[REVIEW] ‘PROJECT SILENCE’ อีกครั้งที่หนังเกาหลีทำถึง จัดหนักหายนะแบบมะรุมมะตุ้ม

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘PROJECT SILENCE’ อีกครั้งที่หนังเกาหลีทำถึง จัดหนักหายนะแบบมะรุมมะตุ้ม

28 ส.ค. 2024

จากความสำเร็จของ ‘Train To Busan’ ที่เป็นหมุดหมายสำคัญ ส่งให้แวดวงหนังเกาหลีก็ขยันสร้างสรรค์ไอเดียหนังหายนะ ให้ออกมามีความแปลกใหม่อยู่เสมอ ครีเอตสถานการณ์อันบีบคั้นด้วยข้อจำกัดที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับหนังแอ็กชันโปรเจกต์ยักษ์ล่าสุดอย่าง ‘Project Silence’ ที่ใส่ข้อแม้เพื่อให้ตัวละครเอาตัวรอด เปลี่ยนจากซอมบี้ที่เริ่มซ้ำซากในยุคหลัง เป็น ‘สุนัขชีวะ’ ที่ผ่านการทดลองทางการทหารให้สังหารมนุษย์อย่างอำมหิต โอกาสที่มนุษย์หน้าไหนจะรอดไปนั้น โอกาสคือศูนย์ จะเปลี่ยนเซ็ตติ้ง จากพื้นที่จำกัดทั้งบนรถไฟหรือเครื่องบิน ให้เป็นสะพานสูงที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และใส่อีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญเพิ่มเข้ามาอีก คือหมอกที่บดบังวิสัยทัศน์ของทุกตัวละคร ทำให้อาจกล่าวได้ว่า ‘Project Silence’ คือหนังที่จัดองค์ประกอบความหายนะ เสิร์ฟมาให้แบบเต็ม ๆ เข้าขั้นมะรุมมะตุ้มอย่างที่เกริ่นไปเลยทีเดียว

ศูนย์กลางของ ‘Project Silence’ คือ จองวอน (รับบทโดย อีซอนคยุน นักแสดงผู้ล่วงลับจาก ‘Parasite’) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงความมั่นคง ที่กำลังขับรถไปส่งลูกสาวที่สนามบินเพื่อเรียนต่อ แต่อุบัติเหตุครั้งใหญ่ก็ได้เกิดขึ้นบนสะพานเชื่อมระหว่างกรุงโซล กับ สนามบินอินชอน เมื่อหมอกหนาเริ่มปกคลุม ทำให้เกิดเหตุการณ์รถชนกันนับสิบ และหนึ่งในนั้น คือรถบรรทุกลึกลับของกองทัพ ที่กำลังขนอาวุธลับร้ายแรง ไม่นานผู้ประสบภัยบนสะพานก็ค่อย ๆ รู้ชะตากรรมว่าอาวุธดังกล่าว คือ สุนัขที่ผ่านการทดลอง ให้เป็น อาวุธสังหาร มีความแข็งแกร่งและเกรี้ยวกราด พร้อมที่จะสังหารมนุษย์ทุกชีวิต ในขณะที่ทุกคนกำลังพยายามหนีเอาตัวรอด สะพานก็เริ่มพังและถูกตัดขาดจากโลกภายนอก พวกเขาจะเอาตัวรอดได้อย่างไร เมื่อสะพานแห่งนี้เต็มไปด้วยความคลั่ง และความตายที่รอพวกเขาอยู่

เชื่อว่าหลายคนรอคอย ‘Project Silence’ เพราะนี่คือผลงานการแสดงชิ้นสุดท้ายของ อีซอนคยุน นักแสดงผู้ล่วงลับที่ฝากผลงานชิ้นนี้ไว้เป็นเรื่องสุดท้าย โดยรวมซอนคยุนยังคงฝากฝีมือการแสดงไว้ได้อย่างน่าจดจำ กับตัวละครที่ค่อนข้างมีมิติ โดยเฉพาะซีนท้าย ๆ เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้สึกบีบหัวใจ และยิ่งคิดถึงเขามากขึ้นไปอีก ว่าหลังจากนี้จะไม่ได้ดูฝีมือการแสดงของนักแสดงมากฝีมือคนนี้อีกแล้ว และที่โดดเด่นไม่แพ้กัน จนไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ จูจีฮุน ที่คาแรกเตอร์ในหนังรับบทเป็นคนขับรถสิบล้อ ที่มีมาดกวนและเรียกเสียงฮาได้ตลอด ต่างจากมาดนิ่ง ๆ แบบในซีรีส์ ‘Kingdom’ หรือหนังอย่าง ‘Along with The Gods’ กลายเป็นตัวละครของ จูจีฮุน ที่สร้างความบันเทิงและเรียกเสียงฮาได้ตลอดทั้งเรื่อง ทุกครั้งที่ปรากฏตัวขโมยซีนอยู่เสมอ สามารถบาลานซ์จากความจริงจังของตัวละคร อีซอนคยุน ให้หนังมีความครบรสมากยิ่งขึ้น มีทั้งมุมจริงจังมาก ๆ และมุมผ่อนคลายเรื่อย ๆ

และ ‘Project Silence’ คืออีกครั้งที่เกาหลีสามารถทำหนังหายนะได้อย่างถึงรสชาติ แน่นอนว่าเรื่องของงานโปรดักชั่นแทบจะไม่ต้องเป็นห่วง เพราะงานสร้างดูยิ่งใหญ่ สมจริง และสร้างอารมณ์ร่วมได้อย่างดี ที่เอ่ยว่าทำถึง คือหนังสามารถใส่สถานการณ์ชวนตื่นเต้น เสิร์ฟความระทึกมาให้แบบไม่หยุดหย่อน แค่คนดูติดตามเชียร์ตัวละคร ให้รอดพ้นไปจากสถานการณ์ต่าง ๆ ไปตามเส้นเรื่องก็สนุกมากพอแล้ว หนังใส่อุปสรรคต่าง ๆ เข้ามาอย่างไม่สนใจว่ามันจะเว่อร์ หรือเกินจริง เน้นให้คนดูได้เอ็นจอยกับหายนะที่ถาโถมไปเลย แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยมาตรฐานที่ถูกวางไว้สูงโดย ‘Train To Busan’ ตัวหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้แตะสแตนดาร์ดนั้น ในแง่ของความบีบคั้นของเรื่องราว และแง่มุมสะท้อนสังคมที่เรื่องดังกล่าวทำได้เหนือกว่า แต่โดยรวม ‘Project Silence’ ก็ยังเป็นหนังหายนะที่สนุก แปลกใหม่ น่าสนใจทั้งฉากต่าง ๆ และตัวละคร สามารถดูแบบบันเทิงและเอ็นจอยได้อย่างแน่นอน

ชมตัวอย่าง Project Silence เขี้ยวชีวะคลั่งสะพานนรก ก่อนเข้าไปชมพร้อมกัน 29 สิงหาคมในโรงภาพยนตร์

ภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] 'Thor : Love and Thunder' โรแมนติกสมชื่อ สู่บทใหม่ของเทพเจ้าสายฟ้า | GOSSIP GUN

06 ก.ค. 2022

[REVIEW] 'Thor : Love and Thunder' โรแมนติกสมชื่อ สู่บทใหม่ของเทพเจ้าสายฟ้า | GOSSIP GUN

ในขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นอย่างIron ManและCaptain Americaประกาศจบการศึกษากันไปแล้ว ด้วยการมีหนังเดี่ยวคนละ3ภาค แต่Thorกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่คนแรกในจักรวาลมาร์เวล ที่มีหนังของตัวเองเป็นภาคที่4ได้ ด้วยหลายๆปัจจัย ทั้งในแง่ของตัวละครที่ยังสามารถเล่าในแง่มุมต่างๆได้อีกเพียบ ความเป็นเทพ การเดินทางข้ามจักรวาล ทำให้เรื่องราวของThorถูกเปิดกว้างยิ่งกว่า รวมถึงปมที่เกี่ยวกับตัวละครแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจน ฟอสเตอร์ อดีตแฟนสาวของเขา ที่ถูกทิ้งไปดื้อๆหลังจบภาค2ทำให้นี่อาจจะเป็นโอกาสที่จะมาสานต่อเรื่องราวให้สมบูรณ์ รวมถึงความสำเร็จของหนังภาคก่อนอย่างThor : Ragnarokที่ผู้กำกับ ไทก้า ไวติติ เข้ามาปรับMood Toneทำให้หนังสนุกขึ้นและฉูดฉาดขึ้น จึงน่าเสียดายที่หนังของThorจะจบแค่ไตรภาคแรกเท่านั้น ทั้งๆที่มันยังมีโอกาสไปต่อได้นำมาสู่Thor : Love and Thunderที่หยิบเรื่องราวของธอร์(รับบทโดย คริส เฮมเวิร์ธ)มาเล่าต่อหลังจากเหตุการณ์ในAvengers : Endgameเมื่อเขาได้ออกเดินทางไปทั่วจักรวาลพร้อมกับเหล่าGuardians of the Galaxyเพื่อช่วยเหลือใครก็ตามที่เดือดร้อน จนกระทั่งพวกเขาได้พบกับGorr The God Butcher (รับบทโดย คริสเตียน เบล)ชายที่คลั่งแค้น จนสาบานว่าเขาจะสังหารเหล่าทวยเทพให้หมดสิ้น เป้าหมายต่อไปของกอร์ คือนิวแอสการ์ด บ้านหลังใหม่ของชาวแอสการ์ดที่ตั้งอยู่บนโลกมนุษย์ ธอร์จึงต้องเดินทางกลับมาที่โลกอีกครั้งเพื่อปกป้องอดีตชาวเมืองของเขา และการกลับมาในครั้งนี้ทำให้เขาได้พบกับ เจน(รับบทโดย นาตาลี พอร์ตแมน อีกครั้ง)อดีตคนรักที่ตอนนี้เธอได้กลายเป็น ไมตี้ธอร์ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กลายเป็นหญิงพลังเทพแบบเดียวกับที่ธอร์เป็น และเมื่อแฟนเก่ามาอยู่ใกล้ๆกันแบบนี้ ความรู้สึกในอดีตของธอร์ จึงถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง!แน่นอนว่า เมื่อ ไทก้า ไวติติ กลับมานั่งแท่นผู้กำกับในภาคนี้ ภาพรวมของThor : Love and Thunderจึงมีบรรยากาศและสีสันใกล้เคียงกับThor : Ragnarokโดยเฉพาะอารมณ์ขันที่ถูกใส่เข้ามาเยอะยิ่งกว่าเดิม และการออกแบบงานสร้างที่ฉูดฉาดมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ละทิ้งความดราม่าที่หนักหน่วง การลงลึกไปสำรวจความรู้สึกของ ธอร์ หลังจากจบEndgameที่ดูเหมือนเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร้ทิศทางและเป้าหมายพอสมควร ในหนังภาคนี้ ธอร์จะได้สำรวจความรู้สึกตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความรัก ที่เขาเก็บมันไว้ในส่วนลึกนานถึง8ปี และในภาคนี้เขาก็ได้จะค้นหาเป้าหมายใหม่ในการใช้ชีวิต ซึ่งนั่นทำให้หนังในภาคนี้ อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ สำหรับไตรภาคต่อไปของThorก็เป็นอันได้ไฮไลต์ที่สำคัญมากๆสำหรับThor : Love and Thunderคือการกลับมาอีกครั้งของ นาตาลี พอร์ตแมน หลังจากไม่ปรากฏตัวในหนังภาคก่อนLove and Thunderทำให้เส้นเรื่อง ความสัมพันธ์ของ ธอร์และเจน สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น หลายประเด็นที่ถูกทิ้งไว้และยังไม่เคยเล่า ถูกหยิบมาเล่าให้คอมพลีต ยิ่งฉากโรแมนติกของ ธอร์และเจน ในภาคนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกว่ามันมีอารมณ์บางอย่างที่ขาดหายไปในThorภาคก่อน และกลับมาอยู่ในภาคนี้อีกครั้ง นอกจากนี้การปรากฏตัวของ ไมตี้ธอร์ ทำให้เส้นเรื่องของThor : Love and Thunderมีสีสันมากยิ่งขึ้น และทำให้เราได้เห็นอีกมุมของธอร์ หลังจากที่ภาคก่อน เน้นไปที่ประเด็นด้านครอบครัว ในภาคนี้ก็จะโฟกัสที่ความรักเป็นหลักอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ถือว่าเป็นหมัดเด็ดสำหรับThor : Love and Thunderคือการเข้าร่วมจักรวาลมาร์เวล ของ คริสเตียน เบล อดีตพระเอกแบทแมน ที่พลิกมารับบทร้ายแบบสุดขั้ว การแสดงของเบลทำให้ตัวละคร กอร์ เต็มไปด้วยความสยดสยอง ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวชวนขนลุก และบางซีนน่ากลัวยิ่งกว่าผีปรากฏตัวในหนังสยองขวัญเสียอีก แต่ในขณะเดียวกัน เบลก็ใส่มิติ ความลึกของตัวละครเข้าไป กอร์ มีที่มาที่ไป ก็น่าเห็นใจอย่างมาก อะไรที่เปลี่ยนให้เขากลายเป็นปีศาจที่เต็มไปด้วยความแค้น นี่ไม่ใช่ตัวร้าย ที่คลั่งอำนาจ แต่กลับคลั่งแค้นด้วยความไร้เมตตาที่เขาได้รับ เบลเล่นดีจนกระทั่งอยากให้ กอร์ เป็นตัวร้ายใหญ่ในจักรวาลมาร์เวลเลยด้วยซ้ำปัญหาสำคัญของThor : Love and Thunderคือความกลมกล่อมของหนัง แน่นอนว่าไทก้าใส่สีสันมากมายเข้ามา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ในแบบที่แฟนๆมาร์เวลจำนวนไม่น้อยชอบมาก แต่ในภาคนี้เขาไม่สามารถบาลานซ์มันได้ดีเท่าRagnarokอาทิ จังหวะการปล่อยมุก ซึ่งในภาคก่อนค่อนข้างแม่นยำและได้ผลมาก แต่ในภาคนี้ กลับขำบ้างแป้กบ้าง บางจังหวะก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ดูเหมือนจะเน้นตลกไปเรื่อย จนความจริงจังในหนังแอบหายไปพอสมควร เมื่อหนังเดินทางมาถึงจุดที่ต้องซีเรียส อารมณ์ร่วมเลยไปไม่ถึงเท่าไหร่นัก เพราะเขาทำให้ตัวละครดูไม่จริงจังกับเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญ ทำให้แม้หนังจะออกมาสนุกสนาน บันเทิงระหว่างดู แต่น้ำหนักของเส้นเรื่องกลับเบาอย่างน่าเสียดายท้ายที่สุดThor : Love and Thunderก็ยังคงเป็นหนังป็อปคอร์นฟอร์มยักษ์กลางซัมเมอร์ ที่ยังคงดูสนุกและสร้างความบันเทิงได้เช่นเดิม แม้มันจะไม่ได้ลงตัวเท่างานชิ้นก่อนของ ไทก้า แต่เอกลักษณ์ในแบบของเขาก็ถูกใส่มาอย่างไม่ยั้งมือ รวมถึงหนังตอบโจทย์เรื่อง แฟนเซอร์วิส ได้แบบเต็มๆ โดยThor : Love and Thunderเหมือนเป็นจุดเชื่อมสำคัญของThorยุคก่อนEndgameและยุคหลังจากนี้ บางปมที่ยังไม่ถูกเล่า ก็มาคลี่คลายในภาคนี้(โดยเฉพาะเรื่องเจน)ในขณะเดียวกันหนังก็ผูกปมใหม่ ให้สำหรับThorในอนาคต ทำให้แฟนๆของมาร์เวลได้เห็นภาพกว้างๆว่า เส้นทางของเทพเจ้าสายฟ้าคนนี้ ในจักรวาลมาร์เวลนั้น ยังอีกยาวไกล...(ให้7.5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ชมตัวอย่างThor : Love and Thunderวันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] 'Thirteen Lives' หนังภารกิจถ้ำหลวงฉบับฮอลลีวูด ระทึกและสมจริงสุด | GOSSIP GUN

05 ส.ค. 2022

[REVIEW] 'Thirteen Lives' หนังภารกิจถ้ำหลวงฉบับฮอลลีวูด ระทึกและสมจริงสุด | GOSSIP GUN

ในฐานะคนไทย ภาพยนตร์ Thirteen Lives ถือเป็นหนังที่หลายคนรอคอยมากๆ เพราะนอกจากจะสร้างจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและกลายเป็นข่าวดังระดับโลก กับภารกิจช่วยชีวิต 13 หมูป่าจากถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน หนังยังมีนัักแสดงชื่อดังและทีมงานชาวไทย ไปมีส่วนร่วมในโปรเจกต์นี้อีกเพียบ ไฮไลต์หลักๆของ Thirteen Lives คงหนีไม่พ้นชื่อชั้นของผู้กำกับอย่าง รอน ฮาเวิร์ด จากหนังบล็อกบัสเตอร์อย่าง Apollo 13 และ The Da Vinci Code อีกทั้งยังเคยชนะรางวัลออสการ์จาก A Beautiful Mind มาแล้ว โดยหนังได้ดาราฮอลลีวูดอย่าง วิกโก้ มอร์เทนเซ่น (พระเอก The Lord of the Rings), โคลิน ฟาร์เรล และโจเอล เอ็ดเกอร์ตัน มารับบทนำ ในบทของเหล่านักดำน้ำระดับโลก ที่เดินทางมายังไทยเพื่อช่วยเหลือในภารกิจครั้งนี้ในฝากของนักแสดงชาวไทย นำทีมโดย เวียร์ ศุกลวัฒน์ ในบทจ่าแซม อดีตทหารเรือที่สละชีวิตในถ้ำหลวง, เจมส์ ธีรดนย์ รับบท โค้ชเอก ผู้ใหญ่คนเดียวที่ติดอยู่ในถ้ำหลวงกับเด็กๆและคอยดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี ร่วมด้วย ตุ้ย ธีรภัทร, ตู่ ภพธร รวมถึงสองนักแสดงไทย ที่เรามักเห็นปรากฏตัวในหนังต่างประเทศที่ถ่ายทำในไทยบ่อยๆอย่าง ปู สหจักร ซึ่งรับบทเป็นผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ และ ปู วิทยา รับบทเป็น รัฐมนตรี (ซึ่งแม้ในหนังจะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ก็มีการเปิดเผยว่าตัวละครนี้คือ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา) และนักแสดงไทยอีกเพียบ ในส่วนของทีมงานนั้น ไฮไลต์สำคัญคือ คุณสยุมภู มุกดีพร้อม ผู้กำกับภาพชาวไทย ที่โด่งดังระดับโลก จากผลงานในหนัง เจ้ย อภิชาติพงศ์ มากมาย จนกระทั่งได้กำกับภาพหนังฮอลลีวูดอย่าง Call Me By Your Name และ Suspiria โดยทั้งหมดได้เดินทางไปยังออสเตรเลีย โลเคชั่นหลักที่ใช้ในการถ่ายทำ รวมถึงบางส่วนของหนังก็ถ่ายทำในประเทศไทยด้วยพอเป็นคนไทย ระหว่างดู Thirteen Lives ก็จะตื่นเต้นเป็นพิเศษ กับการที่ได้เห็นนักแสดงที่คุ้นหน้าคุ้นตาในหนังระดับฮอลลีวูด ได้ฟังภาษาไทยแบบชัดๆในหนังที่กำกับโดยผู้กำกับระดับโลก ได้เฝ้าดูภารกิจอย่างใกล้ชิด กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยรวม Thirteen Lives สร้างออกมาได้ค่อนข้างสมจริงมาก จนบางจังหวะในการดู แทบจะไม่รู้สึกเลยว่ามันคือหนัง ความรู้สึกในบางจุด เหมือนกำลังดูฟุตเทจจากเหตุการณ์จริงเสียมากกว่า หรือแม้แต่นักแสดงอย่าง วิกโก้ มอร์เทนเซ่น และ โคลิน ฟาร์เรล ที่ดูแทบจะไร้ความเป็นดาราเลย ทั้งสองคนสามารถเนียนไปกับหนังได้ เหมือนเป็นนักประดาน้ำจริงๆ นอกจากนี้ ในแง่การออกแบบงานสร้าง หนังสามารถทำให้คนไทยเชื่อได้ว่านี่คือประเทศไทย ด้วยรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่สมจริงไปหมด ต่างจากหนังฮอลลีวูดหลายๆเรื่อง ที่สร้างเมืองไทย ไม่เหมือนเมืองไทย (อย่างล่าสุดคือ The Gray Man ที่ขัดใจแฟนหนังชาวไทยเหลือเกิน)แม้จะมีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 30นาที แต่ Thirteen Lives ถือว่าเดินเรื่องไปข้างหน้าด้วย Pacing ที่ค่อนข้างเร็ว เผลอแป้ปเดียวก็เข้าสู่ช่วงเวลาที่เด็กๆติดอยู่ในถ้ำหลายวันแล้ว อาจจะเพราะด้วยต้องขยี้ในช่วงหลังค่อนข้างมาก รวมถึงหนังตัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกเกือบหมด และโฟกัสที่ภารกิจการช่วยเหลือ ทำให้ไม่มีจุดที่รู้สึกว่าหนังน่าเบื่อเลยในช่วงของการปูพล็อต นำไปสู่ภารกิจหลัก ในขณะที่ครึ่งหลัง หนังก็เลือกที่จะมาขยี้ในช่วงสุดท้ายที่ช่วยเด็กๆทั้งหมดแบบเต็มๆ ซึ่งพาร์ทนี้เอง Thirteen Lives ทำออกมาได้อย่างสมจริง ทั้งระทึก ทั้งชวนอึดอัดเป็นอย่างมาก ความเก่งกาจของผู้สร้างคือ แม้ว่าเราจะรู้บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดอยู่แล้ว แต่หนังก็ยังบิลด์ให้เราตื่นเต้นไปกับภารกิจได้ สามารถตรึงเราไว้ได้ตลอด ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีมากๆของหนังเรื่องนี้ ถ้าจะมีจุดบกพร่องที่เห็นได้ชัด อาจจะเป็นเรื่องของการปูคาแร็คเตอร์ ซึ่งหนังไม่มีเวลามากพอ ทำให้ผู้ชมจะไม่ค่อยได้เห็นที่มาของตัวละคร ได้แค่รู้จักพวกเขาผิวเผิน ระหว่างที่ภารกิจดำเนินไปแล้วเท่านั้นสิ่งที่น่าเสียดายมากๆ สำหรับ Thirteen Lives คือการที่ผู้ชมส่วนใหญ่จะไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในโรง ซึ่งการดูในโรงเพิ่มทั้งอรรถรสและเพิ่มสมาธิระหว่างชมได้อย่างมาก เดิมทีหนังเรื่องนี้สร้างโดยสตูดิโอใหญ่อย่าง MGM (ค่ายที่สร้าง เจมส์ บอนด์) และเคยวางโปรแกรมฉายในโรง แต่เพราะค่าย Amazon ได้ซึ่งกิจการของ MGM ไป และเพื่อดันสตรีมมิ่งของค่ายอย่างAmazon Prime โปรเจกต์หนัง Thirteen Lives จึงถูกโยกมาฉายในแพลตฟอร์มนี้แทน โดยคอหนังชาวไทยสามารถรับชมThirteen Lives ได้แล้วตั้งแต่ตอนนี้ ซึ่งตัวของ Amazon Prime ในประเทศไทยนั้น เพิ่งเปิดตัวทำการตลาดไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา และสามารถสมัครสมาชิกได้ โดยเสียค่ารับชมเดือนละ 149 บาทเท่านั้น (แต่มีให้ทดลองใช้ฟรี 7 วัน) สำหรับใครที่แพลนจะดู Thirteen Lives อยากแนะนำให้สร้างบรรยากาศในการดู ด้วยการปิดไฟหรีือชมในที่มืด น่าจะช่วยให้อินกับหนังได้มากขึ้น เพราะหลายฉาก อาทิ ฉากในถ้ำ อาจจะค่อนข้างมืด ถ้าดูในที่สว่างมากๆ มีโอกาสที่ผู้ชมจะถูกผลักออกมาจากหนังก็เป็นอันได้ชมตัวอย่าง Thirteen Lives สตรีมได้แล้วใน Amazon Prime Video

[REVIEW] “Fantastic Beasts : The Secrets of Dumbledore” หรือนี่คือหนังรัก ในคราบของหนังพ่อมดโลกเวทมนตร์ | GOSSIP GUN

14 เม.ย. 2022

[REVIEW] “Fantastic Beasts : The Secrets of Dumbledore” หรือนี่คือหนังรัก ในคราบของหนังพ่อมดโลกเวทมนตร์ | GOSSIP GUN

ไม่แน่ใจว่านี่คือหนังเวทมนตร์หรือหนังต้องคำสาปกันแน่ เพราะภาคใหม่ของหนังตระกูลFantastic Beastsที่เปรียบเสมือนภาคก่อนหน้าของHarry Potterใช้เวลานานถึง4ปีในการเดินทางมาขึ้นจอใหญ่ ซึ่งโดยปกติแล้วหนังใหญ่ระดับนี้สตูดิโอมักไม่เว้นช่วงห่างนัก ส่วนสำคัญอาจเป็นเพราะกระแสตอบรับของภาคก่อนอย่างThe Crimes of Grindelwaldที่ทำรายได้น้อยที่สุดในเหล่าบรรดาจักรวาลพ่อมดทั้งหมด แถมยังได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบเยอะที่สุดด้วย ถ้าจะให้แฟรนไชส์นี้ไปต่อได้(สามารถสร้างได้ถึง5ภาคแบบที่ เจ.เค.โรว์ลิ่ง บอกไว้)วอร์เนอร์ต้องใช้เวลาพอสมควรในการพัฒนาบทให้ออกมาดีที่สุด แต่กระนั้นถึงเวลาหนังจะพร้อมถ่ายทำแล้ว กลับเจอหลายปัญหา ทั้งการเปลี่ยนนักแสดงที่รับบท กรินเดลวัลด์ จาก จอห์นนี เด็ปป์ เป็น แมดส์ มิคเคลสัน รวมถึงโควิด-19ทำให้การถ่ายทำล่าช้าออกไป นี่ยังไม่รวมถึงดราม่าเกี่ยวกับ เจ.เค.โรว์ลิ่ง และสดๆร้อนๆกับ เอซร่า มิลเลอร์ ที่ทำให้ทางค่ายต้องแทบจะไม่พูดถึงทั้งคู่ในการโปรโมตหนัง The Secrets of Dumbledoreพาผู้ชมกลับสู่โลกแห่งเวทมนตร์อีกครั้ง ในช่วงเวลาปี ค.ศ.1932ช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดของโลกพ่อมด โดยเรื่องราวหลักในภาคนี้คือการหยุด กรินเดลวัลด์ พ่อมดผู้ฝักใฝ่ในอำนาจด้านมืด เขาหวังจะครองทั้งโลกมนุษย์และโลกแห่งเวทมนตร์ ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์(รับบทโดย จูด ลอว์)พยายามจะหยุดเขา จึงได้รวบรวมทีมพ่อมดและแม่มดที่เก่งกาจในด้านต่างๆ นำทีมโดย นิวท์(รับบทโดย เอ็ดดี้ เรดเมย์น)นักสัตว์วิเศษ กับภารกิจเสี่ยงตายหยุดยั้งแผนการร้ายของกรินเดลวัลด์ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีการเลือกตั้งผู้นำของโลกเวทมนตร์คนใหม่ ที่อาจจะเอื้อประโยชน์กับพ่อมดฝ่ายชั่วก็เป็นอันได้ ถ้าความพยายามของวอร์เนอร์ คือการพัฒนาหนังชุดสัตว์มหัศจรรย์ให้ไปในทางบวกมากขึ้นThe Secrets of Dumbledoreถือว่าประสบความสำเร็จ ในฐานะคอหนังที่ติดตามหนังชุดHarry Potterอยู่ห่างๆ ไม่ได้ศึกษาหรือดูซ้ำมากมายอะไรนัก หนังภาคนี้สามารถสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมได้อย่างดี หนังมาพร้อมกับพล็อตที่ไม่ได้สลับซับซ้อน แม้ว่าผู้ชมจะห่างหายจากภาคก่อนไปนานถึง4ปี ก็สามารถต่อเรื่องได้แบบทันที หนังยังคงมีฉากผจญภัยที่สนุกสนานสมกับความเป็นแฟนตาซีหลายฉาก รวมถึงมีสัตว์มหัศจรรย์ที่น่ารักน่าเอ็นดูมากมาย แต่หัวใจจริงของThe Secrets of Dumbledoreดูเหมือนจะเป็นเรื่องความรัก ระหว่างดูไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหนังคลี่คลาย จะพบว่าหนังภาคนี้มีเส้นรักปรากฏเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นของตัวพระเอก ตัวเพื่อนสนิทพระเอก ตัวละครแวดล้อม ไปจนถึงปมใหญ่ระหว่างคู่เพื่อนรักเพื่อนแค้นอย่าง ดัมเบิลดอร์ และกรินเดลวัลด์ ที่เปรียบเหมือนแกนหลักของหนังภาคนี้ จูด ลอว์ และ แมดส์ มิคเคลสัน มีเคมีที่น่าสนใจมากทีเดียว หลายฉากที่ทั้งสองปรากฏตัวร่วมกันตั้งแต่ฉากแรกในหนังล้วนเป็นไฮไลต์ ซึ่ง แมดส์ เลือกที่จะถ่ายทอดบท กรินเดลวัลด์ ในแบบของเขา ซึ่งค่อนข้างฉีกต่างจากเวอร์ชั่น จอห์นนี เด็ปป์ ซึ่งนับเป็นทางเลือกที่ดี เพราะการเปรียบเทียบย่อมไม่ส่งผลดีต่อใคร การแสดงของเขา ทำให้กรินเดลวัลด์ทั้งสองแบบ ต่างมีเอกลักษณ์ในแบบตัวเอง ซึ่งชอบทั้งสองแบบจริงๆ หนังภาคนี้เปิดเรื่องได้อย่างสนุก เล่าปมหลักได้น่าติดตาม กับภารกิจของแก๊งนิวท์ที่จะต้องหยุดกรินเดลวัลด์ เป็นพล็อตที่เปิดโอกาสให้หนังสร้างซีนต่างๆมากมาย แต่น่าเสียดายที่พอมาถึงช่วงคลายปมท้ายๆ ทุกอย่างแอบคลี่คลายง่ายเกินไป ต่างจากตอนต้นที่บิลด์เรื่องมาค่อนข้างซีเรียส แต่พอมาถึงบทสรุป กลับง่ายดายกว่าที่คิด แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงท้ายนี่เองที่สำหรับผู้เขียนถือเป็นไฮไลต์ เพราะหนังพาผู้ชมในจักรวาลHarry Potterออกสู่โลเคชั่นอื่น นอกจากยุโรปเป็นหลัก(และในอเมริกาบ้าง)หนังพาผู้ชมมาสู่โซนเอเชีย ซึ่งแปลกตาดีเหมือนกัน โดยรวมThe Secrets of Dumbledoreถือเป็นหนังFantastic Beastsภาคที่ดูสนุก และมีหลากหลายอารมณ์ ค่อนข้างครบรสทีเดียว แม้มันจะยังมีข้อบกพร่องบ้าง ทั้งการคลายปมที่ง่ายดาย และความยาวที่หนังเองสามารถกระชับได้หลายๆฉาก และอีกจุดที่อาจจะทำให้แฟนๆสงสัย คือการที่หนังภาคนี้แทบจะคลายปมของFantastic Beastsไปเกือบหมดแล้ว มันทำตัวเป็นเหมือนภาคจบ ทั้งๆที่แฟนๆรู้ดีว่า แผนการเดิมคือการสร้าง5ภาค เหมือนวอร์เนอร์ กำลังจะบอกว่า ถ้าภาคนี้ไม่ทำเงินตามที่พวกเขาคาดคิดFantastic Beastsก็มีภาคบทสรุปที่เกือบจะสมบูรณ์แล้วนะ แต่หนังก็ยังเปิดช่องไว้นิดๆ ว่า ถ้าแฟนๆกลับมาหนาแน่นเหมือนเดิม ก็ยังมีปมที่เราทิ้งไว้สำหรับภาค4-5เหมือนกัน กลายเป็นแทนที่หนังจะบิลด์หนักๆไปยังภาค4เหมือนทุกอย่างจะจบลงตรงนี้เลย(ให้7คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] “The Lost City” หนังผจญภัยที่หัวใจความสนุก คือ เคมีนักแสดง | GOSSIP GUN

19 เม.ย. 2022

[REVIEW] “The Lost City” หนังผจญภัยที่หัวใจความสนุก คือ เคมีนักแสดง | GOSSIP GUN

คงจะไม่เกินจริงถ้าจะกล่าวว่า แซนดร้า บูลล็อค คือขุมทรัพย์ของหนังตลก เธอทำได้ดีและดูเป็นธรรมชาติเสมอในหนังแนวนี้ ที่พิสูจน์ด้วยหนังฮิตจากหลากยุคอย่างWhile You Were Sleeping, Miss Congeniality, The ProposalและOcean's 8แม้เธอจะเวียนไปแสดงหนังแนวอื่นมากมาย แต่ผู้ชมมักเรียกหาบูลล็อคในหนังตลกเสมอ เช่นเดียวกับผลงานล่าสุดThe Lost Cityในยุคที่หนังทำเงินมีแต่หนังรีเมกหรือภาคต่อ หนังออริจินัลที่นำแสดงโดยเธอ กลับสามารถทำเงินทะลุหลัก80ล้านเหรียญฯในอเมริกาไปได้แล้ว ไม่ธรรมดาจริงๆ โดยเรื่องนี้เธอได้จับมือกับ แชนนิ่ง เททั่ม อีกหนึ่งนักแสดงที่คล้ายกับบูลล็อค คือแวะเวียนไปเล่นหนังทุกแนว แต่สไตล์ที่แฟนๆ ตกหลุมรักเขามากๆ คือตลกเช่นกัน พิสูจน์ด้วยรายได้ของ21 Jump StreetและShe's The Manหนังที่แจ้งเกิดเขา แซนดร้า บูลล็อค รับบทลอเร็ตต้า นักเขียนหญิงที่หมดแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือต่อ แม้นิยายแนวประวัติศาสตร์โรแมนซ์ของเธอจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่เธอก็ไม่มีกะจิตกะใจในการเดินทางทัวร์โปรโมตหนังสือ เพราะส่วนหนึ่งเพราะต้องเจอกับ อลัน นายแบบหน้าปกหนังสือของเธอ ที่อินกับตัวละครพระเอกดั่งเขียนมาจากชีวิตเขา แต่แล้วเธอกลับตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เมื่ออบิเกล(รับบทโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์ จากHarry Potter)มหาเศรษฐี จับตัวเธอไป เพราะต้องการตามหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ในเมืองสาบสูญ และทางเดียวที่จะไขปริศนาได้ คือการใช้ทักษะอ่านภาษาโบราณของลอเร็ตตา เมื่อเธอถูกจับตัวไปยังเกาะห่างไกลในมหาสมุทร อลันจึงทำทุกทางเพื่อไปช่วยเธอ เพื่อให้เขาได้เป็นมากกว่านายแบบหน้าปก ได้เป็นพระเอกในชีวิตจริง! The Lost Cityไม่ใช่หนังที่มีความใหม่อะไรมากนัก หนังผจญภัยในป่า ที่มีกลิ่นอายผสมระหว่าง แอ็กชัน โรแมนติก คอเมดี้ มีมาทุกสมัย ที่พีกมากๆ และภาพหนังดูใกล้เคียง ก็คือRomancing The Stoneในปี1984แต่The Lost Cityคือหนังที่มาถูกที่ถูกเวลา หลังจากแซนดร้า บูลล็อค ห่างหายจากหนังตลกไปนานถึง4ปี ส่วน แชนนิ่ง เททั่ม ว่างเว้นจากหนังตลกไปเกือบ5ปี นี่จึงกลายเป็นหนังที่คอหนังตลกต้องการโดยไม่รู้ตัว คุณอาจจะไม่ได้รู้สึกก่อนหน้านี้ว่าอะไรขาดหายไป แต่พอไปดู กลับรู้สึกถึงความสนุกแบบที่คุ้นเคย ที่เหมือนกับว่าไม่ได้ดูมาซักพักใหญ่แล้ว นี่คือโปรเจกต์ที่เหมาะมากกับทั้ง บูลล็อค และ เททั่ม พวกเขาต่างเป็นธรรมชาติมากๆในหนังเรื่องนี้ เช่นเดียวกับเคมีของทั้งคู่ ที่เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ และเป็นสิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนหนังให้สนุกได้จริงๆ โดยรวมThe Lost Cityมีส่วนผสมระหว่างหนังแอ็กชันและตลกที่กำลังดี สถานการณ์แบบตกกระไดพลอยโจนกลางป่าลึกในเกาะที่ห่างไกล ทำให้หนังสร้างสถานการณ์สนุกๆได้มากมาย บวกกับคาแร็คเตอร์ของตัวละครที่ไม่ได้สายบู๊ทั้งคู่อยู่แล้ว หนังใช้ประโยคในการสร้างเหตุการณ์เหมาะๆได้อย่างไม่เสียดายพล็อต นอกจากนี้หนังยังเต็มไปด้วยมุกบ้าบอรายทาง ซึ่งก็ไม่ได้ปล่อยทิ้งขว้าง มีความตลกอยู่ตลอด รวมถึงไฮไลต์พิเศษ นั่นคือ นักแสดงรับเชิญอย่าง แบรด พิตต์ ที่ค่ายหนังไม่อยากเก็บไว้เซอร์ไพรส โปรโมตแบบเต็มแม็กไปเลย ก็แว้บมาสร้างสีสันได้อย่างกำลังดี แต่ก็ไม่ได้ขโมยซีนของพระนางด้วย ปัญหาเล็กน้อยของThe Lost Cityอาจจะเป็นการเลือกให้ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ มารับบทตัวร้ายของเรื่อง ซึ่งมีปัญหาในหลายๆด้าน ประการแรกคือคือผู้ชมจำนวนไม่น้อยไม่สามารถสลัดภาพเขาจากบทแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ได้ เมื่อแรดคลิฟฟ์ ร้ายก็ดูแปลกดีแต่ยังไม่น่าเชื่อเท่าไหร่นัก อีกทั้งอายุที่อาจจะห่างจากทั้ง บูลล็อคและเททั่ม ทำให้เขาดูเป็นตัวร้ายที่ไม่ได้น่าเกรงขามนัก ความกล้ามใหญ่ของเททั่มดูจะเอาชนะได้แบบง่ายๆด้วย ตัวละครนี้เลยดูไม่หนักแน่นพอไปอย่างน่าเสียดาย แต่โดยThe Lost Cityถือเป็นหนังสนุกที่เพลิดเพลินตั้งแต่ต้นจนจบ ที่คอหนังแอ็กชันคอเมดี้น่าจะถูกใจได้ไม่ยาก(ให้8คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

album

0
0.8
1