เรื่องเล่าจากคุณนิว ‘บ้านกองพัน’ I อังคารคลุมโปง X นนท์ อินทนนท์ [ 9 ก.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณนิว ‘บ้านกองพัน’ I อังคารคลุมโปง X นนท์ อินทนนท์ [ 9 ก.ค. 2567]

16 ก.ค. 2024

       เรื่องราวนี้ ’คุณนิว’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 กรกฎาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ‘ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘บ้านกองพัน’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย!

       คุณนิวเล่าว่า ตนเป็นทหารเรือสัตหีบ และได้ติดยศรับราชการของกองพันนี้ ซึ่งทางกองพันมีบ้านพักให้ คุณนิวจึงใช้ทะเบียนสมรสยื่นขอ ซึ่งปกติต้องเข้าคิวรอบ้านพักประมาณ 2 ปี เวลาผ่านมาประมาณ 1 ปีกว่า พี่คนที่จัดคิวบ้านพักก็ติดต่อมา

       ”นิว เองจะมั้ย บ้านพักอะ“

       คุณนิวถามก่อนเลยว่า ”พี่ ทำไมได้คิวไวจัง“

       แล้วเขาก็ถามกลับมาว่า ”กลัวผีไหม“

       คุณนิวตอบ ”ตัวผมไม่ได้กลัวเพราะเจอบ่อย“

       จากนั้นพี่เขาก็เล่าให้ฟังว่า ที่ได้คิวเร็วเพราะคนที่อยู่บ้านพักนี้เสียชีวิต แต่ไปเสียที่โรงพยาบาล ไม่ใช่ที่บ้าน คุณนิวจึงคิดว่า ‘งั้นก็ไม่เป็นไรนี่ เราได้บ้านไวก็ดี’

       เมื่อถึงวันที่เข้าดูบ้าน ลักษณะบ้านพักของทหารคือบ้าน 2 ชั้น ข้างบนเป็นไม้ ตรงกลางเป็นบันไดไม้ สภาพบ้านสกปรกมาก ขี้นกเต็มไปหมด เหมือนกับว่าลูกสาวของเจ้าของบ้านคนก่อนเอาบ้านนี้ไว้เก็บของอย่างเดียว ไม่ได้อยู่อาศัย คุณนิวจึงทำความสะอาด และย้ายเข้ามาอยู่..

       อธิบายลักษณะบ้านเพิ่มเติมว่า เมื่อเข้าไปในบ้าน ตรงกลางจะเป็นห้องโถง เดินเข้าไปจะเป็นบันไดขึ้นไปชั้น 2 ถัดจากบันไดจะเป็นห้องน้ำ นอกจากนี้ตรงกลางบ้านจะมีเตียงไม้เก่า ๆ สภาพใช้งานไม่ได้ คุณนิวจึงซ่อมจนสามารถกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง จากนั้นก็วางไว้ตรงนั้น เผื่อใช้นอนเวลากลับบ้านมาตอนดึก

       บ้านนี้มีเหตุการณ์แปลกตรงที่ทุกวันพระเวลากลางคืน จะมีเสียงไม้ลั่น คุณนิวเข้าใจว่า บ้านไม้หลังนี้มันเก่าแล้วก็คงจะมีเสียงบ้าง แต่มันจะมีเสียงเฉพาะวันพระ เหมือนคนมาเดินหน้าห้อง ซึ่งคุณนิวไม่ได้กลัว

       ครั้งแรกที่เจอ คุณนิวนอนอยู่ที่เตียงข้างล่าง ลักษณะกึ่งหลับกึ่งตื่น ได้เห็นเงาผู้ชายตัวผอม สูงถึงเพดานมายืนจ้อง คุณนิวไม่ได้กลัว แต่ก็ทำได้แค่จ้องมองกลับไป เงานั้นมองคุณนิวประมาณ 1 นาที จนคุณนิวพูดว่า

       ”ผมไม่ได้กลัวนะ จะไปไหนก็ไป“

       แล้วสิ่งนั้นก็ลอยทะลุเพดานขึ้นไป จริง ๆ แล้ว คุณนิวก็แอบตกใจเพราะไม่เคยเจอเต็มตาแบบนี้มาก่อน ปกติจะเห็นแค่มาแว๊บ ๆ แล้วก็ไป แล้วก็ผ่านไปโดยที่ไม่ได้เล่าให้แฟนฟังเพราะแฟนกลัวผีมาก

       หลังจากวันนั้น พ่อตาก็มานอนที่บ้าน ที่เตียงนี้ แล้วพ่อตาก็โดนเหมือนกัน แต่เป็นในฝัน เป็นผู้ชายตัวสูงมายืนจ้องเหมือนกับที่คุณนิวเจอ ในตอนนั้นคิดเพียงว่า ‘มันก็แค่ฝัน มันอาจจะเหมือนกัน แต่ก็คงบังเอิญแหล่ะ’

       แต่เรื่องที่ไม่บังเอิญคือ แฟนคุณนิวเป็นครู ก็จะมีเด็กมาเรียนพิเศษช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ เป็นเด็กชั้นอนุบาล พอเด็กลงรถมา พ่อแม่ก็กลับไป แต่เด็กคนนั้นร้องไห้ ไม่ยอมเข้าบ้าน พอถามว่าเป็นอะไร น้องก็บอกว่า มีผู้ชายตัวผอม ๆ สูง ๆ ยืนจ้องไม่ยอมให้เข้าบ้าน ซึ่งไม่มีทางที่คุณนิวจะเล่าให้เด็กฟังอยู่แล้ว

       คุณนิวจึงไปเล่าให้พี่ที่ทำงานฟังว่าเจออะไรมา แต่พี่ที่ทำงานสวนกลับมาว่า

       “เอ้อ พี่ว่าจะทักตั้งแต่วันที่ได้คิวแล้ว อยู่ไปได้ยังไงวะ บ้านนั้นมีตายตั้ง 2 ศพแล้ว”

       คุณนิวตกใจถามกลับไปว่า “2 ศพคืออะไรพี่ พี่เขาตายที่โรงพยาบาลไม่ใช่หรอ”

       เขาจึงเล่าให้ฟังว่า “ก็ใช่ แต่ก่อนหน้านั้น มีตายที่เตียงนั่นอีกคนนึง เขาเป็นผู้ป่วยติดเตียง เลยไม่ใช้เตียงนั้นไง ไม่เอะใจหรอ”

       คุณนิวคิดว่าเขาคงหวงเตียง แล้วเวลาก็ผ่านไป..

       ขอเล่าเพิ่มเติมว่า ปกติแล้วตัวคุณนิวจะไปอยู่ที่ชายแดน ส่วนแฟนจะอยู่บ้านคนเดียวบ่อย วันนั้นแฟนโทรมาประมาณ 3-4 ทุ่ม บอกว่า

       “ช่วยด้วย โดนผีหลอก มีชายคนหนึ่งตัวสูง ๆ มากระชากแขน เขาให้ออกจากเตียง พอสบัดแขนออกมาได้ ก็เลยวิ่งออกมาข้างนอก เจอพวกพี่ที่นั่งสังสรรค์กันอยู่ แล้วเล่าลักษณะให้ฟัง พี่เขาก็พูดกันว่านั่นแหล่ะ คนที่ตายในบ้าน”

       วันนั้นคุณนิวเดือดมาก รีบกลับบ้านไปแล้วเข้าไปในบ้าน คุณนิวสบถออกมาว่า

       ”พี่! ผมไม่สนหรอกนะว่าพี่จะอยู่ก่อนหรืออะไร พี่ไปดูชื่อหน้าบ้านว่ามันเป็นชื่อใคร แล้วจะดูไหมคำสั่งกองพันอะ เดี๋ยวจะปริ้นท์มาให้ดู“

       คุณนิวยืนพูดอยู่คนเดียว เหมือนคนบ้า แล้วก็พูดอีกว่า

       ”นี่อะ บ้านผม จะมาอยู่สร้างความเดือดร้อนทำไม เด็กเขามาเรียนก็ไปหลอกเขาร้องไห้ บ้าหรือป่าว!“

       พอหลังจากนั้น 1 อาทิตย์ คุณนิวก็เห็นเลข 3 ตัว แล้วตอนเช้ามืดวันหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเคาะหัวเตียง ป๊อก ป๊อก ป๊อก งวดนั้นถูกหวยทั้งบนและล่าง เหมือนเขามาขอโทษ เพราะคุณนิวพูดว่า “ถ้าอยู่แล้วสร้างความเดือดร้อน ก็ไม่ต้องมาอยู่” แต่ตอนนั้นคุณนิวทำเรื่องคืนบ้านหลังนั้นไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าคนที่มาอยู่ต่อจะเจออะไรไหม..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณโบ ‘206 ห้องอาถรรพ์’ I อังคารคลุมโปง X POPPY C. [ 2 ก.ค. 2567]

06 ก.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณโบ ‘206 ห้องอาถรรพ์’ I อังคารคลุมโปง X POPPY C. [ 2 ก.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณโบว์’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (2 กรกฎาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘206 ห้องอาถรรพ์’ จะหลอนขนาดไหนนั้นไปอ่านกันเลย! คุณโบว์เล่าว่า ก่อนที่จะมาอยู่ที่ห้องเช่าตนอยู่ที่บ้านเป็นปกติ แต่เมื่อต้องมาทำงานในเมืองจึงอยากจะเช่าหอหรือคอนโดอยู่ ไม่นานก็มีน้องแนะนำหอพักแห่งหนึ่งให้ได้รู้จัก จะได้อยู่ใกล้กันด้วย คุณโบว์จึงไปดูสถานที่นั้น ซึ่งหอพักนี้เป็นหอพักที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่หอพักแห่งนี้ค่อนข้างเก่า ด้านขวามือจะเป็นตึก 1 ถ้าตรงไปจะเป็นตึก 2 เมื่อไปถึงเจ้าของห้องก็พาคุณโบว์เดินชมสถานที่ แล้วก็เลือกห้องพัก เมื่อไปถึงตึก 1 ก็ขึ้นไปในห้องที่อยู่ชั้น 2 คุณโบว์รู้สึกว่า ห้อง 206 ดูดี แต่เสียอย่างหนึ่งก็คือมันติดกับถนน จึงขึ้นไปดูชั้น 4 ปรากฏว่าสภาพดีกว่าชั้น 2 แต่คุณโบว์ไม่ค่อยถูกใจ รู้สึกว่าตอนเดินเข้าไปมันอึดอัด คุณโบว์จึงไปเดินอีกตึกแต่ก็ยังไม่ถูกใจ จึงเลือกห้องที่อยู่ชั้น 2 นั่นก็คือห้อง 206 แม้ห้องมีเสียงดังเพราะติดกับถนนแต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตนจึงเลือกห้องนี้ เวลาผ่านไป 1 เดือน คุณโบว์ก็ได้เข้ามาอยู่ห้องนี้ ตอนแรกไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ด้านซ้ายมือจะเป็นประตู ถัดมาจะเป็นชั้นวางของ ปลายเตียงเป็นทีวี ด้านขวามือเป็นห้องน้ำ มีอยู่คืนหนึ่ง คุณโบว์ได้พูดคุยกับเพื่อน เพื่อนก็ได้เล่าเรื่องตลกให้ฟัง คุณโบว์นั่งหัวเราะคุยกันยาวจนถึงตี 2 จากนั้นปลายตาก็สังเกตุเห็นด้านซ้ายเป็นชายผ้าถุง ตอนแรกก็รู้สึกว่าตนอาจจะง่วงนอน หรือตาฝาด จึงพยายามที่จะเพ่งไป แต่ไม่ได้หันหน้าไปมอง เพราะรู้สึกแปลก ๆ ขออธิบายเพิ่มเติมว่าผนังห้องเป็นสีเหลืองทั้งหมด คุณโบว์ได้แต่สงสัยว่าทำไมตนถึงได้เห็นชายผ้าถุง หลังจากนั้นก็ขอวางสายเพื่อน เพราะเริ่มรู้สึกกลัวและมันก็ดึกมากแล้ว พอวางสายเสร็จ คุณโบว์ก็หันไปเล็กน้อย ก็เห็นเป็นผู้หญิงผมยาวใส่ผ้าถุงก้มหน้าแต่ไม่มีขา แต่คุณโบว์เองก็ไม่กล้าที่จะหันไปตรง ๆ เพราะเห็นที่ปลายตาแล้ว จากนั้นก็รวบรวมสติและหันไปอีกที ทีนี้ไม่เจออะไร! คุณโบว์คิดว่าตนตาฝาด และอาจจะมโนคิดภาพไปเอง แต่ก็กลัวจึงเอาพระมาใส่แล้วก็นอนหลับไป วันรุ่งขึ้น คุณโบว์ทำงานเสร็จแต่เลิกเร็วกว่าปกติ จึงกลับมานอนช่วงบ่าย พอนอนไปได้สักพักก็รู้สึกเหมือนถูกอำ กระดิกตัวไม่ได้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนพูดว่า “กูจะกินพ่อกับแม่มึง” คุณโบว์พยายามที่จะพูดแต่พูดไม่ออก จึงรวบรวมสติและสวดมนต์ แต่ก็นึกบทสวดไม่ออกเพราะกลัวมาก จากนั้นก็พยายามพูดว่า “ไม่ได้” ออกไปอีกรอบ ครั้งนี้หลุดออกมาได้ จากนั้นแม่ก็โทรมาพอดี คุณโบว์ตัดสินใจถามแม่ว่า “แม่ ที่บ้านมีอะไรแปลก ๆ หรือเปล่า” แม่ก็บอก “ไม่มีนะ” คุณโบว์ถามต่อว่า “แม่ทำอะไรอยู่” แม่บอกว่า “ แม่กำลังเอาน้ำแดงไปไหว้ทางสามแพร่ง” คุณโบว์จึงสงสัยว่าไปไหว้ทำไมเพราะปกติก็ไม่ได้ทำ ไม่นานคุณแม่ก็บอกว่า “เห็นคนอื่นทำเลยทำบ้าง” คุณโบว์จึงห้ามคุณแม่เพราะตนรู้สึกเหมือนเป็นการเรียกสัมภเวสีเข้าบ้าน หลังจากนั้นคุณโบว์ที่ยังรู้สึกกลัว จึงคิดว่าจะกลับบ้านและไปอัญเชิญพระที่บ้านมาไว้ที่หอ วันต่อมา คุณโบว์กลับบ้านและนำมาพระมาไว้ที่หอ ก็รู้สึกสบายใจขึ้น และคิดว่าตนอาจจะคิดภาพมโนหรือตาฝาดไปเอง ในวันนั้นก็นอนดึก คืนถัดไปก็นอนดึก แล้วก็สวดมนต์ แต่ในขณะที่สวดมนต์คุณโบว์รู้สึกเหมือนมีคนมองอยู่ข้างหลัง แล้วบทสวดที่สวดคือบทชิณบัญชร จากนั้นก็มีเสียงกรี๊ดใส่หู คุณโบว์ตกใจเพราะบริเวณหอพักในตอนนั้นควรจะเงียบสงบ คุณโบว์รู้สึกกลัวมากจึงเอาพระมาวางรอบตัวและใส่พระนอน แต่ก็ทนไม่ไหวเพราะอยากทราบว่าในห้องมีผีจริงหรือไม่ จึงติดต่อหมอดูท่านหนึ่งที่ดังระดับประเทศมาช่วยเหลือ สิ่งแรกที่หมอดูบอกคือให้ออกจากห้องให้เร็วที่สุด เพราะว่าถ้าไม่ออกจากห้องนี้เขาจะทำให้เราซึมเศร้าและฆ่าตัวตาย! แล้วหมอดูก็เล่าให้คุณโบว์ฟังว่า เดิมหอพักนี้ไม่ใช่หอพัก เมื่อ 30 ปีที่แล้วสถานที่นี้เป็นบ้านคน และมีครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่นี่และมีลูกสาว ลูกสาวคนนี้มีความดาร์ก และถูกพ่อแม่ขัดขวาง จึงผูกคอตายที่ประตูซ้ายที่คุณโบว์เห็น ซึ่งวิญญาณเหมือนดลจิตดลใจให้ตัวคุณโบว์มาพักที่ห้องนี้ และเหมือนเขาจะอยากให้คุณโบว์ไปอยู่เป็นเพื่อน เพราะว่าชีวิตคุณโบว์คล้ายกับเขา เวลาที่คุณโบว์อยู่ห้องนี้จะทำให้ทุกข์ใจมาก เช่น บางทีทะเลาะกับแม่ ทะเลาะกับเพื่อน หรือทะเลาะกับแฟน ตัวคุณโบว์ก็จะร้องไห้ทุกวัน และเวลาที่คุณโบว์ร้องไห้เขาก็จะมายืนดู หรือบางทีก็มานอนข้าง ๆ และหมอดูก็บอกต่ออีกว่า หลังจากที่ฟังจบแล้วให้รีบไปถวายพระ 9 นิ้วและปล่อยปลาตามอายุเพื่อส่งวิญญาณไป และให้รีบย้ายออกโดยด่วน คุณโบว์จึงพยายามจะไปทำตามที่หมอดูบอก แต่ก็มีเหตุที่ทำให้ไม่ได้ไป เช่น ฝนตก ติดงาน ทำให้เวลาล่วงเลยไปกว่า 2 เดือน เหมือนเขาไม่อยากให้คุณโบว์ไป จนเวลายืดยาวทำให้คุณโบว์อยู่ห้องนี้ 1 ปีเต็ม พอถึงวันสุดท้ายที่คุณโบว์จะออกจากห้องนี้ คุณโบว์ก็บอกกับเขาว่า “เราทำบุญให้แล้วอย่าตามเรามานะ เราไม่รู้ว่าจะช่วงส่งวิญญาณไปได้ไหม แต่เราเต็มใจที่จะทำบุญให้นะ”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ขับรถไปฟังเพลงไป อยู่ดี ๆ เพลงก็เปลี่ยนกลายเป็นรายการเล่าเรื่องผี!

02 ต.ค. 2023

ขับรถไปฟังเพลงไป อยู่ดี ๆ เพลงก็เปลี่ยนกลายเป็นรายการเล่าเรื่องผี!

‘ถนน’ เป็นอีกสถานที่อันดับต้น ๆ ที่เรามักจะเจอเรื่องหลอนกันบ่อย ๆ ครั้งนี้ ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ก็นำเรื่อง ‘ถนนในตำนาน’ มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 กันยายน 2566) ฟัง บอกเลยว่าเรื่องพีคจน ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ต้องอุทานเสียงหลง! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ปิดไฟแล้วแท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย! พี่แจ็คเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจาก ‘คุณเติ้ล’ เหตุการณ์หลอนเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนเมื่อปี พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา คุณเติ้ลมีอาชีพเกี่ยวกับการจัดงานอีเวนต์ตามห้างสรรพสินค้า ซึ่งต้องรอให้ห้างสรรพสินค้าปิดทำการก่อน คุณเติ้ลจึงจะสามารถเข้าไปเตรียมงานอีเวนต์ได้ วันหนึ่ง คุณเติ้ลได้ไปจัดงานอีเวนต์ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทีมงานก็จัดเตรียมสถานที่ตามปกติ เมื่อเตรียมเสร็จก็ต้องไปทำงานที่จังหวัดกระบี่ต่อ จึงแบ่งออกเป็น 2 ทีม ทีมแรกล่วงหน้าไปก่อนในช่วงบ่าย ส่วนทีมของคุณเติ้ลต้องอยู่รอเพื่อเก็บอุปกรณ์ หลังห้างปิดเวลา 21.00 น. เมื่อถึงเวลาห้างปิด ทีมคุณเติ้ลก็เข้าไปเก็บอุปกรณ์ โดยใช้เวลาไปประมาณ 1 ชั่วโมงเศษทุกอย่างก็เรียบร้อย จากนั้นก็เตรียมตัวออกเดินทางไปจังหวัดกระบี่ แต่ก่อนที่ล้อจะหมุน ก็มีรุ่นพี่คนหนึ่งโทรศัพท์มาเช็คความเรียบร้อยและพูดทิ้งท้ายว่า “ถ้าออกมา ก็ขับรถดี ๆ นะ ถนนเส้นที่จะขับผ่านมันค่อนข้างจะเปลี่ยว ถ้าเจอใครโบกหรือทักก็อย่าจอดนะ ให้ขับเลยไปเลย” จากนั้นรุ่นพี่คนนั้นก็หันกลับไปพูดกับเพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “ไอ้เติ้ลมันไม่กลัวหรอก มันไม่เชื่อหรอก” แล้วสายก็ตัดไป คุณเติ้ลคิดแค่เพียงว่ารุ่นพี่คงเป็นห่วงเรื่องคนที่อันตรายมากกว่า เพราะส่วนตัวนั้นไม่กลัวผี ไม่มีความเชื่อเรื่องผี และไม่เคยฟังเรื่องผี ในเวลา 4 ทุ่มกว่า ๆ คุณเติ้ลก็ขับรถออกมาจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยใช้เส้นทางที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘ถนนในตำนาน’ ที่หลายคนรู้จัก ในตอนกลางวันถนนเส้นนี้จะมีรถไม่มาก ตอนกลางคืนก็แทบจะไม่มีรถ ไฟฟ้าอย่าพูดถึง ส่วนบ้านเรือนตามข้างทางก็หาได้น้อย เรียกได้ว่าเป็นถนนอีกเส้นที่เปลี่ยวใช้ได้ แต่ก็มักจะใช้เป็นเส้นทางเลี่ยงของเหล่าบรรดารถบรรทุกขนาดใหญ่ ส่วนรถที่คุณเติ้ลขับนั้นเป็นรถกระบะที่บรรทุกของหลังรถ วิ่งด้วยความเร็วประมาณ 70-80 กิโลเมตร ในระหว่างที่ขับรถอยู่นั้น ก็เปิดเพลงคลอจากโทรศัพท์ที่เชื่อมกับเครื่องเล่นวิทยุในรถฟังไปด้วย และทุกอย่างก็ดูจะปกติเรียบร้อยดี เมื่อขับไปได้สักพัก เพลงที่เปิดก็เปลี่ยนกลายเป็นรายการเล่าเรื่องผี ‘The Ghost Radio’ แทน ซึ่งคุณเติ้ลไม่เคยกดเปิดฟังเลยสักครั้ง และแทบจะไม่รู้จักรายการนี้เลยเสียด้วยซ้ำ คุณเติ้ลรู้สึกมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องที่เล่าในรายการนั้น เป็นเรื่องหลอนของถนนเส้นหนึ่ง ซึ่งเมื่อฟังดูแล้วก็เหมือนจะเป็นถนนเส้นเดียวกันกับที่คุณเติ้ลกำลังขับรถอยู่ เขาจึงพยายามหยิบโทรศัพท์เพื่อเปลี่ยนเป็นเพลง เมื่อเปลี่ยนเป็นเพลงได้แล้วก็ขับต่อไปอีกสักพัก เพลงที่เขากำลังฟังอยู่มันก็หยุดเงียบหายไป แล้วก็เปิดรายการเล่าเรื่องผีรายการเดิมอีกรอบ ซึ่งเล่าเรื่องต่อจากที่ฟังค้างไว้แบบไม่ขาดตอน คุณเติ้ลพยายามจะเปลี่ยนกลับไปเป็นเพลงอีกครั้ง แต่รอบนี้ก็มีเสียงผู้หญิงพูดแทรกเข้ามาว่า “ไม่อยากฟังเรื่องชั้นหน่อยหรอ?” คุณเติ้ลตกใจกับเสียงนั้น และคิดว่า Sound Effect ของรายการนี้แปลก ๆ จากนั้นก็รีบเปลี่ยนกลับไปเป็นเพลงทันที แต่ก็เหมือนเดิม รายการนั้นก็ดังขึ้นมาแทนที่เพลงอีกครั้ง จึงตัดสินใจถอดสายที่เชื่อมมือถือกับวิทยุออก ปิดเสียงทุกอย่าง และขับรถต่อไปพร้อมกับความเงียบ ระหว่างที่ขับรถนั้น มีช่วงหนึ่งที่รถตกหลุม ทำให้วิทยุในรถเกิดแสงกะพริบขึ้นมา แล้วก็มีเสียงรายการเล่าเรื่องผีอันเดิมดังขึ้นอีกครั้ง เรื่องทุกอย่างยังคงเล่าต่อจากเดิมไม่มี skip ข้าม ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เสียบสายโทรศัพท์มือถือเพื่อเปิดฟังเสียด้วยซ้ำ! คุณเติ้ลพยายามจะปิดเสียง แต่ก็มีเสียงผู้หญิงคนเดิมดังแทรกขึ้นมาว่า “ไม่อยากจะฟังเรื่องของชั้นหน่อยหรอ ไม่อยากลองฟังหน่อยหรอ” คุณเติ้ลรู้สึกตกใจแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเล่าว่าในตอนนั้นเขาไม่ได้รู้สึกกลัว แต่รู้สึกมือสั่น ทำอะไรไม่ถูก และก็ร้องไห้ออกมา ด้วยความที่เป็นรถกระบะรุ่นเก่า จึงกระชากสายวิทยุที่ต่อกับรถออกจนขาด แล้วเสียงวิทยุก็ดับไป คุณเติ้ลยังคงใจสู้ขับรถต่อไป แล้วเขาก็เห็นว่ามันมี ‘บางคน’ หรือ ‘บางอย่าง’ อยู่ข้างทาง คุณเติ้ลไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นคืออะไรกันแน่ จึงขับผ่านเลยไป และเมื่อมองกระจกมองหลัง แสงไฟท้ายรถก็ทำให้เห็นว่าสิ่งนั้นเหมือนกองอะไรบางอย่าง แล้วก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หันมามองที่รถ คุณเติ้ลเล่าเพิ่มว่าลักษณะคล้ายกับผู้หญิงดำ ๆ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเพราะเธอใส่ชุดสีดำ หรือเป็นเงาดำของเธอ เขายังคงขับรถไปเรื่อย ๆ แต่ภายในใจยังคงสบสันว่าสิ่งที่ตนเจอมานั้นมันคืออะไร ขับไปได้ไม่นาน ก็เห็นไฟท้ายรถจากด้านหน้า จึงขับเข้าไปใกล้ ๆ เพราะดีใจคิดว่ามีเพื่อนร่วมทางแล้ว ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งเห็นว่าข้างหน้าเป็นรถสิบล้อ จึงขับตาม คุณเติ้ลรู้ว่าอีก 4-5 กิโลมเตรก็จะถึงทางออก จึงพยายามแซงรถสิบล้อข้างหน้า ก่อนจะแซงไปก็สังเกตว่าของที่บรรทุกมากับรถสิบล้อมีผ้าใบคลุมอยู่ เมื่อแหงนหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นเป็นผู้หญิงนั่งอยู่ข้างบนหลังผ้าใบ เธอชะโงกหน้าลงมามองที่คุณเติ้ล แล้วก็มีเสียงดังเข้ามาในวิทยุอีกครั้งว่า “กำลังจะสุดทางแล้วจะรีบไปไหนล่ะ ไม่อยากฟังเรื่องชั้นหน่อยหรอ” สิ้นเสียงนั้น คุณเติ้ลก็รีบเหยียบคันเร่งแซงรถบรรทุกไปทันที แม้จะมีเสียงบีบแตรและไฟกะพริบสูงจากรถสิบล้อตามมาด้านหลัง แต่เขาก็ไม่สนใจ รีบเลี้ยวรถออกจากเส้นทางจนกระทั่งเจอเข้ากับปั๊มน้ำมันข้างทางแห่งหนึ่ง จึงขับรถเข้าไปจอดรถเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเองในนั้น ผ่านไปไม่นาน รถสิบล้อก็ขับตามเข้ามาในปั๊ม และคุยกับคุณเติ้ลว่า “โหพี่! ทำไมพี่ทำอย่างนี้อ่ะ พี่ชนคนแล้วพี่หนีหรอ!” คุณเติ้ลรีบปฏิเสธไปว่า “ชนคนอะไร!” คนขับรถสิบล้อตอบกลับมาว่า “ก็ผมเห็นพี่ขับรถชนผู้หญิง ผมเปิดไฟก็แล้ว บีบแตรก็แล้ว ทำไมพี่ไม่จอด ผมให้น้องที่นั่งมากับผม อยู่กับผู้หญิงที่คุณชนไว้ตรงนั้น แล้วผมก็ขับมาตามคุณเนี่ย” คนขับรถสิบล้อยังพูดไม่ทันจบประโยค ก็มีรถมูลนิธิขับเข้ามาจอดเทียบใกล้ ๆ จากนั้นน้องของคนขับรถสิบล้อก็ลงจากรถหน้าตาตื่น และเล่าให้ฟังว่าเขาเห็นรถคุณเติ้ลขับชนผู้หญิงคนหนึ่งจนกระเด็นไป ตนกับพี่คนขับพยายามส่งสัญญาณไฟและบีบแตรเรียก แต่คุณเติ้ลก็ไม่จอดรถ ตนจึงลงจากรถเพื่ออยู่เป็นเพื่อนศพ จากนั้นก็ติดต่อเจ้าหน้าที่ ระหว่างนั้นตนก็นั่งเฝ้าผู้หญิงที่ถูกรถชนอยู่ตลอด จนกระทั่งเจ้าหน้าที่มาถึง ศพผู้หญิงคนนั้นก็หายไป! ตนรู้สึกตกใจจึงรีบขึ้นรถตามมา นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังบอกอีกว่า “ที่ผมรีบมาเนี่ย ไม่ใช่อะไร ผมรู้อยู่แล้วว่าถ้าผมทิ้งพี่ไว้ พี่ช็อคตายแน่นอน เพราะผมรู้แล้วว่าพี่เจอแน่ ๆ เคสแบบนี้ พี่ไม่ใช่คนแรกที่แจ้งผม มีคนแจ้งผมเยอะมาก ทั้งเจอผู้หญิงอยู่ข้างทาง เจอผู้หญิงเกาะมากับรถ ใครก็ตามที่แจ้งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ ผมจะรีบมา” คุณเติ้ลได้ฟังเรื่องนี้ก็ตกใจ จึงขอตัวแล้วรีบขับรถต่อไปที่จังหวัดกระบี่ทันที เมื่อถึงที่หมาย คุณเติ้ลก็เล่าเรื่องที่เจอมาให้กับเพื่อนร่วมงานฟัง รุ่นพี่ที่ทำงานดูเหมือนจะไม่เชื่อเรื่องที่เล่าไป คุณเติ้ลจึงไปหาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งได้มาค่อนข้างไม่ตรงกันเท่าไหร่ บางข้อมูลก็ว่าผู้หญิงคนนี้โดนลวงมาฆ่า บ้างก็ว่าโดนฆ่าปาดคอ บ้างก็ว่าโดนเผานั่งยาง และอีกหลาย ๆ ข้อมูล ทำให้ไม่รู้ที่มาที่ไปว่าจริง ๆ แล้ว ผู้หญิงคนนี้มีที่มาอย่างไร..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

บ้านนี้ใครอยู่ก็ตาย! สืบสาวราวเรื่องจึงได้ความว่าคุณยายเคยเลี้ยงปอบเพื่อทำเสน่ห์ใส่คุณตา ต่อมาเลี้ยงไม่ไหวจึงมอบให้คนอื่นไป แต่สุดท้ายมันก็วนกลับมากินคนในบ้านจนหมด มิหนำซ้ำที่ดินของบ้านยังมีบ่อเน่าที่เคยเป็นที่ทิ้งศพทหาร!

12 พ.ค. 2023

บ้านนี้ใครอยู่ก็ตาย! สืบสาวราวเรื่องจึงได้ความว่าคุณยายเคยเลี้ยงปอบเพื่อทำเสน่ห์ใส่คุณตา ต่อมาเลี้ยงไม่ไหวจึงมอบให้คนอื่นไป แต่สุดท้ายมันก็วนกลับมากินคนในบ้านจนหมด มิหนำซ้ำที่ดินของบ้านยังมีบ่อเน่าที่เคยเป็นที่ทิ้งศพทหาร!

‘ท่าปอบหยิบ’ กลายเป็นไอคอนที่ทำให้หลายคนนึกถึง ‘ผีปอบ’ แต่หลังจากที่ได้เจอเข้ากับตัวจริง ๆ ‘คุณอ๊อฟ คนเห็นผี’ ก็ได้เล่าใน ‘รายการอังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (2 พฤษภาคม 2566) ว่าผีปอบจริง ๆ แล้วไม่ได้กินตับไตไส้พุงอย่างที่พวกเรารู้กัน แล้วความจริงที่คุณอ๊อฟได้เจอมาเป็นอย่างไรนั้น ไปหาคำตอบพร้อมกันเลย! คุณอ๊อฟเล่าว่าเรื่องนี้มาจากเคสหนึ่งใน ‘รายการ The sixth sense คนเห็นผี’ เคสนี้ต้องเดินทางไปไกลถึงจังหวัดกำแพงเพชร แต่คืนก่อนที่จะไป คุณอ๊อฟกินยาไทรอยด์จึงทำให้หลับลึกไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ จนทีมงานคนอื่น ๆ ต้องออกเดินทางไปก่อน คุณอ๊อฟจึงกล่าวขอโทษทีมงาน และคิดว่าคงไปไม่ทันแล้ว แต่แล้วก็มีความรู้สึกหนึ่งที่สะกิดคุณอ๊อฟขึ้นมาว่า “ลุก แล้วไปซะ” ตอนนั้นคุณอ๊อฟก็รับรู้ได้เลยว่าเป็นเสียงพระแม่ทุรคาที่ตนนับถือ หลังจากนั้นก็เสิร์ชหาบริการรถเช่าด่วนเพื่อออกเดินทางทันที เมื่อเดินทางมาถึงจังหวัดกำแพงเพชร เส้นทางที่เข้าไปในบ้านของเคสนั้น เหมือนกับหลงเข้าไปในป่าเพราะข้างทางเป็นป่าไม้รกทึบ จะเจอบ้านคนอยู่แค่หลังเดียวต่อระยะทางประมาณหนึ่งกิโลเมตรเกือบตลอดทาง และเมื่อถึงจุดหมายและกำลังจะลงจากรถ พี่คนขับรถก็ทักขึ้นมาว่า “แล้วพี่ผู้หญิงคนนั้นจะลงไปด้วยไหมครับ” คุณอ๊อฟจึงคิดในใจว่า “เรานั่งมาตลอดทางทำไมถึงไม่เห็นใครเลย แล้วทำไมตอนเราขึ้นรถพี่คนขับรถไม่สังเกตบ้างหรอว่าขึ้นมาคนเดียว” จึงตอบกลับพี่คนขับรถไปว่า “ไม่รู้ค่ะ เดี๋ยวถามพี่เขาอีกทีนึงละกัน”จากนั้นก็ลงมาจากรถก่อน ทำให้ได้เห็นหน้าของผู้หญิงคนนั้นเต็ม ๆ และสัมผัสได้ว่าเขาพึ่งขึ้นมาบนรถตอนที่คุณอ๊อฟมองออกไปนอกหน้าต่างระหว่างเดินทางเข้ามา คุณอ๊อฟไม่ได้คิดอะไรต่อ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องถ่ายทำรายการ ระหว่างที่คุณอ๊อฟเข้าฉากก็ได้เห็น ‘ผีกระสือ’ ครั้งแรกในชีวิต ลักษณะคือเป็นหน้าคนที่มีดวงไฟสีส้มกระพริบเป็นจังหวะวูบวาบช้า ๆ ขึ้นมา ซึ่งในตอนนั้นเห็นอยู่ไกล ๆ และทุกคนก็เห็นเหมือนกันหมด มาถึงเรื่องของเคสในวันนั้นกันบ้าง เจ้าของเคสเล่าว่าตนนั้นซื้อบ้านมาจากที่ดินแบ่งขายสำหรับให้ทำกิน เมื่ออยู่กับครอบครัวไปได้สักพัก คุณยายก็เริ่มป่วย โดยมีอาการผอมแห้ง ซูบผอมลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียชีวิต ต่อมาก็เป็นคุณตาและญาติที่มีอาการเดียวกัน และอาการเหล่านั้นก็มาถึงตัวเขา เจ้าของเคสเล่าว่าเมื่อก่อนเขาเป็นคนรูปร่างอ้วนท้วมอุดมสมบูรณ์ แต่พอกลับมาอยู่บ้านหลังนี้ รูปร่างก็กลับผอมแห้ง นอกจากนี้ครอบครัวของเขาก็เลิกราแยกย้ายออกไป ทำให้เขาต้องอยู่บ้านหลังนี้คนเดียว เขาจึงกลัวว่าอาจจะต้องเสียชีวิตเหมือนกับตายายและญาติของเขาอีกเป็นแน่ ต่อมาเจ้าของเคสได้พาไปดูบริเวณรอบ ๆ บ้านแต่ก็ไม่พบอะไรเชื่อมโยงถึงปอบเลย จนกระทั่งได้ขึ้นไปดูชั้นสองของบ้าน คุณอ๊อฟสัมผัสได้ว่ามันมีอะไรอยู่ข้างบน แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่า ‘สิ่งนั้น’ คืออะไร จนได้เจอกับรูปคุณตาคุณยาย และสัมผัสได้ว่าเมื่อก่อนตอนสาว ๆ คุณยายชอบคุณตา จึงไป “ทำเสน่ห์เพื่อให้คุณตาหลงรัก” และได้อยู่กินด้วยกัน แต่สุดท้ายมันเหมือนกับว่า “อยู่แต่ตัวแต่ใจไม่อยู่” นับวันก็มีแต่จะแห้งเหี่ยวลงไปเรื่อย ๆ คุณยายจึงต้องหมั่นไปเติมของและเลี้ยงสิ่งนั้นด้วยเลือด คุณยายรู้ว่าสิ่งนั้นคือปอบและเลี้ยงต่อไม่ไหว จึงเอาไปฝากบ้านข้างหน้าที่อยู่ถัดห่างออกไปจากบ้านตัวเองประมาณ 2-3 กิโลเมตรให้เลี้ยงแทน แต่คนที่บ้านหลังนั้นก็สติฟั่นเฟือน ทำให้เลี้ยงไม่ดีพอ ปอบจึงกินคนในบ้านหลังนั้นแทน และกลับมาไล่กินคุณยายเจ้าของดั้งเดิมและคนเกี่ยวข้องไปทีละคน ขณะที่กำลังสืบสาวราวเรื่องอยู่นั้น คุณอ๊อฟก็ได้เห็นสิ่งหนึ่งในเงามืด ลักษณะคือเป็นคุณยายที่หน้าตาเหมือนกับผู้หญิงที่นั่งรถเช่ามากับคุณอ๊อฟเป๊ะ!! “แถมร่างนั้นก็ค่อย ๆ คลานแบบ 4 ขา และกำลังหักคอตัวเองไปมา” เดินออกมาจากอีกห้องหนึ่ง มายืนอยู่ตรงหน้าคุณอ๊อฟก่อนที่จะหายไป! คุณอ๊อฟบอกว่า “เคยมีความคิดเกี่ยวกับปอบว่า มันจะต้องกินไส้ กินตับ หรืออะไรดิบ ๆ แต่จริง ๆ แล้ว ปอบมีลักษณะคือ มันจะค่อย ๆ กินจากจิตใจ เหมือนสะกดจิตเราว่าต้องเป็นซึมเศร้า เราจะต้องไม่คบหาสมาคมกับใคร เราจะต้องอยู่แบบนี้อยู่คนเดียว และไม่กินข้าว กระทั่งมันสูบพลังชีวิตเราไปทีละนิดจนหมด ตัวอย่างเช่น เมื่อคน ๆ หนึ่งโดนปอบสิง และมีสังคมรอบข้าง เขาจะค่อย ๆ ถอยตัวห่างออกมาจากสังคมนั้น ทำให้พลังชีวิตนอกบ้านมันเริ่มหาย และเมื่อเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านพลังชีวิตมันก็หมุนอยู่แต่ในบ้าน และหลังจากนั้นมันก็จะตัดพลังชีวิตที่หมุนเวียนอยู่ในบ้านออกไปอีกโดยทำให้คนในครอบครัวแยกกันอยู่คนละที่ ทำให้พลังงานนั้นก็จะหมุนอยู่กับแค่ตัวเอง และสาเหตุการเป็นปอบมันเกิดจากการที่คนนั้นเคยมีความอิจฉาริษยาโลภมากในจิตสุดท้ายก่อนตาย” หลังจากผ่านเหตุการณ์สยองนั้นมาได้ คุณอ๊อฟก็เล่าต่ออีกว่าทีมงานสัมผัสได้ถึงเมืองบังบด (เมืองลับแลของกำแพงเพชร) ตั้งอยู่ในพื้นที่บริเวณบ้าน ซึ่งพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ประหารคนในช่วงสงครามสมัยก่อน และเป็นที่สำหรับโยนศพของทหารลงไปในบ่อหลังบ้านเจ้าของเคสได้ยินดังนั้นก็ขนลุก เพราะที่ผ่านมาตนได้พยายามขุดลอกบ่อนั้นมาหลายครั้ง แต่ลอกยังไงก็ยังเหม็นเน่าอยู่ตลอด จึงตัดสินใจปลูกบัวแต่ก็ไม่สำเร็จอีก สุดท้ายจึงปล่อยเน่าอยู่อย่างนั้น คุณอ๊อฟจึงแนะนำไปว่าวิธีแก้ง่ายที่สุดเลยคือการย้ายออกจากที่นี่ เจ้าของเคสถึงกับอึ้งอยู่พักหนึ่ง เพราะการทิ้งถิ่นกำเนิดก็เป็นเรื่องที่ทำใจลำบาก แต่ก็มีอีกวิธีนั่นก็คือ ต้องพลิกหน้าดินโดยใช้น้ำมนต์ธรณีสารล้างพื้นดิน ต่อมาคือตัวเจ้าของเคสต้องหมั่นทำบุญ เพราะคุณอ๊อฟรู้ได้เลยว่าตัวเจ้าของเคสไม่ค่อยทำบุญ สวดมนต์ นั่งสมาธิ หรือทำทานเลย แม้แต่บุญเก่าที่เขาเคยทำมาก็ไม่มีติดตัว จึงทำให้ไม่มีสิ่งใดเป็นเกราะคุ้มครอง เจ้าของเคสก็ลังเลว่าเขาจะทำได้หรือไม่เพราะที่ผ่านมาไม่เคยทำจริง ๆ คุณอ๊อฟจึงตอบไปว่า “ลังเลไม่ได้นะมันคือชีวิตคุณ ถ้าคุณไม่ทำ คุณไม่เริ่ม เราก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว” เมื่อคุณอ๊อฟเล่าจบ ดีเจแนนก็ได้ถามคุณอ๊อฟไปว่าถ้าเกิดเจ้าของเคสตัดสินใจย้ายที่อยู่ออกไปจริง ๆ และไปใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้ถือศีลภาวนาหรือทำบุญใด ๆ จะเป็นอย่างไร คุณอ๊อฟก็ตอบว่า “ก็อาจจะหลุดพ้นจากปอบตัวนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปเจออะไรในข้างหน้าอีกเพราะไม่มีอะไรคุ้มครองเขาไว้เลย มันเป็นเหมือนการหนีปัญหา แต่ไม่หาทางแก้ ดังนั้นต้องหมั่นทำบุญสร้างกุศลให้ตัวเอง เพื่อเป็นเกราะป้องกันจากสิ่งที่มองไม่เห็น”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

ห้องรวมความหลอน!! เรื่องราวของคนไข้ห้องรวม ที่ห้ามเรียกพยาบาลกลางดึก เพราะไม่รู้ว่า ที่เดินมาจะเป็นคนหรือผี!!

26 ม.ค. 2024

ห้องรวมความหลอน!! เรื่องราวของคนไข้ห้องรวม ที่ห้ามเรียกพยาบาลกลางดึก เพราะไม่รู้ว่า ที่เดินมาจะเป็นคนหรือผี!!

ต้องแอดมิทนอนห้องรวมที่โรงพยาบาล แต่บรรยากาศของคนไข้ที่นี่แปลกชอบกล เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับ ‘คุณไก่’ โดย ‘ครูตรี’ ได้นำเรื่องนี้มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านเลย คุณไก่เล่าว่า ย้อนไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา คุณไก่ไม่สบาย อาหารเป็นพิษ มีอาการอาเจียน ท้องเสีย มีไข้สูง แฟนคุณไก่จึงตัดสินใจพาไปโรงพยาบาลใกล้บ้านหมอสั่งให้คุณไก่แอดมิทเพราะมีไข้ขึ้นสูง คุณไก่จึงขอห้องพิเศษเพื่อที่จะให้แฟนอยู่ด้วยได้ แต่ทางโรงพยาบาลแจ้งว่าห้องพิเศษเต็มหมดทุกห้อง เหลือแค่ห้องรวมที่มีเตียงว่าอยู่เพียงแค่ 2 เตียง คุณไก่จึงตัดสินใจพักอยู่ที่ห้องรวม บุรุษพยาบาลเข็นรถที่คุณไก่นั่ง เข้าไปยังห้องพักรวม คุณไก่บอกว่า “ตอนไปถึงหนูแทบอยากจะกลับ ต่อให้ต้องคลานกลับก็อยากกลับ” ด้วยความที่เป็นโรงพยาบาลเล็ก ๆ แสงไฟก็ไม่ได้มากมายนัก ภายในห้องพักรวม จะมีทั้งหมด 8 เตียง แบ่งเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งละ 4 เตียง และกั้นระหว่างเตียงด้วยผ้าม่าน จากที่คุณไก่สังเกตุ มีเตียงว่างอยู่ 2 เตียง คือเตียงที่ 2 จากฝั่งขวา และเตียงในสุดฝั่งซ้าย คุณไก่ได้ไปนอนที่เตียงฝั่งขวา หลังจากคุณไก่ได้เตียงนอน แฟนของคุณไก่ก็บอกว่า “เฝ้าไม่ได้นะ เพราะมันเป็นห้องรวม และที่สำคัญตอนนี้มันดึกแล้ว เราต้องกลับแล้ว” หลังจากแฟนคุณไก่กลับไป คุณไก่ก็นอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็มีพยาบาลเดินเข้ามาเช็คคนไข้แต่ละเตียงจนเสร็จแล้วก็เดินออกไป คุณไก่ก็นอนเล่นต่อจนได้ยินเสียงเตียงข้าง ๆ ไอหนักมาก คุณไก่จึงลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “ขอโทษนะคะ ให้หนูเรียกพยาบาลให้ไหม” หลังจากพูดจบ เสียงไอขอเตียงฝั่งขวาก็ค่อย ๆ เบาลงเหลือเพียงเสียงไอในลำคอ คุณไก่ก็เอนตัวลงนอนต่อ แต่ด้วยอาการอาหารเป็นพิษกำเริบ จึงทำให้ปวดหนักต้องไปห้องน้ำและต้องเข็นน้ำเกลือไปด้วย ทำให้ไปห้องน้ำไม่ทัน คุณไก่ก็ใช้เวลาพอสมควรในการจัดการความเรียบร้อยของตัวเองจนเสร็จจึงกลับมาที่เตียง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเตียงสุดท้ายที่ว่างอยู่มีผ้าม่านปิดแสดงว่ามีคนมาอยู่แล้ว หลังจากคุณไก่มาถึงเตียงก็นอนเช่นโทรศัพท์จนเผลอหลับไป มาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงไอจากเตียงเดิมข้าง ๆคุณไก่จึงลุกขึ้นเปิดผ้าม่านเตรียมจะเรียกพยาบาล แต่สายตาไปเห็นคุณยายนั่งอยู่บนเตียง นั่งจ้องเตียงข้างคุณไก่ หันมาหาคุณไก่แล้วบอกว่า “จุ๊ จุ๊ จุ๊ ผี ๆ” คุณไก่สังเกตุเห็นว่ามีการเลื่อนผ้าม่านออก คุณยายคนนั้นก็บอกอีกเหมือนเดิมว่า “จุ๊ จุ๊ จุ๊ ผี ๆ” คุณไก่จึงปิดผ้าม่านของเตียงตัวเองและนอนลง สักพักหนึ่งมีเสียงเคาะผ้าม่านจากทางฝั่งซ้ายและมีมือเลื่อนผ้าม่านออก เจอคุณป้าคนหนึ่งบอกว่า “หนู นอนไปเหอะ อย่าอะไรเลย พักผ่อน ๆ เดี๋ยวก็เช้าแล้ว” คุณไก่ตัดสินใจนอน เอาผ้ามาคลุมและหลับไป มารู้ตัวอีกทีนึงคือแฟนมาปลุก ระหว่างที่คุณไก่เล่าเรื่องทุกอย่างให้แฟนฟัง คุณหมอก็เดินมาตรวจคนไข้แต่ละเตียง จนมาถึงเตียงคุณไก่ คุณหมอบอกว่า “หลังจากให้น้ำเกลือไปคืนนึงแล้ว อาการดีขึ้น วันนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว” คุณไก่จึงรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แฟนก็เก็บของที่เตียงให้ หลังจากกลับมาจากห้องน้ำ เห็นคุณหมอกำลังตรวจคนไข้เตียงข้าง ๆ ก็เบาใจว่าเป็นคนที่อยู่เตียงนั้นไม่ใช่ผี ก่อนกลับ คุณไก่ก็หันไปเห็นคุณยายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามและเดินไปไหว้ เพื่อที่เวลาหันกลับมาจะได้เห็นคนไข้เตียงข้าง ๆ เรียกได้ว่าเป็นการเนียนแอบดู คุณไก่ก็เดินไปลาคุณยายและหันหลังกลับมา เห็นคุณตาที่มีอายุมากนอนอยู่เตียงข้าง ๆ (เตียงที่ต้องการจะแอบเนียนดู) ก็เดินมาหาแฟนกำลังจะกลับ ก็เห็นคุณป้าเตียงข้าง ๆ ที่เตือนเมื่อคืนนี้ แล้วจึงเดินไปบอกว่า ”สวัสดีค่ะคุณป้า หนูกลับแล้วนะคะ“ ป้าก็บอกว่า “ก็บอกแล้วนอนไปเดี๋ยว เช้าแล้วก็ได้กลับ” คุณไก่ก็เกิดคำถามอยู่ในใจว่า ทำไมถึงย้ำให้นอน คุณไก่เลยถามป้าไปว่า “ป้า หนูถามหน่อยสิ ทำไมถึงเชียร์ให้หนูนอนจังเลยอะ มีอะไรหรอป้า ป้าบอกหนูหน่อยสิ” คุณไก่ตื้อจนป้ายอมบอก ป้าเล่าให้ฟังว่า “ที่นี่เป็นโรงพยาบาลเล็ก ๆ และมีพยาบาลคนหนึ่ง ที่ต้องมาเข้ากระดึก กำลังจะมาที่โรงพยาบาล แต่โดนรถเบียด จนมอเตอร์ไซค์ล้มแล้วหน้าฝั่งซ้ายไถลไปกับพื้น แต่ปรากฏว่า มีหลาย ๆ คน เห็นพยาบาลคนนี้ มาเดินตรวจคนไข้ตามปกติทั้งที่หน้ายังเละ โดยเฉพาะก่อนที่จะปิดห้องจะมีพยาบาลเดินเข้ามาเช็ด บางวันก็ไม่ใช่พยาบาลจริง แต่เป็นพยาบาลคนที่หน้าเละเดินเข้ามาตรวจห้อง คนที่รู้เรื่องราวนี้ก็จะปิดผ้าม่านตรงปลายเท้าตลอด” ครูตรียังเล่าเสริมอีกว่า “เคยมีคนไข้เรียกพยาบาลเพราะหายใจไม่ออกและนอนรอพยาบาลเดินมา ปรากฏว่าเป็นพยาบาลที่หน้าฝั่งซ้ายเละเดินมา บ้างคนก็เจอเข็นรถอยู่ในโรงพยาบาล” นั่นหมายความว่าคนไข้ทั้งหมดในห้องเตียงรวมที่คุณไก่เจอนั้น เป็นคนไข้ปกติ แต่พยาบาลที่เดินเข้ามา อาจจะเป็นพยาบาลที่เป็นคนจริง ๆ หรือไม่ก็อาจจะเป็นผีก็ได้ เพราะในคืนนั้น หลังจากที่คุณไก่ได้ยินเสียงไอ ก็อาสาเรียกพยาบาลให้ แต่คุณยายกลับบอกว่า “จุ๊ จุ๊ จุ๊ ผี ๆ” ก็เพราะกลัวว่าอาจจะเป็นวิญญาณของพยาบาลหน้าเละที่เสียชีวิตไปแล้วมาเดินตรวจอาการก็เป็นได้..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1