[REVIEW] “Escape Room 2” เกมหนีตายจากห้องปริศนาที่ระทึกเช่นเดิม | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “Escape Room 2” เกมหนีตายจากห้องปริศนาที่ระทึกเช่นเดิม | GOSSIP GUN

15 พ.ย. 2021

ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน โซนี่ พิคเจอร์ ได้หนังระทึกขวัญเซอร์ไพรสฮิตเรื่องใหม่มาไว้ในมือ เมื่อ Escape Room ที่ทุนสร้างเพียบแค่ 9 ล้านเหรียญฯ กลับถูกใจผู้ชมและกวาดรายได้ทั่วโลกไปถึง 155 ล้านเหรียญฯ ภาคต่อจึงถูกออร์เดอร์ให้สร้างทันที และเกือบจะได้ฉายเมื่อปีก่อน จนกระทั่งโควิด-19 ทำให้ถูกขยับมาฉายในปีนี้ โดยหนังได้สองนักแสดงจากภาคแรกอย่าง เทย์เลอร์ รัสเซล และโลแกน มิลเลอร์ กลับมารับบทนำอีกครั้ง ทั้งคู่คือสองผู้รอดตายจากตอนจบภาคแรก และกำลังจะเจอสิ่งที่สะพรึงยิ่งกว่าเดิม

ในภาคใหม่นี้ หนังใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า Escape Room : Tournament of Champion (หรือในบางประเทศ เช่นในไทย ใช้ชื่อโปรโมตว่า Escape Room : No Way Out) ไฮไลต์ของมันก็คือการ เอาผู้ชนะจากเกม Escape Room ในปีก่อนๆมาเจอกัน โดยนางเอก โซอี้ ยังค้างคาใจว่าใครอยู่เบื้องหลังเกมห้องนรกนี้กันแน่ เธอจึงตัดสินใจขับรถมายังนิวยอร์กพร้อมกับ เบน ที่รอดตายมากด้วยกันและคบหากัน โดยที่ไม่รู้เลยว่า การมีนิวยอร์กในครั้งนี้ มันคือการเดินเข้าสู่ เกมห้องนรกอีกครั้ง ที่ถูกดีไซน์มาให้โหดและระทึกยิ่งกว่าเดิม เพราะผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน เคยผ่านการเล่นเกมนี้มาแล้ว

โดยรวม Escape Room 2 ยังคงระดับความสนุกและความระทึกได้ดีไม่แพ้ภาคแรก ฉากห้องนรก อาทิ ฉากในตู้ขบวนรถไฟ หรือฉากห้องริมหาด (ตามที่เผยในตัวอย่าง) ถูกออกแบบมาได้อย่างน่าตื่นตาและน่าติดตาม กลไกของเกมในห้องต่างๆก็ยังสนุกและชวนตื่นเต้นเช่นเดิม หลายห้องหวาดเสียวจนกระทั่งไม่กล้ามองจอเลยก็มี ดังนั้น คะแนนความครีเอทีฟในการออกแบบห้องต่างๆ ยังคงให้คะแนนสูงเช่นเดิม แต่อย่างไรก็ตามในแง่ของการเป็นหนังภาคต่อ Escape Room 2 มีโครงเรื่องที่คล้ายกับภาคแรก เหมือนแค่ก็อปปี้วาง เปลี่ยนแค่การออกแบบห้อง เหมือนเส้นเรื่องไม่ได้ขยับไปไหนมากนัก ซึ่งน่าเสียดายที่มันกลายเป็นภาคต่อที่แค่ต่อเวลาความสนุก แต่ไม่่ได้ขยายปมหรือคลี่คลายปมไปมากกว่าเดิม

สิ่งที่อาจจะต้องนำมากล่าวถึงในการรีวิวนี้ คือการที่หนัง Escape Room 2 มีหลายเวอร์ชั่น โดยที่รีวิวไปนั้นเป็น Theatrical Version ที่ฉายโรงโดยมีความยาวที่ 88 นาที แต่หนังยังมี Extended Version เป็นเหมือนเวอร์ช่ันแรกก่อนที่ค่ายหนังจะตัดสินใจตัดต่อใหม่ให้สั้นลง ซึ่งเวอร์ชั่นที่ยาวกว่าคือ 95 นาที มีอีกเส้นเรื่องที่เพิ่มเข้ามา คือ ตัวละครผู้สร้างเกมห้องนรกนี้ ซึ่งมีทั้งฉากเปิดที่ไม่เหมือนเดิม รวมถึงบทสรุปที่ต่างจากเวอร์ชั่นโรงด้วย ซึ่งใน Blu-Ray และ DVD ของเมืองนอกที่วางขายแล้ว มีให้เลือกชมฉบับนี้ จึงน่าสนใจเมื่อหยิบมาเปรียบเทียบกัน แล้วพบว่าฉบับที่ยาวกว่า ดูจะทำหน้าที่ภาคต่อที่ขยายปมเรื่องที่มาของ Escape Room ได้ชัดเจนมากขึ้น จึงน่าสนใจว่าทำไมโซนี่จึงตัดสินใจไม่เล่าถึงปมนี้แล้ว ในฉบับโรง

ท้ายที่สุด Escape Room 2 ก็ยังคงเป็นหนังระทึกขวัญที่สนุกและดูเพลินแบบภาคแรก ใครที่เคยเอ็นจอยกับการหนีตายจากห้องปริศนาในภาคแรก ก็ยังคงน่าจะเพลิดเพลินไปกับหนังในภาคนี้ เพราะห้องต่างๆยังคงถูกออกแบบมาได้ตื่นเต้นและชวนติดตาม เพียงแต่ว่าหนังไม่ได้เดินหน้าในฐานะภาคต่อเท่าไหร่นัก ต้องมารอลุ้นกันว่า ถ้าภาค 3 ตามออกมา ผู้สร้างจะพาหนังไปในทิศทางไหน เพราะเหมือนไอเดียการเฉลยถึงผู้สร้างห้องนั้น คงจะถูกเก็บไว้ในภาคใหม่ ซึ่งอาจจะมีไอเดียที่ต่างจากตอนนี้ก็เป็นอันได้

(ให้ 7 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน)


related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “Halloween Kills” ภาคขัดตาทัพของแฟรนไชส์หนังสยองคลาสสิก | GOSSIP GUN

26 พ.ย. 2021

[REVIEW] “Halloween Kills” ภาคขัดตาทัพของแฟรนไชส์หนังสยองคลาสสิก | GOSSIP GUN

ใครจะคิดว่าแฟรนไชส์หนังสยองขวัญที่อายุมากกว่า40ปีอย่างHalloweenจะกลับมาได้รับความนิยมอย่างมากอีกครั้ง ต้องขอบคุณการชุบชีวิตในหนังฉบับปี2018ที่นอกจากจะดึง เจมีี่ ลี เคอร์ติส นางเอกจากหนังภาคแรกกลับมาคืนจอแล้ว ต้องขอบคุณองค์ประกอบต่างๆที่นอกจากจะชวนให้นึกถึงหนังต้นกำเนิดแล้ว ยังชวนระทึกในยุคสมัยนี้ ทำให้ผู้สร้างตัดสินใจทำภาคต่ออีกพร้อมๆกันถึง2ภาคอย่างHalloween KillsและHalloween Endsเพื่อเล่าถึงการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของ ลอรี่ นางเอกของเรื่องที่แค้นจากการถูกไล่ฆ่าโดย ไมเคิล เมเยอร์ ฆาตกรโรคจิตในหน้ากากฮอกกี้ในตำนาน ซึ่งหนังภาคต่อเรื่องแรก อันที่จริงต้องเข้าฉายตั้งแต่ฮาโลวีนปีก่อน แต่ก็เลื่อนมาฮาโลวีนปีนี้เพราะโควิด-19Halloween Killsคือภาคต่อที่เล่าเรื่องราวต่อทันทีหลังจากที่Halloweenฉบับปี2018ดำเนินเรื่องจบ(ดังนั้นอาจจำเป็นที่ต้องดูภาคที่แล้วมาก่อน)เหตุการณ์ภาคนี้เริ่มต้นขึ้น เมื่อ ลอรี่ รวมถึงลูกสาวและหลานสาวของเธอ ได้เผาบ้านและขัง ไมเคิล เมเยอร์ ไว้ในห้องใต้ดิน เพื่อหวังจะจบฝันร้ายเรื่องนี้เสียที แต่แล้ว ไมเคิล ก็กลับหลุดรอดก็มาได้(เช่นเดียวกับทุกครั้ง)แต่ฝันร้ายครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การต่อสู้ของ3สาวจากรุ่นต่างๆในตระกูลสโตรดอีกต่อไป เมื่อเหยื่อหลายคนในอดีต พากันลุกฮือ ปลุกปั่นให้ชาวเมืองลุกขึ้นสู้กับไมเคิล ในขณะที่เขากำลังออกไล่ล่าเหยื่อรายใหม่ ในค่ำคืนเดียวกัน ชาวเมืองก็ออกไล่ล่าไมเคิลเช่นกัน แล้วการต่อสู้ครั้งนี้จะจบลงอย่างไร?ความน่าสนใจในหนังHalloween Killsนอกจากจะสานต่อความสยองจากภาคที่แล้วแล้ว สิ่งที่ชอบมากๆคือการพาเราย้อนกลับไปยังปี1978อีกครั้ง หลายฉากที่พาผู้ชมกลับไปเล่าถึงต้นกำเนิดของเหตุการณ์สยอง พาผู้ชมกลับไปเยือนฝันแรกช่วงแรกๆของชาวเมือง ซึ่งเพื่อให้แตกต่างจากเวลาปัจจุบัน ตัวภาพในหนังเองก็มีสีหม่นๆ มีความเก่าแบบเดียวกับหนังปลายยุค70sซึ่งดูมีเสน่ห์มาก แล้วพอเชื่อมมายังฉากในปัจจุบัน แต่ตัวเพลงธีม บรรยากาศยังคงเดิม ก็เหมือนการเล่าว่า ความสะพรึงตลอดเวลา40ปีที่ผ่านมา ยังคงไม่ไปไหน มันยังคงวนเวียนเป็นฝันร้ายที่หลอกหลอนอยู่ รวมถึงฉากไล่ฆ่าของ ไมเคิล เมเยอร์ ในภาคนี้ก็ยังทำออกมาได้ตื่นเต้น และโหดถึงใจผู้ชมเช่นเดิมมาถึงปัญหาหลักของHalloweenในภาคนี้ ซึ่งประการแรกอาจเป็นปัญหาด้านโครงสร้าง เพราะเมื่อผู้สร้างตัดสินใจจะมี2ภาคไปพร้อมๆกัน มันจึงถูกวางโครงเรื่องไว้แล้วว่าจะมีภาคต่อไป ดังนัน้ เราจึงรู้บทสรุปว่า อย่างไรก็ตามทั้งลอรี่ นางเอกตัวหลัก และไมเคิล เมเยอร์ สองตัวละครนี้ไม่มีวันตายในภาคนี้อย่างแน่นอน ความลุ้นในหลายๆฉากมันก็ลดลงไปโดยปริยาย รวมถึงตัวละครลอรี่ ในภาคนี้แทบจะถอยหลังไปเป็นตัวประกอบ เพราะต้องรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บในภาคก่อน แม้จะเปิดทางให้หลายตัวละครแวดล้อมได้มีบทบาทขึ้น แต่เอกลักษณ์ของความเป็นHalloweenที่ทำให้ภาคก่อนประสบความสำเร็จก็หายไป เพราะสิ่งที่แฟนๆต้องการจริงๆ ก็คือการปะทะกันของ ลอรี่ และไมเคิล นั่นเองอีกหนึ่งปัญหาที่เห็นชัดมากๆในHalloween Killsคืออารมณ์ร่วมที่ผู้ชมจะได้มีต่อ ถ้าคนดูจะอิน พวกเราจะต้องเอาใจช่วยตัวละครต่างๆ แต่หนังกลับเขียนบทให้ตัวละครส่วนใหญ่ไม่เสียสติและก็ทำอะไรขาดสติอยู่ประจำ เหมือนสร้างคนที่อ่อนแอมากๆมา เพื่อให้ ไมเคิลดูแข็งแรงมากๆ ซึ่งมันดูจงใจเกินไป เหยื่อแวดล้อมตายอย่างง่ายตายตลอดทั้งเรื่อง จนระหว่างทางแทบจะไม่อยากเชียร์ตัวละครไหนเลย เพราะรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวพวกเขาก็จะตาย และไม่ได้ตายแบบยากเย็นด้วย เป็นการตายที่ไมเคิล น่าจะสังหารตัวละครเหล่านี้อย่างไม่ยากนัก ซึ่งพอรู้สึกแบบนี้ไปแล้ว ก็พาลให้หนังหมดสนุกไปด้วย ต่อจากการสู้กันของ ลอรี่และไมเคิล ที่คนดูรู้สึกเสมอว่า คู่นี้สูสี ทำให้ทุกครั้งที่ดูHalloweenมันถึงลุ้น ถึงมันขึ้นมาได้โดยรวมHalloween Killsถือเป็นหนังภาคบังคับสำหรับแฟนๆหนังสยองขวัญ ที่อย่างไรก็ตามก็น่าจะต้องดู แต่ผลลัพภ์กลับออกมาได้ถูกใจแบบภาคก่อน ซึ่งน่าเสียดายเบาๆ เพราะหนังฉบับปี2018เป็นการคืนชีพแฟรนไชส์ได้อย่างงดงามมากๆ แต่กลับมากราฟตกในภาคนี้ เหลือเพียงแค่ภาคจบอย่างHalloween Endsที่เราจะได้ชมกันฮาโลวีนปีหน้าเท่านั้นแล้ว ที่คงต้องรอลุ้นกันว่า มันจะอวสานได้อย่างงดงามหรือไม่ หรือเป็นการจบของHalloweenตลอด40กว่าปีที่น่าผิดหวัง (ให้5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] The Matrix Resurrections ภาคต่อที่พาหนังเมทริกซ์ถอยหลังไปหลายก้าว | GOSSIP GUN

17 ธ.ค. 2021

[REVIEW] The Matrix Resurrections ภาคต่อที่พาหนังเมทริกซ์ถอยหลังไปหลายก้าว | GOSSIP GUN

การกลับมาของThe Matrixน่าจะเป็นโปรเจกต์ที่หลายคนลุ้นผลลัพธ์มากที่สุด ย้อนกลับไปสมัยภาคแรกThe Matrixคือหนังระดับนวัตกรรมก็ว่าได้ มันสร้างมาตรฐานใหม่ๆให้กับหนังฮอลลีวูด ด้วยเส้นเรื่องที่มีชั้นเชิงและคมคาย ฉากแอ็กชั่นที่แปลกใหม่ จนกลายเป็นภาพจำที่ถูกนำมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังแอ็กชั่นไซไฟยุคต่อมา แม้ว่าภาคต่ออย่างThe Matrix ReloadedและThe Matrix Revolutionsจะไม่ได้เล่าเรื่องกลมกล่อมเท่าภาคแรก มีความยุ่งเหยิงในเส้นเรื่อง จังหวะแปลกๆในบางอารมณ์ แต่ต้องยอมรับว่า ฉากแอ็กชั่นก็ยังเป็นที่จดจำ สร้างมาตรฐานใหม่ๆเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้น การตัดสินใจกลับมาทำThe Matrixภาคใหม่ในรอบ18ปี จึงเป็นเรื่องท้าทาย เพราะถ้ามันไม่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ๆ มันจะเป็นการถอยหลังลงคลอง ซึ่งน่าเสียดายเอามากๆจากตัวอย่างจะเผยให้เห็น นีโอ(รับบทโดย คีอานู รีฟส์)ใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดา มีชีวิตปกติทั่วไป และได้เจอกับ ทรินิตี้(รับบทโดย แคร์รี่ แอนน์-มอส)แต่เขาทั้งสองคนจำกันไม่ได้ ก่อให้เกิดคำถามจากผู้ชมว่า เกิดอะไรขึ้นกับทั้งคู่กันเอง เพราะนีโอน่าจะตายไปแล้วในตอนจบของภาคก่อน ไม่นานก็เป็นการปรากฏตัวของ มอร์เฟียส(รับบทโดย ยาย่า อับดุล มาทีน ที่3)ในวัยหนุ่ม พร้อมกับสมาชิกยานกลุ่มใหม่ ที่จะพานีโอเข้าสู่โลกของเดอะเมทริกซ์อีกครั้ง นั่นก่อให้เกิดคำถามมากมายว่า ภาคนี้มาพร้อมกับพล็อตอะไรกันแน่ และปริศนาที่ซ่อนอยู่คืออะไร ซึ่งคงต้องไปติดตามกันในภาพยนตร์เมื่อภาพยนตร์เริ่มดำเนิน ตลอด1ชั่วโมงแรก นอกจากหน้าตาของ คีอานู รีฟส์ และแคร์รี่ แอนน์-มอส แล้ว เหมือนเรากำลังดูหนังเรื่องอื่น ที่ไม่ใช่The Matrixอยู่ มันมีความแปร่งไปค่อนข้างมาก ทั้งอารมณ์ระหว่างดู สไตล์ในการเล่าเรื่อง สิ่งที่ยังทิ้งไว้คล้ายThe Matrixคือการเล่าเรื่องแบบเอื่อยๆและยืดยาวเกินจำเป็น แบบที่ภาค2-3ทำ ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีนัก กว่าที่หนังจะได้อารมณ์แบบThe Matrixจริงๆก็ปาเข้าไปชั่วโมงที่2แล้ว ที่ค่อยให้อารมณ์ที่คุ้นเคย จังหวะที่เหมาะสม ไม่ใช่ว่าหนังจะต้องเหมือนกับไตรภาคแรกก็ได้ แต่เมื่อพยายามจะไปทิศทางใหม่ แต่มันไม่ได้ดีกว่า อย่างน้อยพยายามยึดโยงกับอารมณ์แบบเดิมก็ยังดี องค์แรกของภาคนี้ ดูยุ่งเหยิงและหลงทาง กว่าจะเริ่มเข้าที่ก็เข้าสู่องค์ถัดมานอกจากการเล่าเรื่องที่แปร่งและมีจังหวะประหลาดๆหลายรอบ สิ่งที่ขาดหายไปอย่างชัดเจนในการกลับมาของThe Matrixในครั้งนี้คือฉากแอ็กชั่นระดับนวัตกรรม หรือเป็นที่จดจำระดับIconicถ้าย้อนกลับไปภาคแรก เราล้วนตื่นตากับฉากหลบกระสุน ฉากนีโอกระโจนเข้ามาสมิธ ฉากบู๊ห้องโถงชั้นล่าง หรือแม้แต่ฉากประลองฝีมือของ นีโอกับมอร์เฟียส แต่ละฉากคือเป็นที่จดจำ สดใหม่ และตรึงอารมณ์ ในขณะที่ภาคสองยังมี ฉากไล่ล่าบนไฮเวย์ที่พีกมาก และภาคสามก็มีฉากปะทะกลางสายฝน แต่พอตัดภาพมาที่ภาคนี้ แทบจะไม่เจอฉากอย่างว่า ทุกซีนบู๊ในThe Matrix Resurrectionsพร้อมจะเลือนหายไปจากหัวเมื่อหนังจบ ไม่มีอะไรติดออกมาเลยอย่างน่าเสียดายอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่รู้สึกตั้งแต่ต้นจนจบคือ สไตล์ที่หายไปอย่างชัดเจน ภาคแรกเราจะเห็นโทนสีฟ้าดำที่พยายามคุมธีม ไม่ว่าจะแคปภาพฉากไหนมา เราก็จะรู้ทันทีว่าคือThe Matrixในขณะที่ภาค2-3จะเล่นกับสีเขียวเยอะขึ้น ก็ยังจำได้ว่ามาจากภาคไหน แต่สำหรับภาคล่าสุด เหมือนหนังทั่วไปอย่างน่าตกใจ บางทีแคปมานึกว่าJohn Wickด้วยซ้ำ กลายเป็นงานโปรดักชันที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมทุกภาค กลับถอยหลังลงไปอย่างน่าตกใจ ยิ่งเสริมอย่างชัดเจนว่า เสน่ห์ของThe Matrixมันขาดหายและเบาบางไปหมด ไม่ว่าจะในมิติใด ทั้งเนื้อเรื่อง โปรดักชั่น รวมถึงฉากแอ็กชั่นเองสิ่งที่แบกหนังไว้ทั้งหมด กลับเป็นทีมนักแสดง แน่นอนว่าคือ คีอานู รีฟส์ และแคร์รี่ แอนน์-มอส ที่ยังคงตรึงผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยมทุกฉาก เราเชื่ออย่างสุดใจว่าทั้งสองคือนีโอและทรินิตี้ เราเชื่ออย่างสุดใจว่าทั้งสองรักกันจริง จนนี่อาจจะเป็นThe Matrixภาคที่โรแมนติกสุดแล้วก็ว่าได้ ในขณะที่สมาชิกใหม่ก็มีเสน่ห์มากน้อยต่างกันไป ยาย่า อับดุล มาทีน ที่3ค่อนข้างก้ำกึ่งในบทมอร์เฟียส ที่ดูน่าเกรงขามน้อยกว่าต้นฉบับ ในขณะที่ นีล แพทริก แฮร์ริส ดูผิดที่ผิดทางไปนิด(หรือผู้เขียนอาจจะติดภาพเขาจากบท บาร์นี่ ในHow I Met Your Motherมาเกินไปจนเขาดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก)มีเพียง โจนาธาน กรอฟฟ์ จากซีรีส์Mindhunterในบทสมิธเวอร์ชั่นใหม่ ที่น่าเกรงขาม และทัดเทียมกับ คีอานู รีฟส์ ได้อย่างดีเวลาเข้าฉากด้วยกันโดยรวมThe Matrix Resurrectionsคือความน่าเสียดาย ไม่แน่ใจว่าไอเดียของโปรเจกต์นี้เริ่มต้นจาก วอร์เนอร์ หรือผู้กำกับ ลาน่า วาชอว์สกี้กันแน่ แต่ภาพรวมถือว่า ลดเกรดลงจากไตรภาคต้นฉบับอย่างชัดเจนไม่ว่าจะแง่มุมไหน แม้แต่อารมณ์ขันที่พยายามใส่เข้ามาก็ดูขัดไปเสียหมด ไม่ได้กลืนไปกับอารมณ์หนังอย่างที่ควรจะเป็น เสียชื่อของThe Matrixหนังที่เคยเป็นก้าวใหม่ที่สำคัญของฮอลลีวูด นี่กลับกลายเป็นก้าวถอยหลังที่ไม่ควรจะมีด้วยซ้ำ(ให้5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] “Red Notice” เมื่อสามซูเปอร์สตาร์ขนเสน่ห์มาประชันล้นจอ | GOSSIP GUN

18 พ.ย. 2021

[REVIEW] “Red Notice” เมื่อสามซูเปอร์สตาร์ขนเสน่ห์มาประชันล้นจอ | GOSSIP GUN

คงไม่มีอะไรเรียกแขกสำหรับหนังRed Noticeมากเท่าการที่ได้3นักแสดงแถวหน้ายุคนี้ อย่าง ดเวย์น จอห์นสัน,ไรอัน เรย์โนลด์ และกัล กาด็อต มาเจอกัน ซึ่งนั่นส่งผลให้หนังใช้ทุนสร้างไปเกือบ200ล้านเหรียญฯ และลือกันว่าเกือบ60ล้านเหรียญฯ คือการจ้าง3นักแสดงนำ ส่งผลให้Red Noticeกลายเป็นหนังทุนสร้างสูงสุดตลอดกาลของสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่Netflixไปโดยปริยาย(จากเดิมโปรเจกต์นี้ ก่อร่างสร้างตัวที่ ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ และมีแพลนจะฉายโรง ก่อนย้ายค่ายมาอยู่ที่Netflix)หนังเป็นผลงานล่าสุดของ รอว์สัน มาร์แชลล์ เทอร์เบอร์ ผู้กำกับที่ร่วมงานกับ ดเวย์น จอห์นสัน มาแล้วในCentral IntelligenceและSkyscraperจนเข้าขากันดี และชักชวนกันมาจับโปรเจกต์ใหม่นี้ดเวย์น จอห์นสัน รับบทเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ที่ชำนาญด้านอาชญากรรมผลงานศิลปะเป็นพิเศษ คนร้ายที่เขากำลังไล่จับเป็นหลักคือ โนแลน อาชญากรสุดพริ้วที่รับบทโดย ไรอัน เรย์โนลด์ แต่ด้วยความผิดพลาดบางประการ พระเอกของเราถูกเข้าใจผิดว่าร่วมมือกับคนร้าย เขาจึงถูกจับติดคุกไปพร้อมกับ โนแลน และทางเดียวที่จะล้างมลทินให้กับเขาได้ คือการจับ เดอะบิชชอป(รับบทโดย กัล กาด็อต)อาชญากรมือหนึ่งของโลก ที่เป็นคนป้ายสีเขา และทางเดียวที่เขาจะแหกคุกและไปจับเธอได้นั้น ก็คือการต้องขอร้องให้ โนแลน ช่วยเหลือเขาRed Noticeเลยกลายเป็นเหมือนหนังคู่หู ตำรวจกับโจร ที่ต้องร่วมมือกันไปจับคนร้ายที่ถูกหมายหัวเบอร์หนึ่งของโลกRed Noticeถือเป็นหนังบันเทิงที่ดูสนุกระหว่างทาง แต่ความน่าเสียดายของมันคือ จบแล้วก็จบกัน ไม่ได้เป็นที่น่าจดจำอะไร อาจจะเพราะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ หรือภาพจำที่ชัดเจนนัก แม้แต่นักแสดงนำอย่าง ดเวย์น จอห์นสัน และไรอัน เรย์โนลด์ เขาก็เล่นเหมือนบทเดิมที่เล่นมาทุกเรื่อง จอห์นสันก็เหมือนตัวเองในJumanji (แถมหนังมีฉากเขาใส่เสื้อลุยป่า ดูยิ่งเหมือนเข้าไปอีก)ส่วน เรย์โนลด์ ก็เหมือนหลุดออกมาจากDeadpoolหรือThe Hitman's Bodyguardที่พ่นมุกกวนประสาทตลอดเวลา ถามว่า หนังสนุกหรือไม่ ตอบได้ทันทีว่าสนุก เคมีระหว่าง ดเวย์นและไรอัน รับส่งบทกันได้ดี ลงตัวมาก แต่ปัญหาคือ มันไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ไปมากกว่านั้น ท้ายที่สุดทั้งสองก็เล่นบทที่เหมือนเล่นกันมาทุกเรื่องคนที่อาจจะดูแตกต่างสุดคือ กัล กาด็อต ที่พลิกมารับบทกึ่งร้ายนิดๆ ดูมีเสน่ห์ดึงดูดมากเลยทีเดียว เธอดูผ่อนคลายมากกว่าบทบาทในหนังอย่างWonder WomanหรือในตระกูลFast Furiousและเมื่อทั้ง3คนมารวมกัน ต้องยอมรับเลยว่าพลังดารา ส่งผลดีกับหนังเรื่องนี้จริงๆ ด้วยพล็อตที่อาจจะไม่ได้แปลกใหม่ ฉากแอ็กชันที่เห็นได้ทั่วไปในหนังหลายๆเรื่อง กลายเป็นเสน่ห์ของทั้ง3นักแสดงนำ คือสิ่งที่ดึงดูดจริงๆ ให้เราอยากดู ให้เราอยากติดตามจนจบ เพราะตัวบทเองก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่เท่าไหร่นัก มันมีกลิ่นอายเหมือนหนังแนวตำรวจคู่หู ที่ต่างกันสุดขั้ว แต่ต้องมาร่วมมือกันมากกว่าเมื่อกล่าวถึงความไม่สดใหม่ เชื่อว่าหลายๆฉาก อาจทำให้ผู้ชมนึกถึงหนังหลายๆเรื่องRed Noticeมีกลิ่นอายความเป็นหนังBuddy Copผสมผสานกับหนังปล้นมากมายที่ดูได้ทั่วไป แถมช่วงหลังๆแอบคล้ายไปทางIndiana Joneเสียอีก(แถมไรอัน เรย์โนลด์ ยังฮัมเพลงธีมของอินเดียน่า โจนส์ ซะอย่างงั้น เหมือนแซวตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว)จึงน่าเสียดายที่หนังแอบหาเอกลักษณ์จากโครงเรื่อง จากธีม หรือจากพล็อตไม่ได้เท่าไหร่ กลายเป็นภาพจำ คือหนังที่3นักแสดงนำมาเจอกันแค่นั้นเองอย่างไรก็ตามRed Noticeก็ถือว่าเป็นหนังบันเทิงที่ดูได้เพลินๆในวันหยุด มันคือหนังแอ็กชั่นเบาสมอง ที่มาพร้อมฉากแอ็กชันที่สนุกหลายฉาก มุกตลกที่ค่อนข้างเวิร์กใช้ได้ เคมีนักแสดงที่เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ใครที่เคยชอบหนังบันเทิงสไตล์ เดอะร็อก หนังเบาสมองแอ็กชั่นนิดๆตามสไตล์ ไรอัน เรย์โนลด์ ที่เป็นการผสมผสานของหนังอารมณ์ประมาณนั้น ถ้าไม่คาดหวังอะไรมาก ก็สามารถเปิดดูได้เลยทางNetflixแต่ถ้าต้องไปซื้อตั๋วดู ก็อาจจะแอบผิดหวังนิดๆ ที่มันไม่ได้ทำให้เราจดจำอะไรเมื่อออกจากโรง (ให้7คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] “Spider-Man : No Way Home” นี่คือสไปเดอร์แมนภาคที่เต็มเปี่ยมในทุกอารมณ์ | GOSSIP GUN

20 ธ.ค. 2021

[REVIEW] “Spider-Man : No Way Home” นี่คือสไปเดอร์แมนภาคที่เต็มเปี่ยมในทุกอารมณ์ | GOSSIP GUN

(บทความนี้ ไม่มีสปอยล์ จะพยายามเขียนเพื่อรักษาอรรถรสของทุกคนให้มากที่สุด)มอบตำแหน่งภาพยนตร์ที่ไฮป์์หรือกระแสความอยากดูมากที่สุดนับตั้งแต่Avengers : EndgameไปครองเลยสำหรับSpider-Man : No Way Homeซึ่งหลายคนมองว่าน่าจะเป็นหนังที่ปลุกให้บ็อกซ์ออฟฟิศกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังซบเซาเกือบ2ปีเต็มเพราะโควิด-19ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น เมื่อหนังเปิดตัวแรงด้วยการทำรายได้วันแรกในอเมริกาสูงสุดตลอดกาลเป็นรองเพียงEndgameบวกกับกระแสคำวิจารณ์ในแง่บวกที่เปิดมาล็อตแรกก็กวาดคำชมไปแบบ100% (ตอนนี้ลดลงมาเหลือ94%ในRotten Tomatoes)ยิ่งทวีกระแสความน่าดูเพิ่มขึ้นเข้าไปอีก ด้วยความเป็นหนังปิดไตรภาคของSpider-Manในฉบับ ทอม ฮอลแลนด์ และเป็นหนังสำคัญที่จะเชื่อมจักรวาลมาร์เวลจากเฟสก่อนหน้า ไปดูเฟสใหม่หลังจากนี้ ที่จะเล่นในธีมมัลติเวิร์สอย่างจริงจัง!No Way Homeเริ่มต้นเรื่องราวทันทีที่ภาคก่อนหน้าอย่างFar For Homeจบลง เมื่อมิสเตอริโอเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงว่า สไปเดอร์แมนก็คือ ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ ทำให้ชีวิตของเขายุ่งยากและพาทำให้คนรอบข้างทั้ง เอ็มเจ เน็ด และป้าเมย์ เดือดร้อนกันไปหมด และเพราะอยากจะแก้ไขปัญหานี้ เขาจึงหันไปพึ่งพา ด็อกเตอร์สเตรนจ์ ในการร่ายมนต์เพื่อทำให้ทุกคนลืมซะ ว่าเขาคือสไปเดอร์แมน แต่ระหว่างการร่ายมนต์เกิดความผิดพลาดขึ้น เมื่อปีเตอร์พยายามจะแก้ไขไม่ให้คนรักและเพื่อนสนิทลืมว่าเขาคือสไปเดอร์แมน นำไปสู่การเปิดมิติระหว่างจักรวาล จึงให้เหล่าตัวร้ายจากสไปเดอร์ใน มัลติเวิร์สอื่น โผล่มายังมิติของเขา ประกอบด้วย กรีน ก็อบลิน,ด็อกเตอร์อ็อกโตพุส และแซนด์แมน จากSpider-Manในฉบับของผู้กำกับ แซม ไรมี่ และ อีเล็กโตร กับ ลิซาร์ด จากThe Amazing Spider-Manในฉบับของ มาร์ก เว็บบ์ไม่แปลกใจเลยที่หลายเสียงบอกว่า นี่อาจจะเป็นSpider-Manภาคที่ดีที่สุด ไม่ใช่แค่เฉพาะในฉบับของ ทอม ฮอลแลนด์เท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับหนังทั้ง8เรื่องที่เคยสร้างมาก นี่คือSpider-Manภาคที่ครบถ้วนและสมบูรณ์ทางด้านอารมณ์มากที่สุด และไม่แปลกใจเลยที่มันจะไฮป์ในระดับน้องๆของAvengers : Endgameเพราะมีหลายองค์ประกอบที่ทำให้ผู้ชมส่งเสียงเชียร์หรือเสียงน้ำตาระหว่างชม เป็นหนังที่สนุกครบรส และครบเครื่องเรื่ององค์ประกอบจริงๆ จนสามารถไปเทียบความยิ่งใหญ่กับหนังมาร์เวลระดับบนๆอย่างAvengers : Endgame, Captain America : Civil Warหรือแม้แต่Black Pantherได้สบายๆสิ่งหลักสำคัญที่ส่งให้Spider-Man : No Way Homeยอดเยี่ยม คือเส้นเรื่องของตัว ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ เอง หลังจากเขาเริ่มต้นเรื่องราวในHomecomingและFar From Homeในภาคนี้จะได้เห็นปีเตอร์ เติบโตอย่างแท้จริง จากเด็กคนหนึ่งที่กลายเป็นสไปเดอร์แมน ยังถูกหลายคนเรียกว่าเด็กน้อย แต่สถานการณ์ในหนังภาคนี้ ส่งให้เขาเติบโตและเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างเต็มตัว เราจะได้เห็นเขาตัดสินใจแบบคนที่โตแล้ว ระหว่างดูความรู้สึกมันตื้นตัน เหมือนกับลูกชายที่เราเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ได้เรียนจบและมีความเป็นผู้ใหญ่เสียที นี่คือแกนหลักที่ทำให้Spider-Manในภาคนี้กินใจผู้ชมได้อย่างไม่ยากสิ่งที่ทำให้Spider-Man : No Way Homeไฮป์ขั้นสุด คงหนีไม่พ้นการปรากฏตัวของ5ตัวร้ายหลักจากSpider-Manในฉบับก่อนๆ การที่ได้เห็น วิลเล็ม ดาโฟ ปรากฏตัวอีกครั้งในลุคของ กรีน ก็อบลิน คือชวนขนลุกสุด ย้อนกลับไปนึกถึง19ปีก่อนที่เราได้ดูSpider-Man (2002)ในโรงภาพยนตร์ ความรู้สึกเหล่านั้นมันหวนคืนกลับมา แล้วได้เห็น อัลเฟรด โมลีน่า,เจมี่ ฟ็อกซ์,โทมัส เฮย์เดน เชิร์ช และ ไรส์ ไอฟานส์ มันเหมืิอนภาพเก่าๆตลอดเกือบ20ปีค่อยๆย้อนกลับมาหมด แล้วหนังหาเส้นเรื่องที่น่าสนใจให้กับตัวละครเหล่านี้ด้วย ไม่ได้แค่กลับมาแล้วก็ปราบๆพวกเขา ทำให้Spider-Man : No Way Homeดูจะเป็นหนังที่เต็มไปด้วยหัวใจ ซึ่งผู้ชมน่าจะสัมผัสได้จริงๆSpider-Man : No Way Homeมีรายละเอียดอีกมากมายที่ขอจะไม่กล่าวถึง เพื่อไม่ให้เสียอรรถรสในการชม สำหรับแฟนๆของSpider-Manและคอซูเปอร์ฮีโร่ นี่คือหนังที่เซอร์วิสแฟนขั้นสุด เป็นหนังที่ควรดูบนจอใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ท่ามกลางคนจำนวนมาก คุณจะได้ส่งเสียงเชียร์ ฮือฮา ไปพร้อมกับทุกคนซึ่งเพิ่มอรรถรสในการชมได้อย่างดีเยี่ยม(เหมือนดูคอนเสิร์ต ที่ต้องดูกับคนเยอะๆเพื่อเพิ่มอารมณ์)แต่สำหรับผู้ชมทั่วไป นี่คือหนังที่สนุกลงตัว ครบรส มากที่สุดเรื่องนึงเท่าที่จะหาได้ มันทั้งมันส์ ทั้งตื่นเต้น ทั้งทำให้คุณหัวใจพองโต ทำให้คุณเสียน้ำตา ทุกจังหวะในหนังเล่าเรื่องได้อย่างกลมกล่อมมากๆ แม้สถานการณ์โควิดจะทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์เงียบเหงาไปนาน แต่เมื่อมีหนังใหญ่สักเรื่องที่พร้อมจะดึงผู้ชม ทุกคนก็ยังกลับมาเจอกันในโรงหนัง และSpider-Man : No Way Homeคือภาพยนตร์เรื่องนั้น

album

0
0.8
1