เรื่องเล่าจากคุณเเรก 'ทฤษฎีเจอผี' I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - อ๊อฟ อัครพล [7 ม.ค. 2568]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเเรก 'ทฤษฎีเจอผี' I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - อ๊อฟ อัครพล [7 ม.ค. 2568]

10 ม.ค. 2025

      รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (7 มกราคม 2568) พบกับ ‘คุณแรก’ สายแรกของปี ที่นำเรื่องสุดระทึกอย่าง ‘ทฤษฎีเจอผี’ เรื่องราวหลอนปนความสนุกที่เล่าต่อกันในมหาวิทยาลัย เรื่องนี้จะทำให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ขนลุกขนาดไหน ไปอ่านกันเลย!

      ‘ทฤษฎีเจอผี’ เป็นเรื่องราวที่ ‘คุณแรก’ ได้ฟังมาจากน้องฝึกงาน เป็นเรื่องเล่าของเหล่านักศึกษาในมหาวิทยาลัยซึ่งรุ่นพี่ก็ได้เล่าให้ฟังมาอีกที เรื่องนี้เริ่มต้นที่กลุ่มนักศึกษาในคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ นักศึกษาคนหนึ่งชื่อ ‘เจอร์รี่’ (นามสมมุติ) เป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน พ่อของเขาเป็นทหารเก่าไปต่อสู้ที่เวียดนามและมีประสบการณ์เกี่ยวกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ จึงมักจะนำมาเล่าให้เจอร์รี่ฟังตั้งแต่เด็กทำให้เจอร์รี่สนใจในเรื่องนี้มาตลอด ซ้ำยังชอบเก็บเรื่องราวเกี่ยวกับผีมาจดในสมุดบันทึกของตัวเอง

      เมื่อเจอร์รี่เข้ามาเรียนในคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ เขาก็ได้พบกับเพื่อนสนิทสองคนที่สนใจเรื่องผีเหมือนกัน ทั้งสามมักจะสงสัยว่าตึกของคณะมีผีหรือไม่ เพราะตึกนั้นค่อนข้างเก่า อีกทั้งรุ่นพี่ก็มักจะเล่าเรื่องผีให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง

      นอกจากนี้ เจอร์รี่ยังได้สนิทกับ ‘ลุงสม’ (นามสมมุติ) ภารโรงของตึก เจอร์รี่ที่อยากรู้เรื่องผีจึงถามลุงสมว่า

      เจอร์รี่ : ตึกของเรามีผีไหม?

      ลุงสม : ทำไมเด็กฝรั่งอย่างแกถึได้สนใจเรื่องผี?

      เจอร์รี่ : ผมอยากเห็นผีจริง ๆ

      ลุงสม : ถ้าลุงทำให้เห็นผีได้ แกจะเชื่อไหม ?

      เจอร์รี่รู้สึกขำเพราะไม่เชื่อที่ลุงพูด แต่ก็รู้สึกสนใจ จากนั้นลุงสมก็พูดต่อขึ้นมาว่า

      ลุงสม : เมื่อก่อนลุงเป็นหมอผี ถ้าแกอยากเห็นจริง ๆ ไปซื้อกาแฟร้อนมา เดี๋ยวลุงจะทำให้เห็น

      เจอร์รี่ไม่รอช้า รีบไปซื้อกาแฟตามลุงบอกมาให้ทันที เมื่อลุงได้ของที่ต้องการ ลุงก็นำผงบางอย่างที่อยู่ในกระปุกเล็ก ๆ เหยาะลงไปในกาแฟ และบอกให้เจอร์รี่ดื่ม เจอร์รี่ได้แต่สงสัยว่าผงนั้นคืออะไร แต่ก็กินเข้าไปด้วยความอยากรู้ หลังจากนั้นเจอร์รี่ได้ถามว่า “แล้วยังไงต่อล่ะลุง” ลุงบอกว่า “เดี๋ยวลุงเอาหมวกกันน็อคมาให้” และเตือนว่า “ถ้าเห็นอะไรแล้วก็บอกลุง..”

      หลังจากดื่มกาแฟแก้วนั้น เจอร์รี่ก็ไปทำกิจกรรมตามปกติจนเสร็จ เขาเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์เพื่อไปเอาหมวกกันน็อคที่เก็บไว้ใต้เบาะ พอไขกุญแจเปิดเบาะขึ้นมา เจอร์รี่ก็ต้องช็อคกับภาพที่เห็น เพราะหมวกกันน็อคมีศีรษะคนอยู่ในนั้น! เจอร์รี่ตกใจแล้วอุทานว่า “ว้าว โคตรเท่!” และเรียกเพื่อนมาดู แต่เพื่อนกลับบอกว่าไม่เห็นอะไรเลย..

      วันรุ่งขึ้น เจอร์รี่ไปเล่าทุกอย่างให้ลุงสมฟัง ลุงสมจึงอธิบายว่า ผงที่ใส่ลงไปในกาแฟคือ ‘ผงเถ้ากระดูกผี’ ซึ่งจะช่วยเปิดประสาทให้เจอร์รี่สามารถมองเห็นผีได้ ส่วนหมวกกันน็อคคือหมวกที่ลุงสมสะสมมา เป็นของที่ได้มาจากอุบัติเหตุของคนที่เสียชีวิต

      เจอร์รี่รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะเขาชอบเรื่องผี ลุงสมจึงชักชวนเขาไปบ้านของตน เจอร์รี่จึงชวนเพื่อนไปด้วยกัน เมื่อไปถึงบ้านลุง เจอร์รี่ก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้เห็น เพราะมีของบูชาจำนวนมาก และสิ่งที่สะดุดตาคือ ‘หม้อดิน’ เจอร์รี่จึงถามลุงว่า

      “มันคืออะไรครับ?”

      ลุงตอบว่า “ลุงเลี้ยงผีไว้ตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆ ในหม้อใบนี้คือผีตายโหงทั้งนั้น”

      และยังเล่าอีกว่าเมื่อก่อนตนนั้นรับจ้างทำไสยศาสตร์ แต่หลังจากเป็นนักการภารโรงก็ไม่ค่อยได้ทำแล้ว จะทำก็ต่อเมื่อมีคนมาจ้าง เมื่อได้ยินเรื่องราวต่าง ๆ รวมทั้งสิ่งของที่อยู่ในบ้านของลุง เจอร์รี่และเพื่อนก็เชื่อสนิทใจ ว่าลุงนั้นเป็นหมอผีจริง ๆ

      ไม่นานหลังจากนั้น ทางมหาวิทยาลัยก็ได้ให้นักศึกษาจัดกิจกรรมภายในคณะ เจอร์รี่จึงคิดจะทำบ้านผีสิง เจอร์รี่ได้ว่าจ้างลุงสม 6,000 บาท เพื่อทำให้คนที่เข้ามาได้เห็นผีจริง ๆ ลุงสมตอบรับและบอกให้เจอร์รี่ไปต้มน้ำหวานไว้ข้างหน้าทางเข้าเพื่อจะใส่ผงที่เสกลงไป และเตรียมน้ำมนต์ที่ทางออก เพื่อให้ทุกอย่างจบลงที่ห้องนี้ นอกจากนี้ลุงสมได้กำชับและเตือนไว้ว่า ห้ามเปิดหม้อดินเพราะถ้าเปิดจะทำให้ผีหลุดออกมา แล้วลุงก็เขียนอักระไว้ตามประตู-หน้าต่างเพื่อกันวิญญาณออกจากห้องนี้  

      เมื่อกิจกรรมเริ่มขึ้น กลุ่มแรกที่เข้าไปเป็นรุ่นพี่ เจอร์รี่ได้ให้พวกเขากินน้ำหวานที่ทางเข้า พร้อมบอกว่า

      “พี่ค่อย ๆ เดินไปนะ พอถึงตรงออกให้เคาะประตูทางออก แล้วจะเปิดประตูให้”

      หลังจากที่พวกรุ่นพี่เข้าไป เจอร์รี่ได้สับสวิตช์ไฟเพื่อสร้างบรรยากาศให้น่ากลัวขึ้น สักพัก เสียงวี๊ดว้ายก็ดังออกมาจากห้อง พร้อมกับเสียงตะโกนว่า “ผีหลอก! ผีหลอก!”

      สาเหตุเกิดจากการที่เจอร์รี่แหกกฎไปเปิดหม้อที่ลุงห้ามไว้ เพราะอยากให้น่ากลัวขึ้นอีกและอยากให้บ้านผีสิงที่เขาสร้างเป็นที่จดจำว่าโหดที่สุด ในขณะนั้น รุ่นพี่ก็ยังคงกรี๊ดกร๊าดโวยวาย เคาะประตูทั้งทางเข้าและทางออก แต่เจอร์รี่ก็ยังไม่ยอมเปิด

      จนกระทั่งมีรุ่นพี่คนหนึ่งกลัวมาก ถึงขั้นกระโดดถีบหน้าต่างจนพังและปีนออกจากห้องที่อยู่ชั้นสองลงมาข้างล่าง ส่วนรุ่นพี่คนอื่นก็พากันเคาะประตูเสียงดังมากจนเจอร์รี่ต้องยอมเปิด พอเปิดออกมา พวกเขาก็วิ่งกรูกันออกมาจนทำให้น้ำมนต์ที่ตั้งไว้หกจนหมด! ทำให้ไม่มีใครได้กินน้ำมนต์ หลังจากนั้นนักศึกษาในคณะก็เห็นผีกันเกือบทั้งตึก เพราะผีหลุดออกจากห้อง!

      เมื่อรู้ว่ามีเหตุการณ์ผีหลุดเกิดขึ้น กลุ่มเจอร์รี่และเพื่อนที่ทำบ้านผีสิงก็เงียบกริบ เพราะรู้ว่าพวกตนเป็นต้นเหตุ พวกเขาไม่ยอมบอกใคร แต่แอบไปบอกลุงสมว่า

      “เดี๋ยวผมมาจ้างเพิ่มนะ ลุงช่วยเก็บผีไปให้หน่อย ตอนนี้มันเฮี้ยนมาก”

      ลุงสมตอบรับว่า “ได้ เดี๋ยวลุงจัดการเอง”

      เช้าวันรุ่งขึ้น ลุงสมมาทำงานตามปกติและรอที่จะทำตามที่รับจ้างมาในคืนนี้ ระหว่างนั้น เขายืนตัดต้นไม้อยู่หน้าตึก แต่แล้วก็มีรถเก๋งคันหนึ่งขับผ่านหน้าตึกอย่างช้า ๆ แต่เมื่อใกล้ถึงก็เหยียบคันเร่งจนชนลุงสมกระเด็น ส่งผลให้ลุงสมเสียชีวิตคาที่!

      ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ช่วยกันล็อคตัวคนขับ ปรากฏว่าเป็นนักศึกษาผู้หญิง เมื่อตำรวจมาสอบปากคำ ก็พบว่า นักศึกษาผู้หญิงคนนี้แค้นที่แฟนของเธอเคยจ้างลุงสมให้ทำคุณไสยให้สาวอื่นมาหลง จนสุดท้าย แฟนก็นอกใจ นักศึกษาหญิงคนนี้จึงตั้งใจมาทำร้ายลุงสมให้เจ็บตัว แต่ไม่คิดว่าลุงสมจะเสียชีวิต 

      สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีใครมาเก็บผี และกลุ่มนักศึกษาที่กินน้ำผสมเถ้ากระดูกก็เห็นผีหลอกจนอยู่ไม่ได้ นอกจากนี้ตึกก็เฮี้ยนขึ้นมาก นิมนต์พระมาทำพิธีแต่ก็ยังอยู่ไม่ได้ ส่วนเจอร์รี่ต้องดรอปเรียนไปบวชเพราะทนเห็นผีไม่ไหว  

      เรื่องนี้ทำเอาดีเจทั้งสองคนขนลุกไปตามกัน ถือว่าเป็นการเปิดประเดิมเรื่องแรกของปีในอังคารคลุมโปงที่ดีทีเดียว!

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

หนุ่มนักศึกษาเช่าบ้านอยู่กับเพื่อน กลับมาเจอผีผู้หญิงคลานออกมาจากตี่จู่เอี๊ยะ! โทรถามเพื่อนก็บอกว่าไม่มีคนอยู่บ้าน คืนนั้นจึงตั้งวงกินเหล้า พอเริ่มเมาก็ปากเสียตะโกนถามว่า “ถ้ามึงมีอยู่จริง มึงมาทำให้กูรู้ว่ามึงตายยังไง!”

01 ธ.ค. 2023

หนุ่มนักศึกษาเช่าบ้านอยู่กับเพื่อน กลับมาเจอผีผู้หญิงคลานออกมาจากตี่จู่เอี๊ยะ! โทรถามเพื่อนก็บอกว่าไม่มีคนอยู่บ้าน คืนนั้นจึงตั้งวงกินเหล้า พอเริ่มเมาก็ปากเสียตะโกนถามว่า “ถ้ามึงมีอยู่จริง มึงมาทำให้กูรู้ว่ามึงตายยังไง!”

เรื่องสยองขวัญนี้ มีชื่อเรื่องว่า ‘เรื่องผีมีอยู่จริง’ โดย ‘คุณณัฐผี’ แขกรับเชิญในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 พฤศจิกายน 2566) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันเลย! เรื่องราวความสยองนี้ เป็นประสบการณ์ตรงจากคุณณัฐ เริ่มขึ้นเมื่อเขาได้ย้ายเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพมหานคร จึงตัดสินใจที่จะเช่าบ้านและอยู่กับเพื่อนหลายคน เพราะคุณณัฐและเพื่อน ชอบเล่นดนตรีกันมาก จึงคิดว่าเช่าบ้านอยู่ด้วยกันก็จะสะดวกมากกว่า ซึ่งบ้านเช่าหลังนี้เป็นอาคารอาคารพาณิชย์หลังเก่า มีทั้งหมด 4 ชั้น เคยเป็นร้านเกมส์มาก่อน ทำให้ประตูด้านหน้าเป็นกระจก ภายในตัวบ้านจะค่อนข้างโล่ง และลึกยาวเข้าไป ด้านหลังเป็นบันไดสำหรับใช้ขึ้นไปยังชั้น 2 หลังบันไดจะมี ‘ตี่จู่เอี๊ยะ’ ตั้งไว้บริเวณนั้น ในแต่ละชั้นของบ้านจะถูกแบ่งโซนไว้อย่างชัดเจน โดยชั้น 2 ถูกแต่งเติมเป็นห้องนอน 2 ห้อง ส่วนชั้น 3 เปลี่ยนให้เป็นสตูดิโอสำหรับซ้อมดนตรีและห้องอัด และชั้นสุดท้ายคือชั้น 4 เป็นห้องนอนอีก 1 ห้อง วันหนึ่ง หลังจากที่คุณณัฐกลับมาจากการทำธุระข้างนอก เวลาตอนนั้นประมาณ 3 ทุ่มกว่า เขาสังเกตเห็นว่าไฟยังคงเปิดไว้จึงคิดว่ามีคนอยู่ในบ้าน ขณะที่กำลังจะเปิดประตู ปรากฏว่าประตูดันล็อก จึงตัดสินใจส่องผ่านกระจกเข้าไปดูว่ามีใครอยู่ข้างในหรือไม่ ระหว่างที่กวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อมองหาคนช่วยเปิดประตู สายตาดันไปเจอกับมือของผู้หญิงกำลังยืนขึ้นมาจากด้านหลังของตี่จู่เอี๊ยะ! เหมือนกับว่ากำลังพยายามผลักตัวเองให้ลุกขึ้นมา ไม่นานหัวก็โผล่พ้นขึ้นมาพร้อมกับค่อย ๆ เอาคางมาวางไว้ที่กำแพง! คุณณัฐคิดว่าคงเป็นพี่ที่รู้จัก จึงเรียกชื่อไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีการตอบกลับจากใครเลย จึงตัดสินใจเพ่งเล็งดูอีกครั้ง ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นก็ยังคงมองอยู่ในลักษณะเดิม คือจ้องมองมาที่คุณณัฐ แต่สิ่งที่น่าขนลุกไปกว่านั้นคือเขาเห็นว่าผู้หญิงที่กำลังสบตาด้วยนั้นไม่มีจมูกและปาก! ดวงตากลมโต ใบหน้าขาวซีด! คุณณัฐผีเห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งหนีไป ระว่างที่วิ่งอยู่ก็เห็นตู้โทรศัพท์จึงตัดสินใจว่าจะโทรไปหารุ่นพี่ แต่ปลายสายกลับบอกว่าไม่มีใครอยู่ที่บ้าน ทุกออกไปเดินห้างกันหมด เมื่อได้ยินแบบนั้น คุณณัฐก็รู้สึกกลัวมาก รีบบอกให้รุ่นพี่รีบกลับมาที่บ้านทันที! เมื่อทุกคนกลับมาถึงบ้าน ก็มีการตั้งวงสังสรรค์นับสิบคนได้ พอเริ่มกริ่มได้ที่ก็คิดอยากลองทำอะไรแผลง ๆ เริ่มจาก ‘พี่ปอ’ (รุ่นพี่ของคุณณัฐ) ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ถ้ามึงมีอยู่จริง มึงมาทำให้กูรู้ว่ามึงตายยังไง!” หลังจากท้าทายเสร็จ ไม่นานทุกคนก็เมากันหมด จึงพากันหลับรวมกันอยู่ที่ชั้น 4 รุ่งขึ้น พี่ปอก็มาปลุกทุกคน แล้วพูดว่า “เห้ย กูรู้แล้ว เขาตายยังไง!” ทุกคนตกใจสะดุ้ง แล้วรีบถามถึงเรื่องราวจากพี่ปอ พี่ปอเล่าว่า หลังจากที่เลิกจากวงเหล้า พี่ปอก็เข้าไปนอนในห้องกับแฟน ปรากฏว่าระหว่างที่หลับ ก็ฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผมยาว ใส่ชุดสีขาว ในฝันเธอพูดว่า “มึงอยากเห็นกูตายใช่มั๊ย งั้นมึงดู!” หลังจากผู้หญิงคนนั้นพูดจบ พี่ปอก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก่อนเธอจะเสียชีวิต เธอถูกผู้ชายฉุดมาข่มขืน หลักจากโดนกระทำชำเราจนสาแก่ใจชายโฉด ก็ถูกฆ่าโดยการถูกขวานฝ่ามาที่หน้า! เธอทุรนทุรายอยู่นาน แต่สุดท้ายก็เสียชีวิตไปในที่สุด ในตอนนั้นพี่ปอคิดว่าเป็นแค่ฝัน แต่หลังจากที่ตื่นนอนก็ได้หาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ ปรากฏว่าเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริง จึงคิดว่าจะหาวันไปทำบุญให้ ก่อนวันที่จะไปทำบุญก็มีการเตรียมของก่อน 1 วัน ในคืนนั้น ทุกคนเข้านอนกันตามปกติ แต่ที่แปลกคือคืนนั้นทุกคนฝันคล้ายกันว่ามีผู้หญิงมาเข้าฝัน เธอพูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นว่า “พวกมึงจะไล่กูใช่มั๊ย!” รุ่งขึ้นทุกคนจึงมารวมตัวกัน และได้เล่าสิ่งที่ฝันสู่กันฟัง จากนั้นจึงตัดสินใจพากันจุดธูปเพื่อบอกว่าไม่ได้มีเจตนาจะไล่แต่อย่างใด แค่จะไปทำบุญให้เท่านั้นเอง หลังจากทำบุญเสร็จทุกคนที่อยู่บ้านหลังนี้ก็ไม่ได้เจอกับผู้หญิงคนนี้อีกเลย กลับกลายเป็นว่าคนที่แวะเวียนมามักจะเจอเรื่องราวแปลก ๆ อยู่เสมอ ทั้งเห็นว่ามีบางอย่างเดินผ่านบ้าง ประตูปิดเองบ้าง พอคิดว่าคนแกล้งแต่เมื่อออกไปดูก็จะไม่เห็นใครเลย สุดท้ายแล้ว ทุกคนก็ตัดสินใจที่จะไม่เช่าต่อ และย้ายออกไป หลังจากนั้นไม่นาน ผู้เช่าใหม่ก็ได้มาเช่าต่อ เพื่อเปิดเป็นร้านทำสปาในชั้นแรก ชั้นที่ 2 ให้บริการอบไอน้ำ เมื่อมีลูกค้ามาใช้บริการที่ร้านก็มักจะรู้สึกว่ามีคนแอบมองอยู่ตลอดเวลา บางทีเจ้าของร้านเอง ก็สัมผัสถึงดวงวิญญาณของผู้หญิงคนนี้ได้เหมือนกัน วันหนึ่ง เธอสวดมนต์อยู่ที่ชั้น 4 ในระหว่างที่กำลังสวดมนต์อยู่ ลูกก็ขึ้นมาหา แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือ แม่กำลังนั่งสวดมนต์ปกติ แต่ตัวแม่งอผิดปกติ เหมือนกับว่ากระดูกงอหักไป เพราะเห็นผู้หญิงกำลังนั่งค่อมบริเวณไหล่อยู่! จากนั้นจึงถามแม่ว่า “แม่เป็นอะไร” เธอตอบว่า “ไม่ได้เป็นอะไร แต่รู้สึกว่าปวดตัวแปลก ๆ” หลักจากนั้นทั้งคู่ก็เดินลงมาชั้นล่าง ลูกชายจึงตัดสินใจเล่าสิ่งที่เห็นให้แม่ฟังทั้งหมด หลังจากนั้นแม่ก็เจอเรื่องสุดหลอนมาโดยตลอด จนต้องเลิกกิจการ ในขณะที่เธอและลูกชายกำลังขนย้ายสัมภาระอยู่นั้น ก็มองไปที่รูปภาพที่เธอบูชา จึงคิดว่าจะนำไปด้วย ในขณะที่มือเอื้อมไปหยิบกรอบรูป และดึงด้ายสายสิญจน์ออก ปรากฏว่าผ้ายัญก็หลุดออกมา ทั้ง ๆ ที่ถูกแปะไว้คนละจุดกับด้ายสายสิญจน์ เธอรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ตัดสินใจเก็บสัมภาระให้เสร็จเร็ว ๆ หลังจากปิดกิจการก็ย้ายกลับมาอยูบ้าน คืนหนึ่งระหว่างที่นอนหลับ ก็ฝันเห็นผู้หญิงคนนั้น ในฝันเธอบอกว่า “หนูขอบคุณมากนะ หนูออกจากที่นั่นได้แล้ว” และฝันแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง จนคืนหนึ่ง เธอก็ฝันถึงผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง เธอมาบอกว่า “พี่ หนูไปก่อนนะ” หลังจากนั้นก็ไม่เคยฝันเห็นผู้หญิงคนนั้นอีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

หนุ่มไรเดอร์วิ่งงานกะดึก ได้ออเดอร์ส่งอาหารแต่ลูกค้าขอให้ซื้อธูปไปด้วย พอถึงหมุดหมายก็พบว่าเป็นบ้านร้าง แถมลูกค้ายังบอกอีกว่า “ถ้าส่งเสร็จแล้วให้ขับรถออกไป อย่าหันมามองเด็ดขาด” แต่ด้วยความห้าว! จึงหันกลับไปมอง ...เท่านั้นแหล่ะ บิดรถสุดกำลัง!

07 เม.ย. 2023

หนุ่มไรเดอร์วิ่งงานกะดึก ได้ออเดอร์ส่งอาหารแต่ลูกค้าขอให้ซื้อธูปไปด้วย พอถึงหมุดหมายก็พบว่าเป็นบ้านร้าง แถมลูกค้ายังบอกอีกว่า “ถ้าส่งเสร็จแล้วให้ขับรถออกไป อย่าหันมามองเด็ดขาด” แต่ด้วยความห้าว! จึงหันกลับไปมอง ...เท่านั้นแหล่ะ บิดรถสุดกำลัง!

เรื่องราวในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมานั้น (21 มีนาคม 2566) ได้มีสายจาก ‘คุณอาร์ท’ ไรเดอร์หนุ่มที่ได้เจอประสบการณ์ขวัญผวาขณะขับรถไปส่งอาหารกะกลางคืน ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ ต้องเสียวสันหลังวาบ! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญอ่านกันได้เลย! คุณอาร์ทเล่าว่า ตนเองนั้นทำอาชีพไรเดอร์เป็นหลักได้เกือบหนึ่งปีแล้ว ส่วนใหญ่จะรับงานช่วงกลางคืน เพราะอากาศไม่ร้อนและรถไม่ติด คืนที่เกิดเรื่อง คุณอาร์ทจำได้ขึ้นใจว่าเป็นคืนสิ้นปี วันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมานี้เอง ถึงแม้จะเป็นคืนเคาท์ดาวน์ แต่คุณอาร์ทก็ยังรับงานเป็นปกติ เมื่อได้รับออเดอร์จากร้านอาหารก็ขับรถจักรยานยนต์ไปรับอย่างที่เคยทำ เมื่อถึงที่ร้านก็ได้บังเอิญเจอพี่ไรเดอร์ที่รู้จักกัน ระหว่างที่รออาหารก็ทักทายพูดคุยกันทั่ว ๆ ไปว่า “ได้ออเดอร์หรอ? แล้วต้องเอาไปส่งแถวไหน?” คุณอาร์ทไม่รู้จักสถานที่เพราะไม่เคยไปส่งเลยไม่รู้จะบอกยังไง จึงยื่นโทรศัพท์ที่ปักหมุดสถานที่นั้นให้พี่ไรเดอร์ดู ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็ถอดสี! คุณอาร์ทเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของพี่ไรเดอร์ก็ถามกลับไปว่า “พี่ป่วยรึเปล่า? เป็นอะไรมั้ยพี่?” แต่พี่ไรเดอร์ก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไร และถามกลับมาว่า “ไปคนเดียวหรอ?” คุณอาร์ทได้ยินก็ตอบติดเล่นไปว่า “ไปคนเดียวดิพี่ ผมไม่ได้พาแฟนด้วยด้วยหนิ” แล้วเขาก็รีบยิงคำถามกลับมาว่า “แล้วเคยไปที่นี่มั้ย?” คุณอาร์ทที่แม้จะงงกับคำถาม แต่ก็ตอบกลับไปว่า “ไม่เคยไป ไม่รู้ชื่อหมู่บ้านด้วย” พอตอบไปแบบนั้นพี่ไรเดอร์ก็บอกว่า “ไม่ต้องกลัวผีหรอก กลัวคนดีกว่า” คำพูดนั้นตงิดใจคุณอาร์ทขึ้นมา จึงนึกถึงตอนที่พี่ไรเดอร์คนนี้หน้าถอดสีเมื่อเห็นโลเคชั่นบนโทรศัพท์ คุณอาร์ทเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อยแต่ก็ไม่กล้าถามอะไรต่อ เพราะหากได้ยินเรื่องเล่านั้นขึ้นมา คุณอาร์ทจะกลัวกว่าเดิม... พอคุณอาร์ทรับอาหารเสร็จ พี่ไรเดอร์ก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “มีไฟแช็คมั้ย?” คุณอาร์ทก็สงสัยถามกลับไปว่า “ถามทำไมอ่ะพี่ พี่จะดูดบุหรี่หรอ?” เขาก็ตอบว่า “ถ้าไม่มีเดี๋ยวพี่ให้ยืม” ทันใดนั้นก็มีข้อความของลูกค้าเด้งขึ้นมาว่า “น้องไรเดอร์คะ แวะร้านขายของชำซื้อธูปให้พี่มัดนึงได้มั้ย?” พี่ไรเดอร์ที่เห็นข้อความนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “นี่ไง พี่ถึงได้ถามว่ามีไฟแช็คหรือเปล่า จะได้ให้ยืมไป” คุณอาร์ทได้ยินดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกงงเข้าไปใหญ่ และไม่เข้าใจว่านี่มันเรื่องอะไร แต่ก็ตอบตกลงไปเพราะลูกค้าบอกว่าจะให้ทิปพิเศษ เมื่อซื้อของตามที่ลูกค้าบอกแล้ว คุณอาร์ทก็ขับรถมุ่งหน้าสู่โลเคชั่นตามที่หมุดหมายเอาไว้.. ห่างจากร้านอาหารประมาณ 5 กิโลเมตร คุณอาร์ทก็มาถึงหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แต่ก็รู้สึกแปลกใจเพราะวันนี้เป็นคืนสิ้นปี คนส่วนใหญ่ก็จะเลี้ยงสังสรรค์ฉลองเคาท์ดาวน์กัน แต่ที่นี่กลับไร้วี่แวว มีเพียงบ้านบริเวณด้านหน้าไม่กี่หลังที่เปิดไฟอยู่ ส่วนบ้านที่คุณอาร์ทต้องไปส่งอยู่ท้ายหมู่บ้าน เป็นบ้านในซอย 7 หลังที่ 4 ซึ่งบ้านในซอยนี้ล้วนแล้วแต่มีป้ายประกาศยึดทรัพย์จากธนาคารแทบทุกหลัง คุณอาร์ทจึงโทรกลับไปถามลูกค้า เพราะอาจจะปักหมุดผิด แต่ลูกค้าก็บอกว่า “ที่นี่แหล่ะ ถึงแล้ว” และลูกค้ายังบอกอีกว่า “น้องไรเดอร์คะ รบกวนเปิดกล่องข้าวและจุดธูปปักให้หน่อยได้มั้ย” คุณอาร์ทจึงบอกไปว่า “โห่พี่ นี่มันจะนอกเหนือหน้าที่ของผมแล้วนะครับ” แต่ลูกค้าก็ยังยืนกรานว่าจะให้ทำแถมยังเพิ่มทิปพิเศษให้อีก คุณอาร์ทยอมจำนนจึงยอมทำตาม และในใจลึก ๆ ก็เริ่มรู้สึกกลัว จึงรีบทำแบบส่ง ๆ ไป พอใกล้จะเสร็จลูกค้าก็ยังบอกอีกว่า “น้อง ถ้าน้องทำเสร็จแล้ว ให้เดินไปที่รถและรีบขับออกไปเลย ไม่ว่ายังไงอย่าหันกลับไปมองนะ” ได้ยินดังนั้นคุณอาร์ทก็ทำตาม แต่ด้วยความที่ห้ามความห้าวของตัวเองไว้ไม่ไหว จึงแอบชำเลืองหันไปมอง ภาพที่เห็นทำให้คุณอาร์ทต้องขนลุกไปทั้งตัว! เพราะมันคือเงาดำ ๆ รุมกินข้าวกล่องที่เปิดอยู่ เท่านั้นยังไม่พอ หนึ่งในเงาดำนั้นรู้ว่าคุณอาร์ทมอง จึงทำท่าจะพุ่งเข้ามาหา! คุณอาร์ทตกใจมากจึงรีบตั้งสติแล้วรีบขับรถออกมาให้พ้นหมู่บ้านนั้นทันที! คุณอาร์ทขับรถกลับมาที่ร้านอาหารอีกครั้ง และพบว่าพี่ไรเดอร์คนเดิมยังนั่งอยู่ เมื่อเห็นคุณอาร์ก็ส่งยิ้มอย่างมีเลศนัยมาให้และถามว่า “เป็นไง เรียบร้อยมั้ย” คุณอาร์ทที่ทั้งกลัวและหัวเสียจึงตอบไปว่า “โหย เรียบร้อยอะไรพี่ ผมโดนผีหลอกมาเนี่ย” พี่ไรเดอร์จึงเลยบอกว่า “ตอนไปครั้งแรกพี่ก็โดนแบบเอ็งนี่แหละ เค้าโดนกันมาหมดแล้ว และที่พี่ไม่บอก เพราะอยากให้เอ็งได้รู้ไง” คุณอาร์ทจึงถามพี่ไรเดอร์ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันมีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ พี่ไรเดอร์บอกว่า “บ้านหลังนี้ไม่เคยมีประวัติอะไรทั้งนั้น เป็นบ้านคนทั่ว ๆ ไป แต่พอไม่มีคนอยู่ ผีก็มาอาศัยอยู่แทน ทำให้มีคนมาขอสิ่งต่าง ๆ กับผีเหล่านี้ และพอได้ตามใจหวัง เลยเลี้ยงอาหารผีเป็นการตอบแทน” เช้าวันถัดมา คุณอาร์ทยังค้างคาใจกับเรื่องนี้ไม่หาย จึงกลับไปดูบ้านหลังนั้นอีกครั้ง พอไปถึงก็เห็นว่ากล่องข้าวที่วางทิ้งไว้ประมาณ 30-40 กล่อง มีเศษธูปเกลื่อนเต็มหน้าบ้าน มีผ้าสามสีผูกไว้กับต้นไม้ใกล้ ๆ กันเต็มไปหมด! พอคุณอาร์ทนึกย้อนกลับไปก็พบว่าเมื่อคืนนี้คุณอาร์ทไม่เห็นวี่วแววของสิ่งเหล่านี้เลยทั้ง ๆ ที่ไฟก็ส่องถึง จึงกลับไปเล่าเรื่องนี้ให้พี่ไรเดอร์คนเดิมฟังอีกครั้ง ซึ่งพี่เขาก็ได้เล่าประสบการณ์ของตัวเองว่าเจอมาหนักกว่าคุณอาร์มาก นั่นก็คือเจอผีตามถึงบ้าน เพราะพี่เขาเป็นคนไม่เชื่อ แถมในวันนั้นก็ยังลบหลู่โดยการจุดธูปเสร็จก็เอาเท้าเขี่ยกล่องข้าวและบอกว่า “อ่ะกิน ๆ แ*ก ๆ ไอ้พวกผีไม่มีญาติ” ถึงขั้นต้องไปหาหลวงพ่อที่วัดให้ช่วยเพราะผีตามหลอกหลอนไม่หยุด และจนถึงปัจจุบันออเดอร์เลี้ยงอาหารผีที่บ้านหลังนี้ก็มีมาเรื่อย ๆ ซึ่งคนที่กดรับคำสั่งก็มักจะเป็นไรเดอร์หน้าใหม่ที่ยังไม่เคยเจอ ซึ่งหากมาถามคุณอาร์ท คุณอาร์ทก็จะไม่บอกเช่นกัน “เพราะถ้าเรารู้ นายก็ต้องรู้ด้วย” เรื่องหลอนจากการส่งอาหารกลางดึกยังไม่หมดเพียงเท่านี้ คุณอาร์ทเล่าอีกว่ามีครั้งหนึ่งได้รับออเดอร์ให้ไปส่งอาหารที่หอพักนักศึกษา โดยเส้นทางนี้มีถนนสองเลน ไฟข้างทางก็ส่องลงมาตามถนน คุณอาร์ทเห็นไกล ๆ ว่ามีอะไรสักอย่างสีขาวใหญ่ ๆ ยาว ๆ อยู่ตรงถนน จึงคิดว่าคงมีสุนัขมานอนขวาง และขับเบี่ยงไปทางซ้ายเพื่อที่จะหลบ แต่เมื่อยิ่งขับไปใกล้เท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นชัดว่ามันคือผ้าขาวที่ห่อเป็นรูปร่างคล้ายศพ คุณอาร์ทก็ทำใจดีสู้เสือโดยการขับรถผ่านแบบไม่มอง แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงหันไปดูว่ามีอะไรตามมามั้ย ซึ่งความท้าทายนั้นก็สนองแด่คุณอาร์ท เพราะสิ่งนั้นมันกลิ้งตาม! คุณอาร์ทเห็นเข้าก็บิดรถสุดกำลังจนถึงคอสะพานที่มีไฟสว่างๆ ผ้าขาวห่อศพนั้นมันก็ค่อยๆหายไปแบบไร้ร่องรอยทันที! และนี่คือเรื่องหลอนชวนผวาจากคุณอาร์ท ไรเดอร์ส่งอาหารกะดึก ที่นอกจากจะต้องระวังเรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว ยังต้องระวังออเดอร์แปลก ๆ ที่อาจพาความหลอนมาส่งแทนด้วย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เปิดร้านทำผมใกล้สถานศึกษาจนได้รู้จักกับน้องคนหนึ่ง ทั้งคู่เกิดความรู้สึกดี ๆ ให้กัน คืนหนึ่งรุ่นน้องมานอนพักที่ร้าน จากนั้นก็ฝันว่าน้องคนนั้นตาย! พอตื่นมาก็เห็นข่าวว่าน้องโดนยิงตาย แต่ไม่เชื่อ จึงขึ้นไปเช็คที่ห้องนอน ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลย!

14 ก.ย. 2023

เปิดร้านทำผมใกล้สถานศึกษาจนได้รู้จักกับน้องคนหนึ่ง ทั้งคู่เกิดความรู้สึกดี ๆ ให้กัน คืนหนึ่งรุ่นน้องมานอนพักที่ร้าน จากนั้นก็ฝันว่าน้องคนนั้นตาย! พอตื่นมาก็เห็นข่าวว่าน้องโดนยิงตาย แต่ไม่เชื่อ จึงขึ้นไปเช็คที่ห้องนอน ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลย!

เมื่อความรักเกิดขึ้นได้ทุกช่วงเวลา แต่กลับถูกความตายมาพลัดพราก ทำให้ความสัมพันธ์ยังคลุมเครือไม่ได้ไปต่อ เรื่องราวความรักสีดำครั้งนี้จะเป็นยังไง รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 กันยายน 2566) ขอต้อนรับ ‘พี่ขวัญ น้ำมันพราย’ พบกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ที่จะมาร่วมปิดไฟ แล้วเปิดประสบการณ์ความรักสุดหลอนกันในค่ำคืนนี้! ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน เรื่องราวเกิดขึ้นกับ LGBTQ ท่านหนึ่ง ชื่อว่า ‘พี่แอน’ อดีตเคยเป็นลูกจ้างร้านเสริมสวยร้านหนึ่ง สะสมประสบการณ์เก็บเงินจนเติบโตกลายเป็นเจ้าของร้านเสริมสวยแถวมหาวิทยาลัยย่านรังสิต หลังจากเปิดมาได้ปีกว่าก็มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก พี่แอนจึงตัดสินใจจ้างลูกน้องให้มาช่วยงานที่ร้าน ตัวพี่แอนเองมักจะสนิทสนมกับนักศึกษาหลายคน แต่มีนักศึกษาผู้ชายคนหนึ่ง มักจะมากับกลุ่มเพื่อนบ่อย ๆ แต่ตัวน้องผู้ชายไม่เคยตัดผมที่ร้านเลย และด้วยความหน้าตาดี เรียบร้อย พี่แอนก็เกิดความรู้สึกดี มีใจให้กับนักศึกษาหนุ่มคนนี้ เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองเริ่มรู้จักกันมากขึ้นเรื่อย ๆ น้องคนนี้มีชื่อว่า ‘นัท’ เป็นเด็กต่างจังหวัดเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ หางานพิเศษทำเพื่อส่งตัวเองเรียน พี่แอนเองก็ไม่กล้าบอกคนอื่นว่ามีตนเองมีใจให้กับนัท เพราะกลัวนัทจะอาย พี่แอนจึงทำได้เพียงบอกให้นัทมาตัดผมฟรีที่ร้าน แต่ห้ามบอกใครว่าได้ตัดผมฟรี นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสเจอกันอยู่บ่อยครั้ง วันหนึ่งนัทมานั่งในร้านทำผมด้วยหน้าตาที่เศร้าหมอง พี่แอนจึงเดินเข้าไปถามว่า “นัทเป็นอะไร?ปกติจะร่าเริงกว่านี้” นัทเล่าเรื่องราวให้ฟังถึงปัญหาที่ตนกำลังพบเจอ ทั้งหางานพิเศษไม่ได้ ไม่มีเงิน แต่ที่ตัดสินใจเล่าให้ฟัง ไม่ได้ต้องการให้พี่แอนมาช่วย เพราะอยากจะหาเงินให้ได้ด้วยตัวเอง เหตุการณ์นี้ทำให้รู้ว่าความจริงแล้ว ทั้งนัทและพี่แอนก็ต่างมีความรู้สึกดี ๆให้กัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้สานความสัมพันธ์เกินกว่าพี่น้อง อยู่มาวันหนึ่งขณะที่พี่แอนกำลังดึงบานประตูเหล็กลงมาเพื่อปิดร้าน ระหว่างนั้นสายตาก็มองออกไปข้างนอก เห็นโต๊ะหินอ่อนที่ตั้งอยู่เยื้อง ๆ กับหน้าร้าน มีคนนั่งอยู่ พี่แอนก้มลงไปมองด้วยความสงสัย ทำให้เห็นว่าคนที่นั่งอยู่คือนัท จึงตะโกนออกไปว่า “นัท นัททำอะไรลูก” นัทหันหน้ามามองที่พี่แอนแล้วตอบกลับว่า “พี่แอน ผมปวดหัว” พี่แอนจึงตัดสินใจพานัทเข้ามานั่งในร้านเพื่อที่จะพูดคุย และยังหายามาให้ พี่แอนบอกกับนัทด้วยความห่วงใยว่า “นัท ถ้าไม่ไหว ไม่ต้องคิดอะไรมาก นอนที่นี่ก็ได้นะ ไม่ต้องกลัว พี่ไม่ทำอะไรหรอก” นัทก็นั่งซึมน้ำตาไหล พูดซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ ว่า “พี่แอน ผมปวดหัว ผมไม่ไหวแล้วพี่ ปวดหัวมากเลยพี่แอน” สักพักพี่แอนตัดสินใจอีกครั้งที่จะจับมือนัทขึ้นไปบนห้อง แล้วบอกว่า “นอนที่นี่แหละ ไม่ต้องกลัว พี่ไม่บอกใครว่านัทอยู่ที่นี่” ข้างบนห้องจะมีทีวีตั้งอยู่ปลายเตียง มีที่นอนประมาณ 5-6 ฟุตตั้งอยู่ นัทนอนลงบนที่นอนด้วยท่าตะแคงและหันหน้าไปทางกำแพง ส่วนพี่แอนเข้าไปอาบน้ำ เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นนัทกำลังนอนอยู่จึงเรียก “นัท นัท นัท นัทโอเคนะ” แต่ก็เงียบไม่มีเสียงตอบกลับ พี่แอนคิดในใจว่าสงสัยนัทจะหลับไปแล้ว พี่แอนจึงล้มตัวนอนลงข้าง ๆ โดยเว้นระยะไว้ให้ห่างจากนัท เพราะกลัวนัทตื่นมาจะตกใจ สถานการณ์ในตอนนั้นก็ต่างคนต่างนอน แต่แล้วจู่ ๆ พี่แอนก็ลืมตาขึ้นมา หันไปเห็นประตูฝั่งระเบียงเปิดอยู่ และเห็นเป็นคนกำลังยืนที่ระเบียง พอสายตาเริ่มปรับโฟกัสได้ก็พยายามมองว่าคนนั้นเป็นใคร แล้วตัดสินใจหันไปมองข้าง ๆ ที่นัทกำลังนอนอยู่ แต่สิ่งที่เห็นคือ นัทหายไป! พี่แอนเบนสายตากลับไปมองที่ระเบียงอีกครั้ง แต่คนที่ยืนอยู่คือนัท! พี่แอนรีบลุกขึ้นไปที่ระเบียงพร้อมกับส่งเสียง “นัท ไปทำอะไรตรงนั้นลูก” นัทก็หันหน้ามาตอบว่า “พี่แอนผมไม่ไหวแล้ว ผมปวดหัว” จากนั้นค่อย ๆ ปีนระเบียง และนั่งลงที่ขอบปูนเพื่อให้ขาห้อยไปด้านล่าง ด้วยความตกใจพี่แอนก็พูดขึ้นว่า “อย่า อย่า อย่า ลงมาเดี๋ยวตก!” นัทหันมาพูดซ้ำอีกว่า “พี่แอน ผมปวดหัว” จังหวะที่พี่แอนกำลังจะเอื้อมมือจับไหล่ สิ่งที่เห็นคือหน้าอีกข้างของนัทเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด แล้วนัทก็พูดขึ้นอีกว่า “พี่แอน ผมปวดหัว” จากนั้นก็ทิ้งตัวลงไปด้านล่างทันที! ด้วยความตกใจ พี่แอนก็ส่งเสียงกรี๊ดดังลั่น “นัท!!!” และสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมา เห็นว่าตัวเองนอนอยู่กับที่ แล้วหันไปมองที่นัทอีกครั้งก็ตกใจขึ้นอีก เพราะนัทนอนตะแคงจ้องตาโตมาที่พี่แอน แล้วพูดขึ้นว่า “พี่แอน ผมรักพี่นะ” พี่แอนตกใจส่งเสียงออกมา “เห้ยย!!” แล้วสะดุ้งตื่นอีกครั้ง กลายเป็นความฝันซ้ำสองรอบ! ลืมตามาอีกทีหันไปมองที่นัท ยังคงนอนนิ่ง ตะแคงไปทางกำแพงท่าเดิม แต่ตัวนัทเต็มไปด้วยเหงื่อ หัวเปียกเต็มไปหมด พี่แอนเองไม่กล้าจับนัท กลัวจะทำให้นัทตกใจตื่น จึงต่างคนต่างนอนไปแบบเดิม รุ่งเช้าพี่แอนลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเตรียมลงไปเปิดร้าน สายตาก็หันไปมองที่นัทอีกครั้ง นัทก็ยังคงนอนอยู่ท่าเดิม พี่แอนคิดว่าจะลงไปใส่บาตรพระ แล้วเปิดร้านตามปกติ และปล่อยให้นัทได้นอนพักไปก่อน ขณะที่กำลังใส่บาตรหน้าร้านตัวเอง หลวงพ่อกำลังจะเดินบิณฑบาตต่อ แต่ก็หยุดชะงักแล้วมองขึ้นไปด้านบนชั้นสอง พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “โยม ยังไงก็อย่าลืมหมั่นทำบุญให้เค้าบ่อย ๆนะ” พี่แอนก็สงสัยแต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ จากนั้นก็เปิดร้านทำความสะอาดกับน้องพนักงานที่ช่วยกันตามปกติ และเปิดทีวีขึ้น จังหวะนั้นก็มีเสียงอ่านข่าวดังขึ้น “ย่านรังสิต เกิดเหตุนักศึกษายิงกันเสียชีวิต จับคนร้ายได้แล้วแต่ดันยิงผิดคน” น้องพนักงานก็บ่นขึ้นว่า “ดูในข่าวดิพี่แอน ทำไมเดี๋ยวนี้คนมันใจร้ายเนอะ ฆ่ากันตายง่ายจังเลย เห้ย! พี่แอน ทำไมรถในข่าวมันเหมือนรถพี่นัทจัง” พี่แอนตอบกลับด้วยความไม่สนใจ “จะบ้าหรอไม่ใช่หรอก” จากนั้นก็ทำความสะอาดร้านต่อ จนกระทั่งมีโทรศัพท์โทรเข้ามาเป็นสายของลูกค้าโทรเข้ามาเพื่อที่จะจองคิวทำผม ไม่นานลูกค้าคนนั้นก็เข้ามาที่ร้าน และบังเอิญว่าเขาเป็นเพื่อนของนัท แล้วก็พูดขึ้นมาว่า “พี่แอนรู้ข่าวยัง นัทถูกยิงตาย” พี่แอนตกใจแต่ก็ไม่เชื่อแล้วพูดว่า “ถูกยิงยังไง จะบ้าหรอ ไม่จริงไม่เชื่อหรอก อย่ามาเล่น ไม่เอา!” เพื่อนของนัทยังคงยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง จนพี่แอนเกิดความโมโห เพราะรู้ว่านัทนอนอยู่ด้านบน พี่แอนพูดขึ้นมาอีกว่า “คือแบบนี้ ที่ไม่เชื่อเพราะนัทมันนอนอยู่ข้างบน ไม่กล้าตั้งแต่แรก บอกเพราะกลัวจะหาว่าอย่างนู้นอย่างนี้กัน เมื่อคืนมันไม่สบาย ก็เลยมาหา” เพื่อนก็ยังยืนยันอีกว่า “พี่แอน ไม่จริงหรอกนัทมันตายแล้วพี่” พี่แอนทนไม่ไหวจึงตัดสินใจพาทุกคนไปพิสูจน์ความจริง “ถ้านัทไม่อยู่เดี๋ยวให้คนละ 500 เลย แต่ถ้ามันนอนอยู่จ่ายมาด้วยคนละ 500 ด้วย” ทั้งสามคนพากันขึ้นไปดูที่ชั้นสอง แง้มประตูให้เปิดออกช้า ๆ ด้วยความมืดพี่แอนก็มองเห็นว่านัทลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง “นั่นไง เห็นไหมมันนั่งอยู่ในห้อง” พอเปิดประตูจนสุดปรากฏว่า ไม่มีใครอยู่ในห้องเลย มีเพียงความเงียบเท่านั้น พี่แอนเริ่มรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ยังไม่เชื่อ “ต้องมีดิ เมื่อกี้ยังเห็นนัทมันนั่งอยู่เลย เมื่อคืนก็อยู่ด้วยกัน” ด้วยความที่ใจไม่ดีแล้ว ลูกค้าหลายคนก็พูดถึงเรื่องนัทกันอย่างต่อเนื่อง พี่แอนจึงรีบปิดร้าน เพื่อจะเดินทางไปดูศพที่ถูกยิง แล้วสุดท้ายภาพที่เห็นก็คือศพนัทจริง ๆ เมื่อรู้ความจริงทำให้พี่แอนหดหู่ใจคอไม่ดี จึงตัดสินใจปิดร้าน 3 วัน เพื่อกลับต่างจังหวัด จากนั้นก็กลับมาเปิดร้านอีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงร้านลูกน้องก็รีบเดินเข้ามาบอกกับพี่แอนว่า “พี่แอน มีคนเขาพูดกันว่า เห็นนัทมาที่หน้าร้านพี่แอนทุกคืนเลย” แต่พี่แอนเองก็ไม่เชื่อ จนอยู่มาวันหนึ่ง พี่แอนกำลังกำลังดึงบานประตูเหล็กลงมาล็อคเพื่อปิดร้านตามปกติ แต่จังหวะที่กำลังจะหันหลังกลับ ก็มีเสียงเคาะประตูเหล็กดังขึ้น ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง! “พี่แอน พี่แอน นัทเอง!” ตัวพี่แอนก็ลืมว่านัทตายแล้ว จึงตอบกลับแบบไม่ทันคิด “อ้าว! นัทเข้ามาก่อน เดี๋ยวพี่เปิดประตูให้” เมื่อกำลังเอื้อมมือไปเปิดกุญแจ ก็นึกขึ้นได้ว่านัทตายแล้ว ด้วยความสงสัยก็ส่งเสียงออกไปอีกครั้งว่า “นัทแน่นะ” แม้ในใจยังคิดสับสนกับตัวเองว่าใครมาแกล้ง หรือว่าเป็นนัทจริง ๆ คิดในใจวนไปวนมา จนมีเสียงดังขึ้น “ไม่มีใครแกล้งหรอก ผมมาลาพี่นะ” ด้วยความสงสารนัท พี่แอนรวบรวมความกล้าตัดสินใจ ไขกุญแจแล้วเปิดประตูบานเหล็กขึ้น สิ่งที่เห็นคือ ความว่างเปล่า มีแต่เสียงหมาหอนค่อย ๆ ดังขึ้นเท่านั้น หลังจากเหตุการณ์คืนนั้นพี่แอนก้ไม่เคยเห็นหรือได้ยินเสียงนัทอีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากมิวสิค 'เปรตเเถวบ้าน' l อังคารคลุมโปง X ปลายฟ้า-มิวสิค [ 11 พ.ย.2568 ]

20 พ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากมิวสิค 'เปรตเเถวบ้าน' l อังคารคลุมโปง X ปลายฟ้า-มิวสิค [ 11 พ.ย.2568 ]

'คืนหมาหอน' ในช่วงวันเลือกตั้งที่ชาวบ้านในพื้นที่จะรู้กันเลยว่า ต้องรีบเข้านอนก่อนฟ้ามืดเพราะอาจจะมีการเก็บหัวคะแนนกันเกิดขึ้น ในคืนนั้นก็มีเสียงดัง ‘ปั้ง’ เกิดขึ้นในกลางดึกแบบที่คิดไว้ หลังจากนั้นผ่านไปสามวันคุณแม่ ได้ยินเสียงหมาหอนดังไล่มาตามถนน พร้อมกับเห็นเงาสูงใหญ่เดินผ่านจุดเกิดเหตุ!? เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปงXปลายฟ้า - มิวสิค’ (11 พฤศจิกายน 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘เปรตแถวบ้าน’ ‘มิวสิค’ ได้เล่าเรื่องราวของ ‘คุณแม่’ ที่เคยเจอเหตุการณ์นี้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นที่จังหวัดสมุทรปราการเมื่อก่อนคุณแม่ จะอาศัยอยู่ใกล้ตลาดปลาแห่งหนึ่ง ซึ่งพื้นที่แถบนั้นเมื่อก่อนชาวบ้าน จะเรียกคืนคืนหนึ่งว่า คืนหมาหอน จะเป็นช่วงวันเลือกตั้ง ที่ชาวบ้านต่างรู้กันดีว่า ต้องรีบเข้าบ้านก่อนฟ้ามืด เพราะจะมีการ เก็บหัวคะแนน ในคืนก่อนเลือกตั้ง ซึ่งตึกที่คุณแม่ อาศัยอยู่จะใกล้กับบ้านของหัวคะแนนคนหนึ่งนั้น และตึกนั้นค่อนข้างแปลกตา เพราะเป็นตึกกระจกแบบ 360 องศา ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จึงทำให้มองเห็นวิวได้ทั้งหมดเลย คืนนั้น…คุณแม่ รู้ว่าจะมีการเก็บหัวคะแนน จึงเข้านอนเร็ว แต่เมื่อมองออกไปทางหน้าต่าง ก็เห็นว่าชายคนนั้นยังไม่เข้าบ้าน นั่งดื่ม นั่งคุยกับเพื่อนอย่างไม่รู้ชะตากรรม… ไม่นานหลังจากนั้น เสียงดัง ‘ปั้ง!’ ก็ดังขึ้นกลางดึก คุณแม่ กับคุณยายได้ยินเต็มสองหู ต่างรู้ทันทีว่า เขาโดนเก็บแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งคู่เดินไปดูที่เกิดเหตุ ก็พบเพียง คราบเลือด ทิ้งไว้ให้เห็นอยู่ตรงจุดนั้นหลังจากนั้นเวลาผ่านไปได้ สามวัน คืนนั้นขณะที่คุณแม่ นอนอยู่ในห้องฝั่งหัวเตียงหันไปทางถนนที่มีแสงไฟลอดหน้าต่างเข้ามากระทบกับกำแพงตรงปลายเท้า คุณแม่ได้ยินเสียงหมาหอน…เสียงนั้น ค่อย ๆ ดังขึ้น จนเหมือนเสียงมันไล่เข้ามา ตามทางถนนหน้าบ้าน จากนั้นเสียง ‘วี๊ดดดด…’ ก็ดังขึ้น พร้อมกับเห็นเงาของสิ่งที่มีชีวิต สูงใหญ่มากผิดปกติ ค่อย ๆ เดินผ่านไปช้า ๆ เงานั้นทอดยาวผ่านปลายเตียงของคุณแม่ พร้อมกับเสียง ‘วี๊ดดดด’ ที่ดังยาวต่อเนื่องไม่ขาดสายคุณแม่เชื่อว่า…สิ่งที่เห็นในคืนนั้น คือ ‘เปรต’ ที่กลับมาวนเวียนอยู่ตรงจุดที่เขาเสียชีวิต เพราะครบ สามวัน พอดีกับความเชื่อของคนโบราณ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

album

0
0.8
1