สิ่งที่บ้าบิ่นยิ่งกว่าตัวละคร ‘โจ๊กเกอร์’ ในหนัง เห็นจะเป็นไอเดียของผู้กำกับ Todd Phillips และพระเอกอย่าง Joaquin Pheonix ที่อยากให้ภาคต่อของ Joker เป็นหนังในแนว ‘มิวสิคัล’ แต่คนที่บ้ายิ่งกว่าเห็นจะเป็นสตูดิโอเจ้าของหนังอย่าง Warner Bros. ที่ตัดสินใจอนุมัติ แม้ว่า ‘มิวสิคัล’ จะกลายเป็นของขายยากในยุคหลัง เพราะความล้มเหลวติดต่อกันของหนังแนวนี้ อย่าง West Side Story, In The Height และ Cats ที่ทำรายได้ไม่ถึงเป้า ทำให้แม้แต่Universal ที่กำลังจะมี Wicked ฉายในเดือนหน้า ตัดสินใจโปรโมตเอนไปทางหนังแฟนตาซีมากกว่าหนังขายเสียงเพลง แต่เพราะฐานแฟนของหนัง Joker ภาคแรกที่กวาดรายได้เกินคาดจนทะลุหลัก 1 พันล้านเหรียญฯ ทำให้ Warner Bros. ยอมเสี่ยงกับไอเดียนี้ และปล่อยให้ วาคีนและทอดด์ พาภาคต่อของ Joker ไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการ และการที่ได้ Lady Gaga มารับบทนักแสดงทำฝ่ายหญิง ยิ่งทำให้ ‘Joker : Folie a Deux’ ดูแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าไอเดียตั้งต้นจะเสี่ยงแค่ไหนก็ตาม
ภาคต่อของ Joker เน้นพาผู้ชมไปสำรวจสภาพจิตใจของ Arthur Fleck ที่ในตอนนี้เขากลายเป็นนักโทษประหารในเรือนจำ Arkham แม้ความหวังในการรอดชีวิตจะริบหลี่ แต่ก็มีทนายความที่พยายามจะหาแง่มุมเพื่อช่วยให้การอุทธรณ์เกิดขึ้น โดยอ้างว่า โจ๊กเกอร์ เป็นอีกบุคลิกที่เกิดจากอาการป่วย ในขณะที่อาเธอร์กำลังเตรียมตัวเพื่อขึ้นศาล เขาก็ไปพบรักของ ‘ลี’ หรือชื่อเต็มๆคือ Harley Quinn ตัวละครที่แฟนคอมมิครู้จักกันดีในฐานะคู่รักตลอดกาลของโจ๊กเกอร์ ซึ่งในเรื่องนี้ ถ่ายทอดโดย เลดี้กาก้า เธอคือผู้หญิงที่รักและเข้าใจอาเธอร์ในแบบที่เขาเป็น และพยายามทำทุกทางเพื่อให้ทั้งคู่ออกจากเรือนจำ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่กดดัน พวกเขาต่างมีความสุขในจินตนาการ จนกลายมาเป็นฉากมิวสิคัลอันมากมายในหนังเรื่องนี้
อย่างที่เกริ่นไปว่า ต้องยกย่องวอร์เนอร์ ผู้กำกับทอดด์ และวาคีน ที่บ้าบิ่นพอจะพาหนังมาทางนี้ หลังจากภาคแรกที่ค่อนข้างไม่ประนีประนอมกับคนดูอยู่แล้ว ด้วยจังหวะการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างช้า บวกกับบรรยากาศสุดตึงเครียดของหนัง มาภาคนี้ พวกเขายิ่งใส่องค์ประกอบที่ยากขึ้นเข้าไปอีก ด้วยฉากมิวสิคัลที่ต้องยอมรับว่า ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นแฟนละครเพลง และฉากสไตล์คอร์ตรูมดราม่า (หรือหนังที่เล่าถึงการไต่สวนในศาล) ที่ต้องอาศัยสมาธิในการโฟกัสกับเรื่องราวอย่างมาก พอทั้งหมดผสมรวมกัน ‘Joker : Folie a Deux’ จึงกลายเป็นหนังจากคอมมิคที่แทบไม่ง้อคนดูเลย เพราะผู้สร้างต้องการจะสร้างออกมาแบบนี้ ไม่ว่ามันจะเฟรนด์ลี่กับคนดูหรือไม่ โดยเฉพาะแฟนหนังซูเปอร์ฮีโร่ ที่หลายครั้งต้องการเสพอะไรที่ย่อยง่าย ในสไตล์ที่หนังมาร์เวลชอบทำ สิ่งที่ผู้เขียนชอบในหนังเรื่องนี้ จึงเป็นการชอบในความกล้าของผู้สร้าง แต่ต้องยอมรับว่า ผลลัพธ์ที่ออกมานั้น ค่อนข้างมีพาร์ทที่ทั้งชอบและไม่ชอบอย่างชัดเจน
แน่นอนว่าสิ่งที่หลายคนน่าจะเห็นตรงกัน คือ รสนิยมในงานโปรดักชั่นที่ Joker : Folie a Deux เป็นหนังที่ออกแบบงานสร้างสวยและดูแพง การถ่ายทำดูเป็นหนังมีเกรด ยิ่งเวลาดูบนจอใหญ่ๆอย่าง IMAX ยิ่งทำให้หนังดูอลังการ และอีกอย่างที่ดีงามเช่นเดิมคือการแสดงของ วาคีน ที่ยังคงลึกล้ำ แปลกประหลาดจนคาดเดาไม่ได้ ซึ่งเขาสามารถเข้าคู่กับ Lady Gaga ได้อย่างดี กาก้าคือตัวเลือกสำหรับบท ฮาร์ลี่ ควินน์ ในแบบมิวสิคัลที่เพอร์เฟคมากๆ ด้วยอิมเมจของเธอในฐานะนักร้องที่แตกต่างอยู่แล้ว พอมารับบทนี้ยิ่งเสริมให้เข้ากับบทไปอีก แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ เวลาบนจอของกาก้า ค่อนข้างน้อยไปนิดในฐานะนักแสดงนำ เชื่อว่าเมื่อดูจบหลายคนจะกระหายกาก้ามากขึ้น เพราะเธอทำได้ดีจริงๆในบทนี้ และฉากมิวสิคัลที่สามารถสะกดอารมณ์ได้ทุกรอบ ไม่มีซีนไหนที่สามารถกังขาเธอได้
ปัญหาอย่างชัดเจนของ ‘Joker : Folie a Deux’ คืออารมณ์ร่วมสำหรับฉากมิวสิคัล และจำนวนที่อาจมากเกินไป จนหลายคนบ่นตรงกันว่ากระทบกับเนื้อเรื่อง หลายฉากมิวสิคัลนั้น คือ ฉากที่พยายามให้ผู้ชมได้เข้าใจถึงตัวละครโจ๊กเกอร์มากขึ้น แต่น่าเสียดายที่มันไม่บรรลุผลเท่าไรนัก แม้ว่าทอดด์และวาคีนจะกระหายอยากทำสิ่งนี้ แต่ต้องยอมรับว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่ถนัดด้านนี้เอาเสียเลย แม้องค์ประกอบความเป็นมิวสิคัลมันจะครบถ้วน แต่กลับสร้างอารมณ์ร่วมได้ไม่ดีนัก ขาดความแม่นยำในการเล่นกับอารมณ์คนดู แล้วพอหนังใช้การเล่าแบบมิวสิคัลเยอะเข้า ทำให้เส้นเรื่องของหนังภาคนี้ ก็ไม่ค่อยไปไหนเสียที ซึ่งปกติหนังก็แทบจะเดินเรื่องช้าอยู่แล้ว กลายเป็นเพซซิ่งสำหรับภาคนี้ที่ยาวถึง 2:20 ชั่วโมง เข้าขั้นยาวจนต้องหันมาดูนาฬิกาหลายรอบ ซึ่งผู้เขียนคงไม่สามารถตัดสินแทนทุกคนได้ ว่าคุณจะเอ็นจอยกับ Joker ภาคนี้หรือไม่ มันคือความท้าทาย ที่อาจจะต้องหาเวลาไปลองพิสูจน์ด้วยตัวเอง