[REVIEW] “The Green Knight” หนังผจญภัยที่งดงามดั่งภาพวาดและบทกวี | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “The Green Knight” หนังผจญภัยที่งดงามดั่งภาพวาดและบทกวี | GOSSIP GUN

09 พ.ย. 2021

ขึ้นแท่นหนึ่งในหนังยอดเยี่ยมแห่งปีไปแล้วสำหรับ The Green Knight ผลงานล่าสุดของค่ายหนัง A24 ที่ยังคงสานต่อสร้างหนังคุณภาพและท้าทายผู้ชมออกมาอย่างไม่หยุด ล่าสุดคือการหยิบเอาบทกวีโบราณ (ซึ่งไม่ทราบด้วยว่าใครแต่ง) นำมาตีความใหม่ในรูปแบบภาพยนตร์ โดยได้ผู้กำกับคนคุ้นเคยของทางค่ายอย่าง เดวิด โลวอรี่ จาก A Ghost Story มาทำหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์รวมถึงกำกับ เล่าเรื่องราววีรกรรมความหาญกล้าของกาเวน หลานชายของกษัตริย์อาเธอร์ผู้ยังไม่เคยมีตำนานใด เฉกเช่นคุณอาหรือเหล่าอัศวินโต๊ะกลม นี่จึงเป็นตำนานบทแรกของชายผู้นี้ในฐานะอัศวิน ที่กำลังจะถูกเล่าขานในรูปแบบภาพยนตร์

The Green Knight เปิดเรื่องราวในยุคสมัยของคิงอาเธอร์ ในวันคริสต์มาส โดยมีตัวละครศูนย์กลางเรื่องคือ กาเวน (รับบทโดย เดฟ พาเทล) ชายผู้ใช้ชีวิตอย่างเสเพลและยังไม่เคยมีบทพิสูจน์ความหาญกล้าของตัวเขาเอง แต่โอกาสดังกล่าวก็ได้มาถึง เมื่อในค่ำคืนดังกล่าว "อัศวินมรกต" นักรบปริศนาในร่างสีเขียวยักษ์คล้ายอสูรได้ปรากฏตัวขึ้นในพระราชวังของคิงอาเธอร์ พร้อมเอ่ยคำท้า ให้ผู้กล้าคนใดก็ได้ ใช้ดาบบั่นคอเขาเสีย ปรากฏว่า กาเวน ขออาสารับคำท้า เขาได้บั่นคออัศวินมรกต แต่กลับเป็นที่ตกใจเพราะแม้คอจะขาด แต่อัศวินมรกตก็ไม่ได้เสียชีวิต พร้อมกับเอ่ยคำว่า อีก 1 ปีหลังจากนี้ ให้กาเวนเดินทางไปยังวิหารมรกต เพื่อเป็นฝ่ายถูกบั่นคอบ้าง และเพื่อพิสูจน์ความกล้าหาญ กาเวนจึงรักษาสัญญาต้องออกเดินทาง เผชิญกับทั้งโจร ภูติวิญญาณ และยักษ์ เพื่อมุ่งหน้าสู่วิหารมรกต โดยมีชีวิตของเขาเป็นเดิมพัน

แม้จะมีชื่อของ คิงอาเธอร์เข้ามาเกี่ยวข้อง และหน้าหนังจะเป็นหนังอัศวิน แต่ The Green Knight คือหนังอัศวินที่ไม่เหมือนใคร (และไม่ค่อยมีใครเหมือน) ด้วยแบรนด์ดิ้งปะหน้าอย่าง A24 จึงไม่แปลกใจเลยที่หนังจะมีความประณีตใตแง่ของงานสร้าง และแฝงไปด้วยแง่คิด รวมถึงการตีความในเส้นเรื่อง อารมณ์โดยรวมระหว่างดู The Green Knight เป็นความรู้สึกที่หลากหลาย แน่นอนว่าหนังเต็มไปด้วยความงดงาม ทั้งงานวิชวลที่แสดงออกมา ภาพที่ปรากฏบนจอ แต่ในขณะเดียวกันกลับชวนหลอนด้วยบรรยากาศของหนังที่ใส่ความดาร์กเข้ามาในโลกแฟนตาซีที่กาเวนต้องเผชิญ ทำให้ The Green Knight เป็นหนังที่เอกลักษณ์เฉพาะตัวค่อนข้างมาก (และไปในทางที่ดีมากๆด้วย)

แน่นอนว่าด้วยชื่อของ เดวิด โลเวอรี่ และค่าย A24 อาจจะทำให้ผู้ชมวงกว้างสะดุดว่า The Green Knight จะเล่าเรื่องชวนเหวอคล้ายผลงานชิ้นก่อนๆของพวกเขาหรือไม่ แต่กลับพบว่า The Green Knight ร้อยเรียงการเล่าเรื่องราวได้อย่างงดงาม ไหลลื่น และไม่ได้ต้องพยายามปีนบันไดดูมากเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าหลายฉากอาจทำให้ผู้ชมต้องครุ่นคิดตามถึงความหมายที่ผู้สร้างพยายามจะสื่อ แต่ในแง่เส้นเรื่องหลัก ขอใช้คำง่ายๆว่า ดูรู้เรื่องอย่างแน่นอน และผู้สร้างได้แฝง Message ไว้ในหลายระดับด้วยกัน เริ่มจากระดับบนสุดที่ไม่ต้องตีความก็เข้าใจได้ว่า The Green Knight พยายามจะสื่อถึงอะไร ด้วยการที่ตัวละครบอกเล่าประโยคเหล่านั้น ไปจนถึงระดับที่ต้องตีความ และเชิงสัญญะที่แฝงมาตลอดทั้งเรื่อง หลายฉากและหลายตัวละคร ทำให้หนังสามารถเข้าถึงผู้ชมได้ทั้งกลุ่มที่ดูเอาเส้นเรื่องหลัก และต้องการดูเพื่อวิเคราะห์ก็มีอะไรให้คิดตาม

นอกจากการเล่าเรื่องอย่างลื่นไหล สิ่งที่ขับเคลื่อนให้ The Green Knight ขึ้นแท่นหนังที่สมบูรณ์คืองานโปรดักชั่นเริ่มจากงานภาพ แต่ละซีนที่ปรากฏบนจอหนังสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า "งดงาม" ตลอดการผจญภัย เส้นทางของกาเวน เต็มไปด้วยฉากที่ทั้งสวย ชวนตื่นตา และวิชวลล้ำเลิศ แบบที่เราแทบจะไม่ได้เห็นในหนังแฟนตาซีหรือหนังอัศวินเรื่องไหนๆ เป็นงานศิลปะที่ควรค่าแต่การชมบนจอขนาดใหญ่อย่างแท้จริง หลายฉากที่สามารถพูดได้ว่าสวยจนแทบหยุดหายใจ รวมทั้งยังสื่ออารมณ์ของแต่ละฉากได้ดี ผสานกับดนตรีประกอบที่สื่ออารมณ์ได้อย่างพอเหมาะ The Green Knight คือหนังที่งานสร้างระดับมาสเตอร์พีซสมคำร่ำลือ

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งให้ The Green Knight ขึ้นแท่นหนังคุณภาพคือ ฝีมือการแสดงของเหล่านักแสดง แน่นอนว่าไฮไลต์หลักสุดคือ เดฟ พาเทล ที่เขาถ่ายทอดบทบาทกาเวนได้อย่างสมบูรณ์แบบ จากเด็กหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์ รวบรวมความกล้าออกเดินทางเพื่อค้นหาเกียรติแห่งอัศวินในแบบของเขา เราจะค่อยๆเห็นถึงพัฒนาการของตัวละครนี้ ซึ่งเดฟถ่ายทอดออกมาได้ลงตัว เราเชื่ออย่างเต็มอกว่าเขาคือกาเวน ระหว่างดูไม่มีภาพอื่นของเดฟเข้ามาแทรกในหัวได้เลย และที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันคือ อลิเซีย วิกันเดอร์ ที่โชว์เหนือด้วยการรับบท 2 ตัวละคร เริ่มจากเอวเซล คนรักของกาเวนที่วัง และเดอะเลดี้ ตัวละครหญิงผู้สูงศักดิ์ที่ปรากฏตัวในช่วงครึ่งหลัง เป็นสองตัวละครที่รูปลักษณ์คล้ายกันแต่คาแร็คเตอร์กลับต่างกันโดยสิ้นเชิง อลิเซียสร้างความแตกต่างให้ทั้งสองตัวได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ที่ขโมยซีนไปเต็มๆ คือ โจเอล เอดเจอร์ตัน ในบทท่านลอร์ด นักรบที่ปรากฏตัวช่วงหลัง แม้บทบาทของเขาจะไม่มากนัก แต่กลับเป็นตัวละครที่ทรงพลังและหนักแน่นอย่างไม่น่าเชื่อ

โดยรวม The Green Knight คือหนังแฟนตาซีผจญภัยที่ไม่เหมือนใคร ด้วยความเป็นค่าย A24 มันจึงไม่ได้เป็นหนังแอ็กชั่นสงครามบู๊ล้างผลาญ แต่มันคือหนังที่พาเราไปดูการเดินทางของกาเวน จากเด็กหนุ่มสู่อัศวินผู้กล้า ซึ่งสามารถตรึงเราได้อย่างดีเยี่ยมจากตั้งแต่จนจบ ด้วยการเล่าเรืิ่องที่ไหลลื่นดั่งบทกวี งานภาพที่ตระการตาดั่งงานศิลปะ การแสดงอันยอดเยี่ยมจากเหล่าทีมนักแสดง ทุกอย่างที่ปรากฏบนจอเล่าเป็นผลงานในระดับขึ้นหิ้ง แม้หนังพยายามจะสอดแทรกความหมายไว้มากมาย แต่ก็ไม่ทิ้งคนดูกลุ่มทั่วไป ทำให้ The Green Knight คือหนังคุณภาพเยี่ยม ที่ไม่ควรพลาดการชมในโรงภาพยนตร์

(ให้ 9.5 คะแนนจากเต็ม 10 คะแนน)


related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “Escape Room 2” เกมหนีตายจากห้องปริศนาที่ระทึกเช่นเดิม | GOSSIP GUN

15 พ.ย. 2021

[REVIEW] “Escape Room 2” เกมหนีตายจากห้องปริศนาที่ระทึกเช่นเดิม | GOSSIP GUN

ย้อนกลับไปเมื่อ2ปีก่อน โซนี่ พิคเจอร์ ได้หนังระทึกขวัญเซอร์ไพรสฮิตเรื่องใหม่มาไว้ในมือ เมื่อEscape Roomที่ทุนสร้างเพียบแค่9ล้านเหรียญฯ กลับถูกใจผู้ชมและกวาดรายได้ทั่วโลกไปถึง155ล้านเหรียญฯ ภาคต่อจึงถูกออร์เดอร์ให้สร้างทันที และเกือบจะได้ฉายเมื่อปีก่อน จนกระทั่งโควิด-19ทำให้ถูกขยับมาฉายในปีนี้ โดยหนังได้สองนักแสดงจากภาคแรกอย่าง เทย์เลอร์ รัสเซล และโลแกน มิลเลอร์ กลับมารับบทนำอีกครั้ง ทั้งคู่คือสองผู้รอดตายจากตอนจบภาคแรก และกำลังจะเจอสิ่งที่สะพรึงยิ่งกว่าเดิมในภาคใหม่นี้ หนังใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่าEscape Room : Tournament of Champion (หรือในบางประเทศ เช่นในไทย ใช้ชื่อโปรโมตว่าEscape Room : No Way Out)ไฮไลต์ของมันก็คือการ เอาผู้ชนะจากเกมEscape Roomในปีก่อนๆมาเจอกัน โดยนางเอก โซอี้ ยังค้างคาใจว่าใครอยู่เบื้องหลังเกมห้องนรกนี้กันแน่ เธอจึงตัดสินใจขับรถมายังนิวยอร์กพร้อมกับ เบน ที่รอดตายมากด้วยกันและคบหากัน โดยที่ไม่รู้เลยว่า การมีนิวยอร์กในครั้งนี้ มันคือการเดินเข้าสู่ เกมห้องนรกอีกครั้ง ที่ถูกดีไซน์มาให้โหดและระทึกยิ่งกว่าเดิม เพราะผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน เคยผ่านการเล่นเกมนี้มาแล้วโดยรวมEscape Room 2ยังคงระดับความสนุกและความระทึกได้ดีไม่แพ้ภาคแรก ฉากห้องนรก อาทิ ฉากในตู้ขบวนรถไฟ หรือฉากห้องริมหาด(ตามที่เผยในตัวอย่าง)ถูกออกแบบมาได้อย่างน่าตื่นตาและน่าติดตาม กลไกของเกมในห้องต่างๆก็ยังสนุกและชวนตื่นเต้นเช่นเดิม หลายห้องหวาดเสียวจนกระทั่งไม่กล้ามองจอเลยก็มี ดังนั้น คะแนนความครีเอทีฟในการออกแบบห้องต่างๆ ยังคงให้คะแนนสูงเช่นเดิม แต่อย่างไรก็ตามในแง่ของการเป็นหนังภาคต่อEscape Room 2มีโครงเรื่องที่คล้ายกับภาคแรก เหมือนแค่ก็อปปี้วาง เปลี่ยนแค่การออกแบบห้อง เหมือนเส้นเรื่องไม่ได้ขยับไปไหนมากนัก ซึ่งน่าเสียดายที่มันกลายเป็นภาคต่อที่แค่ต่อเวลาความสนุก แต่ไม่่ได้ขยายปมหรือคลี่คลายปมไปมากกว่าเดิมสิ่งที่อาจจะต้องนำมากล่าวถึงในการรีวิวนี้ คือการที่หนังEscape Room 2มีหลายเวอร์ชั่น โดยที่รีวิวไปนั้นเป็นTheatrical Versionที่ฉายโรงโดยมีความยาวที่88นาที แต่หนังยังมีExtended Versionเป็นเหมือนเวอร์ช่ันแรกก่อนที่ค่ายหนังจะตัดสินใจตัดต่อใหม่ให้สั้นลง ซึ่งเวอร์ชั่นที่ยาวกว่าคือ95นาที มีอีกเส้นเรื่องที่เพิ่มเข้ามา คือ ตัวละครผู้สร้างเกมห้องนรกนี้ ซึ่งมีทั้งฉากเปิดที่ไม่เหมือนเดิม รวมถึงบทสรุปที่ต่างจากเวอร์ชั่นโรงด้วย ซึ่งในBlu-RayและDVDของเมืองนอกที่วางขายแล้ว มีให้เลือกชมฉบับนี้ จึงน่าสนใจเมื่อหยิบมาเปรียบเทียบกัน แล้วพบว่าฉบับที่ยาวกว่า ดูจะทำหน้าที่ภาคต่อที่ขยายปมเรื่องที่มาของEscape Roomได้ชัดเจนมากขึ้น จึงน่าสนใจว่าทำไมโซนี่จึงตัดสินใจไม่เล่าถึงปมนี้แล้ว ในฉบับโรงท้ายที่สุดEscape Room 2ก็ยังคงเป็นหนังระทึกขวัญที่สนุกและดูเพลินแบบภาคแรก ใครที่เคยเอ็นจอยกับการหนีตายจากห้องปริศนาในภาคแรก ก็ยังคงน่าจะเพลิดเพลินไปกับหนังในภาคนี้ เพราะห้องต่างๆยังคงถูกออกแบบมาได้ตื่นเต้นและชวนติดตาม เพียงแต่ว่าหนังไม่ได้เดินหน้าในฐานะภาคต่อเท่าไหร่นัก ต้องมารอลุ้นกันว่า ถ้าภาค3ตามออกมา ผู้สร้างจะพาหนังไปในทิศทางไหน เพราะเหมือนไอเดียการเฉลยถึงผู้สร้างห้องนั้น คงจะถูกเก็บไว้ในภาคใหม่ ซึ่งอาจจะมีไอเดียที่ต่างจากตอนนี้ก็เป็นอันได้ (ให้7คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] “Red Notice” เมื่อสามซูเปอร์สตาร์ขนเสน่ห์มาประชันล้นจอ | GOSSIP GUN

18 พ.ย. 2021

[REVIEW] “Red Notice” เมื่อสามซูเปอร์สตาร์ขนเสน่ห์มาประชันล้นจอ | GOSSIP GUN

คงไม่มีอะไรเรียกแขกสำหรับหนังRed Noticeมากเท่าการที่ได้3นักแสดงแถวหน้ายุคนี้ อย่าง ดเวย์น จอห์นสัน,ไรอัน เรย์โนลด์ และกัล กาด็อต มาเจอกัน ซึ่งนั่นส่งผลให้หนังใช้ทุนสร้างไปเกือบ200ล้านเหรียญฯ และลือกันว่าเกือบ60ล้านเหรียญฯ คือการจ้าง3นักแสดงนำ ส่งผลให้Red Noticeกลายเป็นหนังทุนสร้างสูงสุดตลอดกาลของสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่Netflixไปโดยปริยาย(จากเดิมโปรเจกต์นี้ ก่อร่างสร้างตัวที่ ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ และมีแพลนจะฉายโรง ก่อนย้ายค่ายมาอยู่ที่Netflix)หนังเป็นผลงานล่าสุดของ รอว์สัน มาร์แชลล์ เทอร์เบอร์ ผู้กำกับที่ร่วมงานกับ ดเวย์น จอห์นสัน มาแล้วในCentral IntelligenceและSkyscraperจนเข้าขากันดี และชักชวนกันมาจับโปรเจกต์ใหม่นี้ดเวย์น จอห์นสัน รับบทเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ที่ชำนาญด้านอาชญากรรมผลงานศิลปะเป็นพิเศษ คนร้ายที่เขากำลังไล่จับเป็นหลักคือ โนแลน อาชญากรสุดพริ้วที่รับบทโดย ไรอัน เรย์โนลด์ แต่ด้วยความผิดพลาดบางประการ พระเอกของเราถูกเข้าใจผิดว่าร่วมมือกับคนร้าย เขาจึงถูกจับติดคุกไปพร้อมกับ โนแลน และทางเดียวที่จะล้างมลทินให้กับเขาได้ คือการจับ เดอะบิชชอป(รับบทโดย กัล กาด็อต)อาชญากรมือหนึ่งของโลก ที่เป็นคนป้ายสีเขา และทางเดียวที่เขาจะแหกคุกและไปจับเธอได้นั้น ก็คือการต้องขอร้องให้ โนแลน ช่วยเหลือเขาRed Noticeเลยกลายเป็นเหมือนหนังคู่หู ตำรวจกับโจร ที่ต้องร่วมมือกันไปจับคนร้ายที่ถูกหมายหัวเบอร์หนึ่งของโลกRed Noticeถือเป็นหนังบันเทิงที่ดูสนุกระหว่างทาง แต่ความน่าเสียดายของมันคือ จบแล้วก็จบกัน ไม่ได้เป็นที่น่าจดจำอะไร อาจจะเพราะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ หรือภาพจำที่ชัดเจนนัก แม้แต่นักแสดงนำอย่าง ดเวย์น จอห์นสัน และไรอัน เรย์โนลด์ เขาก็เล่นเหมือนบทเดิมที่เล่นมาทุกเรื่อง จอห์นสันก็เหมือนตัวเองในJumanji (แถมหนังมีฉากเขาใส่เสื้อลุยป่า ดูยิ่งเหมือนเข้าไปอีก)ส่วน เรย์โนลด์ ก็เหมือนหลุดออกมาจากDeadpoolหรือThe Hitman's Bodyguardที่พ่นมุกกวนประสาทตลอดเวลา ถามว่า หนังสนุกหรือไม่ ตอบได้ทันทีว่าสนุก เคมีระหว่าง ดเวย์นและไรอัน รับส่งบทกันได้ดี ลงตัวมาก แต่ปัญหาคือ มันไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ไปมากกว่านั้น ท้ายที่สุดทั้งสองก็เล่นบทที่เหมือนเล่นกันมาทุกเรื่องคนที่อาจจะดูแตกต่างสุดคือ กัล กาด็อต ที่พลิกมารับบทกึ่งร้ายนิดๆ ดูมีเสน่ห์ดึงดูดมากเลยทีเดียว เธอดูผ่อนคลายมากกว่าบทบาทในหนังอย่างWonder WomanหรือในตระกูลFast Furiousและเมื่อทั้ง3คนมารวมกัน ต้องยอมรับเลยว่าพลังดารา ส่งผลดีกับหนังเรื่องนี้จริงๆ ด้วยพล็อตที่อาจจะไม่ได้แปลกใหม่ ฉากแอ็กชันที่เห็นได้ทั่วไปในหนังหลายๆเรื่อง กลายเป็นเสน่ห์ของทั้ง3นักแสดงนำ คือสิ่งที่ดึงดูดจริงๆ ให้เราอยากดู ให้เราอยากติดตามจนจบ เพราะตัวบทเองก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่เท่าไหร่นัก มันมีกลิ่นอายเหมือนหนังแนวตำรวจคู่หู ที่ต่างกันสุดขั้ว แต่ต้องมาร่วมมือกันมากกว่าเมื่อกล่าวถึงความไม่สดใหม่ เชื่อว่าหลายๆฉาก อาจทำให้ผู้ชมนึกถึงหนังหลายๆเรื่องRed Noticeมีกลิ่นอายความเป็นหนังBuddy Copผสมผสานกับหนังปล้นมากมายที่ดูได้ทั่วไป แถมช่วงหลังๆแอบคล้ายไปทางIndiana Joneเสียอีก(แถมไรอัน เรย์โนลด์ ยังฮัมเพลงธีมของอินเดียน่า โจนส์ ซะอย่างงั้น เหมือนแซวตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว)จึงน่าเสียดายที่หนังแอบหาเอกลักษณ์จากโครงเรื่อง จากธีม หรือจากพล็อตไม่ได้เท่าไหร่ กลายเป็นภาพจำ คือหนังที่3นักแสดงนำมาเจอกันแค่นั้นเองอย่างไรก็ตามRed Noticeก็ถือว่าเป็นหนังบันเทิงที่ดูได้เพลินๆในวันหยุด มันคือหนังแอ็กชั่นเบาสมอง ที่มาพร้อมฉากแอ็กชันที่สนุกหลายฉาก มุกตลกที่ค่อนข้างเวิร์กใช้ได้ เคมีนักแสดงที่เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ใครที่เคยชอบหนังบันเทิงสไตล์ เดอะร็อก หนังเบาสมองแอ็กชั่นนิดๆตามสไตล์ ไรอัน เรย์โนลด์ ที่เป็นการผสมผสานของหนังอารมณ์ประมาณนั้น ถ้าไม่คาดหวังอะไรมาก ก็สามารถเปิดดูได้เลยทางNetflixแต่ถ้าต้องไปซื้อตั๋วดู ก็อาจจะแอบผิดหวังนิดๆ ที่มันไม่ได้ทำให้เราจดจำอะไรเมื่อออกจากโรง (ให้7คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] “Halloween Kills” ภาคขัดตาทัพของแฟรนไชส์หนังสยองคลาสสิก | GOSSIP GUN

26 พ.ย. 2021

[REVIEW] “Halloween Kills” ภาคขัดตาทัพของแฟรนไชส์หนังสยองคลาสสิก | GOSSIP GUN

ใครจะคิดว่าแฟรนไชส์หนังสยองขวัญที่อายุมากกว่า40ปีอย่างHalloweenจะกลับมาได้รับความนิยมอย่างมากอีกครั้ง ต้องขอบคุณการชุบชีวิตในหนังฉบับปี2018ที่นอกจากจะดึง เจมีี่ ลี เคอร์ติส นางเอกจากหนังภาคแรกกลับมาคืนจอแล้ว ต้องขอบคุณองค์ประกอบต่างๆที่นอกจากจะชวนให้นึกถึงหนังต้นกำเนิดแล้ว ยังชวนระทึกในยุคสมัยนี้ ทำให้ผู้สร้างตัดสินใจทำภาคต่ออีกพร้อมๆกันถึง2ภาคอย่างHalloween KillsและHalloween Endsเพื่อเล่าถึงการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของ ลอรี่ นางเอกของเรื่องที่แค้นจากการถูกไล่ฆ่าโดย ไมเคิล เมเยอร์ ฆาตกรโรคจิตในหน้ากากฮอกกี้ในตำนาน ซึ่งหนังภาคต่อเรื่องแรก อันที่จริงต้องเข้าฉายตั้งแต่ฮาโลวีนปีก่อน แต่ก็เลื่อนมาฮาโลวีนปีนี้เพราะโควิด-19Halloween Killsคือภาคต่อที่เล่าเรื่องราวต่อทันทีหลังจากที่Halloweenฉบับปี2018ดำเนินเรื่องจบ(ดังนั้นอาจจำเป็นที่ต้องดูภาคที่แล้วมาก่อน)เหตุการณ์ภาคนี้เริ่มต้นขึ้น เมื่อ ลอรี่ รวมถึงลูกสาวและหลานสาวของเธอ ได้เผาบ้านและขัง ไมเคิล เมเยอร์ ไว้ในห้องใต้ดิน เพื่อหวังจะจบฝันร้ายเรื่องนี้เสียที แต่แล้ว ไมเคิล ก็กลับหลุดรอดก็มาได้(เช่นเดียวกับทุกครั้ง)แต่ฝันร้ายครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การต่อสู้ของ3สาวจากรุ่นต่างๆในตระกูลสโตรดอีกต่อไป เมื่อเหยื่อหลายคนในอดีต พากันลุกฮือ ปลุกปั่นให้ชาวเมืองลุกขึ้นสู้กับไมเคิล ในขณะที่เขากำลังออกไล่ล่าเหยื่อรายใหม่ ในค่ำคืนเดียวกัน ชาวเมืองก็ออกไล่ล่าไมเคิลเช่นกัน แล้วการต่อสู้ครั้งนี้จะจบลงอย่างไร?ความน่าสนใจในหนังHalloween Killsนอกจากจะสานต่อความสยองจากภาคที่แล้วแล้ว สิ่งที่ชอบมากๆคือการพาเราย้อนกลับไปยังปี1978อีกครั้ง หลายฉากที่พาผู้ชมกลับไปเล่าถึงต้นกำเนิดของเหตุการณ์สยอง พาผู้ชมกลับไปเยือนฝันแรกช่วงแรกๆของชาวเมือง ซึ่งเพื่อให้แตกต่างจากเวลาปัจจุบัน ตัวภาพในหนังเองก็มีสีหม่นๆ มีความเก่าแบบเดียวกับหนังปลายยุค70sซึ่งดูมีเสน่ห์มาก แล้วพอเชื่อมมายังฉากในปัจจุบัน แต่ตัวเพลงธีม บรรยากาศยังคงเดิม ก็เหมือนการเล่าว่า ความสะพรึงตลอดเวลา40ปีที่ผ่านมา ยังคงไม่ไปไหน มันยังคงวนเวียนเป็นฝันร้ายที่หลอกหลอนอยู่ รวมถึงฉากไล่ฆ่าของ ไมเคิล เมเยอร์ ในภาคนี้ก็ยังทำออกมาได้ตื่นเต้น และโหดถึงใจผู้ชมเช่นเดิมมาถึงปัญหาหลักของHalloweenในภาคนี้ ซึ่งประการแรกอาจเป็นปัญหาด้านโครงสร้าง เพราะเมื่อผู้สร้างตัดสินใจจะมี2ภาคไปพร้อมๆกัน มันจึงถูกวางโครงเรื่องไว้แล้วว่าจะมีภาคต่อไป ดังนัน้ เราจึงรู้บทสรุปว่า อย่างไรก็ตามทั้งลอรี่ นางเอกตัวหลัก และไมเคิล เมเยอร์ สองตัวละครนี้ไม่มีวันตายในภาคนี้อย่างแน่นอน ความลุ้นในหลายๆฉากมันก็ลดลงไปโดยปริยาย รวมถึงตัวละครลอรี่ ในภาคนี้แทบจะถอยหลังไปเป็นตัวประกอบ เพราะต้องรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บในภาคก่อน แม้จะเปิดทางให้หลายตัวละครแวดล้อมได้มีบทบาทขึ้น แต่เอกลักษณ์ของความเป็นHalloweenที่ทำให้ภาคก่อนประสบความสำเร็จก็หายไป เพราะสิ่งที่แฟนๆต้องการจริงๆ ก็คือการปะทะกันของ ลอรี่ และไมเคิล นั่นเองอีกหนึ่งปัญหาที่เห็นชัดมากๆในHalloween Killsคืออารมณ์ร่วมที่ผู้ชมจะได้มีต่อ ถ้าคนดูจะอิน พวกเราจะต้องเอาใจช่วยตัวละครต่างๆ แต่หนังกลับเขียนบทให้ตัวละครส่วนใหญ่ไม่เสียสติและก็ทำอะไรขาดสติอยู่ประจำ เหมือนสร้างคนที่อ่อนแอมากๆมา เพื่อให้ ไมเคิลดูแข็งแรงมากๆ ซึ่งมันดูจงใจเกินไป เหยื่อแวดล้อมตายอย่างง่ายตายตลอดทั้งเรื่อง จนระหว่างทางแทบจะไม่อยากเชียร์ตัวละครไหนเลย เพราะรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวพวกเขาก็จะตาย และไม่ได้ตายแบบยากเย็นด้วย เป็นการตายที่ไมเคิล น่าจะสังหารตัวละครเหล่านี้อย่างไม่ยากนัก ซึ่งพอรู้สึกแบบนี้ไปแล้ว ก็พาลให้หนังหมดสนุกไปด้วย ต่อจากการสู้กันของ ลอรี่และไมเคิล ที่คนดูรู้สึกเสมอว่า คู่นี้สูสี ทำให้ทุกครั้งที่ดูHalloweenมันถึงลุ้น ถึงมันขึ้นมาได้โดยรวมHalloween Killsถือเป็นหนังภาคบังคับสำหรับแฟนๆหนังสยองขวัญ ที่อย่างไรก็ตามก็น่าจะต้องดู แต่ผลลัพภ์กลับออกมาได้ถูกใจแบบภาคก่อน ซึ่งน่าเสียดายเบาๆ เพราะหนังฉบับปี2018เป็นการคืนชีพแฟรนไชส์ได้อย่างงดงามมากๆ แต่กลับมากราฟตกในภาคนี้ เหลือเพียงแค่ภาคจบอย่างHalloween Endsที่เราจะได้ชมกันฮาโลวีนปีหน้าเท่านั้นแล้ว ที่คงต้องรอลุ้นกันว่า มันจะอวสานได้อย่างงดงามหรือไม่ หรือเป็นการจบของHalloweenตลอด40กว่าปีที่น่าผิดหวัง (ให้5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] “West Side Story” มาสเตอร์พีซเรื่องใหม่ของ สปีลเบิร์ก | GOSSIP GUN

09 ธ.ค. 2021

[REVIEW] “West Side Story” มาสเตอร์พีซเรื่องใหม่ของ สปีลเบิร์ก | GOSSIP GUN

หนังที่ได้ขึ้นชื่อว่า"คลาสสิก"คือสิ่งที่ไม่ควรแตะต้อง เพราะมันถูกยกย่องในฐานะหนังที่ยอดเยี่ยมและมีคุณค่าเหนือกาลเวลา หลายครั้งที่มีคนกล้าหยิบหนังคลาสสิกมาทำไม แล้วเหมือนฆ่าตัวตาย เพราะออกมาพังพินาศ อย่างเคสล่าสุดที่เห็นชัดเจน คือความพยายามรีเมกBen-Hurหนังที่เคยได้ออสการ์มากที่สุดตลอดกาล ผลลัพธ์คือโดนด่ายับ แต่ความท้าทายล่าสุดเกิดขึ้นกับ พ่อมดแห่งฮอลลีวูด อย่าง สตีเว่น สปีลเบิร์ก ที่เขาเหลือหยิบเอาWest Side Storyมาทำใหม่ ทั้งๆที่หนังต้นฉบับเมื่อปี1961คว้ามาได้ถึง10รางวัลออสการ์ รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม กลายเป็นอีกหนึ่งหนังเพลงที่อมตะตลอดกาล การสร้างใหม่ในครั้งนี้ จึงถูกจับตามองเป็นอย่างมาก ว่าผลที่ออกมาจะเป็นเช่นไรอันที่จริงแล้ว ต้นกำเนิดของWest Side Storyคือละครเพลงบรอดเวย์เมื่อปี1957ที่ได้รับความนิยมล้นหลาม ก่อนที่จะถูกนำมาดัดแปลงเป็นฉบับหนัง ซึ่งต้นเรื่องของมันก็คือRomeo Julietของวิลเลี่ยม เช็คสเปียร์ ที่หยิบเอามาปรับให้เข้ากับยุคสมัยนั้น เป็นความรักของหนุ่มสาวที่อยู่ต่างแก๊งกันในนิวยอร์กยุค50พอสปีลเบิร์กเอาเรื่องใหม่มาถ่ายทอดด้วยวิสัยทัศน์ใหม่ ก็ยังคงเรื่องราวให้เกิดขึ้นในยุคนั้น หนังเล่าถึง โทนี่(รับบทโดย แอนเซล เอวกอร์ต จากThe Fault in Our StarsและBaby Driver)ชายหนุ่มจากแก๊งเจ็ตส์ ที่เพิ่งพ้นโทษจากคุกมาหมาดๆ เขาตั้งใจจะเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่มีเรื่องราวทะเลาะวิวาทกับใคร และได้มาตกหลุมรักกับ มาเรีย(รับบทโดย ราเชล เซคเกอร์ ในผลงานหนังเรื่องแรก)หญิงสาวที่เขาพบว่ามาจากแก๊งศัตรูคู่อริ ที่มีพี่ชายเป็นหัวหน้าแก๊ง เรื่องราวความรักของทั้งสอง จึงได้ดำเนินไป คู่ขนานกับปัญหาความตึงเครียดระหว่างแก๊งที่ค่อยๆยกระดับความรุนแรงมากขึ้นเรื่องๆ รวมถึงพวกเขายังถูกจับตามองโดยตำรวจที่พร้อมจับกุมตลอดเวลา ความรักของ โทนี่และมาเรีย จะสมหวังหรือไม่ ต้องไปติดตามกัน!สำหรับผู้เขียน หนึ่งในคุณสมบัติของหนังดี ที่หนังที่หยุดเวลาของผู้ชมเอาไว้ ทำให้ผู้ชมเหมือนหลุดเข้าไปในโลกของภาพยนตร์ที่ผู้กำกับสร้างขึ้นมา ซึ่งWest Side Storyทำได้เช่นนั้น เพียงแค่ฉากแรก ก็เหมือนเราเข้าไปยังนิวยอร์กยุค50ในแบบที่ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เนรมิตไว้ และตรึงเราไว้ได้อย่างดี แม้หนังจะมีความยาวถึง2ชั่วโมง40นาทีก็ตาม แต่ทุกองค์ประกอบของหนัง ทั้งเนื้อเรื่อง บทเพลง ฉากๆ เหมือนสะกดเราเอาไว้ ซึ่งWest Side Storyในฉบับปี2021เหมือนเป็นส่วนผสมที่มีทั้งกลิ่นอายของความอมตะแบบก่อนๆ บวกกับความทันสมัย ที่ดูแล้วลงตัวกลมกล่อม เหมือนหนังเรื่องนี้อยู่เหนือกาลเวลา แม้จะเล่าเรื่องที่ย้อนยุค แต่กลับดูเข้ากับยุคสมัยเป็นอย่างมากหัวใจหลักของWest Side Storyคงหนีไม่พ้น บทเพลง ท้วงทำนอง และการออกแบบท่าเต้น ที่ยังคงหยิบเอาจากต้นฉบับ มาปรับใหม่ให้ลงตัวมากยิ่งขึ้น หนังฉบับนี้ไม่ใช่แค่การรีเมก แต่เป็นเหมือนการปรับเปลี่ยน อะไรที่ไม่ดีก็ปรับให้มันดี อะไรที่ดีแล้วก็ทำให้ดีชัดเจนขึ้นไปอีก บทเพลงต่างๆถูกถ่ายทอดในจังหวะที่เหมาะสม ด้วยน้ำเสียงและอารมณ์ของนักแสดง(ที่จะกล่าวถึงในย่อหน้าถัดไป)บวกกับการออกแบบท่าเต้น ที่ชวนตื่นตาในทุกจังหวะ เจอมุมกล้องแต่ละกันที่ทั้งสวยและเสริมฉากนั้นๆเข้าไปอีก หลายจังหวะเหมือนเรานั่งอยู่ในโรงละครจริงๆ แทบไม่เหมือนเรานั่งในโรงภาพยนตร์เลยบุคคลที่โดดเด่นที่สุดของWest Side Storyคงหนีไม่พ้น ราเชล เซคเกอร์ นางเอกของเรื่องในบทมาเรีย ใครจะคิดว่านี่เป็นเพียงผลงานหนังใหญ่เรื่องแรกของเธอเท่านั้น(ซึ่งตอนนี้เธอจะได้เล่นเป็น เจ้าหญิงในSnow Whiteฉบับใหม่ที่ กัล กาด็อต เป็นแม่มดใจร้าย)ตั้งแต่วินาทีแรกที่ปรากฏตัว เธอสะกดสายตามาก และเมื่อยิ่งเปล่งเสียงออกมา มันคมกริบบาดหูบาดใจยิ่งนัก และเมื่อเธอแวดล้อมด้วยทีมนักแสดงสมทบที่ล้วนเป็นตัวจี๊ดของบรอดเวย์ มันยิ่งไปกันใหญ่ อีกคนที่เซอร์ไพรสทีเดียว คือ แอนเซล เอลกอร์ต พระเอกของเรื่องที่เราอาจจะไม่ค่อยเห็นเขาในมุมมิวสิคัล ก็ถ่ายทอดน้ำเสียง สีหน้า แววตา ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม แต่ที่สุดจริงๆต้องยกให้ ริต้า โมเรโน่ หนึ่งในนักแสดงจากWest Side Storyฉบับปี1961ที่กลับมาในเวอร์ชั่นนี้ในอีกบทที่สำคัญ และมีซีนเด็ดที่เธอทำได้ยอดเยี่ยมอีกด้วยตลอดชีวิตการทำงานเกือบ50ปี ไม่มีใครกังขาความสามารถของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เขามีผลงานระดับมาสเตอร์พีซมากมายทุกยุคสมัย ทั้งJaws, Raiders of the Lost Ark, Jurassic Park, Schinder's ListและSaving Private Ryanนี่คืออีกครั้งที่ สปีลเบิร์ก สร้างผลงานมาสเตอร์พีซชิ้นใหม่ และไม่น่าเชื่อว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำหนังมิวสิคัลด้วย สปีลเบิร์กเหมือนทำมันด้วยใจและหยิบเอาทุกศาสตร์ในการสร้างหนังมาใช้ ได้อย่างลงตัว ทำให้ทุกองค์ประกอบกลมกลืนและแทบไม่มีอะไรที่ผิดแปลกเลย คงจะไม่เซอร์ไพรส ถ้าWest Side Storyจะมีบทบาทบนเวทีออสการ์ปีนี้อย่างมาก และถ้ามันชนะรางวัลใหญ่สุด อาจเป็นสถิติครั้งแรก ที่หนังต้นฉบับและหนังรีเมก คว้าBest Pictureก็เป็นอันได้! (ให้9.5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

album

0
0.8
1