เรื่องเล่าจากคุณนิว ‘บ้านกองพัน’ I อังคารคลุมโปง X นนท์ อินทนนท์ [ 9 ก.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณนิว ‘บ้านกองพัน’ I อังคารคลุมโปง X นนท์ อินทนนท์ [ 9 ก.ค. 2567]

16 ก.ค. 2024

       เรื่องราวนี้ ’คุณนิว’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 กรกฎาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ‘ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘บ้านกองพัน’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย!

       คุณนิวเล่าว่า ตนเป็นทหารเรือสัตหีบ และได้ติดยศรับราชการของกองพันนี้ ซึ่งทางกองพันมีบ้านพักให้ คุณนิวจึงใช้ทะเบียนสมรสยื่นขอ ซึ่งปกติต้องเข้าคิวรอบ้านพักประมาณ 2 ปี เวลาผ่านมาประมาณ 1 ปีกว่า พี่คนที่จัดคิวบ้านพักก็ติดต่อมา

       ”นิว เองจะมั้ย บ้านพักอะ“

       คุณนิวถามก่อนเลยว่า ”พี่ ทำไมได้คิวไวจัง“

       แล้วเขาก็ถามกลับมาว่า ”กลัวผีไหม“

       คุณนิวตอบ ”ตัวผมไม่ได้กลัวเพราะเจอบ่อย“

       จากนั้นพี่เขาก็เล่าให้ฟังว่า ที่ได้คิวเร็วเพราะคนที่อยู่บ้านพักนี้เสียชีวิต แต่ไปเสียที่โรงพยาบาล ไม่ใช่ที่บ้าน คุณนิวจึงคิดว่า ‘งั้นก็ไม่เป็นไรนี่ เราได้บ้านไวก็ดี’

       เมื่อถึงวันที่เข้าดูบ้าน ลักษณะบ้านพักของทหารคือบ้าน 2 ชั้น ข้างบนเป็นไม้ ตรงกลางเป็นบันไดไม้ สภาพบ้านสกปรกมาก ขี้นกเต็มไปหมด เหมือนกับว่าลูกสาวของเจ้าของบ้านคนก่อนเอาบ้านนี้ไว้เก็บของอย่างเดียว ไม่ได้อยู่อาศัย คุณนิวจึงทำความสะอาด และย้ายเข้ามาอยู่..

       อธิบายลักษณะบ้านเพิ่มเติมว่า เมื่อเข้าไปในบ้าน ตรงกลางจะเป็นห้องโถง เดินเข้าไปจะเป็นบันไดขึ้นไปชั้น 2 ถัดจากบันไดจะเป็นห้องน้ำ นอกจากนี้ตรงกลางบ้านจะมีเตียงไม้เก่า ๆ สภาพใช้งานไม่ได้ คุณนิวจึงซ่อมจนสามารถกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง จากนั้นก็วางไว้ตรงนั้น เผื่อใช้นอนเวลากลับบ้านมาตอนดึก

       บ้านนี้มีเหตุการณ์แปลกตรงที่ทุกวันพระเวลากลางคืน จะมีเสียงไม้ลั่น คุณนิวเข้าใจว่า บ้านไม้หลังนี้มันเก่าแล้วก็คงจะมีเสียงบ้าง แต่มันจะมีเสียงเฉพาะวันพระ เหมือนคนมาเดินหน้าห้อง ซึ่งคุณนิวไม่ได้กลัว

       ครั้งแรกที่เจอ คุณนิวนอนอยู่ที่เตียงข้างล่าง ลักษณะกึ่งหลับกึ่งตื่น ได้เห็นเงาผู้ชายตัวผอม สูงถึงเพดานมายืนจ้อง คุณนิวไม่ได้กลัว แต่ก็ทำได้แค่จ้องมองกลับไป เงานั้นมองคุณนิวประมาณ 1 นาที จนคุณนิวพูดว่า

       ”ผมไม่ได้กลัวนะ จะไปไหนก็ไป“

       แล้วสิ่งนั้นก็ลอยทะลุเพดานขึ้นไป จริง ๆ แล้ว คุณนิวก็แอบตกใจเพราะไม่เคยเจอเต็มตาแบบนี้มาก่อน ปกติจะเห็นแค่มาแว๊บ ๆ แล้วก็ไป แล้วก็ผ่านไปโดยที่ไม่ได้เล่าให้แฟนฟังเพราะแฟนกลัวผีมาก

       หลังจากวันนั้น พ่อตาก็มานอนที่บ้าน ที่เตียงนี้ แล้วพ่อตาก็โดนเหมือนกัน แต่เป็นในฝัน เป็นผู้ชายตัวสูงมายืนจ้องเหมือนกับที่คุณนิวเจอ ในตอนนั้นคิดเพียงว่า ‘มันก็แค่ฝัน มันอาจจะเหมือนกัน แต่ก็คงบังเอิญแหล่ะ’

       แต่เรื่องที่ไม่บังเอิญคือ แฟนคุณนิวเป็นครู ก็จะมีเด็กมาเรียนพิเศษช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ เป็นเด็กชั้นอนุบาล พอเด็กลงรถมา พ่อแม่ก็กลับไป แต่เด็กคนนั้นร้องไห้ ไม่ยอมเข้าบ้าน พอถามว่าเป็นอะไร น้องก็บอกว่า มีผู้ชายตัวผอม ๆ สูง ๆ ยืนจ้องไม่ยอมให้เข้าบ้าน ซึ่งไม่มีทางที่คุณนิวจะเล่าให้เด็กฟังอยู่แล้ว

       คุณนิวจึงไปเล่าให้พี่ที่ทำงานฟังว่าเจออะไรมา แต่พี่ที่ทำงานสวนกลับมาว่า

       “เอ้อ พี่ว่าจะทักตั้งแต่วันที่ได้คิวแล้ว อยู่ไปได้ยังไงวะ บ้านนั้นมีตายตั้ง 2 ศพแล้ว”

       คุณนิวตกใจถามกลับไปว่า “2 ศพคืออะไรพี่ พี่เขาตายที่โรงพยาบาลไม่ใช่หรอ”

       เขาจึงเล่าให้ฟังว่า “ก็ใช่ แต่ก่อนหน้านั้น มีตายที่เตียงนั่นอีกคนนึง เขาเป็นผู้ป่วยติดเตียง เลยไม่ใช้เตียงนั้นไง ไม่เอะใจหรอ”

       คุณนิวคิดว่าเขาคงหวงเตียง แล้วเวลาก็ผ่านไป..

       ขอเล่าเพิ่มเติมว่า ปกติแล้วตัวคุณนิวจะไปอยู่ที่ชายแดน ส่วนแฟนจะอยู่บ้านคนเดียวบ่อย วันนั้นแฟนโทรมาประมาณ 3-4 ทุ่ม บอกว่า

       “ช่วยด้วย โดนผีหลอก มีชายคนหนึ่งตัวสูง ๆ มากระชากแขน เขาให้ออกจากเตียง พอสบัดแขนออกมาได้ ก็เลยวิ่งออกมาข้างนอก เจอพวกพี่ที่นั่งสังสรรค์กันอยู่ แล้วเล่าลักษณะให้ฟัง พี่เขาก็พูดกันว่านั่นแหล่ะ คนที่ตายในบ้าน”

       วันนั้นคุณนิวเดือดมาก รีบกลับบ้านไปแล้วเข้าไปในบ้าน คุณนิวสบถออกมาว่า

       ”พี่! ผมไม่สนหรอกนะว่าพี่จะอยู่ก่อนหรืออะไร พี่ไปดูชื่อหน้าบ้านว่ามันเป็นชื่อใคร แล้วจะดูไหมคำสั่งกองพันอะ เดี๋ยวจะปริ้นท์มาให้ดู“

       คุณนิวยืนพูดอยู่คนเดียว เหมือนคนบ้า แล้วก็พูดอีกว่า

       ”นี่อะ บ้านผม จะมาอยู่สร้างความเดือดร้อนทำไม เด็กเขามาเรียนก็ไปหลอกเขาร้องไห้ บ้าหรือป่าว!“

       พอหลังจากนั้น 1 อาทิตย์ คุณนิวก็เห็นเลข 3 ตัว แล้วตอนเช้ามืดวันหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเคาะหัวเตียง ป๊อก ป๊อก ป๊อก งวดนั้นถูกหวยทั้งบนและล่าง เหมือนเขามาขอโทษ เพราะคุณนิวพูดว่า “ถ้าอยู่แล้วสร้างความเดือดร้อน ก็ไม่ต้องมาอยู่” แต่ตอนนั้นคุณนิวทำเรื่องคืนบ้านหลังนั้นไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าคนที่มาอยู่ต่อจะเจออะไรไหม..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ชาติที่แล้วเคยสัญญาว่าจะอยู่คู่กันตลอดไป ทำให้เกือบใหลตายไปกับความฝัน! ตั้งใจจะตัดกรรมแต่ก็ต้องพบเจอกับความสูญเสีย..

10 ม.ค. 2024

ชาติที่แล้วเคยสัญญาว่าจะอยู่คู่กันตลอดไป ทำให้เกือบใหลตายไปกับความฝัน! ตั้งใจจะตัดกรรมแต่ก็ต้องพบเจอกับความสูญเสีย..

คำสัญญาของชาติที่แล้วตามมาส่งผลในชาตินี้! กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ชายชุดดำกับกรรมในอดีต’ จาก ‘คุณเป้’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 ธันวาคม 2566) พร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ จะหลอนเหลือเชื่อแค่ไหน ตามไปอ่านกันเลย! คุณเป้เล่าว่า ตัวคุณเป้นั้นเป็นคนที่ชอบพญานาค ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่ได้ชอบ แต่อยู่ดี ๆ ก็มีความรู้สึกชอบพญานาคสีดำ หลังจากนั้นก็ไปบูชาพญานาคสีดำมาไว้ที่บ้าน และชอบสวดมนต์เพื่อบูชาปู่พญานาค หลังจากนั้นตัวคุณเป้ก็ได้ฝันว่า ตัวเองไปยืนอยู่บนสะพานกลางน้ำ และมีเรือนักท่องเที่ยงล่องมา มีคนอยู่บนนั้นเยอะมาก แต่มีผู้ชายคนหนึ่ง ใส่ชุดสีดำ เดินขึ้นมาจากน้ำมาอุ้มคุณเป้ลงไปในน้ำ หลังจากที่ลงไปในน้ำแล้ว ตัวคุณเป้รู้สึกว่า ที่ ณ ตรงนั้น เป็นห้องเหมือนบ้านหลังหนึ่ง และผู้ชายคนนั้นก็พูดกับคุณเป้ว่า “เธอรู้ไหม ว่าเราตามหาเธอมานานแล้ว นานมาก ๆ” หลังจากนั้นคุณเป้ก็รู้สึกว่า ตัวเองหลับอยู่ และได้ยินเสียงที่ดังมากจากผู้ชายคนนั้นว่า “เมื่อไหร่พ่อเธอ ครอบครัวเธอจะไปสักที รำคาญจังเลย” ด้วยน้ำเสียงโมโห และไม่พอใจ เพราะว่าเขากำลังให้คุณเป้อยู่ ณ ตรงนั้น และเขายังเน้นอีกว่า “เธอรู้ไหม ว่าเราตามหาเธอมานานมาก กว่าจะเจอ” หลังจากนั้นคุณเป้ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ด้วยความสงสัยในความฝันของตัวเอง คุณเป้จึงได้ไปหาพระอาจารย์ พระอาจารย์ก็บอกมาว่า “มึงสามารถใหลตายได้เลยนะ การฝันแบบนี้” นอกจากนี้คุณเป้ยังได้รับคำแนะนำจากเพื่อนมาว่า “เออ เนี่ยมีหมอดูไพ่พรหมญาณนะ น้องคนนี้แม่นมากเลย ลองไหม” คุณเป้จึงโทรไปหาน้องหมอดูคนนี้ ทันทีได้ได้คุยเขาก็พูดขึ้นมาว่า “พี่เป้คะ เคยฝันเห็นผู้ชายหรือเปล่า เคยฝันอะไรเกี่ยวกับน้ำไหม พี่เป้มีสัญญาอดีตชาตินะคะ แล้วพี่เป้มีเคยแพลนจะไปวัดที่ไหนหรือเปล่า” ทันทีที่ได้ยิน คำถามที่คุณเป้ตั้งใจคิดมาก็หายวับไปทั้งหมด คุณเป้ตอบกลับไปว่า “วัดอะ พี่เคยมีแพลนที่อยากจะไป แต่ว่าไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปหรือเปล่า” หมอดูก็ตอบกลับมาว่า “พี่เป้ต้องไปที่ที่มีพระประธานนะ ต้องไปตัดกรรม ต้องใช้ดอกบัว 5 ดอก” จากนั้นคุณเป้ก็เริ่มมีความคิดว่าอยากจะตัดกรรมแล้ว และในวันนั้น ก่อนที่จะไปตัดกรรม พระที่อยู่บนหิ้ง ก็ร่วงหล่นลงมาแตก คุณเป้ก็เริ่มสงสัยว่าเป็นเพราะเขาหรือเปล่า คุณเป้จึงโทรไปถามน้องหมอดูคนนั้นว่า “ทำไมมันถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น” น้องก็ตอบกลับมาว่า “พี่เป้ เขารู้แล้วนะ ว่าพี่เป้รู้ เขาจะแสดงตัวให้พี่เป้รู้แล้วนะ” หลังจากนั้น คืนนั้นคุณเป้ก็ฝันว่าเขามาบอกกับคุณเป้ว่า “เธอจะตัดกรรมกับเราจริง ๆ หรอ เราให้เธอได้ทุกอย่างนะ” แต่ในใจคุณเป้ก็คิดว่า เกิดชาติภพใหม่แล้ว หลังจากนั้นคุณเป้ก็ตัดสินใจเดินทางไปจังหวัดอ่างทองเพื่อจะไปวัด แต่ระหว่างที่นั่งรถไป คุณเป้ก็มีความรู้สึกว่า เศร้ามาก ๆ จนกระทั่งถึงวัด คุณไปได้พูดว่า “เราพาเธอมาส่งแล้วนะ” จากนั้นคุณเป้ก็ไปทำพิธีเพื่อที่จะตัดกรรม หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว ผ่านไปประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ คุณเป้ก็ได้ตั้งครรภ์แบบไม่รู้ตัว แต่ปกติแล้วคุณเป้ทานยาคุมมาตลอด และไปปรึกษาหมอ หมอก็ตอบกลับว่า “คุณไม่มีบุตรหรอก เพราะทานยาคุมมานานเกิน” นั่นก็ทำให้คุณเป้มั่นใจในระดับหนึ่ง ว่าตัวเองไม่สามารถมีบุตรได้ จนคุณเป้เกิดอาการเท้าบวม หลังจากนั้นคุณเป้ก็ไปหาหมอมาตลอดทั้งเดือน แต่คุณหมอหลายคนก็บอกว่าเป็นออฟฟิศซินโดรมบ้าง เป็นอย่างอื่นบ้าง จนกระทั่งสุดท้าย มีคุณหมอบอกว่า “คุณตั้งครรภ์นะ แล้วตั้งครรภ์ได้ 6 เดือนแล้ว” ตัวคุณเป้ก็ช็อกไป และก็คิดว่า เขากลัวเรารู้แล้วเอาออกหรือเปล่า หรือมันเป็นเพราะอะไร ทำไมไม่มีความรู้สึกว่าท้องเลย หลังจากนั้นคุณเป้ก็พยายามดูแลเด็กในครรภ์ตลอด แต่ในใจของคุณเป้เริ่มรู้สึกว่า ลูกต้องเป็นผู้ชายแน่เลย เป็นเขาคนนั้นหรือเปล่า หลังจากนั้นเมื่อครรภ์ครบ 7 เดือน คุณเป้ได้รู้สึกหน่วง ๆ ที่ท้อง จึงไม่สบายใจและรีบไปหาคุณหมอ และก็ได้ทราบว่า เด็กได้เสียไปแล้ว 3 วัน คุณเป้เสียใจมากจนแทบจะเสียสติ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องคลอดเด็กออกมา คุณหมอพูดกับคุณเป้ว่า “มดลูกล็อคนะคะคุณแม่ น้องไม่สามารถคลอดออกมาได้ ต้องรอสักพักให้มดลูกคลาย” คุณเป้ที่ได้ยินดังนั้นก็คิดว่า เขาเป็นห่วงเราหรือเปล่า เขาไม่ยอมไปจากเราหรือเปล่า คุณเป้ก็ได้พูดขึ้นมาว่า “โอเค ถ้าเป็นเธอจริง ๆ ที่มาเกิดกับเรา ถ้าเธอจะทำให้เรารู้ว่าการสูญเสียมันเป็นอย่างไร เรารู้แล้วนะ เราขอให้เธอไปอยู่ภพภูมิที่ดี เราได้รับรสชาติของความเจ็บปวดแล้ว ขอให้เธอไปอยู่ภพภูมิที่ดี เราจะตั้งใจทำบุญอุทิศให้เธอไปอยู่ภพภูมิที่ดี ชาตินี้เราคงหมดกรรมกันเท่านี้” ในตอนนั้นคุณเป้พูดออกมาด้วยเสียใจมาก ๆ หลังจากที่พูดจบ คุณเป้ได้ลองเบ่งคลอดอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าเด็กก็หลุดออกมาอย่างง่ายดาย และสิ่งที่ทำให้คุณเป้ช็อกก็คือ เด็กออกมาเป็นผู้ชาย! มันทำให้คุณเป้มั่นใจมาก ๆ ว่าเป็นเขาคนนั้น หลังจากความสูญเสียนี้คุณเป้ก็ได้นำร่างของลูกชายไปฝังไว้ที่วัดใกล้บ้าน และก็พยายามทำบุญทุกอย่างให้เขา และยังได้ไปที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี วัดนั้นมีพญานาคองค์สีดำอยู่ คุณเป้ได้เข้าไปไหว้องค์พญานาคที่อยู่ในถ้ำ และอยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงวี๊ดเข้ามาในหู และตามด้วยเสียงของผู้ชายขึ้นมาว่า “ทีนี้รับรู้รสชาติความเจ็บปวด การพลัดพรากหรือยัง” หลังจากนั้นคุณเป้ก็นั่งร้องไห้เหมือนคนเสียสติเพราะว่าการสูญเสียครั้งนี้ หลังจากนั้นก็มีฝนตกลงมา มันทำให้คุณเป้ได้พูดออกมาว่า “ตกทำไม ฝนบ้าลูกกูจะเน่า” หลังจากนั้นคุณเป้ก็คิดขึ้นมาได้ว่า เรามาถึงจุดนี้แล้วหรอ นั่นทำให้คุณเป้รีบไปที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งหลวงพี่ได้สอนมาว่า “โยมอย่าไปยึดติดนะ นี่มันคือร่าง คือสังขาร เขาละแล้ว” นั่นก็ทำให้คุณเป้ตั้งสติได้ แต่ก็ใช้เวลานานมาก หลังจากนั้นคุณเป้ก็ได้โทรถามน้องหมอดูว่า “น้องคะ พี่หมดกรรมหรือยัง” น้องก็ตอบกลับมาว่า “พี่เป้ พี่เป้จะหมดกรรมก็ต่อเมื่อได้ไปไหว้พญานาคครบทุกองค์” หลังจากนั้น อยู่ ๆ ก็มีลุงของคุณเป้ เขามาชวนไปไหว้พญานาคให้ครบทุกองค์ ด้วยความบังเอิญนี้คุณเป้ก็ได้คิดว่า มันคงจะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทุกอย่างมันคงจะจบลงแล้ว ซึ่งมันก็จบลงแล้วจริง ๆ และกรรมครั้งนี้มันเกิดขึ้นจากเมื่อภพภูมิที่แล้วคุณเป้และผู้ชายคนนั้น เป็นพญานาค และได้เป็นสามีภรรยากัน สัญญากรรมกันไว้ว่า “เราจะไม่พลัดพรากจากกัน ไม่ว่าจะภพชาติไหนก็ตาม จอยู่เป็นคู่กันตลอดไป”…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

บิดรถเสียงดังไม่เกรงใจใคร จนชาวบ้านเอือมสาปแช่งให้ตายอยู่ทุกวัน ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุตายเพราะบิดรถแรงเกินไปสมใจชาวบ้าน แต่หลังจากนั้น เสียงแว๊นรถก็ไม่เคยหายไปจากหมู่บ้านอีกเลย!

29 ก.ย. 2023

บิดรถเสียงดังไม่เกรงใจใคร จนชาวบ้านเอือมสาปแช่งให้ตายอยู่ทุกวัน ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุตายเพราะบิดรถแรงเกินไปสมใจชาวบ้าน แต่หลังจากนั้น เสียงแว๊นรถก็ไม่เคยหายไปจากหมู่บ้านอีกเลย!

‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ กลับมาเปิดไมค์เล่าเรื่องหลอนในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 กันยายน 2566) พบกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ พร้อมเรื่องหลอนเอาใจนักบิดของชายคนหนึ่งที่มีใจรักความผาดโผน ขนาดที่ว่าตายไปแล้วก็ยังบิดรถแบบไม่เกรงใจใคร! ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 20 - 30 ปีที่แล้ว วัยรุ่นคึกคะนองสมัยนั้นจะต้องมี ‘รถจักรยานยนต์’ หรือภาษาบ้าน ๆ อย่าง ‘มอเตอร์ไซค์’ เป็นเครื่องสองจังหวะปรับแต่งให้ท่อดังระดับแสบแก้วหู ถือเป็นของคู่กายคู่ใจในชีวิตเพื่อประดับบารมีของพวกเขา ในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง มีนักบิดประจำหมู่บ้านอยู่หนึ่งคน ที่เรียกได้ว่าทุกคนยกให้ชายคนนี้เป็นนักบิดตัวยงที่สร้างความเอือมระอาเป็นอย่างมากให้กับชาวบ้าน ขนาดที่ว่าเพียงแค่เสียงบิดมอเตอร์ไซค์ดังมาไกล ๆ ชาวบ้านทุกคนต้องเอามือปิดหูไปตาม ๆ กัน นักบิดคนนี้ไม่ได้มีความเกรงใจหรือเกรงกลัวใครทั้งนั้น ยิ่งถ้าขี่รถผ่านตัวหมู่บ้าน จะยิ่งเร่งเครื่องให้เสียงดังมากขึ้นไปอีก เพื่อแสดงตัวว่า ‘ข้ามาแล้ว’ พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ชาวบ้านทุกคนพากันเกลียดชายคนนี้มาก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทำให้ชาวบ้านทุกคนก็ยังคงต้องทนฟังเสียงท่อมอเตอร์ไซค์ของเขาอยู่ทุกวัน บางคนถึงขั้นสาปแช่ง และตะโกนด่าตามหลังกันเลยทีเดียว วันหนึ่ง ชายคนนี้ขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจมาพร้อมกับเสียง แง๊น แง๊น แง๊น แง๊นนน เช่นเคย และยังยกระดับความเป็นนักบิดตัวยงขึ้นไปอีก ด้วยท่านอนขี่มอเตอร์ไซค์แบบซูเปอร์แมน เขาขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามทางตรงของหมู่บ้านด้วยความพิเรนทร์สนุกสนาน จังหวะนั้น มีชาวบ้านคนหนึ่งกำลังจะถอยรถกระบะออกจากหน้าบ้าน ปรากฏว่าด้วยความคึกคะนอง การที่เขาเอาตัวนอนบนเบาะทำให้ไม่สามารถใช้เบรคเท้าได้ ถึงแม้จะใช้เบรคมืออย่างไรรถก็เสียหลักคว่ำอยู่ดี และแล้ววันที่ชาวบ้านทุกคนรอคอยก็มาถึง เมื่อคำสาปแช่งทุกคำกลายเป็นจริง ในเหตุการณ์นั้นจังหวะที่รถกระบะถอยออกมา มอเตอร์ไซค์คู่ใจและตัวนักบิดก็พุ่งชนเข้ากับรถกระบะดัง ตู้ม!!! สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้น ทำให้นักบิดคอหักพับย้อนไปด้านหลัง ปากฉีกเนื้อเปิดไปถึงตา แต่ภาพที่ชาวบ้านทุกคนเห็นคือ ร่างของนักบิดยังดิ้นด้วยความทุรนทุรายอยู่กับพื้น บรรยากาศในตอนนั้นไม่มีใครตกใจ แต่ยังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ด่าทอ ซ้ำเติมร่างที่กำลังดิ้นอยู่กับพื้น วันต่อมาบรรยากาศในหมู่บ้านก็เปลี่ยนไป ผู้คนในหมู่บ้านต่างมีความสุข เด็กเล็กเด็กน้อยออกมาวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ชาวบ้านรวมตัวนั่งสังสรรค์อย่างกับเป็นการเฉลิมฉลองการตายของชายนักบิดคนนี้ก็ว่าได้ แต่แล้วความสุขก็อยู่ได้ไม่นาน หลังจากเหตุการณ์นั้นจบลงไปได้ 3 – 4 วัน คืนวันหนึ่ง เสียงมอเตอร์ไซค์ที่คุ้นเคยก็กลับมาดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเสียงบิดรถดังขึ้นมาแต่ไกล แง๊น แง๊น แง๊น แง๊นนน! บิดผ่านหมู่บ้านไปอย่างรวดเร็ว จังหวะนั้นชาวบ้านทุกคนเห็นตรงกันว่า ‘ใช่ นี่คือเสียงของนักบิดตัวยงที่เพิ่งตายไป’ ทำให้ชาวบ้านทุกคนเกิดความสงสัยว่าจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อมอเตอร์ไซค์คันนั้นก็พังไปต่อหน้าต่อตา ส่วนคนก็ตายแน่นอน รุ่งเช้า ชาวบ้านจึงนัดรวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือถึงเสียงปริศนาที่เกิดขึ้นเมื่อคืน และทุกคนก็ได้ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์คันนั้นจริง ๆ แต่ก็มีชาวบ้านคนนึงพูดขึ้นมาว่า ‘มันไม่ใช่เรื่องของผีสางอะไร แต่เป็นเสียงของเพื่อนนักบิดตัวยงคนที่ตายไปมากกว่า ที่พยายามเอามอเตอร์ไซค์ไปแต่งเลียนแบบเสียงท่อเพื่อที่จะมาก่อกวน และมาหลอกคนในหมู่บ้าน’ ในวันนั้นชาวบ้านก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ และหลังจากนั้นทุกคนก็ยังคงทนฟังเสียงนี้ในทุกคืน จนกระทั่งมีเรื่องเล่าจากครอบครัวหนึ่ง ตอนนั้นพวกเขาไปทำงานในเมือง พอตกดึกก็ขับรถกลับเข้ามาในหมู่บ้าน โดยครอบครัวนี้ไม่เคยทราบถึงเรื่องราวของนักบิดคนนี้มาก่อน จังหวะที่กำลังขับเข้ามาในหมู่บ้าน ก็มีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขี่มาจี้บริเวรณท้ายรถของครอบครัวนี้ คนขับก็เริ่มสงสัยว่าทำไมต้องขับตามจี้ท้าย จึงค่อย ๆ ชะลอความเร็วให้ลดลง จนมอเตอร์ไซค์คันนั้นเริ่มบิดเร่งความเร็วขึ้นเสียงดังแง๊น แง๊น แง๊น แง๊นนน! แซงขึ้นประชิดรถของครอบครัวนี้และปาดเข้าบริเวณด้านหน้ารถ ด้วยความตกใจคนขับรีบหักหลบทันที แต่ภรรยาก็ส่งเสียงดังขึ้นมาว่า “ขับรถอะไรเนี่ยอยู่ ๆ มาหักหลบอะไร ข้างหน้าไม่เห็นจะมีอะไรเลย” คนขับก็ตอบกลับไปทันทีว่า “ก็เนี่ยมันมีมอเตอร์ไซค์มาปาดหน้าไง เนี่ย” ภรรยาก็ยังคงย้ำคำเดิมว่า “มอเตอร์ไซค์อะไร มันไม่เห็นจะมีสักคันเลย” ครอบครัวนี้ก็มาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้คนในหมู่บ้านฟัง ชาวบ้านแถวนั้นเห็นตรงกันอีกครั้งว่า “ใช่แน่ ๆ เป็นผีนักบิดตัวยงแน่ ๆ” และยังทำให้บรรยากาศในหมู่บ้านกลับมาอึมครึมอีกครั้ง พอฟ้ามืดทุกบ้านก็จะแยกย้ายปิดบ้านสนิท ไม่มีใครกล้าออกมาอีกเลย ได้แต่ทนฟังเสียงบิดมอเตอร์ไซค์ในทุกคืน วันหนึ่ง ลุงคนหนึ่งในหมู่บ้านเริ่มทนไม่ไหวกับสถานการณ์ในตอนนี้จึงพูดกับชาวบ้านว่า “ถ้ากลัวกันนัก เดี๋ยวคืนนี้จะพิสูจน์ให้ดู ว่าเสียงบิดรถที่ได้ยินมันเป็นเพื่อนของนักบิดที่ตายไปแล้วมันมาแกล้ง” ในทุกคืน ลุงก็จะออกมานั่งเฝ้ารอเพื่อพิสูจน์ แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่พบความจริงสักที จนกระทั่งคืนหนึ่ง ความพยายามของลุงก็ได้ประสบความสำเร็จ เพราะเสียงแง๊น แง๊น แง๊น แง๊นนน ดังขึ้นมาแต่ไกลอีกครั้ง! เสียงนั้นกำลังค่อย ๆ ดังขึ้น ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนเสียงนั้นดังมาทางบริเวณหมู่บ้าน ทันใดนั้นลุงก็รีบกระโดดออกมาจากพุ่มไม้ทันที แต่จังหวะที่กระโดดออกมาดูนั้น ลุงก็เกิดอาการช็อกขึ้นมาทันที!! เพราะภาพที่เห็นเป็น รถมอเตอร์ไซค์คันที่เกิดอุบัติเหตุ และคนที่ขี่มาคือนักบินตัวยงที่ตายไปแล้ว นักบิดขี่รถมาด้วยท่าหัวพับกลับไปด้านหลัง ปากฉีกอ้ากว้างไปถึงตา แล้วที่ชวนหลอนมากขึ้นไปอีกคือเสียง แง๊น แง๊น แง๊น แง๊นนน ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้มาจากเสียงท่อแต่อย่างใด แต่เป็นเสียงของนักบิดที่ตายกำลังตะโกนกรีดร้องเป็นเสียงแง๊น แง๊น แง๊น แง๊นนน แล้วขี่รถผ่านหมู่บ้านไป! พี่แจ็คเล่าปิดท้ายว่า เรื่องราวนี้อยากจะหยิบยกขึ้นมาเป็นอุทาหรณ์ให้กับเหล่านักบิดทุกคน ให้คำนึงถึงความผาดโผนบนท้องถนน หากวันใดวันหนึ่งเกิดอะไรขึ้นกระชั้นชิดนิดเดียวบอกเลยว่าอาจไม่รอด.(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

พี่แจ็คเจอหลอนระหว่างไปปฏิบัติธรรม ต้องนอนข้างล่างห้องเก็บกุมารทอง ตกดึกได้ยินเสียงเคาะดังลั่นห้องจนนอนแทบไม่ได้!

03 มี.ค. 2024

พี่แจ็คเจอหลอนระหว่างไปปฏิบัติธรรม ต้องนอนข้างล่างห้องเก็บกุมารทอง ตกดึกได้ยินเสียงเคาะดังลั่นห้องจนนอนแทบไม่ได้!

จากคนที่รับฟังเรื่องหลอนอย่าง ‘พี่เเจ็ค The Ghost Radio’ ต้องมาเจอกับตัวเอง เมื่อไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง โดยมีรุ่นพี่ไปเป็นเพื่อน แต่แล้วก็เจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด พี่แจ็คบอกถึงจะไม่เจอตัวเป็น ๆ แต่คิดว่าใช่แน่นอน! เรื่องนี้ ‘พี่เเจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘คืนปฏิบัติธรรม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! โดยพี่แจ็คเล่าว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พี่แจ็คได้ไปปฏิบัติธรรมถือศีล 8 ที่วัดพระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งไปอยู่กับหลวงปู่ที่ท่านเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส พี่แจ็คอาศัยอยู่ที่กุฏิของท่านและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี การปฏิบัติธรรมในครั้งนี้วางแผนไปทั้งหมด 3 วัน กิจกรรมจะเริ่มตั้งแต่การเปิดประตูวิหารแต่เช้า นั่งสมาธิ สวดมนต์ ไหว้พระตามปกติ สองวันแรกทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ แต่วันที่ 3 วันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรมนั้น หลวงปู่มีกิจนิมนต์จะต้องเดินทางไปที่พัทยา ซึ่งมีลูกศิษย์ 2 คนไปด้วย จึงเหลือเพียงเณรหนึ่งรูปอยู่กับพี่แจ็ค หลวงปู่บอกว่า “ถือว่าเป็นบ้านของตัวเองนะ อยู่เลย อยู่สบายไม่มีอะไรหรอก” พี่แจ็คเล่าให้ฟังว่า กุฏิของหลวงปู่เป็นกุฏิ 2 ชั้น สิ่งที่พี่แจ็คเข้าไปแล้วตกใจที่สุดคือบริเวณชั้นบน มีพระพุทธรูป รูปปั้น หัวเศียรต่าง ๆ แต่จะมีมุมหนึ่งที่เป็นกุมารทอง พี่แจ็คนั่งนับมีถึง 51 ตน ก่อนหน้าที่พี่แจ็คไปนั้นมีอยู่ประมาณร้อยตนได้ แต่แล้วก็มีคนมาขอไป กุมารทองเหล่านี้ หลวงปู่หรือพระที่วัดไม่ได้เลี้ยง แต่คนที่เลี้ยงนั้นเลี้ยงไม่ไหว จึงนำมาปล่อยไว้ให้หลวงปู่ หลวงปู่ก็ไม่ปฏิเสธ เพราะเป็นพระปฏิเสธไม่ได้ จึงนำมาเก็บไว้ตรงนั้น และมีคนมากราบไหว้ขอพร ก่อนจะมาปฏิบัติธรรมมีคนบอกพี่แจ็คไว้ว่า “พี่แจ็คน้องซนนะ เขาจะชอบเล่น แต่เขาชอบกินขนม มีอะไรก็ซื้อขนมไปให้เขา หรือพี่แจ็คอยากมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเองก็บอกน้องเขา” พี่แจ็คจึงคุยกับกุมารทองว่า “ไม่ได้อยากมี พี่เป็นนักฟังที่ดี ไม่ต้องมาหาพี่นะ พี่มาปฏิบัติธรรม พี่กลัว ถ้ามาเดี๋ยวพี่ตกใจ เอาเป็นว่าต่างคนต่างอยู่ดีกว่า” หลังจากนั้นเช้าวันที่ 3 หลวงปู่ก็ไปกิจนิมนต์ตามแผนที่วางไว้ ส่วนพี่แจ็คก็ไปสวดมนต์ปกติจนถึงตอนกลางคืน เณรนอนอยู่ชั้นบน ซึ่งชั้นบนจะมี 2 ห้อง เป็นห้องข้างในที่เก็บกุมารทอง เก็บของต่าง ๆ ที่เป็นห้องศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ และมีกระชานอยู่ข้างนอก เณรก็จะนอนกระชานข้างนอกแล้วจะปิดประตูล็อคข้างใน ส่วนพี่แจ็คจะนอนกับ ‘พี่เด่น’ ที่ไปเป็นเพื่อน ซึ่งทั้งคู่นอนอยู่ชั้นล่าง และห้องที่นอนนั้นอยู่ใต้กุมารทองพอดีปกติแล้วห้องที่นอนนั้นจะไม่ปิดไฟ เพราะพี่แจ็ครู้สึกไม่ไหวเนื่องจากห้องมืดมากจำต้องเปิดไฟนอน คืนสุดท้ายพี่แจ็คสวดมนต์เสร็จแล้วเตรียมตัวจะนอน พี่เด่นที่ยืนอยู่หน้าห้องก็พูดขึ้นมาว่า “อ้าว วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ใครมีอะไรอยากมาบอกพี่แจ็ค มาเลยนะ” พี่แจ็คบอกว่า “เฮ้ยพี่เด่น อย่าพูดย่างงั้น ไม่เอาดิ!” จากนั้นพี่เด่นก็หัวเราะ พี่แจ็คจึงสวดมนต์เพราะที่พี่เด่นพูดทำให้รู้สึกไม่ดี จากนั้นทั้งคู่ก็นอนหลับไป ปรากฏว่าพี่แจ็คสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงเสียงพี่เด่นพูดว่า “หึ หึ” พอหันไปมองพี่เด่นก็เอาผ้าห่มคลุม และเหมือนขยับตัวไม่ได้ พี่แจ็คก็รู้ทันทีเลยว่าไม่ พี่เด่นโดนพี่อำ เมื่อพี่แจ็คหันไปมองเสร็จก็หันกลับเอาผ้าคลุมนอนต่อ พี่แจ็คก็ไม่คิดจะปลุกพี่เด่นเพราะคิดว่าสมควรโดน ผ่านไปสักพัก พี่แจ็คก็ได้ยินเสียงพี่เด่นเป็นเหมือนเดิมจึงหันไปดูอีกครั้ง ตอนนั้นพี่แจ็คเกิดอาการหนังตากระตุกจึงหันกลับมานอน เวลาผ่านไปเหมือนพี่เด่นดิ้นหลุดออกมาได้ก็ลุกขึ้นมานั่งตาแดงก่ำ และถามว่า “พี่แจ็ค เมื่อกี้ผมเรียกพี่ป่ะ?” พี่แจ็คตอบว่า “ใช่” พี่เด่นถามต่อว่า “แล้วทำไมพี่ไม่ปลุกผม?” พี่แจ็คก็บอกกลับไปว่า “ไม่ปลุก พี่สมควรโดน ผมรู้ว่าพี่โดนผีอำ อันนี้พี่อะสมควรโดนเพราะพี่พูดไปเรื่อย” จากนั้นพี่เด่นจึงนั่งสวดมนต์อยู่ครึ่งชั่วโมง พี่แจ็คก็หลับและคิดว่าดีแล้วเขาจะได้สงบเวลาก็ผ่านไปสักพัก พี่แจ็คก็สะดุ้งตื่นและหันไปมองหน้าพี่เด่น ทั้งคู่มองตากันเพราะมีเสียงมาจากเพดาน เป็นเสียงเคาะดังสนั่นทั่วทุกมุมห้อง ระหว่างที่มองตากันอยู่ พี่แจ็คก็มองด้วยสายตาดุเหมือนส่งสัญญาณให้พี่เด่นว่าห้ามทัก พี่แจ็คพยายามหันหน้าไปอีกฝั่งแล้วนอนฟัง เสียงเคาะก็ดังอยู่เรื่อย ๆ พี่แจ็คมั่นใจว่าเณรไม่ได้แกล้ง เพราะเณรรูปนี้ที่อยู่ด้วยกันมา 3 วัน เป็นเณรที่เรียบร้อยและสำรวมมาก พี่แจ็คนอนฟังจนเสียงเคาะเบาลง พี่แจ็คก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงหันไปหาพี่เด่น แล้วก็เอาผ้าคลุม พี่แจ็คจึงหลับไปทั้งแบบนั้น ตื่นเช้ามา พี่แจ็คก็เจอเณรเป็นคนแรก จึงถามเณรว่า “เณร เมื่อคืนเณรได้ยินเสียงเคาะไหมครับ?” เณรตอบกลับมาว่า “เณรไม่ได้ยินครับ เณรหลับ” เพราะตอนกลางวันเณรไปเรียนที่วิทยาลัยสงฆ์ พี่แจ็คก็บอกว่า “ผมได้ยินเสียงเคาะทั้งคืนเลย” เณรตอบว่า “อ๋อ เขาคงจะมาลาโยมพี่แหละ เพราะเห็นโยมพี่มา 3 วันแล้ว” และนี่เป็นสิ่งที่พี่แจ็คเจอ ถึงจะไม่เห็นเป็นตัวเป็นตนแต่จากที่ได้ยินเสียงเคาะก็ชัดเชนแล้วว่าใช่…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากแจ็ค The Ghost Radio 'ภพ สื่อ คดีดัง' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [21 ม.ค. 2568]

26 ม.ค. 2025

เรื่องเล่าจากแจ็ค The Ghost Radio 'ภพ สื่อ คดีดัง' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [21 ม.ค. 2568]

เมื่อความหึงหวงนำมาซึ่งคดีฆาตกรรมอำพรางสุดหลอน! ‘แจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำเรื่อง ‘ภพ สื่อ คดีดัง’ เรื่องเล่าของ ‘คุณต้นอ้อ’ จากรายการ ‘The Ghost Radio’ มาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’(21 มกราคม 2568) ร่วมฟังเรื่องราวลึกลับของการตามหาร่างไร้วิญญาณที่ไม่ว่าหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถ้าพร้อมแล้ว ไปอ่านกันเลย! ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว คุณต้นอ้อได้รับการติดต่อจากครอบครัวหนึ่ง โดยได้รับแจ้งว่าลูกสาวหายตัวไปและลูกเขยได้ผูกคอตายไปแล้ว ซึ่งลูกสาวนั้นได้หายตัวไปและไม่สามารถติดต่อได้ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม วันถัดมา ทางครอบครัวก็ได้พยายามติดต่อลูกสาวอีกครั้ง และในวันที่ 13 มีนาคม ได้มีข้อความจากลูกเขยส่งมาว่า “ผมแค้น เขาทำผมเจ็บมาก ขอโทษนะแม่” หลังจากเห็นข้อความ คุณพ่อและคุณแม่ก็ตกใจมาก จึงรีบเดินทางไปที่บ้านของลูกเขย เมื่อมาถึงก็เจอกับหลานสาวอายุ 2 ขวบ ที่นั่งเล่นอยู่บริเวณบ้าน จากนั้นคุณแม่ก็เดินไปดูรอบ ๆ บ้าน แล้วก็ต้องตกใจกรี๊ดออกมา เมื่อเห็นศพของลูกเขยที่ผูกคอตายอยู่ในห้องน้ำ แต่กลับไม่พบตัวลูกสาว คุณแม่จึงคิดว่าลูกสาวของตนนั้นไม่ปลอดภัย เพราะลูกสาวเคยทะเลาะกับลูกเขยอย่างรุนแรงหลายครั้งจนหนีไปแล้วตกบ่อน้ำ คุณพ่อกับคุณแม่จึงไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัยในบริเวณนั้น เพื่อตามหาลูกสาวและเข้ามาตรวจสอบศพของลูกเขย เมื่อเจ้าหน้าที่และกู้ภัยมาถึงก็ได้ทำการปูพรมหาตัวลูกสาวทันที กระทั่งวันที่ 15 มีนาคม ก็ยังไม่ทราบข่าว คุณพ่อและคุณแม่จึงร้องเรื่องไปยังทีมกู้ภัยของจังหวัดที่มีเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์พร้อมกว่า รวมทั้งมีนักประดาน้ำมาช่วยทำการค้นหา ซึ่งบริเวณนั้น ทางด้านหน้าจะเป็นบ้านของลูกเขยและลูกสาว ด้านหลังเป็นบ้านของพ่อแม่ลูกเขย ส่วนข้าง ๆ จะเป็นไร่ข้าวโพดและไร่อ้อยขนาดใหญ่ มีบ่อน้ำ 4 บ่อ เป็นบ่อน้ำปิดที่มีขนาดใหญ่ มีทั้งจอกแหน และกิ่งไม้อยู่เต็มบ่อ เจ้าหน้าที่ทำการค้นหาตลอดทั้งวันแต่ก็ยังไม่พบอะไร จนถึงวันที่ 16 มีนาคม คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจติดต่อไปที่คุณต้นอ้อเพื่อขอให้รับเคสนี้และช่วยตามหาลูกสาวของตน เมื่อคุณต้นอ้อได้รับข้อมูลทั้งหมดจากครอบครัวก็ดำเนินการวางแผนกับทีมงานเผื่อช่วยเหลือทันที เนื่องจากสถานที่มีขนาดใหญ่จึงไม่สามารถใช้กำลังคนในการค้นหาอย่างเดียวได้ จำเป็นต้องพึ่งเทคโนโลยี คุณต้นอ้อจึงได้ติดต่อไปที่สำนักข่าวที่มีโดรนจับความร้อนเพื่อนำมาช่วยค้นหา ทางด้านสำนักข่าวตอบตกลงและยินดีให้ความช่วยเหลือ ในช่วงเย็นของวันนั้นนักข่าวที่สนิทกับคุณต้นอ้อ (ซึ่งเรียกคุณต้นอ้อว่า แม่) ได้บอกกับคุณต้นอ้อว่า “แม่ หนูรู้สึกยังไงไม่รู้ มันเคว้ง ๆ หวิว ๆ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเคสนี้มันยังไง เดี๋ยวหนูจะเอาพระ เอาท้าวเวสสุวรรณไปด้วย” คุณต้นอ้อจึงตอบว่า “เอาไป มีอะไรเอาไปให้หมดเลย เพื่อความสบายใจ คืนนี้ก็นอนให้เต็มที่ พรุ่งนี้เจอกัน” และทุกครั้งก่อนที่คุณต้นอ้อจะรับเคส จะมีการปรึกษากับอาจารย์ที่นับถือและรู้จักกัน คุณต้นอ้อจึงส่งรูปของผู้หญิงคนนี้ให้กับอาจารย์ และถามอาจารย์ว่า “คนนี้ยังมีชีวิตอยู่มั้ยคะ หายตัวไปค่ะ” อาจารย์ตอบกลับมาว่า “ทำไมผมเห็นเป็นศพ” คุณต้นอ้อจึงถามต่อ “ศพอยู่บริเวณไหนคะ ในป่าหรือในน้ำคะ” อาจารย์ตอบว่า “เดี๋ยวนะ เดี๋ยวขอชื่อวันเดือนปีเกิดมาให้หน่อย ให้เวลาผมเข้าห้องพระแปปนึง” แต่ยังไม่ทันที่อาจารย์จะเข้าห้องพระก็ตอบกลับมาก่อนว่า “ทำไมผมเห็นเป็นผู้ชายพาตัวเข้าไปในป่า” จากนั้นคุณต้นอ้อก็ส่งชื่อและนามสกุลไป ระหว่างที่คุณต้นอ้อจะส่งวันเดือนปีเดินไปให้นั้น อาจารย์ก็ส่งข้อความกลับมาว่า “คุณต้นอ้อ ส่งใครมาให้ผม ทำไมมีผีผู้ชายตายโหงทับร่างผู้หญิงอยู่ เป็นผีผู้ชายลิ้นจุกปาก” แต่ ณ ตอนนั้นเรื่องนี้ยังไม่เป็นข่าวที่ไหน และไม่มีใครรู้ข้อมูลของเคสนี้นอกจากคนที่อยู่ในบริเวณนั้น นอกจากนี้อาจารย์ยังบอกอีกว่า “ก่อนไป พกเท้าเวสสุวรรณติดตัวไปด้วยนะ เพราะพลังอาฆาตแรงมาก” คุณต้นอ้อตอบรับ และอาจารย์ยังบอกต่อว่า “กรณีนี้อาฆาตแรงมาก หัวกับตัวอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ยังไม่เห็นว่าอยู่บริเวณไหน ผู้ชายเป็นคนจังหวัดนี้หรือเปล่า เพราะผีผู้ชายเฮี้ยนมาก” และผู้ชายคนนี้ยังพยายามสื่อกับอาจารย์อีกว่า “ถ้ามึงอยากตาย มึงก็ลองดู” วันที่ 17 มีนาคม คุณต้นอ้อเดินทางไปที่จุดเกิดเหตุเพื่อพบกับคุณพ่อคุณแม่ที่ได้แจ้งเรื่องมา เมื่อถึง คุณต้นอ้อก็พาคุณพ่อคุณแม่ไปที่บ้านที่เกิดเหตุ ตรงไปที่หน้าห้องน้ำเพื่อจุดธูปขอขมา ว่าไม่ได้มีเจตนาทำร้ายใครแต่มาเพื่อช่วยปลดทุกข์ และขอให้เจอลูกสาวที่หายไป ระหว่างนั้นคุณต้นอ้อได้เดินสำรวจเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม ในเวลา 5 โมงเย็น นักข่าวก็ส่งโดรนจับความร้อนมา หลังจากเตรียมอุปกรณ์เสร็จ โดรนก็ขึ้นในช่วงที่ฟ้ามืดพอดี เพราะยิ่งมืดเท่าไหร่โดรนก็สามารถตรวจจับความร้อนได้ดีขึ้น เมื่อส่งโดรนขึ้นไปผ่านไร่ข้าวโพดและไร่อ้อย ตั้งแต่ช่วงค่ำจนถึงประมาณ 4 ทุ่ม ก็ตรวจจับได้เพียงแค่ความร้อนจากซากสัตว์เท่านั้น เจ้าหน้าที่จึงยุติการค้นหา ในคืนนั้น คุณต้นอ้อเลือกนอนโรงแรมในอำเภอกับน้องนักข่าวอีก 2 คน ซึ่งเป็นโรงแรมไม้ 1 ห้องนอนมี 2 ชั้น คุณต้นอ้อเลือกนอนชั้น 2 และด้านล่างไม่มีใครอยู่ พื้นห้องเป็นไม้ที่สามารถมองผ่านช่องระหว่างไม้ไปเห็นข้างล่างได้ คุณต้นอ้อพยายามสะกดจิตตัวเองว่าจะไม่มองไปที่ช่องนั้น และนำของศักดิ์สิทธิที่พกมาด้วยออกมาว่างเรียงไว้ คุณต้นอ้อทำแบบนี้เพราะรู้สึกกลัวผู้ชาย หลังจากนั้นก็สลับกันไปอาบน้ำ เมื่อคุณต้นอ้ออาบน้ำเสร็จ ตาก็เหลือบไปมองช่องไม้ และเห็นคนเดินผ่านไปข้างล่าง ซึ่งข้างล่างไม่มีคนอยู่ แต่คุณต้นอ้อก็ไม่ได้พูดอะไรและเข้านอนทันที ในตอนที่คุณต้นอ้อหลับไปนั้น คุณต้นอ้อได้ฝันว่า ตนนั้นอยู่ในบ้านที่เกิดเหตุและกำลังเดินหาน้องผู้หญิง ในตอนที่กำลังหาอยู่นั้น น้องผู้หญิงก็กำลังยืนมองคุณต้นอ้อหาตัวเองอยู่ เมื่อตื่นขึ้นคุณต้นอ้อก็เล่าเรื่องที่ฝันให้กับน้องนักข่าวฟัง วันที่ 18 มีนาคม คุณต้นอ้อและทีมพร้อมตำรวจได้ทำการตรวจสอบหลักฐานที่รวบรวมได้ พบรอยคราบเลือด และ GPS ของรถยนต์พบว่าขับอยู่รอบ ๆ บริเวณนั้น ซึ่งยังไม่ได้ข้อมูลที่สำคัญมากนัก คุณต้นอ้อจึงกลับมาสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง ระหว่างนั้นมีข้อความจากอาจารย์ว่า “ให้คุณพ่อของฝ่ายหญิงไปจุดธูปไหว้อีกครั้ง แต่อยากให้อโหสิกรรมให้ฝ่ายชาย ให้อโหสิกรรมแบบจริงใจ” ตอนนั้นคุณต้นอ้อจึงนึกได้ว่า ในวันแรกที่มีการขอขมาคุณพ่อนั้นยังมีความรู้สึกโกรธที่ลูกสาวของตนหายไป และคิดว่าลูกเขยนั้นเป็นคนทำร้ายลูกของตน คุณต้นอ้อจึงบอกผ่านทางคุณแม่ คุณพ่อก็รับฟังและทำตาม ระหว่างที่จุดธูปอยู่นั้นคุณต้นอ้อได้สังเกตเห็นว่าคุณพ่อร้องไห้และกล่าวอโหสิกรรมขอให้เจอลูกสาว หลังจากคุณพ่อปักธูปเสร็จคุณต้นอ้อก็เดินไปรอบ ๆ บริเวณบ้านพร้อมกับไลฟ์สดไปด้วย และเมื่อเดินไปก็สังเกตเห็นว่ามีการจุดกองไฟที่เยอะมากผิดปกติ จึงเรียกทีมงานมาตรวจสอบ กองแรกอยู่บริเวณใกล้น้ำ ทีมงานตรวจสอบดูและพบกับเสื้อผ้าชุดชั้นในที่โดนเผา และเจอเข้ากับกระดูกชิ้นเล็ก ๆ แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นกระดูกคนหรือสัตว์ จึงให้ทีมงานเก็บหลักฐานไว้ กองที่สองพบเครื่องประดับและโทรศัพท์มือถือที่โดนเผา พร้อมกับเศษกระดูกแต่ยังไม่ทราบว่าเป็นกระดูกอะไรหรือส่วนไหน และถัดไปอีกไม่ไกล พบกองไฟอีกหนึ่งกอง เป็นกองที่ใหญ่ที่สุด เมื่อได้ตรวจสอบ ก็พบกระดูกชิ้นใหญ่ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นกระดูกข้อมือ หรือข้อขา แต่ยังไม่ทราบแน่ชัด จำเป็นต้องรอนิติเวชมายืนยัน คุณต้นอ้อยังคงเดินตรวจสอบบริเวณนั้นจนถึงเย็นสุดท้ายก็ไม่ได้หลักฐานอะไรเพิ่มเติม จึงแยกย้ายกันกลับ คุณต้นอ้อเดินทางกลับมาที่โรงแรม ด้วยความเหนื่อยล้าจึงหลับไป และในคืนนั้นคุณต้นอ้อก็ได้ฝันถึงเรื่องเดิมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างออกไป ในฝันคุณต้นอ้อได้พูดว่า “พี่มาช่วย ถ้าอยากให้พี่เจอ ส่งสัญญาณให้พี่หน่อย บอกหน่อยว่าหนูอยู่ไหน” หลังจากนั้นอาจารย์ก็ได้ส่งข้อความมาบอกว่า มองไม่เห็นผู้ชายแล้ว เช้าวันที่ 19 มีนาคม คุณต้นอ้อกลับไปที่เกิดอีกครั้งและได้เดินไปตามกองไฟอื่น ๆ ก็พบกระดูกมากขึ้น ทุก ๆ กองนั้นมีกระดูกที่โดนเผา ระหว่างนั้นคุณต้นอ้อก็เดินไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง เพราะเห็นว่าต้นไม้ต้นนี้ด้านบนเหี่ยวเฉา และกองไฟด้านล่างตรงกับรอยบนต้นไม้พอดี ซึ่งการที่ไฟสามารถลุกไปถึงข้างบนต้นไม้ได้นั้นต้องมีเชื้อเพลิงมาจากยางรถยนต์ และนอกจากนี้ก็ยังพบเศษยางรถยนต์ตกอยู่บริเวณบริเวณนั้นด้วย คุณต้นอ้อจึงเรียกเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ และสันนิษฐานได้ว่าเป็นการเผานั่งยาง ซึ่งอาจจะมีการแยกชิ้นส่วนตามจำนวนกองไฟที่พบ เพราะกระดูกที่พบมีลักษณะไหม้เกรียมที่เกิดจากการเผาด้วยยาง คุณต้นอ้อได้เดินไปดูบริเวณรอบๆ อีกครั้งเพื่อตามหายางรถยนต์ และมีหนึ่งสิ่งที่จะต้องหลงเหลือแน่นอน คือ ลวดหรือใยเหล็ก ที่โดนเผาไฟแล้วไม่ไหม้ ในขณะที่กำลังเดินหา คุณต้นอ้อคิดในใจว่า “หนู ตอนนี้พี่เหนื่อย พ่อแม่เหนื่อย เจ้าหน้าที่ทุกคนเหนื่อย ถ้าอยากให้พี่เจอ ช่วยบอกหรือส่งสัญญาณมาหน่อยว่า หนูอยู่ตรงไหน” ระหว่างนั้นคุณต้นอ้อที่กำลังไลฟ์สดอยู่ก็เดินมาถึงขอบบ่อและแพนกล้องไปที่พื้น ได้พบกับขดลวดใยเหล็กกองอยู่ด้านข้างบ่อ ติดกับต้นกล้วยแห้งๆ สันนิษฐานได้ว่า หลังจากผู้ชายเผาร่างเสร็จ ก็พยายามเอาใยเหล็กที่ไม่โดนเผาโยนลงน้ำ แต่ไม่ได้สังเกตว่าใยเหล็กนั้นลงไปในน้ำหรือเปล่า เพราะได้สืบทราบมาจากทางแม่ของฝ่ายชายว่า ฝ่ายชายได้ไปซื้อยางรถยนต์ แต่ไม่รู้ว่าซื้อไปทำอะไร และขดลวดที่คุณต้นอ้อพบวางอยู่บนใบตองของต้นกล้วยที่ล้มลงไปในน้ำ คุณต้นอ้อเห็นดังนั้นก็รีบตะโกนบอกทีมงานว่าเจอใยเหล็กแล้ว เจ้าหน้าที่ได้นำใยเหล็กไปตรวจสอบหลังจากนั้นทุกคนจึงลงความเห็นกันว่าร่างของน้องผู้หญิงอยู่ในบ่อนี้ ซึ่งเป็นบ่อเดียวกับที่เจ้าหน้าที่เคยดำน้ำลงไปหาแต่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบอะไร เจ้าหน้าที่ลงความเห็นว่าต้องลงไปในบ่ออีกครั้งจึงติดต่อนักประดาน้ำของจังหวัดเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่นักประดาน้ำก็มาถึงและลงไปในบ่อ แต่ก็ยังไม่พบอะไรอยู่ดี ทางด้านคุณต้นอ้อนั้นได้สังเกตเห็นต้นกล้วยที่ล้มลงมีลักษณะคล้ายถูกตัดตรงปลายกล้วยนั้นลงไปในบ่อน้ำ ซึ่งผิดธรรมชาติและขดลวดอยู่ตรงบริเวณนั้นพอดี คุณต้นอ้อจึงให้เอาต้นกล้วยออกไปและให้นักประดาน้ำค้นหาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นนักประดาน้ำได้ดำลงไปและขึ้นมาพร้อมกับส่วนบนของลำตัวที่ไม่มีหัว สาเหตุที่นักประดาน้ำหาไม่เจอเพราะโดนต้นกล้วยกด เมื่อนำขึ้นมา กลิ่นไหม้ก็ตลบอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ ส่วนคุณพ่อ คุณแม่และญาติเมื่อทราบว่าเจอร่างแล้ว ก็อยากให้หาส่วนหัวให้เจอ แต่เจ้าหน้าที่พยายามเท่าไหร่ก็หาไม่เจอจึงสิ้นสุดการค้นหาในวันนั้น ผ่านไป 1-2 วัน ได้มีการนำเครื่องดูดน้ำมาเพื่อดูดน้ำออกจากบ่อซึ่งใช้เวลาอยู่หลายวัน จนเจอส่วนหัวในที่สุดและเป็นบ่อเดียวกันกับที่เจอส่วนของลำตัวและส่วนต่างๆ เมื่อย้อนกลับไปก็ตรงตามที่อาจารย์บอกว่า ถ้าเจอศพหัวกับตัวอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน พี่แจ็คทิ้งท้ายว่า เคสนี้เกิดจากความหึงหวงอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นโศกนาฏกรรมที่น่าเศร้า(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1