดูยิ่งใหญ่ จนแอบเสียดายนิดๆ ที่ผู้ชมทั่วโลกจะได้ดู Pinocchio ในบ้านเป็นหลัก เพราะอันที่จริงหนังมีโอกาสที่จะทำเงินได้ไม่ยากเลย ถ้าเข้าฉายในโรง และวางโปรแกรมในช่วงเทศกาลแห่งความสุข อย่าง Thanksgiving หรีือ Christmasอย่างไรก็ตาม Pinocchio ฉบับ Live-Action ก็ยังไม่ใช่หนังระดับเพอร์เฟค มีหลายๆส่วนที่ดูไม่เข้ากับหนัง อาทิ มีมุกนึงที่ตลก แต่มันดูไม่เข้ากับยุคสมัย ทำให้ผู้ชมหลุดออกมาจากหนังอยู่เหมือนกัน หรืออย่างจังหวะในการเล่า ที่ช่วงแรกก่อนที่ พินอคคิโอ จะมีชีวิตนั้น Pacing ค่อนข้างช้ามากๆ ดีไม่ดี เด็กๆหลับไปก่อนแล้ว คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้อง Skip ไปตอนที่สนุกเลย และอีกพาร์ทที่หนังยังแอบไม่ชัดเจนนิดๆ คือการที่ให้บางฉากตัวละครพูดบทเป็นบทกลอน บางฉากก็ร้องเพลงออกมาเลย บางฉากเหมือน ทอม แฮงค์ จะร้องเพลงแต่ก็ไม่ร้อง มันเลยดูเหมือนจะกั๊กๆ จะเป็นหนังมิวสิคัลเลยก็ไม่ถึงขนาดนั้น จะเป็นหนังกวีก็ยังไม่ใช่ เป็นส่วนผสมที่ยังแปร่งๆ ไม่ลงตัวเท่าไหร่ท้ายที่สุด Pinocchio ฉบับใหม่ ก็อาจจะยังไม่ใช่การคอลแล็ปที่ดีที่สุดของ ทอม แฮงค์ และโรเบิร์ต เซเมกคิส ในขณะเดียวกัน ถ้าจัดอันดับหนังดิสนีย์ Live-Action ในระยะหลัง ก็สามารถวาง Pinocchio ไว้ได้ในลำดับกลางๆ แต่หนังก็ยังสนุก และมีของดีมากพอ ที่จะให้ทุกคนเปิดชมหนังได้ โดยเฉพาะครอบครัว และเด็กๆ ที่น่าจะเอ็นจอยกับหนังอย่างแน่นอน เพราะมีความชวนตื่นตาในแง่ของ CG ตัวละครสัตว์ต่างๆอยู่พอสมควร เด็กๆจะได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากหนังเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่หนัง Pinocchio เพียงเรื่องเดียวของปี เพราะธันวาคมนี้จะมีอีกเวอร์ชั่น โดยผู้กำกับ กิลเลอโม่ เดล โตโร่ ที่จะฉายใน Netflix ต้องมารอติตตามศึกพินอคคิโอนัดนี้ เรื่องนี้จะเจ๋งกว่ากันภาพ : DisneyPlus Hotstar Thailandชมตัวอย่าง Pinocchio สตรีมได้แล้ววันนี้ใน Disney+ Hotstar

album

0
0.8
1