เพื่อนชวนไปนอนโรงแรมใหม่ ก็คิดว่าจะไม่เจออะไร แต่พอนอนไปกลับรู้สึกไม่สบายใจ ต้องกึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วสวดมนต์ไปด้วย ตื่นมาถึงได้รู้ว่าตัวเองนอนทับที่คนตาย!

อังคารคลุมโปง RECAP

เพื่อนชวนไปนอนโรงแรมใหม่ ก็คิดว่าจะไม่เจออะไร แต่พอนอนไปกลับรู้สึกไม่สบายใจ ต้องกึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วสวดมนต์ไปด้วย ตื่นมาถึงได้รู้ว่าตัวเองนอนทับที่คนตาย!

07 ส.ค. 2023

       ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ มาพร้อมกับ ‘อ.นิ่ม เทวจิตศิษย์ปู่’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (18 กรกฎาคม 2566) พร้อมเสิร์ฟความหลอนถึงหูผู้ฟัง เรื่องราวในครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างที่ อ.นิ่ม เข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง แล้วบังเอิญไปนอนทับที่คนยิงตัวตาย เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อ ไปติดตามกันได้เลย!

       ประสบการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ อ.นิ่ม ต้องไปไหว้เจ้าที่ในต่างจังหวัด โดยปกติแล้วจะไปนอนโรงแรมที่จังหวัดนั้น ๆ หนึ่งคืนก่อนวันเริ่มงานเพื่อแสตนด์บาย  เวลาเข้าพักก็จะเลี่ยงห้องหรือชั้นที่เป็นเลข 3 เพราะเลขนี้สื่อถึงวิญญาณ และหากเป็นไปได้ก็จะไม่เลือกห้องที่ติดข้างบันไดด้วย สำหรับคนอื่นสิ่งเหล่านี้อาจไม่มีอะไร แต่สำหรับคนที่มีเซ้นส์อย่าง อ.นิ่ม ถ้าสามารถเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง วันที่เกิดเรื่องอ.นิ่มเข้าพักโรมแรมกับเพื่อน พนักงานยื่นกุญแจให้เลือก 3 ห้อง โชคดีที่ไม่มีห้องไหนอยู่ชั้น 3 เลย จึงเลือกห้อง ‘211’ และคิดในใจว่าคงปลอดภัยแล้ววันนี้

       อ.นิ่มตกลงกับเพื่อนว่าพอเข้าไปในห้องแล้วหลังจากนั้นอีก 10 นาที จะออกไปหาอะไรกินกัน จากนั้นก็ขับรถออกจากโรงแรมตามปกติ ตอนนั้นที่จอดรถโล่งมาก เมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จ อ.นิ่ม และเพื่อนก็ขับรถกลับมาที่โรงแรม มีเรื่องน่าแปลกใจเกิดขึ้นก็คือ ที่จอดรถเต็มหมด ยกเว้นตรงที่ขับออกมาในตอนแรก ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ยังแซวกับเพื่อนที่มาด้วยกันเลยว่าสงสัยพนักงานคงกันเอาไว้ให้

       เมื่อถึงโรงแรม อ.นิ่ม และเพื่อนก็เข้าห้องนอน ปกติแล้วอ.นิ่มเป็นคนที่ไม่ชอบนอนตรงข้างประตูจึงเลือกนอนตรงฝั่งที่เป็นกำแพง ในขณะที่เล่นโทรศัพท์กันอยู่บนเตียง อ.นิ่มก็รู้สึกร้อน แม้เพื่อนจะปรับแอร์จนเหลือ 19 องศาแล้ว อ.นิ่มก็ยังร้อนอยู่ สุดท้ายก็ต้องไปนอนเตียงฝั่งที่ติดกับประตู แต่พอนั่งลงบนเตียงเท่านั้น ก็ได้ยินหมาหอนดังมาจากข้างนอก

       “อันนี้คอนเฟิร์มใช่ไหมว่าโรงแรมใหม่” อ.นิ่มถามเพื่อน ปกติแล้วถ้ามาที่จังหวัดนี้ ก็จะนอนโรมแรมเดิมตลอด จนมาครั้งนี้เพื่อนชวนให้เปลี่ยนโรมแรม โดยปกติแล้วลูกค้าที่เรียกใช้บริการอ.นิ่มจะต้องส่งภาพโรงแรมที่จะให้เข้าพักมาให้ดูก่อนเพื่อตรวจสอบว่ามันมีอะไรหรือไม่  แต่ที่นี่พึ่งเปิดใหม่เพียงแค่ 2 เดือน ก็คงไม่น่าจะมีอะไร อ.นิ่มจึงยอมเข้าพัก

       สักพักเพื่อนก็ผล็อยหลับไป แต่อ.นิ่มยังไม่หลับ และเริ่มรู้สึกเหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากล จึงเดินไปหยิบสร้อยพระมาตั้งไว้ที่หัวเตียงฝั่งที่ตัวเองนอน ตั้งเสร็จแล้วก็นอนสวดมนต์ ‘บทมหาจักรพรรดิ’ แต่ยิ่งสวด เหงื่อก็ยิ่งออก อ.นิ่มเอาหมอนมาตั้งพิงกับหัวเตียงแล้วลุกขึ้นมานั่งท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วสวดมนต์บทเดิมต่อ หลังจากนั้นก็เริ่มรู้สึกสบายขึ้นมาก ในใจคิดว่า จะหลับท่านี้เลย และยังพูดขึ้นมาในห้องแบบลอย ๆ ด้วยว่า “ถ้าจะมาเอาบุญ เอาไป แล้วแยกย้าย”

       หมาเริ่มหอนอีกรอบ ในจังหวะที่อ.นิ่มเดินไปเข้าห้องน้ำ เมื่อเดินออกมาก็สัมผัสได้ว่ามีใครกำลังมองอยู่ พอหันไปตรงหน้าต่างของห้อง ก็เห็นเงาจาง ๆ ของผู้ชายคนหนึ่งกำลังจ้องมา อ.นิ่มไม่กล้าบอกเพื่อนเพราะกลัวว่าเพื่อนจะขวัญหนีดีฝ่อไปด้วย อ.นิ่มจึงบอกกับผีตนนี้ว่าขอแบ่งบุญให้ แล้วบอกให้ผีตนนี้หยุดปรากฏตัวให้เห็น พอกลับมานอนก็นอนไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องกลับมานอนในท่าเดิมคือนั่งพิงเตียงแบบกึ่งนั่งกึ่งนอน แล้วหลับไปในท่านั้นไปจนถึงเช้า

        พอถึงตอนเช้า อ.นิ่มบอกกับเพื่อนว่าให้ check-out ออกจากโรงแรมนี้ทันที แล้วให้ลงไปถามพนักงานด้านล่างว่าห้องนี้เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ฝ่ายเพื่อนเมื่อลงไปถามพนักงานต้อนรับด้านล่าง พนักงานก็อึกอักไม่กล้าเล่า อ.นิ่มจึงคิดว่าหากคนที่นี่ไม่กล้าเล่า ก็จะลองพยายามไปถามคนในพื้นที่นอกโรงแรมแทน สุดท้ายก็ได้ไปถามกับผู้ใหญ่คนหนึ่งในจังหวัดแห่งนี้

       เขาเล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ก่อน มีหมอทหารคนหนึ่งยิงตัวเองตายในห้องที่อ.นิ่มเข้าพัก ในท่าลักษณะเดียวกันกับที่อ.นิ่มนอนเมื่อคืน ตรงเตียงที่นอนพอดี อ.นิ่มถามต่อว่าทำไมถึงรู้สึกว่าผีตนนี้ไม่ได้บุญที่ตนเผื่อแผ่ไปให้เลย เขาก็บอกว่า ผู้ตายคนนี้นับถือศาสนาคริสต์เลยอาจจะไม่ได้บุญไป เมื่อลองถามต่อถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ว่ามันมีที่มาจากอะไร ผู้ใหญ่คนนี้ตอบได้แต่เพียงว่าหมอทหารคนนี้กำลังจะแต่งงาน เขาเข้าพักในโรงแรมนี้ ไม่พูดกับใคร จอดรถในตำแหน่งเดียวกันกับที่อ.นิ่มและเพื่อนเข้าไปจอด อ.นิ่มมาเช็คทีหลังก็พบว่าเรื่องราวที่ผู้ใหญ่คนนี้เล่าเคยเป็นข่าวใหญ่โตทีเดียว

       อ.นิ่มไม่รู้ว่าเขานับถือศาสนาอะไร หรือสิ่งที่จะทำต่อจากนี้จะส่งถึงเขาหรือไม่ แต่อ.นิ่มก็ทำบุญให้เขาเป็นการถวายเพลและพระประธานองค์หนึ่งให้เพื่อความสบายใจของตัวเอง แล้วขอร้องให้ดวงวิญญาณนี้ไม่ออกมาสร้างความไม่สบายใจให้ใครอีก ขอให้เขาไปอยู่ในที่ของเขา เพราะมันทั้งเดือดร้อนโรงแรมและเดือดร้อนคนที่เข้าพักใหม่ แม้บุญที่อ.นิ่มทำนี้จะไม่สามารถลบล้างกรรมที่ผีตนนี้เคยได้ก่อไว้ แต่ก็หวังว่าจะช่วยทำให้เขาสบายขึ้นบ้างระดับหนึ่ง จนกว่าดวงวิญญาณนี้จะชดใช้กรรมจนหมดอายุขัย

       อ.นิ่มเล่าย้อนให้กับเหล่าดีเจฟังว่าในคืนนั้นก็รู้สึกไม่สบายตัวชอบกล จนแอบคิดจะยกเลิกนัดงานที่ต้องไปทำด้วยซ้ำ เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ทุกครั้งเวลามีคนมาดูดวง อ.นิ่มจะแนะนำให้สวดมนต์ ‘บทมหาจักรพรรดิ’ เพื่อเร่งให้อุปสรรคปัญหาต่าง ๆ นานาเข้ามาหาคนท่องเร็วขึ้น เพื่อในที่สุดแล้วจะได้ผ่านพ้นไปได้โดยเร็วเช่นกัน

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเป็ดน้อยลูกหมอผี 'มันใกล้เข้ามาเเล้ว' l อังคารคลุมโปง X เป้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก [25 ก.พ. 2568 ]

01 มี.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณเป็ดน้อยลูกหมอผี 'มันใกล้เข้ามาเเล้ว' l อังคารคลุมโปง X เป้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก [25 ก.พ. 2568 ]

เมื่อสิ่งที่คืบคลานเข้ามาคือสิ่งที่มองไม่เห็น มันเป็นเสียงเหยียบหญ้าดัง สวบ สวบ สวบ แต่กลับไม่พบใคร จนต้องปั่นจักรยานหนีสุดชีวิต! แต่ใครจะคิดว่าเสียงนั้น ดันตามมาหลอกหลอนถึงในฝันเกือบทั้งอาทิตย์! เรื่องราวสุดหลอนในวัยเด็กจะจบลงอย่างไร? ติดตามได้กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘มันใกล้เข้ามาแล้ว’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’(25 กุมภาพันธ์ 2568) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีีเจเจ็ม’ ที่จะเป็นเพื่อนหลอนไปกับคุณ!! ‘คุณเป็ดน้อย’ เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวคุณเป็ดน้อยเอง เกิดขึ้นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2534 สมัยก่อนคุณเป็ดน้อยชอบปั่นจักรยานไปเล่นบ้านคนนั้นคนนี้ ซึ่งในวันนั้นคุณเป็ดน้อยได้ปั่นจักรยานไปงานวันเกิดเพื่อนคนหนึ่ง พอถึงช่วงเย็นคุณเป็ดน้อยและเพื่อน ๆ ก็นัดกันเพื่อจะมารวมตัวที่บ้านคุณเป็ดน้อย ที่อยู่ซอยที่ 3 ถัดมาจากนั้นหนึ่งซอย จะเป็นซอยที่มียาวที่สุดในหมู่บ้าน ตรงกลางซอยจะมีสะพานข้ามคลองเล็ก ๆ เมื่อนัดแนะกันเสร็จ เด็ก ๆ ก็ปั่นจักรยานออกมา แต่เพื่อนคนอื่นปั่นกันเร็วมาก ยกเว้นคุณเป็ดน้อยที่ปั่นช้า พอไปถึงกลางซอยทางขึ้นสะพาน คุณเป็ดน้อยเริ่มรู้สึกเหนื่อยจึงหยุดพักที่กลางสะพาน ซึ่งทั้งสองข้างของคลองจะเป็นตลิ่ง พอมองไปก็จะเห็นเป็นต้นไม้เรียงรายไม่มีบ้านคน และในตอนที่นั่งพักอยู่นั้น คุณเป็ดน้อยก็ได้ยินเสียง สวบ สวบ สวบ เหมือนเสียงคนเดินผ่านกอหญ้ามาจากตลิ่งริมคลอง ด้วยความปากไว จึงพูดไปว่า “ใครหน่ะ” แต่ก็ไม่เห็นใคร และยังได้ยินเสียงเดินอยู่ แล้วเสียงนั้นก็เริ่มใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ คุณเป็ดน้อยก็ยังคงถามว่าใคร จนกระทั่งคุณเป็ดน้อยเริ่มคิดว่า เสียงที่ดังอยู่คงไม่มีใครหรอกแต่กอหญ้ายวบเหมือนเป็นรอยเท้า และรอยที่กอหญ้ายวบก็มาทางคุณเป็ดน้อยเรื่อย ๆ โดยที่คุณเป็ดน้อยไม่เห็นอะไรเลย ตอนนั้นความคิดในหัวของคุณเป็ดน้อยคิดว่า ‘หญ้ามันยวบได้ยังไง มันเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมมันถึงมาทางเรา’ จนกระทั่งหญ้ายวบมาถึงส่วนปูนที่เป็นสะพาน และเสียงก็เงียบไป คุณเป็ดน้อยจึงได้สติจากเสียงที่เพื่อนตะโกน แล้วรีบปั่นจักรยานต่อ คุณเป็ดน้อยปั่นแบบไม่คิดชีวิตจนล้มได้แผล เมื่อถึงบ้านจึงเข้าไปทำแผลเป็นอันดับแรก ในคืนนั้น คุณเป็ดน้อยก็ฝันว่า ตัวเองมายืนอยู่หน้าบ้าน แล้วมองไปที่สะพาน แล้วก็ได้เห็นผู้ชายคนหนึ่ง ใส่เสื้อสีขาว กางเกงสแลค ค่อย ๆ เดินมาจากสะพาน จนผ่านบ้านหลังแรก คุณเป็ดน้อยก็สะดุ้งตื่น และวันต่อมาคุณเป็ดน้อยได้ฝันแบบเดิม แต่ผู้ชายคนนั้นก็เดินผ่านมาเรื่อย ๆ จนผ่านบ้านหลังที่สอง คุณเป็ดน้อยสะดุ้งตื่นเช่นเดิม โดยที่คุณเป็ดน้อยก็ฝันแบบนี้ทุก ๆ คืน เป็นเวลาเกือบอาทิตย์ จนเริ่มเห็นผู้ชายคนนั้นชัดเจนขึ้น ผู้ชายคนนั้นใส่เสื้อเซิ้ตสีขาวตรงกลางเสื้อมีสีน้ำตาล และก็ไม่ได้ยินเสียงผู้ชายคนนั้นพูด เพราะมองยังเห็นไม่ชัดพอ มีอยู่คืนหนึ่งที่คุณเป็ดน้อยฝันว่าอยู่ในบ้าน ประตูหน้าบ้านเปิดอยู่ และผู้ชายที่เห็นในฝันก็ยืนอยู่หน้าบ้าน ผู้ชายคนนั้นมีแผลขนาดใหญ่อยู่ที่คอ และตรงที่คุณเป็ดน้อยเห็นเป็นสีน้ำตาลคือรอยคราบเลือด ผู้ชายคนนั้นยื่นมือมาและโวยโวยว่าอะไรบางอย่าง ซึ่งได้ยินเสียงไม่ชัด ในตอนที่คุณเป็ดน้อยกำลังตกใจอยู่ ก็ได้มีคนมาจับไหล่จากด้านหลัง และคนที่ยื่นมือมาจับนั้นก็เป็นคุณอาของคุณเป็ดน้อย และคุณอาก็พูดว่า “มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง” พอคุณเป็ดน้อยรู้สึกตัว ก็ไม่เห็นอะไรแล้ว ประตูบ้านก็ปิดสนิท และคุณอายังบอกต่อว่า ทุกคืนคุณเป็ดน้อย มักจะละเมอเดินออกมายืนหน้าบ้าน จนทุกคืนคนในบ้านต้องออกมาอุ้มคุณเป็ดน้อยกลับไปนอนที่เตียงตามเดิม ซึ่งตัวคุณเป็ดน้อยเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นได้อย่างไร คุณเป็ดน้อยจึงพยายามเล่าเรื่องที่ฝันให้คุณอาฟัง แต่คุณอาก็บอกว่า “โอ๊ย เด็กฝัน ไร้สาระ” จากนั้นก็พาคุณเป็ดน้อยกลับไปนอน คืนต่อมาคุณเป็นน้อยก็เห็นผู้ชายที่อยู่ในฝัน มายืนอยู่ตรงหน้าต่างปลายเตียง ในฝันผู้ชายคนนั้นก็ได้ยื่นมือมาจับขาคุณเป็ดน้อย แล้วดึงลงมาจากเตียง จนหล่นลงมาที่พื้น คุณเป็ดน้อยก็ร้องไห้โวยวาย จนปัสสาวะราดอยู่ตรงนั้น ในที่สุดคุณเป็ดน้อยก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาที่ปลายเตียง เพราะเสียงของคนในบ้านที่วิ่งมาในห้อง ทุกคนจึงเริ่มเชื่อในสิ่งที่คุณเป็ดน้อยเล่าเกี่ยวกับความฝัน จึงพาไปทำพิธีที่วัด และหลังจากนั้นคุณเป็ดน้อยก็ไม่เคยเห็นผู้ชายคนนั้นอีกเลย คุณเป็ดน้อยยังบอกต่ออีกว่า เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เป็นคนกลัวผีจนขึ้นสมองไปเลย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณชิ ‘ห้องเตียงคู่’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ปิงปอง [ 4 มิ.ย. 2567]

10 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณชิ ‘ห้องเตียงคู่’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ปิงปอง [ 4 มิ.ย. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณชิ’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนจากประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นจริง มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (4 มิถุนายน 2567) เตรียมขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ห้องเตียงคู่’ จะชวนหลอนจนขนหัวลุกขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย ! เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงของ ‘คุณชิ’ (นามสมมติ) และภรรยา โดยคุณชิเริ่มเล่าว่า ย้อนกลับไปประมาณปลายปีที่แล้ว คืนหนึ่งภรรยาของคุณชิเกิดอาการปวดท้องหนักมาก คุณชิจึงบอกกับภรรยาว่า “ไปโรงพยาบาลดีกว่าไหม ? มานอนทนปวดแบบนี้มันไม่ดีนะ” ซึ่งตอนแรกภรรยาก็รั้นไม่ยอมที่จะไป จนกระทั่งทนไม่ไหว คุณชิจึงพาไปโรงพยาบาล ขณะนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่ม ซึ่งกว่าจะคุยกับหมอเสร็จ เวลาก็ผ่านไปจนเวลาเที่ยงคืนกว่า คุณหมอก็ได้ข้อสรุปว่า ‘ไส้ติ่งอักเสบ’ ต้องเข้าแอดมิดที่โรงพยาบาลทันที หลังจากนั้นฝ่ายทะเบียนก็เข้ามาบอกให้ภรรยาแอดมิดที่ห้อง 601 ระหว่างนั้นก็มีพยาบาลคนหนึ่ง เดินเข้ามาถามว่า “ให้คนไข้เข้าพักที่ห้องไหน” ฝ่ายทะเบนียนก็ตอบว่า “601 ไงค่ะ” พยาบาลก็เกิดอาการเลิ่กลั่กแปลก ๆ แล้วถามว่า “ทำไมให้คนไข้แอดมิดที่ห้องนั้นละ ?” ตอนนั้นคุณชิก็เกิดคำถามในใจแล้วว่า ‘ทำไมถึงนอนห้องนี้ไม่ได้ล่ะ ?’ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ฝ่ายทะเบียนก็ตอบว่า “มันเหลือห้องเดียวแล้ว ไม่มีอะไรหรอก” ก่อนที่จะหันหน้ามามองภรรยาของคุณชิ แล้วบอกว่า “พอดีว่า ห้องนี้มีคุณยายนอนอยู่คนเดียว แต่ไม่มีอะไรหรอกน้อง นอนได้สบาย คุณยายเขาแค่ ชอบนอนเปิดบทสวดฟัง ไม่มีอะไรหรอก” จากนั้น ช่วงเวลาประมาณตี 1 คุณชิและภรรยาก็ได้เข้าไปที่ห้อง 601 คุณชิเห็นว่าเตียงจะถูกจัดให้อยู่ทางด้านซ้าย ซึ่งเตียงแรกเป็นเตียงของคุณยาย และเตียงที่สอง เป็นเตียงของภรรยา และคุณชิยังสังเกตอาการป่วยของคุณยายอีกว่า คุณยายน่าจะอยู่ในอาการโคม่า อาการไม่สู้ดี และพร้อมที่จะไปแล้ว โดยมีเครื่องช่วยหายใจใส่ไว้ทางปาก และมีเสียงหายใจดัง ฮะ.. เฮือกก อยู่เสมอ.. จากนั้นคุณซิก็กลับบ้าน เพราะว่าไม่สามารถอยู่เฝ้าได้ หลังจากที่คุณชิเอาลูกเข้านอน ช่วงเวลาประมาณตี 2 ทางภรรยาก็โทรมา โดยใช้น้ำเสียงกระซิบบอกว่า “เธอ จู่ ๆ เพลงบทสวดก็ดังขึ้นมา เป็นบทสวดภาษาจีน” คุณชิจึงบอกว่า “ทางพยาบาลเข้ามาเปิดให้คุณยายฟังหรือเปล่า ?” ภรรยาของคุณซิตอบว่า “ไม่นะ ถ้าพยาบาลเข้ามา ก็ต้องได้ยินเสียงเปิดประตู” คุณชิได้แต่พูดปลอบใจว่า “มันไม่มีอะไรหรอก เธอคิดไปเอง เธออาจจะไม่ได้ฟังตอนพยาบาลเปิดประตูเข้ามา” หลังจากนั้น ภรรยาก็เหมือนจะสบายใจขึ้น ก่อนที่จะวางสายไป จนเช้าวันรุ่งขึ้น เวลา 9 โมง คุณชิก็ไปเยี่ยมภรรยา ถามว่าเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง ภรรยาก็เล่าว่าบทสวดดังทั้งคืน ไม่สามารถที่จะนอนหลับได้เลย และบทสวดก็เปิดยันเช้า เย็นวันนั้น พยาบาลก็เข้ามาบอกว่า “เดี๋ยวจะได้ย้ายห้องนะ” ภรรยาได้ยินก็รู้สึกสบายใจขึ้น จนเวลาก็ผ่านไปเกือบ 3 ทุ่ม ทางภรรยาของคุณซิ ก็ไม่ได้ย้ายห้องสักที คุณชิจึงไปถามกับพยาบาล พยาบาลก็บอกว่า “ไม่ได้ย้ายแล้วค่ะ พอดีว่าคนไข้แอดมิดเข้ามาใหม่ ทำให้ห้องเต็มเหมือนเดิม” หลังจากนั้นคุณชิก็กลับบ้าน เวลาประมาณ 5 ทุ่ม ทางภรรยาก็โทรมาบอกว่า “บทสวดดังอีกแล้ว แต่ครั้งนี้แปลกมาก เพราะหลังจากบทสวดจบ มีเสียงเรียกมาด้วย เรียกว่า หนู” ซึ่งทางภรรยาก็พยายามชะเง้อมองหาต้นทางของเสียงและเห็นว่า มีเงาคล้ายกับร่างคน สะท้อนม่าน ชะโงกมองมาทางตน ทางภรรยาของคุณชิก็พยายามหลบสายตาไม่มองไปทางนั้น และบอกว่า “เขาใส่หมวกไหมพรหมสีสีชมพู และพยายามเรียกอิหนู อิหนู… อิหนู ซ้ำอยู่นั่นแหละ” คุณชิพยายามปลอบใจว่า “ไม่มีอะไรหรอก คงมีใครมาเยี่ยมคุณยาย ในเวลานี้หรือเปล่า ?” แต่คุณชิก็รู้สึกว่า มันไม่ชอบมาพากล มีบางอย่างแปลก ๆ แต่ก็ไม่อยากให้ภรรยาคิดมาก จึงได้พูดแบบนั้นไป หลังจากนั้น ช่วงเวลาประมาณตี 2 ทางภรรยาก็โทรเข้ามาอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ บอกว่า “เธอ ไม่ไหวแล้วอ่ะ เปิดเสียงบทสวดอะ ไม่เท่าไหร่ แต่นี่เรียกทั้งคืนเลย มารับกลับได้ไหม อยากกลับบ้านมาก เค้าไม่โอเค ไม่ไหวแล้วจริง ๆ” คุณชิจึงได้แต่ปลอบไปว่า “เค้าไปรับเธอกลับไม่ได้ ถึงเค้าไปรับได้ เธอก็ไม่สามารถกลับกับเค้าได้ เพราะเธออยู่ในกระบวนการการรักษาของแพทย์ เธอต้องอดทนนะ พยายามหลับตานอน” คุณชิรู้สึกไม่สบายใจ เพราะไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทำเพียงแค่ปลอบใจภรรยา ซึ่งคืนนั้นคุณชิก็ไม่ได้นอน เพราะทุกครึ่งชั่วโมงทางภรรยาก็จะโทรมา เพราะทุกครั้งเมื่อเพลงจบ ก็จะมีเสียงเรียกทุกครั้ง และช่วงเวลาประมาณตี 5 ทางภรรยาก็โทรเข้ามาเล่าว่า “เมื่อสักพักก่อนหน้านี้ เกิดอะไรขึ้นไม่รู้ เพราะมีพยาบาล 3-4 คน ก็เข้ามามุงอยู่ที่เตียงของคุณยาย ก่อนที่จะใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วก็ออกกันไป ซึ่งตอนที่พยาบาลยังอยู่ เราก็ปวดเข้าห้องน้ำพอดี จึงได้เห็นว่า พยาบาลจัดคุณยายในท่านั่งพิงกับขอบเตียง ถอดเครื่องช่วยหายใจและสายน้ำเกลือ และใส่ชุดเสื้อผ้าใหม่ที่ไม่ใช่ของโรงพยาบาล พร้อมกับหมวกไหมพรมสีชมพู เราไม่น่ามองไปทางนั้นเลย” หลังจากนั้นภรรยาก็หลับไป.. เช้าวันถัดมาก็ถามพยาบาลว่า “คุณยายไปไหนหรอคะ ? เพราะตื่นมาก็ไม่เห็นแล้ว” พยาบาลก็ตอบว่า “อ๋อ คุณยายเสียตั้งแต่เที่ยงคืนแล้วค่ะ” ซึ่งคุณชิก็รู้สึกว่า ‘ตั้งแต่ช่วงหลังเที่ยงคืน ภรรยาได้นอนกับศพตลอดทั้งคืนเลย เพราะเขาพึ่งเอาคุณยายออกไปตอนเช้า’ จึงถามว่า “ทำไมถึงพึ่งมาเอาคุณยายออกไปตอนเช้า” ทางพยาบาลก็ตอบว่า “พอดีว่าห้องดับจิตเต็ม จึงต้องให้คุณยายอยู่ที่นี่ไปก่อน” พอทางภรรยาของคุณชิรู้เช่นนั้นก็ช็อก เพราะต้องนอนต่อที่ห้องนี้อีกหนึ่งคืน แต่คืนต่อมาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะมีคนไข้คนใหม่ เข้ามานอนแทนที่ของคุณยายคุณยายแล้ว..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก ขวัญ INDIGO 'นิมิตประหลาดพระจมน้ำ' I อังคารคลุมโปง X INDIGO [ 12 พ.ย. 2567 ]

21 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจาก ขวัญ INDIGO 'นิมิตประหลาดพระจมน้ำ' I อังคารคลุมโปง X INDIGO [ 12 พ.ย. 2567 ]

ขนลุกกับเศรัทธาความเชื่อใน ‘อังคารคลุมโปง X (12 พฤศจิกายน 2567) ที่ ‘ขวัญ INDIGO’ มาเล่าสิ่งที่เห็นจากภาพจิตสัมผัสทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ อ้าปากค้าง! จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย! คุณขวัญได้เล่าว่า ตนมักจะไปกินข้าวที่บ้านเพื่อนที่ชื่อ ‘ป๋อง’ (นามสมมุติ) บ่อยครั้ง บ้านหลังนี้มีลักษณะเป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น เปิดประตูเข้าไปฝั่งขวาเป็นโทรทัศน์ ข้างหน้าเป็นโต๊ะอาหาร เลี้ยวไปทางขวาจะเป็นห้องครัว ที่ประจำของคุณขวัญคือโต๊ะอาหาร พวกเขามักจะนั่งกินข้าวและพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้คุณป๋องยังเลี้ยงแมวหลายตัว เวลานั่งคุยกันก็มักจะอุ้มแมวมาเล่นด้วย และส่วนตัวของคุณป๋องไม่ค่อยเชื่อเรื่องพระ บ้านของเขาจึงไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในบ้าน ปกติคุณขวัญเป็นคนตื่นเช้า เมื่อก่อนจะสวดมนต์ทุกเช้า นั่งสมาธิ ทำบุญตักบาตร แต่อยู่มาวันหนึ่ง คุณขวัญนั่งสมาธิหลับตาแล้วเห็น ‘หลวงพ่อโสธร’ ท่านจมน้ำ ภาพที่เห็นเป็นองค์พระพุทธรูปสีทอง หลังจากนั้น คุณขวัญก็ไม่สามารถนั่งสมาธิได้ จึงเปลี่ยนมาสวดมนต์แทน แต่ระหว่างสวดมนต์ภาพที่เห็นก็ยังเป็นภาพเดิม คุณขวัญถึงกับเอะใจกับสถานที่ที่เห็นในภาพนั้นว่า ‘ทำไมเห็นบ้านหลังนี้ ทำไมเห็นบ้านป๋องที่น้ำกำลังท่วมแล้วเขารู้สึกถึงความอึดอัด ทรมาน’ หลังจากนั้นก็เห็นเป็นภาพโต๊ะอาหาร คุณขวัญเริ่มเอะใจ จึงตัดสินใจทักไลน์ไปหาคุณป๋องว่า “มึงเป็นไง มีอะไรอยู่ตรงใต้โต๊ะอาหารไหม ช่วยดูให้หน่อย กูเห็นอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นของศักดิ์สิทธิ์อยู่ใต้โต๊ะอาหาร มันเหมือนกับมีน้ำอะไรราดท่านอยู่หรือเปล่า” คุณป๋องก็ตอบกลับบอกว่า “บ้านกูเนี่ยนะ จะมีของศักดิ์สิทธิ์” เนื่องจากคุณป๋องไม่ได้เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุณขวัญจึงบอกไปว่า “รบกวนดูให้หน่อยนะ ขอร้อง” พอผ่านไปถึงช่วงเย็นคุณป๋องก็ทักมาบอกว่า “ไม่มีนะ” คุณขวัญคิดว่าตัวเองน่าจะคิดไปเอง.. วันรุ่งขึ้น คุณขวัญก็เห็นภาพนั้นอีกเหมือนเดิม แต่เห็นสถานที่ชัดเจนกว่าครั้งแรก ‘ท่านอยู่ใต้โต๊ะอาหารโต๊ะตรงนั้นจริง ๆ’ คุณขวัญจึงทักหาคุณป๋องอีกครั้ง คุณป๋องถามกลับมาว่า “เป็นอะไรเนี่ย” ด้วยความที่บอกไปอย่างไรคุณป๋องก็ไม่เชื่อ คุณขวัญจึงบอกว่า “โอเคไม่เป็นไรกูคงคิดไปเอง” พอผ่านไป 2 อาทิตย์ คุณพ่อของแฟนคุณป๋องก็เสียชีวิต คุณป๋องจึงต้องขับรถกลับเชียงใหม่เพื่อไปงานศพ คุณขวัญได้บอกกับเพื่อนว่า “เฮ้ย ขับรถดี ๆ นะ ก่อนออกไหว้ที่บ้านสักหน่อย กวาดบ้านก็ได้ พ่อเสียแล้วทำบ้านให้สะอาดก่อนค่อยเดินทางไปหาพ่อที่เชียงใหม่ไหม” ในใจคุณขวัญรู้สึกไม่สบายใจเนื่องจากคุณขวัญยังไม่สามารถลบภาพนั้นได้ จึงพยายามบอกกับคุณป๋องทำใจดี ๆ ขับรถดี ๆ คุณป๋องบอก “โอเค เดี๋ยวจะทำ” คุณขวัญบอกอีกว่า “ถ้าเชื่อกู กูขออย่างหนึ่ง เอาน้ำถวายหิ้งพระหน่อยก่อนออกเดินทาง หิ้งไม่มีอะไรเลยใช่ไหม” คุณป๋องก็ได้ทำตามที่คุณขวัญบอกทั้งหมด ส่วนแฟนของคุณป๋องในช่วงนั้นรู้สึกจิตใจแย่ พอคุณขวัญทักบอกให้กวาดบ้านทำบ้านให้สะอาดเขาจึงทำตามที่คุณขวัญบอกเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นเวลาประมาณ 5 โมงเย็น ก็มีไลน์เด้งมาพร้อมรูปที่โชว์ถุงพลาสติก ถุงพลาสติกนั้นมีน้ำอยู่ข้างในคือฉี่แมว แล้วมีหลวงพ่อโสธรเป็นตลับอยู่ประมาณ 20-30 ตลับ คุณป๋องถามคุณขวัญว่า “ขวัญ.. มึงเห็นได้ยังไง” คุณขวัญจึงถามกลับมาว่า “แล้วมันมาได้ยังไงมากกว่า!” เพราะคุณป๋องไม่ได้เชื่อเรื่องพระแต่ในบ้านมีพระหลายตลับอยู่ได้อย่างไร สุดท้ายคุณป๋องก็ได้มารู้ว่า คนที่มาทานข้าวด้วย เขาเป็นคนเล่นพระ ช่วงนั้นที่จะมีหลวงพ่อหลายองค์ที่เขาซื้อมาเป็นกล่อง แล้วเขาก็ลืมไว้ซึ่งอยู่ใต้กระเช้าปีใหม่ แมวจึงฉี่ใส่ถุงนั้นมาตลอด จากนั้นกลายเป็นว่าคุณป๋องก็เชื่อเรื่องที่คุณขวัญบอกทุกอย่าง พอคุณป๋องและแฟนทำความสะอาดบ้านเสร็จ พระที่ได้มานั้น คุณขวัญก็บอกให้คุณป๋องขอขมาท่าน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากอาร์ต ‘สุสานบ้านเช่า’ l อังคารคลุมโปง X อาร์ต คืนลอยอังคาร [ 7 ต.ค.2568 ]

20 ต.ค. 2025

เรื่องเล่าจากอาร์ต ‘สุสานบ้านเช่า’ l อังคารคลุมโปง X อาร์ต คืนลอยอังคาร [ 7 ต.ค.2568 ]

ครอบครัว 4 คน ประกอบไปด้วย พ่อ แม่ พี่ และน้อง ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านเช่าที่เป็นไม้และมีใต้ถุน บ้านหลังนี้มีห้องน้ำอยู่นอกตัวบ้าน คืนหนึ่ง พี่ชายปวดปัสสาวะ เขาเลือกที่จะทำธุระกลางบ้าน โดยให้น้ำไหลลงรูผ่านพื้นไม้ลงไปยังใต้ถุน และนี่คือจุดเริ่มต้นของความหลอนที่จะตามหลอกทุกคนในบ้าน ถึงขั้นเอาชีวิตของคนในบ้านไปด้วย! สามารถติดตามไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง x อาร์ต คืนลอยอังคาร’ (7 ตุลาคม 2568) เรื่องนี้ถ่ายทอดโดย 'คุณอาร์ต คืนลอยอังคาร' ซึ่งได้ฟังมาจาก 'คุณกิ๊บ น้ำมันผี' เขาเล่าว่าได้เรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งเพื่อที่จะกลับบ้าน เมื่อคุณกิ๊บขึ้นรถ ลุงแท็กซี่ก็ถามขึ้นมาว่า “เห้ย หนุ่ม เอ็งมาทำอะไรที่ตึกนี้เนี่ย” คุณกิ๊บก็ได้ตอบกลับไปว่า “ผมมาอัดรายการเรื่องผี” จากนั้นลุงแท็กซี่ก็ชวนคุยเพื่อให้บรรยากาศระหว่างทางกลับบ้านไม่เงียบเหงาจนเกินไป “ลองฟังเรื่องลุงมั้ยล่ะ เผื่อจะเอาไปเล่าในรายการอื่นได้” ลุงแท็กซี่แนะนำตัวเองว่าตนชื่อ ‘ต๋อง’ และเล่าว่า.. ย้อนกลับไปเมื่อห้าสิบปีก่อน ตอนนั้นลุงต๋องมีครอบครัวที่อยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 คน มี พ่อ แม่ ลุงต๋อง และน้องชาย ครอบครัวทำอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ทำให้ต้องย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ครอบครัวลุงต๋องได้ย้ายไปอยู่ทางภาคใต้ที่บ้านเช่าหลังหนึ่ง เป็นบ้านไม้ยกสูงติดริมคลอง ใต้บ้านจะเต็มไปด้วยโคลนหรือขี้เลน ด้านหลังเป็นพื้นที่กว้างให้เด็กวิ่งเล่นกันได้ บ้านหลังนี้เป็นบ้านมีชั้นเดียว ห้องน้ำตั้งอยู่ด้านนอก และในบ้านมีสองห้องนอน หนึ่งห้องโถง และหนึ่งห้องครัว จนกระทั่งคืนหนึ่ง ลุงต๋องในวัยเด็กรู้สึกปวดปัสสาวะ จึงตื่นขึ้นมากลางดึก แต่ไม่กล้าไปเข้าห้องน้ำเพราะห้องน้ำอยู่นอกตัวบ้านและบรรยากาศตอนกลางคืนนั้นน่ากลัว ลุงต๋องจึงตัดสินใจเดินมาที่กลางบ้าน ก็ได้เห็นว่าที่พื้นมีรู เหมือนตะปูหลุดออกไป ลุงต๋องจัดการดึงออก และทำธุระตรงนั้นด้วยความมักง่าย เมื่อทำธุระเสร็จ ก็กลับเข้ามานอนในห้อง ลุงต๋องฝันว่าในบ้านที่ตนเองอยู่ มีผู้ชายแก่คนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วก็ถามว่า ‘เห้ยไอหนุ่ม เอ็งเป็นใครเนี่ย’ ลุงต๋องตอบกลับไปว่า ‘ผมมากับพ่อครับ ผมมาอาศัยอยู่ที่นี่’ ชายแก่เอ่ยไล่ตะเพิดให้ออกไป เพราะที่นี่เป็นบ้านของเขา ลุงต๋องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะความกลัว แต่ตัวลุงต๋องก็ยังไม่เล่าให้พ่อแม่ฟัง เรื่องราวผ่านไปจนกระทั่งกลางดึกคืนหนึ่ง เขาปวดปัสสาวะอีกครั้ง จึงคิดว่าไปที่ประจำตรงนั้น แต่ตอนที่ปล่อยน้ำลงไป ก็ได้ยินเสียงน้ำกระทบที่ต่างออกไป เป็นเสียงเหมือนน้ำกระทบกับอย่างอื่นที่ไม่ใช่โคลน ด้วยความอยากรู้ ลุงต๋องจึงชะโงกหน้ามองผ่านรูนั้นลงไปที่ช่องข้างล่าง ในความมืดนั้นมีผู้ชายแก่นั่งอยู่ ชายแก่เอากระป๋องมารองรับน้ำนั้น ด้วยความตกใจกับสิ่งที่เห็น ลุงต๋องก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้อง แต่ก็ได้ยินเสียงจากข้างล่างตะโกนขึ้นมาว่า ‘มึงมาเยี่ยวรดหัวกูทำไม’ ลุงต๋องเปิดประตูห้องนอนเข้าไป น้องชายที่ควรจะนอนอยู่กลับไม่อยู่บนเตียง พอมองซ้ายมองขวาอย่างลนลานบวกกับความกลัวในใจ กลายเป็นว่าน้องชายไปนอนอยู่ที่มุมเตียงแทน ลุงต๊องเห็นดังนั้นก็รีบถามน้องชายว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นน้องชายก็ชี้ไปที่หน้าต่าง พอมองตามไปก็เห็นว่ามีผู้หญิงแก่คนหนึ่งกำลังนั่งยองอยู่บนวงกบหน้าต่างพร้อมกับเท้ามือจับเอาไว้ ลุงต๊องร้องลั่นดังออกมา พ่อกับแม่รีบเข้ามาดู พร้อมกับฟังเรื่องทั้งหมด แต่ท่านก็ยังไม่เชื่อ เช้าวันต่อมา พ่อก็ออกไปทำงาน ส่วนแม่ก็เป็นแม่บ้านคอยดูแลเด็ก ๆ อยู่ที่บ้าน ในขณะที่กำลังทำอาหารอยู่นั้น แม่ก็รู้ราวกับมีคนเดินวนไปมาอยู่ในบ้านตลอด แต่พอหันไปมองก็ไม่พบอะไร ตกดึกมา แม่ก็ฝันว่ามีผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่งที่ค่อนข้างมีอายุเดินเข้ามาหาแล้วต่อว่า ‘เอ็งสอนลูกยังไง ให้ให้มาวิ่งเหยียบหัวอยู่ได้ ทำไมไม่สอนลูกเลย แล้วเป็นใครมาอยู่ในบ้านนี้ได้ยังไง’ พอจบประโยคไม้ของบ้านก็ลั่น แม่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงไม้ ทำให้นึกย้อนไปถึงเรื่องที่ลูกเล่าให้ฟัง แม่จึงปรึกษากับพ่อว่าจะไปถามเจ้าของบ้านว่าที่นี่มีอะไรหรือไม่ เมื่อพ่อไปถามก็ได้ใจความว่าเขาเป็นเพียงคนดูแล ส่วนเจ้าของไม่ได้อยู่แล้ว แต่บ้านนี้ไม่มีอะไร ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ได้ยินดังนั้นครอบครัวของลุงต๊องก็ทำอะไรไม่ได้ จึงใช้ชีวิตอยู่กันต่อไป แต่มีอยู่วันหนึ่ง ลุงต๋องป่วยหนักมาก แม่ก็หายาให้กิน และคิดว่าเป็นเพียงอาการไข้ธรรมดาแต่พอผ่านไป 2-3 วัน ก็ยังไม่ดีขึ้น จึงตั้งใจว่าจะพาไปหาหมอ แต่ก่อนที่จะได้ไปแม่ก็ฝันอีกว่า ผู้หญิงแก่กับผู้ชายแก่เข้ามาในบ้านและไล่พวกเขาให้ออกไป พร้อมกับทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ‘ถ้าไม่รีบออกไปในสองวัน จะเอาลูกไปอยู่ด้วยนะ’ แม่นำความฝันไปเล่าให้พ่อฟัง แต่ก็ยังไม่สามารถย้ายบ้านได้ พ่อบอกให้รออีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ให้งานเสร็จเรียบร้อยก่อน นั่นทำให้แม่เป็นกังวลมาก เพราะกลัวว่าความฝันจะกลายเป็นเรื่องจริง ในเมื่อไม่สามารถย้ายบ้านได้ในทันที และลุงต๊องยังไม่หายจากอาการป่วย แม่จึงพาลุงต๊องไปหาหมอ จากนั้นอาการไข้ก็หาย พ่อที่เห็นเช่นนั้นก็บอกว่า “นี่ไง มันไม่มีอะไร ก็ใช้ชีวิตอยู่มาจนครบกำหนดสองวัน ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น” จนเกือบวันที่เจ็ด พ่อพาลูกไปตลาด แต่ในระหว่างที่กำลังขับรถกลับบ้าน น้องคนเล็กก็กระแอมเหมือนอะไรติดคอ และแถวนั้นอยู่ใกล้โรงพยาบาลพอดี จึงได้ไปหาหมอ หมอก็ค่อย ๆ ล้วงคอ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพราะน้องคนเล็กเสียชีวิตตรงนั้นอย่างกะทันหัน สิ่งที่ติดคอคือดินขี้โคลนเต็มคอ ไม่มีใครสามารถให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ว่าโคลนนั้นมาอยู่ในคอของน้องได้อย่างไร หลังจากเหตุการณ์นั้น พ่อก็ได้ถามกับคนดูแลบ้านอีกครั้ง ท้ายที่สุดเขาก็ยอมสารภาพว่า เจ้าของบ้านหลังนี้เสียชีวิตไปแล้ว สามีเสียชีวิตจากโรคประจำตัว ส่วนภรรยาตรอมใจ ศพของทั้งคู่ไม่ได้ถูกเผา แต่ฝังอยู่หลังบ้าน บริเวณที่เด็กวิ่งเล่นกัน ซึ่งเมื่อสังเกตดูจะเห็นว่าหลังบ้านมีลูกระนาดสองอันที่นูนขึ้นมา นั่นก็คือหลุมศพของเจ้าของบ้านนั่นเอง พอจัดงานศพเสร็จ กลางดึกแม่ก็ฝันอีกครั้ง เห็นเป็นชายแก่หญิงแก่ มาบอกว่า ‘กูเอาลูกมึงมาแล้วนะ’ และยังเห็นผู้ชายคนนั้นดึงคอเสื้อลูกตัวเองให้มาหาเธอ แม่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเจอพ่อที่กำลังนั่งตัวสั่นอยู่ พ่อเองก็เล่าว่าฝันเหมือนกัน พวกเขาไม่สามารถทำอะไรให้น้องได้เลย นอกจากทำบุญอย่างหนัก และออกมาจากบ้านหลังนั้น เวลาล่วงเลยผ่านมาเป็นสิบปี ลุงต๋องอายุประมาณ 17 ปี เขาฝันว่าน้องชายมาหา มาขอบคุณที่คอยทำบุญให้เขามาตลอดสิบปี วันนี้เขารอดแล้ว เขาหลุดพ้นแล้ว และหลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยฝันถึงน้องชายอีกเลย และนี่คือเรื่องราวของลุงคนขับแท็กซี่ที่สูญเสียน้องชายไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1