เรื่องเล่าจาก ขวัญ น้ำมันพราย 'กูยังไม่ตาย' I อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ 10 ก.ย. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจาก ขวัญ น้ำมันพราย 'กูยังไม่ตาย' I อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ 10 ก.ย. 2567]

13 ก.ย. 2024

    เรื่องราวนี้ ‘คุณขวัญ น้ำมันพราย‘ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (11 กันยายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม‘ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ’กูยังไม่ตาย‘ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย!

    คุณขวัญเล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘ปุ๊ก’ ที่เป็นเพื่อนของตนในสมัยเรียน ปวช. ทั้งคู่ไม่ได้เจอกันมา 20 ปีแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อปี 40 ก่อน หลังจากเรียน ปวช.จบที่ระยอง ปุ๊กก็ได้ย้ายไปอยู่อีกจังหวัด ได้ไปเจอเพื่อนใหม่และได้เช่าหอพักอยู่ด้วยกัน ซึ่งหอพักนี้คือหอพักของเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มที่ชื่อ ‘ตั๋ม’ เเละยังเป็นที่รวมพลของกลุ่ม หอพักในสมัยนั้นมีโทรศัพท์กลางที่ตั้งอยู่หน้าหอพัก เมื่อมีปัญหาอะไรก็โทรหา รปภ. ได้

    วันนั้นเป็นวันที่จะเริ่มเรียนซัมเมอร์ ในกลุ่มมีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ ‘เล็ก’ ซึ่งเป็นคนที่สวยมาก แต่น่าสงสารเพราะว่าพ่อแม่เสียไปแล้ว ทุกวันนี้เล็กจึงอยู่กับยายเเล้วก็หลานที่บ้านหลังหนึ่ง เล็กมักจะพยายามชวนเพื่อนในกลุ่มว่า “ว่าง ๆ ไปเที่ยวบ้านชั้นสิ” เพื่อน ๆ ทราบเช่นนั้นก็รวมตัวกันไป ปรากฏว่าบ้านของเล็กนั้นอยู่อีกอำเภอซึ่งไกลมาก เมื่อถึงบ้านของเล็ก ปุ๊กก็ได้บอกกับคุณขวัญว่า

    “ไม่อยากนอนค้างที่บ้านหลังนี้เลย บ้านหลังนี้น่ากลัวมาก“

    ซึ่งลักษณะของบ้านจะเป็นไม้ยก 2 ชั้น ตั้งอยู่กลางสวนมะพร้าว มืดทะมึน ห้องน้ำอยู่นอกตัวบ้านเเละบ้านหลังนี้คุณตาของเล็กเพิ่งจะเสียชีวิตไป ในตอนแรกปุ๊กคิดว่าบ้านหลังนี้อยู่กัน 3 คน เเต่ปรากฎว่ามีเเฟนของเล็กอยู่ด้วยอีกคน

    ในคืนวันนั้นปุ๊กเเละกลุ่มเพื่อนได้นอนเปิดประตูอยู่บนชั้น 2 แต่แล้วก็มีเสียง ปึก ปึก ปึกก! เหมือนเป็นเสียงคนเดินขึ้นบันได ในระหว่างที่มีเสียงนั้น ทุกคนก็จ้องไปประตูเพื่อดูว่าเป็นใครที่เดินขึ้นมา แต่เมื่อสุดขั้นบันได เสียงนั้นก็เงียบหายไป… ไม่มีใครเดินออกมา! ทุกคนได้เเต่สงสัยว่าเป็นใครเเต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จากนั้นในตอนเช้าก็แยกย้ายกลับบ้าน

    ผ่านไปเมื่อปุ๊กเรียนซัมเมอร์จบ วันสุดท้ายของการเรียนวันนั้นก็ได้กลับบ้านที่ระยอง ในขณะที่เดินทางกลับก็มีเพจเจอร์เเจ้งเตือนขึ้นมา ซึ่งคนที่ส่งมาก็คือตั๋มเเละได้บอกว่า

    “เล็กตายเเล้ว”

    ปุ๊กก็ตกใจเเละไม่เชื่อในสิ่งที่ตั๋มบอก เพราะก่อนที่ปุ๊กจะขึ้นรถกลับบ้านนั้นทั้งคู่ยังกล่าวลากันอยู่เลยเเละเล็กยังได้บอกปุ๊กอีกว่าจะไปทำบุญกับครอบครัว ปุ๊กติดต่อเล็กไม่ได้จึงรอเวลาให้เล็กกลับไปที่หอ ในระหว่างที่รอ ปุ๊กก็ได้ทำธุระของตัวเองไปจนลืมเวลา เวลาล่วงเลยมาจนถึง 3 ทุ่ม พอปุ๊กนึกขึ้นได้จึงโทรไปหา รปภ.ที่หอว่า

    ปุ๊ก : ไปตามเพื่อนให้หน่อย ตามตั๋มให้หน่อย หนูอยากรู้เรื่องเพื่อนหนู เพื่อนหนูตาย

    รปภ. : ไม่ตามให้หรอก ดึกแล้ว ไม่ใช่พ่อแม่ ถ้าเกิดเป็นธุระด่วนก็ตาม

    เมื่อปุ๊กทราบเช่นนั้นก็ได้โทรหาเพื่อนที่อยู่อีกหลังหนึ่ง เพื่อนในกลุ่มก็สงสัยเเละบอกว่า “เล็กตายจริงหรอวะ?”

    ปุ๊กก็ตอบกลับว่า “จริง ก็มันบอกว่าไอเล็กตาย”

    ในขณะที่คุยกันก็มีเพื่อนบอกว่า “ปุ๊ก มึงมีเบอร์โทรศัพท์บ้านไอเล็กไม่ใช่หรอ มึงไม่โทรไปล่ะ”

    ปุ๊กจึงวางสายจากเพื่อนเเล้วโทรไปที่บ้านของเล็ก สายแรกที่โทรไปไม่มีใครรับ จึงโทรไปอีกครั้งปรากฏว่ามีคนรับสาย ซึ่งคนที่รับสายนั้นเป็นหลานของปุ๊ก “ฮัลโหล น้าปุ๊กหรอ”

    ปุ๊ก : เป็นไงบ้าง น้าเล็กอยู่ป่าว

    หลาน : น้าเล็กหรอ เดี๋ยวนะ อ๋อนั่นไง น้าเล็กเดินลงมาพอดี

    ปุ๊ก : เอ้า น้าเล็กเดินลงมาแล้วหรอ ขอน้าคุยกับน้าเล็กหน่อย

    เล็ก : เออ ปุ๊กเป็นไง (เเล้วก็มีไอหลังพูดจบ)

    ปุ๊ก : เป็นไรอ่ะ ทำไมไออย่างงี้

    เล็ก : เออ กูเจ็บคอนิดหน่อย ว่าไง

    ปุ๊ก : มึง ไอตั๋มมันเพจมาบอกกูว่ามึงตายอะ

    เล็ก : มึงจะบ้าหรอ กูยังไม่ตาย

    ระหว่างนั้นก็มีเสียงคุณยายของเล็กแทรกขึ้นมาว่า

    คุณยายเล็ก : ไม่ต้องออกไปเเล้วนะ ไม่ต้องชวนไปเที่ยวไหนเเล้วนะ

    เมื่อปุ๊กได้ยินเสียงเล็กเช่นนั้นก็โล่งใจว่าเล็กยังไม่ตาย แล้วก็วางสายไป..

    วันต่อมา มีเพจเจอร์เเจ้งเตือนซึ่งเป็นของเพื่อนอีกคนที่ส่งมาหาปุ๊ก ส่งมาบอกว่า

    “ไอปุ๊ก เล็กตายแล้ว”

    ปุ๊กไม่เชื่อเพราะเพิ่งคุยกับเล็กเมื่อคืน จึงโทรกลับไปหาเพื่อนคนนั้นเเล้วบอกว่า

    “เออ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูไปบ้านมัน”

    ในวันถัดมา ปุ๊กร้อนใจจึงรีบไปบ้านของเล็กที่ชลบุรี ซึ่งไปกับเพื่อนคนที่ส่งเพจเจอร์มาหา ระหว่างทางที่ไปก็ไม่มีคนเเต่เมื่อใกล้จะถึงบ้านของเล็กก็เริ่มมีคนเยอะขึ้น

    เมื่อปุ๊กเเละเพื่อนมาถึงบ้านของเล็ก สิ่งที่เห็นคือโลงศพตั้งอยู่ 3 โลงในบ้าน! ซึ่งมีโลงของคุณยาย หลานเเละเล็ก ตั้งเรียงกันอยู่ ซึ่งสาเหตุการตายคือโดนรถพ่วงกลับรถกระทันเเล้วชน คอหักตายคาที่!

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

หลอนหลังจอสู่หน้าจอ! เบื้องหลังพี่นาค 4 หลอนจริงจากใจผู้กำกับ!

16 ก.พ. 2024

หลอนหลังจอสู่หน้าจอ! เบื้องหลังพี่นาค 4 หลอนจริงจากใจผู้กำกับ!

เรื่องนี้ ‘แปลน รัฐวิทย์’ และ ‘ไมค์ ภณธฤต’ นักแสดงและผู้กำกับจากภาพยนตร์เรื่อง ‘พี่นาค 4’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (13 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นขณะกำลังถ่ายทำภาพยนตร์ที่ต้องบอกเลยว่ามาพร้อมกับความหลอน เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘แปลน รัฐวิทย์’ นักแสดงจากภาพยนตร์เรื่องพี่นาค 4 คุณแปลนเล่าว่า วันนั้นเป็นวันที่ต้องถ่ายภาพยนตร์คนเดียว ซึ่งถ่ายทำที่วัดบางลี่ จังหวัดลพบุรี สถานที่แห่งนี้มีโบสถ์เก่าแก่อายุร้อยกว่าปี คุณแปลนถ่ายทำตั้งแต่เช้าและทุกอย่างก็ราบรื่นปกติ จนถึงซีนหนึ่ง เวลาประมาณตี 2.22 น. เป็นซีนที่ต้องใช้สลิง หลังจากถ่ายเสร็จสิ้น พี่ไมค์ (ผู้กำกับ) ก็อยากจะถ่ายอีกเพื่อให้ได้ภาพที่สวยงามเพิ่ม จากนั้นคุณแปลนก็ไปรอบนนั่งร้าน หลังจากนั้นเมื่อนับ 3 2 1 แอคชัน! คุณแปลนก็วูบหมดสติไปและจำอะไรไม่ได้ นาทีนั้นคุณแปลนยังอยู่บนสลิงแต่ไม่มีใครรู้ว่าคุณแปลนวูบอยู่ ด้วยความที่ทรงตัวไม่ได้ก็ทำให้รัดแน่นจนหายใจไม่ออกและเกิดอาการชัก จากนั้นผู้กำกับจึงสั่งคัท ทีมงานก็เข้ามาช่วยเหลือ เมื่อคุณแปลนรู้สึกตัวสิ่งแรกที่พูดคือ “พี่ครับ ผมขอโทษครับ ผมเผลอหลับหรอ?” เพราะคุณแปลนรู้สึกว่าตัวเองฝันเห็นอะไรเต็มไปหมดและฝันนานมาก แต่เมื่อพอมาดูฟุตเทจปรากฎว่าที่วูบไปนั้นเป็นเวลาเพียงครู่เดียว หลังจากนั้นทีมงานก็ให้ดื่มน้ำแดง และดมยาดมเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย ซึ่งหลังจากจบวันนั้นไปคุณแปลนก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น เมื่อกลับมาจากสถานที่ถ่ายทำ คุณแปลนก็เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด ภายในห้องจะเป็นเตียงเดี่ยว 2 เตียง ซึ่งคุณแปลนพักคนเดียว จึงนำของไปวางให้เต็มแล้วจึงซื้อที่โดยการนำเงินไปวาง แล้วคุณแปลนก็พูดว่า “ผมขอซื้อนะตรงนี้” ซึ่งเตียงที่คุณแปลนซื้อนั้นปลายเตียงจะมีกระจกเงา จึงนอนอีกเตียง คืนนั้นคุณแปลนนอนไม่ค่อยหลับเพราะได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่หน้าห้องตลอด แต่คุณแปลนก็ไม่ได้ลุกขึ้นไปดูว่ามีคนหรือไม่ เพราะคิดว่าตราบใดที่เสียงยังอยู่หน้าห้อง คุณแปลนจะไม่ไปยุ่ง จากนั้นคุณแปลนก็นอนคลุมโปง พยายามสวดมนต์แล้วเผลอหลับไป เช้าวันต่อมา คิวถ่ายวันนี้ยังคงเป็นโบสถ์เดิม และมีอุปสรรคในการถ่ายทำคือฝนตกทั้งวันจนถ่ายทำไม่ได้ จนเวลาผ่านไปถึงวันสุดท้ายที่จะต้องถ่ายทำ คืนนั้นคุณแปลนเดินออกมาจากโบสถ์คนเดียว ด้วยความน่ากลัวจึงดู TikTok เพลิน ๆ สักพักก็ได้ยินเสียงผู้ชายมากระซิบว่า “มึงอยากตายหรอ?” หลังจากนั้นก็วูบไปอีกรอบ แล้วทีมงานก็มาบอกว่า “แปลนไปขอทีมงานถอดเสื้อ ไปนั่งเหม่อแล้วก็ร้องไห้ มองโบสถ์ฝั่งตรงข้าม” ซึ่งตอนนั้นคุณแปลนไม่รู้ตัว พี่ทีมงานก็ถามว่า “แปลนไหวไหม แปลนเป็นลมไหม” คุณแปลนก็ยังไม่กล้าเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่เจอ จนหลังจากนั้นก็ตัดสินใจเล่าให้พี่ทีมงานฟัง พี่ทีมงานบอกว่า “แปลนคิดในแง่ดี เขาอาจจะมาเตือนว่าการที่เราไปถ่ายทำคราวที่แล้ว อยากตายหรอ อย่าไปทำอะไรที่มันพิเรนทร์” หลังถ่ายทำเสร็จคุณแปลนบอกกล่าวว่า “ทุกอย่างที่พูดออกไป มันเป็นเรื่องตัวบทไม่ใช่ตัวผม เป็นตัวละคร แปลน รัฐวิทย์ ไม่เกี่ยวข้อง” หลังจากนั้นคุณไมค์ก็ได้เล่าเรื่องลี้ลับในกองถ่าย โดยคุณไมค์เล่าว่า สถานที่ถ่ายทำที่ยากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องพี่นาค ภาค 4 คือ ‘โบสถ์’ เพราะต้องหาโบสถ์ที่มีการตายเกิดขึ้น มีการเผาโบสถ์ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโบสถ์ แต่ไม่รู้ว่าจะหาโบสถ์จากที่ไหนที่จะให้ทำได้ขนาดนี้ จึงใช้เวลาหาประมาณ 3-4 เดือนในการหาโบสถ์ที่จะอนุญาตให้ถ่ายทำ เพราะทุกที่มีโจทย์ว่า ถ้าไปขอแล้ว อย่าให้มีผลกระทบกลับมา จนกระทั่งมาเจอโบสถ์ที่วัดนางลี่ วันที่เดินทางไปถึงวัดแห่งนั้น ก็เห็นว่าสถานที่ตรงตามที่ต้องการ มีป่าล้อมรอบ เดินเข้าไปเป็นโบสถ์เก่า ซึ่งเป็นโบสถ์ร้างที่นำพระประธานออกไปแล้ว คุณไมค์รู้สึกว่าตรงนี้ต้องแรงแน่ ๆ แต่คิดว่าต้องถ่ายที่นี่ เมื่อเดินเข้าไปจะเจอเจดีย์ใส่กระดูกของเจ้าอาวาสรูปเก่า ถัดเข้าไปจะเป็นโกฏิกระดูก 2 โกฏิ ซึ่งเป็นของคนที่บริจาคเงิน แล้วจึงจะถึงตัวโบสถ์ คุณไมค์เชื่อว่าหนังของตนสอนคนดูและคิดว่าตนคิดดีแล้ว แต่สุดท้ายทุกคนก็ได้รับบาดเจ็บจากที่นี่จริง ๆ จึงทำให้รู้สึกว่าตนเลือกโลเคชันที่แรงชนิดที่ไม่เคยเจอขนาดนี้มาก่อน นักแสดงในกองอย่าง ‘คุณเจมส์ ภูรพรรธน์’ เข้าฉากพายุลมฝน ทำให้ขาพลิกจนต้องส่งโรงพยาบาล ‘คุณเอม วิทวัส’ เดิน ๆ อยู่โดนบุ้งต่อยแพ้ทั้งตัว ส่วน ‘คุณแปลน รัฐวิทย์’ สลบไปกลางอากาศ และ ‘คุณมีน พีรวิชญ์’ แมงป่องไต่ขึ้นขาแต่โชคดีที่มีทีมงานเห็นจึงไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นอาจจะเข้าโรงพยาบาลอีกคน นี่คือเหตุผลที่ต้องต่อธูปตลอด ซึ่งจะมีฝ่ายสวัสดิการมาดูธูปไว้ ถ้าไม่ต่อธูปฝนจะตก จนกระทั่งคุณเจมส์ไปเจอพระรูปหนึ่ง และพระก็ทักว่า “ไปถ่ายหนังอะไรมา ไปสถานที่ที่แรงใช่ไหม รู้ไหมเขาไม่โอเคต้องไปขอขมา” ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระท่านพูดเป็นฉาก ๆ มีโบสถ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านเห็น คุณเจมส์จึงบอกว่า “พี่ไมค์ เราต้องไปขอขมา” หลังจากนั้นอันดับแรกคุณไมค์ก็รดน้ำมนต์ นำนักแสดงทุกคนไปรดน้ำมนต์ด้วย และถือพานบายศรีขอขมา สุดท้ายคุณไมค์พูดว่า “ต่อให้เราจุดธูปให้เราทำอะไรก็ตามแต่ ตราบใดที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางทีเขาไม่รู้หรอกว่าเรามาทำงานหรือเรามาทำอะไร แต่บางครั้งถ้าเกิดเราทำอะไรที่มันเกินขอบเขตในความรู้สึกเขา มันก็อาจจะมีการลงโทษกันบ้าง ก็เลยไปขอขมาเป็นวันที่เราขอโทษจากใจจริง บางทีเราอาจจะต้องเตรียมเครื่องขอขมาตั้งแต่วินาทีแรกที่ไป เพราะถ้าเรารู้ว่าเราจะทำอะไรไม่ดีต้องไปขอเลย ไม่ใช่ไปทำแล้วค่อยไปขอ อันนี้ก็เป็นการสอนให้เรารู้จากการที่เราถ่ายที่จริงมาเยอะมาก แต่ที่นี่ภาคนี้กับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่โดนหนักสุดแล้ว”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอทุกครั้ง ลุงยังทักทายและยิ้มให้ พอรู้ความจริง ขนหัวลุกไม่หยุด!

26 ก.พ. 2024

ลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอทุกครั้ง ลุงยังทักทายและยิ้มให้ พอรู้ความจริง ขนหัวลุกไม่หยุด!

เรื่องนี้ ‘คุณออโต้’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอกันอีก ลุงก็ทักทายและยิ้มให้เสมอ แต่พอมารู้ความจริงถึงกับช็อก เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย! โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เคยเจอกับตัวเองของคุณออโต้เมื่อ 25 ปีก่อน เป็นช่วงที่กำลังเรียนที่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 1 ซึ่งในช่วง 4 เดือนแรกที่ไปเรียน คุณออโต้ก็ได้ทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย จึงไม่ค่อยมีเวลากลับบ้าน จนกระทั่งสอบปลายภาคเสร็จแล้วปิดเทอม จึงได้กลับบ้าน บ้านคุณออโต้อยู่ต่างจังหวัด พ่อแม่เป็นข้าราชการ จึงไม่ค่อยอยู่บ้าน คุณออโต้จึงตัดสินใจนั่งรถกลับบ้านแต่จะไปลงที่บ้านเพื่อนก่อน เพื่อรอให้พ่อแม่กลับบ้านแล้วคุณออโต้ถึงจะกลับ ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม เพื่อน ๆ ต่างมหาวิทยาลัย ก็ได้นัดมารวมตัวกันเพื่อดื่มสังสรรค์ จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 4-5 ทุ่ม คุณออโต้ก็คิดว่าถ้าดึกไปมากกว่านี้ กลัวว่าพ่อแม่จะเข้านอนก่อน ซึ่งจะเข้าบ้านไม่ได้ คุณออโต้ก็เลยขอให้ ‘คุณบี’ (นามสมมติ) ขับรถไปส่งที่บ้าน ส่วนตัวของคุณบีเป็นคนกลัวผีมาก พอขับรถไปส่งคุณออโต้ถึงแค่หน้าปากซอยก็ขอกลับทันที ก่อนกลับคุณบีก็บอกกับคุณออโต้ว่า “ไอ้โต้ มึงเดินเข้าบ้านมึงเองนะ” คุณออโต้ที่เกรงใจเพื่อนมากจึงตอบไปว่า “ได้ ๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเดินเข้าบ้านเอง” บ้านคุณออโต้ห่างจากปากซอยประมาณ 800-900 เมตร และสามารถเลือกเส้นทางเดินกลับบ้านได้ 2 เส้นทางคือ เส้นทางแรกต้องเดินผ่านวัด ผ่านกำแพงวัดที่มีโกฐกระดูกของผู้เสียชีวิต และเส้นทางที่ 2 คือ ทางเล็ก ๆ ที่ต้องเดินลัดเลาะตามบ้านของคนอื่น ซึ่งในเวลานั้นคุณออโต้ก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ 2 ก่อนที่จะถึงบ้านคุณออโต้ จะต้องเดินผ่านบ้านของ ‘ลุงเพชร’ ที่เป็นช่างเย็บเสื้อผ้า ซึ่งลุงเพชรรู้จักกับคุณออโต้มานานและเย็บชุดนักเรียนให้คุณออโต้มาตั้งแต่สมัยมัธยม ในขณะที่คุณออโต้กำลังเดินผ่านไปข้างหลังบ้านลุงเพชร ก็ได้ยินเสียงไอขึ้นมา “แค่ก ๆ” คุณออโต้จึงหันไปมองที่ต้นเสียง ปรากฏว่าเป็นลุงเพชรที่กำลังนั่งอยู่บนแคร่ตรงสวนหลังบ้าน คุณออโต้ตกใจจึงพูดกับลุงเพชรไปว่า “โห้ลุง! ทำไมยังไม่นอน” ลุงเพชรก็ยิ้มให้ แล้วตอบกลับมาว่า “ออโต้พึ่งกลับมาบ้านหรอ” คุณออโต้ที่กำลังรีบกลับบ้านเพราะกลัวพ่อแม่จะนอนหลับก่อนแล้วจะเข้าบ้านไม่ได้ จึงตอบส่ง ๆ ไปว่า “ครับ ๆ” พอถึงบ้านคุณออโต้ก็ทำธุระส่วนตัว เสร็จแล้วก็ขึ้นไปชั้น 2 ของบ้าน พอไม่ได้กลับบ้านนาน ก็รู้สึกคิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ จึงออกไปดูวิวที่ระเบียง ปรากฏว่าคุณออโต้ยังเห็นลุงเพชรนั่งอยู่บนแคร่เหมือนเดิม คุณออโต้รู้สึกแปลกใจ เพราะต่างจังหวัดคนมีอายุจะเข้านอนเร็ว คุณออโต้ก็คิดในใจสักพัก ก็ได้ยินเสียงน้องชายตะโกนขึ้นมาว่า “พี่ออโต้ มาดูคอมให้หน่อย” จากนั้นคุณออโต้ก็ลงไปดูคอมให้น้อง เวลาผ่านไปสักพักก็เดินกลับมาที่เดิม แต่ครั้งนี้ก็ไม่เจอลุงเพชรแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ปิดเทอม คุณออโต้ก็มีการไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนเป็นประจำ กลับบ้านทีก็ 4-5 ทุ่ม ซึ่งคุณออโต้ก็ใช้จะเส้นทางเดิมที่ลัดเลาะตามบ้านของคนอื่น และทุก ๆ ครั้งที่กลับบ้าน ก็จะเจอลุงเพชรทักทายและยิ้มให้ตลอด จนเวลาผ่านไปใกล้ถึงวันที่จะเปิดเทอม คุณออโต้มีชุดนักศึกษาตัวหนึ่งที่ซื้อมาผิดไซส์ จึงตั้งใจว่าจะเอาไปให้ลุงเพชรซ่อมให้ วันนั้นคุณออโต้ก็ตื่นแต่เช้า เพื่อที่จะขอเงินแม่ไปจ่ายค่าซ่อมชุด แม่ก็ถามว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบไปว่า “กับลุงเพชรไงครับ” พอแม่ได้ยินก็มีท่าทีที่ตกใจ และสีหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ แม่ก็ถามย้ำอีกรอบหนึ่งว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบเหมือนเดิมว่า “ลุงเพชรไงครับ ลุงที่อยู่ข้างบ้านเรา” พอพูดจบแม่ก็เดินมาตีคุณออโต้ แล้วก็ตวาดใส่คุณออโต้ว่า “จะไปแก้กับลุงเพชรได้ยังไง ลุงเพชรตายไปตั้งแต่แกไปเรียนที่มหาวิทยาลัยช่วงแรก ๆ แล้ว” ซึ่งคุณออโต้ไม่เชื่อ เพราะเจอลุงเพชรทุกวันและลุงเพชรก็ยังทักทายคุณออโต้ปกติ แม่ก็ยังบอกอีกว่า “อย่าโกหกนะ แม่กลัว” คุณออโต้คิดว่าแม่ตัวเองขี้เหนียวหาว่าจนนั้นกุเรื่องคนเสียชีวิตมาพูดแทน คุณออโต้หัวเสียจึงเดินออกจากบ้านแล้วเจอพ่อ คุณออโต้ก็เดินไปขอเงินพ่อ พ่อเลยถามว่า “จะเอาเงินไปทำอะไร” คุณออโต้ก็ตอบไปว่า “จะเอาไปจ่ายค่าซ่อมชุดนักศึกษา” ซึ่งพ่อก็ถามคำถามเดียวกับแม่ว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบเหมือนเดิมว่า “ลุงเพชรไงครับ ลุงที่อยู่ข้างบ้านเรา” พอพ่อได้ยินก็นิ่งไปสักพัก พ่อก็พูดขึ้นมาว่า “ลุงเพชรแกเสียแล้วนะ” หลังจากนั้นพ่อก็เดินเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างในบ้าน แล้วยื่นให้คุณออโต้ดู ปรากฏว่าเป็นซองงานศพของลุงเพชร พอคุณออโต้เห็นถึงกับช็อก ทำตัวไม่ถูก ซึ่งคุณออโต้จึงกลับมาคิดกับตัวเองว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คุณออโต้เจอลุงเพชรทุกวัน ลุงเพชรก็ยังทักทายและยิ้มให้ปกติ แล้วพ่อก็เล่าให้คุณออโต้ฟังว่า “ก่อนที่ลุงเพชรจะเสียชีวิต ลุงเพชรถามหาออโต้ด้วย” คุณออโต้ก็คิดว่า ด้วยความที่สนิทกันกับลุงเพชรและรู้จักกันมานาน ตั้งแต่เด็ก ๆ ลุงเพชรอาจอยากมาลาคุณออโต้ก็ได้(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณชิ ‘ห้องเตียงคู่’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ปิงปอง [ 4 มิ.ย. 2567]

10 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณชิ ‘ห้องเตียงคู่’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ปิงปอง [ 4 มิ.ย. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณชิ’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนจากประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นจริง มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (4 มิถุนายน 2567) เตรียมขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ห้องเตียงคู่’ จะชวนหลอนจนขนหัวลุกขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย ! เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงของ ‘คุณชิ’ (นามสมมติ) และภรรยา โดยคุณชิเริ่มเล่าว่า ย้อนกลับไปประมาณปลายปีที่แล้ว คืนหนึ่งภรรยาของคุณชิเกิดอาการปวดท้องหนักมาก คุณชิจึงบอกกับภรรยาว่า “ไปโรงพยาบาลดีกว่าไหม ? มานอนทนปวดแบบนี้มันไม่ดีนะ” ซึ่งตอนแรกภรรยาก็รั้นไม่ยอมที่จะไป จนกระทั่งทนไม่ไหว คุณชิจึงพาไปโรงพยาบาล ขณะนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่ม ซึ่งกว่าจะคุยกับหมอเสร็จ เวลาก็ผ่านไปจนเวลาเที่ยงคืนกว่า คุณหมอก็ได้ข้อสรุปว่า ‘ไส้ติ่งอักเสบ’ ต้องเข้าแอดมิดที่โรงพยาบาลทันที หลังจากนั้นฝ่ายทะเบียนก็เข้ามาบอกให้ภรรยาแอดมิดที่ห้อง 601 ระหว่างนั้นก็มีพยาบาลคนหนึ่ง เดินเข้ามาถามว่า “ให้คนไข้เข้าพักที่ห้องไหน” ฝ่ายทะเบนียนก็ตอบว่า “601 ไงค่ะ” พยาบาลก็เกิดอาการเลิ่กลั่กแปลก ๆ แล้วถามว่า “ทำไมให้คนไข้แอดมิดที่ห้องนั้นละ ?” ตอนนั้นคุณชิก็เกิดคำถามในใจแล้วว่า ‘ทำไมถึงนอนห้องนี้ไม่ได้ล่ะ ?’ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ฝ่ายทะเบียนก็ตอบว่า “มันเหลือห้องเดียวแล้ว ไม่มีอะไรหรอก” ก่อนที่จะหันหน้ามามองภรรยาของคุณชิ แล้วบอกว่า “พอดีว่า ห้องนี้มีคุณยายนอนอยู่คนเดียว แต่ไม่มีอะไรหรอกน้อง นอนได้สบาย คุณยายเขาแค่ ชอบนอนเปิดบทสวดฟัง ไม่มีอะไรหรอก” จากนั้น ช่วงเวลาประมาณตี 1 คุณชิและภรรยาก็ได้เข้าไปที่ห้อง 601 คุณชิเห็นว่าเตียงจะถูกจัดให้อยู่ทางด้านซ้าย ซึ่งเตียงแรกเป็นเตียงของคุณยาย และเตียงที่สอง เป็นเตียงของภรรยา และคุณชิยังสังเกตอาการป่วยของคุณยายอีกว่า คุณยายน่าจะอยู่ในอาการโคม่า อาการไม่สู้ดี และพร้อมที่จะไปแล้ว โดยมีเครื่องช่วยหายใจใส่ไว้ทางปาก และมีเสียงหายใจดัง ฮะ.. เฮือกก อยู่เสมอ.. จากนั้นคุณซิก็กลับบ้าน เพราะว่าไม่สามารถอยู่เฝ้าได้ หลังจากที่คุณชิเอาลูกเข้านอน ช่วงเวลาประมาณตี 2 ทางภรรยาก็โทรมา โดยใช้น้ำเสียงกระซิบบอกว่า “เธอ จู่ ๆ เพลงบทสวดก็ดังขึ้นมา เป็นบทสวดภาษาจีน” คุณชิจึงบอกว่า “ทางพยาบาลเข้ามาเปิดให้คุณยายฟังหรือเปล่า ?” ภรรยาของคุณซิตอบว่า “ไม่นะ ถ้าพยาบาลเข้ามา ก็ต้องได้ยินเสียงเปิดประตู” คุณชิได้แต่พูดปลอบใจว่า “มันไม่มีอะไรหรอก เธอคิดไปเอง เธออาจจะไม่ได้ฟังตอนพยาบาลเปิดประตูเข้ามา” หลังจากนั้น ภรรยาก็เหมือนจะสบายใจขึ้น ก่อนที่จะวางสายไป จนเช้าวันรุ่งขึ้น เวลา 9 โมง คุณชิก็ไปเยี่ยมภรรยา ถามว่าเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง ภรรยาก็เล่าว่าบทสวดดังทั้งคืน ไม่สามารถที่จะนอนหลับได้เลย และบทสวดก็เปิดยันเช้า เย็นวันนั้น พยาบาลก็เข้ามาบอกว่า “เดี๋ยวจะได้ย้ายห้องนะ” ภรรยาได้ยินก็รู้สึกสบายใจขึ้น จนเวลาก็ผ่านไปเกือบ 3 ทุ่ม ทางภรรยาของคุณซิ ก็ไม่ได้ย้ายห้องสักที คุณชิจึงไปถามกับพยาบาล พยาบาลก็บอกว่า “ไม่ได้ย้ายแล้วค่ะ พอดีว่าคนไข้แอดมิดเข้ามาใหม่ ทำให้ห้องเต็มเหมือนเดิม” หลังจากนั้นคุณชิก็กลับบ้าน เวลาประมาณ 5 ทุ่ม ทางภรรยาก็โทรมาบอกว่า “บทสวดดังอีกแล้ว แต่ครั้งนี้แปลกมาก เพราะหลังจากบทสวดจบ มีเสียงเรียกมาด้วย เรียกว่า หนู” ซึ่งทางภรรยาก็พยายามชะเง้อมองหาต้นทางของเสียงและเห็นว่า มีเงาคล้ายกับร่างคน สะท้อนม่าน ชะโงกมองมาทางตน ทางภรรยาของคุณชิก็พยายามหลบสายตาไม่มองไปทางนั้น และบอกว่า “เขาใส่หมวกไหมพรหมสีสีชมพู และพยายามเรียกอิหนู อิหนู… อิหนู ซ้ำอยู่นั่นแหละ” คุณชิพยายามปลอบใจว่า “ไม่มีอะไรหรอก คงมีใครมาเยี่ยมคุณยาย ในเวลานี้หรือเปล่า ?” แต่คุณชิก็รู้สึกว่า มันไม่ชอบมาพากล มีบางอย่างแปลก ๆ แต่ก็ไม่อยากให้ภรรยาคิดมาก จึงได้พูดแบบนั้นไป หลังจากนั้น ช่วงเวลาประมาณตี 2 ทางภรรยาก็โทรเข้ามาอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ บอกว่า “เธอ ไม่ไหวแล้วอ่ะ เปิดเสียงบทสวดอะ ไม่เท่าไหร่ แต่นี่เรียกทั้งคืนเลย มารับกลับได้ไหม อยากกลับบ้านมาก เค้าไม่โอเค ไม่ไหวแล้วจริง ๆ” คุณชิจึงได้แต่ปลอบไปว่า “เค้าไปรับเธอกลับไม่ได้ ถึงเค้าไปรับได้ เธอก็ไม่สามารถกลับกับเค้าได้ เพราะเธออยู่ในกระบวนการการรักษาของแพทย์ เธอต้องอดทนนะ พยายามหลับตานอน” คุณชิรู้สึกไม่สบายใจ เพราะไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทำเพียงแค่ปลอบใจภรรยา ซึ่งคืนนั้นคุณชิก็ไม่ได้นอน เพราะทุกครึ่งชั่วโมงทางภรรยาก็จะโทรมา เพราะทุกครั้งเมื่อเพลงจบ ก็จะมีเสียงเรียกทุกครั้ง และช่วงเวลาประมาณตี 5 ทางภรรยาก็โทรเข้ามาเล่าว่า “เมื่อสักพักก่อนหน้านี้ เกิดอะไรขึ้นไม่รู้ เพราะมีพยาบาล 3-4 คน ก็เข้ามามุงอยู่ที่เตียงของคุณยาย ก่อนที่จะใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วก็ออกกันไป ซึ่งตอนที่พยาบาลยังอยู่ เราก็ปวดเข้าห้องน้ำพอดี จึงได้เห็นว่า พยาบาลจัดคุณยายในท่านั่งพิงกับขอบเตียง ถอดเครื่องช่วยหายใจและสายน้ำเกลือ และใส่ชุดเสื้อผ้าใหม่ที่ไม่ใช่ของโรงพยาบาล พร้อมกับหมวกไหมพรมสีชมพู เราไม่น่ามองไปทางนั้นเลย” หลังจากนั้นภรรยาก็หลับไป.. เช้าวันถัดมาก็ถามพยาบาลว่า “คุณยายไปไหนหรอคะ ? เพราะตื่นมาก็ไม่เห็นแล้ว” พยาบาลก็ตอบว่า “อ๋อ คุณยายเสียตั้งแต่เที่ยงคืนแล้วค่ะ” ซึ่งคุณชิก็รู้สึกว่า ‘ตั้งแต่ช่วงหลังเที่ยงคืน ภรรยาได้นอนกับศพตลอดทั้งคืนเลย เพราะเขาพึ่งเอาคุณยายออกไปตอนเช้า’ จึงถามว่า “ทำไมถึงพึ่งมาเอาคุณยายออกไปตอนเช้า” ทางพยาบาลก็ตอบว่า “พอดีว่าห้องดับจิตเต็ม จึงต้องให้คุณยายอยู่ที่นี่ไปก่อน” พอทางภรรยาของคุณชิรู้เช่นนั้นก็ช็อก เพราะต้องนอนต่อที่ห้องนี้อีกหนึ่งคืน แต่คืนต่อมาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะมีคนไข้คนใหม่ เข้ามานอนแทนที่ของคุณยายคุณยายแล้ว..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณต้น 'เชือกผูกผี' I อังคารคลุมโปง X คืนเผาผี Ghost Night [ 29 ต.ค. 2567]

09 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณต้น 'เชือกผูกผี' I อังคารคลุมโปง X คืนเผาผี Ghost Night [ 29 ต.ค. 2567]

‘คุณต้น‘ ได้นำเรื่อง ‘เชือกผูกผี’ มาเล่าในรายการอังคารคลุมโปง X (29 ตุลาคม 2567) ให้ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ‘ ฟัง เป็นเรื่องราวสุดหลอนในวัยเด็กที่ตนได้เจอ จะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย! คุณต้นได้เล่าว่าเป็นเรื่องราวของน้องที่รู้จักชื่อ ‘โต้ง’ เป็นเด็กที่อยู่ในจังหวัดหนึ่งทางแถบอีสานใต้ ทางครอบครัวของคุณโต้งมีวิชาอาคมเป็นทางศาสตร์ของทางฝั่งเขมร ในช่วงที่ยังเด็ก คุณโต้งก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรจึงใช้ชีวิตในวัยเด็กตามปกติ อยู่มาวันหนึ่ง คุณตาก็ได้ชวนคุณโต้งไปจับปลาแถวบ้านในช่วงเวลาประมาณหัวค่ำ ในขณะที่คุณโต้งกำลังนั่งรอคุณตากำลังจับปลาอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากริมตลิ่งฝั่งตรงข้าม พอมองไปตามเสียงนั้นแล้วก็พบกับร่างเด็ก 2 คน ตัวซีดเผือด มีเลือดแห้งเปรอะเปื้อนเต็มหน้า! เด็ก 2 คนนั้นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณโต้ง ประมาณ 8-9 ขวบ เมื่อเห็นดังนั้นคุณโต้งก็ตะโกนเรียกคุณตา แต่คุณตากลับคว้างก้อนดินไปบริเวณนั้น แล้วเด็ก 2 คนนั้นก็หายไป! เหตุการณ์นี้ทำให้คุณโต้งรู้จักคำว่า ‘ผี’ เป็นครั้งแรกในชีวิต จากนั้น คุณตาก็ได้เล่าให้ฟังว่า “เมื่อก่อนเนี่ย ก่อนที่จะมีบ่อน้ำนี้ ในช่วงที่ขุดแรก ๆ มีเด็ก 2 คนนี้แหละมาเล่นน้ำแล้วจมน้ำตาย วิญญาณก็น่าจะอยู่บริเวณนี้” เรื่องราวสุดหลอนต่อมาที่คุณโต้งได้เจอก็คือ หลังคุณโต้งเลิกเรียนก็ได้ยินว่าหมู่บ้านข้าง ๆ มีคนผูกคอฆ่าตัวตาย ซึ่งคนที่ตายก็คือญาติของคุณโต้ง เมื่อทราบข่าวแล้วทางครอบครัวเขาก็ไปดูแล้วก็พบกับศพผู้หญิงผูกคอตาย จึงได้มีการเผาศพในวันนั้นทันที เนื่องจากหมู่บ้านของคุณโต้งมีความเชื่อว่าถ้าเป็นศพผีตายโหงจะต้องทำการเผาวันนั้น จึงนำศพไปเผาที่ป่าช้าในหมู่บ้านที่คุณโต้งและคุณตาใช้เป็นเส้นทางในการไปจับปลา ต่อมาหลังจากที่เรื่องนี้ผ่านไปได้ 1 เดือน ก็มีคุณตาอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นน้องของคุณยายคุณโต้ง ให้นามสมมติว่า ‘ตาต้อย’ ได้มาถามว่า “ได้ข่าวว่าญาติที่อยู่หมู่บ้านนี้ผูกคอตายหรอ เอาไปเผาเอาไปฝังที่ไหนล่ะ” และได้ถามถึงเชือกเส้นนั้นที่ผูกคอตาย เนื่องจากตาต้อยเป็นคนที่มีวิชาอาคมจึงอยากจะได้เชือกเส้นนั้นเพื่อไปทำพิธีกรรมขอหวย จากนั้น ตาต้อยก็ได้ชวนคุณแม่คุณโต้งไปทำธุระในตัวเมือง ซึ่งคุณแม่ก็ได้มาเล่าให้คุณโต้งฟังแล้วมารู้ทีหลังว่าท้ายกระบะมีเชือกที่ตาต้อยเก็บสะสมอยู่ท้ายกระบะ ทำให้ในขณะที่นั่งรถอยู่นั้น คุณแม่รู้สึกเหมือนมีคนนั่งอยู่ท้ายกระบะ จึงหันไปดูและสิ่งที่คุณแม่เห็น ก็คือ ผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก และคนแก่นั่งเต็มท้ายกระบะประมาณ 10 คน พอคุณแม่กำลังจะหันไปถามตาต้อยร่างเหล่านั้นก็หายไป ตาต้อยจึงบอกว่า “นั่งไปเหอะ คงไม่มีอะไรหรอกลูก” ในวันนั้นเมื่อกลับมาถึงบ้าน คุณแม่ก็รู้สึกมีอาการเหมือนไม่สบายจึงรีบเข้านอน หลังจากที่หลับได้สักพักก็รู้สึกตัวในช่วงกลางดึก เพราะได้ยินเสียงเหมือนมีมือมาครูดสังกะสีบริเวณขื่อบ้าน จึงตัดสินใจเปิดมุ้งไปดูแล้วเห็นเป็นภาพคนผูกคอตาย ตัวซีด ดวงตาปูดโปน ลิ้นจุกปากห้อยลงมาจากขื่อบ้าน เรียกร้องขอให้คุณแม่ช่วย “ช่วยด้วยย.. ช่วยด้วย” ที่น่าขนลุกไปกว่านั้นคือไม่ได้มีคนเดียว แต่มีทั้งหมดเกือบ 10 คนที่ห้อยอยู่ตรงนั้น! ด้วยความที่คุณแม่ตกใจจึงรีบปิดมุ้งแล้วมานอนคลุมโปง ไม่นานก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างร่วงตกลงมาทับตัว! คุณแม่ค่อย ๆ เปิดผ้าห่มแล้วก็เห็นเป็นร่างที่ผูกคอตายนั้นร่วงตกลงมาทำให้มุ้งขาดแล้วลงมาทับคุณแม่ บางร่างตกลงมานอนประจันหน้ากับคุณแม่ เมื่อคุณแม่เจอเช่นนี้จึงร้องกรี๊ดจนหมดสติไป! คุณยายมาปลุกจึงทำให้คุณแม่รู้สึกตัว คุณแม่ที่อยู่ในอาการที่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เจอจึงเล่าให้คุณยายฟัง เมื่อคุณยายทราบเช่นนั้นก็ได้บอกน้าไปตามตาต้อยมา แล้วพูดกับตาต้อยว่า “ดูซิเนี่ย หลานมึงจะตายแล้วเนี่ย ไปเอาไรมา ไปออกมาให้หมดแล้วเผาทิ้งไปเลย” ตาต้อยจึงได้นำกล่องหนึ่งมาแล้วเทให้ดู ซึ่งของที่อยู่ในกล่องคือเชือกเกือบ 10 เส้น หลังจากนั้นก็ได้ให้นำเชือกทั้งหมดไปเผา ในขณะที่เผาคุณแม่ก็เห็นเป็นภาพลาง ๆ เหมือนดวงวิญญาณแต่ละดวงค่อย ๆ ลอยขึ้นไป..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1