เรื่องเล่าจาก พีค V3RSE 'เงาในกระจก' I อังคารคลุมโปง X V3RSE [ 1 ต.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจาก พีค V3RSE 'เงาในกระจก' I อังคารคลุมโปง X V3RSE [ 1 ต.ค. 2567]

05 ต.ค. 2024

     ‘คุณพีค V3RSE‘ ได้มาเล่าเรื่อง ‘เงาในกระจก’ เป็นประสบการณ์สุดหลอนที่เจอร่างดำ ณ ห้องพักโรงเเรมเเห่งหนึ่ง ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (1 ตุลาคม 2567) ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม‘ ฟัง จะขนลุกขนาดไหนนั้น ไปอ่านพร้อมกันเลย!

     คุณพีคเล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 7-8 ปีที่เเล้ว ตนเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนดนตรีในกรุงเทพฯ ทุกสัปดาห์ก็จะเข้าพักที่โฮสเทลเป็นประจำ เเต่มีอยู่สัปดาห์หนึ่ง พ่อแม่ของตนมีธุระที่กรุงเทพฯ จึงตกลงกันว่าจะไปนอนที่โรงแรมด้วยกัน จากนั้นก็ได้เดินทางมาที่กรุงเทพฯพร้อมกัน

     เมื่อมาถึงโรงเเรม คุณพีคก็รู้สึกได้ถึงความเก่า คาดว่าโรงเเรมนี้น่าจะมีอายุมากเเล้ว เมื่อเข้าเช็คอิน คุณเเม่ก็ได้กุญเเจห้องหมายเลข 715 ขณะที่ขึ้นลิฟต์ไปห้องพักตนก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไร จนเดินมาถึงหน้าห้องพักคุณพีคก็รู้สึกอึดอัด ไม่อยากอยู่ที่นี่ รู้สึกใจหวิว ๆ เหมือนกลัวอะไรบางอย่าง เเต่คุณพีคก็ไม่ได้อยากทำตัวเรื่องมากกับพ่อเเม่ เมื่อเปิดประตูเข้าไป จู่ ๆ ก็รู้สึกจุกหน้าอก หายใจไม่ออก และสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เเต่ก็พยายามไม่คิดอะไร คิดว่านอนกับพ่อเเม่คงไม่มีอะไร จึงเข้าห้องไปเก็บของในห้อง เมื่อเสร็จเเล้วออกไปกินข้าวข้างนอก และกลับห้องมาประมาณ 3-4 ทุ่ม ตนก็ต้องรีบนอนเพราะมีเรียนดนตรีตอนเช้า

     เมื่อหลับไปสักพัก คุณพีคก็ตื่นขึ้นเพราะอยากเข้าห้องน้ำ ช่วงนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่า ก็เห็นคุณพ่อนอนเล่นโทรศัพท์อยู่ตรงที่โซฟา จากนั้นก็เข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว เเต่ในระหว่างนั้นคุณพีคก็ใส่หูฟังเล่นโทรศัพท์ไปด้วย สักพักหนึ่งก็มีเสียง ก๊อก ก๊อก ก๊อก! ตอนแรกตนก็ไม่เเน่ใจว่าเสียงนั้นมาจากคุณพ่อหรือมาจากในวิดีโอที่ตนกำลังดู ต่อมาก็มีเสียง ก๊อก ก๊อก ก๊อก! มาอีกครั้ง ต่อมาก็มีเสียงเหมือนทุบประตู ปึ้ง ปึ้ง ปึ้งง!! เเล้วก็มีเสียงตะโกนเรียก พีค! ตนก็ได้ตะโกนถามเพราะคิดว่าเป็นเสียงพ่อว่า “พ่อ จะเข้าห้องน้ำเหรอ?” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา เมื่อออกไปก็เห็นคุณพ่อนอนเล่นโทรศัพท์อยู่เหมือนเดิม จึงถามคุณพ่อว่า

     พีค : พ่อจะเข้าห้องน้ำเหรอ เห็นเมื่อกี้ไปเคาะประตู

     คุณพ่อ : เปล่า พ่อไม่ได้จะเข้า ทำไม?

     เมื่อคุณพีคได้ยินเช่นนั้น ก็คิดเเล้วว่าตัวเองโดนเข้าเเล้ว จึงใจดีสู้เสือเพราะไม่อยากทะเลาะกับเขา จึงรีบเข้านอน

     วันต่อมา พ่อแม่ของคุณพีคก็ได้ออกไปทำธุระ เเละคืนนี้คุณพีคต้องนอนคนเดียว เมื่อเรียนดนตรีเสร็จตั้งเเต่เวลาประมาณ 3-4 โมงเย็น เเต่ก็ยังไม่อยากกลับห้อง คิดว่าจะกลับทีเดียวตอนที่จะนอน เมื่อกลับห้องก็ได้ไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน ในขณะที่กำลังอาบน้ำอยู่ก็มีเสียงเหมือนของแข็งขูดกับปูน! ตนก็ไม่ได้สนใจอะไร เเต่ในจังหวะที่ตนกำลังก้มหน้าสระผมก็เห็นเป็นเท้าคนดำ ๆ! ลอดผ่านช่องม่านข้างล่าง กำลังใช้เล็บยาวหนา ๆ จิกกับขอบอ่างอาบน้ำอยู่ดัง แก๊กก… แก๊กกก!

     คุณพีคพยายามตั้งสติให้ได้มากที่สุด เเล้วก็ไปล้างหน้าแปรงฟันต่อที่อ่างล้างหน้า เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองในกระจกก็เห็นร่างสีดำนั้นอยู่ตรงเยื้องขวารูปร่างคล้ายผู้ชาย! ตนตกใจรีบวิ่งออกจากห้องน้ำทันที เเล้วรีบใส่เสื้อผ้า เก็บของออกจากห้อง เเต่ในขณะที่วิ่งออกมาประตูห้องน้ำยังเปิดอยู่ ร่างนั้นก็หายไปแล้ว เเต่ตรงพื้นที่ร่างนั้นยืนมันมีคราบอยู่คล้ายกับคราบเขม่าสีดำ ซึ่งเมื่อวานที่เข้าพักกับตอนเช้าก่อนไปเรียนยังไม่มีคราบนี้ จากนั้นก็คืนห้องออกจากโรงแรมทันที!

     เเล้วคุณพีคได้สืบเรื่องต่อโดยการเสิร์ชในออนไลน์ว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้น จนได้รู้ว่าโรงเเรมแห่งนี้เคยมีเหตุการณ์ไฟไหม้..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเรนนี่น้ำพริกผีบอก 'ตามหาเเฟน' | อังคารคลุมโปง X ไท ธนาวุฒิ [4 มี.ค. 2568 ]

09 มี.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณเรนนี่น้ำพริกผีบอก 'ตามหาเเฟน' | อังคารคลุมโปง X ไท ธนาวุฒิ [4 มี.ค. 2568 ]

ไปส่งของให้แม่ตอนตี 3 เพราะจำเป็นต้องใช้เงิน รถก็ไม่มี ต้องนั่งรอวินอยู่หน้าวัดกับน้องชาย 2 คน แต่จู่ๆ ก็มีผู้หญิงวิ่งเข้ามาแล้วถามหาแฟน ‘แฟนพี่หายไปไหนไม่รู้!!’ และพอมองไปที่เท้าก็เห็นว่าผู้หญิงคนนี้ลอยอยู่!! #อังคารคลุมโปงวิญญาณที่ล่องลอยไม่มีที่ไป!! วนเวียนตามหาแฟน จนคนในชุมชนต้องเจอเหตุการณ์สุดหลอนไปตามๆ กันเรื่องราวสุดเฮี้ยนนี้จะจบลงอย่างไร….?! ติดตามได้กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ตามหาแฟน’ จาก ‘คุณเรนนี่’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’(4 มีนาคม 2568) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีีเจเจ็ม’ ที่จะเป็นเพื่อนหลอนไปกับคุณ!! เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่คุณเรนนี่อายุประมาณ 19-20 ปี ตั้งแต่จำความได้ ที่บ้านประกอบอาชีพเย็บกระเป๋าขาย ในช่วงนั้นธุรกิจที่บ้านได้มีการทำข้อตกลงกับร้านในสำเพ็งไว้ และเป็นที่รู้กันว่า ถ้าต้องไปเดินสำเพ็งจะต้องไปช่วงกลางคืน และเช่นเดียวกับที่ต้องไปส่งสินค้า ก็ต้องไปช่วงกลางคืน บ้านของคุณเรนนี่จะอยู่ติดกับวัด โรงเรียน ไม่มีรถประจำทางผ่านเข้ามา และเป็นชุมชนที่มักจะเห็นอะไรแปลกๆ อยู่บ่อยครั้งในวันเกิดเหตุคุณเรนนี่ และน้องชายอายุ 9 ขวบ ได้รับภารกิจจากคุณพ่อคุณแม่ ให้ไปส่งสินค้าช่วงตี 2 ตี 3 ให้กับคุณป้าเหี่ยว และต้องไปส่งที่ร้านของ ป้าเหี่ยว ซึ่งเป็นเจ้าของร้านกระเป๋าที่สำเพ็ง พากันแบกของเพื่อที่จะไปส่งของ ที่ต้องไปส่งเวลานี้เพราะแม่บอกว่า ต้องเอาเงินค่าสินค้า ไปจ่ายค่าบ้าน จึงจำเป็นมาก ๆ ที่จะออกไปส่งในตอนนั้นในคืนนั้น แถวบ้านของคุณเรนนี่ ก็ไม่มีรถประจำทาง หรือรถสองแถว มีแค่วินมอเตอไซค์ที่จะวิ่งทั้งคืน เพราะออกไปถนนหลัก ตรงที่คุณเรนนี่และน้องชายยืนอยู่นั้น เมื่อก่อนจะมีตู้โทรสับสาธารณะ ติดกับกำแพงของโรงเรียน เมื่อถัดไปอีกก็จะเป็นโกศที่เก็บอัฐิที่ดูสยดสยอง แต่ด้วยความเป็นคนในพื้นที่จึงไม่ได้คิดอะไรมาก และรอวินต่อไป…เมื่อรอไปได้ 15 นาที ก็ยังไม่มีวินมอเตอร์ไซค์มา แต่จู่ๆ ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ผมยุ่งเหยิง อาการเหมือนคนขาดสติ วิ่งมาหาคุณเรนนี่ และน้องชายด้วยหน้าตาที่ตื่นตระหนก ทั้งสองพี่น้องก็หันมองหน้ากัน และสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้มาจากไหน ไม่เคยเห็นอยู่ในชุมชนเลย และเมื่อหันกลับไปมองผู้หญิงคนนั้น ก็เข้ามาใกล้ทั้งสองคน ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้นว่า“น้องๆ ช่วยพี่ด้วย เนี่ย ไม่รู้ว่าพี่มาอยู่ที่ไหน พี่จะกลับบ้าน แล้วแฟนพี่ก็หายไปไหนไม่รู้”ในขณะนั้นคุณเรนนี่ก็เริ่มรู้สึกกลัว เพราะผู้หญิงคนเข้ามาด้วยท่าทีโวยวาย คุณเรนนี่เลยบอกไปว่า “พี่คะ ใจเย็นๆ นะ คือยังไงคะพี่ พี่จะไปไหน”ตอนนั้นคุณเรนนี่คิดว่าผู้หญิงคนนี้หลงทางมา เนื่องจากซอยเข้าออกค่อนข้างลำบาก ผู้หญิงคนนั้นจึงเลยพูดต่อว่า “พี่ก็ไมรู้” แล้วร้องไห้ออกมา“เนี่ยพี่มากับแฟน พี่นั่งรถมากับแฟน ไม่รู้ว่าแฟนพี่หายไปไหนแล้ว”ทำให้ผู้หญิงคนนั้นก็พยายามที่เข้ามาประชิดตัว โดยการเอามือมาจับที่ไหล่ และเขย่าตัวคุณเรนนี่ ในขณะที่ตัวของผู้หญิงคนนั้นก็สั่น แต่คุณเรนนี่ก็รู้สึกว่า ‘มือที่จับอยู่นั้นไม่รู้สึกถึงแรงกด และทำไมตัวเราถึงไม่สั่นตามแรงเขย่า‘คุณเรนนี่กับน้องชายจึงค่อยๆ หันลงไปมองช่วงตัวของผู้หญิงคนนั้น และสิ่งที่เห็นคือ ผู้หญิงคนนี้ไม่มีขา มีแค่ท่อนบนและกางเกงยีนส์ แต่ส่วนเท้าหายไป ไม่มีรองเท้า เมื่อเห็นดังนั้นคุณเรนนี่ก็รีบยกกระเป๋า และวิ่ง โดยน้องชายก็วิ่งนำไปก่อนแล้วเมื่อกลับไปถึงบ้านก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พ่อ และแม่ฟัง ซึ่งพ่อ และแม่ก็เข้าใจเพราะครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับคุณเรนนี่ และน้องชายแต่ครั้งนี้ทำให้ต้องเสียงานที่ต้องไปส่ง แม่จึงตำหนิ และโทรไปหาป้าเหี่ยว เพื่อขอไปส่งของใหม่ในตอน 9 โมงเช้า ตอนที่ป้าเหี่ยวเก็บร้านแล้ว ป้าเหี่ยวตอบตกลง โดยคุณเรนนี่ให้เหตุผลกับป้าเหี่ยวว่า ที่ไม่สามารถไปส่งของให้ได้เพราะปวดท้องในตอนเช้า เมื่อคุณเรนนี่ไปส่งของให้ป้าเหี่ยวเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางกลับมาบ้านใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม และวันหนึ่งเวลา 6 โมงเย็น คุณเรนนี่ที่กำลังล้างจานอยู่ โดยที่ล้างจานที่บ้านจะอยู่ข้างหน้าบ้าน เมื่อใกล้ล้างเสร็จ น้องชายของคุณเรนนี่ก็วิ่งมาหา ด้วยหน้าตาตื่นแล้วมาบอกกับคุณเรนนี่ว่า“พี่ พี่มากับผมหน่อย” คุณเรนนี่จึงถามว่า “ไปไหน พี่ยังล้างจานไม่เสร็จเลย”แต่น้องชายก็ยังลากคุณเรนนี่ไปจนเกือบใส่รองเท้าไม่ทัน และระหว่างทางคุณเรนนี่ก็ยังถามน้องชายตลอดว่าจะไปไหน เพื่อที่จะได้รับมือถูก แต่ถามมาตลอดทางน้องชายก็ยังไม่ตอบ จนกระทั้งมาถึงวัดที่อยู่ติดกับบ้าน พอมาถึงทั้งสองคนก็ไปที่ศาลาหนึ่ง ที่มีคนกำลังจัดงานศพอยู่ ซึ่งก็เป็นปกติของวัด แต่น้องชายก็ยังยืนยันให้คุณเรนนี่เข้าไปดูรูปข้างในงาน คุณเรนนี่ก็สังสัยว่าเข้าไปทำไม และพอเดินเข้าไปในงานรูปที่อยู่หน้าโรงศพคือ ผู้หญิงที่คุณเรนนี่ และน้องชายเห็นในคืนนั้น น้องชายจึงหันมาถามคุณเรนนี่ว่า..“พี่ ใช่ปะเนี่ย ใช่ ใช่ไหม”“เออ ใช่”ในตอนนั้นคุณเรนนี่ก็อึ้งกับสิ่งที่เห็น เลยได้ไปคุยกับคนในงานศพว่า ศพนี่คือใคร ซึ่งก็ได้รู้ว่าคุณแม่ของผู้ตาย เป็นคนที่คุณเรนนี่รู้จัก และผู้ใหญ่ในงานก็ถามกับคุณเรนนี่ว่า“จำไอยุ้ยไม่ได้หรอ” แต่คุณเรนนี่ก็ยังนึกไม่ออกว่ายุ้ยไหน ผู้ใหญ่ในงานเลยพูดต่อว่า “มันน่าจะจำไม่ได้แหละ”ซึ่งคุณเรนนี่ และยุ้ย เคยเล่นด้วยกันตอนอายุ 4-5 ขวบ และยุ้ยก็ได้กลับไปบ้านพ่อที่ต่างจังหวัด ไม่ได้กลับมาอยู่ที่กรุงเทพอีก ต่อมายุ้ยได้มาอยู่กับแฟนที่กรุงเทพ และระหว่างที่นั่งรถเพื่อจะไปที่ไหนสักแห่ง ก็ได้เกิดอุบัติเหตุทำให้ยุ้ย และแฟนเสียชีวิตทั้งคู่ แม่ของยุ้ยจึงได้นำศพของลูกสาวมาบำเพ็ญกุศลที่วัดนี้แต่เรื่องก็ไม่ได้จบเพียงแค่นี้ เพราะลุงวินแถวนั้นก็เอาเรื่องที่ไปพูดต่อๆ กันว่า มีผู้หญิงใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ มายืนโบกรถ แล้วขอให้ไปส่งเพราะว่าเแฟนรออยู่ พอลุงวินขี่มาได้สักพักก็เจอเข้ากับลูกระนาดบนถนน แต่ลุงวินก็มองไม่เห็น ด้วยความเป็นห่วงผู้โดยสารลุงวินจึงหันกลับไปมองข้างหลัง แต่ก็ไม่พบผู้โดยสารที่นั่งซ้อนมา ลุงวินจึงวนรถกลับไปดูว่าผู้โดยสารอยู่ไหน แต่ก็ไม่พบใคร ลุงวินจึงขี่รถกลับบ้านและยังมีคนที่เจอเหตุการณ์นี้เหมือนกัน คือ น้าจ่า เป็นทหารเก่า น้าจ่าก็เป็นวินเหมือนกัน และมีผู้หญิงโบกรถจากหน้าวัด เพื่อให้ไปส่งที่หน้าปากซอยเหมือนกัน พอขี่ไปถึงที่หน้าปากซอยก็ไม่เจอคนกลายเป็นว่า ยุ้ย ก็เป็นวิญญาณที่ล่องลอยที่ตาหาแฟน และฝั่งของฝ่ายชาย แฟนของยุ้ย ที่ได้ถูกนำศพไปทำพิธีที่บ้านเกิด ก็ได้เป็นวิญญาณที่ล่องลอย และตามหาแฟนเหมือนกัน จนสุดท้ายก็ได้มีการนำศพของทั้งคู่ไปตั้งคู่กัน และได้ทำการเผาพร้อมกัน ทุกอย่างถึงได้สงบลง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปนอนที่โฮมสเตย์ต่างจังหวัด ป้าเจ้าของที่พักกำชับว่ากลางดึกห้ามออกจากห้องเด็ดขาด!

07 ส.ค. 2023

ไปนอนที่โฮมสเตย์ต่างจังหวัด ป้าเจ้าของที่พักกำชับว่ากลางดึกห้ามออกจากห้องเด็ดขาด!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (25 กรกฎาคม 2566) ที่ผ่านมาอยู่กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เช่นเคย และเป็นอีกครั้งที่ ‘คุณแจ็ค The Ghost Radio’ มาเป็นแขกรับเชิญเสริมอรรถรสให้รายการนี้เฮี้ยนกว่าเดิม! เรื่องราวครั้งนี้เป็นเรื่องของผีเด็กในโฮมเสตย์ แต่ก่อนจะไปอ่าน ขอเตือนไว้ก่อนว่า ถ้าได้ยินเสียงใครเคาะผนังตอนกลางคืนก็อย่าทักเชียว! เจ้าของเรื่องนี้คือ ‘คุณบอล’ ย้อนไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว คุณบอลเป็นบัณฑิตป้ายแดงจากคณะสายการท่องเที่ยว เขาได้มีโอกาสไปฝึกงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้กับบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง มีหน้าที่คอยแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้ลูกค้า อยู่มาวันหนึ่ง ทางบริษัทมีโปรเจ็คให้พนักงานไปหาสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ แล้วนำมาเสนอให้ เจ้านายดู ปรากฎว่าทางบริษัทถูกใจไอเดียของคุณบอล สุดท้ายคุณบอลจึงได้รับโจทย์งานให้ไปตามหาแหล่งท่องเที่ยวภาคเหนือที่น้อยคนจะรู้จักตามแนวทางที่คุณบอลเสนอ ภายในระยะเวลา 7 วัน งานในครั้งนี้คุณบอลได้ทั้งค่ารถ ค่าน้ำมันไม่อั้น แถมเงินใช้สอย 3 หมื่นบาท ทั้งหมดนี้เป็นข้อเสนอที่เด็กจบใหม่ไฟแรงไม่มีทางจะปฏิเสธแน่นอน หลังจากตกปากรับคำแล้ว ก็ชวนเพื่อนที่คณะติดสอยห้อยตามไปด้วย เวลาผ่านไป 5 วัน ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ตอนนั้นคุณบอลนึกถึงจังหวัดน่านขึ้นมา ในอดีตจังหวัดนี้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก การเดินทางก็ค่อนข้างลำบาก คนส่วนใหญ่จึงมองที่นี่เป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น แต่คุณบอลเห็นว่าน่านเป็นจังหวัดที่น่าไปสำรวจทีเดียว เพราะเต็มไปด้วยแหล่งธรรมชาติสวยงามมากมาย คุณบอลและเพื่อนจึงตัดสินใจเดินทางไปที่จังหวัดน่านกันเป็นแห่งสุดท้าย ตลอดทริปนั้น ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน คุณบอลและเพื่อนก็เลือกไปพักที่โฮมสเตย์เพื่อประหยัดเงิน โฮมสเตย์สมัยนั้นเป็นบ้านพักของชาวบ้านที่จัดสรรพื้นที่บางส่วนให้คนนอกเข้าพัก บางแห่งก็อาจจะไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือสิ่งอำนวยความสะดวกให้ เมื่อคุณบอลและเพื่อนมาถึงที่จังหวัดน่าน ก็ติดต่อไปที่ป้าคนหนึ่งชื่อ ‘ป้าพิณ’ เพื่อขอพักหนึ่งคืน กระทั่งถึงตอนเช้าของวันสุดท้าย (วันที่ 7) ในระหว่างที่คุณบอลกับเพื่อนของเขารับประทานอาหารเช้ากันอยู่ ป้าพิณไม่สามารถให้พวกเขาพักอยู่ที่นี่ต่ออีกหนึ่งวันได้เพราะตนมีธุระ จึงพาไปที่บ้านของ ‘ป้าแก้ว’ ที่เป็นโฮมสเตย์เหมือนกันแทน ดังนั้นเมื่อตกดึกคืนที่ 7 คุณบอลและเพื่อน ก็ย้ายไปที่บ้านป้าแก้ว บ้านของป้าแก้วนี้มีลักษณะเหมือนกับบ้านปกติทั่วไป นอกจากนี้ป้าแก้วยังได้ทำอาหารต้อนรับเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย ขณะที่กำลังกินข้าวอยู่ คุณบอลก็ถามป้าแก้วว่าอาศัยอยู่กับใคร ป้าแก้วก็ตอบว่าอยู่กับลูก 2 คน แต่คุณบอลก็ไม่เห็นวี่แววของเด็กคนไหนอยู่แถวนั้นเลย หลังจากรับประทานอาหารมื้อค่ำเสร็จ ป้าแก้วก็บอกว่าจะเตรียมอาหารมื้อดึกเอาไว้ให้ แล้วจะเอาเข้าไปวางไว้ในห้อง ตอนกลางคืนไม่ต้องออกมา หากปวดเบาก็มีกระโถนเตรียมไว้ให้เช่นกัน คุณบอลคิดว่าป้าแก้วอาจจะไม่สะดวกใจที่จะให้คนแปลกหน้ามาเพ่นพ่านไปมาในบ้านตัวเองตอนดึก จึงไม่ได้คิดอะไรมาก ห้องนอนที่ได้นั้น มีลักษณะเป็นไม้ทั้งหลัง ตอนนั้นคุณบอลและเพื่อนกำลังทำงานก่อนเข้านอน ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเคาะผนังไม้มาจากห้องอีกฟาก ปัง ปัง ปัง ! คุณบอลคิดว่าคงจะเป็นลูกของป้าแก้ว เสียงนี้ดังตลอดเวลาจนทนไม่ไหว จึงเดินไปดู แต่พอเปิดห้องออกไป ป้าแก้วก็ปรากฏตนขึ้นยืนขวางทางพวกเขาและบอกว่า “จะไปไหน ออกมาทำไม บอกว่ากลางคืนอย่าออกไง!” เจ้าของบ้านที่ใจดีอ่อนโยนในเย็นวันนั้นกลับกลายร่างเป็นคนดุน่ากลัวในยามค่ำคืน ทำเอาคนทั้งสองไม่กล้าบอกถึงเหตุผลที่แท้จริงของการพยายามออกจากห้องทีเดียว เพื่อนคุณบอลได้แต่ทำเออออห่อหมกแกล้งบอกปวดหนักต้องการเข้าห้องน้ำแล้วให้คุณป้าพาไป และเมื่อกลับมาถึงที่ห้อง ป้าแก้วก็กำชับอย่างหนักแน่นอีกครั้งว่า ห้ามออกจากห้องในยามวิกาลเด็ดขาด แต่เมื่อผ่านไปได้สักพัก ก็มีเสียงดังขึ้นมาอีก คราวนี้มาพร้อมเสียงของเด็ก ปัง ปัง ปัง! “มีใครอยู่ไหม!” และยังมีเสียงของป้าแก้วดังขึ้นมาว่า “ทำเสียงดังทำไม เคาะทำไม กวนพี่เขา พี่เขาทำงานอยู่” แม้เสียงจะฟังแล้วจับใจความไม่ค่อยได้ แต่ก็พอจะรู้ได้ว่าคงจะเป็นเสียงผู้ใหญ่กับเด็กคุยกัน หลังจากที่ทำงานไปได้สักพัก สองหนุ่มเกิดสมาธิหลุดจากการทำงานอีกรอบเพราะเสียงเคาะผนัง คราวนี้คุณบอลลองเอาหูไปทาบกับผนังดู แต่เสียงก็หยุดไปก่อน แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงของเด็กขี้เล่นกระซิบผ่านผนังว่า “ได้ยินหรอ อยากรู้หรอ มาเล่นกันไหม!” คุณบอลตกใจมากกับเสียงที่ได้ยิน เพื่อนคุณบอลพยายามปลอบไม่ให้คิดอะไรมาก เพราะเข้าใจว่าเด็กคงจะขี้เล่นแบบนี้ คุณบอลพยายามนั่งทำงานต่อ แต่หลังจากผ่านไปได้อีกสักพักหนึ่ง เสียงเคาะก็มาอีก ครั้งนี้ไม่ได้มาที่จุดเดิมแต่กระจัดกระจายไปทั่วผนัง! หลายชั่วโมงผ่านไป คุณบอลก็ยังได้ยินเสียงเคาะผนัง ซึ่งมันดังมาตลอดตั้งแต่ครั้งแรกตอนตีหนึ่งจนกระทั่งตอนนี้ตีสามแล้ว และเมื่อเห็นว่ามีรูที่ผนัง คุณบอลกับเพื่อนก็ลองส่องเข้าไปดูยังห้องอีกฟากหนึ่งของผนังดู ห้องที่เห็นค่อนข้างมืด มีแสงริบหรี่จากตะเกียงหรือไม่ก็เทียนไขพอให้ห้องสว่างวูบวาบอยู่บ้าง เมื่อภาพเริ่มชัดเจนขึ้น ก็เห็นเป็นเตียงและเด็กคนหนึ่งนอนอยู่ เด็กคนนี้หันหน้าเข้ากำแพงอีกฝั่งหันหลังให้คุณบอล เขามีหัวที่ค่อนข้างผิดรูปใหญ่โตกว่าปกติมาก ทันใดนั้นเด็กคนนั้นก็ยืนขึ้น แล้วเอาหัวโยกไปมาที่ผนังคล้ายเหมือนจะเล็งเป้า แล้วก็กระแทกหัวไปที่ผนังอย่างจังพร้อมส่งเสียง ปัง ปัง ปัง! พร้อมกับพูดว่า “อยู่ตรงนี้รึเปล่า!” จากนั้นก็เปลี่ยนตำแหน่งผนังซ้ายทีขวาที เมื่อผ่านไปได้สักระยะ เด็กคนนี้ก็กลับมานั่งที่เตียงอีกครั้งและนับ 1...2...3... เขาคลานอย่างเร็วมาส่องที่รูตรงผนัง ตาต่อตากับคุณบอล แล้วพูดว่า “อยู่นี่เอง! อยู่นี่ใช่ไหม!” คุณบอลและเพื่อนผงะออกมาจากผนัง ทั้งสองขวัญหนีดีฝ่อรีบคว้ามือถือตรงดิ่งไปที่ประตูห้องนอน เปิดออกมา แล้วก็เจอกับป้าแก้วยืนรอพวกเขาอยู่ด้านนอกเช่นเคย พร้อมกับพูดว่า “ออกมาทำไม ไม่ต้องออกมา กลับเข้าไปนอน!” เรียกว่าหนีผีปะป้าแก้วจริง ๆ คุณบอลและเพื่อนไม่รู้จะกลัวอะไรก่อนดี ระหว่างผีหรือว่าเสียงตวาดของป้าแก้ว คุณบอลและเพื่อนหมดหนทาง จะให้ออกไปตอนมืดแบบนี้ก็ฟังดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ สุดท้ายจึงจำใจอยู่ต่อในโฮมสเตย์แห่งนี้จนถึงเช้า ฟังเสียง ปัง ปัง ปัง! ของผี มีเพียงผนังไม้เท่านั้นมีกั้นพวกเขาเอาไว้ให้ปลอดภัย คุณบอลและเพื่อนจำไม่ได้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน แต่พอรู้ตัวอีกทีก็ 6 โมงเช้าแล้ว และมีคนมาเคาะที่ประตู ซึ่งก็คือป้าพิณที่มาชวนไปกินข้าว ชายทั้งสองรีบเก็บของแทบไม่ทัน แล้วเดินตามป้าพิณไปขึ้นรถ ระหว่างทางเดินนี้ก็ไม่มีวี่แววของป้าแก้วเลยสักนิด ทั้งคู่เล่าเรื่องประสบการณ์ชวนผวาเมื่อคืนให้ป้าพิณฟัง หลังจากเล่าเสร็จ ป้าพิณก็กล่าวขอโทษ และบอกว่าไม่รู้ว่ามันมีเหตุการณ์แบบนี้ แต่เคยได้ยินมาว่า สมัยก่อนป้าแก้วมีลูกอยู่จริง เด็กคนนี้ค่อนข้างซุกซน ชอบไปเล่นในป่าในสวนอยู่บ่อยครั้ง วันหนึ่ง ลูกของป้าแก้วเข้าไปเล่นในสวนแล้วก็หายตัวไป ไม่มีใครพบเห็นอีกเลย หลายวันผ่านไปป้าแก้วเริ่มใจสลาย แต่แล้ววันดีคืนดีลูกชายก็กลับมา ป้าแก้วเข้าไปกอดลูกด้วยความดีใจถามว่าเขาไปอยู่ไหนมา เด็กคนนี้ก็ได้แต่ตอบว่าไปอยู่กับ “ลุง” มา ส่วนเรื่องอาหารการกิน “ลุง” ก็เป็นคนจัดเตรียมให้ ป้าแก้วไม่ได้คิดอะไรมากเพราะดีใจที่ลูกกลับมา หลังจากเรียกชาวบ้านมารับขวัญเด็กคนนี้แล้ว เขาก็กลับมาอยู่ที่บ้านป้าแก้วตามเดิม แต่เรื่องที่แปลกก็คือ หลังจากกลับมาลูกชายของป้าแก้วก็เอาแต่พูดถึงเรื่อง “ลุง” ขอร้องให้ป้าแก้วพาไปหา “ลุง” อยู่ตลอดเวลา เมื่อป้าแก้วถามว่าลุงคนนี้คือใคร ลูกก็ไม่ตอบ นานวันไป เด็กคนนี้ก็เริ่มอาละวาดเพราะแม่ไม่พาไปหาลุงเสียที สุดท้ายป้าแก้วไม่สามารถต้านทานความต้องการของลูกได้ ต้องยอมพาลูกไปหา “ลุง” ป้าแก้วไปตามทางที่ลูกเป็นคนนำเข้าไปในป่า จนมาหยุดอยู่ตรงศาลพระภูมิไม้เก่า ๆ พอถึงตรงนั้นแล้วลูกของป้าแก้วก็เดินตรงไปที่เครื่องเซ่น แล้วหยิบมากิน! ลูกของป้าแก้วพูดว่า “เนี่ยไง บ้านลุง!” ป้าแก้วรีบห้ามลูก แล้วพากลับบ้านทันที เมื่อมาถึงบ้านก็อาละวาดพยายามจะกลับไปหา “ลุง” อีกให้ได้ ตอนนั้นป้าแก้วก็ต้องออกไปเก็บเห็ดทำสวน จะเอาลูกไปด้วยตลอดเวลาก็ไม่ได้ จึงตัดสินใจขังลูกไว้ในห้องตอนตัวเองไม่อยู่บ้าน วันหนึ่งเมื่อกลับมาจากการทำงาน บ้านก็ดูเงียบผิดสังเกต เมื่อไปดูที่ห้องก็พบลูกนอนตายอยู่! มีลักษณะเหมือนว่าพยายามจะเอามือข่วนไปที่กำแพง และยังมีเลือดอาบเต็มหัว เหมือนเอาหัวโขกไปที่กำแพงอยู่หลายรอบ เสียงที่คุณบอลและเพื่อนได้ยิน คงจะเป็นจิตสุดท้ายของเด็กคนนี้ที่เอาหัวโขกกำแพง เพื่อที่จะพยายามพาตัวเองออกจากห้องนี้ไปให้ได้นั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

สาวแอร์โฮสเตสรักในการดูดวง แต่หมอดูบอกว่ามองไม่เห็นอนาคต พยายามตื๊อให้ดูดวงให้แต่หมอดูปฏิเสธ เวลาผ่านไป 1 อาทิตย์ ก็มีข่าวว่าสาวแอร์โฮสเตสกระโดดตึก หมอดูเห็นก็ช็อคเพราะคือคนเดียวกัน! แต่แล้วเขาก็มาหาในฝันเพราะมีเรื่องให้ช่วย อยากให้ดูดวงให้อีก!

17 มี.ค. 2024

สาวแอร์โฮสเตสรักในการดูดวง แต่หมอดูบอกว่ามองไม่เห็นอนาคต พยายามตื๊อให้ดูดวงให้แต่หมอดูปฏิเสธ เวลาผ่านไป 1 อาทิตย์ ก็มีข่าวว่าสาวแอร์โฮสเตสกระโดดตึก หมอดูเห็นก็ช็อคเพราะคือคนเดียวกัน! แต่แล้วเขาก็มาหาในฝันเพราะมีเรื่องให้ช่วย อยากให้ดูดวงให้อีก!

อ.บาส หมอดูที่ไม่ว่าจะดูดวงให้ใครก็มองเห็นอนาคตของคนนั้น แต่กับสาวแอร์โฮสเตสคนนี้ ดูดวงเท่าไหร่ก็ไม่เคยมองเห็นอนาคตของเธอ จนทำให้มีเรื่องหลอนเกิดขึ้น! เรื่องนี้ ‘อ.บาส 7th Sense’ ได้นำเรื่องราวมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 มีนาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ติดค้าง’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! อ.บาส 7th Sense เล่าว่า ตนมักจะมีคนที่มาดูดวงเป็นประจำ อ.บาสได้ไปรู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อ ‘คุณเจ’ (นามสมมติ) มีอาชีพเป็นแอร์โฮสเตส เธอเป็นคนเพอร์เฟกต์ทุกอย่าง ผิวสวย หน้าสวย หุ่นดี อ.บาสคิดว่าคุณเจทำบุญไว้เยอะ เพราะดูไม่มีความทุกข์นอกจากเรื่องความรักกับเรื่องศัลยกรรม คุณเจมักจะมาถามตนบ่อย ๆ ว่า “หนูจะไปฉีดตรงนี้ เลือกหมอให้หนูหน่อย คนนี้หนูคบได้ไหมคะ?” อ.บาสบอกว่า เวลาเธอจะคบใครก็จะมาถามอาจารย์ทุกเรื่อง เมื่อก่อนยังไม่มีไลน์หรือแอปพลิเคชันที่สามารถคุยกันได้สะดวก มีเพียงโทรศัพท์เท่านั้น บางครั้งเวลาตี 1-2 คุณเจจะส่ง SMS มาหา อ.บาส ว่า “ตี 1 แล้ว มาหาหนูหน่อย หนูมีเรื่องด่วน” อ.บาสก็ยอม เพราะรู้สึกรักคนนี้เหมือนเป็นน้องสาวของตน แต่ทุกครั้งที่ อ.บาสดูดวงให้ ปรากฏว่ามองไม่เห็นอนาคตของคุณเจ จึงตัดสินใจดูดวงเฉพาะเรื่องที่ถาม เพราะดูได้แค่นั้น คุณเจมักจะกังวลเรื่องความสวยมาก จน อ.บาสมีความรู้สึกว่าน้องคนนี้เศร้าเกิน มีอยู่ครั้งหนึ่งคุณเจเรียก อ.บาสให้ออกไปหาตอนตี 1 อาจารย์บอกว่า “ไม่ไหวแล้วหนู คุยกันทางโทรศัพท์ได้ไหม?” คุณเจก็บอกว่า “ไม่เอา หนูต้องการพบอาจารย์เดี๋ยวนี้ หนูจะถามเรื่องสำคัญคือเรื่องแต่งงาน” อ.บาสบอกว่า “อ้าว จะแต่งแล้วหรอ?” และบอกต่อไปว่า “ออกไปพบไม่ได้อะ” อ.บาสจึงดูดวงผ่านโทรศัพท์แล้วบอกว่า “พี่ไม่เห็นอนาคตหนูนะ” เมื่ออ.บาสพูดไปตรง ๆ เช่นนั้น คุณเจก็บอกว่า “คนนี้ไม่ใช่คู่หนูหรอ? เขาจะแต่งงานกับหนูแล้วนะ เตรียมของไว้หมดแล้ว” อ.บาสตอบว่า “พี่ไม่เห็นอนาคตจริง ๆ หนูไม่มีอนาคตกับคนนี้ ไม่ต้องแต่ง อยู่เฉย ๆ ทำบุญทำกุศลไป” อ.บาสเล่าว่ามีบางอย่างที่แปลกคือ เวลาที่อาจารย์แนะนำให้ทำบุญ คุณเจก็ไม่ทำจะดูดวงแค่อย่างเดียว คุณเจที่ผิดหวังกับคำตอบของอ.บาส จึงบอกว่า “ถ้าเกิดอาจารย์ว่าง อาจารย์ต้องมาหาหนูให้ได้นะ” อ.บาสบอกกลับไปว่า “ได้ ๆ เดี๋ยวว่างจะออกไป ตอนนี้ดูทางโทรศัพท์ไปก่อนเนอะ” เวลาผ่านไป 1 อาทิตย์ ช่วงนั้นมีเฟซบุ๊กแล้ว เมื่อประมาณปี 2557-2558 อ.บาสเลื่อนดูเฟซบุ๊ก ก็มีคนแชร์ข่าวมาว่า “มีแอร์โฮสเตสสาว กระโดดตึกที่ห้างแห่งหนึ่ง” ซึ่งเป็นข่าวดัง อ.บาสบอกว่า ท่าเสียชีวิตสวยมาก ชุดที่ใส่ต่อให้เป็นเสื้อยืด กางเกงวอร์มก็สวย และสมัยก่อนจะเบลอหน้าแค่นิดเดียว อาจารย์ก็รู้สึกว่า “เฮ้ย! นี่น้องคนนี้ เขามาหาเราบ่อย แล้วเราไม่เห็นอนาคตเขานี่หว่า” ตอนนั้น อ.บาสใจหล่นลงตาตุ่ม เพราะพึ่งคุยกันเมื่ออาทิตย์ก่อน บอกให้เขาทำบุญ เพราะว่าไม่เคยเห็นอนาคตของเขา อ.บาสก็รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ออกไปหาคุณเจ คืนนั้นตอนที่ อ.บาสกำลังจะอาบน้ำก็ได้กลิ่นฟอร์มาลีน อ.บาสรู้ทันทีเลยว่าเป็นคุณเจ จึงสื่อสารไปว่า “หนูมาอย่างนี้ไม่ได้นะ อาจารย์รู้สึกไม่โอเค อาจารย์คุ้นกับหนูจริง แต่ว่าหนูมาอย่างนี้ไม่ได้ ถ้ามาก็ให้อาจารย์ฝันละกัน อาจารย์ทำใจไม่ได้จริง ๆ อาจารย์คุ้นเคยกับหนู อาจารย์เห็นว่าหนูเป็นน้องสาว” หลังจากนั้น อ.บาสก็ฝันเห็นคุณเจ เดินมาหาด้วยสีหน้าโกรธ แล้วบอกว่า “ดูดวงให้หนู!” แต่ในฝัน อ.บาสบอกว่า “หนูไม่มีอนาคต” อ.บาสก็ยังคงพูดคำเดิมเหมือน วันหนึ่งเพื่อนของคุณเจที่ชอบมาดูดวงเหมือนกันโทรมาบอกว่า “พี่บาส ๆ หนูฝันถึงเจว่ะ เจมันมาบอกว่า ให้หนูพาเจมาดูดวงหน่อย บอกว่าต้องการเจอพี่บาส แล้วมาแบบหน้าแดงเลย” อ.บาสบอกกลับไปว่า “ฝันคล้าย ๆ พี่เลย พี่ก็ฝันว่าดูดวงให้เขา แต่พี่ก็ไม่เห็นอนาคตเขาเหมือนเดิม” จากนั้น อ.บาสก็นัดเจอ ตอนนัดกันก็ให้เพื่อนของคุณเจเป็นตัวแทนดูดวง ปรากฏว่าทุกอย่างก็คลี่คลายและรู้ว่าคุณเจฆ่าตัวตายทำไม อยู่ที่ไหน ต้องการอะไร อ.บาสบอกว่า “ไปบอกแม่ บอกญาติเขาหน่อย” หลังจากนั้น อ.บาสก็ไม่ฝันอีก และก็ได้เคสนี้เป็นกรณีศึกษาว่า ถ้าอาจารย์ไม่เห็นอนาคต ต้องเป็นเรื่องใหญ่แล้ว เพราะการดูดวงเราต้องมองเห็นอนาคต…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปเที่ยวเรียวกังเก่า เจอโทรศัพท์สีดำเลยแชะภาพไปหนึ่ง แต่ดันได้ยินเสียงจากปลายสาย ตกใจตัวสั่นหน้าซีด พอเช้าก็รีบกลับทันที ระหว่างทางแวะถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น แต่เพื่อนที่ข้ามถนนไปก่อนพูดประโยคเดียวกับเสียงในโทรศัพท์ จากนั้นก็โดนรถชนเสียชีวิต!

27 เม.ย. 2024

ไปเที่ยวเรียวกังเก่า เจอโทรศัพท์สีดำเลยแชะภาพไปหนึ่ง แต่ดันได้ยินเสียงจากปลายสาย ตกใจตัวสั่นหน้าซีด พอเช้าก็รีบกลับทันที ระหว่างทางแวะถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น แต่เพื่อนที่ข้ามถนนไปก่อนพูดประโยคเดียวกับเสียงในโทรศัพท์ จากนั้นก็โดนรถชนเสียชีวิต!

เรื่องนี้ ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘โทรศัพท์สีดำ’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณต้นกล้าได้ฟังมาจาก ‘มายูมิ’ เธอเป็นนักศึกษา อยู่ปี 3 กำลังจะขึ้นปี 4 ที่มหาลัยแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น ช่วงเวลานั้นเองที่เหล่านักศึกษาต้องเตรียมหาบริษัท เพื่อดูว่าควรจะทำงานอะไรต่อไป คนญี่ปุ่นเรียกช่วงนี้ว่า ‘Job Hunting’ หรือ การหางานของเด็กจบใหม่ในญี่ปุ่น ซึ่งนั่นก็หมายความว่าอาจจะไม่ได้มีโอกาสเจอเพื่อนอีกแล้ว มายูมิ จึงบอกกับเพื่อน ๆ ว่า “ไหนๆก็จะไม่ได้เจอกันแล้ว เรานัดกันไปออกทริปดีกว่า” เพื่อนหลายคนต่างก็ตอบรับคำชวนของมายูมิ รวมแล้วทริปนี้มีทั้งชายและหญิงประมาณ 4 - 5 คน ในวันออกทริปได้มีการเช่ารถยนต์ โดยให้เพื่อนที่มีใบขับขี่เป็นคนขับ ระหว่างออกเดินทาง ก็ขับกันไปสนุกสนานตามประสาวัยรุ่น ทุกอย่างปกติดีจนกระทั่งเหมือนระหว่างที่เดินทางอยู่ๆท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม เมื่อไปถึงที่หมายก็พบว่าที่พักเป็น เรียวกังญี่ปุ่น เหมือนโรงแรมญี่ปุ่นเวอร์ชั่นเก่าอยู่บนเขา หนึ่งในกลุ่มเพื่อนก็พูดขึ้นมาว่า “ฮู้ยย เนี่ยสวยเนอะ” มายูมิก็ตอบกลับไปด้วยความกลัวว่า “จะว่าสวยก็สวย จะว่าขนลุกก็ขนลุก ดูเหมือนมีผีเลยอ่ะ ต้องมีแน่ๆเลย” เพื่อนคนเดิมตอบกลับมาว่า “มีผีก็ดีดิ สนุกเลย เราได้เจอผี ถือเป็นโมเม้นต์ร่วมกัน ก่อนจะแยกย้ายไปทำงานไง” ส่วนตัวของมายูมิไม่ชอบเรื่องลี้ลับ จึงเริ่มรู้สึกไม่ดี แต่เพื่อนทุกคนก็ตัดสินใจว่า “เห้ยย เราพักที่นี่แหล่ะ เราจองไว้แล้ว เกิดอะไรก็เกิด” แต่ความรู้สึกของมายูมิบอกแต่แรกแล้วว่า ‘เรียวกังนี้ไม่ควรเข้าไป’ มายูมิรู้สึกไม่ดี ขนลุก อยากกลับ แต่ถ้าบอกเพื่อนไปตรง ๆ เพื่อนก็จะหาว่า “โอ้โห้ ขนาดแขกคนอื่นยังมาพักได้เลย” เมื่อถึงหน้าเรียวกัง ทุกคนก็ลงมาเก็บของ แล้วก็เดินเข้าไปข้างใน โดยมี ‘โอคามิซัง’ พนักงานมาต้องรับ โอคามิซังพูดกับทุกคนว่า “เหนื่อยมั้ยเดี๋ยวพาไปที่ห้องนะ” จากนั้นโอคามิซังก็พาไปแนะนำห้องพัก หลังจากแนะนำห้องพักเสร็จ ก็แนะนำห้องอาบน้ำที่เป็นออนเซ็นเล็ก ๆ โดยแบ่งห้องอาบน้ำชายและหญิงคนละฝั่ง รวมถึงบอกเรื่องเวลาปิดห้องอาบน้ำด้วย สุดท้ายก็ให้กุญแจห้อง และทิ้งท้ายว่า “หากต้องการอะไรให้เรียกโอคามิซังได้เลย” จากนั้นก็ปล่อยให้ทุกคนพักผ่อนตามอัธยาศัย หลังจากโอคามิซังเดินออกไป ทุกคนดูตื่นเต้นกับเรียวกังนี้มาก ต่างดูของตกแต่งในห้อง รวมถึงรูปภาพประดับ หนึ่งคนในกลุ่มก็พูดขึ้นมาว่า “โอ้โห้ดูรูปภาพนี้ดิ่ เราว่ามันจะต้องมีเรื่องราวแน่เลย” พอเอานิ้วไปสัมผัสที่รูปภาพก็มีฝุ่นติดขึ้นมา ทุกอย่างในเรียวกังนี้ดูขลังมาก หลังจากเดินชมเรียวกังเสร็จก็แยกย้ายกันไปพัก แยกห้องชาย-หญิง เมื่อฝั่งผู้ชายวางของเสร็จ ก็เดินมาที่ห้องของผู้หญิง เพื่อชวนกันออกไปถ่ายรูป ทุกคนจึงเดินออกมาข้างหน้า เมื่อได้มุมที่พอใจ ก็ถ่ายรูปกับสิ่งของต่าง ๆ เช่น หมี หน้าประตู แต่มีมุมหนึ่งที่น่าสนใจ เพื่อนผู้ชายบอกกับมายูมิว่า “ลองไปถือโทรศัพท์ตรงนั้นหน่อยสิ” มุมนั้นเป็นกำแพงสีพื้น มีโต๊ะเล็ก ๆ ที่วางสูง ๆ แล้วก็มี ‘โทรศัพท์สีดำ’ วางอยู่บนโต๊ะ และมีเก้าอี้วางไว้อีกหนึ่งตัว เรียกได้ว่าเป็นที่น่าถ่ายรูปมาก มายูมิก็ตอบกลับเพื่อนว่า “จะดีหรอ” สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินไป แล้วพอเดินไปกำลังจะถึง ก็ได้ยินเสียง “กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงง” ดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ มายูมิก็สะดุ้งตกใจ เพื่อนทุกคนก็ถามว่า “เฮ้ยยย เป็นอะไร” มายูมิตอบกลับเพื่อนว่า “ อ๋อโทษที เราสะดุ้งไปนิดนึง” ตอนนั้นมายูมิก็ไม่ได้เอะใจอะไร แล้วก็เดินไปยืนตามที่เพื่อนบอก จากนั้นก็หยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู เพื่อน ๆ ต่างหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป แต่แล้วอยู่ ๆ สีหน้าของมายูมิก็ค่อย ๆ ซีดลงไปเรื่อย ๆ แล้วก็วางโทรศัพท์ไป มายูมิสั่นไปทั้งตัว เพื่อนทุกคนต่างงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับมายูมิ และถามว่า “เป็นอะไร หนาวรึป่าว” มายูมิก็ไม่พูดบอกแค่ว่า “จะกลับห้อง” พูดประโยคเดิมวนอยู่ 2 - 3 รอบ เมื่อเห็นท่าไม่ดี ทุกคนจึงกลับมาที่ห้องและนำชาร้อนมาให้มายูมิดื่ม สักพักมายูมิก็ใจเย็นลงจึงเล่าให้เพื่อนฟังว่า “ตอนที่กำลังจะไปยกหูโทรศัพท์ พวกเธอได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังใช่มั้ย แล้วปลายสายมันมีคนพูดด้วย” แต่เพื่อนทุกคนตอบเหมือนกันหมดว่า “ไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังนะ” ทุกคนคิดว่ามายูมิสะดุ้งเพราะพื้นไม้เรียวกังมันเก่า เพื่อนจึงบอกว่า “เธอได้ยินคนเดียวนะ” มายูมิตอบกลับไปว่า “หรอ เป็นไปไม่ได้ เราได้ยินจริง ๆ นะ มันดังมาก ๆ” เพื่อนจึงถามต่อว่า “พอเธอยกหูโทรศัพท์เธอได้ยินอะไรจากปลายสาย ทำไมถึงหน้าซีดขนาดนั้น” มายูมิจึงเล่าว่า “เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราได้ยินอะไร เพราะมันแปลกมากเลย เราได้ยินว่า เฮ้ยย ทำไมยืนมองอยู่ตรงนั้น แล้วก็มีเสียง ตึ้มมมมมมมม ดังมากๆ แล้วสายก็ตัดไปเลย เป็นเสียงที่มาจากปลายสายนะ” เพื่อนก็ปลอบใจว่า “ไม่เป็นไรหรอก” จนกระทั่งคืนนั้น ทุกคนก็นอนหลับฝันดีปกติ มีแค่มายูมิที่นอนฝันร้าย พอตื่นขึ้นมา ผมมายูมิกระเซอะกระเซิง แล้วก็บอกกับเพื่อนว่า “จะกลับ” แล้วก็บอกต่ออีกว่า “ตี 4 แล้ว ตี 4 ครึ่งแล้ว พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว กลับกันเถอะ” เพื่อนทุกคนก็งง แล้วบอกว่า “จะรีบไปไหน เราจองที่นี่ไว้ 2 คืนนะ ไหนบอกจะมาสร้างความทรงจำดีๆ” มายูมิขอร้องให้เพื่อนกลับ ทุกคนกำลังรู้สึกงัวเงีย เพราะพึ่งตื่นไม่เต็มตา แต่สุดท้ายก็ต้องยอมกลับตามคำขอร้องของมายูมิ “ยอมกลับก็ได้ แล้วไปหา โรงแรมในเมืองเอา” พอเก็บของขึ้นรถเสร็จระหว่างทางขับรถออกจากเรียวกัง ซึ่งเป็นเส้นทางลงเขา ประจวบเหมาะกับพระอาทิตย์กำลังขึ้นพอดี กลายเป็นวิวที่สวยมาก จึงตัดสินใจจอดรถเทียบข้างทาง ฝั่งซ้าย ทุกคนต้องข้ามไปฝั่งขวา เพื่อที่จะได้เห็นวิวหน้าผาสวย ๆ จากนั้นก็ลงจากรถแล้วข้ามถนนไปฝั่งขวา เมื่อถ่ายรูปเสร็จ เพื่อนก็บอกว่า “กลับกันเถอะ” เพื่อนที่เป็นคนขับรถก็วิ่งข้ามถนนกลับไปที่รถ แล้วก็หันมากลับมาตะโกนบอกเพื่อนว่า “เฮ้ยย ทำไมยืนมองอยู่ตรงนั้น” แต่แล้วก็มีรถคันหนึ่งขับวิ่งเข้ามาชนเขา! แล้วมีเสียง “กริ๊งงงงงงง ตึ้มมมมมมม” เพื่อนคนนั้นถูกรถชนตัวกระเด็นทำให้เสียชีวิตทันที! ทุกคนที่อยู่อีกฝั่งต่างตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า เพราะมันตรงกับสิ่งที่มายูมิได้ยินจากโทรศัพท์สีดำเมื่อคืน! ทุกคนแทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น และเกิดคำถามขึ้นในใจว่าโทรศัพท์สีดำเครื่องนั้นมันพยายามจะบอกอะไร? ถ้ากลับไปอีกรอบ แล้วยกหูโทรศัพท์สีดำนั้นขึ้นมาอีกจะมีใครตายอีกหรือไม่..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1