อังคารคลุมโปง RECAP

อังคารคลุมโปง RECAP

เพื่อนชวนไปนอนโรงแรมใหม่ ก็คิดว่าจะไม่เจออะไร แต่พอนอนไปกลับรู้สึกไม่สบายใจ ต้องกึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วสวดมนต์ไปด้วย ตื่นมาถึงได้รู้ว่าตัวเองนอนทับที่คนตาย!

07 ส.ค. 2023

       ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ มาพร้อมกับ ‘อ.นิ่ม เทวจิตศิษย์ปู่’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (18 กรกฎาคม 2566) พร้อมเสิร์ฟความหลอนถึงหูผู้ฟัง เรื่องราวในครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างที่ อ.นิ่ม เข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง แล้วบังเอิญไปนอนทับที่คนยิงตัวตาย เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อ ไปติดตามกันได้เลย!

       ประสบการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ อ.นิ่ม ต้องไปไหว้เจ้าที่ในต่างจังหวัด โดยปกติแล้วจะไปนอนโรงแรมที่จังหวัดนั้น ๆ หนึ่งคืนก่อนวันเริ่มงานเพื่อแสตนด์บาย  เวลาเข้าพักก็จะเลี่ยงห้องหรือชั้นที่เป็นเลข 3 เพราะเลขนี้สื่อถึงวิญญาณ และหากเป็นไปได้ก็จะไม่เลือกห้องที่ติดข้างบันไดด้วย สำหรับคนอื่นสิ่งเหล่านี้อาจไม่มีอะไร แต่สำหรับคนที่มีเซ้นส์อย่าง อ.นิ่ม ถ้าสามารถเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง วันที่เกิดเรื่องอ.นิ่มเข้าพักโรมแรมกับเพื่อน พนักงานยื่นกุญแจให้เลือก 3 ห้อง โชคดีที่ไม่มีห้องไหนอยู่ชั้น 3 เลย จึงเลือกห้อง ‘211’ และคิดในใจว่าคงปลอดภัยแล้ววันนี้

       อ.นิ่มตกลงกับเพื่อนว่าพอเข้าไปในห้องแล้วหลังจากนั้นอีก 10 นาที จะออกไปหาอะไรกินกัน จากนั้นก็ขับรถออกจากโรงแรมตามปกติ ตอนนั้นที่จอดรถโล่งมาก เมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จ อ.นิ่ม และเพื่อนก็ขับรถกลับมาที่โรงแรม มีเรื่องน่าแปลกใจเกิดขึ้นก็คือ ที่จอดรถเต็มหมด ยกเว้นตรงที่ขับออกมาในตอนแรก ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ยังแซวกับเพื่อนที่มาด้วยกันเลยว่าสงสัยพนักงานคงกันเอาไว้ให้

       เมื่อถึงโรงแรม อ.นิ่ม และเพื่อนก็เข้าห้องนอน ปกติแล้วอ.นิ่มเป็นคนที่ไม่ชอบนอนตรงข้างประตูจึงเลือกนอนตรงฝั่งที่เป็นกำแพง ในขณะที่เล่นโทรศัพท์กันอยู่บนเตียง อ.นิ่มก็รู้สึกร้อน แม้เพื่อนจะปรับแอร์จนเหลือ 19 องศาแล้ว อ.นิ่มก็ยังร้อนอยู่ สุดท้ายก็ต้องไปนอนเตียงฝั่งที่ติดกับประตู แต่พอนั่งลงบนเตียงเท่านั้น ก็ได้ยินหมาหอนดังมาจากข้างนอก

       “อันนี้คอนเฟิร์มใช่ไหมว่าโรงแรมใหม่” อ.นิ่มถามเพื่อน ปกติแล้วถ้ามาที่จังหวัดนี้ ก็จะนอนโรมแรมเดิมตลอด จนมาครั้งนี้เพื่อนชวนให้เปลี่ยนโรมแรม โดยปกติแล้วลูกค้าที่เรียกใช้บริการอ.นิ่มจะต้องส่งภาพโรงแรมที่จะให้เข้าพักมาให้ดูก่อนเพื่อตรวจสอบว่ามันมีอะไรหรือไม่  แต่ที่นี่พึ่งเปิดใหม่เพียงแค่ 2 เดือน ก็คงไม่น่าจะมีอะไร อ.นิ่มจึงยอมเข้าพัก

       สักพักเพื่อนก็ผล็อยหลับไป แต่อ.นิ่มยังไม่หลับ และเริ่มรู้สึกเหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากล จึงเดินไปหยิบสร้อยพระมาตั้งไว้ที่หัวเตียงฝั่งที่ตัวเองนอน ตั้งเสร็จแล้วก็นอนสวดมนต์ ‘บทมหาจักรพรรดิ’ แต่ยิ่งสวด เหงื่อก็ยิ่งออก อ.นิ่มเอาหมอนมาตั้งพิงกับหัวเตียงแล้วลุกขึ้นมานั่งท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วสวดมนต์บทเดิมต่อ หลังจากนั้นก็เริ่มรู้สึกสบายขึ้นมาก ในใจคิดว่า จะหลับท่านี้เลย และยังพูดขึ้นมาในห้องแบบลอย ๆ ด้วยว่า “ถ้าจะมาเอาบุญ เอาไป แล้วแยกย้าย”

       หมาเริ่มหอนอีกรอบ ในจังหวะที่อ.นิ่มเดินไปเข้าห้องน้ำ เมื่อเดินออกมาก็สัมผัสได้ว่ามีใครกำลังมองอยู่ พอหันไปตรงหน้าต่างของห้อง ก็เห็นเงาจาง ๆ ของผู้ชายคนหนึ่งกำลังจ้องมา อ.นิ่มไม่กล้าบอกเพื่อนเพราะกลัวว่าเพื่อนจะขวัญหนีดีฝ่อไปด้วย อ.นิ่มจึงบอกกับผีตนนี้ว่าขอแบ่งบุญให้ แล้วบอกให้ผีตนนี้หยุดปรากฏตัวให้เห็น พอกลับมานอนก็นอนไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องกลับมานอนในท่าเดิมคือนั่งพิงเตียงแบบกึ่งนั่งกึ่งนอน แล้วหลับไปในท่านั้นไปจนถึงเช้า

        พอถึงตอนเช้า อ.นิ่มบอกกับเพื่อนว่าให้ check-out ออกจากโรงแรมนี้ทันที แล้วให้ลงไปถามพนักงานด้านล่างว่าห้องนี้เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ฝ่ายเพื่อนเมื่อลงไปถามพนักงานต้อนรับด้านล่าง พนักงานก็อึกอักไม่กล้าเล่า อ.นิ่มจึงคิดว่าหากคนที่นี่ไม่กล้าเล่า ก็จะลองพยายามไปถามคนในพื้นที่นอกโรงแรมแทน สุดท้ายก็ได้ไปถามกับผู้ใหญ่คนหนึ่งในจังหวัดแห่งนี้

       เขาเล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ก่อน มีหมอทหารคนหนึ่งยิงตัวเองตายในห้องที่อ.นิ่มเข้าพัก ในท่าลักษณะเดียวกันกับที่อ.นิ่มนอนเมื่อคืน ตรงเตียงที่นอนพอดี อ.นิ่มถามต่อว่าทำไมถึงรู้สึกว่าผีตนนี้ไม่ได้บุญที่ตนเผื่อแผ่ไปให้เลย เขาก็บอกว่า ผู้ตายคนนี้นับถือศาสนาคริสต์เลยอาจจะไม่ได้บุญไป เมื่อลองถามต่อถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ว่ามันมีที่มาจากอะไร ผู้ใหญ่คนนี้ตอบได้แต่เพียงว่าหมอทหารคนนี้กำลังจะแต่งงาน เขาเข้าพักในโรงแรมนี้ ไม่พูดกับใคร จอดรถในตำแหน่งเดียวกันกับที่อ.นิ่มและเพื่อนเข้าไปจอด อ.นิ่มมาเช็คทีหลังก็พบว่าเรื่องราวที่ผู้ใหญ่คนนี้เล่าเคยเป็นข่าวใหญ่โตทีเดียว

       อ.นิ่มไม่รู้ว่าเขานับถือศาสนาอะไร หรือสิ่งที่จะทำต่อจากนี้จะส่งถึงเขาหรือไม่ แต่อ.นิ่มก็ทำบุญให้เขาเป็นการถวายเพลและพระประธานองค์หนึ่งให้เพื่อความสบายใจของตัวเอง แล้วขอร้องให้ดวงวิญญาณนี้ไม่ออกมาสร้างความไม่สบายใจให้ใครอีก ขอให้เขาไปอยู่ในที่ของเขา เพราะมันทั้งเดือดร้อนโรงแรมและเดือดร้อนคนที่เข้าพักใหม่ แม้บุญที่อ.นิ่มทำนี้จะไม่สามารถลบล้างกรรมที่ผีตนนี้เคยได้ก่อไว้ แต่ก็หวังว่าจะช่วยทำให้เขาสบายขึ้นบ้างระดับหนึ่ง จนกว่าดวงวิญญาณนี้จะชดใช้กรรมจนหมดอายุขัย

       อ.นิ่มเล่าย้อนให้กับเหล่าดีเจฟังว่าในคืนนั้นก็รู้สึกไม่สบายตัวชอบกล จนแอบคิดจะยกเลิกนัดงานที่ต้องไปทำด้วยซ้ำ เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ทุกครั้งเวลามีคนมาดูดวง อ.นิ่มจะแนะนำให้สวดมนต์ ‘บทมหาจักรพรรดิ’ เพื่อเร่งให้อุปสรรคปัญหาต่าง ๆ นานาเข้ามาหาคนท่องเร็วขึ้น เพื่อในที่สุดแล้วจะได้ผ่านพ้นไปได้โดยเร็วเช่นกัน

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณขวัญ ‘ศูนย์รวมวิญญาณ’ I อังคารคลุมโปง X เอฟ พงศ์พิทักษ์ [ 14 พ.ค. 2567]

19 พ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณขวัญ ‘ศูนย์รวมวิญญาณ’ I อังคารคลุมโปง X เอฟ พงศ์พิทักษ์ [ 14 พ.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณขวัญ’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (14 พฤษภาคม 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ศูนย์รวมวิญญาณ’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณขวัญเริ่มเล่าว่า คุณขวัญทำอาชีพเป็นหมอดู ซึ่งคุณขวัญมีลูกดวงอยู่คนหนึ่ง เคยปรึกษาปัญหากันอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ลูกดวงอยากปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับคุณแม่ โดยคุณแม่มักจะมีอาการปวดเมื่อยไปทั่วร่างกาย ตั้งแต่ขาไล่จนมาถึงศีรษะ ซึ่งจะเป็นหนักในช่วงวันพระและวันโกนของทุก ๆ เดือน ลูกดวงเองจึงสัมผัสได้ว่า ‘น่าจะมีบางอย่างผิดปกติ..’ ลูกดวงคนนี้ อาศัยอยู่ในภาคอีสาน จึงมีความเชื่อเรื่องวิญญาณค่อนข้างมาก หลังจากนั้น คุณแม่ก็ได้ไปปรึกษากับ ‘หมอธรรม’ บุคคลที่มีคนให้ความนับถือทางด้านคาถาอาคมทางพุทธเวทย์และไสยเวทย์ เป็นหมอธรรมแถวบ้านท่านหนึ่ง หมอธรรมจึงทำพิธีสื่อวิญญาณ อ้างว่าดวงวิญญาณที่สื่อด้วยเป็น ‘วิญญาณของเจ้าที่’ ซึ่งดวงวิญญาณเกิดความไม่พอใจในตัวของคุณแม่ สาเหตุเป็นเพราะว่า คุณแม่ทำบุญให้น้อย ดวงวิญญาณยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ อีกทั้งต้องการให้คุณแม่รับขันธ์ และกลับมาทำพิธีขอขมาคุณพ่อ เพราะเจ้าที่ท่านไม่พอใจคุณแม่ที่ชอบบ่นชอบดุคุณพ่อ แถมยังกำชับว่า คุณแม่ต้องเซ่นไหว้ อาหารคาวหวาน และเหล้าในพื้นที่บริเวณบ้าน คุณแม่จึงตั้งข้อสงสัยว่า “การทำแบบนี้เป็นการเลี้ยงผีหรือเปล่า?” ทำให้คุณแม่ไม่ได้ทำตามที่คุณหมอธรรมแนะนำมา หลังจากนั้นลูกดวงก็ส่งโทรศัพท์ให้คุณแม่คุยกับคุณขวัญ สิ้นเสียงคำว่า “ฮัลโหล” สิ่งที่คุณขวัญเห็น คือ บ้านไม้เก่า ๆ หนึ่งหลังที่ใต้ถุนบ้านยกขึ้นสูง แล้วก็ยังเห็นดวงวิญญาณของผู้ชายดวงหนึ่ง มีลักษณะสูงค่อนไปทางผอม หน้าคม ผิวสีดำแดง มีท่าทางคล้ายกับคนของเมา คุณขวัญจึงบอกภาพที่เห็นให้กับคุณแม่ฟัง คุณแม่ก็ไม่ได้มีท่าทีใดตอบกลับมา คุณขวัญจึงถามคุณแม่ไปว่า “ปกติคุณพ่อดื่มเหล้าไหมคะ.. แล้วช่วงนี้คุณพ่อมีอาการแปลกออกไปหรือเปล่า ?” หลังจากที่คุณขวัญถามไป คุณแม่จึงยอมเล่าว่า “โดยปกติแล้วคุณพ่อเป็นคนดื่มเหล้า และชอบสังสรรค์กับเพื่อน แต่ช่วงหลังมานี้ คุณพ่อดื่มหนักมากจนเกินไป ตกเย็นมาเป็นอันต้องดื่ม จนบางครั้งคุณพ่อก็นั่งดื่มคนเดียวที่หน้าบ้าน แต่ที่น่าแปลกคือ คุณพ่อมีท่าทีเหมือนกำลังนั่งคุยอยู่กับใครบางคน ทั้งที่จริงแล้วคุณพ่อนั่งอยู่คนเดียว จนกระทั่งคืนหนึ่ง เวลาประมาณเที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง คุณพ่อได้ลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปกินเหล้าที่หน้าบ้าน ซึ่งครั้งนี้คุณพ่อได้ลุกขึ้นเต้น ร้องรำทำเพลงและมีท่าทีที่สนุกสนาน ทั้งที่ปกติแล้วคุณพ่อไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน พอคุณแม่ตื่นมาเห็นก็ตกใจ ถามคุณพ่อว่า “แกเป็นอะไร ?” เมื่อคุณพ่อเห็นคุณแม่ก็ไม่พูดอะไร และรีบขับรถออกไปทันที กลับมาอีกทีคือช่วงเช้า” คุณขวัญจึงเรียบเรียงข้อมูลที่ได้รับมาบอกกับคุณแม่ไปว่า “คุณแม่คะ นั่นไม่ใช่คุณพ่อ แต่เป็นวิญญาณของผู้ชายคนนี้ที่กำลังแฝงคุณพ่ออยู่ แล้วสิ่งที่คุณหมอธรรมบอกกับคุณแม่ว่าเป็นเจ้าที่ แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย เป็นดวงวิญญาณของผู้ชายคนนี้ที่ยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ” ขวัญจึงถามคุณแม่ต่อว่า “คุณพ่ออยากกินก้อยบ้างไหม ? เพราะดวงวิญญาณนี้ จู่ ๆ ก็พูดขึ้นว่าก้อย” คุณแม่จึงตอบว่า “ใช่ ปกติคุณพ่อไม่เคยกินก้อยเลย แต่พอหลังจากเกิดเหตุการณ์แปลก ๆ คุณพ่อก็เลยเริ่มอยากกินก้อยขึ้นมา” ขวัญจึงบอกคุณว่า “ตอนนี้โดนผีหลอกของจริงแล้วละค่ะ” หลังจากนั้นคุณแม่ก็เล่าต่อว่า “ลักษณะบ้านที่ขวัญเห็น เคยเป็นบ้านที่อยู่ติดกับคุณแม่มาก่อน ซึ่งเจ้าของบ้านหลังนั้น มีพฤติกรรมติดเหล้ามาก ก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ” และในระหว่างที่ขวัญคุยกับคุณแม่อยู่ คุณขวัญก็มักจะได้ยินเสียงคนคุยกันแทรกบทสนทนาอยู่เสมอ คุณขวัญจึงบอกกับคุณแม่ว่า “คุณแม่ขวัญว่าไม่ได้มีแค่นี้แน่เลย คุณแม่ได้เจออะไรที่มันเยอะกว่านี้ไหม ?” คุณแม่จึงเล่าว่า “เคยมีเหตุการณ์ที่ลูกสะใภ้นอนอยู่ในห้อง แล้วก็เห็นวิญญาณของผู้หญิงตนหนึ่ง ชะโงกหน้าออกมามองตรงมาที่เตียงนอน และในช่วงเวลากลางคืน มักจะได้ยินเสียงคนเดินอยู่ในบริเวณบ้านเป็นประจำ” ซึ่งคุณแม่ทำอาชีพ ‘รับเหมาก่อสร้าง’ ทำให้มีคนงานเข้าออกอยู่เสมอ คนงานคนหนึ่งเคยมาเล่าให้ฟังว่า ช่วงเย็นหลังจากทำงาน ตนผูกเปลนอนเล่นใต้ต้นไม้ ช่วงที่กำลังจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงคนคุยเล่นกันเสียงดังสนุกสนาน แต่พอลืมตาตื่นขึ้นมา กลับไม่ได้ยินเสียงหรือเจอใครเลย นอกจากนี้ คุณแม่เองก็เคยเจอผีภายในบริเวณบ้าน พร้อมเล่าว่า “ตอนนั้นคุณแม่ออกมาตามคุณพ่อไปทานข้าว เมื่อเดินเข้าไปในห้อง กลับเห็นดวงวิญญาณสีดำสนิท ปีนอยู่ข้างกำแพง และกระโดดลอยออกนอกหน้าต่างไป” ซึ่งมักมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง คุณแม่เล่าต่ออีกว่า “คุณแม่มักได้ยินเสียง วี๊ด.. เบา ๆ บริเวณหลังบ้าน” และในระหว่างที่คุณแม่กำลังเล่าอยู่ ขวัญก็ได้เห็นภาพลักษณะคล้าย ‘เปรต’ อยู่บริเวณหลังบ้าน จึงถามคุณแม่ว่า “คุณแม่เคยเจอเปรตบ้างไหมคะ ?” คุณแม่ก็ตกใจถามว่า “รู้ได้ยังไง เพราะมีคนงานเคยเจอจริง ๆ ซึ่งเป็นช่วงเย็นหลังจากทำงาน คนงานคนนั้นกำลังนอนเล่นอยู่บริเวณหลังบ้าน เขาก็เห็นร่างสูงใหญ่ เดินข้ามกำแพงบ้านมาแล้วก็มาหยุดมองมาทางเขา ทำให้ไม่มีคนงานกล้านอนในบริเวณบ้านอีกเลย” ซึ่งเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้นภายในบ้านเยอะขึ้น และเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ โดยคุณแม่เล่าต่อว่า “วันนั้นเป็นช่วงที่คุณแม่กำลังทำกับข้าว มีลมลูกใหญ่ปะทะเข้ามาที่บ้าน ทำให้ประตูและหน้าต่างที่เปิดอยู่ ปิดเสียงดัง ปัง ! ปัง ! ปัง ! ไปทีละบาน ตอนนั้นคุณแม่ก็ไม่อยู่แล้ว รีบหอบข้าวหอบลูกไปอยู่กับพระอาจารย์ที่วัด” ซึ่งคุณแม่ต้องทนกับเหตุการณ์ประหลาดแบบนี้มาตลอด 4 ปีเต็ม โดยที่ทุกคนในบ้านก็เจอเช่นเดียวกัน ส่วนคุณพ่อก็เคยไปทำงานที่ต่างประเทศ คุณแม่เล่าว่า “คุณพ่อเคยเจอวิญญาณของผู้หญิงตนหนึ่ง นั่งหวีผมตรงสวยอยู่ที่หน้ากระจก ซึ่งคุณพ่อมักจะเจอดวงวิญญาณของผู้หญิงคนนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่คุณพ่อสัมผัสได้ว่าวิญญาณของผู้หญิงคนนี้มาดี เพราะเมื่อคุณพ่อฝันถึง ก็มักที่จะมีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้น เช่น ถูกลอตเตอรี่อยู่เสมอ” หลังจากนั้นคุณขวัญกับคุณแม่รวมถึงลูกดวง ก็ได้นัดมาเจอกันที่บ้านของคุณแม่ และทันทีที่ขวัญ ก้าวขาลงจากรถ ขวัญก็สัมผัสได้ทันทีว่า มีดวงวิญญาณเร่ร่อนมากมายอยู่ทุกจุด ทุกพื้นที่ในบริเวณบ้าน คุณขวัญจึงอธิบายกับคุณแม่ว่า “สาเหตุน่าจะเกิดจากการที่บริเวณบ้านของคุณแม่ เข้าออกได้ง่ายเกินไป สำหรับวิญญาณและสัมภเวสี” ขวัญจึงทำพิธีเชิญดวงวิญญาณออก หลังจากเสร็จพิธี ในระหว่างที่ขวัญกำลังจะแยกย้ายกลับ ลูกดวงก็ได้ถามว่า “ดวงวิญญาณผู้หญิงที่ตามติดคุณพ่อ คุณขวัญได้เชิญหรือจัดการอะไรไหม ?” ขวัญจึงตอบว่า “เรียบร้อยค่ะ” ลูกดวงยังแซวอีกว่า “สงสัยคุณพ่อจะถูกลอตเตอรี่น้อยลงแน่เลย” เช้าวันรุ่งขึ้นก็มีสายโทรศัพท์จากลูกดวงโทรเข้ามาเล่าว่า “ฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็นดวงวิญญาณที่ตามติดคุณพ่อ มายืนเคาะกระจกหน้าต่าง พร้อมโวยวายว่า เปิดบ้าน! เข้าบ้านไม่ได้! มีท่าทีกังวลรีบร้อน เหมือนคล้ายว่ากำลังจะหนีอะไรบางอย่าง” ขวัญจึงบอกว่า “น่าจะเกิดจากการที่เราคุยเล่นกัน แล้วดวงวิญญาณสำคัญตนว่าเจ้าของบ้านอยากให้อยู่ ก็เลยมีการเข้าฝัน เพื่อให้เจ้าของบ้านอนุญาตให้เขาอยู่” ท้ายที่สุดแล้ว ขวัญก็มานั่งคิดว่า “วันนั้นที่ขวัญไปบ้านของคุณแม่ ขวัญเจอดวงวิญญาณถึง 8-9 ตน สาเหตุคงเป็นเพราะพื้นที่บริเวณด้านหลังบ้านเป็นป่ารกร้าง และด้านหน้าบ้านไม่เคยปิดประตูเลย ซึ่งนับตั้งแต่คุณแม่เริ่มสร้างบ้านหลังนี้ คุณแม่ก็ไม่เคยตีกรอบพื้นที่บ้าน วันนั้นนอกเหนือจากการที่ขวัญทำพิธีเชิญดวงวิญญาณออก ขวัญก็ทำพิธีแบ่งเขตบ้านด้วย” ซึ่งเหตุการณ์ดูดวงในครั้งนี้ กลายเป็นสถิติใหม่.. ที่คุณขวัญพบเจอกับดวงวิญญาณมากที่สุดในชีวิต(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เจ้าที่หอใหม่ชอบ-เอ็นดูม้าม่วงสุดๆ เลยมาช่วยส่งเสริมจนมีชื่อเสียง

07 เม.ย. 2024

เจ้าที่หอใหม่ชอบ-เอ็นดูม้าม่วงสุดๆ เลยมาช่วยส่งเสริมจนมีชื่อเสียง

เรื่องนี้ ‘ม้าม่วง PowerpuffGAY’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (2 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการย้ายเข้ามาอยู่ที่หอใหม่ วิญญาณที่หอชอบและเอ็นดู จึงมาช่วยส่งเสริมจนทำให้เริ่มมีชื่อเสียง มีงานเข้ามาเรื่อย ๆ และวิญญาณไปสื่อสารกับหมอดูว่าอยากให้รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน พอเดินไปหากลับเจอวิญญาณอีกตน! เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย คุณม้าม่วงเกริ่นเรื่องว่า ตนนั้นเช่าคอนโดอยู่กับแฟน แต่จะเช่าห้องพักไว้ เผื่อวันใดวันหนึ่งเลิกกับแฟนก็จะได้ย้ายมาอยู่ ต่อมาก็เลิกกับแฟนจึงย้ายกลับมาอยู่หอที่เช่าไว้ แต่หอห้องนี้ห้องเล็กเกินไป จึงย้ายไปอยู่อีกหอหนึ่ง ส่วนตัวคุณม้าม่วงนั้นชื่นชอบการดูดวงอยู่แล้ว จึงได้ขอให้หมอดูช่วยดูห้องใหม่ให้ด้วย คุณม้าม่วงก็วิดิโอคอลหาหมอดู ให้หมอดูดูทีละห้อง จนไปหยุดที่ห้องหนึ่งอยู่ชั้น 2 หมอดูก็บอกว่าห้องนี้ดี คุณม้าม่วงก็ถูกใจเพราะอยู่แค่ชั้น 2 ไม่ต้องขึ้นลิฟต์ จากนั้นจึงทำสัญญาเช่าห้อง เสร็จก็ได้มีการย้ายเข้ามาอยู่ หลังจากที่ย้ายเข้ามาอยู่ คุณม้าม่วงก็ไลฟ์สดตามปกติ จากนั้นชื่อเสียงก็ดังขึ้นมา เริ่มเป็นที่รู้จัก และได้เข้ามาในวงการบันเทิง คุณม้าม่วงอธิบายเพิ่มว่าหอพักมี 8 ชั้น คุณม้าม่วงอยู่ชั้น 2 จึงมักจะใช้วิธีการเดินลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์ ซึ่งเป็นบันไดหนีไฟ เปิดไฟสลัวไม่สว่างมาก คุณม้าม่วงก็เดินขึ้นลงประจำ แต่คุณม้าม่วงก็จะมีความรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่าง เวลาที่เดินผ่านหรือเวลาที่มีคนยืนแล้วเราเดินผ่านก็จะมีลมมาสัมผัสร่างกาย ต่อมาคุณม้าม่วงก็ไลฟ์สดตามปกติ จนกระทั่งหมอดูทักมา “พี่หนุ่ม... มีคนชอบพี่หนุ่มมากเลยนะ” (หนุ่ม คือชื่อเดิมของคุณม้าม่วง) คุณม้าม่วงก็ถามกลับไปว่า “ใคร?” หมอดูบอกว่า “เขาอยู่ในห้อง เขาชอบมาดูพี่หนุ่มเวลาไลฟ์สด” และหมอดูยังบอกอีกว่า เขาเป็นแม่นางไม้ที่อยู่ที่นี่ เขามาเพิ่มเสน่ห์ให้ เขาชอบจึงมาส่งเสริม เวลาที่คุณม้าม่วงแต่งหญิง เขายืนดูแล้วก็จะยิ้มมีความสุข คุณม้าม่วงก็ให้หมอดูเปิดกล้องแล้วก็หันกล้องไปรอบ ๆ ถามหมอดูว่า “แม่นางไม้อยู่ตรงไหน?” หมอดูบอกว่า “เขายืนอยู่ข้างโต๊ะที่คุณม้าม่วงไลฟ์สด” คุณม้าม่วงก็พูดลอย ๆ ว่า “ถ้าอยู่ก็อยู่ แต่ก็ส่งเสริมกันนะ” หมอดูบอกกับคุณม้าม่วงอีกว่า “เขาอยากได้เครื่องสำอาง เขาชอบเครื่องสำอาง” คุณม้าม่วงก็ถามว่า “ถ้าซื้อมาแล้วจะต้องเอาไปวางไว้ที่ไหน หรือจะต้องทำยังไงเขาถึงจะได้รับ” หมอดูบอกว่า “ซื้อมาแล้วบริจาคให้กับคนที่เขาไม่มี” บังเอิญวันเดียวกันนั้น คุณม้าม่วงก็ไลฟ์สดตามปกติ จากนั้นก็มีลูกเพจทักมาว่าไม่มีเครื่องสำอาง คุณม้าม่วงจึงทักไปขอที่อยู่แล้วก็ซื้อเครื่องสำอางชุดใหญ่ส่งไปให้ แต่เรื่องที่ส่งของให้น้อง คุณม้าม่วงก็ไม่ได้บอกกับหมอดู หลังจากนั้น หมอดูทักมาบอกว่า “แม่นางไม้ได้รับแล้วนะ” คุณม้าม่วงตกใจและพูดลอย ๆ ไปว่า “ส่งเสริมกันนะ ขอให้ลูกมีงานเข้ามาเยอะ ๆ” ซึ่งตอนนั้นก็มีงานเข้ามาเรื่อย ๆ จริง วันดีคืนดีหมอดูก็ทักมาว่า “แม่นางไม้ขออีกเรื่องหนึ่งคือ อยากให้พี่หนุ่มรู้ว่าแม่นางไม้อยู่ที่ไหน” ณ ตอนนั้นก็เป็นเวลาประมาณ 4-5 ทุ่ม คุณม้าม่วงก็ตอบว่า “อยู่ตรงไหนเดี๋ยวไปหา” หมอดูก็หลับตาแล้วบอกกับคุณม้าม่วงว่า “ให้หันหน้าเข้าตึก แล้วหันไปทางขวา เดินตรงไป แล้วก็เลี้ยวซ้าย แม่นางไม้จะอยู่ตรงนั้น” คุณม้าม่วงก็หยิบกล้องเดินไปและขอให้หมอดูค้างสายไว้ ห้ามวาง ในขณะที่เดินลงบันได หมอดูก็บอกว่าแม่นางไม้เดินตามมา แล้วหมอดูที่ค้างสายอยู่ก็มีท่าทางตกใจแล้วพูดว่า “มีใครยืนอยู่ตรงบันได!” คุณม้าม่วงรู้ได้เลยว่าปกติที่เดินลงบันไดตอนดึก ๆ แล้วมักจะเดินสวนคนนี้ประจำก็คือผีแน่นอน คุณม้าม่วงจึงเดินลงไปและคอยถามหมอดูตลอดว่า “แม่นางไม้ยังเดินตามมาอยู่ไหม” หมอดูก็ตอบว่า “ยังเดินตามมาอยู่” พอถึงหน้าตึกก็จะมีศาลตายาย หมอดูบอกว่า “ตายายก็เอ็นดูพี่หนุ่ม” คุณม้าม่วงก็เดินไปตามทางที่หมอดูบอก แล้วก็ไปหยุดที่จุดหนึ่ง คุณม้าม่วงนั่งลงใช้มือควานหาบริเวณนั้น สักพักมือก็ไปชนกับตอไม้ที่ถูกตัดแล้ว คุณม้าม่วงตกใจสะดุ้งตัวออกมา หมอดูก็บอกว่า “แม่นางไม้ดีใจที่พี่หนุ่มรู้แล้วว่าเขาอยู่ตรงไหน” พอรู้แบบนั้นคุณม้าม่วงก็กลับห้อง แต่ครั้งนี้ใช่ลิฟต์เพราะยังตกใจ ต่อมา คุณม้าม่วงก็ได้มีการย้ายหอเพราะห้องที่อยู่เริ่มเก็บของไม่พอ ก่อนย้ายคุณม้าม่วงก็ได้มีการไปไหว้ลากับศาลตายายและนำพวงมาลัยไปวางไว้ที่ตอไม้เพื่อบอกลากับแม่นางไม้ด้วย หลังจากนั้นคุณม้าม่วงก็ได้ย้ายไปอยู่หอใหม่ หมอดูก็โทรมาอีกว่า “ทำไมไม่เรียกแม่นางไม้มาด้วย เขาอยากมาหา” คุณม้าม่วงก็กลับไปหอเดิมแล้วก็บอกกับแม่นางไม้ว่าให้มาอยู่ด้วยกันได้ ถ้าไม่มีที่ไป แล้วก็เกิดเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งคือ คุณม้าม่วงได้มีการสั่งของพรีออเดอร์ พอขนส่งมาส่งก็โทรหาคุณม้าม่วง โทรติดแต่ไม่มีคนรับสาย ขนส่งจึงโทรไปหาเจ้าของร้านให้โทรหาคุณม้าม่วงให้ พอโทรไปอีกครั้งก็เป็นเสียงผู้หญิงรับสายแล้วบอกว่า “เอาวางไว้ข้างล่างแหละคะ” ปัจจุบันคุณม้าม่วงก็ได้มีการซื้อบ้านและก็ได้มีการชวนแม่นางไม้มาอยู่ด้วยเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้หมอดูโทรมาบอกกับคุณม้าม่วงว่า “แม่นางไม้เข้าหมู่บ้านไม่ได้ เพราะเจ้าที่ที่นี่ดุมาก ไม่ให้แม่นางไม้เข้ามา” หมอดูให้คุณม้าม่วงไปขอเจ้าที่ของหมู่บ้านเพื่อเปิดทางให้แม้นางไม้ คุณม้าม่วงก็ทำตามที่หมอดูบอก และเมื่อเดือนที่แล้วคุณม้าม่วงก็ได้มีการถามกับหมอดูว่า “แม่นางไม้ยังอยู่หรือเปล่า” หมอดูตอบว่า “ไม่ได้อยู่แล้ว กลับไปอยู่ที่หอเดิมเพราะบ้านใหม่ก็มีเจ้าที่อยู่แล้ว” และทุกครั้งที่คุณม้าม่วงไปทำบุญก็จะไม่ลืมแผ่ส่วนกุศลให้แม่นางไม้ด้วย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก ขวัญ อุษามณี 'เเม่ชีบุญเรือน' I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ขวัญ อุษามณี [ 8 ต.ค. 2567]

19 ต.ค. 2024

เรื่องเล่าจาก ขวัญ อุษามณี 'เเม่ชีบุญเรือน' I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ขวัญ อุษามณี [ 8 ต.ค. 2567]

ขนหัวลุกไปกับ ‘คุณขวัญ อุษามณี‘ ที่ได้นำเรื่อง ‘เเม่ชีบุญเรือน’ มาเล่าในรายการอังคารคลุมโปง X (8 ตุลาคม 2567) ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม‘ ฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่เจอในขณะที่กำลังถือศีลอยู่ เห็นเเม่ชีเดินจงกลมอยู่ที่เเม่น้ำ ถ้าไม่ได้เเม่ชีในคืนนั้นก็คงหลุดออกจากศีล! เรื่องราวจะเป็นยังไง จะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย! คุณขวัญ อุษามณีได้เล่าว่า ตนได้ไปถือศีลที่วัดท่าไม้ มีเเม่ชีที่ร่วมถือศีลด้วยอีกประมาณ 7-8 คน ในขณะที่ถือศีลตอนกลางวันต้องทำกิจของวัด กวาดลานวัดด้วยกัน เเละต้องกางมุ้งกลดนอนบนหิน ไม่ได้นอนที่กุฏิ อาหารที่ทานก็ต้องเป็นอาหารมังสวิรัติ ส่วนโทรศัพท์เเละของใช้ส่วนตัวจะถูกเก็บไว้ทั้งหมด คุณขวัญจึงได้คิดต่อต้านอยู่ในใจว่า ‘ทำไมต้องเข้มงวดขนาดนี้ เราไม่ได้บาปขนาดนั้นนะ ถ้าเป็นตอนเด็กปีนกำแพงไปนานเเล้ว’ เเต่ตอนนั้นก็สามารถควบคุมตนเองได้ เมื่อคุณขวัญกำลังจะเข้านอน เเม่ชีคนหนึ่งก็ได้สอนวิธีกางมุ้งกลดให้ เเต่สามารถสอนได้เเค่ครั้งเดียวเพราะต้องปิดวาจา พูดไม่ได้คุยไม่ได้ คุณขวัญจึงรู้สึกอึดอัด ได้เเต่คิดว่า ‘สิ่งที่เรากำลังทำนี้ คือการทำบุญ เราทำเพื่อคุณพ่อ’ ตนจึงยอมกัดฟันทำ เมื่อคุณขวัญกางมุ้งกลดเสร็จเเล้วจึงเข้านอน เเต่ก็นอนไม่ได้เพราะจากชีวิตที่นอนสบาย ๆ ฟังเพลง กลายเป็นเสียงเเมลงวี่เเมลงวันอยู่รอบ ๆ เเละมีเเม่น้ำอยู่ใกล้ ๆ ในตอนนั้นคุณขวัญก็เกิดความลังเลว่าจะออกไปดีหรือไม่ เพราะนอนไม่หลับ สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะออกไป เเต่ในขณะที่กำลังจะก้าวขาออกก็ดันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่คล้ายกับเเม่ชีที่มาถือศีลร่วมกัน กำลังเดินจงกรมอยู่ที่เเม่น้ำ ตนก็ได้นึกถึงคำพูดที่คุณเเม่สอน ซึ่งคุณยายสอนเเม่มาอีกหนึ่งว่า ‘ถ้าเกิดเจอผี ไหว้เลย เราให้บุญเขา ผีไม่น่ากลัวเท่าคน แต่ให้ดูก่อนว่าถ้าเขาผีจริง ๆ ขาเขาจะเดินลอยหรือขาจะเดินตะเเคง’ จากนั้นคุณขวัญก็ได้มองไปที่แม่ชีคนนั้น ปรากฎว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่ได้ลอย ไม่ได้ดูน่ากลัว ดูเป็นคน ตนก็นอนดูเเม่ชีคนนั้นเดินไปเดินมาจนตัวเองหลับไป ในตอนเช้าคุณขวัญก็ได้หลุดจากการถือศีลเเล้ว ด้วยนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนขี้เเซว จึงแซวเเม่ชีคนนั้นว่า “แหม เมื่อวานบุญหนักกลายเป็นบุญเบาเลยน้า ออกมาเดินจงกรมตอนกลางคืนเลยนะ” เเม่ชีคนนั้นก็ได้หันกลับมาตอบว่า “หึ พี่เปล่า…” เเล้วทุกคนในที่นั้นก็หลุดวาจาออกมาหมดเลย เพราะเห็นว่าคุณขวัญพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง จากนั้นคุณขวัญก็ได้บอกว่าถ้าไม่ได้เเม่ชีที่เดินจงกรมในตอนนั้น ก็คงจะหลุดจากการถือศีลไปแล้ว เพราะเหมือนท่านมาอยู่ให้ตนรู้สึกอุ่นใจ เเละเป็นกรอบที่ไม่ทำให้หลุดออกจากการถือศีล..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เสียงปริศนาหลังกระต๊อบทำเสียวสันหลัง! พอมองลอดผ่านช่อง ก็เห็น...ระยะประชิดจนภาพติดตา!

10 มี.ค. 2023

เสียงปริศนาหลังกระต๊อบทำเสียวสันหลัง! พอมองลอดผ่านช่อง ก็เห็น...ระยะประชิดจนภาพติดตา!

ความเชื่อเรื่อง "ผีกระสือ" ที่มักจะเรืองแสงออกหากินของสดคาวและเน่าเหม็นในยามวิกาลมีมาอย่างยาวนานในบ้านเรา “พี่วิทย์ พชรพล” และครอบครัวก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เชื่อว่ากระสือมีจริง โดยอิงจากประสบการณ์ขนหัวลุก ที่พี่สาวแท้ ๆ ของพี่วิทย์เห็นมากับตา! โดยเรื่องนี้พี่วิทย์ได้นำมาเล่าให้ชาว “อังคารคลุมโปง X” (7 มีนาคม 2566) ได้เสียวสันหลังไปพร้อม กัน เรื่องจะเป็นยังไงนั้น ติดตามอ่านกันได้เลย! พี่วิทย์เล่าว่าต้องย้อนกลับไปเมื่อประมาณพี่วิทย์อายุแค่ 3 ขวบ ขณะที่ยังอาศัยอยู่ในย่านปากเกร็ด จ.นนทบุรี ครอบครัวที่เริ่มมีฐานะดีขึ้น จึงมีแพลนว่าจะสร้างบ้านที่สวนฝรั่ง ระหว่างที่กำลังสร้างบ้าน ก็พักอาศัยอยู่ในกระต๊อบหลังเล็กชั่วคราวไปก่อน พี่วิทย์และพี่ ๆ ในครอบครัวก็ชอบไปตกปลาหลังกระต๊อบ เพราะมีน้ำท่วมบ่อย และมีปลิงตัวเล็ก ๆ ทำให้พ่อมักจะห้ามไม่ให้เด็ก ๆ ในครอบครัวมาเล่นบริเวณนี้ นอกจากนั้น หลังกระต๊อบก็มีไส้ไก่ หรือพวกของเน่าเสียถูกนำมาทิ้งไว้ พี่วิทย์อธิบายกระต๊อบหลังนั้นคร่าว ๆ ว่าทำจากไม้อัดยาว ๆ เรียงต่อกันทำให้จะมีช่องเล็ก ๆ ส่วนหลังคาเป็นสังกะสี ในทุก ๆ คืน จะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างอยู่ข้างหลัง พี่สาวของพี่วิทย์ 2 คน ที่นอนอยู่ติดกับกำแพงไม้ก็นึกสงสัย และอยากรู้ให้ได้ว่ามันคือเสียงอะไร ทั้ง 2 ส่องลอดผ่านช่องแผ่นไม้กระต๊อบในระยะประชิด ก็เห็นเป็นผู้หญิงแก่ผมยาวยุ่งรุงรังกำลังกินไส้ไก่ด้วยความมูมมาม ที่สำคัญคือมีแสงไฟเล็ก ๆ ส่องสว่างขึ้นแล้วก็ดับ! พี่สาวของพี่วิทย์บอกว่า “ทุกครั้งที่พี่เล่า ภาพนั้นยังติดตาพี่อยู่เลยวิทย์” พี่วิทย์เชื่อว่าสิ่งนั้นคือ “กระสือ” ทั้งยังย้ำอย่างชัดเจนว่าไม่ได้โกหก และเล่าเสริมว่า “พี่สาวพี่ยังบอกอีกนะ ว่าตอนนั้นเขากินอย่างอร่อย เห็นหน้าไม่ชัดแต่ก็เห็นเป็นคนแก่ หลังจากเขากินเสร็จ เขาก็ลอยออกไป แต่ลอยต่ำ ๆ นะไม่ได้ลอยสูง จากนั้นก็หายไป!” และยังเล่าอีกว่าพอเช้าวันถัดมา “ลุงขาว” พี่ชายแท้ ๆ ของพ่อพี่วิทย์เดินมาบอกว่า “เนี่ย ยายคนนี้ (กระสือ) แกเอาปากไปเช็ดคราบเลือกที่ผ้าขาวม้า” พ่อพี่วิทย์ก็บอกว่า “เมื่อคืนลูกสาว 2 คนก็เห็น” แม้ตอนนั้นพี่วิทย์จะยังเด็กมาก แต่ก็จำได้ว่าหลังกระต๊อบนั้นมีน้ำท่วมขัง พี่วิทย์ชอบเอาขาไปเล่นแล้วก็ไปตกปลากับพวกพี่ ๆ แต่พ่อก็จะมาอุ้มพี่วิทย์ออกไป เพราะมีปลิงมาเกาะ แล้วยังจำได้อีกว่าหลังกระต๊อบจะมีกลิ่นเหม็นมาก เพราะทิ้งของเน่าของเสีย อย่างไส้ไก่ไว้..(เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่

album

0
0.8
1
Contact usGreenwave02-665-8377EFM02-665-8373
Advertise with usมัลลิกา ปราบอริพ่าย (กบ)(Atime Showbiz, Online Content)063-282-6915จุฑา วนศานติ (บี) (EFM)02-669-9512, 081-923-9823
อังคณา พองาม (นุก) (Greenwave)02-669-9444-7
ดาวน์โหลด Application ได้แล้ววันนี้ที่atime online application download from app storeatime online application download from play storeติดต่อสอบถาม / แจ้งปัญหาการใช้งานatimeplatform@atimemedia.com
บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน)เลขที่ 50 อาคาร จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส ถนนสุขุมวิท21 (อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขต วัฒนา กรุงเทพ 10110