[REVIEW] ‘PROJECT SILENCE’ อีกครั้งที่หนังเกาหลีทำถึง จัดหนักหายนะแบบมะรุมมะตุ้ม

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘PROJECT SILENCE’ อีกครั้งที่หนังเกาหลีทำถึง จัดหนักหายนะแบบมะรุมมะตุ้ม

28 ส.ค. 2024

จากความสำเร็จของ ‘Train To Busan’ ที่เป็นหมุดหมายสำคัญ ส่งให้แวดวงหนังเกาหลีก็ขยันสร้างสรรค์ไอเดียหนังหายนะ ให้ออกมามีความแปลกใหม่อยู่เสมอ ครีเอตสถานการณ์อันบีบคั้นด้วยข้อจำกัดที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับหนังแอ็กชันโปรเจกต์ยักษ์ล่าสุดอย่าง ‘Project Silence’ ที่ใส่ข้อแม้เพื่อให้ตัวละครเอาตัวรอด เปลี่ยนจากซอมบี้ที่เริ่มซ้ำซากในยุคหลัง เป็น ‘สุนัขชีวะ’ ที่ผ่านการทดลองทางการทหารให้สังหารมนุษย์อย่างอำมหิต โอกาสที่มนุษย์หน้าไหนจะรอดไปนั้น โอกาสคือศูนย์ จะเปลี่ยนเซ็ตติ้ง จากพื้นที่จำกัดทั้งบนรถไฟหรือเครื่องบิน ให้เป็นสะพานสูงที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และใส่อีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญเพิ่มเข้ามาอีก คือหมอกที่บดบังวิสัยทัศน์ของทุกตัวละคร ทำให้อาจกล่าวได้ว่า ‘Project Silence’ คือหนังที่จัดองค์ประกอบความหายนะ เสิร์ฟมาให้แบบเต็ม ๆ เข้าขั้นมะรุมมะตุ้มอย่างที่เกริ่นไปเลยทีเดียว

ศูนย์กลางของ ‘Project Silence’ คือ จองวอน (รับบทโดย อีซอนคยุน นักแสดงผู้ล่วงลับจาก ‘Parasite’) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงความมั่นคง ที่กำลังขับรถไปส่งลูกสาวที่สนามบินเพื่อเรียนต่อ แต่อุบัติเหตุครั้งใหญ่ก็ได้เกิดขึ้นบนสะพานเชื่อมระหว่างกรุงโซล กับ สนามบินอินชอน เมื่อหมอกหนาเริ่มปกคลุม ทำให้เกิดเหตุการณ์รถชนกันนับสิบ และหนึ่งในนั้น คือรถบรรทุกลึกลับของกองทัพ ที่กำลังขนอาวุธลับร้ายแรง ไม่นานผู้ประสบภัยบนสะพานก็ค่อย ๆ รู้ชะตากรรมว่าอาวุธดังกล่าว คือ สุนัขที่ผ่านการทดลอง ให้เป็น อาวุธสังหาร มีความแข็งแกร่งและเกรี้ยวกราด พร้อมที่จะสังหารมนุษย์ทุกชีวิต ในขณะที่ทุกคนกำลังพยายามหนีเอาตัวรอด สะพานก็เริ่มพังและถูกตัดขาดจากโลกภายนอก พวกเขาจะเอาตัวรอดได้อย่างไร เมื่อสะพานแห่งนี้เต็มไปด้วยความคลั่ง และความตายที่รอพวกเขาอยู่

เชื่อว่าหลายคนรอคอย ‘Project Silence’ เพราะนี่คือผลงานการแสดงชิ้นสุดท้ายของ อีซอนคยุน นักแสดงผู้ล่วงลับที่ฝากผลงานชิ้นนี้ไว้เป็นเรื่องสุดท้าย โดยรวมซอนคยุนยังคงฝากฝีมือการแสดงไว้ได้อย่างน่าจดจำ กับตัวละครที่ค่อนข้างมีมิติ โดยเฉพาะซีนท้าย ๆ เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้สึกบีบหัวใจ และยิ่งคิดถึงเขามากขึ้นไปอีก ว่าหลังจากนี้จะไม่ได้ดูฝีมือการแสดงของนักแสดงมากฝีมือคนนี้อีกแล้ว และที่โดดเด่นไม่แพ้กัน จนไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ จูจีฮุน ที่คาแรกเตอร์ในหนังรับบทเป็นคนขับรถสิบล้อ ที่มีมาดกวนและเรียกเสียงฮาได้ตลอด ต่างจากมาดนิ่ง ๆ แบบในซีรีส์ ‘Kingdom’ หรือหนังอย่าง ‘Along with The Gods’ กลายเป็นตัวละครของ จูจีฮุน ที่สร้างความบันเทิงและเรียกเสียงฮาได้ตลอดทั้งเรื่อง ทุกครั้งที่ปรากฏตัวขโมยซีนอยู่เสมอ สามารถบาลานซ์จากความจริงจังของตัวละคร อีซอนคยุน ให้หนังมีความครบรสมากยิ่งขึ้น มีทั้งมุมจริงจังมาก ๆ และมุมผ่อนคลายเรื่อย ๆ

และ ‘Project Silence’ คืออีกครั้งที่เกาหลีสามารถทำหนังหายนะได้อย่างถึงรสชาติ แน่นอนว่าเรื่องของงานโปรดักชั่นแทบจะไม่ต้องเป็นห่วง เพราะงานสร้างดูยิ่งใหญ่ สมจริง และสร้างอารมณ์ร่วมได้อย่างดี ที่เอ่ยว่าทำถึง คือหนังสามารถใส่สถานการณ์ชวนตื่นเต้น เสิร์ฟความระทึกมาให้แบบไม่หยุดหย่อน แค่คนดูติดตามเชียร์ตัวละคร ให้รอดพ้นไปจากสถานการณ์ต่าง ๆ ไปตามเส้นเรื่องก็สนุกมากพอแล้ว หนังใส่อุปสรรคต่าง ๆ เข้ามาอย่างไม่สนใจว่ามันจะเว่อร์ หรือเกินจริง เน้นให้คนดูได้เอ็นจอยกับหายนะที่ถาโถมไปเลย แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยมาตรฐานที่ถูกวางไว้สูงโดย ‘Train To Busan’ ตัวหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้แตะสแตนดาร์ดนั้น ในแง่ของความบีบคั้นของเรื่องราว และแง่มุมสะท้อนสังคมที่เรื่องดังกล่าวทำได้เหนือกว่า แต่โดยรวม ‘Project Silence’ ก็ยังเป็นหนังหายนะที่สนุก แปลกใหม่ น่าสนใจทั้งฉากต่าง ๆ และตัวละคร สามารถดูแบบบันเทิงและเอ็นจอยได้อย่างแน่นอน

ชมตัวอย่าง Project Silence เขี้ยวชีวะคลั่งสะพานนรก ก่อนเข้าไปชมพร้อมกัน 29 สิงหาคมในโรงภาพยนตร์

ภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘The Menu’ หนังเขย่าขวัญเสิร์ฟเมนูสยอง ระทึก ร้ายกาจ คาดเดาไม่ได้ | GOSSIP GUN

18 พ.ย. 2022

[REVIEW] ‘The Menu’ หนังเขย่าขวัญเสิร์ฟเมนูสยอง ระทึก ร้ายกาจ คาดเดาไม่ได้ | GOSSIP GUN

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณเดินทางไปยังภัตตาคารสุดหรู เพื่อรับประทานอาหารแบบ Fine Dining แต่แล้ว เมื่อดินเนอร์เริ่มเสิร์ฟ ทุกอย่างรอบตัวคุณค่อยๆผิดปกติ และสถานการณ์เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ จนนี่อาจจะเป็นดินเนอร์มื้อสุดท้ายของคุณ นี่คือพล็อตคร่าวๆของ The Menu หนังเขย่าขวัญตลกร้าย ซึ่งนอกจากเรื่องราวอันแสนจะยั่วยวนให้แฟนหนังไปชมในโรงภาพยนตร์แล้ว หนังยังมีไฮไลต์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นชื่อชั้นของ 3 นักแสดงนำอย่าง อันยา เทย์เลอร์-จอย, นิโคลัส โฮลต์ และ เรล์ฟ ไฟนส์ และเครดิตของทีมโปรดิวเซอร์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ อดัม แมคเคย์ และวิลล์ ฟาร์เรล ที่สร้างหนังตลกแสบสันอย่าง Don't Look Up และซีรีส์สุดร้ายกาจอย่าง Succession มาแล้ว ส่วนผู้กำกับ มาร์ก มายลอด ก็เคยกำกับหลายเอพพิโซดของSuccession ดังนั้น ถ้าใครเคยดูซีรีส์มา ก็น่าจะพอเดาอารมณ์ออก ว่าหนังจะแสบได้ถึงขนาดไหนThe Menu เล่าถึงคู่รัก มาร์โก และเทย์เลอร์ (รับบทโดย อันยา เทย์เลอร์-จอย จาก The Queen's Gambit และ นิโคลัส โฮลต์ จาก X-Men) ที่เดินทางไปยังเกาะส่วนตัว เพื่อรับประทานอาหารเย็นที่ ฮอว์ธอร์น ห้องอาหารสุดหรู ที่ราคาต่อคอร์สแพงลิบ พวกเขาเดินทางไปพร้อมกับแขกดินเนอร์มื้อเดียวกันอีกจำนวนหนึ่งที่ดูเหมือนแต่ละคน ล้วนแต่จะเป็นบุคคลระดับวีไอพี เมื่อเดินทางมาถึงทุกคนก็ได้พบกับ จูเลี่ยน สโลวิก (รับบทโดย เรล์ฟ ไฟนส์ จาก Harry Potter) เชฟชื่อดัง หัวหน้าเชฟประจำห้องอาหารแห่งนี้ ซึ่งเขาค่อยๆเสิร์ฟอาหารแต่ละจาน ที่เต็มไปด้วยไอเดียและแนวคิดสุดแปลก ก่อนที่เหล่าแขกจะค่อยๆรู้ตัวว่า ทุกอย่างกำลังผิดปกติ นี่อาจจะไม่ใช่การรับประทานไฟน์ไดนิ่งทั่วไป แต่มีอะไรชวนขนลุกแฝงอยู่ในนั้นระหว่างที่ผู้ชมได้ดูหนัง The Menu ก็เหมือนกับผู้ชมได้เข้าไปนั่งอยู่ในห้องอาหารเดียวกับตัวละคร มันเริ่มต้นจากการเป็นหนังที่ดูเหมือนหนังทั่วไป ไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาด จนกระทั่งอาหารจานต่างๆค่อยๆเสิร์ฟ ผู้ชมจะได้เริ่มสัมผัสถึงความผิดปกติอะไรบางอย่าง บรรยากาศความไม่น่าไว้วางใจค่อยๆครอบคลุมไปทั่วในหนังเรื่องนี้ ระดับความเป็นหนังเขย่าขวัญค่อยๆเพิ่มขึ้น เจือปมด้วยรสชาติแบบหนังตลกร้าย เสียดสีสังคมในแง่มุมต่างๆ แฝงด้วยความคิด เหมือนกับตัวละครที่กำลังขบคิดไอเดียที่แฝงอยู่ในอาหารแต่ละคอร์ส ผู้ชมก็ขบคิดไปเช่นกันว่า หนังจะสื่อสารถึงอะไร The Menu จึงเป็นหนังที่มีส่วนผสมค่อนข้างเฉพาะตัว รวมความเป็นหนังตลกร้ายกับเขย่าขวัญไว้ด้วยกันอย่างน่าลิ้มลอง ช่วงแรกอาจจะใช้เวลานานในการปูเรื่องราว แต่เมื่อเรื่องดำเนินไป หนังก็ค่อยๆไต่ระดับความระทึกเพิ่มขึ้นนอกจากพล็อตที่เดาทางได้ยาก บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจ The Menu ขับเคลื่อนไปได้ดี ด้วยทีมนักแสดงที่ชวนดึงดูด ไฮไลต์หลักของหนีไม่พ้น อันยา เทย์เลอร์-จอย และ เรล์ฟ ไฟนส์ หลายฉากที่เพียงแค่ทั้งสองเผชิญหน้ากัน ก็ชวนขนลุกไม่ไหวแล้ว สำหรับอันยาที่แจ้งเกิดมาจากหนังสยองขวัญชุดใหญ่ทั้ง The Witch, Split หรือแม้แต่หนังล่าสุดอย่าง Last Night In Soho การที่ได้เห็นเธอรับเล่นหนัง Horror/Thriller อย่างต่อเนื่อง เป็นอะไรที่ถูกใจแฟนๆมาก เธอมีเสน่ห์มากเป็นพิเศษเมื่อแสดงนำในหนังแนวนี้ และชวนให้ผู้ชมได้เอาใจช่วยอยู่เสมอ ในขณะที่ เรล์ฟ ไฟนส์ ชวนขนลุกกับบทชวนสยองเสมอมา ไล่มาตั้งแต่ Schindler's List มาจนถึงหนังอย่าง Red Dragon บทโวลเดอมอร์ในจักรวาล Harry Potter มาจนถึงบทในหนังเรื่องนี้แค่เขาแสดงสีหน้าก็น่ากลัวไม่ไหวแล้ว ยิ่งเสริมให้เรื่องชวนระทึกขึ้นไปอีกโดยรวม The Menu เป็นหนังที่รสชาติแปลกน่าลอง เหมาะสำหรับคนที่ชอบตลกแบบร้ายกาจ หนังมีประเด็นเสียดสีชนชั้นที่น่าสนใจ หลายฉากฮาอย่างเจ็บแสบ ในขณะที่สายเขย่าขวัญ แม้ว่าหนังจะไม่ได้น่ากลัวอะไรมากนัก แต่ก็อบอวลด้วยบรรยากาศชวนขนลุก ให้ตึงเครียดได้จริงๆ ผู้ชมจะได้สนุกกับการคาดเดาว่า เมนูต่อไปเชฟจะเสิร์ฟอะไร คาดเดาว่าแต่ละตัวละครซ่อนปมอะไรไว้ และหนังจะพาเราไปสู่จุดไหน ถือว่าเป็นหนังสยองแสบๆเรื่องหนึ่ง ที่ไม่อยากให้พลาดชมตัวอย่าง The Menu เมนูสยอง สัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Major Group

[REVIEW] ‘Guardians of the Galaxy Vol.3’ ส่งท้ายอย่างยิ่งใหญ่ ปิดไตรภาคการ์เดี้ยนอย่างทรงพลัง | GOSSIP GUN

08 พ.ค. 2023

[REVIEW] ‘Guardians of the Galaxy Vol.3’ ส่งท้ายอย่างยิ่งใหญ่ ปิดไตรภาคการ์เดี้ยนอย่างทรงพลัง | GOSSIP GUN

การเข้าฉายของ Guardians of the Galaxy Vol.3 เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นชัดเจน ถึงการเดินหมากที่ผิดพลาดของMarvel Studios ยิ่งเมื่อผลตอบรับของหนังออกมาในแง่บวกมากๆ ในวันที่ค่ายปล่อย เจมส์ กันน์ ให้หลุดมือไปคุมค่ายคู่แข่งอย่าง DC ไปแล้ว ยิ่งน่าเสียดายแทนยิ่งนัก อันที่จริงแล้วหนังเรื่องนี้ควรฉายได้ตั้งแต่ 2-3 ปีที่แล้วด้วยซ้ำ ตั้งแต่ Avengers : Endgame เพิ่งจบใหม่ๆ พอมาฉายตอนนี้ ซึ่งทิ้งห่างจาก Guardians of the Galaxy Vol.2 นานถึง 6 ปี ดูเหมือนจะกลายเป็นการทิ้งช่วงที่นานเกินไป ทั้งหมดเป็นเพราะความตื่นตูมของดิสนีย์ที่ไล่ผู้กำกับ เจมส์ กันน์ ออกเพราะเหตุดราม่าในทวิตเตอร์อันน้อยนิด จนในที่สุดก็ต้องมาย้อนคำตัดสินของตัวเอง เมื่อเห็น กันน์ ไปกำกับ The Suicide Squad ให้ค่ายคู่แข่ง ทำให้การเกิดขึ้นของหนังเรื่องนี้ช้าเกินไปอย่างน่าเสียดาย ดันมาในช่วงเวลาที่กระแสความไฮป์ของจักรวาลมาร์เวลเริ่มจางหายไปเสียแล้ว..Guardians of the Galaxy Vol.3 ถูกวางตัวไว้ในฐานะหนังปิดไตรภาคของแก๊งการ์เดี้ยน และเล่าเหตุการณ์ไม่นานนักหลังจากAvengers : Endgame เมื่อปีเตอร์ สูญเสียคนรักของเขาอย่างกามอร่าไป สมาชิกของแก๊งอาศัยอยู่ในโนแวร์ และทำภารกิจปกป้องจักรวาลไปเรื่อยๆ ในภาคนี้ หนังจะเล่าเหตุการณ์ใน 2 ไทม์ไลน์ไปพร้อมๆกัน โดยศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่ร็อคเก็ต เมื่อมันถูกโจมตีโดย อดัม วอร์ล็อก ทำให้ชีวิตตกอยู่ในอันตราย ทันใดนั้นทุกคนต่างรู้ว่า ตัวเองแทบจะไม่รู้ที่มาของร็อคเก็ตเลย หนังจึงค่อยๆพาผู้ชมและสมาชิกชาวการ์เดี้ยน ย้อนกลับไปยังที่มาของตัวละครนี้ ซึ่งจะเกี่ยวพันกับเหตุการณ์สำคัญยิ่งในอนาคตที่กำลังจะมาถึง นี่คือหนังที่นอกจากจะพาผู้ชมไปสู่บทสรุปของเหล่าการ์เดี้ยน แต่ก็ยังพาผู้ชมย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นเช่นกันนี่คือหนังปิดไตรภาคที่นอกจากจะคงเอกลักษณ์ของความเป็นGuardians of the Galaxy ไว้ได้อย่างครบถ้วน มันยังกลายเป็นหนังภาคที่ทรงพลังมากที่สุดในบรรดาไตรภาค รวมถึงหนังตระกูลมาร์เวลในยุคหลังๆ แม้ครึ่งแรกหนังจะใช้เวลาพอสมควร ในการเคาะสนิม ค่อยๆพาผู้ชมย้อนกลับไปดูความเป็นไปของตัวละคร แต่เมื่อชั่วโมงหลังมาถึง ทุกองค์ประกอบของ Guardians of the Galaxy Vol.3 ถือว่าก้าวเข้าสู่จุดพีกแทบทั้งหมด ด้วยประเด็นของหนังที่ค่อนข้างจริงจังและจับประเด็นที่ค่อนข้างใหญ่ยิ่งกว่าทุกภาค นำไปสู่ฉากไคลแม็กซ์ที่จัดเต็มทั้งในแง่ของเส้นเรื่องและงานสร้าง กลายเป็นการปิดท้ายการผจญภัยของเหล่าการ์เดี้ยนที่น่าพอใจและคู่ควรสำหรับกลุ่มของคาแรคเตอร์ที่แฟนๆรักเช่นนี้ยิ่งที่แข็งแรงมากๆของหนังตระกูล Guardians of the Galaxy ไม่ใช่ของการแสดงพลังพิเศษของตัวละครแบบในหนังซูเปอร์ฮีโร่ทั่วไป แต่มันคือการแสดงพลังแห่งมิตรภาพและความเป็นอันหนึ่งอันเดียว การจับมือกัน ซึ่งในภาคนี้ไม่ใช่แค่แก๊งการ์เดี้ยนแล้ว แต่มันคือการร่วมมือกันของทุกชีวิต เอกลักษณ์สำคัญที่ทุกตัวละครการ์เดี้ยนมีจุดร่วมกัน คือความ "ไม่สมบูรณ์แบบ"ทุกตัวละครล้วนมีจุดแปลก จุดบกพร่องของตัวเอง แต่เมื่อทุกคนร่วมมือกัน มันกลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ซึ่งหนังภาคนี้โดยเฉพาะในครึ่งหลัง ไม่ได้แค่เชิดชูแค่ความเป็นตัวตนที่ไม่เหมือนใครเท่านั้น แต่เชิดชูการมีชีวิตของทุกชีวิต นี่คือหนังที่่ไม่เพียงแต่จะทำให้เราหันไปมองคนรอบข้าง แต่กลับมองทุกชีวิตอย่างมีคุณค่า แม้ว่าจะไม่ใช่สปีชีย์เดียวกับเราก็ตาม ซึ่งในหนังหลายๆเรื่องมองข้ามจุดๆนี้ไปแม้ Guardians of the Galaxy Vol.3 จะพาผู้ชมไปสู่จุดที่จริงจัง ทรงพลัง และยิ่งใหญ่กว่าทุกภาค ด้วยความซีเรียสของเส้นเรื่องที่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเป็นความตายของตัวละคร ตัวร้ายที่พร้อมฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุเพราะทำตัวเยี่ยงพระเจ้า แต่หนังยังคงเอกลักษณ์ของ Guardians of the Galaxy ไว้อย่างครบถ้วน ในแบบที่ถ้าไม่ใช่ เจมส์ กันน์ ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าใครจะสามารถทำได้ดีเท่า เอกลักษณ์ความเป็นการ์เดี้ยนในที่นี้ ประกอบไปด้วยความเกรียนอย่างร้ายกาจ มิตรภาพอันแน่นแฟ้นของตัวละคร จัดเข้ากลุ่มจำพวกปากร้ายแต่ใจดี จังหวะมุกต่างๆทำออกมาได้ค่อนข้างเวิร์กมากๆ และจังหวะประทับใจก็ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นที่น่าพอใจเช่นเดียวกันโดยรวมแม้ Guardians of the Galaxy Vol.3 จะเป็นภาคปิดท้าย แต่มันก็ได้พาผู้ชมกลับสู่รากเหง้าของตัวละครหลายๆตัว แม้จะชูร็อคเก็ตเป็นแกนหลัก แต่ก็ยังไม่ทิ้ง สตาร์ลอร์ดและตัวละครอื่นๆ เป็นการเหลียวหลังเพื่อไปต่ออย่างแข็งแร็ง นี่คือหนังที่น่าจะเป็นที่พึงพอใจสำหรับแฟนหนังมาร์เวลอย่างแน่นอน และสำหรับผู้ชมทั่วไปก็น่าจะทำให้ตกหลุมรักตัวละครเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น และยิ่งคิดถึงมากขึ้นไปอีกเมื่อเส้นทางในหนังชุดนี้กำลังจะจบลง สิ่งที่อยากทิ้งท้ายแถมไว้สำหรับคนดูทั่วไป ถ้าใครเป็น คนรักสัตว์ และคนรักเสียงเพลงละก็ นี่คือหนังที่จะทำให้คุณฟินมากขึ้นอีกสเต็ปอย่างแน่นอนชมตัวอย่าง Guardians of the Galaxy Vol.3 วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Marvel Thailand

[REVIEW] ‘Scream VI’ เมื่อหนังไล่เชือดมุ่งหน้าสู่นิวยอร์ก สดขึ้น โหดขึ้น สะใจแน่นอน | GOSSIP GUN

09 มี.ค. 2023

[REVIEW] ‘Scream VI’ เมื่อหนังไล่เชือดมุ่งหน้าสู่นิวยอร์ก สดขึ้น โหดขึ้น สะใจแน่นอน | GOSSIP GUN

ใครจะไปคิดว่าตำนานแห่งหนังไล่เชือดที่อายุมากกว่า 27 ปีแล้ว กำลังกลับมาสู่ขาขึ้นสุดๆ Scream หรือ หวีดสุดขีด ภาคแรก ออกฉายในปี 1996 จากหนังนอกกระแส กลายเป็นผลงานที่ปลุกหนังแนว Slasher ให้กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง กลายเป็นว่าในช่วงปลายยุค 90s ถึงต้นยุค 2000s ก็มีหนังไล่เชือดวัยรุ่นออกฉายกันตามมาอีกเป็นพรวน เช่นเดียวกับ Scream เองที่ก็มีภาคต่อตามออกมาไล่เลี่ยกันอีก 2ภาค ก่อนที่จะเว้นระยะห่างแล้วกลับมาใน Scream 4 แต่ดูเหมือนกระแสความนิยมของแฟรนไชส์นี้ ลดลงอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับคุณภาพของมัน แม้ว่าต้นตำรับอย่าง เวส คราเวน ผู้กำกับจากภาคแรกจะดูแลเองทั้งหมด แต่ดูเหมือนลมหายใจของหนังจะหมดแค่นั้น จนกระทั่งปีก่อน จิตวิญญาณของ Scream ถูกปลุกอีกครั้งโดย แมตต์ เบติเนลลี่-โอลพิน และไทเลอร์ จิลเล็ต คู่หูจากหนังเด็ด Ready or Not ด้วยความที่พวกเขาเข้าใจในความเป็น Slasher Film อย่างดีเยี่ยม กลายเป็นว่า Scream 5 ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม และได้ใจแฟนหนังไล่เชือดไปเต็มๆ จึงไม่แปลกใจที่พาราเมาต์จะอนุมัติสร้างภาคใหม่อย่างรวดเร็ว จนมาถึง Scream VI ที่เตรียมเข้าฉายในสุดสัปดาห์นี้.ความแปลกใหม่ของ Scream VI คือการพาตัวละครย้ายโลเคชั่นจากเมืองเล็กๆ มาสู่มหานครยักษ์ใหญ่ในอเมริกาอย่าง นิวยอร์ก โดยโฟกัสที่สองพี่น้อง แซม และทาร่า (รับบทโดย เมลิซซ่า เบอเรร่า และ เจนน่า ออร์เทก้า ที่ดังสุดๆจากบทWednesday) ผู้รอดตายจากภาคก่อน และเพื่อลืมฝันร้ายนี้ พวกเธอจึงตัดสินใจย้ายไปยังนิวยอร์ก เพื่อเรียนต่อและเริ่มต้นชีวิตใหม่ พร้อมกับเพื่อนที่รอดตายอีก 2 คน แต่ดูเหมือนฝันร้ายจากโกสต์เฟซ จะไม่หมดไปง่ายๆ เมื่อเหตุไล่แทงคนตาย เกิดขึ้นอีกครั้งในมหาวิทยาลัยที่พวกเธอเรียน โดยคนร้ายได้ทิ้งหน้ากากโกสต์เฟซ ของฆาตกรคนก่อนๆ ไว้ในที่เกิดเหตุด้วย จากการสืบสวนของตำรวจ ทุกอย่างดูจะมุ่งกลับมาที่แซมอีกครั้ง ในฐานะที่เธอมีสายเลือดของฆาตกร สองพี่น้องแซมและทาร่า จึงต้องทำทุกทางเพื่อเอาชีวิตรอด และค้นหาว่าใครกันแน่คือคนร้าย ท่ามกลางบรรยากาศเมืองใหญ่อันแสนอึกทึกและอันตรายเมืองนี้หลังจากแฟรนไชส์ Scream ถูกชุบชีวิตในภาคก่อน การเข้ามาของสองผู้กำกับ แมตต์ และไทเลอร์ ซึ่งตกหลุมรักหนังแนวนี้ เพิ่มความเฟรชให้กับหนังเป็นอย่างมาก พวกเขาสามารถรักษาจิตวิญญาณของ Scream ไว้ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มสิ่งใหม่ๆเข้ามา ทำให้หนังเป็นมากกว่าหนังไล่เชือดทั่วไป มันคือหนัง Slasher Film ที่มีชั้นเชิงและไม่โง่เง่า บวกด้วยอารมณ์ขันแบบร้ายกาจ และเพิ่มกลิ่นอายความเป็นหนัง Who Dun It หรือตามหาว่าใครคือฆาตกรเข้าไป นั่นทำให้ภาคก่อนสดใหม่ขึ้นมา ปรากฏว่ามาถึงในภาคที่ 6 อะไรที่ว่าเฟรชแล้วในภาคนี้ มันถูกยกระดับขึ้นไปอีก ทำให้ Scream VI แม้จะเดินทางมาถึงภาคที่ 6 แล้ว มันกลับไม่ดูซ้ำซากหรือน่าเบื่อเลย ด้วยกลุ่มตัวละครที่แทบทิ้งออริจินัลเกือบหมด (เหลือแค่ ค็อกท์นี่ย์ ค็อกซ์ ที่กลับมารับบทเกล) และการย้ายโลเคชั่นหนังมายังนิวยอร์ก ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก ทำให้บรรยากาศกลับมาสดใหม่ และใช้ประโยชน์จากความจอแจแออัดของเมืองใหญ่ได้ดีแน่นอนว่าไฮไลต์สำคัญของ Scream VI คือฉากไล่เชือด ซึ่งดูเผินๆ อาจเหมือนทุกภาค เมื่อฆาตกรในหน้ากากโกสต์เฟซ ออกมาไล่เชือดตัวละครทีละตัว แต่ภาคนี้มันเจ๋งกว่านั้น ด้วยชั้นเชิงในการเล่า กลายเป็นว่า ฉากเหล่านี้ไม่ได้มีมิติเดียวอีกต่อไป หลายซีนที่หนังเพิ่มอุปสรรคเข้าไปให้ตัวละครอีก พวกเขาไม่เพียงต้องหนีจากฆาตกรเท่านั้น แต่ยังต้องเอาตัวรอดจากอุปสรรคอื่นๆ หลายฉากใช้ความเป็นเมืองใหญ่ให้เป็นประโยชน์ อาทิ ฉากในรถไฟใต้ดิน ที่อยู่ในตัวอย่าง นอกจากเหล่าตัวละครต้องหนีฆาตกรแล้ว พวกเขาต้องเผชิญกับความแออัดของคนจำนวนมาก หนีก็ยาก แถมหนังยังใส่เทศกาลฮาโลวีนเข้าไปอีก ให้ผู้คนต่างใส่หน้ากากโกสต์เฟซ กลายเป็นว่าทีนี้ก็ไม่รู้แล้วว่า ใต้หน้ากากไหนคือคนร้ายกันแน่ ชั้นเชิงเหล่านี้ถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อยกระดับฉากเชือด ซึ่งในภาคนี้ทั้งหนักแน่น แม่นยำ และโหดเหี้ยมยิ่งกว่าทุกภาค สายคอหนังโหดเลือดสาด จะต้องสะใจกันภาคนี้อย่างมากโดยรวมนี่คือหนัง Scream ภาคที่มาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับแฟรนไชส์ขึ้นไปอีก หลังภาคก่อนกลับมาเพื่อเรียกศรัทธา และภาคนี้มาเพื่อตอกย้ำว่า เราคือหนังไล่เชือดแห่งยุคที่ไม่มีวันจบลงง่ายๆ นี่คือหนังภาคที่เดือดจัดตั้งแต่ฉากแรก เหมือนพอเริ่มสตาร์ทปุ๊ป หนังก็ดูจะไม่มีวันหยุดง่ายๆ จัดเต็มด้วยฉากไล่เชือดที่ทั้งสนุก ตื่นเต้น และลุ้นจนแทบหยุดลมหายใจ เป็นการบอกว่าครั้งนี้ไม่ได้มาเล่นๆ แต่อยากหักคะแนนนิดเดียว ตรงอารมณ์ขันแบบตลกร้าย ที่เพิ่มเสน่ห์ให้ภาคก่อน ดูเหมือนภาคนี้จะจริงจังขึ้น และพยายามตลกลดลง แต่ใดๆก็ยังมีความแสบในแบบของผู้กำกับคู่นี้อยู่ ใครที่เป็นแฟนหนังไล่เชือด รับประกันว่าภาคนี้ไม่เสียดายเวลาดูแน่นอน ส่วนใครเป็นมือใหม่สำหรับแฟรนไชส์ Scream แนะนำให้ย้อนกลับไปดูภาค 5 ก่อน เพราะภาคนี้ถือว่าเป็นภาคต่อแบบตรงๆที่เนื้อเรื่องค่อนข้างเชื่อมโยงกัน จะได้ไม่งงและสนุกกันแบบเต็มสูบปล. Scream VI มีฉากแถมท้าย End-Credit ด้วย หนังจบอย่าเพิ่งลุกกันนะภาพ : UIP Thailandชมตัวอย่าง Scream VI หวีดสุดขีด 6 วันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Bullet Train’ โหดมันส์ฮาหนังบู๊สายป่วน รถด่วนขบวนนักฆ่า | GOSSIP GUN

11 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘Bullet Train’ โหดมันส์ฮาหนังบู๊สายป่วน รถด่วนขบวนนักฆ่า | GOSSIP GUN

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อภารกิจฉกของง่ายๆ บนรถไฟหัวกระสุน กลายเป็นสนามรบสุดเดือดบนขบวนรถไฟ ที่เต็มไปด้วยนักฆ่าจากรอบโลก นี่คือพล็อตของ Bullet Train ต้นฉบับคือนิยายของญี่ปุ่น ถูกนำมาสร้างเป็นหนังแอ็กชันคอเมดี้สุดชุลมุนโดยผู้กำกับที่เลื่องชื่อสายนี้อย่าง เดวิด ลีทช์ อดีตสตันท์แมน ที่เติบโตมาเป็นผู้กำกับหนังแอ็กชันสายเดือดอย่าง John Wick, Deadpool 2 และล่าสุด Fast Furious : Hobbs Shaw ที่แต่ละเรื่อง ฉากต่อสู้คลั่งของจริง และแฝงด้วยอารมณ์ขันอย่างเจ็บแสบ โดยหนังได้พระเอกตลอดกาลอย่าง แบรด พิตต์ มารับบทนำ ซึ่งถือเป็นการกลับมาเล่นหนังแอ็กชันในรอบหลายปี หลังจาก World War Z, Fury และ Allied ซึ่งมีรายงานว่า พิตต์ แสดงฉากแอ็กชันเองถึง 95% อีกด้วยพิตต์ รับบทอดีตนักฆ่าฝีมือฉกาจ นามแฝงว่า "เลดี้บักส์" หลังจากเข้าบำบัดจิตเพื่อลืมอดีตอันน่าปวดหัว เขาต้องการรับแค่งานเบาๆ ไม่ได้อยากฆ่าคนมากมายอีกต่อไป จึงรับภารกิจง่ายๆ ด้วยการขึ้นไปฉกกระเป๋าใบหนึ่ง บนรถไฟสายด่วนที่มุ่งหน้าจากโตเกียว ไปยังเกียวโต เขาคิดว่างานนี้อย่างหมู เพราะแค่ขึ้นไป หยิบกระเป๋า แล้วลงมา ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่านั้น แต่เขาไม่รู้เลยว่า รถไฟขบวนนี้ เต็มไปด้วยนักฆ่าจากทั่วโลกที่มีภารกิจเดียวกัน แถมยังมีนักฆ่าสายโหดอีก 2 คน ที่คอยเฝ้ากระเป๋าใบนี้อยู่ รถไฟหัวกระสุนขบวนนี้ จึงกลายเป็นสนามประลองสุดเดือด ที่มีผู้รอดตายเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่จะได้กระเป๋าใบนี้ไปครอบครองสิ่งที่ทำให้ Bullet Train บันเทิงขีดสุด คือ ความชุลมุนวุ่นวายของหนัง การที่หนังค่อยๆวางหมากไว้มากมายตอนต้นเรื่อง ปูรายละเอียดตัวละครเอาไว้ ใส่ดีเทลไว้มากมาย แล้วหยิบมายำใหญ่มโหฬารในช่วงท้าย กลายเป็นจุดเด่นที่ชัดเจนมากๆ ได้ฟีลคล้ายการดูหนัง เควนติน ทารันติโน่ อาจจะไม่คมเท่า แต่ก็ดูง่ายกว่า ผสมกับฉากแอ็กชันที่ดุเดือด ตามสไตล์ของ เดวิด ลีทช์ ที่แม้ว่าฉากต่อสู้จะถูกออกแบบมาให้ดุดัน โหดระดับเรต R แต่มันก็แฝงด้วยอารมณ์ขันที่ร้ายกาจตลอดเวลา อาทิ ฉากที่พระเอกต้องต่อสู้กับนักฆ่าอีกคน บนรถไฟขบวนเงียบ กลายเป็นฉากต่อสู้ที่พวกเขาห้ามส่งเสียงอะไรทั้งนั้น ซึ่งในหนังจะมีฉากต่อสู้แปลกๆ ที่ทั้งโหด ทั้งมันส์ และทั้งฮา ประกอบเอาไว้อยู่มากมาย ถ้าจะอธิบายอารมณ์ของหนัง ที่ใกล้เคียงสุดก็น่าจะเป็น Deadpool 2 ของลีทช์นั่นเอง (ซึ่ง แบรด พิตต์ ก็เคยไปรับเชิญในนั้นด้วย)พูดถึงแขกรับเชิญ Bullet Train เป็นหนังอีกเรื่องที่ผู้ชมจะได้เซอร์ไพรสกับกองทัพดารา ทั้งที่หนังหยิบมาโปรโมตและไม่ได้โปรโมต คนที่ชัดเจนสุดคือ แซนดร้า บูลล็อค ที่โผล่มาในบทผู้จ้างงานพระเอก (หนังเผยว่าเธอแสดงตั้งแต่ในตัวอย่างแล้ว)ซึ่งดีลนี้ เกิดจากการที่ พิตต์ และบูลล็อค ตกลงกันว่าจะมาปรากฏตัวในหนังของอีกฝ่าย เราจึงได้เห็น แบรด พิตต์ ไปโผล่ใน The Lost City ที่บูลล็อคแสดงนำเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และได้เห็นบูลล็อค มาปรากฏตัวในเรื่องนี้ นอกจากนี้หนังยังมีนักแสดงรับเชิญอีกหลายคนที่ไม่สามารถสปอยล์ได้ สำหรับตัวของ แบรด พิตต์เอง บทบาทใน Bullet Train ทำให้ผู้ชมได้เห็นเขาในโหมดที่สบายๆ ตลกหน้าตายแบบเดียวกับใน Ocean's Eleven ความชิลล์ของคาแร็คเตอร์เขา ส่งผลให้หนังดูสบายๆไปด้วยเช่นกัน และอีกสองคนที่โดดเด่นจนแทบจะขโมยซีน คือ แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน (จาก Avengers : Age of Ultron) และไบรอัน ไทรี่ เฮนรี่ (จาก Eternals) ในบทสองนักฆ่าฝาแฝดที่ไม่เหมือนกันเลย กับหน้าที่เฝ้ากระเป๋าต้นเรื่อง เป็นสองนักแสดงที่เคมีอารมณ์ขัน เข้ากับพิตต์ได้ดีเหลือเกิน หลายฉากจะเห็นพวกเขารับส่งกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทำให้หนังสมูธมากยิ่งขึ้นจุดปัญหาของ Bullet Train ที่เห็นได้ชัด อาจจะเป็นช่วงองก์แรกที่หนังใช้เวลาในการปูตัวละครค่อนข้างเยอะ บางช่วงก็ย้วยเกินจำเป็น บางซีนก็เล่าไวจัด จนแทบจะตามไม่ทัน ก่อนที่จะมาแม่นจังหวะในช่วงองก์สองและสาม ด้วยความที่ตัวละครเยอะจัด และต้องเล่าที่มาที่ไป เพื่อใช้ประโยชน์ในตอนท้ายเรื่อง หนังเลยต้องใช้เวลาตรงนี้เยอะพอสมควร และอีกจุดที่จริงๆ อาจจะไม่ใช่จุดด้อย แต่เป็นปัญหากับผู้ชมบางส่วน คือการที่หนังใช้มุกตลกหน้าตายค่อนข้างมาก (โดยเฉพาะพระเอก) ถ้าผู้ชมไม่ใช่สายมุกทางนี้ อาจจะไม่เอ็นจอยกับหลายๆซีนของหนังก็เป็นอันได้โดยรวม Bullet Train ถือเป็นหนังแอ็กชันชุลมุนที่เล่าเรื่องได้สนุก ฉากแอ็กชันทำถึง ฉากความวุ่นวายทำได้ดี และตัวละครล้วนสร้างสีสันให้กับหนังได้อย่างมาก แม้จะมีบางจุดที่อาจจะยาวไป และเล่นมุกเฉพาะทางเยอะไปหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นหนังฟอร์มใหญ่ส่งท้ายซัมเมอร์ 2022 ที่ค่อนข้างน่าพอใจเลยทีเดียว ถ้าเคยชอบผลงานชิ้นก่อนๆของ เดวิด ลีทช์ ทั้ง John Wick ภาคแรก, Deadpool ภาคสอง และ Fast Furious ภาคแยก น่าจะเพลิดเพลินกับหนังเรื่องนี้ ท่ามกลางหนังภาคต่อหรือรีเมกมากมาย นานๆจะมีหนังออริจินัลโผล่เข้ามาให้ลิ้มลองในช่วงซัมเมอร์แบบนี้ ก็สามารถลองขึ้นรถไฟขบวนป่วนสายนี้ได้ชมตัวอย่าง Bullet Train วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Sony Pictures Thailand

album

0
0.8
1