เรื่องเล่าจากคุณเต้ย ผีเหรียญ 'คนขวัญเเหลว' l อังคารคลุมโปง X เป้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก [25 ก.พ. 2568 ]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเต้ย ผีเหรียญ 'คนขวัญเเหลว' l อังคารคลุมโปง X เป้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก [25 ก.พ. 2568 ]

02 มี.ค. 2025

         จะเป็นอย่างไร ถ้านาน ๆ ทีจะได้กลับบ้านเกิด แต่ดันได้เจอกับ “คนที่ไม่อยู่แล้ว” แบบไม่รู้ตัว!? เรื่องนี้ ‘คุณเต้ย ผีเหรียญ‘ ได้นำมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (25 กุมภาพันธ์ 2568) เมื่อเล่าจบทั้ง ’ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม‘ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพีคสุด! ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านกันเลย!

         ‘คุณเต้ย ผีเหรียญ’ เล่าว่าเจ้าของเรื่องคือ ‘คุณเม่น’ เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในปี 2567 เมื่อ คุณเม่น เดินทางกลับมายังบ้านเกิด หลังจากทำงานขุดเจาะน้ำมันในต่างประเทศเป็นเวลานาน การเดินทางกลับล่าช้าไปมาก เนื่องจากสถานการณ์โควิดในช่วงก่อนหน้านั้น

         เมื่อกลับถึงบ้านในจังหวัดทางภาคเหนือ ทางบ้านของคุณเม่นได้จัด ‘พิธีฮ้องขวัญ’ หรือ ‘สู่ขวัญ’ ตามประเพณีท้องถิ่น โดยหมอทำขวัญทางภาคเหนือจะเรียกกันว่า ‘หมอมด’ (หมอมด หรือหมอทำขวัญ หรือหมอพื้นบ้าน ที่ทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ เช่น พิธีสู่ขวัญ (ฮ้องขวัญ) เพื่อเรียกขวัญให้กลับมาอยู่กับร่างกาย หรือทำพิธีปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากตัวคน) โดยเขาได้เตือนคุณเม่นว่า ให้ระวังตัวเพราะว่าตอนนั้นอายุของคุณเม่นอยู่ในช่วงเบญเพสพอดี อีกทั้งยังกล่าวว่าคุณเม่นเป็น คนขวัญแหลว หรือ ขวัญอ่อน อาจถูกสิ่งไม่ดีรังควานได้

         หลังจากทำพิธีผ่านไป 1 วัน คุณเม่นออกเดินทางไปเยี่ยมญาติ พร้อมนำของฝากไปมอบให้แต่ละบ้าน จนกระทั่งไปถึงบ้านหลังสุดท้าย ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ‘พี่ตาล’ พี่ชายที่เคยสนิทกันมากในวัยเด็ก แต่ด้วยปัญหาความขัดแย้งระหว่างผู้ใหญ่ในครอบครัว ทำให้พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายปี ด้วยความคิดถึง เม่นจึงตัดสินใจไปหาโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เนื่องจากขาดการติดต่อไปเป็นเวลานาน เลยทำให้ไม่มีช่องทางการติดต่อ

         เมื่อไปถึงหน้าบ้านพี่ตาล เวลาราว 6 โมงเย็น บริเวณรอบบ้านเปลี่ยนแปลงไปมาก จากพื้นที่ว่างเปล่ากลายเป็นบ้านเรียงราย และประตูหน้าบ้านของพี่ตาลถูกคล้องโซ่ปิดไว้ คุณเม่นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจกลับ ทันใดนั้น เสียงเรียกดังขึ้นจากในบ้าน

         “ใครมา?”

         เสียงนั้นเป็นของ ‘ยายไทย’ ยายของพี่ตาล คุณเม่นจึงตอบกลับไปว่าเขามาหาพี่ตาล

         ยายไทยกล่าวว่า “ตาลยังไม่กลับบ้าน”

         ก่อนจะชวนคุณเม่นเข้าไปนั่งรอในบ้าน

         ทั้งสองพูดคุยกันเกือบสิบนาที แต่พี่ตาลก็ยังไม่กลับมา เวลานั้น ฟ้าเริ่มมืด คุณเม่นจึงขอตัวกลับก่อน ขณะที่กำลังเดินออกไป เสียงตะโกนโวยวายก็ดังขึ้นจากข้างบ้าน

         “ใครน่ะ!? เข้ามาทำอะไรบ้านคนอื่น!?”

         คุณเม่นหันไปตามเสียง ก็พบ อาม่าท่านหนึ่ง เดินถือไม้เท้า ขากะเผลกแล้วพูดว่า

         “บ้านนี้มีแต่อาตาลคนเดียว! ซี้ซั้ว! ขโมย! ขโมยขึ้นบ้าน!”

         คุณเม่นพยายามอธิบาย แต่ดูเหมือนอาม่าจะไม่ฟัง กลับตะโกนโวยวายเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ เวลานั้นฟ้ามืดสนิทแล้ว คุณเม่นกลัวว่าชาวบ้านจะเข้าใจผิด จึงรีบวิ่งออกจากบ้านไปขึ้นรถแล้วขับกลับบ้านทันที

         เมื่อกลับมาถึงบ้าน คุณเม่นพบว่าพ่อและแม่แต่งกายด้วยชุดดำ กำลังจะออกไปงานศพที่หมู่บ้านข้าง ๆ เขาจึงยังไม่ได้เล่าเรื่องที่เพิ่งพบเจอ จนกระทั่งสามทุ่มกว่า พ่อแม่กลับมาถึงบ้าน คุณเม่นจึงตัดสินใจเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ทันทีที่พูดจบ แม่ของคุณเม่นกลับมีสีหน้าตกใจ ก่อนจะเอ่ยว่า

         “ยายไทยเสียไปนานแล้วนะ…”

         คำพูดนั้นทำให้คุณเม่นขนลุกไปทั้งตัว “เป็นไปไม่ได้… ผมเพิ่งคุยกับท่านมา!”

         พ่อของคุณเม่นได้เดินเข้ามาสมทบ และยืนยันว่าจริง “ยายไทยเสียไปตั้งแต่ช่วงโควิด ตอนที่ลูกยังอยู่ต่างประเทศ” แม้จะมีการส่งข่าวไป แต่ด้วยความวุ่นวายในช่วงนั้น ทำให้เขาอาจลืมไปแล้ว

         เขาพยายามคิดทบทวนถึงสิ่งที่ได้ยิน แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน

         ตกลงแล้ว…เขาเจอผีจริง ๆ ใช่ไหม?

         เมื่อพ่อแม่ยืนยันเรื่องการเสียชีวิตของยายไทย รวมถึงสิ่งที่เขาได้พบเจอ มันทำให้เม่นแน่ใจว่านี่คือ ครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับวิญญาณแบบเต็ม ๆ โดยไม่รู้ตัว

         พ่อแม่พยายามปลอบใจ บอกว่า “ท่านคงคิดถึง เพราะเลี้ยงลูกมาตั้งแต่เด็ก” พร้อมกำชับให้คุณเม่นไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ยายไทย

         เช้าวันรุ่งขึ้น คุณเม่นไปทำบุญตามที่พ่อแม่แนะนำ และความหวาดกลัวก็เริ่มผ่อนคลายลง กลายเป็นเพียงความคิดถึง

         ตกเย็น พ่อแม่ชวนเม่นไปงานศพของเพื่อนบ้านเก่าสมัยเด็ก ๆ เม่นรับปากและเดินทางไปด้วยกัน เมื่อไปถึงศาลา เขากำลังจะเดินไปไหว้ศพ แต่แล้วภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เข่าทรุดลงแทบจะล้มทั้งยืน ในกรอบรูปของผู้เสียชีวิต คือใบหน้าของอาม่าที่ไล่เขาเมื่อวาน!

         เม่นพยายามตั้งสติ ก่อนจะสอบถามข้อมูลจากลูกหลานของอาม่าและได้ทราบว่า อาม่าเพิ่งเสียจากอาการหัวใจวายเมื่อสองวันก่อน ที่สำคัญ ลูกหลานยังบอกว่า “อาม่าขาไม่ค่อยดี เวลาจะเดินไปไหนต้องใช้ไม้เท้าพยุง”

         ทุกอย่างตรงกับสิ่งที่เขาเห็นไม่มีผิด…

         เท่ากับว่าเย็นวันนั้น คุณเม่นได้คุยกับวิญญาณถึง 2 ดวงในวันเดียวกันโดยที่ไม่รู้ตัวว่านั่นไม่ใช่คน ซึ่งเขาก็คิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะเขาขวัญแหลวแบบที่หมอมดบอก จนทำให้เขาสื่อสารกับดวงวิญญาณได้

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากฟิล์ม ธนภัทร์ 'หอในมหาวิทยาลัยย่านรังสิต' I อังคารคลุมโปง X ฟิล์ม ธนภัทร - นุ่น ศิรพันธ์ [4 ก.พ. 2568]

09 ก.พ. 2025

เรื่องเล่าจากฟิล์ม ธนภัทร์ 'หอในมหาวิทยาลัยย่านรังสิต' I อังคารคลุมโปง X ฟิล์ม ธนภัทร - นุ่น ศิรพันธ์ [4 ก.พ. 2568]

ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (4 กุมภาพันธ์ 2568) ‘คุณฟิล์ม ธนภัทร’ ได้นำเรื่องราวหลอน ‘หอในมหาวิทยาลัยย่านรังสิต’ ที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์ลี้ลับ จนทำให้ต้องย้ายออก! เรื่องราวเหล่านี้จะเป็นอย่างไร? มาฟังไปพร้อมกันกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ แล้วคุณจะรู้ว่า บางครั้งความหลอนอาจหลบอยู่ในที่ที่เราไม่เคยคิด! เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 13 ปีที่แล้ว เป็นเรื่องเล่าจากเพื่อนของคุณฟิลม์ ซึ่งในขณะนั้นเพื่อนของคุณฟิลม์อาศัยอยู่ที่หอในของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านรังสิตพร้อมกับรูมเมทของเขา ตอนแรกทุกอย่างดูปกติ ไม่มีสิ่งใดผิดแปลก จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเดือน ทั้งสองเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติในห้อง.. สิ่งแรกที่พวกเขาสังเกตคือ มีลมพัดในห้อง แต่หน้าต่างและประตูถูกปิดอยู่ และไม่ได้เปิดพัดลมหรือแอร์ จากนั้นไม่นาน พวกเขาเริ่มได้ยิน เสียงแปลกประหลาด บ้างก็เป็นเสียงเคาะโต๊ะหนังสือที่ปลายเตียง บ้างก็เป็นเสียงเก้าอี้โยกคล้ายมีใครบางคนนั่งอยู่ เมื่อเวลาผ่านไป ความผิดปกติเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น อาหารในห้องหายไป อย่างไร้สาเหตุ ทั้งที่ในห้องไม่มีหนูหรือแมลงสาบแต่อย่างใด ด้วยความสงสัย เพื่อนของคุณฟิลม์จึงลองนำคุกกี้ไปวางไว้ที่มุมห้อง ปรากฏว่าคุกกี้ที่วางไว้กลับแตกออกเอง และบางส่วนหายไปอย่างไร้ร่องรอย จนกระทั่งวันหนึ่ง มีเพื่อนอีกคนมาค้างที่ห้องด้วย และเพื่อนคนนั้นเป็นคนที่มีเซนส์สัมผัสถึงสิ่งลี้ลับได้ ก่อนจะเข้าห้อง เพื่อนคนนั้นทักว่า “ห้องนี้เจ้าที่แรงนะ” จนกระทั่งรุ่งเช้า เพื่อนคนนั้นเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนเขาเห็นว่ามีคนนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือปลายเตียง ทว่ามีเพียงเขาที่มองเห็น ขณะที่เพื่อนของคุณฟิลม์กลับไม่เห็นอะไรเลย หลังจากนั้น เหตุการณ์แปลก ๆ เริ่มเกิดถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ครั้งหนึ่ง ขณะที่เพื่อนของคุณฟิลม์กำลังรีดผ้า เขารู้สึกได้ถึง ลมหายใจมาเป่าที่ข้างหู ราวกับมีใครบางคนอยู่ใกล้ ๆ นั่นทำให้เขารู้สึกหวาดระแวง จิตใจเริ่มไม่อยู่กับตัว จนนอนไม่หลับ ท้ายที่สุด เพื่อนของคุณฟิลม์จึงตัดสินใจโทรปรึกษาที่บ้าน และย้ายออกไปอยู่หอนอก แม้ในตอนแรกจะเลือกหอในเพื่อลดค่าใช้จ่าย แต่ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เขาไม่สามารถทนอยู่ที่นี่ได้อีก ในช่วงเวลากลางวัน ขณะที่กำลังเก็บของอยู่นั้น เสียงหัวเราะของชายปริศนาก็ดังขึ้น! ด้วยความตกใจ เขาจึงรีบสวดมนต์ แต่สิ่งที่เขาได้ยินคือเสียงที่ตอบกลับมาว่า “กูเป็นอิสลาม กูไม่กลัว!!” แต่เสียงไม่หยุดเพียงแค่นั้น แต่กลับหัวเราะดังลั่นทั่วห้อง ราวกับพอใจที่ได้เห็นเขาหวาดกลัว เพื่อนของคุณฟิลม์จึงพยายามรีบออกจากห้องและนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาย่างก้าวเข้าไปในห้องนี้.. หลังจากนั้น ด้วยความสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาตัดสินใจสืบประวัติของหอพักแห่งนี้ จนกระทั่งพบว่า ผังของหอพักถูกสร้างขึ้นเป็นรูปยันต์ และที่น่าสะพรึงไปกว่านั้นคือ หอที่เขาอยู่เคยถูกใช้เป็นสถานที่เก็บศพในช่วงที่เกิดสึนามิ..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณตั้ม ‘ทางหลอนขึ้นเหนือ’ | อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [ 22 ก.ค.2568 ]

02 ส.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณตั้ม ‘ทางหลอนขึ้นเหนือ’ | อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [ 22 ก.ค.2568 ]

เรื่องนี้ถูกถ่ายทอดโดย ‘คุณตั้ม’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ทางหลอนขึ้นเหนือ’ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องราวสุดหลอนระหว่างการเดินทางของเขาเอง เรื่องราวระหว่างการเดินทางจะหลอนอย่างไร สามารถติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (22 กรกฎาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ’ ‘คุณตั้ม’ ได้เล่าไว้ว่าเมื่อปีที่แล้วก่อนจะถึงวันขึ้นปีใหม่ เขามีวันลาพักร้อนเหลือ ต้องรีบใช้ให้หมด จึงวางแผนกับแฟนว่าหลังเลิกงาน 5 โมงเย็นจะขับรถขึ้นเชียงราย น่าจะถึงที่หมายประมาณ 6 โมงเช้า การเดินทางครั้งนี้ คุณตั้มขับรถไฟฟ้าไปทำให้ต้องมีการแวะชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์เป็นระยะ ซึ่งจุดแวะพักแรกคือจังหวัดอ่างทอง จากนั้นก็แวะจอดไปจนถึงจังหวัดแพร่ ซึ่งจะเป็นจุดชาร์จแบตสุดท้าย ก่อนจะขับยาวเข้าเชียงราย ระหว่างทางที่ขับรถบนถนนทางหลวงหมายเลข 103 เส้นทางตัดผ่านภูเขาระหว่างจังหวัดแพร่และลำปาง คุณตั้มเกิดอาการเดจาวูถึงเรื่องที่ฝันเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน ว่ากำลังขับรถบนถนนสักแห่งที่มีไฟสีส้มรายล้อมตามทาง เขาเริ่มขนลุกเพราะหลังจากฝันมักจะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเสมอ ขับไปได้สักระยะมองดูรอบข้างก็มืดไปหมดแล้ว เหลือรถของเขาเพียงคันเดียวที่สาดแสงส่องไปบนถนนขับไปเรื่อย ๆ อุณหภูมิภายนอกรถเริ่มลดลงเหลือ 13 องศาเพราะเริ่มขึ้นเขาสูง พอถึงทางโค้งขึ้นก็เห็นรถมอเตอร์ไซต์กำลังขับนำหน้าอยู่โดยที่ไม่เปิดไฟซึ่งถือว่าอันตรายมาก เมื่อใช้แสงจากรถสาดไปก็เห็นว่าคนขับรถมอเตอร์ไซต์แต่งกายเหมือนชุดช่าง แต่ไม่มีหัว! คุณตั้มขนลุกซู่รีบขับแซงขึ้นไปทันที ระหว่างที่แซงก็ดูกระจกทางซ้ายด้าน แต่ก็ไม่เห็นรถมอเตอร์ไซต์แม้แต่คันเดียว นั่นทำให้คุณตั้มเหยียบคันเร่นให้เร็วกว่าเดิม เพื่อที่จะได้ถึงจุดชาร์จแบตสุดสุดท้ายให้เร็วขึ้น ขณะนั้นเองก็ได้ย้อนความหลังว่าเจอเรื่องแบบนี้ที่ถนนเส้นนี้ตลอด ย้อนไปเมื่อช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 คุณตั้มต้องเดินทางไปจังหวัดทางภาคเหนือ เมื่อผ่านเส้นทางนี้ก็เจอเหมือนกัน ณ ตอนนั้นได้แวะหาหลวงน้าที่จังหวัดอุตรดิตถ์ก่อน หลวงน้าก็แนะนำให้นอนที่วัดก่อน แต่เขาก็กลัวว่าจะเจอสิ่งลี้ลับที่วัด จึงเลือกที่จะเดินทางต่อ แต่ก็ดันเจอคนแวะโบกรถข้างทาง ซึ่งมีหัวแต่ไม่มีข้อเท้า เหมือนคนลอยมา กลับมาที่ปัจจุบัน หลังจากเที่ยวจังหวัดเชียงรายเสร็จก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ คราวนี้เลือกเดินทางกลางวันทำให้เห็นว่าระหว่างทางลงภูเขาก็มีศาลพระภูมิ และมีเศษสิ่งของต่าง ๆ ที่คนนำมาทิ้งไว้เต็มไปหมด หลังจากนั้นก็ไม่เคยเจอเรื่องราวลี้ลับเกี่ยวกับถนนเส้นนี้อีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเจน ‘ล้ำเส้นตาย ป่าอาถรรพ์’ l อังคารคลุมโปง X เจน The Ghost [ 17 มิ.ย.2568 ]

24 มิ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณเจน ‘ล้ำเส้นตาย ป่าอาถรรพ์’ l อังคารคลุมโปง X เจน The Ghost [ 17 มิ.ย.2568 ]

‘คุณเจน The Ghost’ ได้เข้ามาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินป่าสุดระทึก เพราะมีคนไม่เคารพป่า และออกไปล่าสัตว์จนเกิดเรื่องราวที่แทบหยุดหายใจ! ดวงตาปริศนาสีแดงคืออะไร? เกิดอะไรขึ้นระหว่างเข้าป่า? เรื่องราวทั้งหมดจะจบลงอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 มิถุนายน 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ล้ำเส้นตาย ป่าอาถรรพ์’ คุณเจนบอกว่าเรื่องนี้มาจาก ‘คุณปู’ นักเล่าเรื่องผีจากรายการ The Ghost Radio ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีประสบการณ์ขนหัวลุกที่ป่าสัมปทานแห่งหนึ่งในประเทศเพื่อนบ้าน โดยคุณปูทำงานเกี่ยวกับการสัมปทานป่าไม้ และมีลูกน้องคนสนิทชื่อ ‘น้องหนุ่ม’ คอยติดตามไปด้วยเสมอ หลายคนที่ต้องเข้าป่าก็มัจะมีความเชื่อต่าง ๆ มากมาย คุณปูจึงพาพรานป่าประจำตัวชื่อ ‘เฒ่าแปร’ ไปด้วยทุกครั้ง เพราะไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์ลี้ลับหรืออาถรรพ์อะไร หากมีเฒ่าแปรอยู่ด้วย คุณปูก็จะรู้สึกอุ่นใจ ในการเข้าไปสัมปทานป่าไม้ครั้งนั้น งานจะแบ่งเป็นเขต เมื่อทำเขตแรกเสร็จ ก็จะย้ายแคมป์ไปยังเขตที่สอง ซึ่งอยู่บนภูเขาและมีสภาพป่าที่ลึกและทึบกว่ามาก ต้นไม้ก็สูงใหญ่และน่ากลัว วันหนึ่ง เจ้านายของคุณปูส่งลูกชายเข้ามาในพื้นที่พร้อมเพื่อนอีกหลายคน และมีคนนำทางส่วนตัวติดมาด้วย ลูกเจ้านายเป็นคนชอบล่าสัตว์ คุณปูจึงนำไปปรึกษากับเฒ่าแปร ซึ่งก็เห็นด้วยว่าควรเตือน เพราะอาจเกิดเรื่องร้ายขึ้นได้ แต่เมื่อนำไปบอกลูกเจ้านายและเพื่อน ๆ พวกเขากลับไม่เชื่อ ซ้ำยังหัวเราะเยาะ ซึ่งป่านี้แม้แต่พระธุดงค์ที่ชำนาญเส้นทางก็ยังเคยหลงและมรณภาพ ไม่สามารถกลับออกมาได้ หลังจากได้หยุดพักกลับไทยได้ 2 วัน คุณปูกลับเข้าไปที่แคมป์อีกครั้งพร้อมกับน้องหนุ่ม และเสมียนหญิงอีก 2 คน พบว่าทุกคนได้ย้ายแคมป์ไปยังเขตที่ 2 แล้ว ในคืนนั้น เวลาประมาณสองทุ่ม ขณะที่คุณปูและเสมียนหญิงกำลังนอนอยู่ในเต็นท์ คุณปูได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังมาจากป่า ฟังคล้ายเสียงลูกแมว แต่เมื่อเงี่ยหูฟังดี ๆ กลับกลายเป็นเสียงเด็กร้องไห้ สักพักก็มีเสียงโหยหวนแหลมสูงดังมาจากป่า คุณปูนอนนิ่งด้วยความกลัว จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าเดินวนเวียนอยู่รอบเต็นท์ และจู่ ๆ ก็มีบางอย่างกระโจนเข้ามาในเต็นท์อย่างแรง ปรากฏว่าเป็นน้องหนุ่มในสภาพเปลือยกาย! คุณปูตกใจและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น!” น้องหนุ่มเล่าว่า ขณะที่อยู่ในบ้านพักกับกลุ่มลูกเจ้านาย จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างวนเวียนอยู่รอบบ้าน จนทำให้ทุกคนแตกตื่น วิ่งหนีกันคนละทิศละทาง เขาเชื่อว่าผีจะกลัวคนแก้ผ้า จึงถอดเสื้อผ้าวิ่งมาหลบในเต็นท์ ตอนนั้นเต็นท์มีรอยขาดเล็ก ๆ คุณปูจึงออกไปดู ก็เห็นว่าในความมืดของป่าลึก บนต้นไม้มีดวงตาสีแดงนับสิบคู่จ้องมาทางเต็นท์ และไม่นานนัก ก็มีบางอย่างรูปร่างคล้ายคน แต่ตัวใหญ่ มีขนยาว วิ่งวนรอบเต็นท์ มันพยายามจะเข้าแคมป์ แต่ติดที่มีไฟก่ออยู่ จึงไม่กล้าเข้าใกล้ และสุดท้ายกระโจนขึ้นต้นไม้หายไป เช้าวันรุ่งขึ้น เฒ่าแปรกลับมาที่แคมป์ คุณปูรีบเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง พอได้ยิน เฒ่าแปรก็หน้าเครียด เดินไปที่กองไฟที่ลูกเจ้านายใช้สังสรรค์เมื่อคืน ตรวจดูสักพัก แล้วพูดแค่ว่า “วันนี้หยุด ทุกอย่างห้ามทำงาน ต้องทำพิธี และต้องตามหาคนที่หายไปให้เจอก่อน” คนที่หายไปก็คือ ลูกเจ้านายและเพื่อนทั้งหมด เฒ่าแปรออกตามหาตั้งแต่เช้า กว่าจะกลับมาก็ช่วงเย็น และพาทุกคนกลับมาได้ครบ สภาพแต่ละคนดูเหมือนผ่านการหนีตายมา เสื้อผ้าขาดรุ่ย เปื้อนโคลนเต็มตัว บางคนมีใบไม้ติดหน้า แต่ด้วยความที่เย็นแล้ว หากเดินทางกลับถึงตอนกลางคืนอาจเป็นอันตราย เฒ่าแปรจึงทำพิธีลงอาคมรอบพื้นที่ แล้วพูดกับทุกคนว่า “คืนนี้.. ห้ามออกจากที่พัก ถ้ารอดคืนนี้ไปได้ แปลว่ารอด” คืนนั้นก็ยังมีเสียงแปลก ๆ เกิดขึ้นอีกเช่นเคย แต่ไม่รุนแรงเท่าคืนก่อน รุ่งเช้า เฒ่าแปรเดินไปที่กองไฟเมื่อคืน และใช้ไม้เขี่ยดู ปรากฏว่าเจอ กะโหลกเล็ก ๆ คล้ายของลิง เขาจึงหันไปถามคนนำทางว่า “ไปทำอะไรกันมา?” คนนำทางนิ่งไปก่อนจะเล่าว่า วันก่อนที่คุณปูไม่อยู่ พวกเขาแอบไปล่าสัตว์กัน ในตอนแรกก็ยิงนกเล่น พอเจอฝูงลิงก็เริ่มยิงลิง พอดีมีลิงแม่ลูกอ่อนอยู่ตัวหนึ่ง ขณะที่กำลังจะอุ้มลูกหนี ก็ถูกยิงทะลุตัวแม่ไปโดนลูกตายทั้งคู่ เฒ่าแปรบอกว่าสิ่งที่ทุกคนเจอในคืนนั้น อาจเป็นวิญญาณของ ‘จ่าฝูงลิง’ ที่ออกมาทวงความยุติธรรมให้ฝูงของมัน ก่อนกลับ เฒ่าแปรจึงเตือนทุกคนว่า “ถ้าออกจากป่าไปได้.. อย่ากลับมาอีก เพราะคราวหน้าอาจไม่โชคดีแบบครั้งนี้”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากต้อม พุธพาหลอน ’ฝังจนตาย‘ l อังคารคลุมโปง X ต้อม พุธพาหลอน [ 30 ก.ย.2568 ]

13 ต.ค. 2025

เรื่องเล่าจากต้อม พุธพาหลอน ’ฝังจนตาย‘ l อังคารคลุมโปง X ต้อม พุธพาหลอน [ 30 ก.ย.2568 ]

เมื่อนักศึกษาแพทย์ต้องศึกษาร่างของอาจารย์ใหญ่ ซึ่งปกติแล้วอวัยวะภายในของร่างอาจารย์ใหญ่ก็ไม่ควรจะมีสิ่งแปลกปลอมปะปน แต่กลับมีเข็มหมุดปักอยู่ภายในร่างนับสิบเข็ม เมื่อผ่าออกมาก็พบเข้ากับสัตว์เลื้อยคลานทั้งเป็นและตายหลากชนิด! นี่คือเรื่องสุดหลอนที่ถูกถ่ายทอดโดย ‘คุณต้อม พุธพาหลอน’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ฝังจนตาย’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X ต้อม พุธพาหลอน’ (30 กันยายน 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 7 ปีก่อน ‘คุณอิง’ นักศึกษาแพทย์สาวหน้าตาน่ารักที่กำลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาแห่งหนึ่ง งานอดิเรกของอิงคือการแต่งตัวคอสเพลย์ไปตามงานต่าง ๆ โดยเธอได้เล่าว่า ช่วงนั้นเธอกำลังศึกษาอยู่ในปีท้าย ๆ ของมหาวิทยาลัย กำหนดการของนักศึกษาช่วงปีปลายจะต้องเรียนเกี่ยวกับร่างของ ‘อาจารย์ใหญ่’ มีการผ่าตัดและเรียนรู้เรื่องเส้นเลือดและอวัยวะภายในต่าง ๆ ในร่างการของคนเรา ด้วยสภาพของศพที่จำเป็นต้องแช่อยู่ในฟอร์มาลีน ทำให้ภายในห้องตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นของฟอร์มาลีน แม้จะพยายามใช้ยาดมหรือยาหม่องมาช่วยบรรเทากลิ่นให้จางลงแต่ก็ไม่เป็นผล รุ่นพี่จึงให้คำแนะนำว่าทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองเกิดการชินให้ได้มากที่สุดเพราะทุกคนต้องเรียนอยู่กับอาจารย์ใหญ่เป็นเวลาเกือบปี การเรียนของอิงจะมีการแบ่งกันเป็นกลุ่ม กลุ่มของอิงมีสมาชิกอยู่ประมาณ 3-4 คน ลักษณะของอาจารย์ใหญ่จะมีผ้าสีขาวคลุมแบ่งเป็นช่อง เอาไว้เพื่อให้ดูเฉพาะอวัยวะส่วนที่ต้องศึกษา ส่วนหน้าตาของศพไม่ได้มีการห้ามไว้จึงสามารถเปิดเผยให้นักศึกษาดูได้หากต้องการศึกษาเพิ่ม แต่ตัวของอิงนั้นด้วยความหวาดกลัวจึงไม่ได้อยากเห็นสักเท่าไหร่ ในช่วงแรก อาจารย์จะสอนเรื่องของเส้นเลือดภายในร่างกาย ระหว่างที่กลุ่มของอิงกำลังศึกษาดูเส้นเลือดตามร่างกาย เดิมทีอวัยวะบางส่วนในร่างกายหากมีการผ่าไปศึกษาแล้วจะต้องนำออกเพื่อรอการไปทำบุญร่วมกับร่างนั้น ร่างกายของอาจารย์ใหญ่สัมผัสผิวหนังจะแห้งกร้านคล้ายคลึงกับที่เห็นในภาพยนตร์ นักศึกษายังคงผ่าดูเส้นเลือดภายในไปเรื่อย ๆ ในระหว่างที่อาจารย์สอนอยู่ อิงก็ได้พบเข็มหมุดอยู่ภายในเส้นเลือดของร่างตรงใบหน้า ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ควรมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาอยู่ในนั้นได้ สิ่งนี้สร้างความสงสัยให้กับอิงเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากมีการนำร่างเข้าไปแช่ในฟอร์มาลีนแล้วนั่นแปลว่าจะต้องมีการตรวจสอบสภาพร่างกายของศพมาแล้วว่าไม่มีอะไรแปลกปลอมอยู่ภายในเรือนร่าง และเมื่อตรวจไปได้สักพักก็พบว่าเข็มที่อยู่ภายในร่างไม่ได้มีเพียงแค่ 1-2 เล่ม แต่กลับมีอยู่ภายในนั้นมากกว่า 10 เล่ม! เห็นอย่างนั้นอิงจึงเรียกอาจารย์มาดู ตัวอาจารย์เองพอเห็นเรือนร่างที่เต็มไปด้วยเข็มหมุดสีหน้าก็เปลี่ยนไป อาการตกตะลึงหน้าเหวอนั้นทำเอาทุกคนต่างสับสนกับสิ่งตรงหน้า แต่ด้วยความมึนงงและความไม่สมเหตุสมผลของการมีเข็มหมุดอยู่ภายในร่างกายจึงทำให้อาจารย์คิดว่าคงเป็นฝีมือกลั่นแกล้งของนักศึกษาที่อาจเล่นพิเรนทร์นำเข็มมาใส่ในร่างของอาจารย์ใหญ่ จึงได้เอ่ยตักเตือนกลุ่มของอิงไป ทางฝั่งอิงนั้นก็ได้ปฏิเสธไปว่ากลุ่มของเธอไม่ได้เป็นคนทำ หลังจบการเรียนการสอนก็ทำการนำผ้าไปปิดแผลตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย และในจังหวะที่มีเพียงเสียงก้าวเดินของกลุ่มนักศึกษาที่กำลังออกจากห้อง ก็มีเสียงร้องของตุ๊กแกดังออกมาท่ามกลางความเงียบสงัด ทำให้ทุกฝีเท้าของอิงและเพื่อน ๆ หยุดชะงักและเกิดความสงสัยว่าเพราะอะไรถึงมีเสียงร้องของสัตว์เลื้อยคลานชนิดนั้นดังออกมาจากห้องเรียน ชั่วโมงเรียนถัดมา ในคราวนี้จะเป็นการเรียนเกี่ยวกับปอดและกระเพาะของมนุษย์ ซึ่งในระหว่างที่อิงกำลังกรีดใบมีดตรวจสอบร่างกายของร่างชายคนหนึ่งอยู่นั้น จู่ ๆ อวัยวะที่ควรจะแน่นิ่งกลับมีการกระตุกและสั่นไหวราวกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่! และในจังหวะที่จะต้องตรวจสอบตรงส่วนของกระเพาะอาหาร ตัวของอิงที่กำลังดูในส่วนของหน้าท้องก็สังเกตเห็นความปิดปกติของกระเพาะอาหารที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ ทั้ง ๆ ที่เมื่อมีการแช่ฟอร์มาลีนอวัยวะต่าง ๆ ก็ควรที่จะต้องหดตัวลง นอกจากว่าภายในเรือนร่างนั้นจะมีบางสิ่งบางอย่างกักเก็บเอาไว้ ระหว่างที่ตรวจสอบ ทันทีที่ใบมีดกรีดฝังลงไปในกระเพาะของร่างเปลือยเปล่าตรงหน้าก็รับรู้ได้ถึงการขยับของอวัยวะภายใน อิงตัดสินใจผ่าลงไปจนสุด และพบกับคำตอบของการเคลื่อนไหวในร่างกายนั้นที่ทำเอาเธอถึงกับช็อค! เพราะภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของอิงนั้นคือซากของตุ๊กแกที่อยู่ภายในกระเพาะของร่างอาจารย์ใหญ่! ซากของสัตว์เลื้อยคลานที่มีทั้งเป็นและตาย บางตัวสภาพเน่าเปื่อยและอีกประมาณ 4-5 ตัวที่กำลังมุดอยู่ภายในอวัยวะนั้น พอแผลถูกผ่าเปิด ตุ๊กแกตัวที่ยังมีชีวิตอยู่ก็รีบออกมาจากรอยแผลและวิ่งผ่านไปท่ามกลางเสียงกรีดร้องของนักศึกษาที่หวาดกลัวอยู่ในห้อง และพอตรวจสอบลึกลงไปในร่างกายก็พบว่าไม่ได้มีเพียงแค่ตุ๊กแก แต่ยังมีตะขาบ หนอนและสัตว์อีกมากมายที่ต่างหลบอยู่ข้างในกระเพาะของเรือนร่างนั้นอีกด้วย ความหวาดกลัวและตื่นตระหนกทำให้มือของอิงเลื่อนไปโดนผ้าที่ปกคลุมร่างของอาจารย์ใหญ่ไว้ เผยเห็นใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งที่ในความเป็นจริงหน้าตาของศพควรจะแน่นิ่งไม่มีความรู้สึกอะไร แต่สีหน้าของชายหนุ่มคนนั้นมันแสดงออกว่ากำลังเจ็บปวดและทรมานอยู่ราวกับว่าเขานั้นยังมีชีวิตอยู่! เหตุการณ์ชุลมุนนั้นทำให้คาบเรียนต้องหยุดลง หลังจากผ่านมาได้ไม่นาน ตัวของอิงก็ได้มาทราบเรื่องราวจากเพื่อน ๆ ที่เล่ากันมาปากต่อปากว่า โดยปกติแล้ว อาจารย์ผู้สอนจะต้องไปนำพระไปทำพิธีถอนของให้ผู้ชายคนนี้ที่ตายไปแล้ว เพราะมีความเชื่อที่ว่าของขลังต่าง ๆ ต่อให้ร่างกายจะตายไปแล้วแต่ของเหล่านั้นก็ยังคงทำงานอยู่และกัดกินผู้ชายคนนั้นไปตลอด และเมื่ออิงกลับมาเรียนวิชาเดิมก็ได้พบว่าร่างของอาจารย์ใหญ่นั้นก็ได้แทนที่เป็นร่างอื่นไปแล้ว.. (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1