เรื่องเล่าจาก พีค V3RSE 'เงาในกระจก' I อังคารคลุมโปง X V3RSE [ 1 ต.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจาก พีค V3RSE 'เงาในกระจก' I อังคารคลุมโปง X V3RSE [ 1 ต.ค. 2567]

05 ต.ค. 2024

     ‘คุณพีค V3RSE‘ ได้มาเล่าเรื่อง ‘เงาในกระจก’ เป็นประสบการณ์สุดหลอนที่เจอร่างดำ ณ ห้องพักโรงเเรมเเห่งหนึ่ง ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (1 ตุลาคม 2567) ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม‘ ฟัง จะขนลุกขนาดไหนนั้น ไปอ่านพร้อมกันเลย!

     คุณพีคเล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 7-8 ปีที่เเล้ว ตนเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนดนตรีในกรุงเทพฯ ทุกสัปดาห์ก็จะเข้าพักที่โฮสเทลเป็นประจำ เเต่มีอยู่สัปดาห์หนึ่ง พ่อแม่ของตนมีธุระที่กรุงเทพฯ จึงตกลงกันว่าจะไปนอนที่โรงแรมด้วยกัน จากนั้นก็ได้เดินทางมาที่กรุงเทพฯพร้อมกัน

     เมื่อมาถึงโรงเเรม คุณพีคก็รู้สึกได้ถึงความเก่า คาดว่าโรงเเรมนี้น่าจะมีอายุมากเเล้ว เมื่อเข้าเช็คอิน คุณเเม่ก็ได้กุญเเจห้องหมายเลข 715 ขณะที่ขึ้นลิฟต์ไปห้องพักตนก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไร จนเดินมาถึงหน้าห้องพักคุณพีคก็รู้สึกอึดอัด ไม่อยากอยู่ที่นี่ รู้สึกใจหวิว ๆ เหมือนกลัวอะไรบางอย่าง เเต่คุณพีคก็ไม่ได้อยากทำตัวเรื่องมากกับพ่อเเม่ เมื่อเปิดประตูเข้าไป จู่ ๆ ก็รู้สึกจุกหน้าอก หายใจไม่ออก และสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เเต่ก็พยายามไม่คิดอะไร คิดว่านอนกับพ่อเเม่คงไม่มีอะไร จึงเข้าห้องไปเก็บของในห้อง เมื่อเสร็จเเล้วออกไปกินข้าวข้างนอก และกลับห้องมาประมาณ 3-4 ทุ่ม ตนก็ต้องรีบนอนเพราะมีเรียนดนตรีตอนเช้า

     เมื่อหลับไปสักพัก คุณพีคก็ตื่นขึ้นเพราะอยากเข้าห้องน้ำ ช่วงนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่า ก็เห็นคุณพ่อนอนเล่นโทรศัพท์อยู่ตรงที่โซฟา จากนั้นก็เข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว เเต่ในระหว่างนั้นคุณพีคก็ใส่หูฟังเล่นโทรศัพท์ไปด้วย สักพักหนึ่งก็มีเสียง ก๊อก ก๊อก ก๊อก! ตอนแรกตนก็ไม่เเน่ใจว่าเสียงนั้นมาจากคุณพ่อหรือมาจากในวิดีโอที่ตนกำลังดู ต่อมาก็มีเสียง ก๊อก ก๊อก ก๊อก! มาอีกครั้ง ต่อมาก็มีเสียงเหมือนทุบประตู ปึ้ง ปึ้ง ปึ้งง!! เเล้วก็มีเสียงตะโกนเรียก พีค! ตนก็ได้ตะโกนถามเพราะคิดว่าเป็นเสียงพ่อว่า “พ่อ จะเข้าห้องน้ำเหรอ?” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา เมื่อออกไปก็เห็นคุณพ่อนอนเล่นโทรศัพท์อยู่เหมือนเดิม จึงถามคุณพ่อว่า

     พีค : พ่อจะเข้าห้องน้ำเหรอ เห็นเมื่อกี้ไปเคาะประตู

     คุณพ่อ : เปล่า พ่อไม่ได้จะเข้า ทำไม?

     เมื่อคุณพีคได้ยินเช่นนั้น ก็คิดเเล้วว่าตัวเองโดนเข้าเเล้ว จึงใจดีสู้เสือเพราะไม่อยากทะเลาะกับเขา จึงรีบเข้านอน

     วันต่อมา พ่อแม่ของคุณพีคก็ได้ออกไปทำธุระ เเละคืนนี้คุณพีคต้องนอนคนเดียว เมื่อเรียนดนตรีเสร็จตั้งเเต่เวลาประมาณ 3-4 โมงเย็น เเต่ก็ยังไม่อยากกลับห้อง คิดว่าจะกลับทีเดียวตอนที่จะนอน เมื่อกลับห้องก็ได้ไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน ในขณะที่กำลังอาบน้ำอยู่ก็มีเสียงเหมือนของแข็งขูดกับปูน! ตนก็ไม่ได้สนใจอะไร เเต่ในจังหวะที่ตนกำลังก้มหน้าสระผมก็เห็นเป็นเท้าคนดำ ๆ! ลอดผ่านช่องม่านข้างล่าง กำลังใช้เล็บยาวหนา ๆ จิกกับขอบอ่างอาบน้ำอยู่ดัง แก๊กก… แก๊กกก!

     คุณพีคพยายามตั้งสติให้ได้มากที่สุด เเล้วก็ไปล้างหน้าแปรงฟันต่อที่อ่างล้างหน้า เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองในกระจกก็เห็นร่างสีดำนั้นอยู่ตรงเยื้องขวารูปร่างคล้ายผู้ชาย! ตนตกใจรีบวิ่งออกจากห้องน้ำทันที เเล้วรีบใส่เสื้อผ้า เก็บของออกจากห้อง เเต่ในขณะที่วิ่งออกมาประตูห้องน้ำยังเปิดอยู่ ร่างนั้นก็หายไปแล้ว เเต่ตรงพื้นที่ร่างนั้นยืนมันมีคราบอยู่คล้ายกับคราบเขม่าสีดำ ซึ่งเมื่อวานที่เข้าพักกับตอนเช้าก่อนไปเรียนยังไม่มีคราบนี้ จากนั้นก็คืนห้องออกจากโรงแรมทันที!

     เเล้วคุณพีคได้สืบเรื่องต่อโดยการเสิร์ชในออนไลน์ว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้น จนได้รู้ว่าโรงเเรมแห่งนี้เคยมีเหตุการณ์ไฟไหม้..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

Epic time ถ่ายรายการผีที่ต้องไปนอนบ้านคนอื่น จนทีมงานเจอดี วิ่งหนีแทบไม่ทัน

09 ก.พ. 2024

Epic time ถ่ายรายการผีที่ต้องไปนอนบ้านคนอื่น จนทีมงานเจอดี วิ่งหนีแทบไม่ทัน

เรื่องนี้ ‘คุณทับทิม’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกิดในรายการ ‘Epic Ghost Camp’ อีพีที่เป็นบ้านของน้องสตรีมเมอร์คนหนึ่ง ซึ่งทางเจ้าของบ้านได้มีการชักชวนด้วยตัวเอง เพราะมั่นใจว่าบ้านของตัวเองโหดที่สุด ตั้งแต่รายการนี้ไปถ่ายทำมา เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย โดยเรื่องนี้ที่คุณทับทิมได้นำมาเล่าเป็นประสบการณ์จากรายการ Epic Ghost Camp EP ที่ไปถ่ายทำที่บ้านของ ‘คุณต้น’ (นามสมมติ) สตรีมเมอร์คนหนึ่ง โดยรายการนี้ พิธีกรหลักคือ ‘คุณเอก’ และ ‘คุณทับทิม’ ยูทูปเบอร์จากช่องดังอย่าง Epic Time จะเข้าไปรับฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในบ้านกับเจ้าของบ้านก่อน ส่วนทีมงานจะอยู่ข้างนอกไม่ได้เข้าไปฟังด้วย เพื่อป้องกันการเตี้ยม นอกจากนี้รายการยังให้ทีมงานไปนอนตรงจุดที่มีเรื่องราวต่าง ๆ ในบริเวณบ้าน ด้วยการจับฉลากอีกด้วย เมื่อเริ่มถ่ายทำ คุณต้นก็เล่าเรื่องหลอนให้คุณเอกและคุณทับทิมฟังว่า สิ่งที่เกิดกับบ้านหลังนี้คือ เวลาอยู่คนเดียวมักจะได้ยินเสียงเหมือนกับมีคนกำลังเดินขึ้นลงบันได อธิบายเพิ่มเติมว่าบ้านหลังนี้จะมี 1 ห้อง ที่เป็นห้องนอนสำหรับทีมงานของคุณต้น และเล่าให้ฟังอีกว่า วันหนึ่งมีทีมงานคนหนึ่งนอนหลับอยู่ในห้องตามปกติ อยู่ ๆ ก็เจอเงาสีดำ รูปร่างคล้ายกับกุมารทอง แต่ไม่เห็นใบหน้า มายืนอยู่ข้าง ๆ ซึ่งก่อนหน้าที่ทางทีมงานของคุณต้นจะเจอดี ตอนเช้าได้มีการท้าทายว่า “ถ้าบ้านหลังนี้มีผีจริง ๆ คืนนี้ขอเจอหน่อย อยากเจอ” ที่พูดไปแบบนั้นเพราะทีมงานคนอื่นได้เจอกันหมดแล้ว เหลือเขาคนเดียวที่ยังไม่เคยเจอ และสุดท้ายก็ได้เจอดีเข้าจริง ๆ คุณต้นยังเล่าเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองอีกว่า ขณะที่เขากำลังนั่งเล่นเกมอยู่คนเดียว อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูแบบรัว ๆ “ปึง ปึง ปึง!” ครั้งแรกเขาก็ไม่ได้สนใจ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าบ้านตนเองมีอะไรบางอย่างอยู่ จึงนั่งเล่นเกมต่อ เวลาก็ผ่านไปไม่ถึง 20 วินาที เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอีก ครั้งนี้เคาะเสียงดังมาก “ปึง ปึง ปึง!!” จนประตูสั่น เขาจึงตัดสินใจวิ่งไปเปิดประตู แต่กลับไม่พบอะไรเลย! และอีกเหตุการณ์ที่หนักที่สุดตั้งแต่เคยเจอมาในบ้านนี้ก็คือ คุณแม่ของคุณต้นถูกผีเข้าสิง! ซึ่งเป็นผีกุมารทองที่คุณแม่เป็นคนเลี้ยงไว้เอง คุณต้นเล่าลักษณะตอนที่คุณแม่ถูกเข้าสิงว่า “คุณแม่มีอาการเสียงเปลี่ยนไป เป็นเหมือนกับเสียงของเด็ก และก็มีแรงเยอะผิดปกติ ขนาดผู้ชายจับ 4 คนจับยังไม่อยู่” เมื่อเล่าเรื่องหลอนกันพอสังเขป ทางรายการก็ให้ทีมงานเข้าไปในบ้าน เพื่อจับสลากเลือกจุดที่จะนอน เพื่อให้แต่ละคนได้จุดที่นอนแตกต่างกันไป ซึ่งคุณทับทิมก็ได้นอนด้วย เป็นจุดที่ต้องนอนในห้องของทีมงานที่เคยเจอกุมารทอง แต่สุดท้ายคุณทับทิมก็ไม่เจออะไร ทางด้านทีมงาน ก็มีทีมงานคนหนึ่งเขามีสัมผัสที่หก ได้ไปนอนอยู่หน้าห้องของทีมงานคุณต้น ซึ่งอยู่ตรงทางขึ้นลงบันได จุดนี้เป็นจุดที่เจอดีเยอะมาก อันแรกคือ จุดที่ทีมงานนอน ด้านบนจะมีหิ้งพระ ข้างหิ้งพระก็จะเป็นแจกันดอกบัว ทีมงานคนนี้ก็กวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้อง จังหวะที่สายตามองขึ้นไปเห็นหิ้งพระ ดอกบัวที่อยู่ในแจกันขยับเอง ทั้งที่แจกันก็ยังตั้งอยู่นิ่ง ๆ ในขณะที่กำลังพักกล้อง อยู่ดี ๆ ทีมงานคนเดิมก็มีอาการแปลก ๆ ยืนเอาหลังพิงกำแพงแล้วก็ค่อย ๆ รูดตัวลงไปกับกำแพง พร้อมกับเอามือปิดหน้า คุณเอกที่ดูผ่านมอนิเตอร์ เห็นท่าทางอาการเริ่มไม่ค่อยดี จึงใช้วอไปถามทีมงานคนนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งทางทีมงานก็ตอบว่า “มีผู้ชายตัวเล็ก ๆ มานั่งชันเข่าอยู่ข้าง ๆ” จากนั้นทีมงานคนเดิมก็เห็น ผู้ชายตัวเล็กคนเดิม ไปนั่งห้อยขาลงมาจากตู้เสื้อผ้า คุณเอกก็ได้มีการวอถามซ้ำอีกว่า “ยังเห็นอยู่ไหม เขาไปหรือยัง” ทีมงานก็เงยหน้าขึ้นไปมอง แล้วก็ตอบว่า “ยังอยู่ค่ะ” ต่อมามีเหตุการณ์ที่ทีมงานคนเดิมวิ่งลงบันไดพร้อมกับกรี๊ดเสียงดังมาก ทุกคนที่ยังนอนตามจุดต่าง ๆ ก็ตกใจ และกลัวว่าทีมงานคนนี้จะตกบันได ก็ได้มีการมารวมตัวกันที่กลางบ้าน ทีมงานคนนี้ก็เล่าให้ฟังว่า ‘จังหวะที่กำลังเดินลงบันใดมาข้างล่าง เขามองไปตรงชานพักบันไดกลางบ้าน ด้านซ้ายจะเป็นหน้าต่างระบายอากาศ เขาเห็นเป็นเหมือนผู้หญิง ผมยาว ๆ อยู่ข้างนอก เขาตกใจจึงวิ่งกรี๊ดลงมา’ ซึ่งทีมงานอีกคน ที่นอนอยู่บริเวณด้านล่าง เป็นผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด จึงสาธิตให้ดูว่า ‘เห็นทีมงานคนนี้หันหน้าออกไปที่หน้าต่าง แล้วก็ตกใจกรี๊ดแล้วก็วิ่งลงมา’ หลังจากคลิปนี้ได้เผยแพร่ออกไป ก็มีคอมเมนต์จากแฟนคลับว่า นาทีที่ 25.53 เห็นเงาหน้าผู้หญิงที่หน้าต่าง ซึ่งจังหวะนั้นเป็นจังหวะที่ทีมงานคนที่เห็นเหตุการณ์กำลังสาธิตอยู่ พอทีมงานคนที่สาธิตเดินจากบันไดมาถึงข้างล่าง หน้าของผู้หญิงก็หันออกไปแล้วก็หายไปแล้ว(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณต้น 'เชือกผูกผี' I อังคารคลุมโปง X คืนเผาผี Ghost Night [ 29 ต.ค. 2567]

09 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณต้น 'เชือกผูกผี' I อังคารคลุมโปง X คืนเผาผี Ghost Night [ 29 ต.ค. 2567]

‘คุณต้น‘ ได้นำเรื่อง ‘เชือกผูกผี’ มาเล่าในรายการอังคารคลุมโปง X (29 ตุลาคม 2567) ให้ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ‘ ฟัง เป็นเรื่องราวสุดหลอนในวัยเด็กที่ตนได้เจอ จะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย! คุณต้นได้เล่าว่าเป็นเรื่องราวของน้องที่รู้จักชื่อ ‘โต้ง’ เป็นเด็กที่อยู่ในจังหวัดหนึ่งทางแถบอีสานใต้ ทางครอบครัวของคุณโต้งมีวิชาอาคมเป็นทางศาสตร์ของทางฝั่งเขมร ในช่วงที่ยังเด็ก คุณโต้งก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรจึงใช้ชีวิตในวัยเด็กตามปกติ อยู่มาวันหนึ่ง คุณตาก็ได้ชวนคุณโต้งไปจับปลาแถวบ้านในช่วงเวลาประมาณหัวค่ำ ในขณะที่คุณโต้งกำลังนั่งรอคุณตากำลังจับปลาอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากริมตลิ่งฝั่งตรงข้าม พอมองไปตามเสียงนั้นแล้วก็พบกับร่างเด็ก 2 คน ตัวซีดเผือด มีเลือดแห้งเปรอะเปื้อนเต็มหน้า! เด็ก 2 คนนั้นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณโต้ง ประมาณ 8-9 ขวบ เมื่อเห็นดังนั้นคุณโต้งก็ตะโกนเรียกคุณตา แต่คุณตากลับคว้างก้อนดินไปบริเวณนั้น แล้วเด็ก 2 คนนั้นก็หายไป! เหตุการณ์นี้ทำให้คุณโต้งรู้จักคำว่า ‘ผี’ เป็นครั้งแรกในชีวิต จากนั้น คุณตาก็ได้เล่าให้ฟังว่า “เมื่อก่อนเนี่ย ก่อนที่จะมีบ่อน้ำนี้ ในช่วงที่ขุดแรก ๆ มีเด็ก 2 คนนี้แหละมาเล่นน้ำแล้วจมน้ำตาย วิญญาณก็น่าจะอยู่บริเวณนี้” เรื่องราวสุดหลอนต่อมาที่คุณโต้งได้เจอก็คือ หลังคุณโต้งเลิกเรียนก็ได้ยินว่าหมู่บ้านข้าง ๆ มีคนผูกคอฆ่าตัวตาย ซึ่งคนที่ตายก็คือญาติของคุณโต้ง เมื่อทราบข่าวแล้วทางครอบครัวเขาก็ไปดูแล้วก็พบกับศพผู้หญิงผูกคอตาย จึงได้มีการเผาศพในวันนั้นทันที เนื่องจากหมู่บ้านของคุณโต้งมีความเชื่อว่าถ้าเป็นศพผีตายโหงจะต้องทำการเผาวันนั้น จึงนำศพไปเผาที่ป่าช้าในหมู่บ้านที่คุณโต้งและคุณตาใช้เป็นเส้นทางในการไปจับปลา ต่อมาหลังจากที่เรื่องนี้ผ่านไปได้ 1 เดือน ก็มีคุณตาอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นน้องของคุณยายคุณโต้ง ให้นามสมมติว่า ‘ตาต้อย’ ได้มาถามว่า “ได้ข่าวว่าญาติที่อยู่หมู่บ้านนี้ผูกคอตายหรอ เอาไปเผาเอาไปฝังที่ไหนล่ะ” และได้ถามถึงเชือกเส้นนั้นที่ผูกคอตาย เนื่องจากตาต้อยเป็นคนที่มีวิชาอาคมจึงอยากจะได้เชือกเส้นนั้นเพื่อไปทำพิธีกรรมขอหวย จากนั้น ตาต้อยก็ได้ชวนคุณแม่คุณโต้งไปทำธุระในตัวเมือง ซึ่งคุณแม่ก็ได้มาเล่าให้คุณโต้งฟังแล้วมารู้ทีหลังว่าท้ายกระบะมีเชือกที่ตาต้อยเก็บสะสมอยู่ท้ายกระบะ ทำให้ในขณะที่นั่งรถอยู่นั้น คุณแม่รู้สึกเหมือนมีคนนั่งอยู่ท้ายกระบะ จึงหันไปดูและสิ่งที่คุณแม่เห็น ก็คือ ผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก และคนแก่นั่งเต็มท้ายกระบะประมาณ 10 คน พอคุณแม่กำลังจะหันไปถามตาต้อยร่างเหล่านั้นก็หายไป ตาต้อยจึงบอกว่า “นั่งไปเหอะ คงไม่มีอะไรหรอกลูก” ในวันนั้นเมื่อกลับมาถึงบ้าน คุณแม่ก็รู้สึกมีอาการเหมือนไม่สบายจึงรีบเข้านอน หลังจากที่หลับได้สักพักก็รู้สึกตัวในช่วงกลางดึก เพราะได้ยินเสียงเหมือนมีมือมาครูดสังกะสีบริเวณขื่อบ้าน จึงตัดสินใจเปิดมุ้งไปดูแล้วเห็นเป็นภาพคนผูกคอตาย ตัวซีด ดวงตาปูดโปน ลิ้นจุกปากห้อยลงมาจากขื่อบ้าน เรียกร้องขอให้คุณแม่ช่วย “ช่วยด้วยย.. ช่วยด้วย” ที่น่าขนลุกไปกว่านั้นคือไม่ได้มีคนเดียว แต่มีทั้งหมดเกือบ 10 คนที่ห้อยอยู่ตรงนั้น! ด้วยความที่คุณแม่ตกใจจึงรีบปิดมุ้งแล้วมานอนคลุมโปง ไม่นานก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างร่วงตกลงมาทับตัว! คุณแม่ค่อย ๆ เปิดผ้าห่มแล้วก็เห็นเป็นร่างที่ผูกคอตายนั้นร่วงตกลงมาทำให้มุ้งขาดแล้วลงมาทับคุณแม่ บางร่างตกลงมานอนประจันหน้ากับคุณแม่ เมื่อคุณแม่เจอเช่นนี้จึงร้องกรี๊ดจนหมดสติไป! คุณยายมาปลุกจึงทำให้คุณแม่รู้สึกตัว คุณแม่ที่อยู่ในอาการที่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เจอจึงเล่าให้คุณยายฟัง เมื่อคุณยายทราบเช่นนั้นก็ได้บอกน้าไปตามตาต้อยมา แล้วพูดกับตาต้อยว่า “ดูซิเนี่ย หลานมึงจะตายแล้วเนี่ย ไปเอาไรมา ไปออกมาให้หมดแล้วเผาทิ้งไปเลย” ตาต้อยจึงได้นำกล่องหนึ่งมาแล้วเทให้ดู ซึ่งของที่อยู่ในกล่องคือเชือกเกือบ 10 เส้น หลังจากนั้นก็ได้ให้นำเชือกทั้งหมดไปเผา ในขณะที่เผาคุณแม่ก็เห็นเป็นภาพลาง ๆ เหมือนดวงวิญญาณแต่ละดวงค่อย ๆ ลอยขึ้นไป..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณหนองน้ำ 'ผีนักวิ่ง' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 17 ธ.ค. 2567 ]

28 ธ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณหนองน้ำ 'ผีนักวิ่ง' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 17 ธ.ค. 2567 ]

‘คุณหนองน้ำ’ สายจากทางบ้านได้นำเรื่อง ‘ผีนักวิ่ง’ มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 ธันวาคม 2567) ฟังกัน มาดูกันว่า ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ จะรู้สึกอย่างไร เรื่องราวจะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย! ‘คุณหนองน้ำ’ เกริ่นก่อนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของรุ่นพี่ที่รู้จักกันชื่อ ‘พี่กอล์ฟ’ เป็นชายหนุ่มวัยกลางคน ที่อยู่ในแวดวงไตรกีฬา วิ่ง ปั่นจักรยาน และว่ายน้ำ ซึ่งเรื่องที่พี่กอล์ฟได้นำมาเล่าให้คุณหนองน้ำฟัง เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2020 ตอนนั้นพี่กอล์ฟได้มีโอกาสไปวิ่งเทรล ที่จังหวัดเชียงใหม่ การวิ่งเทรล คือ การวิ่งในรูปแบบของการผจญภัยตามบริเวณหรือพื้นที่ธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นป่า ภูเขา เป็นเส้นทางที่ขรุขระ เนิน ดิน หิน ทราย และที่แน่นอนก็คือ เส้นทางวิ่งจะมีความแตกต่างจากการวิ่งแบบปกติในเมืองอย่างสิ้นเชิง ซึ่งพี่กอล์ฟวิ่งเทรลในระยะทาง 93 กิโลเมตร เป็นระยะทางที่ไกลมาก และจะเริ่มออกตัวในช่วงเวลากลางคืน โดยนักวิ่งส่วนใหญ่จะมีอุปกรณ์คู่ใจเวลาวิ่งในป่าคือ Headlamp (ไฟฉายคาดศีรษะ) และสิ่งนี้นั่นเองที่ทำให้พี่กอล์ฟไปเจอกับบางสิ่งบางอย่างในป่านั้น.. หลังจากที่ปล่อยตัวตอนกลางคืน ขณะที่พี่กอล์ฟวิ่งไปได้ระยะประมาณ 50 กิโลเมตร ระหว่างทางมีฝนตกลงมาอยู่ตลอด ทำให้การวิ่งเป็นไปได้ยากมากขึ้น เพราะว่าเส้นทางที่มันลื่นบวกกับตอนนั้นเป็นเวลากลางคืนอีกด้วย จึงทำให้วิสัยทัศน์ในการมองเห็นนั้นแคบลง สิ่งที่เกิดขึ้นคือเวลานักวิ่ง วิ่งไปเรื่อย ๆ นักวิ่งแต่ละคนจะค่อย ๆ ห่างกันไป จนเริ่มไม่เห็นไฟจาก Headlamp ของคนอื่นแล้ว เมื่อระยะทางเริ่มไกลขึ้น พี่กอล์ฟรู้สึกว่าไฟบนหัวของตัวเองเริ่มติด ๆ ดับ ๆ จากนั้นพี่กอล์ฟรู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างลอยอยู่ทางซ้ายมือ ในตอนแรกพี่กอล์ฟคิดว่าตัวเองตาฝาด สุดท้ายก็ตัดสินใจหันไปดู สิ่งที่เห็นคือ ‘คุณยาย ผมประบ่า เสื้อผ้ามอมแมม’ มาตะคอกใส่พี่กอล์ฟว่า “มึงออกไป!!” หลังจากเจอสิ่งที่เกิดขึ้น พี่กอล์ฟตกใจมาก ไม่คิดว่าตัวเองจะมาเจออะไรแบบนี้ เพราะว่าตัวพี่กอล์ฟเป็นคนที่ลงสมัครงานวิ่งเยอะมาก แต่ก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลย เรียกได้ว่าไม่เคยเจอผีมาก่อนในชีวิต หลังจากที่คุณยายพูดเสร็จ แค่แว๊บตาเดียวคุณยายคนนี้ก็หายไป แต่ด้วยความตกใจจึงทำให้ขาที่วิ่งอยู่ตอนนั้น วิ่งเร็วขึ้นไปอีก และคิดในใจว่าต้องวิ่งไปหานักวิ่งกลุ่มอื่น ๆ หลังจากที่เจอนักวิ่งกลุ่มอื่นแล้ว เพราะความตกใจที่ยังคงมีอยู่ ทำให้ความเร็วในการวิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนวิ่งหลุดนักวิ่งกลุ่มนั้นออกมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง เพราะคิดเพียงแค่ว่าทำอย่างไรก็ได้ให้ออกไปจากตรงนี้ให้ได้ สักพักหนึ่ง พี่กอล์ฟได้เหลือบไปเห็นศาลระหว่างทาง เป็นศาลไม้เก่า ๆ ที่ดูขลังมาก หลังจากที่เห็นศาลนั้น พี่กอล์ฟก็ได้ยินเสียงลอยตามลมมาอีกครั้ง เป็นเสียงในระยะที่ใกล้มาก มาจากทางด้านซ้ายมือ พูดว่า “ทำไมมึงยังไม่ไป!!” แต่รอบนี้พี่กอล์ฟมองไม่เห็นตัวคุณยายแล้ว ในขณะนั้นพี่กอล์ฟรู้สึกว่า ‘วิ่งต่อได้ แต่ใจกับความคิดตอนนั้นคือเหม่อไม่รู้ตัวแล้วว่าวิ่งไปทางไหน’ สติอย่างเดียวของพี่กอล์ฟคือพยายามตามหาริบบิ้นที่ผูกไว้ตามต้นไม้ ที่ผูกไว้เพื่อบอกว่าจุดในไหนที่เป็นจุดพักต่อไป และสุดท้ายจากระยะทาง 93 กิโลเมตร พี่กอล์ฟวิ่งไปได้เพียง 63 กิโลเมตรเท่านั้น เพราะพี่กอล์ฟตัดสินใจขอ DNF (Did not finish) หรือก็คือเมื่อลงแข่งขันแล้วแต่วิ่งไม่จบ เช่น เหนื่อยไม่วิ่งต่อแล้วหรือหลงทางจนไม่สามารถไปถึงเส้นชัยได้ เพราะคิดว่าถ้าวิ่งต่อไปอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ จึงตัดสินใจขอ DNF เมื่อกลับลงมาแล้ว อีกวันหนึ่งหลังจากที่พูดคุยกับนักวิ่งท่านอื่น ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีใครเห็นศาลนั้นเลย..เหตุการณ์ที่ 2 เป็นเรื่องของคุณหนองน้ำเอง เป็นตอนที่คุณหนองน้ำปั่นจักรยานอยู่ ณ ที่หนึ่งในช่วงวันปีใหม่ ซึ่งแถวนั้นแทบไม่มีคนเลย ในขณะที่คุณหนองน้ำกำลังปั่นจักรยานผ่านจุดแลนด์มาร์คศาลจุดหนึ่ง จู่ ๆ คุณหนองน้ำก็ได้ยินเสียงผู้หญิงจากทางด้านขวาพูดว่า “จ๊ะเอ๋” ในใจตอนนั้นคิดว่าเป็นพี่ที่รู้จักกัน มาปั่นอยู่ข้าง ๆ แต่พอหันไปดูกับไม่เห็นใครอยู่เลย..เหตุการณ์ที่ 3 อีกเหตุการณ์หนึ่ง เป็นพี่ที่รู้จักกัน พี่คนนั้นได้วิ่งผ่านวัด และได้เจอกับแม่ชีคนหนึ่งยืนอยู่หน้าวัด ยิ้มให้ และพูดว่า “เข้ามาทานข้าวต้มก่อนไหม เข้ามากินข้าวก่อนไหมหนู”แต่พี่คนนั้นตอบกลับไปว่า “อ๋อไม่ค่ะ ไม่เป็นไร” เพราะตอนนั้นพี่เขากำลังวิ่งอยู่ หลังจากวิ่งเสร็จกลับมาที่งาน ก็มีการคุยกันกับนักวิ่งคนอื่น ๆ ในเรื่องต่าง ๆ จนมาถึงเรื่องของพี่คนนี้เล่าว่า ‘เมื่อเช้าวิ่งผ่านวัด ๆ หนึ่งแล้วเจอแม่ชีมาเรียก ให้ไปกินข้าวที่วัด’ คนในพื้นที่จึงถามขึ้นมาว่า “วัดไหนนะคะ” หลังจากที่บอกชื่อวัดไป คนในพื้นที่คนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “วัดนี้เป็นวัดร้างนะ แต่ในอดีตเคยมีแม่ชีอยู่ที่นี่จริง ๆ แต่หลังจากที่แม่ชีคนนี้เสีย วัดนี้ก็ไม่ได้มีใครเข้ามาบูรณะต่อ”เหตุการณ์ที่ 4 เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องของพี่อีกท่านหนึ่ง ในขณะที่พี่คนนี้วิ่งงานเทรลอยู่ ระหว่างวิ่งนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นว่ามีคนวิ่งนำหน้า พี่คนนี้จึงวิ่งตามไปเพราะคิดว่าตัวเองวิ่งหลุดกลุ่ม ปรากฏว่าที่วิ่งไปไม่มีใครอยู่เลย จนเจ้าหน้าที่มาตามกลับ และบอกว่า “ตรงนี้มันไม่ใช่เส้นทางที่ให้นักวิ่งผ่านนะ มันผิดเส้นทาง”เหตุการณ์ที่ 5 เป็นเรื่องของแฟนคุณหนองน้ำ แฟนคุณหนองน้ำได้ไปซ้อมวิ่งในช่วงเช้า สถานที่ใกล้กรุงเทพฯ หลังจากที่วิ่งขึ้นเขาลูกหนึ่งไป ซึ่งเป็นปกติที่เวลาขึ้นเขานักวิ่งจะใส่ Headlamp แต่แสงไฟดันไปส่องเห็น ‘คนที่นอนอยู่บนถนน เป็นผู้ชายหัวโล้น นอนในลักษณะเอาหัวพาดไปที่ถนน นอนหันหลัง’ แฟนคุณหนองน้ำคิดว่าจะไม่ข้ามคน ๆ นี้จึงวิ่งเบี่ยงตัวออกไป ในขณะที่กำลังจะวิ่งผ่าน เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวผู้ชายที่นอนอยู่ก็หายไป หลังจากนั้นแฟนคุณหนองน้ำจึงไปทำบุญที่วัด ซึ่งวัดนี้เป็นเหมือนจุดรวมของปรักหักพังจากการบูชาและศาลที่ไม่ได้บูชาแล้ว แฟนคุณหนองน้ำก็ได้มีโอกาสคุยกับเจ้าอาวาสของวัดนี้ และได้เล่าสิ่งที่ตัวเองเจอในตอนเช้า เจ้าอาวาสก็ได้ตอบกลับมาว่า “เป็นธรรมดาแหละโยม เพราะตรงนี้เป็นจุดที่หลายคนเอาโกศมาทิ้ง แต่ไม่ได้ทำพิธี เลยอาจจะทำให้เจอได้บ้าง” จึงทำให้หลาย ๆ คนที่ใช้เส้นทางเจอกับผู้ชายคนนี้..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปรับน้องใหม่ที่รร.ประถม เมื่อไปถึงก็ไหว้ศาล แต่ลมพัดแรงจนธูปเกิดไฟลามไปที่ศาล และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของความสยอง!

31 มี.ค. 2024

ไปรับน้องใหม่ที่รร.ประถม เมื่อไปถึงก็ไหว้ศาล แต่ลมพัดแรงจนธูปเกิดไฟลามไปที่ศาล และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของความสยอง!

การรับน้องใหม่ที่หลอนจนจำไม่ลืม เมื่อรุ่นพี่พาไปทำกิจกรรมแต่เกิดเหตุไฟไหม้ศาลไม้ จนทำให้มีแต่เรื่องแปลก เกิดขึ้น! เรื่องนี้ ‘คุณแรก’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 มีนาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘คืนสยองรับน้องใหม่’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เรื่องนี้เป็นเรื่องราวประสบการณ์ที่เจอกับตัวเองของ ‘คุณแรก’ ซึ่งเกิดขึ้นช่วงไปรับน้องใหม่ออกค่ายอาสา ประมาณยุค 90s ช่วงนั้นคุณแรกเข้าไปเรียนปี 1 สมัยนั้นจะมีช่วงปิดเทอมฤดูหนาว รุ่นพี่ก็จะใช้ช่วงนี้เพื่อรับน้องใหม่ไปออกค่ายอาสาพัฒนา ครั้งนี้คุณแรกได้ไปต่างอำเภอ ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง คุณแรกและเพื่อน ๆ ไม่เคยรู้จักมาก่อนว่าตรงนั้นคืออะไร รู้แค่ว่าทางเข้าเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ เมื่อทุกคนไปถึงที่นั่น ก็จะมีต้นไทรใหญ่ผูกผ้าแพร มีศาลไม้เก่ามาก และเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนมารับตรงจุดนั้น เมื่อมาถึงก็ไปไหว้ศาลก่อนเป็นอันดับแรก รุ่นพี่ก็แจกธูปให้รุ่นน้องอธิษฐานขอพรให้กิจกรรมผ่านไปได้ด้วยดี จากนั้นรุ่นพี่จะเก็บรวบรวมธูปทั้งหมดไปปักไว้ที่กระถางธูป แต่ในช่วงหน้าหนาวเช่นนี้ เมื่อลมหนาวพัดมา ธูปที่รวมกันเป็นกำใหญ่ก็เกิดไฟลุกลามไปติดที่ศาลไม้ ทุกคนต่างตกใจและพยายามช่วยกันดับไฟ เมื่อไฟดับลง ปรากฏว่าศาลไม้เสียหายไปส่วนหนึ่ง ทุกคนจึงตกลงกันว่าจะช่วยออกเงินเพื่อบูรณะซ่อมแซม แต่คุณแรกกับเพื่อนรู้สึกไม่สบายใจ คิดว่าเป็นลางไม่ดีแน่ ๆ เมื่อไหว้ศาลเสร็จ ทุกคนก็เข้าไปในโรงเรียน กำหนดการทำกิจกรรมที่นี่คือ 3 วัน 2 คืน เมื่อเข้าไปก็ทำกิจกรรมต่าง ๆ ทาสีห้องน้ำ ถางป่า ตัดต้นไม้ เริ่มพัฒนาพื้นที่และแบ่งหน้าที่กันทำ หลังจากทำกิจกรรมเสร็จ รุ่นพี่ก็บอกว่า “คืนนี้เราจะมีการเข้าสู่ฐานเพื่อวัดกำลังใจ เตรียมใจให้พร้อมนะ” ซึ่งที่โรงเรียนแห่งนี้จะมีท่อซีเมนต์ รุ่นพี่เห็นท่อซีเมนต์เรียงกันอยู่จึงเลือกตรงนี้เป็นฐานแรกในการทำกิจกรรม โดยจะขุดหลุมตรงทางออกและนำผ้ายางมารองทำให้มีน้ำขังเป็นแอ่ง จากนั้นรุ่นพี่ก็ไปซื้อปลาไหลจากชาวบ้าน เพื่อนำมาทำกับข้าวให้รุ่นน้องกิน แต่ก่อนจะทำอาหารนั้น ก็นำปลาไหลมาปล่อยลงในแอ่งน้ำเต็มไปหมด เพื่อให้รุ่นน้องทำกิจกรรม เวลามุดออกมาจากท่อจะต้องผ่านแอ่งปลาไหลนี้ก่อน พอตกกลางคืน คุณแรกก็เข้าสู่กิจกรรม รุ่นพี่ปล่อยรุ่นน้องครั้งละ 2 คน เพื่อให้คลานเข้าไปในท่อ ทุกคนจะมีไฟฉายพลาสติกอันเล็กติดตัวคนละอัน เมื่อคลานเข้าไปภายในท่อจะแคบมาก คุณแรกเป็นคนตัวโตก็ไม่อยากมุดท่อนี้ พอถึงคิว คุณแรกก็ถอยหลังไปต่อท้ายตลอด จนกระทั่งเหลือแค่คุณแรกกับเพื่อน ในที่สุดก็ต้องมุดเข้าไป รุ่นพี่บอกว่า “ถึง 2 คนสุดท้ายแล้ว ปิดฐานนี้เข้าไปได้เลย” คุณแรกก็คลานเข้าไปช้า ๆ เพราะว่าใส่กางเกงขาสั้นกับเสื้อยืด ถ้าคลานเร็วมาก ข้อศอกกับหัวเข่าอาจจะถลอกได้ คุณแรกคลานไปเรื่อย ๆ แล้วเพื่อนอีกคนก็คลานตามหลังมา เมื่อถึงช่วงกลางท่อเพื่อนก็ตีก้นคุณแรกแล้วพูดว่า “แรก ๆ เร็ว ๆ รีบหน่อย!” คุณแรกจึงหันไปมองเพื่อนแล้วพูดว่า “อะไรวะ แค่นี้ก็เจ็บหัวเข่า เจ็บข้อศอกแล้วเนี้ย” เพื่อนก็พยายามดันก้นคุณแรกและบอกว่า “แรก เร็ว ๆ มีคนคลานตามเรามา” คุณแรกก็คิดว่าจะมีคนคลานตามมาได้อย่างไร ในเมื่อตัวเขาเองและเพื่อนคือ 2 คนสุดท้าย เพื่อนของคุณแรกก็บอกว่า “มีผู้หญิง มีอายุ คลานติดเรามาเลย” สักพักเพื่อนของคุณแรกก็โวยวาย คุณแรกจึงรีบคลานจนพ้นท่อผ่านแอ่งปลาไหลออกมา เพื่อนก็รีบคลานตามมา แต่ยังไม่ขึ้นมาจากแอ่งปลาไหล รีบหันไปแล้วพยายามส่องไฟฉายเข้าไปในท่อ ตอนนั้นเพื่อนของคุณแรกกลัวมาก รุ่นพี่ก็พาขึ้นมาข้างบนแล้วถามว่า “เป็นอะไร?” เพื่อนของคุณแรกก็บอกว่า “มีผู้หญิงแก่คลานตามหลังมาติด ๆ แล้วหน้าของผู้หญิงคนนี้ก็มาดมอยู่ที่ก้น แล้วมีเสียงพูดว่า หอมน่ากินจังเลย แล้วเอาหน้ามาดมตรงก้นอีก” เพื่อนของคุณแรกก็เลยพยายามเอาเท้าดันข้างหลังเพื่อให้ผู้หญิงคนนั้นออกไป เขาก็ตกใจและเร่งให้คุณแรกคลานออกมาให้เร็วที่สุด แต่พอมองดูเข้าไปในท่อ ปรากฏว่าไม่มีใครตามออกมาเลย หลังจากนั้นรุ่นพี่ก็บอกว่า “เปื้อนกันแล้ว ไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวยังมีด่านต่อไปอีก วันนี้จะมีด่านวัดกำลังใจ 2 ด่าน จะมีด่านบ้านพักครูที่จะทำเป็นด่านเล่นผีถ้วยแก้ว แล้วรุ่นน้องทุกคนจะต้องมานั่งล้อมรอบกองไฟ ลานอเนกประสงค์ด้านหน้า แล้วเมื่อก่อไฟแล้วจะมีรุ่นพี่นำเนื้อชิ้นใหญ่ ๆ ปิ้งให้น้องกินระหว่างรอเข้าฐาน” จากนั้นรุ่นพี่ 4 คนก็ไปที่บ้านพักครู ซึ่งเป็นบ้านที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ เพื่อไปเตรียมฐานเล่นผีถ้วยแก้ว และทำผีหลอกน้องตรงนี้ เมื่อรุ่นพี่ขึ้นไปก็ไม่เปิดไฟ จุดเทียนสร้างบรรยากาศและวางแผนกันว่า รุ่นพี่ 2 คน จะพารุ่นน้องเล่นผีถ้วยแก้ว รุ่นพี่จะเป็นคนลากแก้วให้เลื่อนตามที่เขาต้องการ ซึ่งทุกอย่างถูกเซ็ทไว้หมด แล้วจะให้น้องเข้าไปหาของในห้องนอน จะมีรุ่นพี่อีกส่วนหนึ่งปลอมเป็นผีอยู่ในห้องนั้นเพื่อหลอกน้อง ระหว่างที่รุ่นพี่ทั้ง 4 คนกำลังเตรียมฐาน อยู่ ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนชั้น 2 ของบ้านพักครู เป็นผู้ชายใส่เสื้อห่านคู่ ใส่กางเกงสีกากี แล้วก็ยิ้มให้กับรุ่นพี่ที่อยู่บ้านนี้ รุ่นพี่ก็ตกใจและถามว่า “ไหนว่าบ้านนี้ไม่มีใคร พี่อยู่บ้านนี้หรอครับ?” ผู้ชายคนนั้นก็ตอบว่า “อ๋อ ครูไม่ได้อยู่บ้านนี้หรอก แต่เห็นมีเด็กมาทำกิจกรรม ครูเลยมาตรวจดูความเรียบร้อยว่าเป็นยังไงกันบ้าง เดี๋ยวขออนุญาตเข้าไปในห้องนอนหน่อยนะจะไปเอาของ แล้วเดี๋ยวครูก็ไปละ พวกเธอทำกันเต็มที่เลย” จากนั้นครูก็เปิดประตูเข้าไปในห้องนอน รุ่นพี่ทั้ง 4 คนก็เตรียมอุปกรณ์จนเสร็จในบริเวณด้านหน้า เหลือแค่ในห้องนอนที่รอให้คุณครูคนนี้ออกมา รุ่นพี่คนหนึ่งไปเคาะประตูเรียก “ครูครับ ๆ พวกผมจะต้องเซ็ทห้องต่อนะครับ” สักพักประตูห้องก็เปิดเอง ภาพในห้องจะเห็นพัดลมเพดาน คุณครูคนนี้มีเชือกผูกคอแล้วห้อยอยู่กับพัดลม รุ่นพี่ทั้ง 4 คนก็มองเหวอด้วยความตกใจ คุณครูก็พูดว่า “เนี่ย หลอกผีมันต้องหลอกแบบนี้!” แล้วทั้งหมดก็วิ่งหนีลงบันไดไปลานอเนกประสงค์ จนกระทั่งในที่สุดรุ่นพี่ก็สั่งยกเลิกด่านบ้านพักครู หลังจากนั้นก็ให้รุ่นน้องทำกิจกรรมรอบกองไฟ มีรุ่นพี่ที่ย่างเนื้อให้รุ่นน้องชื่อว่า ‘พี่บ๊อบ’ ซึ่งพี่บ๊อบเป็นคนผมยาว เฮฮา และชอบดื่ม เขาแอบพกเหล้ามาดื่มด้วย พี่บ๊อบปวดฉี่เลยบอกรุ่นน้องว่า “เดี๋ยวพี่ไปฉี่ก่อนนะ มาหมุนเนื้อแทนหน่อย” พี่บ๊อบก็ไปฉี่ใต้ต้นไม้ใหญ่ห่างไปไม่ไกลมาก เมื่อเสร็จพี่บ๊อบก็มานั่งย่างเนื้อต่อ แต่พฤติกรรมของพี่บ๊อบเปลี่ยนไปตรงที่ว่า เมื่อเลาะเนื้อที่สุกด้านนอกออกไป เนื้อด้านในที่ยังไม่สุก พี่บ๊อบก็เลาะเนื้อส่วนนั้นออกมาจับใส่ปากแล้วเคี้ยว ทุกคนมองและคิดว่าทำไมถึงกินเนื้อดิบแบบนั้น แต่ก็คิดว่ากินซอยจุ๊แบบอีสานเลยไม่แปลกใจ เมื่อกินไปสักพัก พี่บ๊อบก็เริ่มเอามีดที่เลาะเนื้อมาจับผมยาว ๆ หั่นผมของตัวเองออกแล้วโยนเข้ากองไฟ พร้อมกับหัวเราะและพูดว่า “ไหน ๆ ใครคนไหนวะตัดต้นไม้กู?” แล้วก็หัวเราะเหมือนคนเสียสติ รุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนกันก็เข้ามาช่วยล็อคตัวพี่บ๊อบ แย่งมีดกันจนมีดบาดเพื่อน กว่าพี่บ๊อบจะได้สติก็พักใหญ่ เมื่อมีสติก็เล่าให้ทุกคนฟังว่า ตนไปฉี่ตรงโคนต้นไม้ใหญ่ แล้วรู้สึกว่าเหมือนมีน้ำหยดใส่หัว ก็เลยแหงนขึ้นไปดู ปรากฏว่าบนต้นไม้มีผู้ชายผูกคอห้อยอยู่ และฉี่ใส่หัวของตน หลังจากนั้นภาพก็ตัด มารู้สึกตัวอีกทีก็ในวงกองไฟ พี่บ๊อบจึงได้สติและจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เช้าวันรุ่งขึ้น รุ่นพี่ตัดสินใจกลับทันที ซึ่งนอนได้แค่คืนเดียว แล้วทิ้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ไว้ให้กับเจ้าหน้าที่ทำต่อ พร้อมกับบริจาคเงินเพื่อจะซ่อมแซมศาลที่เกิดไฟไหม้ ตอนกลับรุ่นพี่ก็พาทุกคนไปไหว้ศาลอีกครั้งเพื่อขอขมา แล้วเดินทางกลับ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1