เพื่อนชวนไปนอนโรงแรมใหม่ ก็คิดว่าจะไม่เจออะไร แต่พอนอนไปกลับรู้สึกไม่สบายใจ ต้องกึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วสวดมนต์ไปด้วย ตื่นมาถึงได้รู้ว่าตัวเองนอนทับที่คนตาย!

อังคารคลุมโปง RECAP

เพื่อนชวนไปนอนโรงแรมใหม่ ก็คิดว่าจะไม่เจออะไร แต่พอนอนไปกลับรู้สึกไม่สบายใจ ต้องกึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วสวดมนต์ไปด้วย ตื่นมาถึงได้รู้ว่าตัวเองนอนทับที่คนตาย!

07 ส.ค. 2023

       ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ มาพร้อมกับ ‘อ.นิ่ม เทวจิตศิษย์ปู่’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (18 กรกฎาคม 2566) พร้อมเสิร์ฟความหลอนถึงหูผู้ฟัง เรื่องราวในครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างที่ อ.นิ่ม เข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง แล้วบังเอิญไปนอนทับที่คนยิงตัวตาย เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อ ไปติดตามกันได้เลย!

       ประสบการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ อ.นิ่ม ต้องไปไหว้เจ้าที่ในต่างจังหวัด โดยปกติแล้วจะไปนอนโรงแรมที่จังหวัดนั้น ๆ หนึ่งคืนก่อนวันเริ่มงานเพื่อแสตนด์บาย  เวลาเข้าพักก็จะเลี่ยงห้องหรือชั้นที่เป็นเลข 3 เพราะเลขนี้สื่อถึงวิญญาณ และหากเป็นไปได้ก็จะไม่เลือกห้องที่ติดข้างบันไดด้วย สำหรับคนอื่นสิ่งเหล่านี้อาจไม่มีอะไร แต่สำหรับคนที่มีเซ้นส์อย่าง อ.นิ่ม ถ้าสามารถเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง วันที่เกิดเรื่องอ.นิ่มเข้าพักโรมแรมกับเพื่อน พนักงานยื่นกุญแจให้เลือก 3 ห้อง โชคดีที่ไม่มีห้องไหนอยู่ชั้น 3 เลย จึงเลือกห้อง ‘211’ และคิดในใจว่าคงปลอดภัยแล้ววันนี้

       อ.นิ่มตกลงกับเพื่อนว่าพอเข้าไปในห้องแล้วหลังจากนั้นอีก 10 นาที จะออกไปหาอะไรกินกัน จากนั้นก็ขับรถออกจากโรงแรมตามปกติ ตอนนั้นที่จอดรถโล่งมาก เมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จ อ.นิ่ม และเพื่อนก็ขับรถกลับมาที่โรงแรม มีเรื่องน่าแปลกใจเกิดขึ้นก็คือ ที่จอดรถเต็มหมด ยกเว้นตรงที่ขับออกมาในตอนแรก ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ยังแซวกับเพื่อนที่มาด้วยกันเลยว่าสงสัยพนักงานคงกันเอาไว้ให้

       เมื่อถึงโรงแรม อ.นิ่ม และเพื่อนก็เข้าห้องนอน ปกติแล้วอ.นิ่มเป็นคนที่ไม่ชอบนอนตรงข้างประตูจึงเลือกนอนตรงฝั่งที่เป็นกำแพง ในขณะที่เล่นโทรศัพท์กันอยู่บนเตียง อ.นิ่มก็รู้สึกร้อน แม้เพื่อนจะปรับแอร์จนเหลือ 19 องศาแล้ว อ.นิ่มก็ยังร้อนอยู่ สุดท้ายก็ต้องไปนอนเตียงฝั่งที่ติดกับประตู แต่พอนั่งลงบนเตียงเท่านั้น ก็ได้ยินหมาหอนดังมาจากข้างนอก

       “อันนี้คอนเฟิร์มใช่ไหมว่าโรงแรมใหม่” อ.นิ่มถามเพื่อน ปกติแล้วถ้ามาที่จังหวัดนี้ ก็จะนอนโรมแรมเดิมตลอด จนมาครั้งนี้เพื่อนชวนให้เปลี่ยนโรมแรม โดยปกติแล้วลูกค้าที่เรียกใช้บริการอ.นิ่มจะต้องส่งภาพโรงแรมที่จะให้เข้าพักมาให้ดูก่อนเพื่อตรวจสอบว่ามันมีอะไรหรือไม่  แต่ที่นี่พึ่งเปิดใหม่เพียงแค่ 2 เดือน ก็คงไม่น่าจะมีอะไร อ.นิ่มจึงยอมเข้าพัก

       สักพักเพื่อนก็ผล็อยหลับไป แต่อ.นิ่มยังไม่หลับ และเริ่มรู้สึกเหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากล จึงเดินไปหยิบสร้อยพระมาตั้งไว้ที่หัวเตียงฝั่งที่ตัวเองนอน ตั้งเสร็จแล้วก็นอนสวดมนต์ ‘บทมหาจักรพรรดิ’ แต่ยิ่งสวด เหงื่อก็ยิ่งออก อ.นิ่มเอาหมอนมาตั้งพิงกับหัวเตียงแล้วลุกขึ้นมานั่งท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วสวดมนต์บทเดิมต่อ หลังจากนั้นก็เริ่มรู้สึกสบายขึ้นมาก ในใจคิดว่า จะหลับท่านี้เลย และยังพูดขึ้นมาในห้องแบบลอย ๆ ด้วยว่า “ถ้าจะมาเอาบุญ เอาไป แล้วแยกย้าย”

       หมาเริ่มหอนอีกรอบ ในจังหวะที่อ.นิ่มเดินไปเข้าห้องน้ำ เมื่อเดินออกมาก็สัมผัสได้ว่ามีใครกำลังมองอยู่ พอหันไปตรงหน้าต่างของห้อง ก็เห็นเงาจาง ๆ ของผู้ชายคนหนึ่งกำลังจ้องมา อ.นิ่มไม่กล้าบอกเพื่อนเพราะกลัวว่าเพื่อนจะขวัญหนีดีฝ่อไปด้วย อ.นิ่มจึงบอกกับผีตนนี้ว่าขอแบ่งบุญให้ แล้วบอกให้ผีตนนี้หยุดปรากฏตัวให้เห็น พอกลับมานอนก็นอนไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องกลับมานอนในท่าเดิมคือนั่งพิงเตียงแบบกึ่งนั่งกึ่งนอน แล้วหลับไปในท่านั้นไปจนถึงเช้า

        พอถึงตอนเช้า อ.นิ่มบอกกับเพื่อนว่าให้ check-out ออกจากโรงแรมนี้ทันที แล้วให้ลงไปถามพนักงานด้านล่างว่าห้องนี้เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ฝ่ายเพื่อนเมื่อลงไปถามพนักงานต้อนรับด้านล่าง พนักงานก็อึกอักไม่กล้าเล่า อ.นิ่มจึงคิดว่าหากคนที่นี่ไม่กล้าเล่า ก็จะลองพยายามไปถามคนในพื้นที่นอกโรงแรมแทน สุดท้ายก็ได้ไปถามกับผู้ใหญ่คนหนึ่งในจังหวัดแห่งนี้

       เขาเล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ก่อน มีหมอทหารคนหนึ่งยิงตัวเองตายในห้องที่อ.นิ่มเข้าพัก ในท่าลักษณะเดียวกันกับที่อ.นิ่มนอนเมื่อคืน ตรงเตียงที่นอนพอดี อ.นิ่มถามต่อว่าทำไมถึงรู้สึกว่าผีตนนี้ไม่ได้บุญที่ตนเผื่อแผ่ไปให้เลย เขาก็บอกว่า ผู้ตายคนนี้นับถือศาสนาคริสต์เลยอาจจะไม่ได้บุญไป เมื่อลองถามต่อถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ว่ามันมีที่มาจากอะไร ผู้ใหญ่คนนี้ตอบได้แต่เพียงว่าหมอทหารคนนี้กำลังจะแต่งงาน เขาเข้าพักในโรงแรมนี้ ไม่พูดกับใคร จอดรถในตำแหน่งเดียวกันกับที่อ.นิ่มและเพื่อนเข้าไปจอด อ.นิ่มมาเช็คทีหลังก็พบว่าเรื่องราวที่ผู้ใหญ่คนนี้เล่าเคยเป็นข่าวใหญ่โตทีเดียว

       อ.นิ่มไม่รู้ว่าเขานับถือศาสนาอะไร หรือสิ่งที่จะทำต่อจากนี้จะส่งถึงเขาหรือไม่ แต่อ.นิ่มก็ทำบุญให้เขาเป็นการถวายเพลและพระประธานองค์หนึ่งให้เพื่อความสบายใจของตัวเอง แล้วขอร้องให้ดวงวิญญาณนี้ไม่ออกมาสร้างความไม่สบายใจให้ใครอีก ขอให้เขาไปอยู่ในที่ของเขา เพราะมันทั้งเดือดร้อนโรงแรมและเดือดร้อนคนที่เข้าพักใหม่ แม้บุญที่อ.นิ่มทำนี้จะไม่สามารถลบล้างกรรมที่ผีตนนี้เคยได้ก่อไว้ แต่ก็หวังว่าจะช่วยทำให้เขาสบายขึ้นบ้างระดับหนึ่ง จนกว่าดวงวิญญาณนี้จะชดใช้กรรมจนหมดอายุขัย

       อ.นิ่มเล่าย้อนให้กับเหล่าดีเจฟังว่าในคืนนั้นก็รู้สึกไม่สบายตัวชอบกล จนแอบคิดจะยกเลิกนัดงานที่ต้องไปทำด้วยซ้ำ เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ทุกครั้งเวลามีคนมาดูดวง อ.นิ่มจะแนะนำให้สวดมนต์ ‘บทมหาจักรพรรดิ’ เพื่อเร่งให้อุปสรรคปัญหาต่าง ๆ นานาเข้ามาหาคนท่องเร็วขึ้น เพื่อในที่สุดแล้วจะได้ผ่านพ้นไปได้โดยเร็วเช่นกัน

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เจรจาก็แล้ว ขอขมาก็แล้ว สุดท้ายต้องมีคนตาย! งานนี้ยายออกโรงปกป้องหลาน แก้แค้นผีนางรำสุดโหด ลั่น! “มึงทำหลานกูเจ็บ 3 วัน เดี๋ยวกูจะทรมานมึง 3 ปี”

08 ธ.ค. 2023

เจรจาก็แล้ว ขอขมาก็แล้ว สุดท้ายต้องมีคนตาย! งานนี้ยายออกโรงปกป้องหลาน แก้แค้นผีนางรำสุดโหด ลั่น! “มึงทำหลานกูเจ็บ 3 วัน เดี๋ยวกูจะทรมานมึง 3 ปี”

เมื่อยายต้องแก้แค้นผีที่ทำให้หลานตัวเองเจ็บและทำให้เพื่อนของหลานต้องตาย ยายจะใช้วิธีไหน ติดตามในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 ธ.ค. 2566) กับเรื่องหลอนจาก ‘พี่แจ๊ค The Ghost Radio’ ที่ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ต้องทึ่ง! เรื่องนี้จะเป็นอย่างไรไปอ่านกันเลย! เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณวิทย์ เซลล์แมน’ ที่ได้มาถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้พี่แจ๊คได้ฟัง เริ่มเรื่องโดยคุณวิทย์เล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณฮูก’ ต้องย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน คุณฮูกมีครอบครัวที่คุณยายเปิดตำหนักเป็นร่างทรง ดูดวง ปัดเป่าทุกข์โศก รักษาอาการเจ็บป่วยด้วยการรมควันให้ชาวบ้านระแวกนั้น และตัวของคุณฮูกก็มีกลุ่มเพื่อน เป็นกลุ่มวัยรุ่นอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าคุณฮูกเป็นหลานของคุณยายท่านนี้ วันหนึ่ง ขณะที่คุณฮูกกำลังนอนอยู่ที่ตำหนักของคุณยาย จู่ ๆ พ่อของเพื่อนคุณฮูกที่ชื่อ ‘คุณโอ๊ต’ ก็มาที่ตำหนักและบอกว่า “ช่วยไปดูโอ๊ตหน่อย โอ๊ตโดนผีเข้า” ได้ยินดังนั้น ยายของคุณฮูกก็รีบไปทันที ตัวคุณฮูกที่ได้ยินก็ตกใจและรีบตามไป พอไปถึงก็เจอคุณโอ๊ตในลักษณะที่โดนผีผู้หญิงเข้า และพูดอยู่เพียงประโยคเดียวว่า “ไอ้พวกนี้มันลบหลู่กู กูจะเอาชีวิตมัน! พวงมึงต้องตาย!” คุณยายที่ได้เห็นแบบนั้นก็เข้าเจรจาพูดคุยว่า “มันเกิดอะไรขึ้น” แต่ผีตนนั้นก็ไม่ได้บอกอะไร พูดแค่ว่า “กูจะเอาชีวิตมัน มันลบหลู่กู พวงมึงต้องตาย” จากนั้น คุณยายก็หันหลับไปถามคุณฮูกว่า “ไหนเล่าให้ฟังซิ มันเกิดอะไรขึ้น เพื่อนเอ็งหนิ” คุณฮูกจึงเริ่มเล่าให้คุณยายฟังว่า “เมื่อวานนี้ กลุ่มเพื่อนได้ไปเล่นน้ำกัน ในระหว่างนั้นก็หาอะไรมาเล่น และเพื่อน ๆ ก็ได้ดำน้ำลงไปเอาก้อนดินมาปาใส่กัน ปรากฏว่า ‘โอ๊ต’ ได้ดำลงไปเอาก้อนดินใหญ่มากขึ้นมาปา แต่พลาดไปโดนศาลที่อยู่ริมน้ำ ทำให้ศาลพัง ของในศาลตุ๊กตานางรำอะไรแตกกระจายไปหมด ทุกคนที่เห็นท่าไม่ดีก็ขอขมา และแยกย้ายกันกลับบ้าน” ยายที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดก็ได้เจรจากับผีตนนั้นว่า “ออกก่อนได้ไหม เรื่องแบบนี้เดี๋ยวให้เด็กไปขอขมาพรุ่งดีได้ไหม ตอนนี้มันมืดแล้ว” ผีตนนั้นก็ตอบสวนกลับมาว่า “ไม่ได้! ต้องไปขอขมาวันนี้ ไม่งั้นกูจะเอามันไป” คุณยายที่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงพยายามทำให้ผีออกจากร่างด้วยวิธีการของยาย จนผีตนนี้ออกจากร่างไป ยายก็เอาด้ายแดงมาพันแขนของโอ๊ตไว้ แล้วก็บอกว่า “วันพรุ่งนี้ ให้เด็กทุกคนรวมตัวกันแล้วไปขอขมาตอนเช้า” เช้ารุ่งขึ้น เด็ก ๆ ทุกคนก็ได้มารวมตัวกันและไปขอขมาที่ศาลแห่งนั้น เรื่องนี้ก็ควรที่จะจบที่ตรงนี้ ที่ทุกคนได้ใช้ชีวิตตามปกติ แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป คุณฮูกได้รถมอเตอร์ไซค์มาใหม่ และอยากจะลองรถ จึงได้ชวนโอ๊ตไปด้วยกัน ในระหว่างที่ขี่ไปนั้นเ คุณโอ๊ตก็ได้ขอคุณฮูกว่า “ขอลองมั่งดิ อยากขี่บ้าง” คุณฮูกก็ให้คุณโอ๊ตลองขี่ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านศาลนั้น ปรากฏว่าจังหวะที่ผ่านศาลนั้น ตัวของคุณฮูกและคุณโอ๊ตก็ได้เห็นผู้หญิงแต่งตัวคล้าย ๆ นางรำมาโผล่ตามที่ต่าง ๆ จนตัวของคุณฮูกรู้สึกว่ากำลังโดนสิ่งนี้รังควาน คุณโอ๊ตที่ตกใจก็รีบขับหลบและหนีด้วยความเร็ว แต่ก็ยังโดนผู้หญิงคนนี้ตามไปทุกที่ จนกระทั่งกำลังจะขี่ข้ามสะพาน ปรากฏว่ารถได้ไปชนกับฟุตบาททำให้รถเสียหลักคว่ำ คุณฮูกถามคุณโอ๊ตว่า “เฮ้ย เพื่อนเป็นยังไงบ้าง” คุณโอ๊ตก็ตอบกลับมาว่า “เจ็บหน้าอกว่ะเพื่อน” หลังจากนั้นทั้งสองคนก็สลบไป มารู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่โรงพยาบาลกันแล้ว คุณฮูกรู้สึกเพียงแค่เจ็บขา และก็คิดห่วงว่าเพื่อนจะเป็นอย่างไรบ้าง จนกระทั่ง 7 โมงเช้า คุณโอ๊ตที่ใส่ชุดคนไข้ก็เดินเข้ามาถามว่า “เฮ้ย ฮูกเป็นไงบ้างวะ ขอโทษนะเว้ยที่ขี่รถแล้วเกิดอุบัติเหตุ” คุณฮูกที่ได้ยินแบบนั้นก็ตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไร เราก็เห็นหนิ ว่าเรากำลังเจอกับอะไรอยู่” หลังจากนั้นตัวของคุณฮูกและคุณโอ๊ตก็นั่งคุยกันอยู่อีกสักพักหนึ่ง คุณโอ๊ตก็บอกว่า “เฮ้ยฮูก ไปก่อนนะ เดี๋ยวกลับไปที่ห้องก่อน ค่อยเจอกันตอนออกจากโรงพยาบาล” จากนั้น คุณโอ๊ตก็เดินออกไป ตัวคุณฮูกจึงกลับไปนอน และหลับไปจนถึงช่วงเย็น คุณยายได้มาเยี่ยมคุณฮูกและถามไถ่อาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง คุณฮูกตอบไปว่าแค่เจ็บขา คุณยายก็ถามขึ้นมาอีกว่า “แล้วรู้ข่าวไอ้โอ๊ตยัง” ด้วยความสงสัยคุณฮูกก็ถามไปว่า “ทำไมอะยาย” แต่สิ่งที่ยายตอบกลับมาทำให้คุณฮูกตกใจเป็นอย่างมากคือ “ไอ้โอ๊ตเสียแล้วนะ ตายไปตั้งแต่เมื่อคืน หัวมันกระแทกแล้วมันจุกหน้าอก ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร” คุณฮูกที่ตกใจและเสียใจมากก็รีบสวนไปว่า “เฮ้ย ยายจะเป็นไปได้ยังไง ก็เมื่อเช้าโอ๊ตยังมานั่งคุยกับผมอยู่ข้างเตียงตรงนี้” หลังจากนั้น ผ่านไป 3 วัน คุณยายก็มาบอกกับคุณฮูกว่า “พ่อของโอ๊ตเขาอยากให้ฮูกบวชให้หน่อยได้ไหม” คุณฮูกก็ตกลงทันที หลังจากที่บวชเสร็จ คุณยายก็มาถามฮูกว่า “เป็นอย่างไรบ้าง” คุณฮูกก็ตอบกลับไปว่า “ผมรู้สึกเจ็บใจที่นอนเจ็บตัวไป 3 วัน” ยายก็ถามกลับมาว่า “แล้วจะเอายังไง” คุณฮูกก็ตอบกลับมาแค่ว่า “ไม่รู้ยาย แต่ผมเจ็บอะ” หลังจากนั้นคุณฮูกก็เล่าเหตุการณ์วันที่เกิดเรื่องให้คุณยายฟังว่าเจออะไรบ้างในตอนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปกับโอ๊ต คุณยายก็พูดมาว่า “มึงทำหลานกูเจ็บ 3 วัน เดี๋ยวกูจะทรมานมึง 3 ปี” ด้วยคำพูดนี้ ตกเย็นวันนั้น คุณยายก็ไปเผาศาลนั้นเพียงคนเดียว เหตุการณ์นี้ก็ผ่านไป ชาวบ้านต่างก็รู้ว่าคุณยายเป็นคนเผาศาลนี้เพราะว่าข่าวมันกระจายไปทั่วว่า ผีนางรำมาทำให้หลานเขาเจ็บ! หลังจากนั้นคุณฮูกก็ใช้ชีวิตตามปกติ แต่ตัดภาพกลับมาที่ตำหนักของคุณยายในตอนนี้ มีหม้อหุงข้าวอยู่ใบหนึ่ง ซึ่งคุณยายจะเสียบปลั๊กหม้อหุงข้าวใบนี้ไว้ตลอดเวลา ตัวของคุณฮูกจะรับหน้าที่เป็นคนเติมน้ำเข้าไปในช่องที่มีไอน้ำออกมา ซึ่งคุณฮูกก็ถามคุณยายตลอดว่าหม้อใบนี้เอาไว้ทำอะไร คุณยายก็ตอบกลับมาเพียงว่า “มันเป็นหม้อเอาไว้นึ่งสมุนไพร เอาไว้รมควันรักษาคน” คุณฮูกก็เข้าใจแบบนี้มาตลอด จนกระทั่งคุณฮูกไปเรียนปวส. 3 ปีผ่านไป ตำหนักแห่งนี้ยังคงเหมือนเดิม จนวันหนึ่งที่คุณฮูกเดินทางกลับมาที่ตำหนักนี้ คุณยายก็เรียกคุณฮูกไปและบอกว่า “เอาหม้อหุงข้าวนี้ไปทิ้ง ยามันน่าจะหมดแล้ว สมุนไพรมันน่าจะนิ่มหมดแล้ว” คุณฮูกที่ได้รับคำสั่งแบบนั้นก็รีบไปจัดการ แต่ขณะที่ไปดึงปลั๊ก ก็แทบจะดึงไม่ออก เพราะปลั๊กนี้ไม่ได้ถอดมา 3 ปีก็ทำให้ถอดออกยาก พอดึงออกมาได้และเปิดฝาออก ก็ทำให้คุณฮูกต้องผงะตกใจ เพราะว่าสิ่งที่อยู่ในนั้น ไม่ใช่สมุนไพร! แต่มันคือตุ๊กตานางรำ! คุณยายนั้นเอาตุ๊กตานางรำมาต้มอยู่ 3 ปี!! จากการที่แค้นผีนางรำมาทำให้หลานตัวเองเจ็บ ทำให้เพื่อนของหลานตัวเองตาย คุณยายก็ได้ทำตามที่ตัวเองลั่นวาจาไว้ว่า “มึงทำหลานกูเจ็บ 3 วัน กูจะทรมานมึง 3 ปี”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

กางเกงมือสองเจ้าของตามมาหา! เรื่องราวของคนชอบเสื้อผ้ามือสอง ซื้อแบบไม่สนใจ จนได้ของแถมกลับมา!

25 ม.ค. 2024

กางเกงมือสองเจ้าของตามมาหา! เรื่องราวของคนชอบเสื้อผ้ามือสอง ซื้อแบบไม่สนใจ จนได้ของแถมกลับมา!

เรื่องนี้เป็นสายจาก ‘คุณมิ้น’ ที่โทรมาเล่าเหตุการณ์ของรุ่นน้องให้แฟนรายการ ‘ อังคารคลุมโปง X’ (16 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับ ‘น้องอาย’ รุ่นน้องของคุณมิ้น เกี่ยวกับเสื้อผ้ามือสองที่ได้ของแถมกลับมาด้วย เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านเลย เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2566 ที่ผ่านมา คุณมิ้นเล่าว่า ‘น้องอาย’ ชอบซื้อเสื้อผ้ามือสองมาก จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่กางเกงลายทหารและกางเกงคาร์โก้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง น้องอายจึงไปหาซื้อกางเกงในร้านที่ไปบ่อย ๆ ก็ได้เจอกางเกงที่มีลักษณะโดนใจ แต่เป็นขนาดของผู้ชาย น้องอายจึงขอผ้าถุงจากแม่ค้าและลองสวม เมื่อลองสวมก็รู้สึกว่าเอวใส่ได้พอดี แต่ช่วงขาของกางเกงยาวเกิน ด้วยความชอบ น้องอายจึงซื้อกลับมาและเอามาเก็บไว้ในตู้ เพื่อที่จะเอาไปตัดขากางเกงให้พอดีกับตัวเอง หลังที่ซื้อกางเกงกลับมา น้องอายรู้สึกเหมือนมีคนอยู่ด้วยตลอดเวลา เวลาทำงานหางตาก็จะเห็นเหมือนกับมีคนเดินอยู่ในห้อง บางทีก็ได้ยินเสียงกุกกักอยู่ในตู้เสื้อผ้า น้องอายจึงมารื้อดู เพราะนึกว่ามีหนู แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร น้องอายเล่าให้คุณมิ้นฟังว่า เคยฝันว่าตัวเองปวดปัสสาวะ และสะดุ้งตื่นเห็นเงายืนอยู่ข้างตู้ที่ปลายเตียง จึงเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟที่โต๊ะข้างเตียง แต่พอเปิดไฟก็ไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้น จึงคิดว่าตัวเองตาฝาด หลังจากนั้นก็ไปเข้าห้องน้ำกลับมาปิดโคมไฟแล้วล้มตัวนอนอีกครั้ง ช่วงกำลังจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงประตูตู้เสื้อผ้าแง้มออก จึงมองดูในความมืด เห็นว่าประตูมันแง้มมานิดนึง แต่ก็นอนต่อเพราะคิดว่าไม่มีอะไร ผ่านไปสักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนกองเสื้อผ้าไหลออกมาจาก น้องอายจึงตัดสินในเปิดไฟห้องเพื่อที่จะเก็บเสื้อผ้าที่ไหลออกมา ในกองผ้านั้นมีกางเกงลายทหารที่เพิ่งซื้อมาอยู่ในนั้นด้วย น้องอายเก็บเสื้อผ้ายัดเข้าตู้เหมือนเดิม ปิดไฟกลับมานอนต่อ หลังจากล้มตัวลงนอนได้สักพัก ยังไม่ทันเคลิ้มหลับ น้องอายบอกว่าได้ยินเสียงบางอย่างในตู้ และตู้เสื้อผ้าก็สั่นโยก น้องอายจึงจับที่เตียงนอนเพราะคิดว่าแผ่นดินไหว ปรากฏว่ามีแค่ตู้ที่สั่น พอตู้หยุดสั่น น้องอายค่อย ๆ ล้มตัวลงนอนแต่สายตายังจ้องอยู่ที่ตู้ เห็นเงาผู้ชายคล้ายตำรวจไม่ก็ทหาร สูงประมาณ 180 เซนติเมตร ไม่แน่ใจว่าหน้าตาเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าดำไปทั้งตัว ยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้ากำลังมองมาที่น้องอาย! น้องอายไม่กล้าจ้องเงานั้นจึงหลบสายตาแต่ก็สังเกตุเห็นว่าผู้ชายคนนั้นใส่เสื้อสีขาว กางเกงลายทหารเหมือนกับที่น้องอายซื้อมา น้องจึงคิดว่าน่าจะต้องเกี่ยวข้องกับกางเกงที่ซื้อมา น้องอายก้มหน้าและพูดออกมาว่า “พี่คะ หนูอยู่คนเดียว พี่อย่าหลอกหนูเลย ถ้าหนูทำอะไรให้พี่ไม่พอใจ หนูขอโทษ” หลังจากพูดจบก็ยังก้มหน้าอยู่แต่ความรู้สึกอากาศรอบตัวหยุดนิ่ง จึงตัดสินใจค่อย ๆ เงยหน้าดูก็ไม่เห็นผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ที่ตู้แล้ว น้องอายจึงเดินไปเปิดไฟห้องและตัดสินใจว่าจะออกไปหาเพื่อน แต่ตอนนั้นเป็นเวลาตี 2 กว่าแล้ว จึงจัดสินใจเปิดไฟแล้วนอนจนถึงเช้า ตื่นเช้ามา น้องอายคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากกางเกงที่ซื้อมา จึงเอากางเกงมาดูแต่ไม่พบอะไร น้องอายจึงตัดสินใจกลับด้านดูด้านใน ทำให้เห็นว่ามีคราบสีแดงคล้ำ ๆ คล้ายเลือด ตรงบริเวณขากางเกงฝั่งซ้าย และขอบกางเกงด้านในมีคราบเลือดเป็นวงขนาดใหญ่ น้องอายจึงโทรไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟังและถ่ายรูปกางเกงส่งไปและมีความคิดว่าจะตามหาที่มาของกางเกงตัวนี้ แต่ร้านไม่น่าจะรู้เพราะเสื้อผ้ามือสองส่วนใหญ่มาจากหลาย ๆ ที่ น้องอายตัดสินใจว่าจะเอากางเกงตัวนี้ทิ้งแต่มีความคิดว่าเขาจะโกรธไหม จึงตัดสินใจเอากางเกงตัวนี้ไปที่วัดและเล่าเหตุการณ์ที่เจอให้กับหลวงพ่อฟัง หลวงพ่อจึงแนะนำให้สวดบังสุกุลและเผากางเกงตัวนี้ให้เขาไป น้องอายทำตามที่หลวงพ่อแนะนำ หลังจากที่ทำไปแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในห้องอีก คุณมิ้นเล่าต่อว่าปัจจุบันน้องอายก็ยังชอบซื้อเสื้อผ้ามือสองอยู่ แต่จะดูให้ละเอียดก่อน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ’เเม่ค้าขายที่นอน‘ l อังคารคลุมโปง X แจ็ค - สาวแอน The Ghost Radio [ 21 ต.ค.2568 ]

06 พ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ’เเม่ค้าขายที่นอน‘ l อังคารคลุมโปง X แจ็ค - สาวแอน The Ghost Radio [ 21 ต.ค.2568 ]

‘พี่แจ็ค The Ghost’ ได้เข้ามาเล่าเรื่องราวของ ‘คุณเจ้าเอย’ แม่ค้าขายที่นอน เธอได้รับออเดอร์จากลูกค้าให้ไปส่งที่นอนที่บ้านหลังหนึ่ง โดยแจ้งไว้ล่วงหน้าว่าถ้าถึงบ้านแล้วให้โทรหา จากนั้นจะให้คนมาเปิดประตูให้ เมื่อไปถึงจุดหมาย ก็ได้ยินเสียงเครื่องปั๊มน้ำในบ้านดัง และยังจับสังเกตได้ว่าน่าจะมีคนอยู่ในบ้าน แต่เมื่อลองถ่ายรูปภายในบ้านดู กลับไม่พบใคร และยังมีเหตุการณ์ที่ชวนขนแขนลุกอีกมากมาย! แม่ค้าขายที่นอนเจออะไรในบ้านหลังนี้กันแน่ และเกิดอะไรขึ้นภายในบ้านหลังนี้? ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X แจ็ค - สาวแอน The Ghost Radio’ (21 ตุลาคม 2568) พร้อมกับ ‘ดีเจแนน - ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘แม่ค้าขายที่นอน’ เรื่องราวนี้มาจาก ‘คุณเจ้าเอย’ โดยพื้นฐานแล้วเธอเป็นคนที่มีสัมผัสที่ 6 หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นคนมีเซนส์ ทางครอบครัวหรือคนใกล้ตัวต่างก็รับรู้เรื่องนี้กันเป็นอย่างดี ปัจจุบันเจ้าเอยมีอาชีพเป็น ‘แม่ค้าขายที่นอน’ ที่มีทั้งขายแบบออนไลน์และออฟไลน์ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เจ้าเอยได้มีโอกาสไปออกบูธขายของที่จังหวัดแห่งหนึ่ง การค้าขายก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น มีลูกค้ามากหน้าหลายตาเข้ามาอุดหนุน จนกระทั่งไปเจอกับลูกค้าคนหนึ่งที่ชื่อ ‘คุณก้อย’ เธอเป็นเจ้าของโรงงานและปล่อยเช่าบ้านจำนวนมาก จึงทำให้การมาซื้อของในแต่ละครั้งจะซื้อด้วยปริมาณที่ค่อนข้างเยอะ ทั้งหมอน ที่นอน และเครื่องห่มต่าง ๆ โดยเฉพาะที่นอนที่มักจะซื้อไปหนึ่งครั้งต่อเดือน อยู่มาวันหนึ่ง มีข้อความจากคุณก้อย ติดต่อมาว่าอยากได้ที่นอนขนาด 3.5 ฟุต ให้ไปส่งตามที่อยู่ที่ให้ไปและยังได้แจ้งมาว่าที่บ้านหลังนั้นไม่มีคนอยู่ ถ้าไปถึงจุดหมายแล้วให้โทรบอกและจะให้คนขับรถไปเปิดบ้านให้ เมื่อถึงวันนัดหมาย เจ้าเอยและแฟนก็นำที่นอนไปส่งยังที่หมาย ตำแหน่งของบ้านหลังนั้นอยู่บริเวณชานเมือง ลักษณะของโครงการหมู่บ้านมีขนาดใหญ่ มีหมู่บ้านเล็กย่อยอยู่ภายในโครงการมากมายจึงทำให้เธอใช้เวลาไปประมาณ 20 นาทีในการตามหาหมู่บ้านของลูกค้า จนในที่สุดก็เจอหมู่บ้านขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เมื่อเจ้าเอยและแฟนขับรถไปที่ป้อมยามเพื่อแลกบัตรก็ได้เจอกับคุณลุงรปภ.ที่ประจำการอยู่หน้าหมู่บ้าน “ไปบ้านเลขที่เท่าไหร่ครับ?” คุณลุงเอ่ยถาม “12/345 ค่ะ” “12/453 หรือเปล่าครับ?” ชายมีอายุย้ำถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “ไม่ใช่ค่ะ 12/345” เธอตอบอีกครั้งด้วยเลขที่เดิม หลังจากแลกบัตรคุณลุงก็ได้สอบถามมาอีกครั้งว่า “มาทำอะไรครับ?” “มาส่งที่นอนให้ลูกค้าค่ะ” “ลูกค้าที่ไหนวะ” น้ำเสียงติดตลกของคุณลุงเอ่ยออกมาลอย ๆ คำพูดแปลก ๆ สร้างความสงสัยให้กับเจ้าเอยและแฟนหนุ่มแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น เมื่อขับเข้ามาภายในตัวหมู่บ้าน ในระหว่างที่ขับไปก็ได้บังเอิญเจอเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังปั่นจักรยานอยู่ข้างหน้ารถ พอถึงทางแยก ผู้หญิงตรงหน้าก็ได้หักเลี้ยวไปทางฝั่งซ้าย เจ้าเอยก็ได้สังเกตุเห็นถึงความผิดปกติเพราะเมื่อมองเข้าไปในซอยที่ผู้หญิงคนนั้นเข้าไปก็พบว่า ทั้งซอยมีแต่บ้านร้าง! แต่ด้วยเวลา ณ ตอนนั้นคือช่วงเที่ยงตรง ภายในใจเจ้าเอยจึงคิดไปว่าหญิงสาวคนนั้นคงเป็นคนไม่ใช่ผี ในขณะที่ขับรถไปเรื่อย ๆ ตลอดทางก็จะมีซอยทั้งซ้ายและขวาแต่มองไปก็พบว่าส่วนใหญ่แทบจะเป็นบ้านร้างทั้งหมด ลักษณะของบ้านหลายหลังนั้นเป็นการก่อสร้างที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ มีรอยตะไคร่ดำเกาะอยู่รอบบ้าน ด้วยความสงสัยเจ้าเอยก็ได้ขับเข้าไปในซอยหนึ่ง ทันทีที่เข้าไปภายในซอยก็ได้เจอกับความผิดแปลกของหมู่บ้านแห่งนี้ เลขที่บ้านที่ควรจะไล่เรียงกันกลับกลายเป็นว่าตัวเลขนั้นสลับปรับเปลี่ยนและข้ามกันไปมาอย่างน่าฉงน จากหลังที่ 1 บ้านเลขที่ 12/343 หลังถัดไปกระโดดข้ามเป็นบ้านเลขที่ 12/516 นี่คือเรื่องราวน่าประหลาดใจที่ตลอดทั้งชีวิตของการทำงานส่งของของเจ้าเอยไม่เคยพบเจอ ทำให้ตัวของเธอเกิดความกังวล เพราะกลัวว่าจะหาบ้านของลูกค้าไม่เจอ ทั้งสองคนตัดสินใจขับรถออกมาจากซอยนั้นและเปลี่ยนเส้นทางขับเข้าไปยังอีกซอยหนึ่ง ขับไปเรื่อย ๆ สลับไปทุก ๆ ซอยจนไปหยุดอยู่ที่ซอยสุดท้าย เป็นซอยที่มีต้นไทรปกคลุมอยู่ทั่วทั้งซอย จนไม่มีแสงแดดสาดส่องมาถึงแม้แต่นิดเดียว ระหว่างทางที่ขับเข้าไปเจ้าเอยสังเกตเห็นบ้าน 3 หลัง มีคนงานกำลังก่อสร้างอยู่ จึงหันไปพูดกับแฟนหนุ่มว่า “หมู่บ้านนี้คงไม่ได้ร้างทั้งหมดหรอก ไม่ได้มีแค่เรา นี่ไงคนเต็มเลย” ไร้เสียงตอบกลับจากแฟนหนุ่ม เขาทำเพียงเคลื่อนตัวรถไปตามทางแต่ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองก็หลงทาง ทันใดนั้นเองภาพตรงหน้าของเจ้าเอยก็ปรากฏเป็นหญิงสาวคนเดิมที่กำลังปั่นจักรยานอยู่ ซึ่งทางที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังไปเป็นเส้นทางเดียวกันกับที่แฟนจะต้องเลี้ยวเข้าไป ขับไปได้เพียงไม่นานหญิงสาวตรงหน้าก็หยุดชะงักกลางถนน ลำตัวยังคงคร่อมจักรยานคันนั้นอยู่ แต่ความเร็วของรถที่แฟนขับมาไม่ได้ลดความเร็วลง จึงพุ่งตัววิ่งผ่านผู้หญิงคนนั้นไป และในตอนที่หันกลับไปมองก็พบว่าผู้หญิงคนนั้นยังคงคร่อมจักรยานอยู่ที่เดิม! ขณะนั้น เจ้าเอยก็รับรู้ได้ว่าตนนั้นได้เจอดีเข้าแล้ว แต่เพราะไม่อยากให้แฟนตื่นตกใจจึงไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง พอขับวนกลับมายังซอยแรก แฟนของเจ้าเอยก็เอ่ยทักขึ้นมาทันที “นี่ไง เจอแล้ว ใช่บ้านลูกค้ารึเปล่า?” “ใช่!” บ้านของคุณก้อยมีลักษณะเป็นบ้านกึ่งร้าง แต่ก็ดูพอจะมีคนมาอาศัยอยู่บ้าง ในระหว่างที่จอดรถและกำลังเอื้อมมือไปดึงเบรกรถลงก็มีสายโทรศัพท์จากคุณก้อยโทรเข้ามาบอกว่าถ้าถึงบ้านของตนแล้วให้เปิดประตูรั้วและถอยรถเข้าไปได้เลย ในตอนที่ถอยรถเข้าไปในตัวบ้าน ตัวของเจ้าเอยก็ลงไปช่วยดูท้ายรถแต่ในขณะเดียวกันเอง เธอก็เห็นว่ากระจกรถสะท้อนเข้าไปในบ้านลูกค้า ซึ่งบ้านของคุณก้อยมีลักษณะเป็นบ้านสองชั้น ข้างหน้ามีประตูบานใหญ่ ถัดไปทางฝั่งซ้ายมีหน้าต่างบานเลื่อน ข้างล่างหนึ่งบานและข้างบนหนึ่งบาน และในจังหวะนั้นเอง เธอก็เห็นภาพสะท้อนของกระจกรถเป็นคนที่กำลังยืนอยู่บนชั้นสองของบ้าน เธอโล่งใจและคิดว่าคงเป็นคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ แต่เมื่อจอดรถรอมาเป็นเวลาสักพักใหญ่ จนแล้วจนเล่าก็ไม่มีใครลงมารับของเสียที แฟนของเจ้าเอยจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป แล้วก็ต้องช็อคกับสิ่งที่เห็น เมื่อด้านในของกลอนประตูนั้นมีโซ่และกุญแจคล้องอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อถ่ายรูปภาพตรงหน้าออกมากลับพบว่าภายในภาพไม่มีโซ่หรือกลอนประตูคล้องอยู่เลย! ในระหว่างที่ตื่นกลัวกับเรื่องราวที่เจอ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเครื่องปั๊มน้ำดังขึ้นมา ครืด ครืด จึงคิดไปเองว่าคนขับรถที่ลูกค้าบอกมาน่าจะกำลังเข้าห้องน้ำอยู่ในตัวบ้าน ด้วยความคิดที่ว่าต้องมีคนอยู่ในบ้านหลังนั้น เธอจึงเดินขึ้นรถไปเพื่อรอและในจังหวะนั้นเองก็มีสายเรียกเขาจากคุณก้อยโทรมาว่า “ขอโทษด้วยนะ พอดีคนขับรถพี่มันเมา ตอนนี้มันแฮงค์อยู่ มันเลยไม่ได้มา ประตูหน้ามันเข้าไม่ได้ น้องเอยเปิดประตูข้างโรงจอดรถแล้วไปได้เลยนะ” สิ้นเสียงปลายสาย เจ้าเอยก็ตัวชา ขนแขนตั้งชันและสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้จะสับสนกับเหตุการณ์ตรงหน้าแต่ก็ยังใจดีสู้เสือ เธอกับแฟนตัดสินใจยกที่นอนออกจากรถและเดินไปที่ประตูข้างโรงจอดรถ และเพื่อความสบายใจของตัวเอง เจ้าเอยจึงตะโกนขออนุญาตเพราะคิดว่าอย่างไรเสียก็ต้องมีคนอยู่ภายในบ้านแน่ ๆ “ขออนุญาตเข้าบ้านนะคะ เอาที่นอนมาส่งค่ะ” “ครับบบบบ” เสียงทุ้มลากยาวดังขึ้นมาจากชั้นสองของบ้าน และตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่คล้ายกับเสียงของรองเท้าผ้าใบกำลังเดินลงบันไดมาและสักพักก็หยุดอยู่ตรงชั้นพักบันได ด้วยความไม่แน่ใจว่ามีคนอยู่ตรงนั้นจริง ๆ เจ้าเอยจึงตัดสินใจยื่นโทรศัพท์เข้าไปและถ่ายภาพนั้นออกมา ปรากฏเป็นภาพบ้านบริเวณชั้นหนึ่ง พื้นเป็นไม้สัก ภายในบ้านสะอาดคล้ายกับมีคนทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลาแต่ตรงชั้นพักบันไดนั้นกลับไม่มีคนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว! ซึ่งห้องที่เธอต้องนำที่นอนไปส่งคือห้องข้างบันได แต่เมื่อเข้าไปนั้นก็พบว่าภายในห้องกลับเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ ราวกับว่าไม่ได้ทำความสะอาดมานาน ต่างจากจุดอื่น ๆ ของบ้านที่สะอาด ภายในห้องนี้ประกอบไปด้วยทีวีเก่าและเตียงเปล่าวางอยู่ข้างใน และในตอนที่เธอและแฟนกำลังจะแกะที่นอนเพื่อตรวจสอบและถ่ายส่งให้ลูกค้า สายเรียกเข้าจากคุณก้อยก็โทรเข้ามาอีกครั้ง “ที่นอนไม่ต้องแกะนะคะ วางไว้ได้เลย” คุณก้อยเอ่ยบอกถูกจังหวะเหมือนตาเห็น จบประโยคนั้น ตัวเธอจึงเดินออกมาจากบ้านและก็พบว่าหน้าบ้านที่ในคราแรกมีรองเท้าของเธอและแฟนวางอยู่ ตอนนี้กลับมีรองเท้าผ้าใบคู่ใหญ่ของใครก็ไม่รู้เพิ่มมาอีกหนึ่งคู่! ด้วยความตกใจ เจ้าเอยจึงรีบวิ่งขึ้นรถของตนเองและปิดประตูโดยเร็ว แต่ฝั่งของแฟนหนุ่มที่กำลังจะล้างมือแต่พอเปิดก๊อกน้ำกลายเป็นว่าน้ำกลับไม่ไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว มอเตอร์น้ำไม่ทำงาน นั่นหมายความว่าเสียงที่ได้ยินในตอนแรกนั้นไม่มีทางเป็นเสียงของเครื่องปั๊มน้ำอย่างแน่นอน ความหวาดกลัวตีตื้นขึ้นมาภายในใจเจ้าเอยเรียกแฟนด้วยชื่อและนามสกุลอย่างเต็มยศ และบอกให้รีบกลับขึ้นมาบนรถ พอแฟนหนุ่มได้ยินก็รีบวิ่งกลับขึ้นมาบนรถ แม้จะไม่เข้าใจการกระทำของแฟนสาวแต่เขาก็ขับรถออกมาทันที ในตอนที่รถเคลื่อนตัวออกมานั้น เจ้าเอยก็ได้ชำเลืองมองไปที่กระจกรถ ในวินาทีนั้นเองที่เธอคิดว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลงแล้ว แต่เธอดันไปเห็นผู้ชายคนเดิมที่เคยยืนอยู่บนชั้นสองของบ้านกำลังชะเง้อคอมองมาทางรถ! เมื่อออกมาจากหมู่บ้านและกลับมายังที่พักของตนเองได้แล้ว ความร้อนใจทำให้เธอเลือกที่จะพิมพ์ข้อความไปถามเรื่องราวทั้งหมดจากคุณก้อย “คุณก้อยคะ พอดีมีเรื่องไม่สบายใจอยากจะปรึกษาค่ะ” ข้อความแสดงถึงความกังวลใจถูกส่งไปยังคุณก้อย “ได้ค่ะ” หลังจากประโยคนั้นถูกส่งมาได้เพียงไม่นาน สายเรียกเข้าจากคุณก้อยก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของปลายสายที่พูดกับเธอโดยที่ตัวของเจ้าเอยยังไม่ได้เอ่ยถามอะไรไปแม้แต่คำเดียว “น้องเอยเก่งมากเลย ขอบคุณนะที่มาส่งให้” “เก่งอะไรคะพี่ หนูก็ไปส่งที่นอนปกติ” เธอตอบกลับไปด้วยความมึนงง คุณก้อยจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นให้เจ้าเอยฟัง.. โดยปกติแล้วบ้านหลังนี้เป็นบ้านที่แฟนชาวต่างชาติของคุณก้อยซื้อไว้ เพราะเป็นโครงการที่ทำเลดี แต่มาอาศัยอยู่ได้เพียงไม่นาน แฟนต่างชาติก็ประสบอุบัติเหตุ ทำให้ร่างกายบาดเจ็บและป่วยติดเตียง แฟนของคุณก้อยรักษาตัวอยู่ที่บ้านหลังนั้นเป็นเวลานานถึง 7 เดือน แล้วก็เสียชีวิตลงในที่สุด รูปร่างของแฟนคุณก้อยที่เป็นชาวต่างชาติจะค่อนข้างตัวใหญ่ ทำให้เวลานอนเกิดความลำบาก บางครั้งที่นอนไม่ได้สบายก็อาจจะทำให้เกิดอาการแผลกดทับได้ คุณก้อยเลยต้องเปลี่ยนที่นอนให้แฟนอยู่บ่อย ๆ หลังจากที่แฟนหนุ่มเสียชีวิตไป คุณก้อยก็ฝันเห็นว่าเขายังอยากได้ที่นอนอยู่ และฝากฝังให้เธอซื้อมาให้เขา ในช่วงแรกคุณก้อยไม่ได้ฝันบ่อยมากนัก แต่ทุก ๆ ครั้งที่เธอนอนหลับอยู่บนที่นอนที่ซื้อมาจากเจ้าเอย เธอก็มักจะฝันถึงแฟนหนุ่มอยู่บ่อย ๆ จนท้ายที่สุดแล้ว ก็ตัดสินใจสั่งที่นอนจากร้านเจ้าเอยให้ไปส่งยังบ้านหลังนั้นที่เขาเคยอยู่ และเพราะกลัวว่าจะโดนปฏิเสธจากร้าน คุณก้อยจึงไม่ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าเอยฟังตั้งแต่แรก หลังจากผ่านเรื่องราวขนหัวลุกนั้นมาได้ ลูกค้าคนนี้ก็ไม่ได้ติดต่อมาหาเจ้าเอยอีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก ขวัญ น้ำมันพราย 'ครูเอก' I อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ 10 ก.ย. 2567]

14 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจาก ขวัญ น้ำมันพราย 'ครูเอก' I อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ 10 ก.ย. 2567]

‘ขวัญ น้ำมันพราย’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ครูเอก’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณขวัญเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฟังมาจาก ‘พี่เอก’ ซึ่งเรื่องนี้ย้อนกลับไปประมาณ 20 - 30 ปีก่อน เป็นช่วงที่พี่เอกกำลังบรรจุเป็นครูที่โรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในภาคเหนือ พี่เอกนั้นจะมีรถส่วนตัวคันเก่า จึงใช้รถคันนั้นขับไปรายงานตัวที่โรงเรียน โดยเดินทางออกจากจังหวัดกาญจนบุรี สมัยนั้นยังไม่มี GPS จึงเกิดการหลง ทำให้เสียเวลาพอสมควร พี่เอกถามคนข้างทางไปเรื่อย แต่ละคนต่างบอกไม่เหมือนกันสักคน ทำให้ถึงโรงเรียนประมาณ 6 โมงเย็น เมื่อขับไปถึง ลักษณะประตูโรงเรียนจะเป็นประตูเลื่อนบานเดียว พี่เอกก็สงสัยว่าทำไมโรงเรียนถึงเงียบผิดปกติ จึงไปยืนดูหน้าประตู และเห็นว่าประตูสามารถเลื่อนได้ พี่เอกจึงเลื่อนประตูแล้วขับรถเข้าไป เมื่อขับเข้าไป ก็เห็นสนามบอลอยู่ตรงกลางของโรงเรียน พี่เอกขับเข้าไปอยู่ฝั่งซ้ายของสนามบอล และหลังสนามฟุตบอลจะมีอาคารไม้สูงสองชั้น มีบันไดอยู่ 3 ขั้นเพื่อขึ้นชั้น 1 และมีทางเข้าออกซ้ายขวา ซึ่งพี่เอกไปจอดอยู่ฝั่งซ้ายของสนามบอลที่มีโรงอาหารเก่า ๆ อยู่ด้านข้าง เมื่อจอดรถเสร็จ พี่เอกก็รู้สึกสงสัย เพราะปกติแล้วโรงเรียนประถมควรจะคึกครื้นกว่านี้ แต่โรงเรียนนี้กลับเงียบผิดปกติ พี่เอกมองหาคนเพื่อสอบถาม แต่มองไปมองมาก็เห็นอาคารเล็ก ๆ เหมือนบ้านชั้นเดียวที่อยู่ข้างตึกเรียน จู่ ๆ บ้านหลังนั้นก็เปิดประตูมา แล้วก็มีคนเดินอกมาจากบ้านหลังนั้นพร้อมลากของออกมาหน้าบ้าน พี่เอกจึงเดินผ่านตึกเรียนไปที่บ้านหลังนั้น ก็เห็นว่าเป็นคุณลุงใส่เสื้อเก่า ๆ พี่เอกจึงตะโกนเรียกคุณลุง คุณลุงหยุดการกระทำแล้วหันมามองพี่เอก แล้วถามว่า “คุณเป็นใคร” พี่เอกจึงตอบว่า “ผมเป็นครูใหม่ที่จะมารายงานตัวครับ” คุณลุงถามว่า “ทำไมมาเวลานี้ ผอ.ก็รอจนกลับไปแล้ว” พี่เอกรีบอธิบายว่าตนหลงทาง คุณลุงจึงให้กุญแจบ้านพักครูที่อยู่บริเวณหลังที่พี่เอกจอดรถ และให้ไปห้องที่ไม่ได้ล็อกกุญแจ เมื่อพี่เอกไปถึง ก็เห็นว่าทั้ง 2 ห้องดันล็อคกุญแจอยู่ พี่เอกจึงลองไขดูถึงได้รู้ว่าเป็นห้องไหน จากนั้นก็เอาของเข้าไปเก็บ เมื่อเก็บของเสร็จ พี่เอกก็คิดจะขับรถเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อหาของกิน ในตอนที่ออกจากห้องก็ยังเห็นคุณลุงขนของอยู่ พี่เอกจึงทักทายทำความรู้จักกับคุณลุง ได้ความมาว่าคุณลุงชื่อ ‘สังเวียน’ และคุณลุงยังบอกให้พี่เอกรีบไปรีบกลับอย่ากลับดึกมาก หลังจากทักทายกันเสร็จ พี่เอกก็ขอตัวออกไปหาอะไรกินในหมู่บ้านตามแผน คนในละแวกนั้นไม่เคยเห็นหน้าจึงถามว่าเป็นใคร พี่เอกก็บอกว่าเป็นครูคนใหม่ของโรงเรียน เมื่อกลับไปถึงโรงเรียนพี่เอกก็แปลกใจว่า ‘ทำไมไม่มีไฟสักดวง’ แต่ก็กลับไปที่ห้องพักแล้วกินข้าวที่ซื้อมา จากนั้นก็อาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวนอน แต่พี่เอกรู้สึกไม่คุ้นที่จึงออกมาเดินเล่น ในขณะที่เดินเล่นก็มีเสียง โครม! ดังมาจากอีกฝั่งของสนามบอล ก็คือหน้าห้องของลุงสังเวียน และก็เห็นว่าลุงสังเวียนเปิดประตูออกมาพร้อมถือไม้กวาดกับถังใส่ของ เมื่อเห็นว่าลุงสังเวียนไม่ได้เป็นอะไร พี่เอกก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ และมองไปที่อาคารไม้พร้อมกับชื่นชมตัวอาคารเพราะมันสวยดี แต่เมื่อแหงนมองไปชั้น 2 ก็แปลกใจกับสิ่งที่เห็น เพราะเห็นนักเรียนยืนเอามือท้าวขอบระเบียงอยู่บนระเบียง พี่เอกจึงตะโกนถามว่าเป็นใคร เด็กคนนั้นหันมามองพี่เอกแล้วยิ้มให้แต่ก็ไม่พูดอะไรแล้วก็วิ่งหายไปในความมืด พี่เอกจึงกลับไปที่ห้องพักเพื่อเอาไฟฉายแล้ววิ่งตามไป แต่จังหวะที่กำลังขึ้นไปไฟฉายดันดับ สักพักได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ พี่เอกก็หันไปดูพร้อมหันไปฉายไปและไปฉายก็ติดพอดี เห็นหัวเด็กอยู่ตรงพื้นบันไดชั้น 2 ลักษณะเหมือนนอนละเอาหัวโผล่มา แล้วเด็กคนนั้นก็ลุกแล้วก็วิ่งย้อนไปอีกฝั่งนึง! พี่เอกก็วิ่งตามไปแต่ก็หาไม่เจอ จนไปถึงห้องสุดท้ายก็เปิดประตูเข้าไปก็ไม่มีอะไร ในระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงเท้าพี่เอกจึงหันกลับไปดูแต่ก็ไม่มีอะไร พี่เอกเริ่มกลัวแล้วก็ตัดสินใจกลับห้อง แต่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตามหลัง พี่เอกเลยหันไปดู สิ่งที่เห็นคือเด็กวิ่งเข้ามาใส่ พี่เอกตกในจนเสียหลัก พอตั้งหลักได้เด็กคนนั้นกลับไปยืนอยู่กลางอาคาร พี่เอกจึงถามว่าเป็นใคร เด็กคนนั้นก็หายเข้าไปในห้องเรียน พี่เอกก็ตามเด็กไปอีก พี่เอกเปิดประตูเข้าไปเห็นเด็กอยู่ตรงหน้าต่าง พี่เอกก็เรียกให้เด็กคนนั้นมาคุย แต่สิ่งที่เห็นคือเด็กกระโดดลงหน้าต่างไป! พี่เอกรีบวิ่งไปดูแต่ก็ว่างเปล่า จากนั้นก็รู้ตัวแล้วว่าตนโดนผีหลอกจึงตัดสินใจวิ่งลงบันไดจะกลับห้อง ก็ได้ยินเสียง โครม! อีกครั้ง ดังมาจากบ้านลุงสังเวียน แล้วก็เห็นประตูบ้านของลุงสังเวียนเปิด จากนั้นพี่เอกก็เห็นว่ามีมือและหน้าเด็กโผล่ออกมา ซึ่งก็คือเด็กคนนั้นแล้วชี้เข้าไปในบ้าน พี่เอกจึงเดินไปหา แต่ก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินบนอาคารเมื่อหันไปก็ไม่มีใคร พอถึงหน้าบ้านลุงสังเวียน พอเข้าไปบรรยากาศในบ้านมีของวางเต็มไปหมด และมีห้องที่ปิดประตูอยู่ พี่เอกจึงตะโกนถามว่า “ลุงอยู่ไหม เป็นอะไรรึเปล่า” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ พี่เอกจึงเดินไปที่ห้องนั้น และเปิดประตูเข้าไปจนเตะเข้ากับขวดเหล้าขาวเต็มไปหมด พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นลุงสังเวียนแขวนคอตายลิ้นจุกปาก พอตั้งสติได้ก็วิ่งออกจากห้องลุงสังเวียน แล้วก็เอากุญแจรถที่ห้อง เมื่อจะขึ้นรถ จู่ ๆ ก็มีรถหลายคันขับเข้ามา แล้วถามพี่เอกว่าเป็นใคร ตนก็รีบอธิบายว่าเป็นครูคนใหม่ของโรงเรียนนี้ ซึ่งคนที่ถามคือครูเวรที่ไปตามตำรวจมา แล้วตำรวจก็พาเดินไปหน้าห้องลุงสังเวียน เพื่อชันสูตร แต่พี่เอกก็ต้องขนลุกเมื่อมองไปที่รูปภาพข้างเตียงของลุงสังเวียนเป็นเด็กคนนั้นที่มีคำว่าชาตะมรณะ ที่ตายยังไม่ถึง 1 อาทิตย์! และได้ความจากครูเวรว่าลุงสังเวียนเป็นปู่ของเด็กคนนี้ เด็กคนนี้พ่อแม่ทิ้ง ลุงสังเวียนจึงเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้ ซึ่งสาเหตุการตายของเด็กคนนี้คือเล่นกับเพื่อนแล้วผลัดตกหน้าต่างไปแปลงผักที่มีไม้ไผ่เสียบอยู่ ซึ่งเด็กคนนี้ตกลงไปแล้วคอเสียบไม่ไผ่ตายคาที่ และวันนี้ครูเวรก็สงสัยว่าทำไมไม่เห็นลุงสังเวียน ก็ได้พบว่าลุงสังเวียนฆ่าตัวตาย เมื่อครูเอกได้รู้เรื่องราวก็เลือกที่จะไปเช่าบ้านอยู่นอกโรงเรียนแทน..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1