อังคารคลุมโปง RECAP

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจาก ขวัญ INDIGO 'นิมิตประหลาดพระจมน้ำ' I อังคารคลุมโปง X INDIGO [ 12 พ.ย. 2567 ]

20 พ.ย. 2024

        ขนลุกกับเศรัทธาความเชื่อใน ‘อังคารคลุมโปง X (12 พฤศจิกายน 2567) ที่ ‘ขวัญ INDIGO’ มาเล่าสิ่งที่เห็นจากภาพจิตสัมผัสทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ อ้าปากค้าง! จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย!

        คุณขวัญได้เล่าว่า ตนมักจะไปกินข้าวที่บ้านเพื่อนที่ชื่อ ‘ป๋อง’ (นามสมมุติ) บ่อยครั้ง บ้านหลังนี้มีลักษณะเป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น เปิดประตูเข้าไปฝั่งขวาเป็นโทรทัศน์ ข้างหน้าเป็นโต๊ะอาหาร เลี้ยวไปทางขวาจะเป็นห้องครัว ที่ประจำของคุณขวัญคือโต๊ะอาหาร พวกเขามักจะนั่งกินข้าวและพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้คุณป๋องยังเลี้ยงแมวหลายตัว เวลานั่งคุยกันก็มักจะอุ้มแมวมาเล่นด้วย และส่วนตัวของคุณป๋องไม่ค่อยเชื่อเรื่องพระ บ้านของเขาจึงไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในบ้าน

        ปกติคุณขวัญเป็นคนตื่นเช้า เมื่อก่อนจะสวดมนต์ทุกเช้า นั่งสมาธิ ทำบุญตักบาตร แต่อยู่มาวันหนึ่ง คุณขวัญนั่งสมาธิหลับตาแล้วเห็น ‘หลวงพ่อโสธร’ ท่านจมน้ำ ภาพที่เห็นเป็นองค์พระพุทธรูปสีทอง หลังจากนั้น คุณขวัญก็ไม่สามารถนั่งสมาธิได้ จึงเปลี่ยนมาสวดมนต์แทน แต่ระหว่างสวดมนต์ภาพที่เห็นก็ยังเป็นภาพเดิม คุณขวัญถึงกับเอะใจกับสถานที่ที่เห็นในภาพนั้นว่า ‘ทำไมเห็นบ้านหลังนี้ ทำไมเห็นบ้านป๋องที่น้ำกำลังท่วมแล้วเขารู้สึกถึงความอึดอัด ทรมาน’ หลังจากนั้นก็เห็นเป็นภาพโต๊ะอาหาร คุณขวัญเริ่มเอะใจ จึงตัดสินใจทักไลน์ไปหาคุณป๋องว่า

        “มึงเป็นไง มีอะไรอยู่ตรงใต้โต๊ะอาหารไหม ช่วยดูให้หน่อย กูเห็นอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นของศักดิ์สิทธิ์อยู่ใต้โต๊ะอาหาร มันเหมือนกับมีน้ำอะไรราดท่านอยู่หรือเปล่า”

        คุณป๋องก็ตอบกลับบอกว่า “บ้านกูเนี่ยนะ จะมีของศักดิ์สิทธิ์” เนื่องจากคุณป๋องไม่ได้เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์

        คุณขวัญจึงบอกไปว่า “รบกวนดูให้หน่อยนะ ขอร้อง”

        พอผ่านไปถึงช่วงเย็นคุณป๋องก็ทักมาบอกว่า “ไม่มีนะ” 

        คุณขวัญคิดว่าตัวเองน่าจะคิดไปเอง..

        วันรุ่งขึ้น คุณขวัญก็เห็นภาพนั้นอีกเหมือนเดิม แต่เห็นสถานที่ชัดเจนกว่าครั้งแรก ‘ท่านอยู่ใต้โต๊ะอาหารโต๊ะตรงนั้นจริง ๆ’ คุณขวัญจึงทักหาคุณป๋องอีกครั้ง คุณป๋องถามกลับมาว่า “เป็นอะไรเนี่ย”

        ด้วยความที่บอกไปอย่างไรคุณป๋องก็ไม่เชื่อ คุณขวัญจึงบอกว่า “โอเคไม่เป็นไรกูคงคิดไปเอง”

        พอผ่านไป 2 อาทิตย์ คุณพ่อของแฟนคุณป๋องก็เสียชีวิต คุณป๋องจึงต้องขับรถกลับเชียงใหม่เพื่อไปงานศพ คุณขวัญได้บอกกับเพื่อนว่า

        “เฮ้ย ขับรถดี ๆ นะ ก่อนออกไหว้ที่บ้านสักหน่อย กวาดบ้านก็ได้ พ่อเสียแล้วทำบ้านให้สะอาดก่อนค่อยเดินทางไปหาพ่อที่เชียงใหม่ไหม”

        ในใจคุณขวัญรู้สึกไม่สบายใจเนื่องจากคุณขวัญยังไม่สามารถลบภาพนั้นได้ จึงพยายามบอกกับคุณป๋องทำใจดี ๆ ขับรถดี ๆ

        คุณป๋องบอก “โอเค เดี๋ยวจะทำ”

        คุณขวัญบอกอีกว่า “ถ้าเชื่อกู กูขออย่างหนึ่ง เอาน้ำถวายหิ้งพระหน่อยก่อนออกเดินทาง หิ้งไม่มีอะไรเลยใช่ไหม” คุณป๋องก็ได้ทำตามที่คุณขวัญบอกทั้งหมด ส่วนแฟนของคุณป๋องในช่วงนั้นรู้สึกจิตใจแย่ พอคุณขวัญทักบอกให้กวาดบ้านทำบ้านให้สะอาดเขาจึงทำตามที่คุณขวัญบอกเช่นเดียวกัน

        หลังจากนั้นเวลาประมาณ 5 โมงเย็น ก็มีไลน์เด้งมาพร้อมรูปที่โชว์ถุงพลาสติก ถุงพลาสติกนั้นมีน้ำอยู่ข้างในคือฉี่แมว แล้วมีหลวงพ่อโสธรเป็นตลับอยู่ประมาณ 20-30 ตลับ คุณป๋องถามคุณขวัญว่า

        “ขวัญ.. มึงเห็นได้ยังไง”

        คุณขวัญจึงถามกลับมาว่า “แล้วมันมาได้ยังไงมากกว่า!” เพราะคุณป๋องไม่ได้เชื่อเรื่องพระแต่ในบ้านมีพระหลายตลับอยู่ได้อย่างไร

        สุดท้ายคุณป๋องก็ได้มารู้ว่า คนที่มาทานข้าวด้วย เขาเป็นคนเล่นพระ ช่วงนั้นที่จะมีหลวงพ่อหลายองค์ที่เขาซื้อมาเป็นกล่อง แล้วเขาก็ลืมไว้ซึ่งอยู่ใต้กระเช้าปีใหม่ แมวจึงฉี่ใส่ถุงนั้นมาตลอด จากนั้นกลายเป็นว่าคุณป๋องก็เชื่อเรื่องที่คุณขวัญบอกทุกอย่าง พอคุณป๋องและแฟนทำความสะอาดบ้านเสร็จ พระที่ได้มานั้น คุณขวัญก็บอกให้คุณป๋องขอขมาท่าน

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ‘4 คืนหลอนนอนโรงเเรม’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 25 มิ.ย. 2567]

03 ก.ค. 2024

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ‘4 คืนหลอนนอนโรงเเรม’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 25 มิ.ย. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘พี่แจ็ค เดอะโกสต์’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (25 มิถุนายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘4 คืนหลอนนอนโรงแรม’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! พี่แจ็คเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณไบก้อน’ เกิดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่งในประเทศอินโดนีเซีย โดยคุณไบก้อนต้องไปทำงานที่อินโดนีเซีย ทางบริษัทจึงเตรียมที่พักให้ นอกจากนี้ก็ยังมีทีมงานจากหลายประเทศมาพักที่โรงแรมนี้ด้วยเช่นกัน การเดินทางไปครั้งนี้ รวมเวลากว่า 4 วัน วันแรก คุณไบก้อนเข้าเช็คอินที่โรงแรมประมาณ 2 ทุ่ม โรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่ดี ห้องใหญ่ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความเก่า ปกติแล้วหากเป็นโรงแรมที่อยู่มานาน เราจะสังเกตุได้ว่าพื้นจะถูกปูด้วยพรม และผนังจะอัดไม้ ตกแต่งด้วยไม้ ส่วนในห้องนอนเมื่อเปิดประตูเข้าไปจะมีตู้ขนาดใหญ่ที่เข้าไปได้ 3-4 คน และมีหน้าต่างใหญ่มองวิวได้ทั่วถึง คุณไบก้อนบอกว่า จากประตูผ่านห้องน้ำ ผ่านตู้ และไปถึงเตียง มีระยะทางค่อนข้างไกลเล็กน้อย เพราะห้องใหญ่มาก ในคืนแรก เมื่อมาถึงห้อง คุณไบก้อนก็อาบน้ำและรีบเข้านอนเพราะต้องตื่นไปทำงานตอนเช้า ปรากฏว่าตอนที่หลับได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงคนเดิน ‘แตะ แตะ’ และเสียง ‘ฟึ้บ ฟึ้บ’ คุณไบก้อนที่กำลังงัวเงียก็คิดว่า ‘คงเป็นหมาที่เลี้ยงไว้ที่บ้านมันเดินแหล่ะ’ แต่สักพัก ก็ได้ยินเสียงแบบเดิม แต่พอครั้งที่ 2 นี้ เขาฉุกคิดว่า “เห้ย กูไม่ได้อยู่บ้านนี่ กูนอนโรงแรม“ คุณไบก้อนจึงพยายามนอนฟังเสียง แต่ไม่ได้เปิดไฟ และไม่ได้ลืมตา เปิดแค่ไฟห้องน้ำ ปรากฎว่าเสียงเคลื่อนที่เดินจากขวาไปซ้าย และเดินไปเดินมาผ่านเตียง ผ่านห้องน้ำ แล้วก็หายไป! จนถึงรอบที่ 4 คุณไบก้อนก็คิดในใจว่า ‘ถ้ารอบนี้มาอีกจะลืมตาดูว่ามันคือเสียงอะไร’ ปรากฎว่าสมความปรารถนา มีเสียงเดินมาอีกรอบ คุณไบก้อนจึงลืมตาขึ้นมานิดนึง แล้วก็เห็นเป็นขาคน เป็นขาที่มีแต่ขามาถึงแค่เอว ใส่กางเกงพละ เดินมาแล้วก็หยุด คุณไบก้อนพยายามเพ่งมอง แต่พอเพ่งมอง เหมือนเจ้าขานั้นมันจะรู้ว่าคุณไบก้อนมอง ก็เลยวิ่งจากปลายเตียงทะลุเข้ากำแพงไปดังฟึ้บ! มาโผล่อีกฝั่งหนึ่ง วิ่งเข้าไปที่ห้องน้ำ แล้วก็วิ่งวนในห้องน้ำ วิ่งออกมาจากห้องน้ำแล้ววิ่งผ่านเตียงทะลุกำแพงแล้วหายไป! ตอนนั้นคุณไบก้อนได้แต่งง ว่าตนหลับ ฝัน หรือตื่น มันเกิดอะไรขึ้น เพราะปกติคุณไบก้อนเป็นคน ไม่กลัวเรื่องพวกนี้ จึงหลับไปจนถึงเช้า จากนั้นก็มาเล่าให้คนที่ทำงานด้วยกัน แต่คนอื่นก็ไม่ได้เจอ แล้วก็แยกย้ายไปทำงาน จนถึงตอนเย็น ในคืนที่ 2 คุณไบก้อนไม่ได้คิดถึงสิ่งที่เจอเมื่อคืน จึงอาบน้ำนอนตามปกติ จากนั้นก็เผลอหลับไป แต่ก็ต้องตื่นขึ้นมาเพราะอยากเข้าห้องน้ำ หลังจากทำธุระในห้องน้ำเสร็จแล้ว ออกมาก็พบว่าม่านไม่ได้ปิด ทำให้มีแสงผ่านเข้ามาในห้อง จึงคิดจะไปปิดจะได้หลับสบาย จากนั้นก็เดินไปหาตัวชักม่านฝั่งซ้ายแล้วก็ปิดม่าน แล้วก็เดินไปฝั่งขวา แต่กลับไม่เจอตัวชักม่าน เจอแผงสีดำแทน คุณไบก้อนจึงเอาผ้าม่านฝั่งขวาออก แล้วก็ต้องตกใจ เพราะแผงสีดำนั้น คือผมคนที่ห้อยยาวมาจากด้านบนเพดานข้างบน! คุณไบก้อนรู้สึกตกใจอย่างแรง แต่ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก! ระหว่างนั้น ก็เห็นผมที่ย้อยลงมาค่อย ๆ ถูกดึงม้วนกลับขึ้นไปแล้วก็หายไปบนเพดานต่อหน้าต่อตา! คุณไบก้อนกลั้นใจปิดผ้าม่านแล้วกลับมานั่งที่เตียง คิดในใจว่า ‘ตกลงมันคืออะไร เจออะไรไม่รู้’ สักพักก็ข่มตานอนแล้วก็ตื่นขึ้นมาเล่าเรื่องนี้ให้กับเพื่อนร่วมงานฟัง แต่เพื่อนก็หัวเราะ แล้วก็พูดว่า “ยูอย่าคิดมาก เดี๋ยวถ้าคืนนี้เจออีก ก็มาเล่าให้ฟังอีก อยากรู้ว่าจะเจออะไร” แล้วก็แยกย้ายกันไปทำงาน คืนที่ 3 คุณไบก้อนบอกว่าวันนั้นทำงานเหนื่อยมาก จึงไปอาบน้ำ แล้วหลับไปเลย แต่คืนนั้นกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เป็นห้องที่เงียบมาก และไม่เจออะไรเลย พอตื่นเช้ามาก็เล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็บอกว่า “เห็นมั้ย ยูน่ะคิดมาก มันไม่มีอะไรหรอก“ จากนั้นก็แยกย้ายไปทำงาน คืนที่ 4 คืนสุดท้าย คุณไบก้อนบอกว่า ”คืนนี้ทำให้ผมจำไม่ลืม มันคือไฮไลต์ของเรื่องนี้” หลังจากทำงานเสร็จคุณไบก้อนก็กลับมาที่ห้อง กำหนดการขึ้นเครื่อง 7 โมงเช้า เขาจึงตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตี 3 พอถึงเวลา 3-4 ทุ่มก็เตรียมตัวเข้านอน แต่คุณไบก้อนบอกว่ารอบนี้น่าจะความฝัน.. ในฝันนั้น คุณไบก้อนนอนอยู่บนเตียง แล้วลุกมาจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ แต่ระหว่างที่จะไปเข้าก็มองเห็นหน้าต่างกระจก รู้สึกว่าวิวกลางคืนสวยมาก จึงไปยืนดูมองวิวเก็บบรรยากาศคืนสุดท้ายเอาไว้ ด้วยความที่ในห้องเปิดไฟไว้บางจุด เช่นไฟห้องน้ำ ไฟหน้าห้องน้ำ จึงทำให้เวลาที่เรามองออกนอกหน้าต่าง จะเห็นเงาสะท้อนตัวเรา และด้านหลัง ระหว่างที่เขายืนมองอยู่ ปรากฎว่า มันมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาต้องโฟกัส เพราะขณะที่เขามองวิว แล้วมองเห็นตู้เสื้อผ้า เขาจำได้ว่าเขาปิดตู้เสื้อผ้าไว้ตลอด แต่ตอนนั้นมันแง้มออกมา และมีขาซ้ายค่อย ๆ ยื่นออกมาจากตู้ ซึ่งคุณไบก้อนจำได้ว่ามันเป็นขาเดียวกันกับที่เจอในคืนแรกเพราะใส่กางเกงพละโผล่ออกมา แล้วครั้งนี้มันมีมือโผล่มาจับที่ขอบตู้ด้วย! คุณไบก้อนคิดในใจว่า ‘มันมีขา มีมือมา ครั้งนี้ มันต้องมีหัวมาด้วย’ แล้วก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะสิ่งนั้นค่อย ๆ โผล่หัวออกมา เป็นผู้หญิงที่มองไม่เห็นหน้า แต่คุณไบก้อนจำได้ว่าผมที่อยู่บนหัวเป็นอันเดียวกันกับที่เจอในคืนที่ 2 เพราะมันยาวมาจนถึงพื้น ระหว่างที่เขากำลังสงสัยอยู่ หน้าของผู้หญิงก็ค่อย ๆ โผล่ออกมาจากตู้ แล้วหน้าผู้หญิงก็ค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่พอสังเกตดี ๆ แล้ว หน้าของผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ใหญ่ขึ้น แต่หน้าของผู้หญิงคนนี้ค่อย ๆ เข้ามาใกล้เขาเรื่อย ๆ ใกล้มากจนหายใจรดต้นคอคุณไบก้อน! สิ่งนี้ไม่ได้ทำอะไรคุณไบก้อน แต่แค่จ้องออกไปทางหน้าต่างเหมือนกำลังสงสัยว่าคุณไบก้อนมองอะไร แล้วอยู่ ๆ มันก็หยุด ฟึ้บ เหมือนกำลังรู้ตัวว่าคุณไบก้อนเห็นแล้ว คุณไบก้อนจึงกลั้นใจ “เอาวะ ตายเป็นตาย อย่างน้อยก็มีเรื่องเล่า” แล้วก็หันไปหามัน ในจังหวะนั้นมันก็หันหน้ามาหาคุณไบก้อน จ้องหน้ากัน แล้วมันก็รีบหดคอเข้าไปในตู้ แล้วก็ปิดตู้ดัง ปึ้ง! คุณไบก้อนยืนช็อคทำอะไรไม่ถูก รู้ตัวอีกทีคือตอนตื่น แล้วก็ออกมาเช็คเอาท์ ตอนนั้นก็ตั้งใจว่าจะถามพนักงาน พอกำลังจะเอ่ยปากถาม รถที่เรียกไว้ก็มาพอดี จึงต้องรีบไปสนามบิน ทำให้ไม่รู้ว่าที่โรงแรมแห่งนั้นมีอะไรกันแน่..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เจรจาก็แล้ว ขอขมาก็แล้ว สุดท้ายต้องมีคนตาย! งานนี้ยายออกโรงปกป้องหลาน แก้แค้นผีนางรำสุดโหด ลั่น! “มึงทำหลานกูเจ็บ 3 วัน เดี๋ยวกูจะทรมานมึง 3 ปี”

08 ธ.ค. 2023

เจรจาก็แล้ว ขอขมาก็แล้ว สุดท้ายต้องมีคนตาย! งานนี้ยายออกโรงปกป้องหลาน แก้แค้นผีนางรำสุดโหด ลั่น! “มึงทำหลานกูเจ็บ 3 วัน เดี๋ยวกูจะทรมานมึง 3 ปี”

เมื่อยายต้องแก้แค้นผีที่ทำให้หลานตัวเองเจ็บและทำให้เพื่อนของหลานต้องตาย ยายจะใช้วิธีไหน ติดตามในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 ธ.ค. 2566) กับเรื่องหลอนจาก ‘พี่แจ๊ค The Ghost Radio’ ที่ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ต้องทึ่ง! เรื่องนี้จะเป็นอย่างไรไปอ่านกันเลย! เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณวิทย์ เซลล์แมน’ ที่ได้มาถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้พี่แจ๊คได้ฟัง เริ่มเรื่องโดยคุณวิทย์เล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณฮูก’ ต้องย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน คุณฮูกมีครอบครัวที่คุณยายเปิดตำหนักเป็นร่างทรง ดูดวง ปัดเป่าทุกข์โศก รักษาอาการเจ็บป่วยด้วยการรมควันให้ชาวบ้านระแวกนั้น และตัวของคุณฮูกก็มีกลุ่มเพื่อน เป็นกลุ่มวัยรุ่นอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าคุณฮูกเป็นหลานของคุณยายท่านนี้ วันหนึ่ง ขณะที่คุณฮูกกำลังนอนอยู่ที่ตำหนักของคุณยาย จู่ ๆ พ่อของเพื่อนคุณฮูกที่ชื่อ ‘คุณโอ๊ต’ ก็มาที่ตำหนักและบอกว่า “ช่วยไปดูโอ๊ตหน่อย โอ๊ตโดนผีเข้า” ได้ยินดังนั้น ยายของคุณฮูกก็รีบไปทันที ตัวคุณฮูกที่ได้ยินก็ตกใจและรีบตามไป พอไปถึงก็เจอคุณโอ๊ตในลักษณะที่โดนผีผู้หญิงเข้า และพูดอยู่เพียงประโยคเดียวว่า “ไอ้พวกนี้มันลบหลู่กู กูจะเอาชีวิตมัน! พวงมึงต้องตาย!” คุณยายที่ได้เห็นแบบนั้นก็เข้าเจรจาพูดคุยว่า “มันเกิดอะไรขึ้น” แต่ผีตนนั้นก็ไม่ได้บอกอะไร พูดแค่ว่า “กูจะเอาชีวิตมัน มันลบหลู่กู พวงมึงต้องตาย” จากนั้น คุณยายก็หันหลับไปถามคุณฮูกว่า “ไหนเล่าให้ฟังซิ มันเกิดอะไรขึ้น เพื่อนเอ็งหนิ” คุณฮูกจึงเริ่มเล่าให้คุณยายฟังว่า “เมื่อวานนี้ กลุ่มเพื่อนได้ไปเล่นน้ำกัน ในระหว่างนั้นก็หาอะไรมาเล่น และเพื่อน ๆ ก็ได้ดำน้ำลงไปเอาก้อนดินมาปาใส่กัน ปรากฏว่า ‘โอ๊ต’ ได้ดำลงไปเอาก้อนดินใหญ่มากขึ้นมาปา แต่พลาดไปโดนศาลที่อยู่ริมน้ำ ทำให้ศาลพัง ของในศาลตุ๊กตานางรำอะไรแตกกระจายไปหมด ทุกคนที่เห็นท่าไม่ดีก็ขอขมา และแยกย้ายกันกลับบ้าน” ยายที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดก็ได้เจรจากับผีตนนั้นว่า “ออกก่อนได้ไหม เรื่องแบบนี้เดี๋ยวให้เด็กไปขอขมาพรุ่งดีได้ไหม ตอนนี้มันมืดแล้ว” ผีตนนั้นก็ตอบสวนกลับมาว่า “ไม่ได้! ต้องไปขอขมาวันนี้ ไม่งั้นกูจะเอามันไป” คุณยายที่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงพยายามทำให้ผีออกจากร่างด้วยวิธีการของยาย จนผีตนนี้ออกจากร่างไป ยายก็เอาด้ายแดงมาพันแขนของโอ๊ตไว้ แล้วก็บอกว่า “วันพรุ่งนี้ ให้เด็กทุกคนรวมตัวกันแล้วไปขอขมาตอนเช้า” เช้ารุ่งขึ้น เด็ก ๆ ทุกคนก็ได้มารวมตัวกันและไปขอขมาที่ศาลแห่งนั้น เรื่องนี้ก็ควรที่จะจบที่ตรงนี้ ที่ทุกคนได้ใช้ชีวิตตามปกติ แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป คุณฮูกได้รถมอเตอร์ไซค์มาใหม่ และอยากจะลองรถ จึงได้ชวนโอ๊ตไปด้วยกัน ในระหว่างที่ขี่ไปนั้นเ คุณโอ๊ตก็ได้ขอคุณฮูกว่า “ขอลองมั่งดิ อยากขี่บ้าง” คุณฮูกก็ให้คุณโอ๊ตลองขี่ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านศาลนั้น ปรากฏว่าจังหวะที่ผ่านศาลนั้น ตัวของคุณฮูกและคุณโอ๊ตก็ได้เห็นผู้หญิงแต่งตัวคล้าย ๆ นางรำมาโผล่ตามที่ต่าง ๆ จนตัวของคุณฮูกรู้สึกว่ากำลังโดนสิ่งนี้รังควาน คุณโอ๊ตที่ตกใจก็รีบขับหลบและหนีด้วยความเร็ว แต่ก็ยังโดนผู้หญิงคนนี้ตามไปทุกที่ จนกระทั่งกำลังจะขี่ข้ามสะพาน ปรากฏว่ารถได้ไปชนกับฟุตบาททำให้รถเสียหลักคว่ำ คุณฮูกถามคุณโอ๊ตว่า “เฮ้ย เพื่อนเป็นยังไงบ้าง” คุณโอ๊ตก็ตอบกลับมาว่า “เจ็บหน้าอกว่ะเพื่อน” หลังจากนั้นทั้งสองคนก็สลบไป มารู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่โรงพยาบาลกันแล้ว คุณฮูกรู้สึกเพียงแค่เจ็บขา และก็คิดห่วงว่าเพื่อนจะเป็นอย่างไรบ้าง จนกระทั่ง 7 โมงเช้า คุณโอ๊ตที่ใส่ชุดคนไข้ก็เดินเข้ามาถามว่า “เฮ้ย ฮูกเป็นไงบ้างวะ ขอโทษนะเว้ยที่ขี่รถแล้วเกิดอุบัติเหตุ” คุณฮูกที่ได้ยินแบบนั้นก็ตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไร เราก็เห็นหนิ ว่าเรากำลังเจอกับอะไรอยู่” หลังจากนั้นตัวของคุณฮูกและคุณโอ๊ตก็นั่งคุยกันอยู่อีกสักพักหนึ่ง คุณโอ๊ตก็บอกว่า “เฮ้ยฮูก ไปก่อนนะ เดี๋ยวกลับไปที่ห้องก่อน ค่อยเจอกันตอนออกจากโรงพยาบาล” จากนั้น คุณโอ๊ตก็เดินออกไป ตัวคุณฮูกจึงกลับไปนอน และหลับไปจนถึงช่วงเย็น คุณยายได้มาเยี่ยมคุณฮูกและถามไถ่อาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง คุณฮูกตอบไปว่าแค่เจ็บขา คุณยายก็ถามขึ้นมาอีกว่า “แล้วรู้ข่าวไอ้โอ๊ตยัง” ด้วยความสงสัยคุณฮูกก็ถามไปว่า “ทำไมอะยาย” แต่สิ่งที่ยายตอบกลับมาทำให้คุณฮูกตกใจเป็นอย่างมากคือ “ไอ้โอ๊ตเสียแล้วนะ ตายไปตั้งแต่เมื่อคืน หัวมันกระแทกแล้วมันจุกหน้าอก ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร” คุณฮูกที่ตกใจและเสียใจมากก็รีบสวนไปว่า “เฮ้ย ยายจะเป็นไปได้ยังไง ก็เมื่อเช้าโอ๊ตยังมานั่งคุยกับผมอยู่ข้างเตียงตรงนี้” หลังจากนั้น ผ่านไป 3 วัน คุณยายก็มาบอกกับคุณฮูกว่า “พ่อของโอ๊ตเขาอยากให้ฮูกบวชให้หน่อยได้ไหม” คุณฮูกก็ตกลงทันที หลังจากที่บวชเสร็จ คุณยายก็มาถามฮูกว่า “เป็นอย่างไรบ้าง” คุณฮูกก็ตอบกลับไปว่า “ผมรู้สึกเจ็บใจที่นอนเจ็บตัวไป 3 วัน” ยายก็ถามกลับมาว่า “แล้วจะเอายังไง” คุณฮูกก็ตอบกลับมาแค่ว่า “ไม่รู้ยาย แต่ผมเจ็บอะ” หลังจากนั้นคุณฮูกก็เล่าเหตุการณ์วันที่เกิดเรื่องให้คุณยายฟังว่าเจออะไรบ้างในตอนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปกับโอ๊ต คุณยายก็พูดมาว่า “มึงทำหลานกูเจ็บ 3 วัน เดี๋ยวกูจะทรมานมึง 3 ปี” ด้วยคำพูดนี้ ตกเย็นวันนั้น คุณยายก็ไปเผาศาลนั้นเพียงคนเดียว เหตุการณ์นี้ก็ผ่านไป ชาวบ้านต่างก็รู้ว่าคุณยายเป็นคนเผาศาลนี้เพราะว่าข่าวมันกระจายไปทั่วว่า ผีนางรำมาทำให้หลานเขาเจ็บ! หลังจากนั้นคุณฮูกก็ใช้ชีวิตตามปกติ แต่ตัดภาพกลับมาที่ตำหนักของคุณยายในตอนนี้ มีหม้อหุงข้าวอยู่ใบหนึ่ง ซึ่งคุณยายจะเสียบปลั๊กหม้อหุงข้าวใบนี้ไว้ตลอดเวลา ตัวของคุณฮูกจะรับหน้าที่เป็นคนเติมน้ำเข้าไปในช่องที่มีไอน้ำออกมา ซึ่งคุณฮูกก็ถามคุณยายตลอดว่าหม้อใบนี้เอาไว้ทำอะไร คุณยายก็ตอบกลับมาเพียงว่า “มันเป็นหม้อเอาไว้นึ่งสมุนไพร เอาไว้รมควันรักษาคน” คุณฮูกก็เข้าใจแบบนี้มาตลอด จนกระทั่งคุณฮูกไปเรียนปวส. 3 ปีผ่านไป ตำหนักแห่งนี้ยังคงเหมือนเดิม จนวันหนึ่งที่คุณฮูกเดินทางกลับมาที่ตำหนักนี้ คุณยายก็เรียกคุณฮูกไปและบอกว่า “เอาหม้อหุงข้าวนี้ไปทิ้ง ยามันน่าจะหมดแล้ว สมุนไพรมันน่าจะนิ่มหมดแล้ว” คุณฮูกที่ได้รับคำสั่งแบบนั้นก็รีบไปจัดการ แต่ขณะที่ไปดึงปลั๊ก ก็แทบจะดึงไม่ออก เพราะปลั๊กนี้ไม่ได้ถอดมา 3 ปีก็ทำให้ถอดออกยาก พอดึงออกมาได้และเปิดฝาออก ก็ทำให้คุณฮูกต้องผงะตกใจ เพราะว่าสิ่งที่อยู่ในนั้น ไม่ใช่สมุนไพร! แต่มันคือตุ๊กตานางรำ! คุณยายนั้นเอาตุ๊กตานางรำมาต้มอยู่ 3 ปี!! จากการที่แค้นผีนางรำมาทำให้หลานตัวเองเจ็บ ทำให้เพื่อนของหลานตัวเองตาย คุณยายก็ได้ทำตามที่ตัวเองลั่นวาจาไว้ว่า “มึงทำหลานกูเจ็บ 3 วัน กูจะทรมานมึง 3 ปี”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเคน 'ออฟฟิศโซนหลอน' I อังคารคลุมโปง X เต๋อ ฉันทวิชช์ - เสือ พิชย [ 3 ธ.ค. 2567 ]

14 ธ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเคน 'ออฟฟิศโซนหลอน' I อังคารคลุมโปง X เต๋อ ฉันทวิชช์ - เสือ พิชย [ 3 ธ.ค. 2567 ]

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 ธันวาคม 2567) ที่ผ่านมา มีเรื่องเล่าจาก ‘คุณเคน’ ที่ทำเอา 3 ดีเจ ‘ดีเจมดดำ’ ‘ดีเจแนน’ ‘ดีเจโซเซฟ’ จะเป็นอย่างไรไปอ่านกันเลย!!! ‘คุณเคน’ เล่าว่าย้อนกลับไปเมื่อ 11 ปีก่อน เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ออฟฟิศกลางใจเมืองย่านราชประสงค์ คุณเคนเข้าไปทำงานโดยที่ไม่เคยรู้ว่ามีเหตุการณ์พื้นถล่มที่ตึกนี้มาก่อน เนื่องจากตอนที่เกิดเรื่อง คุณเคนไม่ได้อยู่ประเทศไทยจึงไม่ทราบเรื่อง เมื่อกลับประเทศไทยก็ได้เข้าทำงานที่ตึกแห่งนี้ ออฟฟิศของคุณเคนอยู่ชั้นที่ 16 ส่วนชั้น 17-20 จะเป็นร้านอาหาร (ปัจจุบันร้านอาหารไม่มีแล้ว เหลือเพียงร้านอาหารที่มีไว้เฉพาะงานอีเว้นท์เท่านั้น) คุณเคนมีตำแหน่งเป็นเซลล์ที่จะคอยดูแลทุกอย่างของการจัดงานเลี้ยงของบริษัทนี้ ในช่วงแรก ๆ ที่เข้ามาทำงานนั้น คุณเคนจะนั่งทำงานอยู่ห้องใน ห้องในคือห้องที่มีหลายคนนั่งอยู่รวมกัน รอบข้างจะแบ่งเป็นห้องส่วนตัว ส่วนตรงกลางจะมีฉากกั้นเพื่อให้เป็นสัดส่วน ลักษณะงานนั้นจำเป็นต้องอยู่ออฟฟิศดึก ๆ เป็นประจำ ส่วนใหญ่ก็ต้องอยู่คนเดียว ช่วงแรกคุณเคนไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใด ๆ แต่พอเริ่มมืด เวลา 2 ทุ่มกว่า ทุกคนในออฟฟิศกลับบ้านกันหมดแล้ว ในชั้นนี้ทั้งเงียบและมืด คุณเคนก็มักจะได้ยินเสียง ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก และเสียงกระดาษหล่น คุณเคนสงสัยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงติดสินใจเดินเข้าไปดู สิ่งที่เห็นก็คือกระดาษหล่นจริง ๆ แต่ดูจากรูปการณ์แล้วน่าจะเป็นไปได้ยาก เพราะกระดาษที่วางอยู่มันจะหล่นลงจากโต๊ะได้อย่างไร คุณเคนทำเพียงแค่สงสัยแต่ก็ไม่ได้กลัวอะไรจึงกลับไปนั่งทำงานต่อ เป็นแบบนี้อยู่หลายคืน บางคืนเขาก็มักจะได้เสียงโทรทัศน์เปิด แต่เมื่อเดินออกไปดูก็เห็นว่าโทรทัศน์ปิดอยู่เสียอย่างนั้น เมื่อทำงานไปได้ระยะหนึ่ง คุณเคนได้ย้ายที่นั่งไปอยู่โซนนอกห้อง แต่ก็ยังคงต้องนั่งทำงานอยู่คนเดียวดึก ๆ ดื่น ๆ เช่นเคย ขออธิบายเพิ่มเติมว่าโต๊ะของแผนกบัญชีจะมีเครื่องคิดเลขที่เอาไว้ให้แผนกคิดคำนวณเป็นเครื่องคิดเลขแบบเสียบปลั๊ก ในวันหนึ่ง น่าจะมีคนในออฟฟิศเสียบปลั๊กทิ้งไว้ เพราะอยู่ ๆ เครื่องคิดเลขก็พิมพ์จนกระดาษออกมาจากเครื่องคิดเลขคล้าย ๆ มีคนกำลังใช้งานอยู่! คุณเคนนั่งมองเครื่องคิดเลขที่กำลังทำงานและคิดว่า ‘เครื่องจะหยุดทำงานตอนไหน’ ผ่านไปสักพักก็ยังไม่หยุด เขาจึงพูดออกมาว่า “มึงหยุดนะ คนจะทำงาน” เครื่องคิดเลขก็ยังไม่หยุด เขาจึงตัดสินใจเดินไปถอดปลั๊กออก หลังจากนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่ที่น่าตกใจก็คือ อยู่ ๆ ก็มีเสียงคุยกันผ่านช่องเพดาน! ซึ่งคุณเคนอยู่ที่ออฟฟิศคนเดียว ในตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 ทุ่ม เขาก็คิดว่ามันคงไม่มีใครมาคุยกันเวลานี้แน่นอน เมื่อเดินไปดูทั่วออฟฟิศก็ไม่เจออะไรแต่สิ่งที่ได้ยินเป็นเสียงพูดคุยที่ไม่ใช่ภาษาไทย ไม่ใช่ภาษาที่เข้าใจได้ จากนั้นก็พยายามหาต้นเสียงแต่ก็หาไม่เจอความหลอนยิ่งทวีคูณมากขึ้น เมื่อคืนหนึ่ง คุณเคนอยู่ชั้น 16 ข้างบนเป็นชั้น 17 ที่เอาไว้จัดงานบ่อย ๆ อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงมีคนขนของอยู่ข้างบนชั้น 17 ดัง ตึ้งตั้ง ๆ !!! คุณเคนไม่ได้กลัวแต่ตอนนั้นเขารู้สึกว่ามันรบกวนสมาธิการทำงานมาก เพราะเขาอยากรีบทำงานให้เสร็จ เมื่อข้างบนเสียงดังไม่หยุดก็เกิดความโมโห จึงกดลิฟต์ขึ้นไปที่ชั้น 17 เพื่อจะต่อว่า แต่แล้วก็ไม่มีใครอยู่บนชั้น 17 เลย! คุณเคนคิดว่าตนคงโดนหลอกแล้วเป็นแน่ จึงรีบกลับลงมาทำงานต่อให้เสร็จ หลังจากนั้นผ่านไป เป็นช่วงที่คุณเคนกำลังจะลาออก ตอนนั้นเขากำลังเดินไปเข้าห้องน้ำ ห้องน้ำที่ออฟฟิศจะแบ่งแยกห้องน้ำชายหญิง ห้องน้ำผู้ชายจะอยู่ข้างในสุด ส่วนห้องน้ำหญิงจะอยู่ก่อนถึงห้องน้ำผู้ชาย ตอนนั้นดึกมากแล้ว เขาจึงเข้าห้องน้ำผู้หญิง เพราะมีห้องหนึ่งที่มีสายชำระ จึงเลือกที่จะเข้าห้องนั้น และคิดว่าคงไม่มีใครมาเข้าห้องน้ำแล้ว แต่เขากลับได้ยินเสียงคนเดินอยู่บริเวณหน้าห้องน้ำ ซึ่งโดยปกติแล้วบริเวณหน้าห้องน้ำจะมียามคอยเฝ้าตรวจตรา และจะมีห้องแคนทีนอยู่ใกล้ ๆ ห้องน้ำ ซึ่งห้องแคนทีนนี้บางทียามก็มักจะมากินข้าว ทำให้คุณเคนไม่แน่ใจว่าใช่ยามหรือเปล่า จึงนั่งเงียบเพื่อฟังเสียงว. ตอนแรกเขาได้ยินเสียงว. สักพักเสียงว.และเสียงเดินก็ค่อย ๆ ไกลออกไป แต่ก็ยังได้ยินเสียงเดินอยู่บริเวณข้างหน้าแต่ไม่มีเสียงว. พอเสียงเดินหายไปสักพัก น้ำในตรงอ่างล้างมือก็เปิดเอง ซึ่งเป็นระบบเซนเซอร์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้คุณเคนหลอนสุด ๆ จนเขาคิดในใจว่าถ้ามาจริงขออีกรอบหนึ่ง มันก็มาจริง ๆ ตามที่ใจเขาคิดแต่มันแรงขึ้น! เหมือนกับว่ากำลังโกรธที่คุณเคนไปท้าทาย คุณเคนบอกว่าตอนนั้นเขาขนลุกไปทั้งตัว บรรยากาศตรงนั้นเปลี่ยนไป รู้สึกเย็นยะเยือก คุณเคนรู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหวและอยู่ไม่ได้ จึงเก็บของแล้วรีบออกจากออฟฟิศทันที อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่ยามเล่าให้คุณเคนฟัง ยามเล่าว่า เขาต้องมานอนเฝ้าของที่ชั้น 17 ขณะที่กำลังนอนอยู่ ก็มีผู้หญิงใส่ชุดไทย มารำไทยอยู่ตรงหน้า! อีกเรื่องเล่าหนึ่งเป็นเรื่องเล่าของลูกค้า คุณเคนบอกว่ามีลูกค้าที่เคยมาที่ชั้น 18 ซึ่งชั้นนี้จะมีห้อง Private อยู่ แต่ต้องเดินผ่านโซน Outdoor และต้องเดินขึ้นบันไดเพื่อที่จะไปถึงห้อง Private คุณเคนเล่าว่า ลูกค้าเคยเห็นคนยืนอยู่ข้างในห้องมืด ๆ ยืนจ้องมาที่ลูกค้าที่กำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ ลูกค้าก็สงสัยว่าคนนั้นคือใคร จึงบอกกับพนักงานให้ขึ้นไปดู แต่พอพนักงานมองไปที่ห้องนั้น พนังงานกลับไม่เห็นใครยืนอยู่! คุณเคยทิ้งท้ายว่าใครมาที่นี่ก็จะโดนกันเกือบทุกคน อย่างเช่นคนที่ดูแลตึกที่ต้องมาทำงานในช่วงเช้า ประมาณ 7 โมงครึ่ง ก็มักจะไม่เปิดไฟเวลาเดินดูตึก พอจะเข้าห้องน้ำ ก็ไปเปิดไฟแล้วเข้าห้องน้ำเลย เขาจะทำแบบนี้เป็นประจำ และมักจะรู้สึกว่ามีคนเดินตาม มีคนเปิดไฟตามทางเดินให้ อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครรู้คือ คนที่อยู่มานานก่อนที่จะสร้างชั้น 17 – 18 ขึ้นมา ชั้น 19 จะมีการสร้างเพดานที่เอาไว้เก็บชนวน คนที่อยู่มาแรก ๆ บอกว่า เขาเคยรู้มาว่าคนที่มาทำงานที่นี่เป็นช่างไฟ มากัน 3 คน เพราะตอนเข้ามาก็มีการเซ็นชื่อเพื่อเข้ามาในตึก แต่ตอนออกเขากลับเจอแค่ 2 คน เขาพยายามเดินตามหาอีกคนที่หายไป แต่พยายามหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ จึงคิดว่าน่าจะกลับบ้านหรือมีเหตุจำเป็นที่จะต้องกลับ ส่วนช่างไฟอีก 2 คนก็เก็บของกลับ ปรากฏว่าช่างไฟอีก 2 คนก็หายไปด้วย จนเขาได้กลิ่นแปลก ๆ ที่ชั้น 19 ปรากฏว่ากลายเป็นศพเสียชีวิตอยู่ตรงนั้น สันนิษฐานว่าอาจโดนไฟดูดตาย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากหมอบี ‘หนูน้อยชอบกินขนมหวาน’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ปิงปอง [ 4 มิ.ย. 2567]

08 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากหมอบี ‘หนูน้อยชอบกินขนมหวาน’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ปิงปอง [ 4 มิ.ย. 2567]

เคยได้ยินหรือไม่ว่าการที่คนคนหนึ่งมีนิสัยที่ต่างออกไปจากเดิมมาก ๆ นั้น มีสาเหตุมาจากการที่วิญญาณของคนเป็นกับวิญญาณของคนตาย อาจจะสลับกันได้ เรื่องราวนี้ ’หมอบี’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (4 มิถุนายน 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘หนูน้อยชอบกินขนมหวาน’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! หมอบีเล่าว่า มีครอบครัวหนึ่งแจ้งหมอบีเข้ามาว่า มีลูกสาวคนหนึ่งมีพฤติกรรมเกรี้ยวกราดขึ้นมา ซึ่งก่อนหน้านี้น้องคนนี้เป็นเด็กดีมาก ว่านอนสอนง่าย เป็นเด็กที่กินอาหารไม่ยาก ผักก็กินหมด และพ่อกับแม่ก็เคร่งมาก ควบคุมให้น้องไม่กินขนมหวานตอนกลางคืน มีอยู่วันหนึ่ง น้องอยากกินขนมมาก แต่พ่อกับแม่ไม่ให้กิน น้องจึงตื่นมากลางดึก แอบลงมาหาขนมกิน แต่เห็นพ่อกับแม่กำลังกินขนมอยู่ น้องโกรธมาก น้องคิดว่า ‘ทำไมไม่ให้หนูกิน ทั้งที่หนูอยากกิน แต่พ่อกับแม่แอบมากินขนมได้’ น้องจึงคว้ามีดที่ตัดขนมมาแทงพ่อกับแม่ด้วยความโกรธ แทงไปหลายครั้ง แต่พ่อกับแม่ไม่ตาย จึงแจ้งหมอบีเข้ามา ตอนที่หมอบีมาถึง คือหลังจากที่เกิดเหตุการณ์มาแล้ว หมอบีจึงไปสืบที่ไปที่มาของเรื่องนี้ซึ่งได้ความมาว่า บ้านหลังนี้พ่อแม่มีอาชีพถ่ายภาพศพ ซึ่งก่อนเกิดเหตุการณ์นี้ไม่กี่วัน มีศพเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อเล่นเดียวกัน อายุเท่ากันกับลูกสาว ทั้งสองก็ทำศพตามปกติ แต่งหน้าให้สวยเพื่อจะถ่ายรูป ระหว่างทำงานก็มีความคิดว่า อยากให้ศพเด็กผู้หญิงคนนี้ดูยิ้ม จึงยัดลูกอมและขนมหวานเข้าไปในปากศพ จากนั้นก็ดันแก้มขึ้นมาเพื่อให้ศพดูยิ้ม ส่วนลูกสาวก็มาเล่นและคลุกคลีอยู่บริเวณศพเป็นปกติ ระหว่างที่กำลังทำงานกันอยู่ น้องก็วิ่งเขามาบอกวพ่อกับแม่ว่า “ศพยิ้มได้เอง บางทีก็ไม่ยิ้ม บางทีก็หายตัวไป” พ่อกับแม่ไม่เชื่อ แต่ก็คาใจ เพราะปกติน้องไม่เคยมาพูดอะไรแบบนี้ เมื่อพ่อกับแม่ทำงานเสร็จก็กลับบ้าน หลังจากนั้นไม่กี่วันน้องก็มีอาการหงุดหงิด โวยวาย ไม่ยอมกินข้าว อยากกินแต่ขนมอย่างเดียว ซึ่งขนมที่น้องอยากกินคือขนมชนิดเดียวกันที่ใช้ยัดปากศพ และก็เกิดเหตุการณ์ที่เล่าไว้ข้างต้น หลังเกิดเรื่อง เจ้าหน้าที่ได้นำตัวน้องไปสอบสวน ระหว่างที่ถามคำถาม น้องก็จะตอบบ้างไม่ตอบบ้าง แต่พอถามเยอะมากเกินไป น้องก็ไม่ตอบ และอยู่ ๆ น้องก็คายขนมที่อยู่ในกระพุ้งแก้มออกมา ซึ่งเป็นขนมที่อยู่ในปากศพ หลังจากนั้นไม่กี่วัน น้องก็เสียชีวิตไป หมอบีได้บอกว่า มีความเชื่อหนึ่งว่า น้องผู้หญิงกับศพผู้หญิง อายุเท่ากัน ชื่อเดียวกัน แล้วเหมือนน้องจะไปทำอะไรบางอย่างกับศพ จึงสลับตัวกัน ซึ่งแปลว่า น้องตัวจริงอาจจะกลายเป็นศพ และเด็กที่มาอยู่กับพ่อแม่ อาจจะเป็นวิญญาณของศพเด็กผู้หญิงคนนั้น..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1
Contact usGreenwave02-665-8377EFM02-665-8373
Advertise with usมัลลิกา ปราบอริพ่าย (กบ)(Atime Showbiz, Online Content)063-282-6915จุฑา วนศานติ (บี) (EFM)02-669-9512, 081-923-9823
อังคณา พองาม (นุก) (Greenwave)02-669-9444-7
ดาวน์โหลด Application ได้แล้ววันนี้ที่atime online application download from app storeatime online application download from play storeติดต่อสอบถาม / แจ้งปัญหาการใช้งานatimeplatform@atimemedia.com
บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน)เลขที่ 50 อาคาร จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส ถนนสุขุมวิท21 (อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขต วัฒนา กรุงเทพ 10110