เรื่องเล่าจาก ขวัญ น้ำมันพราย 'กูยังไม่ตาย' I อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ 10 ก.ย. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจาก ขวัญ น้ำมันพราย 'กูยังไม่ตาย' I อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ 10 ก.ย. 2567]

13 ก.ย. 2024

    เรื่องราวนี้ ‘คุณขวัญ น้ำมันพราย‘ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (11 กันยายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม‘ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ’กูยังไม่ตาย‘ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย!

    คุณขวัญเล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘ปุ๊ก’ ที่เป็นเพื่อนของตนในสมัยเรียน ปวช. ทั้งคู่ไม่ได้เจอกันมา 20 ปีแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อปี 40 ก่อน หลังจากเรียน ปวช.จบที่ระยอง ปุ๊กก็ได้ย้ายไปอยู่อีกจังหวัด ได้ไปเจอเพื่อนใหม่และได้เช่าหอพักอยู่ด้วยกัน ซึ่งหอพักนี้คือหอพักของเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มที่ชื่อ ‘ตั๋ม’ เเละยังเป็นที่รวมพลของกลุ่ม หอพักในสมัยนั้นมีโทรศัพท์กลางที่ตั้งอยู่หน้าหอพัก เมื่อมีปัญหาอะไรก็โทรหา รปภ. ได้

    วันนั้นเป็นวันที่จะเริ่มเรียนซัมเมอร์ ในกลุ่มมีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ ‘เล็ก’ ซึ่งเป็นคนที่สวยมาก แต่น่าสงสารเพราะว่าพ่อแม่เสียไปแล้ว ทุกวันนี้เล็กจึงอยู่กับยายเเล้วก็หลานที่บ้านหลังหนึ่ง เล็กมักจะพยายามชวนเพื่อนในกลุ่มว่า “ว่าง ๆ ไปเที่ยวบ้านชั้นสิ” เพื่อน ๆ ทราบเช่นนั้นก็รวมตัวกันไป ปรากฏว่าบ้านของเล็กนั้นอยู่อีกอำเภอซึ่งไกลมาก เมื่อถึงบ้านของเล็ก ปุ๊กก็ได้บอกกับคุณขวัญว่า

    “ไม่อยากนอนค้างที่บ้านหลังนี้เลย บ้านหลังนี้น่ากลัวมาก“

    ซึ่งลักษณะของบ้านจะเป็นไม้ยก 2 ชั้น ตั้งอยู่กลางสวนมะพร้าว มืดทะมึน ห้องน้ำอยู่นอกตัวบ้านเเละบ้านหลังนี้คุณตาของเล็กเพิ่งจะเสียชีวิตไป ในตอนแรกปุ๊กคิดว่าบ้านหลังนี้อยู่กัน 3 คน เเต่ปรากฎว่ามีเเฟนของเล็กอยู่ด้วยอีกคน

    ในคืนวันนั้นปุ๊กเเละกลุ่มเพื่อนได้นอนเปิดประตูอยู่บนชั้น 2 แต่แล้วก็มีเสียง ปึก ปึก ปึกก! เหมือนเป็นเสียงคนเดินขึ้นบันได ในระหว่างที่มีเสียงนั้น ทุกคนก็จ้องไปประตูเพื่อดูว่าเป็นใครที่เดินขึ้นมา แต่เมื่อสุดขั้นบันได เสียงนั้นก็เงียบหายไป… ไม่มีใครเดินออกมา! ทุกคนได้เเต่สงสัยว่าเป็นใครเเต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จากนั้นในตอนเช้าก็แยกย้ายกลับบ้าน

    ผ่านไปเมื่อปุ๊กเรียนซัมเมอร์จบ วันสุดท้ายของการเรียนวันนั้นก็ได้กลับบ้านที่ระยอง ในขณะที่เดินทางกลับก็มีเพจเจอร์เเจ้งเตือนขึ้นมา ซึ่งคนที่ส่งมาก็คือตั๋มเเละได้บอกว่า

    “เล็กตายเเล้ว”

    ปุ๊กก็ตกใจเเละไม่เชื่อในสิ่งที่ตั๋มบอก เพราะก่อนที่ปุ๊กจะขึ้นรถกลับบ้านนั้นทั้งคู่ยังกล่าวลากันอยู่เลยเเละเล็กยังได้บอกปุ๊กอีกว่าจะไปทำบุญกับครอบครัว ปุ๊กติดต่อเล็กไม่ได้จึงรอเวลาให้เล็กกลับไปที่หอ ในระหว่างที่รอ ปุ๊กก็ได้ทำธุระของตัวเองไปจนลืมเวลา เวลาล่วงเลยมาจนถึง 3 ทุ่ม พอปุ๊กนึกขึ้นได้จึงโทรไปหา รปภ.ที่หอว่า

    ปุ๊ก : ไปตามเพื่อนให้หน่อย ตามตั๋มให้หน่อย หนูอยากรู้เรื่องเพื่อนหนู เพื่อนหนูตาย

    รปภ. : ไม่ตามให้หรอก ดึกแล้ว ไม่ใช่พ่อแม่ ถ้าเกิดเป็นธุระด่วนก็ตาม

    เมื่อปุ๊กทราบเช่นนั้นก็ได้โทรหาเพื่อนที่อยู่อีกหลังหนึ่ง เพื่อนในกลุ่มก็สงสัยเเละบอกว่า “เล็กตายจริงหรอวะ?”

    ปุ๊กก็ตอบกลับว่า “จริง ก็มันบอกว่าไอเล็กตาย”

    ในขณะที่คุยกันก็มีเพื่อนบอกว่า “ปุ๊ก มึงมีเบอร์โทรศัพท์บ้านไอเล็กไม่ใช่หรอ มึงไม่โทรไปล่ะ”

    ปุ๊กจึงวางสายจากเพื่อนเเล้วโทรไปที่บ้านของเล็ก สายแรกที่โทรไปไม่มีใครรับ จึงโทรไปอีกครั้งปรากฏว่ามีคนรับสาย ซึ่งคนที่รับสายนั้นเป็นหลานของปุ๊ก “ฮัลโหล น้าปุ๊กหรอ”

    ปุ๊ก : เป็นไงบ้าง น้าเล็กอยู่ป่าว

    หลาน : น้าเล็กหรอ เดี๋ยวนะ อ๋อนั่นไง น้าเล็กเดินลงมาพอดี

    ปุ๊ก : เอ้า น้าเล็กเดินลงมาแล้วหรอ ขอน้าคุยกับน้าเล็กหน่อย

    เล็ก : เออ ปุ๊กเป็นไง (เเล้วก็มีไอหลังพูดจบ)

    ปุ๊ก : เป็นไรอ่ะ ทำไมไออย่างงี้

    เล็ก : เออ กูเจ็บคอนิดหน่อย ว่าไง

    ปุ๊ก : มึง ไอตั๋มมันเพจมาบอกกูว่ามึงตายอะ

    เล็ก : มึงจะบ้าหรอ กูยังไม่ตาย

    ระหว่างนั้นก็มีเสียงคุณยายของเล็กแทรกขึ้นมาว่า

    คุณยายเล็ก : ไม่ต้องออกไปเเล้วนะ ไม่ต้องชวนไปเที่ยวไหนเเล้วนะ

    เมื่อปุ๊กได้ยินเสียงเล็กเช่นนั้นก็โล่งใจว่าเล็กยังไม่ตาย แล้วก็วางสายไป..

    วันต่อมา มีเพจเจอร์เเจ้งเตือนซึ่งเป็นของเพื่อนอีกคนที่ส่งมาหาปุ๊ก ส่งมาบอกว่า

    “ไอปุ๊ก เล็กตายแล้ว”

    ปุ๊กไม่เชื่อเพราะเพิ่งคุยกับเล็กเมื่อคืน จึงโทรกลับไปหาเพื่อนคนนั้นเเล้วบอกว่า

    “เออ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูไปบ้านมัน”

    ในวันถัดมา ปุ๊กร้อนใจจึงรีบไปบ้านของเล็กที่ชลบุรี ซึ่งไปกับเพื่อนคนที่ส่งเพจเจอร์มาหา ระหว่างทางที่ไปก็ไม่มีคนเเต่เมื่อใกล้จะถึงบ้านของเล็กก็เริ่มมีคนเยอะขึ้น

    เมื่อปุ๊กเเละเพื่อนมาถึงบ้านของเล็ก สิ่งที่เห็นคือโลงศพตั้งอยู่ 3 โลงในบ้าน! ซึ่งมีโลงของคุณยาย หลานเเละเล็ก ตั้งเรียงกันอยู่ ซึ่งสาเหตุการตายคือโดนรถพ่วงกลับรถกระทันเเล้วชน คอหักตายคาที่!

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

สัตวแพทย์สาวต้องย้ายงานมาทำในเมืองเล็ก ในระหว่างที่กำลังหาห้องพัก เธอก็ได้ยินเสียงแทรกเข้ามาในหัวว่า “หอตรงนี้ยังไม่ใช่ที่ของเธอนะ ที่ของเธออยู่ตรงนู้น” จากนั้น เธอก็ได้เจอกับเหตุการณ์ชวนขนหัวลุกแทบไม่เว้นวัน!

26 ต.ค. 2023

สัตวแพทย์สาวต้องย้ายงานมาทำในเมืองเล็ก ในระหว่างที่กำลังหาห้องพัก เธอก็ได้ยินเสียงแทรกเข้ามาในหัวว่า “หอตรงนี้ยังไม่ใช่ที่ของเธอนะ ที่ของเธออยู่ตรงนู้น” จากนั้น เธอก็ได้เจอกับเหตุการณ์ชวนขนหัวลุกแทบไม่เว้นวัน!

เรื่องหลอนในคืนนี้มีชื่อว่า ‘สิ่งลี้ลับในเมืองเล็ก’ จากสายคนฟัง ‘คุณกุ้ง’ บอกเลยว่าทำเอาชาวรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 ตุลาคม 2566) ขนหัวลุก! ไม่เว้นแม้แต่ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ปิดไฟแล้วไปอ่านพร้อมกันเลย! เรื่องราวความน่ากลัวของคุณกุ้งเริ่มจากการที่เธอชอบมูเตลู ย้อนกลับไปเมื่อ ประมาณ 10 กว่าปีก่อน สมัยที่เธอพึ่งจะเรียนจบชั้นมัธยมตอนปลาย และมีการสอบเพื่อเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาแห่งหนึ่ง ในสมัยนั้นคุณกุ้งมีโอกาสได้ไปขอพรไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเมืองเล็กแห่งหนึ่ง โดยขอว่าให้ตอนนั้นได้เรียนต่อสัตวแพทย์ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ หลังจากการสอบเสร็จสิ้น คุณกุ้งก็ถูกคัดเลือกให้เข้ามาศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ในฐานะนักศึกษาสัตวแพทย์ หลังจากเรียนจบก็ได้กลับไปแก้บนตามที่ได้บนบานสานกล่าวกระทั้งในปัจจุบัน คุณกุ้งก็ได้มาทำงานสัตวแพทย์ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจังหวัดบ้านเกิดของคุณกุ้งเอง ไม่นานหลังจากที่ทำงานในจังหวัดเชียงใหม่ คุณกุ้งก็ได้มีโอกาสย้ายที่ทำงานไปทำงานในเมืองเล็ก ๆ ของจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ ซึ่งที่ทำงานใหม่ที่คุณกุ้งมาบรรจุนั้น ไม่มีที่พักรับรองให้เธอจึงจำเป็นต้องหาที่พักเอง ระหว่างที่กำลังการหาที่พักอยู่นั้นปรากฎว่าเธอได้ยินเสียงชายปริศนาแทรกเข้ามาในหัวอยู่ตลอดเวลา “หอตรงนี้ยังไม่ใช่ที่ของเธอนะ ที่ของเธออยู่ตรงนู้น” คุณกุ้งประหลาดใจหลังจากที่ได้ยินเสียงพวกนี้ แต่ด้วยความที่คุณกุ้งเชื่อในสิ่งลี้ลับและเป็นสายมูเตลูอยู่แล้ว จึงเชื่อว่าสถานที่ตรงนี้น่าจะมีอะไรบางอย่างที่อาจจะทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจได้ จึงตัดสินใจว่าจะหาที่ต่อไป ต่อมาไม่นานหลังจากที่คุณกุ้งได้เข้ามาดูหอใหม่ เธอรู้สึกถูกชะตาเป็นอย่างมาก เนื่องจากหอนี้อยู่ใกล้ที่ทำงานกว่าหออื่น ๆ ที่ไปดูมา และด้วยความโชคดีที่พักแห่งนี้ยังมีห้องว่างให้เช่าอยู่ 2 ห้องพอดี เธอจึงตัดสินใจที่จะทำสัญญาเช่า และย้ายเข้ามาอยู่ในหอพักที่ใหม่ทันที หลังจากที่เธอย้ายมาอยู่ที่หอนี้ เธอก็ได้พบเจอกับประสบการณ์ขนหัวลุก ในระหว่างที่นอนหลับสะลึมสะลืออยู่นั้น ก็รู้สึกว่าเธอฝันว่ามีผู้หญิงลักษณะคล้ายกับคนในปี ค.ศ. 1990 กำลังใช้มือโผล่ทะลุผ่านประตูเข้ามาถอดสลักกลอนโซ่ประตูออก แล้วบิดลูกบิดประตูเพื่อเปิดเข้ามาในห้องของเธอ! ไม่นานประตูก็ค่อย ๆ แง้มออกอย่างช้า ๆ และเปิดเข้ามาปรากฎตัวให้เธอเห็นร่างที่มาแค่ส่วนหัวและลำตัว! ไม่มีท่อนล่าง จากนั้นก็แสยะยิ้มให้คุณกุ้งด้วยท่าทีนิ่งเฉย และไม่ได้สื่อสารอะไร คุณกุ้งที่แม้จะสะลึมสะลืออยู่ แต่ก็รับรู้ได้ว่าสิ่งที่เธอได้เห็นนั้นไม่น่าจะใช่คนทั่วไปแน่นอน จึงสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที และได้พบว่าสิ่งที่เธอเจอเมื่อกี้เขาแค่มาเตือนว่าอย่าลืมไปร่วมพิธีตีกลองสะบัดชัยที่กำลังจะจัดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ด้วย เรื่องราวความน่ากลัวในเมืองเล็กแห่งนี้ยังไม่จบ คุณกุ้งเล่าต่อว่าเธอได้มีโอกาสไปเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสายอาชีพงานที่กำลังทำอยู่ ซึ่งจำเป็นต้องเก็บของเพื่อเดินทางไปต่างจังหวัด จึงจัดเตรียมกระเป๋าเดินทางสำหรับเก็บสัมภาระ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จำเป็น หลังจากที่เธอจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยก็เข้านอนตามปกติ ในคืนนั้นก็ได้ฝันว่าเธอได้เดินทางไปในสถานที่หนึ่ง และได้พบกับอาแปะคนหนึ่ง เขาเดินเข้ามาทักเธอว่า “ลื้อ..ลื้อจะเดินทางใช่มั๊ย ไอ้ที่ลื้อจะพกไป อย่าพกไปนะ มันจะระเบิดบนเครื่อง” คุณกุ้งนึกสงสัยว่าอาแปะคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าเธอกำลังจะเดินทาง แต่หลังจากนั้นเธอก็ตื่นขึ้นมา รุ่งขึ้น คุณกุ้งตัดสินใจที่จะหยิบแบตสำรองออกจากกระเป๋าเดินทาง และวางมันไว้ที่พื้นในห้องแทน ไม่นานหลังจากที่เธอกลับมา ก็พบว่าแบตสำรองที่เธอวางไว้บริเวณพื้นนั้นมีสภาพปกติ จึงคิดในใจว่าอาแปะที่มาบอกในฝันเมื่อคืนนั้นคงโกหกเธอ แต่แล้วก็ได้สังเกตว่าแบตสำรองนั้นมันบวมขึ้นผิดปกติ! และก็ได้ยินเสียงไฟฟ้ากำลังช็อต! คุณกุ้งจึงตัดสินใจรีบเอาออกไปให้คนอื่นช่วยนำไปทิ้งทันที และคิดได้ทันทีว่าในสมัยก่อนคุณกุ้งเองก็นับถืออาแปะโรงสี และที่ฝันว่าเจออาแปะในคืนนั้นก็เป็นการมาเตือนให้เธอระวังตัว หลังจากเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองเล็กแห่งนี้ คุณกุ้งก็ได้รู้ความจริงจากคุณพ่อว่าเธอมีเชื้อสายคนที่นี่ ทั้งยังโดนทักจากร่างทรงว่าในอดีตเธอเป็นคนที่นี่ ถึงได้วนเวียนมาใช้ชีวิต ถึงมีหน้าที่การงานในเมืองเล็กแห่งนี้ ซึ่งประสบการณ์หลอน ๆ ที่คุณกุ้งได้เจอทั้งหมดก็ถือเป็นการมาเตือนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองเธออยู่นั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ย้ายเข้าไปอยู่บ้านเช่า แต่เจออดีตเพื่อนบ้านมาหาถึงที่! พอกำลังจะหลับก็เห็นคุณยายผมหยิกมานั่งอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับลูบหัวด้วยความเอ็นดู แต่เมื่อไปถามพี่ยามในหมู่บ้านก็ถึงกับช็อก เพราะคุณยายคนนี้ไหลตายไปนานแล้ว! #อังคารคลุมโปง

29 เม.ย. 2024

ย้ายเข้าไปอยู่บ้านเช่า แต่เจออดีตเพื่อนบ้านมาหาถึงที่! พอกำลังจะหลับก็เห็นคุณยายผมหยิกมานั่งอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับลูบหัวด้วยความเอ็นดู แต่เมื่อไปถามพี่ยามในหมู่บ้านก็ถึงกับช็อก เพราะคุณยายคนนี้ไหลตายไปนานแล้ว! #อังคารคลุมโปง

ไปเช่าบ้านหลังใหม่แต่กลับอยู่ไม่ได้เพราะเจอแต่เรื่องแปลก จนทุกวันนี้ต้องอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดเพราะไม่กล้ากลับไปที่บ้านหลังนั้นอีก! เรื่องนี้ ‘คุณปุยฝ้าย’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เรื่องเล่าจากคุณปุยฝ้าย’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เรื่องราวนี้เป็นประสบการณ์หลอนของ ‘คุณปุยฝ้าย’ ที่ได้ไปเจอมาด้วยตัวเอง โดยปกติจะมีบ้านอยู่ที่ต่างจังหวัด แต่ต้องเดินทางเข้ากรุงเทพบ่อย จึงตัดสินใจมาเช่าบ้านที่กรุงเทพเพื่อความสะดวก หลังจากนั้นคุณปุยฝ้าย ก็เข้าไปอยู่ในบ้านหลังนี้ ซึ่งช่วงแรกที่เข้าไปอยู่ทุกอย่างก็ปกติไม่ได้มีอะไร แต่เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาตรงกับเทศกาลวันลอยกระทง ด้วยความที่เป็นสายมูเตลู วันนั้นก็มีการจัดโต๊ะหมู่ ทำพิธีไหว้ขอพรพระจันทร์ อาบน้ำใต้แสงจันทร์ต่าง ๆ หลังจากนั้นถัดมาประมาณ 1-2 วัน จากที่อยู่บ้านนี้อย่างสงบ ความบันเทิงก็เกิดขึ้น คืนนั้นคุณปุยฝ้าย นอนไม่หลับแม้จะพยายามข่มตานอนแล้วพลิกตัวไปมา ด้วยความที่เตียงใหญ่ แต่เป็นคนขี้กลัวมาก บนเตียงก็จะมีหมอนล้อมเต็มไปหมด ตัวของคุณปุยฝ้ายนอนอยู่ฝั่งขวา ส่วนฝั่งซ้ายจะมีหมอนที่จะติดกับหิ้งพระ และเป็นที่วางท้าวเวสสุวรรณ ในขณะที่นอนพลิกตัวไปทางซ้าย ก็รู้สึกว่าชาตั้งแต่ขาขึ้นมาที่ตัว คุณปุยฝ้ายคิดในใจว่า... ต้องโดนแล้วแน่ ๆ และคิดว่าทำอย่างไรดีถึงจะหลุด แต่หลังจากที่สิ้นความคิดนั้น ในหัวก็เห็นเป็นภาพคุณยายคนหนึ่งอายุประมาณ 50-60 ปี ผมหยิก ใส่กระโปรงโสร่งยาว ๆ มานั่งเอนตัวกึ่งนั่ง กึ่งนอน อยู่ข้าง ๆ คุณปุยฝ้าย แล้วแขนขวาของคุณยาย ก็ค่อย ๆ ยื่นมาทางคุณปุยฝ้าย เหมือนคุณปุยฝ้ายกำลังนอนหนุนแขนเขาอยู่ และในจังหวะนั้น ขณะที่คุณปุยฝ้าย กำลังพลิกตัวเขาก็ค่อย ๆ ยื่นหน้ามามองคุณปุยฝ้าย อย่างใกล้ชิด! นาทีนั้นคุณปุยฝ้ายกลัวมาก คุณยายคนนั้น ก็พยายามเอื้อมมือซ้ายมาลูบหัวคุณปุยฝ้าย เหมือนรู้สึกเอ็นดู และเขาก็รู้ว่าคุณปุยฝ้ายเริ่มไม่ไหว เขาก็เหมือนจะปล่อย แต่กลับมากระซิบข้างหู และหัวเราะ “ฮิ ๆๆ” แล้วก็หายไป! จากนั้นคุณปุยฝ้ายก็ไลน์ไปหาน้องสาวที่นอนอยู่ห้องข้าง ๆ ว่า “มาหาหน่อย มานอนเป็นเพื่อนหน่อย ไม่ไหวแล้ว” หลังจากนั้นเมื่อไม่นานมานี้ ก็พึ่งมารู้ความจริงจากพี่ยามในหมู่บ้านว่า เขาเป็นผู้เสียชีวิตท่านหนึ่ง อยู่ซอยตรงข้ามบ้านคุณปุยฝ้าย ซึ่งไม่ได้อยู่ใกล้กันขนาดนั้น แต่ก็อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน พี่ยามตกใจมาก เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากคุณปุยฝ้าย เพราะไม่มีใครรู้เรื่องราวนี้เลย พี่ยามก็ถามคุณปุยฝ้ายว่า “คุณไปเจอได้ยังไง ไปเจอที่ไหน?” เมื่อซักถามเสร็จพี่ยามก็เล่าให้ฟังว่า ตรงข้ามซอยบ้านคุณปุยฝ้าย มีคุณป้าที่มีลักษณะนี้ นอนไหลตายในบ้าน ตั้งแต่นั้นก็เริ่มมีคนย้ายออก แต่ตอนนี้บ้านหลังนั้นมีคนเช่าแล้ว พี่ยามก็บอกว่า “แต่มันไม่ได้เป็นโซนบ้านคุณนะ แต่ทำไมเขาถึงไปอยู่บ้านคุณ?” คุณปุยฝ้าย ก็สงสัยว่าหรืออาจจะเพราะเขาพึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้จึงไม่มีศาล เขาเลยอาจจะเข้ามาได้ คุณปุยฝ้าย ยังเล่าต่อว่า พึ่งได้รู้ว่าน้องสาวก็เจอเรื่องราวแปลก ๆ ในคืนไหว้พระจันทร์ เพราะน้องสาวโดนอำทั้งคืนซึ่งในคืนไหว้พระจันทร์นั้น เราไปไหว้กันตรงข้างบ้าน ซึ่งบ้านจะอยู่สุดซอยหลังสุดท้าย พอมองเข้าไปก็จะเห็นคุณป้ายืนอยู่ในซอกมืด ๆ ด้านหลังบ้าน เมื่อถามน้องสาวก็เห็นว่าลักษณะตรงกัน จากนั้นก็เคยโมโหแล้วพูดว่า “แบบนี้ไม่เอานะ มันบาปนะ” จนน้องสาวกลัว และพูดว่า “อย่าไปว่าเขา เดี๋ยวมึงก็เจอหนักหรอก” แต่ปรากฏว่าได้ผล เขาก็ไม่มาให้เจออีกเลย แต่บางครั้งก็ยังรู้สึกอยู่ แล้วล่าสุดกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ตกกลางคืนกล้องวงจรปิดที่บ้านเช่าเตือนว่าได้รับการเคลื่อนไหวตลอด ‘พบบุคคล’ แต่ไม่มีอะไร จนคุณปุยฝ้าย ให้ยามไปดูเพราะคิดว่าเป็นขโมย แต่พี่ยามบอกไม่มีอะไร และหัวเราะแห้ง ๆ ตลอด จนตอนนี้คุณปุยฝ้าย ก็กลับมาอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด เพราะไม่กล้ากลับไปที่นั่นอีกเลย...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ชายคนหนึ่งอยากได้รถคันใหม่ป้ายแดง จึงไปดูฤกษ์ในการรับรถต้องส่งก่อนพระอาทิตย์ขึ้นในคืนเดือนดับ!

15 เม.ย. 2024

ชายคนหนึ่งอยากได้รถคันใหม่ป้ายแดง จึงไปดูฤกษ์ในการรับรถต้องส่งก่อนพระอาทิตย์ขึ้นในคืนเดือนดับ!

คนขับรถสไลด์ส่งรถป้ายแดงถึงหน้าบ้าน แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของไม่อยู่แล้ว เซลล์ไม่บอกความจริงจนตอนนี้ผ่านไป 4 ปี ยังไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเจ้าของรถคันนั้นตาย! เรื่องนี้ ‘ตั้ม The Shock’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ป้ายแดง’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณเอ’ (นามสมมติ) ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้คุณตั้มได้ฟัง โดยคุณเอเล่าว่า คุณเออยู่ในวงการขายรถ และมีเพื่อนรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง มีอาชีพเป็นเซลล์ขายรถ ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว โดยมีพี่ผู้ชายคนหนึ่ง นามสมมติว่า ‘คุณโจ้’ สนใจรถป้ายแดง คุณโจ้จึงคุยกับทางเซลล์เพราะอยากได้รถคันนี้ แต่มีข้อแม้ว่าชื่อของตัวเองไม่สามารถที่จะนำไปซื้อรถได้ เพราะเครดิตไม่ดี จึงขออนุญาตใช้ชื่อญาติแทน แล้วจะมาเคลียร์ให้ หลังจากคุณโจ้คุยกับเซลล์เสร็จเรียบร้อย ก็นำเอกสารมาให้ตรวจสอบ เมื่อเอกสารผ่านก็ได้โอนเงินส่วนหนึ่งจ่ายดาวน์ให้กับทางเซลล์ จากนั้นเซลล์ก็บอกว่า “เอาล่ะ เดี๋ยวยังไงผมจะจัดส่งรถให้ พี่อยู่ที่ไหน?” คุณโจ้ก็บอกว่า “อยู่ที่จังหวัดตาก” เซลล์ก็บอกว่า “โอเค พร้อมเมื่อไหร่ เดี๋ยวผมจะนำรถไปส่งให้ แล้วพี่สะดวกช่วงไหน?” คุณโจ้บอกว่า “เดี๋ยวผมขออนุญาตไปดูฤกษ์ก่อน” คุณเอเล่าว่า คุณโจ้เป็นคนที่มีครูบาอาจารย์ ถือฤกษ์ และนับถือเทพ จากนั้นไม่นาน คุณโจ้บอกกับเซลล์ว่า “วันที่ส่งรถ ขอให้ส่งก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ในคืนเดือนดับ” เมื่อทราบข้อมูลดังกล่าว ทางเซลล์ก็คุยกับคุณโจ้ หลังจากคุณโจ้ดูฤกษ์เสร็จ 1-2 วันก็โทรกลับมาบอกว่า “เอาเป็นว่าอีกสัก 2 อาทิตย์ คุณส่งรถมาได้เลยที่จังหวัดตาก” หลังจากช่วงเวลานี้ผ่านไป เซลล์ก็ได้มีการติดต่อกับทีมรถสไลด์ว่า “เดี๋ยวจะให้รถสไลด์ เอารถไปส่งที่จังหวัดตากหน่อยละกัน” ทางเซลล์ก็ส่งโลเคชันให้กับคนขับรถสไลด์ ผ่านไปได้สักพักประมาณอีก 3 วันจะถึงวันส่งรถ เซลล์ก็โทรไปหาคุณโจ้แล้วแจ้งว่า “พี่ครับ เดี๋ยวผมจะให้ทีมของรถสไลด์เนี่ย ไปส่งยังพื้นที่ที่พี่อยู่นะ แต่ว่าในวันนั้น ยังไงให้พี่สแตนบายสักนิดนึง เพราะว่าไปถึงที่นั่นน่าจะดึก แล้วก็น้องที่ขับรถสไลด์ไม่คุ้นทาง ยังไงพี่รอรับโทรศัพท์ด้วย” เวลาผ่านไปจนถึงวันที่มอบรถ ทางเซลล์ก็ส่งรถให้กับคนขับรถสไลด์ เพื่อขับไปส่งให้กับลูกค้า ซึ่งเส้นทางจะค่อนข้างไกล ระยะเวลาเดินทาง 4 ชั่วโมงกว่า คนขับรถสไลด์ก็ขับรถไปคนเดียว จังหวะที่ขับไปนั้น จะมีเส้นทางที่ขึ้นเขา ปรากฏว่าใกล้จะถึงจุดนัดหมายในโลเคชัน คนขับรถสไลด์ก็โทรไปหาคุณโจ้ สายแรกโทรไม่ติด เขาจึงขับรถต่อไปเรื่อย ๆ และโทรครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ก็ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตเพราะอยู่บนเขา จึงขับรถไปจอดพักข้างทาง เมื่อดูจากเวลาประมาณตี 3 กว่า คนขับรถสไลด์คิดว่าจะส่งรถให้คุณโจ้ไม่เกินตี 4 สักพักก็คิดว่า “ขับไปใกล้ ๆ ละกัน แล้วไว้โทรไปอีกที” คนขับรถสไลด์ก็ขับรถต่อและโทรไปเป็นครั้งที่ 4 ครั้งนี้มีคนรับสาย ทางคนขับรถสไลด์ก็บอกว่า “พี่ครับ พี่อยู่ตรงจุดโลเคชันนี้ใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมจะขับรถขึ้นไปส่งให้แล้วนะครับ” ปลายสายบอกว่า “ครับ ๆ” พูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ และตอบแต่คำว่าครับ จนกระทั่งวางสายไป คนขับรถสไลด์ก็ขับรถจนไปถึงบ้านของคุณโจ้ เมื่อไปถึงจุดนี้คนขับรถสไลด์ก็มองไปรอบ ๆ เพราะว่าบ้านของคุณโจ้มืดสนิท ทุกอย่างดูแปลกตรงที่ว่า ถ้าเป็นบ้านของคนที่สั่งรถต้องเปิดไฟ แต่ที่นี่กลับมืดหมด คนขับรถสไลด์ขับเข้าไปบริเวณหน้าบ้าน ลักษณะของบ้านเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ด้านข้างจะมีโรงรถ คนขับรถสไลด์ก็เดินไปสำรวจซึ่งมืดมาก ในขณะที่เอาไฟฉายส่องอยู่ ๆ ก็ไปเจอกับคุณโจ้เดินออกมาจากชั้น 2 แล้วกวักมือเรียก คนขับรถสไลด์ก็คิดว่าถูกบ้านแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทักเรื่องของไฟในบ้าน เมื่อจอดรถเสร็จคุณโจ้ก็เดินลงมา คนขับรถสไลด์ก็เอาเอกสารให้เซ็น และถามคุณโจ้ว่า “พี่ครับ เอาลงตรงนี้เลยไหม ถ้าลงตรงนี้ พี่มีถือเคล็ดไหม เอามะนาวให้ล้อรถเหยียบก่อนไหม?” ซึ่งการออกรถป้ายแดงทริคอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าเกิดคนที่ถือเคล็ด เอามะนาวไปให้ล้อเหยียบ จะทำให้ล้อของรถคันนั้นยึดเหนี่ยวกับถนนได้เป็นอย่างดี จะไม่ทำให้ก่อเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งทางคนขับรถสไลด์ก็แนะนำไป แต่คุณโจ้ก็บอกว่า “ไม่เป็นไรครับ เอาลงเลย” พูดด้วยเสียงช้า ๆ หลังจากที่นำรถลงมาเสร็จแล้ว คุณโจ้ก็กวักมือให้คนขับรถสไลด์ขับรถเข้าไปจอดในโรงรถ คนขับรถสไลด์ก็สงสัยว่า “ทำไมสั่งรถมาทั้งที ถ้าเป็นเจ้าของก็น่าจะขับรถเข้าไปเอง” คนขับรถสไลด์ก็เลยตัดสินใจเปิดไฟหน้ารถขับเข้าโรงไป แต่สังเกตว่าตอนที่ขับรถเข้าไปนั้น เจ้าของรถไม่มาอยู่ข้างหน้า จะยืนอยู่ข้าง ๆ ตรงมุมมืดตลอด หลังจากที่ขับเข้าไปจอดเสร็จแล้ว คนขับรถสไลด์ก็มีการแนะนำเรื่องรถ พี่เจ้าของรถก็มาเดินดู ลูบ ๆ คลำ ๆ แต่ด้วยความที่ยังสงสัยว่าทำไมไม่เปิดไฟ คนขับรถสไลด์ก็คิดว่า “หรือว่าพี่เขาถือเคล็ด เห็นบอกว่ามีครูบาอาจารย์ หรือต้องรับรถแบบมืด ๆ ก็แปลกดีนะ” หลังจากที่ส่งมอบรถเสร็จ คนขับรถสไลด์กำลังจะกลับ ก็เดินไปบอกคุณโจ้ว่า “พี่ครับ ผมขออนุญาตกลับก่อนนะครับ เพราะว่าอีกไกลกว่าจะถึงกรุงเทพ มันจะสายเดี๋ยวแสงแยงตา ผมไม่ได้นอนด้วย”คุณโจ้ก็พูดว่า “น้องพักที่นี่ก่อนก็ได้นะ เพราะว่าบ้านพี่อยู่บนเขา ถ้าเกิดขับออกไปใกล้ ๆ เช้า หมอกมันเยอะ ถ้าไปบดบังการมองเห็นมันอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ พักก่อนไหมนอนอยู่ที่นี่สักพัก แล้วเช้า ๆ สาย ๆ ค่อยไป เดี๋ยวตอนเช้าพี่จะไปทำบุญ” หลังพูดจบคุณโจ้ก็เดินขึ้นไปบนบ้าน คนขับรถสไลด์ก็คิดในใจว่า ปกติแล้วจะขับแต่ตอนกลางวัน เวลาขับก็จะเผื่อเวลาไว้เพื่อที่จะไปนอนพักข้างทาง 1-2 ชั่วโมง แต่ตอนกลางคืนถ้าเกิดออกไป แล้วจอดนอนข้างทางมันอันตราย เลยตัดสินใจนอนที่นั่น ขณะที่ปรับเอนเบาะนอนในรถ คุณโจ้ก็มาเคาะกระจกแล้วบอกว่า “น้องมากินข้าวกินปลาก่อน กินน้ำก่อนไหม?” คนขับรถสไลด์บอกว่า “ก็ได้ครับ” จากนั้นก็นั่งกินข้าวอยู่หน้าบ้านแบบมืด ๆ เมื่อกินไปสักพักจนอิ่มท้อง ก็กลับมานั่งในรถแล้วเคลิ้มหลับไป สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีประมาณ 7 โมงก็เห็นว่าบ้านล็อก แต่เห็นรถที่มาส่งยังจอดอยู่ คนขับรถสไลด์ก็สงสัยว่าเขาอาจจะอยู่บนบ้านเลยลงจากรถไปเคาะประตูบ้านเพื่อไปร่ำลา ปรากฏว่าไม่มีใครเปิดประตู จึงคิดว่าคุณโจ้คงออกไปทำบุญเลยตัดสินใจขับรถออกมา ตอนที่ส่งรถเสร็จ การส่งรถตอนเซ็นเอกสารจะต้องมีการถ่ายรูป แต่แปลกที่คุณโจ้ไม่อยากถ่ายรูป พยายามยืนเลี่ยงและไม่สนใจ คนขับรถสไลด์ก็ถ่ายรูปส่งไปทางไลน์ให้กับเซลล์ แต่ด้วยความที่บ้านของลูกค้าไม่มีสัญญาณ รูปที่อยู่ในไลน์เลยค้างส่งไม่สำเร็จ คนขับรถสไลด์ก็คิดว่าออกไปข้างนอกตอนเช้าคงส่งเอง เช้าวันถัดมา เมื่อขับรถออกมาได้สักพักไปถึงจุดที่มีสัญญาณ ปรากฏว่า Message ดังขึ้นถี่มาก คนขับรถสไลด์ก็เลยจอดรถข้างทางแล้วเปิดโทรศัพท์ดู กลายเป็นว่ามีคนโทรมาเป็นเบอร์โทรของเซลล์ คนขับรถสไลด์ก็โทรกลับไปแล้วพูดว่า “ฮัลโหลครับ ผมรถสไลด์ครับพี่ พี่เซลล์มีอะไรครับ?” เซลล์ก็ถามว่า “น้องส่งรถไปหรือยัง?” คนขับรถสไลด์ก็บอกว่า “ส่งแล้วครับพี่” เซลล์ก็บอกว่า “ส่งไปแล้วหรอ? แน่ใจนะว่าส่งไปแล้ว แล้วคนมารับเป็นคนเดียวกันไหมที่ส่งรูปไป” คนขับรถสไลด์บอกว่า “ใช่ครับ คนเดียวกัน ทำไมครับพี่มีอะไร?” เซลล์ตอบกลับมาว่า “เนี่ย เหมือนญาติเขาบอกว่ายังไม่ได้รับรถ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ญาติเขายืนยันว่ายังไม่ได้รับรถนะ น้องส่งแล้วใช่ไหม?” คนขับรถสไลด์ก็ตอบว่า “ส่งแล้วครับพี่ ผมถ่ายรูปไว้ด้วย” จากนั้นก็เอาโทรศัพท์ขึ้นมาดู ณ ตอนนั้นระบบไลน์ที่ค้างอยู่ เมื่อมีสัญญาณรูปที่จะส่ง ก็ถูกส่งกลับไป พอได้รูปก็ส่งไปให้เซลล์ เซลล์ก็บอกว่า “ก็ส่งแล้วนี่หว่า โอเค ๆ เดี๋ยวสักพักพี่โทรกลับไป” เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เซลล์โทรกลับมาว่า “เออน้อง พี่คุยกับทางด้านญาติแล้วนะ เขาโอเค เขารับรู้แล้วว่ามีคนรับรถ อาจจะคลาดเคลื่อนกันนิดหน่อย ไม่เป็นไร ยังไงเรากลับมาที่โชว์รูมก่อนนะ จะได้มาเคลียร์เอกสาร ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เราใช้ไป” คนขับรถสไลด์ก็บอกว่า “ได้ครับพี่ ๆ” คนขับรถสไลด์ก็ขับรถกลับโชว์รูม ทางด้านเซลล์หลังจากที่วางสายจากคนขับรถสไลด์ครั้งแรก ก็โทรหาทางญาติแล้วบอกว่า “คุณลูกค้าครับ เป็นญาติกับคนที่รับรถใช่ไหมครับ ทางทีมรถสไลด์ส่งไปแล้วครับ” ญาติก็ถามว่า “ส่งไปที่ไหน?” เซลล์ก็บอกว่า “ส่งไปตามโลเคชันที่ลูกค้าส่งมาที่จังหวัดตาก” เซลล์ก็เลยส่งรูปให้ดูว่าส่งรถถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าญาตินิ่งไปสักพักแล้วถามว่า “มีคนมารับไหม?” เซลล์ก็บอกว่า “น้องบอกมีคนลงมารับครับ คนเดียวกันกับที่สั่ง” ญาติก็พูดว่า “เฮ้ย เป็นไปได้หรอ เพราะว่าคนที่เขารับรถ เขาตายไปแล้ว! ใครลงมารับ มั่นใจหรอ?” เซลล์เองก็อึ้งไม่แพ้กัน แต่ก็ยังยืนยันรูปถ่ายที่คนขับรถสไลด์ส่งมาให้ดู เซลล์ก็ถามว่า “มันเกิดอะไรขึ้นครับพี่?” ญาติก็เล่าให้ฟังว่า จำวันนั้นได้ใช่ไหมที่คุณไปนัดกับคนที่จังหวัดตากว่าอีก 3 วัน จะส่งรถสไลด์ไป 1 วันหลังจากนั้น พี่คนนั้นเขาขี่มอเตอร์ไซค์แล้วเกิดอุบัติเหตุแหกโค้งเสียชีวิต! ด้วยความที่ญาติจัดเรื่องงานศพอยู่ก็เกิดความสับสนคิดว่าได้คุยกับเซลล์แล้ว ถ้าไม่ส่งที่จังหวัดตาก ก็ให้มาส่งที่บ้านญาติ แต่กลายเป็นว่าญาติยังไม่ได้คุยกัน ณ คืนนั้นวันที่ส่งรถ ญาติที่โทรหาเซลล์ฝันว่า คุณโจ้มาอยู่ในฝัน แล้วชอบรถป้ายแดงลูบ ๆ คลำ ๆ เดินวนอยู่รอบรถ อย่างมีความสุข ญาติก็เอะใจถึงได้โทรถามเซลล์ เซลล์ก็พูดว่า “จริงหรอครับ แต่ส่งรถไปแล้วนะครับ” ญาติก็บอกว่า “โอเค ไม่เป็นไร เดี๋ยวไว้วันหน้าค่อยแจ้งย้ายรถมาให้ที่ญาติละกัน” หลังจากวางสายไป ทีนี้มาถึงที่โชว์รูม น้องขับรถสไลด์ก็มาคุยกับเซลล์ เซลล์ถามว่า “เป็นไงไปส่งรถ ไปเจออะไรมาบ้าง?” คนขับรถสไลด์ก็พูดว่า “ก็ดีพี่ พี่เขาใจดีมากเลย ให้ผมนอนที่บ้านให้ข้าวให้น้ำกิน แต่เขาแปลกนะพี่ อย่างที่พี่เคยบอกผมว่าเขานับถือเทพ ครูบาอาจารย์อะไรไม่รู้ บ้านเขามืดหมดเลยนะพี่ ผมก็สงสัยว่าทำไมไม่เปิดไฟ ถ่ายรูปเขาก็ไม่เอานะพี่” เซลล์ก็พูดว่า “เออเขาเป็นอย่างนั้นแหละ” แต่ความจริงแล้วเซลล์รู้แต่ไม่บอกคนขับรถสไลด์ว่าเกิดอะไรขึ้น เซลล์ก็บอกว่า “เอาล่ะ ก็ถือว่าพี่เขาใจดีหาข้าวหาน้ำให้กิน ก็ดีแล้ว วันหน้าถ้าเกิดมีงานเดี๋ยวพี่ส่งให้อีกนะ” คนขับรถสไลด์ก็บอกว่า “ขอบคุณมากครับพี่” จากนั้นก็เคลียร์เอกสาร เคลียร์เงิน และคนขับรถสไลด์ก็กลับไป ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้คนขับรถสไลด์ก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าของรถคันนั้นตาย!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เดจาวูสุดหลอนในวัยเด็ก ฝันเห็นคนเสียชีวิต พอตื่นขึ้นมาเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงเหมือนในฝันเป๊ะ!

24 พ.ย. 2023

เดจาวูสุดหลอนในวัยเด็ก ฝันเห็นคนเสียชีวิต พอตื่นขึ้นมาเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงเหมือนในฝันเป๊ะ!

ระหว่างทางไปน้ำตกเผลอนอนหลับในรถ จึงฝันเห็นเหตุการณ์​คนเสียชีวิตในสถานที่ที่กำลังจะไป ปรากกฎว่า พอไปถึง.. เหตุการณ์เหมือนในฝันดันเกิดขึ้นจริง! เรื่องนี้ ‘NICECNX’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (21 พฤษจิกายน 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ตัวตายตัวแทน’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันได้เลย! คุณไนซ์เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของทีมงานใกล้ตัว นามสมมติว่า ‘พี่หนึ่ง’ ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคุณไนซ์พอสมควร เพราะทุกคนล้วนเคยเกิดเหตุการณ์ ‘เดจาวู’ แต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่หนึ่งถือว่าแรงมาก ๆ เพราะพอเดจาวูเสร็จ เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นจริงในอีกประมาณ 10 นาทีต่อมา เรื่องมีอยู่ว่าในตอนเด็ก พ่อกับแม่พาพี่หนึ่งไปเที่ยวน้ำตก เป็นน้ำตกที่มีหลายชั้น ซึ่งในน้ำตกจะมีชั้นนึงที่เป็นวังน้ำวน พี่หนึ่งชอบไปเล่นที่ชั้นนี้มาก ขณะเดินทางไปน้ำตก ด้วยความเป็นเด็กจึงนอนหลับในรถตามปกติ แต่แล้วก็ฝันว่า พอไปถึงน้ำตก กำลังจะลงเล่นน้ำ คนที่อยู่บริเวณนั้นอย่างพ่อค้าแม่ค้าวิ่งแตกตื่นกันมา พ่อกับแม่จึงถามไปถามคนแถวนั้นว่า “เกิดอะไรขึ้น อันนี้น้ำตกเปิดตามปกติรึเปล่า?” พ่อค้าแม่ค้าก็ตอบว่า “มีเด็กผู้หญิงจมน้ำ ไม่รู้เสียชีวิตรึเปล่า เพราะยังหาร่างไม่เจอ หากันมาเป็นชั่วโมงแล้ว อาจจะไม่รอดแล้วมั้ง” จากนั้นในฝันก็ตัดภาพเห็นพี่หนึ่งถึงน้ำตก เดินงัวเงียลงจากรถเพราะพึ่งตื่น เป็นจังหวะที่เขากู้ศพขึ้นมาพอดี พี่หนึ่งจึงชะเง้อดู เห็นเป็นเด็กผู้หญิงหน้าหมวย ใส่ชุดแขนสั้นสีฟ้า ผมประบ่า เป็นศพที่ถูกกู้ขึ้นมาจากในน้ำ จนในที่สุดก็สะดุ้งตื่น เป็นจังหวะเดียวกับรถใกล้จะถึงน้ำตกพอดี พอรถจอด พ่อกับแม่ก็ลงไปจากรถ แล้วคนก็วิ่งแตกตื่น แล้วหลังจากนั้นก็มีการพบศพคนเสียชีวิตเหมือนกับในฝัน! นั่นเป็นเหตุการณ์ชวนขนหัวลุกที่หนึ่งไม่เคยลืม นอกจากนี้ คุณไนซ์ยังเสริมอีกว่า จริง ๆ แล้วตอนแรกน้ำตกมีชื่ออีกชื่อหนึ่ง แต่พอมีนักท่องเที่ยวมาเสียชีวิตซ้ำเยอะ ๆ เขาจึงตั้งชื่อตามและเปลี่ยนชื่อมาเรื่อย ๆ ในมุมหนึ่งอาจเป็นเพราะสถานที่อันตราย แต่ว่าถ้าลองมุมอีกมองอาจจะเป็นการหาตัวตายตัวแทนก็เป็นได้...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1