[REVIEW] ‘John Wick : Chapter 4’ มหากาพย์โลกนักฆ่า ดันบาร์ฉากแอ็กชันสูงลิบ | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘John Wick : Chapter 4’ มหากาพย์โลกนักฆ่า ดันบาร์ฉากแอ็กชันสูงลิบ | GOSSIP GUN

24 มี.ค. 2023

จักรวาลของหนังนักฆ่าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปตั้งแต่มี John Wick หนังแอ็กชันแฟรนไชส์นี้ สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับหนังประเภทนี้อยู่เรื่อยๆ นับตั้งแต่โลกได้รู้จักหนังเรื่องนี้ครั้งแรกในปี 2014 เรื่องราวของนักฆ่าที่วางมือไปแล้ว แต่กลับต้องมาจับปืนอีกครั้ง เพื่อล้างแค้นให้กับสุนัขที่เขารักยิ่งชีพ (เพราะมันคือตัวแทนของภรรยาที่เสียไปแล้ว) จากปมเล็กๆ หนังค่อยๆขยายจักรวาลของนักฆ่าให้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการวางกฏเกณฑ์ วางแบบแผนให้โลกนักฆ่าในหนัง John Wick ดูมีสไตล์ มีรสนิยม ผสมกับฉากต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่าน จากการสั่งสมวิชาของ แชด สตาร์เฮลสกี้ ผู้กำกับหนังที่เติบโตมาจากการเป็นสตันท์ (เขาเคยเล่นเป็นสตันท์ให้ คีอานู รีฟส์มาแล้วใน The Matrix) ทำให้เมื่อแฟรนไชส์นี้ ดำเนินไป มันยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กวาดคำชมมากขึ้นเรื่อยๆ และทำเงินมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับ John Wick : Chapter 4 ที่ยังไม่ทันฉายก็คว้าคะแนนบวกจากRotten Tomatoes ไปถึง 93% แล้ว สูงสุดในบรรดาหนังทั้ง 4 ภาค เช่นเดียวกับรายได้ที่ถูกคาดหมายไว้แล้วว่า นี่คงจะเป็นภาคที่เปิดตัวแรงสุดเท่าที่จักรวาล John Wick เคยมีมา

ใน John Wick : Chapter 4 เส้นทางชีวิตของ จอห์น เดินทางมาถึงจุดสำคัญ เมื่อเขาถูกอัปเปหิออกจากโลกของนักฆ่า เขาไม่มีสังกัด ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้ และค่าหัวเขาค่อยๆเพิ่มขึ้นในระดับที่คาดไม่ถึง ภาคนี้ จอห์น ต้องเผชิญหน้ากับ อดีตมิตรที่ด้วยเหตุผลบางอย่าง วันนี้เขากลายเป็นศัตรู อย่าง เคน (รับบทโดย ดอนนี่ เยน จาก Ip Man) นักฆ่าตาบอดที่ฝีมือเก่งกาจ เขาต้องเด็ดหัวจอห์น จากคำสั่งของ มาร์คีย์ (รับบทโดย บิลล์ สการ์การ์ด จาก It) สมาชิกระดับสูงของสภาที่ต้องการจบทุกปัญหา เขามาพร้อมกับอำนาจล้นมือ ที่สั่งการให้ยุบทุกโรงแรมที่ให้จอห์นพักพิง สังหารทุกคนที่ช่วยให้จอห์นหลบหนี ทางเดียวที่จอห์นจะรอดพ้นจากการตามล่าครั้งนี้ได้ คือการท้าดวล แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งต้องแลกด้วยชีวิต ถ้าชนะ จอห์นจะรอดพ้นจากทุกคำสั่งตามล่า ไม่ว่าใครที่แพ้ คนนั้นจะมีจุดจบเดียวคือความตาย

คงจะไม่เกินจริงนัก ถ้าจะกล่าวว่า John Wick : Chapter 4 คือภาคที่เด็ดสุดและเดือดสุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยเส้นเรื่องที่ตึงเครียดยิ่งกว่าทุกภาค ผนวกกับฉากแอ็กชันที่ระดับเวิร์ลคลาส อาจกล่าวได้ว่า John Wick : Chapter 4 คือหนังที่ดันบาร์ความเจ๋งของฉากต่อสู้ขึ้นไปในอีกระดับ ผู้สร้างรู้ดีว่าจุดเด่นของหนังตระกูลนี้คืออะไร ดังนั้น หนังจึงจัดให้ผู้ชมแบบเต็มสูบ หลังจากดูมา 3 ภาคแล้วอาจจะสงสัยว่า ผู้สร้างหมดมุกกับฉากบู๊แล้วหรือยัง แต่ปรากฏว่า หนังยังคงงัดอะไรใหม่ๆออกมาให้ผู้ชมได้อย่างต่อเนื่อง เริ่มจากฉากใหญ่ในญี่ปุ่น ต่อเนื่องมาถึงอิตาลี และปิดท้ายที่ฝรั่งเศส หนังสามารถส่งฉากแอ็กชันขั้นเทพออกมาได้อย่างต่อเนื่อง และไต่ระดับความเดือดได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนอยากจะลุกขึ้นปรบมือให้กับ การออกแบบคิวบู๊ ซึ่งนี่น่าจะเป็นหนังที่ออกแบบคิวบู๊ได้ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบทศวรรษเลยก็ว่าได้

สิ่งที่ทำให้ฉากแอ็กชันใน John Wick : Chapter 4 เหนือกว่าหนังเรื่องไหน จนหลายเสียงพร้อมยกให้เป็นหนังแอ็กชันที่เดือดสุดในรอบหลายปี คือการผสมผสานกันอย่างลงตัวของ Choreographer การออกแบบคิวบู๊ที่ไหลลื่นแบบนันสต็อป ซึ่งทุกท่วงท่าถูกนำเสนออย่างหนักแน่น ดุดัน และรุนแรงเต็มสูบแบบไม่ยั้งอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดถูกจัดวางลงในฉากต่างๆที่เต็มไปด้วยลูกเล่นแบบใหม่ แค่เฉพาะฉากในกรุงปารีส ก็สดใหม่ไม่ซ้ำแล้ว ทั้งฉากต่อสู้รอบๆประตูชัยที่มีรถจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉากในอาคารที่ถ่ายทำแบบ Bird's Eye View บวกกับ Long Take และไฮไลต์จริงๆคือ ฉากบันได ที่นำเสนอแบบเต็มไปด้วยไอเดียและอารมณ์ขัน ผสมผสานกับการจัดแสงแบบจัดจ้าน ทุกฉากจึงออกมาตื่นตาและตรึงอารมณ์ กลายเป็นหนังแอ็กชันที่เต็มไปด้วยฉากจำมากมาย

แน่นอนว่า คีอานู รีฟส์ ยังคงโดดเด่นในบท จอห์น วิค เขายกระดับตัวเองด้วยการแสดงฉากต่อสู้แบบหินๆมากมาย สมาชิกเก่าอย่าง เอียน แมคเชน และลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น ยังคงเป็นสีสันสำคัญให้กับหนัง แต่ไฮไลต์จริงๆ น่าจะต้องยกให้สมาชิกใหม่อย่าง ดอนนี่ เยน ซึ่งหนังสร้างคาแรคเตอร์เขาออกมาได้อย่างมีมิติ และทุกฉากบู๊ที่เขาเข้าไปมีส่วนร่วมนั้น ล้วนเต็มไปด้วยพลัง ดอนนี่เพิ่มความเจ๋งให้ซีนนั้นๆ ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว สามารถตรึงคนดูได้ตลอด และตัวร้ายหลักภาคนี้อย่าง บิล สการ์การ์ด การแสดง สายตาและน้ำเสียงอันเยือกเย็น แผ่รังสีอำมหิตและความน่าเกรงขาม มาได้แบบเต็มๆตั้งแต่ซีนแรก เรารู้ทันทีว่าตัวละครนี้ไร้ความปราณี และไม่มีทางใจอ่อนต่อคนรอบข้างอย่างแน่นอน นี่คือคู่ปรับที่อันตรายของ จอห์น วิค ถือเป็นตัวร้ายที่ทำให้หนังยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีก

John Wick : Chapter 4 คือหนังแอ็กชันที่มาเพื่อยกระดับหนังแอ็กชันอย่างแท้จริงๆ หนังอัดแน่นไปด้วยฉากการต่อสู้แบบเทพๆ ที่มาแบบนันสต็อป แต่ละฉากลากยาวแบบจบฉากนั้น คนดูต้องเหนื่อยกันบ้าง นอกจากนี้เส้นเรื่องยังช่วยเพิ่มอารมณ์ความเข้มข้นให้ทุกฉาก ดูจริงจัง ดูบีบอารมณ์ขึ้นไปอีก ผสมผสานกับสไตล์ด้านภาพและเพลงที่ทำให้ John Wick คือหนังแอ็กชันที่มีรสนิยม โรยนิดๆด้วยอารมณ์ขันแบบตลกหน้าตาย ซึ่งเป็นรสชาติที่ขาดไม่ได้ของหนังชุดนี้ และด้วยความยาวมากกว่า 2 ชั่วโมง 40 นาที ทำให้หนังภาคนี้ มีความเป็นหนัง เอพิค ค่อนข้างสูง ดังนั้น นี่คือหนังแอ็กชันที่รับประกันว่าคุ้มค่าตั๋วอย่างแน่นอน ใครที่กำลังจะไปชม ขอแนะนำว่าเข้าห้องน้ำให้พร้อม เพราะหลัง End-Credit ยังมีฉากแถมอีก 1 ฉากที่คุณไม่ควรพลาดอีกด้วย

ภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema


John Wick : Chapter 4 แรงกว่านรก วันนี้ในโรงภาพยนตร์ทุกระบบ

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘PROJECT SILENCE’ อีกครั้งที่หนังเกาหลีทำถึง จัดหนักหายนะแบบมะรุมมะตุ้ม

28 ส.ค. 2024

[REVIEW] ‘PROJECT SILENCE’ อีกครั้งที่หนังเกาหลีทำถึง จัดหนักหายนะแบบมะรุมมะตุ้ม

จากความสำเร็จของ ‘Train To Busan’ ที่เป็นหมุดหมายสำคัญ ส่งให้แวดวงหนังเกาหลีก็ขยันสร้างสรรค์ไอเดียหนังหายนะ ให้ออกมามีความแปลกใหม่อยู่เสมอ ครีเอตสถานการณ์อันบีบคั้นด้วยข้อจำกัดที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับหนังแอ็กชันโปรเจกต์ยักษ์ล่าสุดอย่าง ‘Project Silence’ ที่ใส่ข้อแม้เพื่อให้ตัวละครเอาตัวรอด เปลี่ยนจากซอมบี้ที่เริ่มซ้ำซากในยุคหลัง เป็น ‘สุนัขชีวะ’ ที่ผ่านการทดลองทางการทหารให้สังหารมนุษย์อย่างอำมหิต โอกาสที่มนุษย์หน้าไหนจะรอดไปนั้น โอกาสคือศูนย์ จะเปลี่ยนเซ็ตติ้ง จากพื้นที่จำกัดทั้งบนรถไฟหรือเครื่องบิน ให้เป็นสะพานสูงที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และใส่อีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญเพิ่มเข้ามาอีก คือหมอกที่บดบังวิสัยทัศน์ของทุกตัวละคร ทำให้อาจกล่าวได้ว่า ‘Project Silence’ คือหนังที่จัดองค์ประกอบความหายนะ เสิร์ฟมาให้แบบเต็ม ๆ เข้าขั้นมะรุมมะตุ้มอย่างที่เกริ่นไปเลยทีเดียวศูนย์กลางของ ‘Project Silence’ คือ จองวอน (รับบทโดย อีซอนคยุน นักแสดงผู้ล่วงลับจาก ‘Parasite’) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงความมั่นคง ที่กำลังขับรถไปส่งลูกสาวที่สนามบินเพื่อเรียนต่อ แต่อุบัติเหตุครั้งใหญ่ก็ได้เกิดขึ้นบนสะพานเชื่อมระหว่างกรุงโซล กับ สนามบินอินชอน เมื่อหมอกหนาเริ่มปกคลุม ทำให้เกิดเหตุการณ์รถชนกันนับสิบ และหนึ่งในนั้น คือรถบรรทุกลึกลับของกองทัพ ที่กำลังขนอาวุธลับร้ายแรง ไม่นานผู้ประสบภัยบนสะพานก็ค่อย ๆ รู้ชะตากรรมว่าอาวุธดังกล่าว คือ สุนัขที่ผ่านการทดลอง ให้เป็น อาวุธสังหาร มีความแข็งแกร่งและเกรี้ยวกราด พร้อมที่จะสังหารมนุษย์ทุกชีวิต ในขณะที่ทุกคนกำลังพยายามหนีเอาตัวรอด สะพานก็เริ่มพังและถูกตัดขาดจากโลกภายนอก พวกเขาจะเอาตัวรอดได้อย่างไร เมื่อสะพานแห่งนี้เต็มไปด้วยความคลั่ง และความตายที่รอพวกเขาอยู่เชื่อว่าหลายคนรอคอย ‘Project Silence’ เพราะนี่คือผลงานการแสดงชิ้นสุดท้ายของ อีซอนคยุน นักแสดงผู้ล่วงลับที่ฝากผลงานชิ้นนี้ไว้เป็นเรื่องสุดท้าย โดยรวมซอนคยุนยังคงฝากฝีมือการแสดงไว้ได้อย่างน่าจดจำ กับตัวละครที่ค่อนข้างมีมิติ โดยเฉพาะซีนท้าย ๆ เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้สึกบีบหัวใจ และยิ่งคิดถึงเขามากขึ้นไปอีก ว่าหลังจากนี้จะไม่ได้ดูฝีมือการแสดงของนักแสดงมากฝีมือคนนี้อีกแล้ว และที่โดดเด่นไม่แพ้กัน จนไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ จูจีฮุน ที่คาแรกเตอร์ในหนังรับบทเป็นคนขับรถสิบล้อ ที่มีมาดกวนและเรียกเสียงฮาได้ตลอด ต่างจากมาดนิ่ง ๆ แบบในซีรีส์ ‘Kingdom’ หรือหนังอย่าง ‘Along with The Gods’ กลายเป็นตัวละครของ จูจีฮุน ที่สร้างความบันเทิงและเรียกเสียงฮาได้ตลอดทั้งเรื่อง ทุกครั้งที่ปรากฏตัวขโมยซีนอยู่เสมอ สามารถบาลานซ์จากความจริงจังของตัวละคร อีซอนคยุน ให้หนังมีความครบรสมากยิ่งขึ้น มีทั้งมุมจริงจังมาก ๆ และมุมผ่อนคลายเรื่อย ๆและ ‘Project Silence’ คืออีกครั้งที่เกาหลีสามารถทำหนังหายนะได้อย่างถึงรสชาติ แน่นอนว่าเรื่องของงานโปรดักชั่นแทบจะไม่ต้องเป็นห่วง เพราะงานสร้างดูยิ่งใหญ่ สมจริง และสร้างอารมณ์ร่วมได้อย่างดี ที่เอ่ยว่าทำถึง คือหนังสามารถใส่สถานการณ์ชวนตื่นเต้น เสิร์ฟความระทึกมาให้แบบไม่หยุดหย่อน แค่คนดูติดตามเชียร์ตัวละคร ให้รอดพ้นไปจากสถานการณ์ต่าง ๆ ไปตามเส้นเรื่องก็สนุกมากพอแล้ว หนังใส่อุปสรรคต่าง ๆ เข้ามาอย่างไม่สนใจว่ามันจะเว่อร์ หรือเกินจริง เน้นให้คนดูได้เอ็นจอยกับหายนะที่ถาโถมไปเลย แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยมาตรฐานที่ถูกวางไว้สูงโดย ‘Train To Busan’ ตัวหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้แตะสแตนดาร์ดนั้น ในแง่ของความบีบคั้นของเรื่องราว และแง่มุมสะท้อนสังคมที่เรื่องดังกล่าวทำได้เหนือกว่า แต่โดยรวม ‘Project Silence’ ก็ยังเป็นหนังหายนะที่สนุก แปลกใหม่ น่าสนใจทั้งฉากต่าง ๆ และตัวละคร สามารถดูแบบบันเทิงและเอ็นจอยได้อย่างแน่นอนชมตัวอย่าง Project Silence เขี้ยวชีวะคลั่งสะพานนรก ก่อนเข้าไปชมพร้อมกัน 29 สิงหาคมในโรงภาพยนตร์ภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

[REVIEW] “Top Gun Maverick” บทพิสูจน์ความเก๋าของแอ็กชันแบบตำนาน | GOSSIP GUN

24 พ.ค. 2022

[REVIEW] “Top Gun Maverick” บทพิสูจน์ความเก๋าของแอ็กชันแบบตำนาน | GOSSIP GUN

Top Gunคือหนังระดับตำนาน มันคือหนึ่งในภาพยนตร์ที่นิยามความเป็นยุค80sอย่างเด็ดชัด เป็นตัวแทนPop Cultureในยุคนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากหนังจะยกระดับให้"ทอม ครูซ"ขึ้นแท่นเป็นพระเอกหนังบล็อกบัสเตอร์แล้ว มันยังส่งอิทธิพลไปถึงทุกวงการแวดล้อม นอกจากจะเป็นแนวทางให้กับหนังแอ็กชันยุคใหม่ หลายฉากในหนังกลายเป็นภาพจำแบบIconicแฟชั่นการแต่งตัวของนักแสดงนำ รวมไปถึงแว่นตาRay Banกลายเป็นภาพแฟชั่นที่นำสมัย แม้แต่เพลงประกอบอย่างTake My Breath Awayก็ยังกลายเป็นงานเพลงที่โดดเด่นสุดเพลงหนึ่งในยุค80sดังนั้นเมื่อเวลากว่า30ปีผ่านไป"ทอม ครูซ"บอกว่า ถึงเวลาแล้วที่จะกลับไปจับโปรเจกต์Top Gunอีกครั้ง มันต้องมีไอเดียอะไรบางอย่างแน่นอนที่เขามั่นใจ เพราะการกลับไปแตะของระดับตำนานไม่ใช่ไอเดียที่ดีนักสำหรับฮอลลีวูด ในTop Gun : Maverickทอม ครูซ กลับไปสวมบทมาเวอริคอีกครั้ง เขาคือนักบินรบระดับตำนาน สร้างสถิติมากมาย คว้าเหรียญฯเกียรติยศมาเต็มบ่า แต่ไม่ยอมขยับตำแหน่งขึ้นไปไหน เพราะสิ่งที่เขารักคือการบินเท่านั้น จนกระทั่งได้รับการมอบหมายหน้าที่ใหม่ ให้กลับไปยัง ท็อปกันอีกครั้ง สถาบันสอนนักบินรบ ที่มีเพียงระดับแถวหน้าของกองทัพที่จะได้มาเรียนที่นี่ ด้วยภารกิจลับที่ต้องใช้ยอดฝีมือเท่านั้น มาเวอริคต้องสอบเทคนิคการบินสุดผาดโผนของเขาให้12รุ่นน้องระดับท็อปของประเทศ โดยจะมีเพียงครึ่งเดียวได้ออกปฏิบัติการจริง และภารกิจนี้เองทำให้เขาได้เจอกับ รูสเตอร์(รับบทโดย ไมล์ เทลเลอร์ จากWhiplash)ลูกชายของกูส เพื่อนสนิทเขาที่เสียชีวิตในภารกิจ ซึ่งเขาเคยสัญญาว่า จะดูแลชีวิตเด็กคนนี้ ไม่ยอมให้ตกอยู่ในอันตราย แต่เมื่อรูสเตอร์ กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจเสี่ยงตายนี้ มาเวอริคจึงต้องทำทุกทางเพื่อไม่ให้ ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง! ตลอดระยะ1เดือนที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศค่อยๆเริ่มถาโถมคำวิจารณ์ในแง่บวกของTop Gun : Maverickออกมา จนกระแสความไฮป์ของหนังเริ่มต้นขึ้น และมาร้อนแรงสุดเมื่อหนังฉายรอบพิเศษในเทศกาลหนังเมืองคานส์ จนกระทั่ง ทอม ครูซ และทีมงานได้รับการยืนปรบมือชื่นชมนานถึง5นาที ซึ่งไม่ใช่บ่อยครั้งนัก ที่หนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์ จะถูกใจผู้ชมในเทศกาลหนังแบบนี้ ซึ่งTop Gun : Maverickก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม ตามกระแสที่กล่าวมาจริงๆ ไม่แปลกใจที่สื่อหลายสำนักจะยกให้มันคือ"หนังบล็อกบัสเตอร์แห่งปี"ตัวหนังเองเหมือนเป็นข้อพิสูจน์ว่า โรงภาพยนตร์ยังคงสำคัญ การดูหนังในโรงคืออรรถรสที่ยอดเยี่ยมที่สุด ด้วยองค์ประกอบต่างๆที่จะกล่าวถึงต่อไป.. หากจะกล่าวกันตรงๆTop Gun : Maverickก็ยังคงเป็นหนังแอ็กชันแบบOld-Schoolคือมันไม่ใช่หนังยุคใหม่ แบบหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เต็มไปด้วย สเปเชียลเอฟเฟกต์มากมาย แต่มันคือหนังแอ็กชันแบบที่เน้นสตันท์ การที่นักแสดงหรือนักแสดงแทนเล่นฉากแอ็กชันเสี่ยงตายด้วยตัวเองจริงๆ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ ทอม ครูซ เชื่อมั่นมาโดยตลอด และพิสูจน์มาแล้วในMission: Impossibleหลายต่อหลายภาค ในTop Gun : Maverickทอมและนักแสดงสมทบต่างต้องขับเครื่องบินรบด้วยตัวเอง(และถ่ายทำด้วยตัวเอง โดยใช้กล้องติดไว้ในห้องนักบิน)ดังนั้น ฉากต่างๆในห้องนักบินจึงออกมาสมจริง มากถึงมากที่สุด สิ่งต่างๆที่ปรากฏในหนังล้วนเป็นแอ็กชันที่อาจจะไม่หวือหวาเท่าหนังที่เน้นVFXแต่มันดูเรียล และดึงอารมณ์ได้ดีมากๆ ข้อดีมากๆของTop Gun : Maverickที่ทำให้องค์ประกอบต่างๆลงตัว และดึงผู้ชมเข้าไปสู่หนังได้ตลอดคือPacingหรือจังหวะความเร็วในการเล่าเรื่องของหนัง หนังไม่ได้เร่งรีบอะไรมากมายนัก ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ยืดยาดจนน่าเบื่อ ทุกฉากใช้จังหวะตัดต่อดึงอารมณ์ได้อย่างพอดี และเมื่อฉากต่างๆในการปูเรื่อง ถูกปูมาอย่างพอเหมาะ จนผู้ชมค่อยๆซึมซับอารมณ์ของตัวละคร เริ่มอินกับปมระหว่างตัวละคร พอเมื่อไปถึงฉากไคลแม็กซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง30นาทีสุดท้าย เมื่อทุกอย่างมันขมวดเข้าด้วยกัน กลายเป็นความรู้สึกที่ลุ้น บีบหัวใจ มากกว่าหนังแอ็กชันทั่วไป ฉากบู๊ที่ตื่นเต้นมากๆอยู่แล้ว ยิ่งเร้าอารมณ์เข้าไปใหญ่ด้วยปมแวดล้อมที่ถูกค่อยๆผูกมากอย่างดี อาจกล่าวได้ว่าTop Gun : Maverickเป็นหนังแอ็กชันที่ประณีตในการเล่า และค่อยๆรีดอารมณ์จากผู้ชมได้อย่างดีมาก จนบางครั้งเราอดน้ำตาซึม หรือปรบมิือให้กับตัวละครอย่างไม่รู้ตัว! แม้ว่าTop Gunภาคแรกจะเป็นไอคอนสำคัญแห่งยุค80sแต่Top Gun : Maverickก็สามารถถีบตัวเองให้เป็นภาคต่อที่ยอดเยี่ยมได้ไม่แพ้กัน จนหลายเสียงเทียบเคียงกับThe Godfather IIในแง่ของการที่เป็นภาคต่อที่มีคุณภาพไม่แพ้ต้นฉบับ ในแง่มุมหนึ่ง ตัวภาคต่อนี้ก็ได้Tributeหนังภาคแรกในหลายๆแง่มุม ฉากแอ็กชันบางฉากที่ทำออกมาเพื่อหวนให้ระลึกถึงความเก๋าของความเก่า สดุดีตัวละครกูสที่จากไปในท้ายภาคแรก หรือแม้แต่การนำ"วัล คิลเมอร์"กลับมาในแบบที่เคารพความเป็นเขาในปัจจุบัน ทั้งหมดนี้ล้วนทำไปเพื่อสดุดีความเป็นIconของภาคแรกทั้งสิ้น และในขณะเดียวกันTop Gun : Maverickก็สร้างตำนานบทใหม่ขึ้นมา ด้วยการสร้างตัวละครกลุ่มใหม่ที่น่าจดจำ ด้วยการเป็นหนังแอ็กชันระดับมาตรฐานคุณภาพสูงในยุค2020sใครจะไปคิดว่าภาคต่อที่ทิ้งห่างจากภาคแรกนานถึง36ปี จะกลายมาเป็นหนังซัมเมอร์ระดับคุณภาพในยุคนี้ได้(และจัดเข้ากลุ่มเดียวกับMad Max : Fury Road, Blade Runner 2049รวมถึงTron : Legacyซึ่งกำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี้ เช่นเดียวกัน เข้ากรุ๊ปหนังภาคต่อจากยุค80sที่คุณภาพคับจอ) ท้ายที่สุดต้องขอบคุณพระเอก"ทอม ครูซ"ที่ดื้อแพ่งไม่ยอมให้ พาราเมาต์ปล่อยหนังเรื่องนี้ลงสตรีมมิ่ง อันที่จริงแล้วTop Gun : Maverickต้องฉายตั้งแต่ก่อนยุคโควิดด้วยซ้ำ แต่เพราะงานPost-Productionไม่เรียบร้อย จึงต้องดีเลย์นานนับปี พอเลื่อนมารอบแรกก็เจอโควิดเข้าไป ทำให้เลื่อนอีกหลายครั้ง รวมจากโปรแกรมแรกที่วางไว้ก็เกือบ3ปี จนในที่สุดTop Gun : Maverickก็ได้พบกับผู้ชมบนจอภาพยนตร์ ที่ๆเหมาะสมที่สุดในการดูหนังเรื่องนี้ และไม่เพียงแต่มันจะเหมาะกับการดูในโรงแล้วTop Gunยังเผยให้เห็นข้อดีของระบบพิเศษทั้งหลาย ทั้งIMAXจอยักษ์ที่เพิ่มดีกรีความตื่นตา,ระบบ4DXที่น่าจะทำให้ผู้ชมเหมือนอยู่บนเครื่องบินจริงๆ และล่าสุดกับScreen Xที่ว่ากันว่าเหมือนเราได้นั่งอยู่ในห้องนักบินกับตัวละครเลยทีเดียว!ใครสะดวกระบบไหนก็ลองพิสูจน์กันดู และไม่ต้องกลัวว่า ไม่เคยดูภาคแรกจะดูไม่รู้เรื่อง เพราะมันถูกออกแบบมาให้ดูแยกได้..และจะทำให้คุณอยากกลับไปหยิบTop Gunในปี1986กลับมาดูอย่างแน่นอน(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] ‘NOPE’ เหตุสยองจากบนฟ้า หนังผวาล่าสุดจาก จอร์แดน พีล | GOSSIP GUN

17 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘NOPE’ เหตุสยองจากบนฟ้า หนังผวาล่าสุดจาก จอร์แดน พีล | GOSSIP GUN

หลายคนสะดุุดหนังเรื่อง NOPE ตั้งแต่ชื่อไทย ที่ทางค่ายยูไอพี ตั้งแบบตรงไปตรงมาตามชื่ออังกฤษว่า "ไม่" นำไปสู่ปริศนาที่ต้องตามต่อในหนังว่า คำว่าไม่ ในที่นี้หมายถึงอะไร และมันใช้ในบริบทไหนของหนังกันแน่ นี่คือโปรเจกต์หนังเขย่าขวัญเรื่องที่ 3 ของ จอร์แดน พีล อดีตนักแสดงตลกที่ผันตัวมาเป็นนักสร้างหนังในแนว Horror ที่ปังตั้งแต่โปรเจกต์แรกอย่าง Get Out ที่นอกจากจะกวาดเงินถล่มทลาย ยังทำให้เขาได้รางวัลออสการ์มาครองอีกด้วย ต่อด้วย Us ที่ทั้งชวนผวาและสร้างความเหวอได้ไม่แพ้กัน มาถึงโปรเจกต์ล่าสุดอย่าง NOPE ที่ในหนังเรื่องนี้ เขาผสมความเป็น Sci-Fi เข้าไปในหนัง และเป็นการกลับมาร่วมงานกันครั้งอีกครั้ง พีล และแดเนียล คาลูย่า พระเอกจาก Get Out ที่ตอนนี้กลายเป็นนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ไปแล้ว คาลูย่า รับบท โอเจ ชายหนุ่มที่รับหน้าที่ดูแลคอกม้าต่อจากพ่อ หลังจากที่เขาเสียชีวิตด้วยเหตุการณ์สุดประหลาด เขากับน้องสาวที่บุคลิกต่างกันสุดขั้วอย่าง เอ็ม (รับบทโดย กีกี้ พาล์มเมอร์ จาก Hustlers) ต้องทำหน้าที่คอยฝึกม้า เพื่อไปใช้ในการถ่ายทำหนังหรือโฆษณา แต่แล้วเหตุการณ์สุดแปลกก็เกิดขึ้นต่อเนื่อง หลังจากพ่อของพวกเขาเสียชีวิต หลายครั้งที่ไฟฟ้าดับบริเวณบ้านกลางหุบเขาของพวกเขา ทุกอย่างที่เป็นของที่ใช้กระแสไฟฟ้า แม้แต่ รถยนต์ หรือมือถือก็ล้วนดับหมด แถมยังทำให้ม้าของพวกเขาผวากับบางอย่าง โอเจและเอ็ม เริ่มมองขึ้นไปบนฟ้า และสังเกตุเห็นว่า มีอะไรผิดปกติ โดยเฉพาะก้อนเมฆบางก้อน ที่ไม่เป็นอย่างที่ควรจะเป็น นำไปสู่เหตุการณ์สุดผวา ที่ไม่มีมนุษย์คนไหนเคยเผชิญมาก่อนสิ่งที่ทำให้อยากดูและตั้งตารอคอยผลงานของ จอร์แดน พีล มากๆ ทุกครั้งที่เขาทำโปรเจกต์ใหม่ คือเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างในหนังเขย่าขวัญแบบของเขา ไม่ว่าจะเป็นพล็อตที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ นำไปสู่ความเหวอขั้นสุดในช่วงหลัง การแฝงด้วยประเด็นสังคมที่มากกว่าเส้นเรื่อง อาทิ เรื่องสีผิวใน Get Out เรื่องประเทศใน Us มาจนถึงเรื่องล่าสุด ที่หยิบเอาเรื่องระดับโลกมาแฝงไว้ บวกกับอารมณ์ขัน ที่ถูกสอดแทรกไว้ในหนังด้วยจังหวะที่แม่นยำ ต้องขอบคุณที่เขาเคยเป็นนักแสดงตลกมาก่อน ทำให้เขาทำหนังเขย่าขวัญออกมาได้ดี เพราะสิ่งที่คล้ายกันของหนังเบาสมองและหนังเขย่าขวัญ คือ จังหวะที่แม่นยำในการปล่อยของ และจำเป็นต้องหามุกใหม่มาเล่นเสมอๆ (อย่างในหนังผี ถ้าเรื่องไหน มีฉากหลอกผู้ชมใหม่ๆ และจังหวะผีหลอกเป๊ะ มักจะออกมาดีงาม) นั่นทำให้หนังของ พีล ดูเฟรชตลอด เหมือนกับดูหนังของ เอ็ม.ไนต์ ชยามาลาน ที่ทั้งตลกด้วยและสอดแทรกประเด็นเสียดสีหรือวิพากท์สังคมไว้ด้วย การดู NOPE ถือเป็นประสบการณ์การดูหนังในโรงที่แปลกใหม่อีกครั้ง ด้วยสองปัจจัยสำคัญ คือทั้งในแง่ของการเล่าเรื่อง และภาพที่ปรากฏขึ้นบนจอ สิ่งที่หนังซ่อนเอาไว้ เต็มไปด้วยความแปลก ความประหลาด และชวนหวาดผวา พีลสามารถหยิบเอาสิ่งที่เราเห็นประจำ มาทวิสต์ให้เรารู้สึกหลอนกับสิ่งนั้นได้ ด้วยจังหวะการเล่าเรื่องที่เขาค่อยๆแย้มปริศนาที่ซ่อนอยู่ทีละนิดๆ จนกระทั่งสาดใส่ผู้ชมและตัวละครในเรื่องอย่างแรงในช่วงหลัง การดู NOPE ในโรง ทำให้ผู้ชมถูกตรึงไว้กับหนังได้อย่างดี บวกกับสิ่งที่ปรากฏบนจออย่างที่เอ่ยไป บางสิ่งที่หนังซ่อนเอาไว้ มันเหมาะที่จะถูกชมบนจอขนาดใหญ่มากๆ (ยิ่งโรง IMAXยิ่งเพิ่มอรรถรส) แม้มันจะไม่ใช่หนังแอ็กชันโปรดักชั่นใหญ่โต แบบที่ชอบฉายในระบบ IMAX แต่ "บางอย่าง" ในหนัง ยิ่งดูบนจอใหญ่ ยิ่งได้อารมณ์ขึ้นจริงๆ จนทำให้ NOPE น่าจะเป็นอีกหนึ่ง Cinema Experience สำหรับผู้ชมไม่มากก็น้อยเมื่อเทียบกับผลงานสองเรื่องก่อนของ จอร์แดน พีล ต้องถือว่า NOPE เล่าในสเกลหนังที่ใหญ่โตกว่าเดิมมาก และค่อนข้างดูง่ายกว่าทั้ง Get Out และ Us แต่มันก็ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของผู้กำกับ หนังยังทำให้ผู้ชมเหวอ และหวาดผวากับพล็อตได้เช่นเดิม บวกกับจังหวะหลอนและจังหวะอารมณ์ขันที่ค่อนข้างถูกเป๊ะ พร้อมกับหลากหลายประเด็นที่ซุกซ่อนไว้ในหนัง ซึ่งไม่จำเป็นต้องคิดต่อก็ได้ แต่ถ้าพอจะสังเกตุก็นึกถึงสิ่งที่ผู้กำกับอยากสื่อได้อย่างสนุกสนาน ไม่ได้ชวนปวดหัวแบบหนังเชิงสัญลักษณ์บางเรื่อง เพราะท้ายที่สุด มันก็ยังเป็นหนังเขย่าขวัญซัมเมอร์ ที่พร้อมให้ผู้ชมทุกกลุ่มดูได้ และเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ในการดูหนังได้ เช่นเดิม นี่คืออีกงานที่พิสูจน์ว่า ความสำเร็จของ Get Out ไม่ใช่เพราะความบังเอิญ พีล ตอกย้ำว่า เขาคือผู้กำกับที่น่าจับตามอง ในฐานะผู้กำกับที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน หลังจากนี้ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มีแฟนหนังชุดใหญ่พร้อมที่จะรอดูอยู่แล้วNOPE เข้าฉาย 18 กรกฎาคมในโรงภาพยนตร์ ชมตัวอย่าง :ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘House of the Dragon ’ มหาสงคราม 2 ศตวรรษก่อนศึกชิงบัลลังก์ Game of Thrones | GOSSIP GUN

22 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘House of the Dragon ’ มหาสงคราม 2 ศตวรรษก่อนศึกชิงบัลลังก์ Game of Thrones | GOSSIP GUN

Game of Thronesคือซีรีส์ระดับปรากฏการณ์ของทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมไปยังทุกองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง ความสำเร็จอันท่วมท้นนี้ นำไปสู่การสานต่อเรื่องราวที่HBOไม่ยอมปล่อยให้กระแสความร้อนแรงของซีรีส์หมดไปอย่างง่ายๆ แม้เส้นเรื่องหลักจะอวสานไปแล้วหลังจาก8ซีซั่น แต่แน่นอนว่าเหตุการณ์ในเวสเทอรอส ยังมีให้เล่าขานอีกมากมาย นำมาสู่การสร้างซีรีส์Spin-Off / Prequelที่เล่าเรื่องราว200ปีก่อนที่เหตุการณ์ในGame of Thronesจะเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่นำไปสู่สงครามกลางเมือง และจุดอวสานของตระกูลแทร์แกเรียน และบัลลังก์เหล็กHouse of the Dragonโฟกัสพล็อตหลักที่การสืบทอดบัลลังก์ของราชวงศ์ทาร์แกเรียน ในรัชสมัยของ คิงวิเซอร์ริสที่1ในช่วงเวลาที่ราชินีของเขากำลังให้กำเนิดทายาทคนใหม่ และเขาหวังให้เป็นบุตรเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์คนต่อไป หลังจากที่ประเพณีซึ่งสืบทอดกันมา ไม่นิยมให้ผู้หญิงขึ้นปกครอง แต่แล้วเหตุการณ์กลับไม่ง่ายอย่างที่เขาคาดไว้ รวมถึงการมาของ เจ้าชายเดม่อน น้องชายสุดอำมหิตของเขา ที่ต้องการจะครอบครองบัลลังก์เช่นเดียวกัน ซึ่งสองตัวละครสำคัญที่จะมีบทบาทต่อไป คือ เจ้าหญิงเรเนียน่า ธิดาคนโตของคิงวิเซอร์ริสที่1และเพื่อนสนิทของเธออย่าง เลดี้อลิเซนต์ สองคาแรคเตอร์สำคัญที่จะนำไปสู่Dance of the Dragonหรือสิ่งที่ผู้คนในเรื่องเรียกขาน มหาสงครามที่นำไปสู่จุดสิ้นสุดของราชวงศ์ทาร์แกเรียนความยิ่งใหญ่ของโปรดักชั่น ความเข้มข้นและคาดเดาไม่ได้ของเส้นเรื่อง ความแรงของฉากต่างๆที่ทั้งถึงเลือดถึงเนื้อ และร้อนแรงติดเรตแบบไม่ยั้งมือ เป็นหลายองค์ประกอบที่ทำให้Game of Thronesค่อยๆกวาดผู้ชมให้กลายเป็นแฟนอันเหนียวแน่น จำนวนมหาศาลในช่วงซีซั่นท้ายๆ แต่แล้วบาดแผลสำคัญที่ทำให้แฟนๆเจ็บอยู่ไม่น้อย คือ ผลลัพธ์ของตอนอวสาน ที่อาจจะทำได้ไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับกว่า70กว่าตอนก่อนหน้านี้ สร้างความผิดหวังกลายเป็นปมเจ็บในใจของเหล่าแฟนพันธุ์แท้ การมาถึงของHouse of the Dragonจึงกลายเป็นจุดเสี่ยงสำคัญ ถ้าซีรีส์ภาคนี้ออกมาดีHBOก็จะสามารถดึงความนิยมจากแฟนๆกลับมาได้อีกครั้ง แต่ถ้าภาคนี้ออกมาพินาศ นั่นอาจจะกลายเป็นจุดสิ้นสุดของซีรีส์เอพิกมหากาพย์เรื่องนี้(ไม่ต่างกับจุดสิ้นสุดของตระกูลทาร์แกเรียนในเรื่อง)ข่าวดีคือ หลังจากที่House of the Dragonได้พรีเมียร์ตอนแรกไป ผลลัพธ์ที่ออกมา ดูเหมือนจะเป็นในฝั่งแรกมากกว่าฝั่งหลัง นี่คือซีรีส์ที่ทำให้แฟนๆมีความหวังกับGame of Thronesอีกครั้ง ด้วยการเปิดเรื่องอย่างเข้มข้น ซีรีส์ค่อยๆพาผู้ชมไปรู้จักกับสมาชิกคนสำคัญในตระกูลทาร์แกเรียน และบุคคลต่างๆที่ล้อมรอบคิงวิเซอร์ริส และค่อยๆเผยปมของแต่ละตัวละคร ที่อาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งในอนาคต หลังจากซีรีส์ดำเนินตอนแรกไปไม่ถึงครึ่งทาง ความตึงเครียดก็ค่อยๆสะสมขึ้น ทวิสต์หรือจุดหักมุมที่ผู้ชมอาจจะคาดไม่ถึงก็ค่อยๆถูกใส่เข้ามา นี่คืออารมณ์ในแบบที่แฟนๆของGame of Thronesคุ้นเคย และสัมผัสได้ว่า มันกำลังกลับมาอีกครั้งในHouse of the Dragonนอกจากการผูกปมของซีรีส์ให้แน่นขึ้นเรื่อยๆและเยอะขึ้นเรื่อยๆในตอนที่1แล้ว องค์ประกอบต่างๆที่แฟนๆชอบ ดูเหมือนจะกลับมาแบบครบเครื่อง เริ่มต้นจากงานโปรดักชั่นที่กลิ่นอายความยิ่งใหญ่ ความเอพิก ถูกเผยให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แม้ว่าในตอนแรกอาจจะยังไม่มีฉากสงครามอันยิ่งใหญ่ แต่ฉากแอ็กชันต่างๆ ก็ทำออกมาได้อย่างถึงอารมณ์ และแน่นอนว่า ความโหดเหี้ยม ความรุนแรงก็ถูกใส่มาอย่างไม่ยั้งมือ จนทำเอาหลายฉากที่ผู้ชมอาจจะต้องเบือนหน้าหนีเลยทีเดียว ส่วนฉากความร้อนแรงระดับติดเรต ที่เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของGame of Thronesก็ยังไม่ขาดหายไปในซีรีส์นี้ เรียกว่าเซอร์วิสแฟน แทบจะครบทุกองค์ประกอบที่ต้องการเลยทีเดียวสำหรับในตอนที่1จะโฟกัสที่สองตัวละครสำคัญ พี่น้องตระกูลทาร์แกเรียน อย่าง คิงวิเซอร์ริส ซึ่งถ่ายทอดบทนี้ของ แพดดี้ คอนซิไดน์ นักแสดงชาวอังกฤษ ที่เพียงแต่ตอนแรก ก็ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงมิติต่างๆของตัวละคร ความเป็นมนุษย์ของกษัตริย์คนหนึ่ง ทั้งในแง่มุมของความแข็งแกร่งและความอ่อนแอ ส่วนอีกตัวละครคือ เจ้าชายเดม่อน ที่รับบทโดย แมตต์ สมิธ ที่คอซีรีส์ชาวไทยคุ้นเคยดีจากThe Crownมาในบทที่เข้ากับเขาอย่างถึงที่สุด ชายที่แม้จะดูอำมหิต อันตราย แต่ก็เพราะเขามีปมในใจบางอย่างที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา หลายฉากที่สองตัวละครนี้เข้าฉากด้วยกัน ทั้งสองนักแสดงสร้าวความตึงเครียดให้กับซีนนั้นได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนอีกสองนักแสดงคนสำคัญอย่าง เอ็มม่า ดาร์ซีย์ และ โอลิเวีย คุก ที่รับบทสองเพื่อนสนิทอย่าง เจ้าหญิงเรเนียน่า และเลดี้อลิเซนต์ ในตอนแรก พวกเธอทั้งสองยังไม่ได้แสดง แต่เป็น มิลลี่ อัลคอก และเอมิลี่ แคร์รี่ ที่มารับบทเป็นทั้งสองตัวละครในช่วงวัยรุ่น ก่อนที่จะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ซึ่งจะเล่าถึงในตอนถัดไปในฐานะตอนPilotเอพพิโซด1ของHouse of the Dragonถือว่าทำหน้าที่เรียกแขกได้อย่างน่าพึงพอใจ ไม่ว่าจะเป็นแขกประจำที่เคยชื่นชอบGame of Thronesสิ่งที่พวกเขาต้องการจากซีรีส์เรื่องนี้ ถือว่ากลับมาอย่างน่าพอใจ นอกจากนี้แฟนซีรีส์น่าจะฮือฮากับหลายๆEaster Eggที่ถูกใส่เข้ามา การMentionถึงหลายตระกูลในGame of Thronesการเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งแฟนๆน่าจะสนุกกับตรงนี้ และรอติดตามอย่างต่อเนื่อง ส่วนแขกใหม่ที่ยังไม่เคยดูGame of Thronesมาก่อน อยากแนะนำว่าHouse of the Dragonอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ที่น่าสนใจ ด้วยความเป็นPrequelดังนั้น แม้จะไม่เคยดูGame of Thronesมาก่อนเลยก็ดูรู้เรื่อง ลองมาเริ่มต้นไปพร้อมๆกันHouse of The Dragonในซีซั่นแรกมีความยาว10ตอนจบ โดยตอนใหม่จะพร้อมให้สตรีมทุกๆเช้าวันจันทร์เวลา8โมงเช้า(ตรงกับสองทุ่มคืนวันอาทิตย์ของอเมริกา)เฉพาะในHBO GOเท่านั้นภาพ : GameofThrones

album

0
0.8
1