[REVIEW] ‘Inside Out 2’ ภาคต่อที่ทั้งเติบโตและลึกซึ้งขึ้น แต่คงไอเดียสุดล้ำเช่นเคย

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Inside Out 2’ ภาคต่อที่ทั้งเติบโตและลึกซึ้งขึ้น แต่คงไอเดียสุดล้ำเช่นเคย

12 มิ.ย. 2024

คุ้มค่าแก่การรอคอยนาน 9 ปีเต็ม สำหรับภาคต่อของแอนิเมชั่นสุดประทับใจที่มาพร้อมไอเดียสุดล้ำอย่าง ‘Inside Out’ ของค่ายพิกซาร์ แอนิเมชั่น ที่ย้อนกลับไปเมื่อปี 2015 สร้างปรากฏการณ์ทั้งกวาดเงินมากถึง 850 ล้านเหรียญฯ จากทั่วโลก กวาดคะแนนบวกจากนักวิจารณ์มากถึง 98% และปิดท้ายด้วยการคว้ารางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยมมาได้สำเร็จ และขึ้นแท่นหนึ่งในหนังแอนิเมชั่นในดวงใจคนดูไปเต็ม ๆ

ด้วยพล็อตสุดครีเอท ที่เล่าถึงเหล่าอารมณ์ในหัวของ ไรลี่ย์ เด็กสาวไฮสคูลที่กำลังว้าวุ่นกับการเติบโต โดยในหัวของเธอมีอารมณ์ต่าง ๆ เป็นตัวขับเคลื่อน นำโดย จอย ตัวละครสุดอารมณ์ดี แน่นอนว่ากว่าที่ ‘Inside Out’ ภาคแรกจะเกิดขึ้นได้ ใช้เวลาพัฒนาโปรเจกต์อยู่นาน ขั้นตอนสำหรับภาคต่อก็เช่นกัน ทำให้หนังถูกทิ้งช่วงนานถึง 9 ปีเต็ม โดยพิกซาร์มอบหมายหน้าที่ผู้กำกับภาคนี้ให้ เคลซี มานน์ หัวเรือใหญ่ของทีมครีเอทีฟพิกซาร์ ที่มีส่วนร่วมในหนังของค่ายยุคหลัง ๆ อย่าง Soul, Luca และ Elemental มาทำหน้าที่กำกับเป็นครั้งแรก ที่ดูเหมือนจะรับไม้ต่อมาได้อย่างยอดเยี่ยมเสียด้วย

สำหรับใน ‘Inside Out 2’ ยังคงเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ ไรลี่ย์ เด็กสาวไฮสคูลที่กำลังต้องเผชิญหน้ากับจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เมื่อเธอกำลังต้องขึ้นสู่ชั้นเรียนใหม่ ต้องพบกับเพื่อนใหม่ ๆ และความฝันในการเข้าทีมเป็นนักกีฬาฮอกกี้ ทำให้การเข้าค่ายในช่วงไม่กี่วันจากนี้ เป็นช่วงเวลาสำคัญ สิ่งที่เกิดขึ้นในหัวของไรลี่ย์ นอกจาก 5 อารมณ์เดิมจากภาคแรกแล้ว คือการเข้ามาของ 4 อารมณ์ใหม่ ที่นำทีมโดย ว้าวุ่น อารมณ์ที่เริ่มเกิดขึ้น เมื่อมนุษย์เติบโตขึ้น พวกเขากำลังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง เมื่อมนุษย์เริ่มมีอารมณ์ดีที่น้อยลง และเริ่มมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น จอยและแก๊งอารมณ์เดิมจะรับมืออย่างไรกับสิ่งนี้ พวกเธอจะสามารถควบคุมไรลี่ย์ให้หน้าด้านไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการได้หรือไม่ ต้องมาติดตามกัน

แน่นอนว่าหนังภาคนี้ เติบโตในเนื้อหามากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับตัวละครไรลีย์ที่มีอายุมากขึ้น ดังนั้นประเด็นต่าง ๆ ของหนัง จึงเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ของมนุษย์ การก้าวขึ้นเป็นผู้ใหญ่ มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ในพาร์ทนี้ของหนังถือว่า สามารถถ่ายทอดความซับซ้อนด้านอารมณ์ของคนเรา ออกมาได้อย่างน่าสนใจ ยังคงมีความลึกซึ้งทางด้านเนื้อหา ตามแบบฉบับที่ Inside Out นั้นควรจะเป็น และมีความเข้าใจมนุษย์มากขึ้นยิ่งกว่าภาคแรก ทำให้เนื้อหาในภาคนี้ น่าจะทัชใจผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้นด้วย ไม่ได้เพียงแค่สร้างความบันเทิง สำหรับผู้ชมที่เป็นเด็ก ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของหนังดิสนีย์เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้ตัว Message ของหนังจะโตขึ้นก็ตาม แต่ ‘ Inside Out 2’ ยังคงรักษามาตรฐานความบันเทิงแบบดิสนีย์ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะเหล่ามุกที่สร้างสรรค์ขึ้นจากครีเอทีฟไอเดีย ภาคนี้ถือว่าไม่เสียเวลารอคอยจริง ๆ ยิ่งการสร้างตัวละครใหม่ ยิ่งน่าสนใจไม่แพ้กับ 5 ตัวละครแรก ทุกตัวยังคงมีเอกลักษณ์ในแบบของมัน และเป็นที่จดจำ นอกจากนี้ยังมีเหล่าตัวละครที่อาจจะไม่ใช่ทั้งมนุษย์ และไม่ใช่ทั้งอารมณ์ แต่มาขโมยซีนแบบเต็ม ๆ (แต่พวกเขาคืออะไรนั้น ไม่สามารถสปอยล์ได้ตรงนี้) นอกจากนี้หนังยังสามารถรักษาพาร์ทของการเป็นหนังผจญภัยได้อย่างสนุกสนาน กับการเดินทางของ จอย และแก๊งอารมณ์ออริจินัลของพวกเธอ ที่ต้องออกเดินทางด้วยภารกิจบางอย่าง หนังสร้างสรรค์มุมต่าง ๆ ในหัวของไรลีย์ ได้เหมือนสวนสนุก เหมือนจำลองดิสนีย์แลนด์ ในเวอร์ชั่นสมองไรลีย์ออกมาได้อย่างน่าติดตาม ยิ่งเสริมให้ ‘Inside Out 2’ ครบถ้วนในทุกแง่มุมทั้งความสนุก ความลึกซึ้ง และความประทับใจของธีมเรื่อง

โดยรวม ‘Inside Out 2’ ถือเป็นโจทย์ยากสำหรับพิกซาร์อยู่ไม่น้อย เพราะว่าภาคแรกสร้างมาตรฐานไว้สูงมาก แต่ผลลัพภ์ที่ออกมา ก็ถือว่าน่าพอใจมาก คุ้มค่าแก่การรอคอยสำหรับแฟนหนังพิกซาร์ ซึ่งหลายโปรเจกต์ที่ผ่านมา ทางค่ายไม่สามารถรักษามาตรฐานที่ทัดเทียมภาคแรกไว้ได้สำหรับภาคต่อ แต่สำหรับเรื่องนี้ถือว่าทำได้ เป็นการกลับคู่ระดับความพีกของพิกซาร์อีกครั้ง และน่าจะส่งให้ ‘Inside Out 2’ เป็นความสำเร็จเรื่องแรก ๆ ของซัมเมอร์นี้ในอเมริกาได้อย่างไม่ยาก หลังจากที่ตลอดเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีแต่หนังที่ทำรายได้น่าผิดหวัง และเพิ่งมามีหนังที่ทำเงินเหนือความคาดหมายคือ ‘Bad Boys : Ride or Die’ ในสัปดาห์ก่อน แอนิเมชั่นจากพิกซาร์เรื่องนี้ น่าจะมีปลุกผี Box Office ในอเมริกาได้ต่ออีกเรื่อง

ภาพ : Walt Disney Studios

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ การผจญภัยครั้งสุดท้าย ได้ฟีลหนังสไตล์ยุค 80s | GOSSIP GUN

03 ก.ค. 2023

[REVIEW] ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ การผจญภัยครั้งสุดท้าย ได้ฟีลหนังสไตล์ยุค 80s | GOSSIP GUN

ย้อนกลับไป Indiana Jones เคยได้รับการขนานนามว่า เป็นหนึ่งในหนังผจญภัยที่ยิ่งใหญ่สุดในฮอลลีวูด จากความสำเร็จของไตรภาคหลักในยุค 80s ที่เป็นการผนึกกำลังกันของสามยักษ์ใหญ่ในฮอลลีวูดอย่าง จอร์จ ลูคัส ผู้ให้กำเนิด Star Warsที่เป็นทั้งผู้สร้างและเจ้าของไอเดียหนังชุด Indiana Jones ซึ่งได้ดึงเอาเพื่อนสนิทอย่าง สตีเว่น สปีลเบิร์ก พ่อมดฮอลลีวูดมากำกับหนัง และมอบบทอินเดียน่า โจนส์ ให้กับ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ที่กำลังมาแรงสุดๆในขณะนั้น จากบทฮาน โซโลในหนังระดับบล็อคบัสเตอร์อย่าง Star Wars ก่อนที่จะมีการกลับไปสร้างภาคต่ออีกครั้งในปี 2008 แต่กลับไม่ได้รับคำชมมากเท่า 3 ภาคแรก จนกระทั่งล่าสุด ดิสนีย์ ที่เพิ่งซื้อกิจการลูคัสฟิล์มมาไม่นาน ขอส่งท้ายตำนานอีกครั้งด้วยหนังภาคที่ 5 อย่าง 'Indiana Jones and the Dial of Destiny' โดย แฮร์ริสัน ฟอร์ด กลับมารับบทเป็นการส่งท้าย ด้าน สปีลเบิร์กและลูคัส กลับมานั่งตำแหน่งอำนวยการสร้าง และส่งต่อหน้าที่ผู้กำกับให้ เจมส์ แมนโกลด์ จาก The Wolverine และ Ford V Ferrariสำหรับ The Dial of Destiny พาผู้ชมย้อนกลับไปในปี 1969 ช่วงเวลา 12 ปีหลังจากภาคก่อน เมื่ออินเดียน่า โจนส์ เดินทางมาสู่วัยเกษียณ ชีวิตของเขาหมดความหมายอีกต่อไป เมื่อเขากำลังจะหย่าร้างกับภรรยาหลังสูญเสียลูกชายไปในสงคราม จนกระทั่งได้พบกับ เฮเลน่า (รับบทโดย ฟีบี้ วอลเลอร์ บริดจ์) ลูกสาวบุญธรรม ทายาทของเพื่อนสนิท ที่โผล่มาหาเขาเพราะต้องการรู้เรื่องราวของ สิ่งของโบราณอย่างหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถพาให้ผู้ครอบครองเดินทางย้อนเวลาได้ ซึ่งสมบัติชิ้นนี้ ก็เป็นที่หมายปองของ วอลเลอร์ (รับบทโดย แมดส์ มิคเคลเซ่น) อดีตนาซีศัตรูเก่าของอินเดียน่า ที่ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของโครงการ NASA นำไปสู่การผจญภัยครั้งใหม่เพื่อตามหาสิ่งวิเศษชิ้นนี้ ก่อนที่มันจะตกอยู่ในมือผู้ประสงค์ร้ายIndiana Jones and the Dial of Destiny ถือเป็นหนังภาคส่งท้ายที่ค่อนข้างน่าพอใจ และได้บรรยากาศแบบเก่าๆกลับมาครบ เหมือนหนังพาผู้ชมย้อนเวลากลับไปสมัยปลายยุค 80s ถึงต้นยุค 90s อีกครั้ง เพราะถ้าไม่นับเรื่องของ CGI ที่มีพัฒนาการไปตามยุคสมัย Mood Tone ของหนังมีความคล้ายคลึงกับหนังยุคนั้น เหมือนหนังถูกสร้างและแช่แข็งเอาไว้ ก่อนที่จะนำออกมาฉายตอนนี้ ทำให้บรรยากาศแบบเดิมๆจากหนังไตรภาค กลับมาพอสมควร ใครที่คิดถึงหนังสไตล์นี้น่าจะพึงพอใจ เพราะแทบจะหาไม่ได้แล้วในยุคสมัยนี้ ในมุมหนึ่งมันก็ดูค่อนข้างจะโบราณไปบ้าง แต่ในมุมหนึ่งมันก็มีความ Old School เป็นความคลาสสิคที่นานๆกลับมาดู ก็เป็นรสชาติที่หลายคนคิดถึงองค์ประกอบต่างๆของหนังภาคนี้ ดูจะคล้ายคลึงกับภาคก่อนๆที่ผ่านมา ในด้านของเส้นเรื่องก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่มากนัก เน้นเล่าการผจญภัยของอินเดียน่า โจนส์ ที่ต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆตามลายแทงและหลักฐาน เพื่อตามหาสมบัติก่อนที่ตัวร้ายจะคว้าไป และระหว่างทางก็จะมีฉากแอ็กชันไล่ล่า ที่ก็จะเป็นไปตามเอกลักษณ์ของหนังสไตล์นี้ เนื่องด้วยพล็อตเรื่องจะเกิดขึ้นระหว่างช่วงปี 30s-60s ทำให้ฉากแอ็กชันส่วนใหญ่ก็จะเกิดขึ้นในป่า หรือตัวเมืองที่ค่อนข้างมีความโบราณ แต่การตัดต่อก็ทำออกมาได้ค่อนข้างเร้าอารมณ์ มีผสมกับอารมณ์ขันที่หนังมีอยู่เสมอ บวกกับเพลงธีมของ Indiana Jones ที่ทุกครั้งที่ใส่มา ยิ่งเพิ่มเอกลักษณ์ของหนังมาแบบเต็มๆสำหรับ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ในวัย 80 ปี อาจจะไม่ได้กระฉับกระเฉงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่หนังก็ไม่ได้พยายามจะให้ตัวละครอินเดียน่า โจนส์ในภาคนี้ หนุ่มกว่าวัยแต่อย่างใด หนังได้ใส่คาแรคเตอร์ในแบบวัยเกษียณเข้าไปด้วย มีกลิ่นความเป็นมนุษย์ลุงเบาๆ และช่วงองก์ที่ 3 ของหนังสำหรับภาคนี้ ถือมีบทส่งท้ายสำหรับอินเดียน่า โจนส์ ได้อย่างน่าพอใจ หนังพาผู้ชมไปไกลกว่าที่คาดคิดพอสมควร ยิ่งสำหรับตัวละครที่เป็นนักโบราณคดี การที่หนังพาไปไกลขนาดนั้น ถือว่าไม่ธรรมดา (แต่ขออนุญาตไม่สปอยล์ตรงนี้ เพื่ออรรถรสของผู้ชม) เป็นการปิดฉากสำหรับแฟรนไชส์หนังผจญภัยสุดยิ่งใหญ่ได้อย่างน่าพึงพอใจ ใครที่เป็นแฟนหนังแนวล่าขุมทรัพย์ ตามหาสมบัติก็ไม่ควรพลาดกันชมตัวอย่าง Indiana Jones and the Dial of Destiny วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Walt Disney Studios Thailand

[REVIEW] ‘Faces of Annes แอน’ ใครคือแอนตัวจริง หนังชวนฉงน ชวนสะพรึงแห่งปี | GOSSIP GUN

12 ต.ค. 2022

[REVIEW] ‘Faces of Annes แอน’ ใครคือแอนตัวจริง หนังชวนฉงน ชวนสะพรึงแห่งปี | GOSSIP GUN

ฮือฮาตั้งแต่เปิดตัวไปแล้วสำหรับภาพยนตร์ไทยน่าจับตามองแห่งปีอย่างFaces of Anneหรือชื่อไทยสั้นๆ ว่า"แอน"ด้วยทีมนักแสดงสุดหวือหวา เพราะน่าจะเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่รวมนักแสดงหญิงวัยรุ่นน่าจับตามองไว้เยอะที่สุดขนาดนี้ ทั้งที่เปิดเผยออกมาแล้วถึง10คน ตามรายชื่อบนใบปิด ประกอบด้วย ออกแบบ ชุติมณฑน์,อิ้งค์ วรันธร,วี วิโอเลต,มินนี่ ภัณฑิรา,ก้อย อรัชพร,ปันปัน สุทัตตา,เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ,มิวสิค แพรวา,อุ้ม อิษยา และ นานา ศวรรยา ยังไม่รวมที่ยังไม่ได้โปรโมตอีก ซึ่งความพีกยิ่งกว่าคือคอนเซปต์ของหนัง เพราะนักแสดงทั้งหมดที่เอ่ยนามมานี้ ต่างเล่นเป็นตัวละครที่ ชื่อว่า แอน พวกเขารับบทเป็นหญิงสาวที่ตื่นขึ้นมาในห้องหนึ่ง ในชุดสีเหลืองเหมือนกัน ทุกคนต่างถูกคุมขังไว้ในสถานที่แห่งนี้ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่อันตรายกำลังจะมาถึง หลังจากการปรากฏตัวขึ้น ของ ปีศาจกวาง ที่ออกไล่ฆ่าพวกเธออย่างอำมหิต ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอจะมีชีวิตรอดหรือไม่ แล้วทำไมทุกคนถึงชื่อแอน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในที่แห่งนี้ ต้องไปหาคำตอบกันในหนังสิ่งที่ดึงดูดกลุ่มคนดูหนังมากที่สุด นอกจากลิสต์รายชื่อนางเอกรุ่นใหม่ และพล็อตสุดแปลกแล้ว คือ ชื่อของผู้กำกับ อย่าง คงเดช จาตุรันต์รัศมี เจ้าของผลงานเกรดเออย่าง เฉิ่ม,ตั้งวง, Snapแค่ได้คิดถึง และล่าสุดอย่างWhere We Belongที่ตรงนั้นมีฉันหรือเปล่า(นอกจากนี้ คงเดช ยังเขียนบทให้กับหนังรักคุณภาพล้นอย่างThe Letterจดหมายรัก และMe..Myselfขอให้รักจงเจริญ อีกด้วย)ด้วยงานกำกับที่คุมคนดูอยู่หมัดมาโดยตลอด และไม่ว่าเขาจะเล่าเรื่องอะไร มักแฝงประเด็นสถานการณ์บ้านเมืองไว้เสมอ โดยเฉพาะ3เรื่องล่าสุดที่ เอ่ยถึงทั้งอย่างตรงไปตรงมา และในนัยยะแฝง เฉกเช่น ผลงานล่าสุดอย่างFaces of Annesแม้ตัวหนังเองจะทำท่าเป็นPsychological Thrillerหรือหนังทริลเลอร์จิตวิทยา ที่มีกลิ่นของหนังสยอง และหนังไล่เชือด แต่ในเส้นเรื่องที่ลึกกว่านั้น เชื่อว่าผู้กำกับได้แฝงอะไรบางอย่างไว้อย่างแน่นอน เพราะระหว่างทางมีอะไรให้คิดไปทางนั้นอยู่ไม่น้อยโดยรวมบรรยากาศของFaces of Annesทั้งชวนสะพรึง ชวนสยอง และชวนฉงนไปพร้อมๆกัน ในพาร์ทที่ทำให้รู้สึกสะพรึงนั้น หนังสามารถทำได้ตั้งแต่วินาทีแรกๆ ที่คุมคนดูอยู่ แม้จะเคลื่อนตัวไปช้าในระดับหนึ่ง แต่ด้วยอารมณ์ของหนังทำให้ผู้ชมติดอยู่กับสถานการณ์นั้นได้ตลอด นำมาสู่จังหวะที่หนังชวนสยอง เมื่อFaces of Annesเพิ่มดีกรีความระทึกขึ้น นับตั้งแต่ตัวละคร"ปีศาจกวาง"โผล่ออกมา ไล่ฆ่าพวกเธอ แม้เหล่าแอนจะพยายามหนีแต่ก็ไม่มีทางออก นำไปสู่พาร์ทชวนฉงน การดูหนังเรื่องนี้เหมือนการต่อจิกซอว์อยู่ไม่น้อย เมื่อคนดูค่อยๆปะติดปะต่อเรื่องราว คนสร้างก็ค่อยๆเผยโครงสร้างพล็อตออกมา เผยความจริงบางอย่าง ทำให้หนังน่าติดตาม และชวนให้อยากรู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในหนังเรื่องนี้?แน่นอนว่าFaces of Annesไม่ใช่หนังสยองขวัญที่เล่าเรื่องชั้นเดียว นอกจากการไขปริศนาที่เกิดขึ้นในเส้นเรื่องหลักแล้ว การมองหนังด้วยแว่นตาที่ต่างออกไป ทำให้เห็นอะไรบางอย่างมากขึ้น โดยเฉพาะแว่นตาของการเมือง ซึ่งปรากฏในหนังคงเดชอยู่บ่อยครั้ง ในเรื่องนี้ก็แฝงไว้ซึ่งสัญญะเช่นกัน(ต่อจากนี้ไม่ได้สปอยล์เรื่องนะครับ)เริ่มจากตัวละครแอน และปีศาจกวาง ที่เปรียบเปรยถึง คน หรือ กลุ่มคนบางกลุ่ม สามารถสังเกตได้ด้วย สิ่งที่พวกเธอเผชิญ เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ ในขณะที่ปีศาจกวางนั้น สามารถสังเกตได้จาก การเลือกให้ตัวละครนี้ สวมหัวกวาง สัตว์ที่ดูสง่างามแต่กลับมาไล่ฆ่าคน อาวุธที่กวางใช้ เพลงที่ถูกเปิดทุกครั้งที่ปีศาจตนนี้ปรากฏตัว พร้อมด้วยรายละเอียดยิบย่อยอีกมากมาย หลายจังหวะถ้าดูหนังด้วยแว่นตาแบบดูเอาบันเทิงอาจจะไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่ถ้ามองอีกแบบ อาจจะเจอคำตอบ สิ่งที่แฝงไว้ในหนังเรื่องนี้ โดย นอกจากในแง่การปกครองที่ถูกเล่าผ่านFaces of Annesแล้ว หนังยังเล่าถึงสังคมคนรุ่นใหม่ในยุคสมัยปัจจุบันอย่างตรงไปตรงมา การใช้ชีวิตในสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การถูกครอบงำโดยSocial Mediaลามไปถึงปัญหาด้านจิตเวช ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่วัยรุ่นยุคนี้ต้องเผชิญ ในสภาวะสังคมที่ไม่ปกตินี้ไฮไลต์ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ คือเหล่าทีมนักแสดงหญิงรุ่นใหม่มากฝีมือที่ตบเท้าเข้ามาแสดงในFaces of Anneอย่างน่าตื่นตา โดยรวมหนังค่อนข้างบาลานซ์Screen Timeของนักแสดงแต่ละคนได้ค่อนข้างดี แน่นอนว่า เวลาปรากฏบนจอไม่เท่ากัน แต่ทุกคนต่างมีโมเมนต์เป็นของตัวเอง มีจังหวะที่ปล่อยของกันพอสมควร ถ้าจะให้เลือกไปเลยว่าใครคือMVPแทบจะเลือกได้ยากมาก เพราะทุกตัวละครต่างมีความสำคัญ ต่างมีอะไรบางอย่างที่ไม่ง่ายนักในการแสดง ความสนุกของผู้ชมคือการลุ้นว่า ใครจะโผล่มาเมื่อไหร่ นักแสดงที่เราชอบจะปรากฏตัวช่วงนี้ ประโยชน์ของการที่หนังมีดาราเยอะ มันก็สนุกในแบบนี้แฝงไปด้วยโดยรวมFaces of Annesคือหนังชวนขยี้สมองแห่งปี หากจะเข้าไปดูเพื่อความบันเทิง อาจจะได้ความเครียดกลับมาแทน เพราะหนังท้าทายผู้ชม กระตุ้นให้ชวนคิดต่อตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในแง่เส้นเรื่องปกติ รวมถึงเส้นประเด็นที่แฝงเอาไว้ ทั้งหมดนี้ถูกคุมด้วยบรรยากาศชวนสะพรึงตลอดทั้งเรื่อง แม้จะมีบางจุดที่จังหวะการเล่าค่อนข้างช้า แต่หนังก็สามารถตรึงเราไว้ได้เสมอ และด้วยแคสระดับดรีมทีมแบบนี้ ไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะได้ดูหนังไทยที่แปลกใหม่ น่าสนใจ น่าลิ้มลองในแบบที่Faces of Annesนำเสนอ ถ้ามีโอกาส นี่คือหนังไทยอีกเรื่อง ที่อยากให้ลองชมภาพ : M Picturesชมตัวอย่าง แอนFaces of Anneเข้าฉาย13ตุลาคมในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] “Death on the Nile” ไขคดีฆาตกรรมที่เก่งกาจสับขาหลอกผู้ชม | GOSSIP GUN

09 ก.พ. 2022

[REVIEW] “Death on the Nile” ไขคดีฆาตกรรมที่เก่งกาจสับขาหลอกผู้ชม | GOSSIP GUN

กลับมาขึ้นจอใหญ่อีกครั้งสำหรับแอร์กูว์ ปัวโรต์ นักสืบในนิยายของ อกาธา คริสตี้ เจ้าแม่หนังสือฆาตกรรมระดับตำนาน หลังจากMurder on the Orient Expressกลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จเมื่อ5ปีก่อน ทำให้ค่ายหนังอนุมัติหยิบเอาหนังสือเล่มต่อมาของอกาธา อย่างDeath on the Nile (ฆาตกรรมบนลำน้ำไนล์)มาขึ้นจอใหญ่ทันที โดยหนังได้ เคนเนธ บรานาห์ กลับมาควบหน้าที่ทั้งกำกับภาพยนตร์และรับบทเป็น ปัวโรต์ อีกครั้ง ซึ่งตัวหนังเองถ่ายทำไปเกือบ3ปีแล้ว แต่เพราะโควิด-19ทำให้ถูกเลื่อนฉายมาหลายต่อหลายรอบ บวกกับคดีฉาวของ อาร์มี่ แฮมเมอร์ หนึ่งในหนังแสดงที่เกือบทำให้หนังไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเสียแล้ว แต่ในที่สุดDeath on the Nileก็พร้อมเข้าฉายในสัปดาห์ก่อนวาเลนไทน์ ซึ่งบังเอิญสุดๆที่ รางวัลออสการ์เพิ่งประกาศผู้เข้าชิง และ ผลงานกำกับที่ออกฉายก่อนหน้านี้ของ บรานาห์(แต่ถ่ายทำทีหลัง)อย่างBelfastก็ได้ชิงในสาขาหนังยอดเยี่ยม รวมถึงส่งให้ บรานาห์ ได้ชิงในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมอีกครั้ง กลายเป็นสัปดาห์นี้ เขามีทั้งหนังใหม่เข้าโรง และหนังก่อนหน้าได้ชิงรางวัลใหญ่Death on the Nileดำเนินเรื่องราวต่อจากMurder on the Orient Expressทันที เมื่อนักสืบแอร์กูว์ ปัวโรห์ ถูกเรียกตัวไปยังอียิปต์เพื่อสืบคดีใหม่ ทำให้เขาได้กลายเป็นแขกคนพิเศษ บนเรือล่องแม่น้ำไนล์ ซึ่งเป็นทริปที่จัดขึ้นเพื่อฉลองคู่รักใหม่ที่เพิ่งแต่งงาน อย่าง ลินเน็ต(รับบทโดย กัล กาด็อต)มหาเศรษฐีสาวผู้ทรงเสน่ห์ซึ่งใครๆก็หมายปอง กับไซม่อน(รับบทโดย อาร์มี่ แฮมเมอร์)ชายธรรมดาๆที่ตกถังข้าวสาร ทุกคนต่างอิจฉาที่เขาโชคดี ได้หญิงที่ทั้งรวยและสวยเป็นภรรยา แต่บนเรือลำนี้กลับเต็มไปด้วยแขกที่มีปมลึกๆกับคู่รักคู่นี้ ไม่ว่าจะเป็น คุณหมอซึ่งเป็นอดีตคู่หมั้นของฝ่ายหญิง,นักบัญชีที่อาจมีปัญหากับนางเอก,แม่เลี้ยงนางเอกที่เก็บความลับบางอย่างไว้,เพื่อนสมัยเรียนของนางเอกที่ขึ้นเรือลำนี้มาพร้อมกับคุณป้าที่เป็นนักร้อง รวมถึงทั้งคู่กำลังถูกติดตามโดย อดีตคนรักของฝ่ายชายที่ดันเป็นอดีตเพื่อนสนิทของนางเอกอีก และเมื่อทริปนี้ดำเนินไป เรือที่ค่อยๆล่องไปตามลำน้ำไนล์ เหตุฆาตกรรมปริศนาได้เกิดขึ้น กระสุนลึกลับถูกยิงออกจากกระบอกปืน จึงกลายเป็นหน้าที่ของ ปัวโรห์ที่จะสืบว่า ใครกันแน่ คือฆาตกรสุดอำมหิตบนแม่น้ำกลางอียิปต์แห่งนี้โดยรวมDeath on the Nileถือเป็นหนังสืบสวนสอบสวนที่ดูเพลิน แต่ก็มีความโบราณในระดับนึง ด้วยต้นฉบับของDeath on the Nileที่มีความเป็นหนังสืออายุเก่าแก่กว่า80ปี บวกกับเส้นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคเวลานั้น จึงไม่แปลกที่หนังจะเล่าเรื่องในสไตล์ค่อนข้างตามขนบ มีความเป็นOld-Schoolอยู่พอสมควร ต่างจากหนังแนวWho dun it (หรือใครคือฆาตกร)ยุคใหม่อย่างKnives Outที่ใส่สไตล์หวือหวาเข้าไปมากกว่า แต่เมื่อเทียบกับหนังในตระกูลเดียวกันอย่างMurder on the Orient Expressหนังภาคใหม่นี้ ค่อนข้างมีความเข้มข้นในเส้นเรื่องมากกว่า ส่วนหนึ่งของโครงของคดีที่แตกต่างกันไปด้วย ภาคแรกจะมีเส้นเรื่องคือเกิดเหตุฆาตกรรมแล้วค่อยๆไขปริศนา แต่สำหรับภาคนี้ใช้เวลาในการปูตัวละครค่อนข้างนาน ก่อนที่จะเกิดเหตุร้าย และนำไปสู่การคลี่คลายปม แต่แล้วทุกอย่างกลับไม่ได้ถูกคลี่คลายอย่างง่ายดายนักความน่าสนใจของDeath on the Nileคือการที่เหมือนผู้ชมจะเดารูปคดีได้ไม่ยากนัก(ต่างจากMurder on the Orient Expressที่เฉลยแทบพลิกหมดเลย)แต่ถึงคุณคิดว่าจะพอเดาออก แต่หนังก็ไม่ปล่อยให้คุณมั่นใจกับไอเดียนั้นมากนัก เพราะระหว่างทาง หนังจะเล่าเรื่องแบบสับขาหลอก ให้คนดูสงสัยในทุกตัวละครจนหลายขณะเริ่มสับสนว่า ตกลงใครคือคนร้ายกันแน่ หนังพาเราไปยังจุดที่ผู้ชมอาจจะไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าใครคือ"ฆาตกร"เพราะทุกตัวละครล้วนมีแรงจูงใจทั้งนั้น ในขณะที่ปัวโรต์ค่อยๆปั่นหัวสมาชิกบนเรือ ให้เหล่าผู้ต้องสงสัยหลุดเผยความจริงออกมา ผู้ชมเองก็ถูกปัวโรห์ปั่นหัวไปพร้อมๆกันด้วยอีกแง่มุมที่Death on the Nileทำได้ดีกว่าMurder on the Orient Expressคือการที่พาผู้ชมไปสำรวจตัวละคร แอร์กูว์ ปัวโรต์ มากยิ่งขึ้น ในฐานะที่เขาเป็นตัวละครหลักในหนังชุดนี้ หนังภาคแรกแนะนำเขาอย่างผิวเผิน ให้รู้จักบุคลิกภาพรวมแล้วนำไปสู่การคลี่คลายคดีแบบทันที แต่ภาคนี้จะใช้เวลาลงลึกในแง่มุมอื่นๆของเขามากยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้เราจะได้เห็นปัวโรห์เป็นนักสืบที่เย่อหยิ่ง ใช้ความฉลาดและช่างสังเกตในการข่มบุคคลที่เป็นผู้ต้องสงสัยเพื่อไขความจริง แต่ในDeath on the Nileผู้ชมจะได้เห็นด้านอ่อนไหวของเขามากขึ้น เห็นเขาในฐานะคนธรรมดามากขึ้น ต่อให้เขาจะเก่งกาจขนาดไหน เขาก็คือคนที่มีบาดแผลทั้งบนร่างกายและจิตใจ อะไรที่ส่งให้ปัวโรห์กลายเป็นคนเช่นทุกวันนี้อีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของDeath on the Nileคืองานโปรดักชันที่สามารถเนรมิตอียิปต์และลำน้ำไนล์ออกมาได้สวยและตื่นตามากๆ หนังถ่ายทอดความยิ่งใหญ่แต่อ้างว้างได้อย่างยอดเยี่ยม เสริมบรรยากาศให้คดีฆาตกรรมครั้งนี้ดูชวนขนลุกมากยิ่งขึ้น บวกกับการแสดงที่เล่นดีกันแบบยกทีมอีกครั้ง ไม่ต่างจากMurder on the Orient Expressแต่คราวนี้เป็น กัล กาด็อต ที่หนังดึงเสน่ห์ของเธอออกมาใช้งานได้อย่างเต็มที่มากๆ ทำให้เธอยิ่งเป็นศูนย์กลางของเส้นเรื่องที่น่าสนใจและน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น แรงขับเคลื่อนของหลายตัวละครดูสมจริงมากขึ้น เพราะเสน่ห์ของกัลในบทนี้จริงๆ โดยรวม ใครที่เป็นแฟนหนังแนวฆาตกรรม ไขคดีใครคือฆาตกร ไม่ควรพลาดภาคนี้ และดูจบก็ยังอยากให้ บรานาห์ได้มีโอกาสสร้างภาคต่อๆไป(ก็หนังสือ อกาธา ที่มีปัวโรห์ มีตั้ง33เล่มเชียวนะ)(ให้8คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] 'Emergency Declaration' หายนะเหนือน่านฟ้า สุดบีบอารมณ์และสมจริง ! | GOSSIP GUN

03 ส.ค. 2022

[REVIEW] 'Emergency Declaration' หายนะเหนือน่านฟ้า สุดบีบอารมณ์และสมจริง ! | GOSSIP GUN

สิ้นสุดการรอคอยเสียที สำหรับภาพยนตร์หายนะบนเครื่องบินเรื่องแรกของเกาหลี ที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล ขนทัพนักแสดงแถวหน้าของวงการไว้มากมาย หลังจากไปเปิดตัวในเทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อปีก่อน และได้รับคำชมมากมาย หนังก็ขยับโปรแกรมฉายมาเรื่อยๆ (เนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ โควิดที่เกาหลียังแรงอยู่) จนกระทั่งล่าสุดได้โปรแกรมฉายเสียที นี่คืองานล่าสุดของผู้กำกับ ฮันแจริม (จาก The Face Reader) ที่เขาเผยว่า เขียนบทไว้ตั้งแต่ก่อนโควิดจะเริ่ม แต่ไปๆมาๆพอหนังเริ่มถ่ายทำไปแล้ว โควิดก็มาพอดี ซึ่งมีอะไรหลายอย่างที่ตรงกับในหนังอย่างไม่ได้ตั้งใจ !Emergency Declaration เล่าถึงหายนะที่เกิดขึ้นบนเที่ยวบิน จากกรุงโซล มุ่งหน้าสู่ฮาวาย เมื่อมีผู้โดยสารคนหนึ่งเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้โดยสารทุกคน และเมื่อเหตุการณ์เหนือการควบคุม กัปตันจึงต้องประกาศเหตุฉุกเฉินเพื่อขอลงจอดในสนามบินที่ใกล้ที่สุด แต่ปัญหาใหญ่คือ อันตรายที่อยู่บนเครื่องบิน อาจสร้างหายนะให้กับผู้คนข้างล่างได้เมื่อมันแลนดิ้ง เลยสร้างความกังวลให้กับทุกฝ่าย เพราะหายนะบนเครื่องบิน อาจกลายเป็นหายนะของคนทั้งโลก !นี่คือหนังแอ็กชันระทึกขวัญที่จะทำให้ผู้ชมนั่งไม่ติดเก้าอี้ของจริง หนังใช้เวลาช่วงแรกในการค่อยๆแนะนำแต่ละตัวละครที่สำคัญ ทั้งบนเครื่องบิน เริ่มจากตัวละครของ อีบยองฮอน (จาก Mr.Sunshine) ที่รับบทคุณพ่อที่ต้องพาลูกสาวบินไปฮาวายเพื่อรักษาโรค แต่กลับเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดเสียก่อน โดย คิมนัมกิล (จาก Pandora) รับบทกัปตันที่ต้องทำการตัดสินใจประกาศ Emergency Declaration เพื่อให้เครื่องบินลงจอดฉุกเฉิน ในขณะเดียวกันฝั่งภาคพื้นดิน ก็มีตัวละครของ ซงคังโฮ (จาก Parasite) เป็นตำรวจฝีมือเยี่ยมที่ต้องทำทุกทางเพื่อช่วยภรรยา ซึ่งอยู่บนเครื่องบินไฟลต์นรกเช่นเดียวกัน โดยการตัดสินใจทั้งหมด เกิดขึ้นกับตัวละครของ จอนโดยอน (จาก Untold Scandal) ในบทรัฐมนตรีคมนาคม ที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินนี้หนังใช้เวลาบิลด์เรื่องพอสมควร ทั้งในส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนฟ้า และเหตุการณ์บางอย่างที่เกี่ยวข้องด้านล่าง ทำให้ผู้ชมค่อยๆซึมซับอารมณ์ ค่อยๆบิลด์ความตื่นเต้น จนกระทั่งพีกขั้นสุดในช่วงแรกเมื่อหายนะได้เกิดขึ้น ชั่วโมงแรกของ Emergency Declaration หนังทำได้อย่างเยี่ยมยอดที่ทำให้เราลุ้นในแทบทุกนาที และรู้สึกไม่น่าไว้วางใจตลอดเวลาเมื่อหายนะเกิดขึ้น ลากยาวไปจนถึงช่วงครึ่งหลัง ที่ตรึงอารมณ์ผู้ชมไว้ได้ตลอด ความตื่นเต้นไม่ได้ลดระดับลงเลย แม้บางช่วงจะอารมณ์ดร็อปลงบ้าง เพราะสถานการณ์เหมือนจะเบาบางลง แต่หนังก็กระหน่ำวิกฤตใส่เข้ามาเรื่อยๆ ให้ผู้ชมแทบจะไม่ได้พักกันเลยทีเดียว นอกจากลุ้นในฝากของฉากตื่นเต้นแล้ว ในพาร์ทดราม่าที่เกี่ยวกับตัวละคร และการตัดสินใจ ถือว่าทำได้ดี เมื่อผู้ชมดูหนังไปซักพัก และเริ่มอินกับเรื่อง พอพาร์ทดราม่ามาถึง มันก็ทำงานได้ในจังหวะที่พอเหมาะถ้าจะมีอะไรให้รู้สึกว่าหนังบกพร่องสำหรับ Emergency Declaration ก็น่าจะเป็นเรื่องความยาว ที่ยาวถึง 2.30 ชั่วโมง อาจจะมีบางช่วงที่สามารถตัดออกเพื่อให้หนังกระชับและเข้มข้นกว่านี้ได้ โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่อง ที่มีกลิ่นอายของหนังแนวสืบสวนสอบสวนเข้ามา ทำให้ความรู้สึกลุ้นไปกับตัวละครลดลงไปเล็กน้อย ก่อนที่จะกลับมาบิลด์หนักอีกครั้งในช่วงองก์สุดท้าย และในช่วงท้ายที่หนังค่อนข้างใช้เวลากับบทสรุปที่ค่อนข้างนาน ในแง่ดีมันก็ทอดอารมณ์ให้ผู้ชมยังคงอินกับหนังได้อย่างเต็มอิ่ม แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกว่ามันสามารถย่อให้สั้นลงได้อีกในฐานะหนังหายนะบนเครื่องบินเรื่องแรกของเกาหลี ต้องบอกว่า Emergency Declaration ตั้งมาตรฐานไว้ค่อนข้างสูง หลายฉากทำให้ผู้ชมตรึงอยู่กับที่นั่งด้วยความระทึก ยิ่งฉากที่โปรโมตกัน เรื่องของเครื่องบินที่หมุน 360องศา ซึ่งหนังใช้เครื่องบินจริง มาตัดเป็นท่่อน แล้วหมุนจริง นักแสดงอย่าง อีบยองฮอน ก็นั่งอยู่บนเครื่องที่หมุนจริงด้วย พอมาดูเต็มๆในหนัง ทำให้ภาพที่ออกมาสมจริงมากๆ นอกจากนี้ต้องชื่นชมทีมนักแสดงทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นกลาง รุ่นเล็ก นำทีมโดย ซงคังโฮ, อีบยองฮอน และจอนโดฮยอน ทำได้ดีมากๆเลย โดยเฉพาะ 3 ตัวหลักที่เอ่ยไป มีแง่มุมของตัวละครที่นักแสดงถ่ายทอดออกมาอย่างพอเหมาะ นี่เป็นอีกครั้งที่หนังเกาหลีก้าวไปข้างหน้าอีกสเต็ป และดูเหมือนว่าจะไม่แผ่วลงมาง่ายๆ ใครที่ชอบหนังตื่นเต้น บีบหัวใจ น่าตีตั๋วขึ้นไปคลั่งกันบนเที่ยวบินไฟลต์นี้มากๆปล. หนังเข้าฉายในระบบ 4DX ด้วย และดูเหมือนว่าจะมีหลายฉากที่ออกแบบมาเพื่อระบบนี้ โดยเฉพาะ ยิ่งฉากที่ระทึกที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินทั้งหมด ระบบ 4DX ช่วยเพิ่มอรรถรสได้อย่างมาก จนบางจุดให้อารมณ์คล้ายกับนั่งเครื่องบินจริงๆ ที่กำลังประสบปัญหาเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับหนังหลายๆเรื่องก่อนหน้านี้ที่ฉายในระบบนี้ Emergency Declaration ถือว่ามีเอฟเฟคที่แรงทีเดียว อาจจะไม่ได้ถี่ตลอดเวลา แต่เมื่อไหร่ที่เอฟเฟคมาก ถึงขั้นตอนจับตรงที่กั้นระหว่างเก้าอี้เลยทีเดียวชมตัวอย่าง Emergency Declaration ไฟลต์คลั่ง ฝ่านรกชีวะภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

album

0
0.8
1