เรื่องเล่าจากจี๋ สุทธิรักษ์ 'เเพกลางป่า' I อังคารคลุมโปง X จี๋ สุทธิรักษ์ - แพรว นฤภรกมล [ 20 ส.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากจี๋ สุทธิรักษ์ 'เเพกลางป่า' I อังคารคลุมโปง X จี๋ สุทธิรักษ์ - แพรว นฤภรกมล [ 20 ส.ค. 2567]

24 ส.ค. 2024

   ‘คุณจี๋’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘แพกลางป่า’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย!

   ‘คุณจี๋’ เล่าว่าตัวคุณจี๋เองไม่เคยเจอผีมาก่อน และเรื่องที่จะเล่านี้ไม่ใช่เรื่องของคุณจี๋ แต่เป็นเรื่องของเพื่อนคุณจี๋ ที่ตัวคุณจี๋ได้ไปอยู่ในสถานการณ์นั้น ณ ตอนนั้นด้วย แต่คุณจี๋ไม่ได้พบเห็นอะไร

   เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนนี้คุณจี๋ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย และได้มีโอกาสไปเที่ยวแพ ที่จังหวัดกาญจนบุรีกับเพื่อนผู้ชายประมาณ 10 คน และมีแฟนเพื่อนอีกประมาณ 2-3 คน ซึ่งแพที่ไปจะเป็นแพบ้านที่จะต้องใช้เรือหางยาวลำเล็กลากไป ซึ่งเพื่อนของคุณจี๋ก็ได้บอกให้คุณลุงที่ขี่เรือหางยาวให้ลากตัวแพออกไปไกล ๆ เพราะอาจจะเสียงดังจากการปาร์ตี้ และต้องการความเป็นส่วนตัว คุณลุงจึงทำตามคำขอของเพื่อนคุณจี๋ โดยการลากแพบ้านไปลึกมาก ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ซึ่งเป็นเวลาที่นานมากสำหรับการลากแพออกไป เมื่อถึงคุณลุงก็นำเชือกของแพไปผูกกับตอไม้ ซึ่งที่ตรงนั้นไม่มีอะไรเลย และเงียบมาก น้ำก็เชี่ยวประมาณหนึ่ง ก่อนคุณลุงกลับคุณลุงได้ถามว่า “เอาน้ำมันปั่นไปไหม” เพื่อน ๆ ของคุณจี๋ก็บอกไม่เป็นไร คุณลุงจึงขับกลับไป

   โดยแพจะมีลักษณะ 2 ชั้น ด้านบนเป็นห้องนอน ด้านล่างเป็นลานโล่ง และมีห้องน้ำ โดยบริเวณลานแพจะหันไปขนานกับฝั่งป่าทึบที่มองไม่เป็นอะไร ส่วนฝั่งห้องนอนและห้องน้ำจะหันไปทางแม่น้ำ

   เวลาประมาณ 4 โมง คุณจี๋และเพื่อน ๆ ก็กระโดดเล่นน้ำกัน แต่อยู่ ๆ มีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งวิ่งไปขึ้นไปชั้น 2 ที่เป็นห้องนอน เขาวิ่งไปหยิบพระใต้หมอนของแฟนเพื่อนและเขวี้ยงพระออกนอกแพ ซึ่งผู้หญิงที่เป็นเจ้าของพระบอกว่าเธอนั้นไม่ได้บอกใครว่าเก็บพระไว้ใต้หมอน แต่โชคดีที่พระไปติดอยู่กับขื่อ แล้วเพื่อนผู้ชายคนนั้นก็วิ่งไปเอาพระที่ติดอยู่เพื่อเขวี้ยงออกไปจากแพ ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของจึงไปห้ามและหยิบกลับพระมา

   ตกดึกทุกคนก็นอนหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็เห็นเพื่อนคนหนึ่งนั่งหน้าซีดตัวซีดถามอะไรก็ไม่ตอบ จนเพื่อนคนนี้บอกว่า

   “เดี๋ยวเข้าเมืองแล้วเล่าให้ฟัง”

   สรุปว่าสิ่งที่เพื่อนเล่าให้ฟังคือ ในขณะที่ทุกคนเมาและนอนเรียงกัน โดยตอนนอนหัวจะอยู่ตรงกับแกล้ม เท้าจะหันไปทางฝั่งแม่น้ำ ซึ่งเพื่อนคนนี้ได้ตื่นมากลางดึกก็เห็นคนกำลังกินกับแกล้ม เพื่อนคนนี้ก็เข้าใจว่าเป็นกลุ่มเพื่อนที่ยังปาร์ตี้ต่อจึงตั้งใจจะลุกไปกินด้วย แต่พอหันไปดันเห็นเป็นคุณยายคนหนึ่งใส่ผ้าถุงนั่งยอง ๆ กำลังกินกับแกล้มอยู่ คุณยายจึงหันมามองหน้าเพื่อนคนนี้ เมื่อทั้งสองมองหน้ากันคุณยายก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งแบบนั่งยอง ๆ กลับเข้าป่าทึบไป!

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณชิ ‘ห้องเตียงคู่’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ปิงปอง [ 4 มิ.ย. 2567]

10 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณชิ ‘ห้องเตียงคู่’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ปิงปอง [ 4 มิ.ย. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณชิ’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนจากประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นจริง มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (4 มิถุนายน 2567) เตรียมขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ห้องเตียงคู่’ จะชวนหลอนจนขนหัวลุกขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย ! เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงของ ‘คุณชิ’ (นามสมมติ) และภรรยา โดยคุณชิเริ่มเล่าว่า ย้อนกลับไปประมาณปลายปีที่แล้ว คืนหนึ่งภรรยาของคุณชิเกิดอาการปวดท้องหนักมาก คุณชิจึงบอกกับภรรยาว่า “ไปโรงพยาบาลดีกว่าไหม ? มานอนทนปวดแบบนี้มันไม่ดีนะ” ซึ่งตอนแรกภรรยาก็รั้นไม่ยอมที่จะไป จนกระทั่งทนไม่ไหว คุณชิจึงพาไปโรงพยาบาล ขณะนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่ม ซึ่งกว่าจะคุยกับหมอเสร็จ เวลาก็ผ่านไปจนเวลาเที่ยงคืนกว่า คุณหมอก็ได้ข้อสรุปว่า ‘ไส้ติ่งอักเสบ’ ต้องเข้าแอดมิดที่โรงพยาบาลทันที หลังจากนั้นฝ่ายทะเบียนก็เข้ามาบอกให้ภรรยาแอดมิดที่ห้อง 601 ระหว่างนั้นก็มีพยาบาลคนหนึ่ง เดินเข้ามาถามว่า “ให้คนไข้เข้าพักที่ห้องไหน” ฝ่ายทะเบนียนก็ตอบว่า “601 ไงค่ะ” พยาบาลก็เกิดอาการเลิ่กลั่กแปลก ๆ แล้วถามว่า “ทำไมให้คนไข้แอดมิดที่ห้องนั้นละ ?” ตอนนั้นคุณชิก็เกิดคำถามในใจแล้วว่า ‘ทำไมถึงนอนห้องนี้ไม่ได้ล่ะ ?’ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ฝ่ายทะเบียนก็ตอบว่า “มันเหลือห้องเดียวแล้ว ไม่มีอะไรหรอก” ก่อนที่จะหันหน้ามามองภรรยาของคุณชิ แล้วบอกว่า “พอดีว่า ห้องนี้มีคุณยายนอนอยู่คนเดียว แต่ไม่มีอะไรหรอกน้อง นอนได้สบาย คุณยายเขาแค่ ชอบนอนเปิดบทสวดฟัง ไม่มีอะไรหรอก” จากนั้น ช่วงเวลาประมาณตี 1 คุณชิและภรรยาก็ได้เข้าไปที่ห้อง 601 คุณชิเห็นว่าเตียงจะถูกจัดให้อยู่ทางด้านซ้าย ซึ่งเตียงแรกเป็นเตียงของคุณยาย และเตียงที่สอง เป็นเตียงของภรรยา และคุณชิยังสังเกตอาการป่วยของคุณยายอีกว่า คุณยายน่าจะอยู่ในอาการโคม่า อาการไม่สู้ดี และพร้อมที่จะไปแล้ว โดยมีเครื่องช่วยหายใจใส่ไว้ทางปาก และมีเสียงหายใจดัง ฮะ.. เฮือกก อยู่เสมอ.. จากนั้นคุณซิก็กลับบ้าน เพราะว่าไม่สามารถอยู่เฝ้าได้ หลังจากที่คุณชิเอาลูกเข้านอน ช่วงเวลาประมาณตี 2 ทางภรรยาก็โทรมา โดยใช้น้ำเสียงกระซิบบอกว่า “เธอ จู่ ๆ เพลงบทสวดก็ดังขึ้นมา เป็นบทสวดภาษาจีน” คุณชิจึงบอกว่า “ทางพยาบาลเข้ามาเปิดให้คุณยายฟังหรือเปล่า ?” ภรรยาของคุณซิตอบว่า “ไม่นะ ถ้าพยาบาลเข้ามา ก็ต้องได้ยินเสียงเปิดประตู” คุณชิได้แต่พูดปลอบใจว่า “มันไม่มีอะไรหรอก เธอคิดไปเอง เธออาจจะไม่ได้ฟังตอนพยาบาลเปิดประตูเข้ามา” หลังจากนั้น ภรรยาก็เหมือนจะสบายใจขึ้น ก่อนที่จะวางสายไป จนเช้าวันรุ่งขึ้น เวลา 9 โมง คุณชิก็ไปเยี่ยมภรรยา ถามว่าเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง ภรรยาก็เล่าว่าบทสวดดังทั้งคืน ไม่สามารถที่จะนอนหลับได้เลย และบทสวดก็เปิดยันเช้า เย็นวันนั้น พยาบาลก็เข้ามาบอกว่า “เดี๋ยวจะได้ย้ายห้องนะ” ภรรยาได้ยินก็รู้สึกสบายใจขึ้น จนเวลาก็ผ่านไปเกือบ 3 ทุ่ม ทางภรรยาของคุณซิ ก็ไม่ได้ย้ายห้องสักที คุณชิจึงไปถามกับพยาบาล พยาบาลก็บอกว่า “ไม่ได้ย้ายแล้วค่ะ พอดีว่าคนไข้แอดมิดเข้ามาใหม่ ทำให้ห้องเต็มเหมือนเดิม” หลังจากนั้นคุณชิก็กลับบ้าน เวลาประมาณ 5 ทุ่ม ทางภรรยาก็โทรมาบอกว่า “บทสวดดังอีกแล้ว แต่ครั้งนี้แปลกมาก เพราะหลังจากบทสวดจบ มีเสียงเรียกมาด้วย เรียกว่า หนู” ซึ่งทางภรรยาก็พยายามชะเง้อมองหาต้นทางของเสียงและเห็นว่า มีเงาคล้ายกับร่างคน สะท้อนม่าน ชะโงกมองมาทางตน ทางภรรยาของคุณชิก็พยายามหลบสายตาไม่มองไปทางนั้น และบอกว่า “เขาใส่หมวกไหมพรหมสีสีชมพู และพยายามเรียกอิหนู อิหนู… อิหนู ซ้ำอยู่นั่นแหละ” คุณชิพยายามปลอบใจว่า “ไม่มีอะไรหรอก คงมีใครมาเยี่ยมคุณยาย ในเวลานี้หรือเปล่า ?” แต่คุณชิก็รู้สึกว่า มันไม่ชอบมาพากล มีบางอย่างแปลก ๆ แต่ก็ไม่อยากให้ภรรยาคิดมาก จึงได้พูดแบบนั้นไป หลังจากนั้น ช่วงเวลาประมาณตี 2 ทางภรรยาก็โทรเข้ามาอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ บอกว่า “เธอ ไม่ไหวแล้วอ่ะ เปิดเสียงบทสวดอะ ไม่เท่าไหร่ แต่นี่เรียกทั้งคืนเลย มารับกลับได้ไหม อยากกลับบ้านมาก เค้าไม่โอเค ไม่ไหวแล้วจริง ๆ” คุณชิจึงได้แต่ปลอบไปว่า “เค้าไปรับเธอกลับไม่ได้ ถึงเค้าไปรับได้ เธอก็ไม่สามารถกลับกับเค้าได้ เพราะเธออยู่ในกระบวนการการรักษาของแพทย์ เธอต้องอดทนนะ พยายามหลับตานอน” คุณชิรู้สึกไม่สบายใจ เพราะไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทำเพียงแค่ปลอบใจภรรยา ซึ่งคืนนั้นคุณชิก็ไม่ได้นอน เพราะทุกครึ่งชั่วโมงทางภรรยาก็จะโทรมา เพราะทุกครั้งเมื่อเพลงจบ ก็จะมีเสียงเรียกทุกครั้ง และช่วงเวลาประมาณตี 5 ทางภรรยาก็โทรเข้ามาเล่าว่า “เมื่อสักพักก่อนหน้านี้ เกิดอะไรขึ้นไม่รู้ เพราะมีพยาบาล 3-4 คน ก็เข้ามามุงอยู่ที่เตียงของคุณยาย ก่อนที่จะใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วก็ออกกันไป ซึ่งตอนที่พยาบาลยังอยู่ เราก็ปวดเข้าห้องน้ำพอดี จึงได้เห็นว่า พยาบาลจัดคุณยายในท่านั่งพิงกับขอบเตียง ถอดเครื่องช่วยหายใจและสายน้ำเกลือ และใส่ชุดเสื้อผ้าใหม่ที่ไม่ใช่ของโรงพยาบาล พร้อมกับหมวกไหมพรมสีชมพู เราไม่น่ามองไปทางนั้นเลย” หลังจากนั้นภรรยาก็หลับไป.. เช้าวันถัดมาก็ถามพยาบาลว่า “คุณยายไปไหนหรอคะ ? เพราะตื่นมาก็ไม่เห็นแล้ว” พยาบาลก็ตอบว่า “อ๋อ คุณยายเสียตั้งแต่เที่ยงคืนแล้วค่ะ” ซึ่งคุณชิก็รู้สึกว่า ‘ตั้งแต่ช่วงหลังเที่ยงคืน ภรรยาได้นอนกับศพตลอดทั้งคืนเลย เพราะเขาพึ่งเอาคุณยายออกไปตอนเช้า’ จึงถามว่า “ทำไมถึงพึ่งมาเอาคุณยายออกไปตอนเช้า” ทางพยาบาลก็ตอบว่า “พอดีว่าห้องดับจิตเต็ม จึงต้องให้คุณยายอยู่ที่นี่ไปก่อน” พอทางภรรยาของคุณชิรู้เช่นนั้นก็ช็อก เพราะต้องนอนต่อที่ห้องนี้อีกหนึ่งคืน แต่คืนต่อมาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะมีคนไข้คนใหม่ เข้ามานอนแทนที่ของคุณยายคุณยายแล้ว..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เจอดีทั้งบ้าน! เมื่อเข้าพักโรงแรมดังในห้องหมายเลข 329

21 ส.ค. 2023

เจอดีทั้งบ้าน! เมื่อเข้าพักโรงแรมดังในห้องหมายเลข 329

‘ตั้ม The Shock’ กลับมาเล่าเรื่องหลอนในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (15 สิงหาคม 2566) ได้ฟังอีกครั้ง กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ห้อง 329’ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากคดีจริงเมื่อปี 2550 เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ปิดไฟแล้วไปอ่านเลย! เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากคดีฆาตกรรมเมื่อปี 2550 ที่จ.นครราชสีมา มีแม่บ้านจากโรงแรมแห่งหนึ่ง ได้ขึ้นไปทำความสะอาดห้องพักที่ชั้น 3 หมายเลขห้อง 329 เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ถึงกับต้องผงะ เพราะกลิ่นเหม็นสาบคาวเลือดพุ่งกระแทกจมูกเข้าอย่างจัง แถมยังลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งชั้น 3 อีกด้วย แม่บ้านจึงแจ้งเจ้าหน้าที่โรงแรม และติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมทั้งหน่วยกู้ภัย เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงก็ตรวจสอบพบว่า มีคราบเลือด คราบน้ำเหลืองอยู่บนเพดานห้อง กู้ภัยจึงเปิดฝ้าเพดานและได้เจอกับศพผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งร่างมีคราบน้ำเหลืองและเลือดไหลปะปนกัน ยิ่งเข้าไปใกล้ ๆ ก็ยิ่งส่งกลิ่นให้แรงทวีคูณ เจ้าหน้าที่จึงทำการเคลื่อนย้ายร่างผู้ตายเพื่อส่งไปชันสูตรหาตัวตนและสาเหตุการตายต่อไป ตัดภาพมาที่ ‘คุณโก้’ เจ้าของเรื่องหลอนในครั้งนี้ คุณโก้เป็นคนเชียงใหม่ มีธุรกิจอยู่ที่โคราช ทำให้ต้องไป ๆ มา ๆ ระหว่าง 2 จังหวัดนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่หลังจากเจอวิกฤตโควิด-19 คุณโก้ก็ไม่ได้เดินทางมาที่โคราชเป็นเวลากว่า 3 ปี หลังจากนั้น สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย คุณโก้จึงเดินทางไปที่โคราชอีกครั้ง ในครั้งนี้มีครอบครัวที่ประกอบไปด้วย คุณแจง (นามสมมุติ) ผู้เป็นภรรยาและ น้องจอย (นามสมมุติ) ลูกไปด้วย เมื่อถึงวันเดินทาง คุณโก้ก็ได้มาพักที่โรงแรมแห่งนี้ เป็นห้องชั้น 3 หมายเลข 329 ซึ่งปกติแล้วคุณโก้ก็เคยมาพักที่นี่ แต่ก็ได้ห้องชั้นอื่นตลอด คุณโก้เช็คอินเข้าห้องพัก กระเป๋าและสัมภาระก็ถูกขนขึ้นไปไว้บนห้อง ระหว่างนั้นครอบครัวคุณโก้ก็ออกไปรับประทานอาหารร้านประจำซึ่งมีพนักงานเสิร์ฟสาวที่รู้จักคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เธอกล่าวทักทายคุณโก้ “สวัสดีค่ะคุณโก้ มาเที่ยวเหมือนเดิมเหรอคะ? แล้วพักที่ไหนคะ?” คุณโก้บอกชื่อโรงแรมไป แล้วเธอก็ถามต่ออีกว่า “แล้ว.. ห้องไหนคะ?” คุณโก้ก็ตอบไปตามปกติว่า “เมื่อก่อนได้ห้องชั้น 1 บ้าง ชั้น 2 บ้าง แต่รอบนี้ได้ห้อง 329 เหมือนจะเลขสวยด้วยน้า” เด็กเสิร์ฟที่กำลังตักข่าวอยู่ก็หยุดชะงัก จากนั้นก็เดินหนีออกไปโดยที่ไม่พูดอะไรเลย! คุณโก้ได้แต่สงสัยว่าทำไมเธอจึงเดินหนีออกไปแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ครอบครัวของคุณโก้ก็กลับมาที่โรงแรม เมื่อถึงโรงแรม คุณแจงและน้องจอยโก้ก็ขึ้นไปบนห้อง ส่วนคุณโก้นั้นลงมาซื้อขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มเผื่อหิวกลางดึก ในระหว่างนั้น น้องจอยก็เข้าไปแปรงฟันในห้องน้ำ สักพักก็เดินออกมาแล้วบอกว่า “แม่ มีผู้หญิงอยู่ในห้องน้ำ” คุณแจงบอกกับลูกว่า “ไม่มีหรอกลูก ผู้หญิงที่ไหน เราอยู่กันสองคน” น้องจอยก็ยืนยันว่ามีจริง คุณแจงคิดว่าน้องจอยไม่ได้โกหกแต่อาจจะเป็นจินตนาการของน้องจอยที่คิดไปเอง “งั้นพาแม่ไปดูหน่อยสิ้” น้องจอยก็พาคุณแจงเดินเข้าไปในห้องน้ำ แต่คุณแจงก็ไม่เจออะไร จึงถามน้องจอยว่าเจอผู้หญิงตรงไหน น้องจอยก็ชี้ไปที่อ่างน้ำ แต่ในเมื่อไม่เห็นอะไรผิดปกติ คุณแจงจึงพาน้องจอยออกมาเพื่อเตรียมตัวเข้านอน เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณโก้กลับมาเข้าที่ห้องพอดี คุณโก้และคุณแจงนอนอยู่บนเตียงด้วยกัน ส่วนน้องจอยจะนอนอยู่บนเตียงเด็กที่เตรียมมาเองในตำแหน่งปลายเตียงของพ่อแม่ คุณโก้บอกให้คุณแจงและน้องจอยรีบนอน เพราะพรุ่งนี้หลังจากทำธุรเสร็จแล้ว จะพาไปเที่ยวสวนสัตว์ด้วยกัน ทุกคนดูกระตือรือร้นที่จะได้ไปเที่ยว คุณโก้จึงปิดไฟเหลือไว้เพียงแสงจากโทรทัศน์ หลังจากนอนไปได้สักพัก คุณแจงที่มักจะนอนหงายอยู่ฝั่งขวา ก็เริ่มรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก รู้สึกอบอ้าวและร้อนไปหมดทั้งตัว แถมยังรู้สึกระคายเคืองที่คอ และยังได้ยินเสียงเหมือนคนสำลักออกมาด้วย คุณแจงตื่นขึ้นมาแต่ก็ขยับตัวไม่ได้ ทำได้เพียงชำเลืองหางตาไปทางขวามือที่คุณโก้นอนอยู่ ก็เห็นว่ามีผู้หญิงผมยาวนั่งก้มหน้าในมุมมืดข้างเตียง ลิ้นจุกอยู่ที่ปากส่งเสียงสำลักในคอมาเป็นระยะ! คุณแจงที่ยังขยับตัวไม่ได้ก็สังเกตเห็นอีกว่ามือของผู้หญิงคนนั้นเอือมมาบีบคอตัวเองอยู่! คุณแจงพยายามดิ้นและนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สักพักก็หลุดพ้น คุณแจงลุกขึ้นมานั่งแล้วสะกิดคุณโก้เสียงเบาเพราะกลัวว่าลูกจะตื่น คุณแจงบอกว่าตนนั้นโดนผีหลอก คุณโก้ปลอบใจและพยายามบอกว่าอาจจะเหนื่อยมากไปเพื่อให้คุณแจงใจเย็นลง หลังจากใช้เวลาสักพัก คุณแจงก็ยอมนอนต่อแต่โดยดี เมื่อคุณแจงหลับไป คุณโก้ที่ปกติแล้วชอบนอนตะแคงก็รู้สึกได้ว่าเหมือนมีคนมากอดจากข้างหลัง จึงคิดว่าอาจจะเป็นคุณแจง แต่มันแปลกตรงที่การกอดมันแน่นรุนแรงขึ้น และยังรู้สึกอีกว่าแขนที่มากอดมันหนักเกินกว่าจะเป็นแขนของภรรยาได้! จากนั้นก็เริ่มได้กลิ่นแปลก ๆ และรู้สึกว่าแขนนั้นมันเปียกชื้นแฉะ คุณโก้จึงหันไปมอง ก็เห็นเป็นผู้หญิงผมยาว ลิ้นจุกปาก น้ำเหลืองและน้ำเลือดไหลออกจากตา สำลักในลำคอของเธอก็ดังขึ้นเป็นระยะพร้อมกับสายตาน่ากลัวที่มองคุณโก้! คุณโก้ตกใจดิ้นหลุดจนตกลงมาซอกเตียง หลังจากควบคุมสติได้ก็มองขึ้นบนเตียงอีกที ทุกอย่างก็หายไป! คุณโก้ใช้มือยันพื้นหลังติดผนังแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน จังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงกุกกักจากข้างบนฝ้าตามมาด้วยเสียงสำลักในลำคอดังขึ้นมาอีก! คุณโก้รู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ข้างบนนั้นมันกำลังจะร่วงลงมา จากนั้นฝ้าก็เผยอเปิดออก! คุณโก้รีบไปดึงตัวคุณแจงและน้องจอยออกจากห้องโดยที่ไม่พูดอะไรและทิ้งของทุกอย่างไว้ที่ห้องนั้น แล้วขับรถออกจากโรงแรมทันที! เมื่อมาถึงอีกโรงแรม คุณโก้ก็บอกน้องจอยแค่ว่า “พ่อนัดเพื่อนไว้ ลูกขึ้นไปนอนก่อนนะ” คุณแจงและน้องจอยก็ขึ้นไปบนห้อง คุณโก้นั่งอยู่ที่ฟร้อนโรงแรมเพื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จากนั้นก็เห็นป้อมยามของโรงแรม จึงไปเดินถามเพราะคิดว่าถ้าเป็นเรื่องผีจริง คนที่จะรู้มากที่สุดก็คงจะเป็นคนในพื้นที่ ก็เจอลุงคนหนึ่งนั่งอยู่ในป้อมยาม คุณโก้เล่าให้คุณลุงฟังว่าเจออะไรมาบ้าง พร้อมกับบอกชื่อโรงแรมที่เจอ คุณลุงถามกลับมาทันทีว่า “329 ใช่มั้ย?” คุณโก้พยักหน้าตอบ คุณลุงจึงเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นั่นทำให้คุณโก้ตัดสินใจว่าหลังจากนี้ จะไม่มาพักที่โรงแรมต้นเรื่องอีก ต้นตอของคดีฆาตกรรมห้อง 329 คือมีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมีสามีอยู่ที่กรุงเทพฯ ทำอาชีพเป็นพนักงานนวดแผนโบราณ และมีงานพิเศษเป็นสาวอาบอบนวด ทำให้มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาพัวพันด้วย ผู้ชายคนนี้ทำอาชีพเป็นช่างแอร์ เมื่อคบกันไปได้สักพัก ผู้ชายก็จับได้ว่าเธอมีสามีอยู่แล้ว ทั้งคู่นักมาเคลียร์ใจกันที่โรงแรมนี้ในห้อง 329 เมื่อตกลงกันไม่ได้ ฝ่ายชายเกิดบันดาลโทสะบีบคอฝ่ายหญิงจนเสียชีวิต ด้วยความที่เขาเป็นช่างแอร์ จึงนำศพของผู้หญิงอำพรางไว้ในช่องข้างฝ้าเพดานข้างบน จากนั้นก็ลงไปซื้อเครื่องดื่มขึ้นบนดื่มบนห้องอย่างใจเย็น จนกระทั่งถึงเช้าอีกวัน เขาก็เช็คเอาท์ออก หลังจากนั้น 3 วัน แม่บ้านก็เข้ามาทำความสะอาดในห้อง จากนั้นก็แจ้งเจ้าหน้าที่และพบศพอยู่ข้างบนฝ้าในห้อง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ข้อห้ามเพียงอย่างเดียวของร้านอิซากายะแห่งนี้คือห้ามรับโทรศัพท์ แต่ด้วยความอยากรู้เลยรับสาย แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไร ลองอีกรอบสอง ปลายสายพูดกลับมาว่า ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมามองผมหน่อย!! ตกใจหลอนจนไม่กล้าไปทำงานอีก !

28 เม.ย. 2024

ข้อห้ามเพียงอย่างเดียวของร้านอิซากายะแห่งนี้คือห้ามรับโทรศัพท์ แต่ด้วยความอยากรู้เลยรับสาย แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไร ลองอีกรอบสอง ปลายสายพูดกลับมาว่า ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมามองผมหน่อย!! ตกใจหลอนจนไม่กล้าไปทำงานอีก !

เรื่องนี้ ‘คุณต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ได้นำเรื่องเล่าสุดหลอนจากประเทศญี่ปุ่น มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 เมษายน 2567) ขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เวลาเดิม’เป็นเรื่องราวของเด็กพาร์ทไทม์ที่อยากจะลองดีจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! ต้นกล้าเล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของผู้ชายชาวญี่ปุ่น ให้ชื่อสมมุติว่า ‘อาคิยะ’ ตัวเขานั้นกำลังหางานพาร์ทไทม์ จึงถามกับเพื่อนว่า “มีที่ไหน แนะนำบ้างไหม?” เพื่อนตอบว่า “ตอนนี้ไม่มีเลยว่ะ” แต่อาคิยะนึกขึ้นได้ว่า เพื่อนของตนทำงานอยู่ที่ร้านอิซากายะแห่งหนึ่ง จึงถามเพื่อนว่า “แล้วที่ทำอยู่ไม่รับเพิ่มแล้วหรอ” เพื่อนรีบตอบปัดเสียงแข็งกลับมาว่า “กูออกมาแล้ว” อาคิยะเกิดความสงสัยจึงถามต่อว่า “ทำไมถึงออกล่ะ?” แต่เพื่อนกลับแสดงท่าทีมีพิรุธแปลก ๆ ตอบเพียงว่า “เรื่องของกู กูอยากออก” อาคิยะจึงขอว่า “ถ้ามึงไม่ทำแล้ว.. กูขอได้ไหม เพราะตอนที่มึงทำอยู่ เจ้าของร้านก็ดูใจดี มีข้าวให้กิน มีเวลาให้พัก” ครั้งนี้เพื่อนกลับดูมีพิรุธกว่าเดิม และยังเตือนอีกว่า “อย่าเลย มันเดินทางลำบากน่ะ” อาคิยะจึงตอบปัดขำ ๆ ไปว่า “เดินทางลำบากมันเรื่องของกู ไม่เกี่ยวกับมึงไง มีอะไรก็แนะนำมาเถอะ อย่ามากั๊กกัน” สุดท้ายเพื่อนก็ยอมบอก หลังจากได้ข้อมูลร้านมา อาคิยะก็ทำการติดต่อร้านอิซากายะแห่งนั้นไป เมื่อถึงวันสมัครสัมภาษณ์งาน อาคิยะก็เตรียมความพร้อม ทั้งเรซูเม่และเอกสารทุกอย่างไปครบ แต่ยังไม่ทันได้ตอบสัมภาษณ์ทุกคำถาม ทางหัวหน้าก็ถามกลับมาทันทีว่า “เริ่มทำงานได้วันไหน วันนี้เลยไหม พร้อมทำงานหรือยัง?” อาคิยะตั้งตัวไม่ทัน แต่ก็ตอบกลับไปว่า “เริ่มวันนี้เลยก็ได้ครับ” หลังจากนั้นก็ถูกส่งต่อให้รุ่นพี่สอนงาน เมื่ออาคิยะเข้าใจหน้าที่ทุกอย่าง ก่อนที่จะแยกย้าย พี่ที่ร้านก็กำชับบางอย่างว่า “พี่ลืมบอกไป ร้านเราน่ะ ถ้ามีโทรศัพท์โทรเข้ามา ไม่ต้องรับนะ เพราะว่าคนชอบคิดว่าร้านอิซากายะเรามีเดลิเวอรี ก็เลยชอบโทรมา ถ้าจะรับก็แค่ช่วงกลางวันแล้วกัน ตอนนั้นจะมีคนโทรมาส่งของ แต่หลังช่วงเย็นมันไม่มี ไม่ต้องรับนะ” หลังจากนั้นอาคิยะก็เริ่มทำงาน เขาทำงานกะดึก ซึ่งการทำงานก็ดูเหมือนว่าจะปกติทั่วไป แต่กลับมีบางอย่างแปลก ๆ อาคิยะสังเกตได้ว่า ร้านอิซากายะแห่งนี้ มีพนักงานช่วงกะดึกเพียงแค่ 2 คน คืออาคิยะและรุ่นพี่ ทั้งที่ตอนกลางคืนที่ร้านค่อนข้างยุ่ง แต่กลับไม่มีพนักงานคนอื่นอยู่เลย ส่วนหัวหน้าก็จะแอบหนีกลับไปก่อนทุกครั้ง เขาจึงถามกับหัวหน้าและก็ได้คำตอบว่า “ตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังขาดแคลนแรงงาน แต่เดี๋ยวหัวหน้าให้เงินเดือนเพิ่ม” สุดท้ายอาคิยะก็ต้องทำงานต่อไป นอกจากนี้ยังมีเรื่องแปลก ๆ เกี่ยวกับโทรศัพท์ อย่างที่หัวหน้าเคยบอกว่า ทุกวันที่ร้านจะมีสายโทรศัพท์โทรเข้ามาเวลาเดิม เป็นช่วงเวลาหลังปิดร้านพอดี และตอนที่ตัวเขาเองกำลังจะกลับบ้าน อาคิยะก็ท่องจำไว้เสมอกับคำที่หัวหน้าเคยบอกว่า “ไม่ต้องรับสายนะ” อาคิยะก็ไม่เคยรับโทรศัพท์เลย จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ระหว่างที่อาคิยะกำลังเก็บของอยู่คนเดียว เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น อะไรดลใจก็ไม่ทราบได้ อาคิยะยกหูรับสายทันที เสียงจากปลายสาย เป็นเสียงคล้ายคนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งเขาเองไม่สามารถจับใจความได้ อาคิยะก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าคงโทรผิด จึงเลือกที่จะวางสายไป ช่วงเย็นของอีกวัน ขณะที่รุ่นพี่กำลังยืนล้างจานอยู่ อาคิยะก็เล่าเหตุการณ์ที่เจอให้รุ่นพี่ฟังว่า “เมื่อวาน.. ผมน่ะ รับสายโทรศัพท์ที่มันดังในร้านทุกวัน” หลังอาคิยะพูดจบ รุ่นพี่ก็เผลอปล่อยจานจนหล่นแตก แล้วถามกลับว่า “แล้วมึงได้ฟังไหม ได้ยินที่เขาพูดหรือเปล่า?” อาคิยะตอบว่า “ได้ยินนะครับพี่ แต่เขาพูดไม่รู้เรื่อง” รุ่นพี่บอกต่อว่า “อ๋อ เออดีแล้ว แต่วันหลังไม่ต้องรับนะ” แต่อาคิยะจับพิรุธได้ว่า รุ่นพี่มีอาการแปลก ๆ จนเขาตั้งข้อสงสัยขึ้นมาว่า นี่คงเป็น ‘โทรศัพท์ผีสิง’ มันจะต้องมีเรื่องราวลึกลับบางอย่างกับสายโทรศัพท์นี้แน่นอน อาคิยะจึงเริ่มวางแผน แกล้งทำงานช้า ๆ ปล่อยให้รุ่นพี่กลับบ้านไปก่อน เขาจะได้อยู่ร้านเพียงคนเดียว ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน จากนั้นเขาจึงมานั่งรอสายโทรศัพท์ เมื่อใกล้ถึงเวลา โทรศัพท์ก็ดัง กริ๊งงงง… ตรงตามเวลาเป๊ะ อาคิยะหัวใจเต้นแรง ตึกตัก.. ตึกตัก เมื่อยกหูรับสาย “สวัสดีครับ..” ก็ไร้การตอบกลับจากเสียงปลายสายเหมือนเดิม ได้ยินเพียงเสียงคนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่สามารถเข้าใจได้ เมื่อเขากำลังจะวางสายลง เสียงก็เริ่มชัดเจนขึ้นจนได้ยินว่า “ผมอยู่ข้างหลัง ผมอยู่ข้างหลัง ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมามองผมหน่อย ผมอยู่ข้างหลัง” ปลายสายพูดย้ำหลายครั้ง และเป็นจังหวะเดียวกับที่อาคิยะกำลังจะเหลือบไปมองข้างหลัง เขาสัมผัสได้ทันทีว่า มีคนหรืออะไรบางอย่างยืนอยู่ข้างหลังเขาจริง ๆ ! อากิยะรีบวางโทรศัพท์ แล้ววิ่งกลับบ้านทันที ! โดยที่ไม่มาทำงานอีกเลย เวลาผ่านไปจนกระทั่ง อากิยะได้เจอเพื่อนที่แนะนำร้านอิซากายะแห่งนี้ให้ เพื่อนก็ถามว่า “เป็นยังไงล่ะมึง” อาคิยะบอกว่า “แล้วทำไม ไม่บอกตั้งแต่แรกว่าที่ร้านมีผี” เพื่อนก็อธิบายให้ฟังว่า “ถึงบอกไป มึงก็ไม่เชื่อ กลัวโดนหาว่าโกหกอีก แต่สิ่งที่มึงสัมผัสตอนนั้น คือของแท้หมดเลย มึงคงเจอผีจริงๆ” เพื่อนเล่าให้ฟังว่า ที่ร้านเคยมีพนักงานคนหนึ่ง เป็นคนที่ขยันทำงาน และทุ่มเทให้กับงานมาก แต่ทุ่มเทเท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่พอ เกิดความกดดัน จนท้ายที่สุดก็จบชีวิตตัวเอง คิดว่าสาเหตุเป็นเพราะเครียดเรื่องงาน ซึ่งหลังจากพนักงานคนนี้ได้จากไป ทุกวันเวลาเดิมก็จะมีเสียงโทรศัพท์โทรเข้ามาเสมอ เพื่อที่จะบอกใครสักคนว่า “ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมากลับมาดูหน่อย.. ผมที่กำลังตั้งใจทำงานอยู่..” ซึ่งคนที่พนักงานคนนั้นพยายามที่จะโทรหา ก็คือ ‘หัวหน้า’ นั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

พิม ลัทธ์กมล เล่าเรื่อง ‘เคาะ 3 ครั้ง’ l อังคารคลุมโปง X เบคกี้ - พิม [8 เม.ย 2568]

13 เม.ย. 2025

พิม ลัทธ์กมล เล่าเรื่อง ‘เคาะ 3 ครั้ง’ l อังคารคลุมโปง X เบคกี้ - พิม [8 เม.ย 2568]

เป็นนักแสดงที่ทุ่มเท อยากรู้ความเป็นอยู่ของตัวละคร จึงขอไปนอนในสถานที่ถ่ายทำจริง แต่ใครจะคิด ว่าคืนนั้นจะไม่ได้นอนจนถึงเช้า และทำให้เปลี่ยนความเชื่อเรื่อง ‘ผี’ ไปตลอดกาล ติดตามเรื่องเล่าของ ‘คุณพิม ลัทธ์กมล’ ที่ได้นำเรื่อง ‘เคาะ 3 ครั้ง’ มาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (8 เมษายน 2568) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ต้องขนลุกไปพร้อมๆ กัน! ‘คุณพิม’ ได้นำเรื่อง ‘เคาะ 3 ครั้ง’ มาเล่า โดยคุณพิมได้เล่าว่า คุณพิมได้ไปถ่ายหนังที่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็นเป็นจังหวัดที่อยู่ติดกับชายแดนเขมร ด้วยความที่คุณพิมเป็นนักแสดง จึงอยากลองเรียนรู้สถานที่ที่ใช้ถ่ายทำจริง ๆ ว่าตัวละครใช้ชีวิตอย่างไร คุณพิมจึงชวนเพื่อนมานอนด้วยกันที่สถานที่จริง สถานที่แห่งนี้เป็นกระต๊อบที่สร้างจากไม้ รอบ ๆ กระต๊อบที่คุณพิมและเพื่อนนอน ไม่มีบ้านคน มีแค่คนมาเฝ้าซึ่งเป็นชาวบ้านในแถบนั้น ที่ไม่มีโทรศัพท์ และไม่รู้เรื่องเทคโนโลยีมากนัก ในคืนนั้นเวลาตี 3 คุณพิมได้ตื่นขึ้นมา เพราะอุณหภูมิในกระต๊อบเริ่มลดลง จากที่อากาศร้อนกลายเป็นเย็นจนเหมือนอยู่ในห้องแอร์ และเมื่อคุณพิมตื่นก็รู้สึกยุกยิกตามร่างกาย พอหันไปทางเพื่อนที่นอนอยู่ด้านข้าง ก็มีเห็นว่ามีอาการยุกยิกเหมือนกัน ขณะเดียวกัน คุณพิมก็เริ่มได้ยินเสียงระนาค ที่บรรเลงช้า ๆ คุณพิมจึงถามเพื่อนว่า “มีคนมาเปิดเพลงแกล้งเราไหม” เพื่อนคุณพิมจึงตอบกลับมาว่า“ไม่นะ ที่นี่มีแค่เรานอนกัน 2 คน คนที่มาเฝ้าก็เป็นชาวบ้านที่ไม่มีโทรศัพท์” คุณพิมจึงเริ่มสงสัยว่ามันคือเสียงอะไร แต่ก็กลัวจนไม่กล้าขยับตัว และเสียงระนาดยังคงดังต่อไป และตอนนั้นเองคุณพิมและเพื่อนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนคนกำลังเดินขึ้นมา ตึก ตึก ตึก และเสียงนั้นก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องคุณพิม ในใจคุณพิมก็ยังคิดว่าอาจเป็นคนที่มาเฝ้าเดินขึ้นมา แต่สิ่งนั้นก็ยังหยุดอยู่ที่หน้าประตูเป็นเวลานาน และทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้น ตึง! ตึง! ตึง! เสียงเคาะดังขึ้นที่หัวเตียง แต่คุณพิมก็ยังคิดว่ามีใครมาแกล้งหรือเปล่า คุณพิมและเพื่อนจึงลองตั้งสติด้วยการนอนหลับไปอีกหนึ่งครั้ง แต่อากาศก็ยังเย็นลงเรื่อย ๆ เพลงยังคงบรรเลงต่อไป จนเช้าถึงหายไป และในคืนนั้นคุณพิมกับเพื่อนจึงแทบไม่ได้นอน เพราะความกังวลจนไม่กล้าขยับตัวไปไหน ในช่วงเช้าคุณพิมจึงไปถามชาวบ้านเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ตัวเองได้เจอ ชาวบ้านแถวนั้นจึงบอกว่า “ที่แถวนั้นมันแรง ก่อนไปนอนได้ขอไหม” คุณพิมจึงตอบไปว่า “ไม่ได้ขอค่ะ แค่ไปนอนเฉย ๆ” คุณพิมจึงได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคือ เขามาทักทาย คืนต่อมาคุณพิมได้เปลี่ยนที่นอน ไปนอนในบ้านที่ทางทีมงานเตรียมไว้ให้ และได้กราบไหว้ก่อนจะเข้านอน ทำให้ไม่เจออะไรอีกเลย เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้คุณพิมที่ไม่เคยเชื่อลี้ลับ กลายเป็นเชื่อ 100% ว่า ผีมีจริงแน่นอน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1