เรื่องเล่าจากคุณเหมย ‘บ้านโรงรถ’ I อังคารคลุมโปง X ตั้น The Shock [ 23 ก.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเหมย ‘บ้านโรงรถ’ I อังคารคลุมโปง X ตั้น The Shock [ 23 ก.ค. 2567]

27 ก.ค. 2024

     เรื่องราวนี้ ‘คุณเหมย‘ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 กรกฎาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน‘ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ’บ้านโรงรถ‘ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย!

...

เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นที่บ้านโรงรถ

     คุณเหมยเล่าว่า ย้อนไปเมื่อตอนยังเด็ก บ้านตั้งอยู่ในตัวตำบล ระหว่างตำบลกับอำเภอค่อนข้างที่จะไกลกัน อยู่มาวันหนึ่ง คุณเเม่ทะเลาะกับคุณตา คุณเหมยจึงย้ายไปอยู่ที่ตัวอำเภอกับคุณป้า ตอนที่ย้ายไปนั้น คุณเเม่ก็ยังไม่มีอาชีพเป็นหลักเป็นแหล่งเพื่อหาเงินซื้อบ้าน จึงไปปรึกษากับคุณป้าว่าควรทำอย่างไร คุณป้าก็ได้เเนะนำคุณเเม่ให้มาอยู่ที่โรงรถแบบชั่วคราวไปก่อน

     จนกระทั่งคุณเหมยเรียนอยู่ชั้น ป.1 มีวันหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงคนคุยกันหน้าบ้านค่อนข้างดังมาก ประมาณร้อยกว่าคน ซึ่งก่อนหน้าที่คุณเหมยจะเข้ามาอยู่ บริเวณนี้ค่อนข้างพลุกพล่าน คนทำงานค่อนข้างเยอะ เเต่ตอนนั้นก็ดึกมากแล้ว คุณเหมยจึงคิดว่าไม่น่ามีใครมายืนคุยกันตรงนี้ จึงลุกไปดูผ่านแสงไฟที่ลอดมาจากปลายถนน ก็เห็นเป็นผู้ชายกับผู้หญิงยืนคุยกัน ด้วยความสงสัยว่าทำไมถึงมายืนคุยตรงนี้ คุณเหมยจึงเดินออกไปดู เเต่เเล้วก็พบเจอกับความว่างเปล่า! ไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้น ส่วนเสียงที่ได้ยินก็หายไป!

     คุณเหมยเดินกลับเข้าไปนอน พอกลับเข้ามานอนก็ได้ยินเสียงเหมือนเดิม! ตนจึงได้ไปเล่าให้คุณเเม่ฟังเเล้วก็โดนตอบกลับมาว่า

     “เพ้อเจ้อ คิดมาก”

     ซึ่งคุณเเม่กับคุณพ่อเป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ตนจึงได้เเต่สงสัยเเล้วก็ได้ยินเสียงนี้อยู่เรื่อยมาก

     จนคุณเหมยขึ้น ป.2 คืนนั้นตนนอนกึ่งหลับกึ่งตื่น นอนได้สักพักก็มองไปบนเพดานฝ้าที่อยู่ตรงโรงรถ ก็เห็นเป็นหน้าผู้หญิงแก่ มวยผม ลอยอยู่บนฝ้าเพดาน! เเล้วบอกว่า

     “ไปอยู่ด้วยกันมั้ย“

     คุณเหมยตกใจจนขยับไม่ได้ ได้เเต่พูดในใจว่า

     ”ไม่ไป“

     ตอนนั้นตนคิดว่าได้พูดออกไปแล้วเเต่ความจริงคือยังไม่ได้พูด! เขาก็เลยถามตนอีกครั้งว่า

     ”สรุปจะไปอยู่ด้วยกันมั้ย คิดได้หรือยัง“

     คุณเหมยบอกว่าตนก็พยายามที่จะพูด เพราะพูดไม่ได้ จู่ ๆ เขาก็สวนกลับมาว่า

     ”มึง! จะไปอยู่กับกูมั้ย!“

     ทำให้คุณเหมยตกใจเเล้วรีบวิ่งไปหาคุณแม่!

     เช้าวันถัดมา คุณเหมยได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง แม่ก็ตอบกลับอีกว่า ”เพ้อเจ้อ คิดมาก“ เป็นครั้งที่ 2

     เมื่อคุณเหมยเริ่มขึ้น ป.3-4 คุณแม่ก็ได้ซื้อรถจักรยานยนต์ให้ เเต่ตนชอบเที่ยว จึงทำให้คุณเเม่อยากดัดนิสัยด้วยการเอารถไปซ่อน ตนคิดว่ารถหายจึงไปบอกกับหมอธรรม เเล้วเขาก็ได้ตอบกลับมาว่า

     “รถไม่ได้หายนะ เเม่เอ็งเอาไปซ่อน”

     คุณเหมยได้ยินเเบบนั้นก็ไม่เชื่อ เเล้วก็ไม่คิดว่าเเม่จะเป็นคนแบบนี้ ตนจึงตอบกลับไปว่า “ไม่เชื่อ”

     หมอธรรมได้ตอบกลับว่า “ที่บ้านเอ็งตรงนั้น มันเป็นป่าช้าเก่านะ เเต่ก่อนมันเคยเป็นที่เก็บกระดูกคน เป็นโกศที่อยู่ในตามวัด“

     หลังจากคุณเหมยกลับมาบ้าน ผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ คุณแม่ได้ยอมรับกับตนว่าเป็นคนไปแอบจริง!

...

เหตุการณ์ที่ 2 เกิดขึ้นที่บ้านหลังใหม่ที่อยู่ใกล้กับบ้านโรงรถ

     ช่วงมัธยมต้น คุณเหมยคิดว่าย้ายมาอยู่บ้านใหม่เเล้วคงจะไม่เจออะไรที่เคยเจอ เเต่ก็เหมือนเดิม ตนเห็น 2 คนนั้นที่เคยเจอเมื่อตอนเด็ก ๆ เขามายืนหน้าห้องเเล้วพูดว่า

     “มึงจะไปอยู่กับกูมั้ย! จะไปอยู่ด้วยรึเปล่า!”

     คุณเหมยกลัวมากจึงรีบไปบอกกับคุณเเม่ เเล้วคุณเเม่ก็บอกกับตนว่าจะพาไปทำบุญเพื่อความสบายใจ ในตอนเช้าคุณเเม่ก็พาคุณเหมยไปทำบุญ จู่ ๆ ก็มีหลวงตาองค์หนึ่งเข้ามาทักว่า

     ”ดูเเลไอเด็กคนนี้มันดี ๆ นะ ไอเด็กคนเนี้ย ที่ของบ้านที่เอ็งอยู่ เขาจะเอามันไปอยู่หลายครั้งเเล้ว เเต่มันดวงเเข็งเขาเอามันไปไม่ได้“

     เเล้วหลวงตาท่านนั้นก็ได้บอกอีกว่า ”ให้หมั่นทำบุญตักบาตร กรวดน้ำ“ หลังจากนั้นคุณเหมยก็ตักบาตรทุกเช้าก่อนไปเรียน เเต่ก็ยังเจออยู่เหมือนเดิม..

     ต่อมาก็อยู่บ้านหลังนี้ได้ 5-6 ปี คุณเเม่ก็ปล่อยบ้านนี้ให้คนเช่า ซึ่งคนที่มาเช่าต่อบังเอิญเป็นเเม่ของเพื่อนคุณเหมย อยู่ได้ประมาณ 3 เดือน เพื่อนก็ทักมาถามว่า “บ้านนี้มีอะไรหรือเปล่า?”

     จึงได้ตอบกลับไปว่า “บ้านนี้ก็มีนะ ตอนที่ตากับพ่อเลี้ยงเสียก็ได้จัดงานศพที่บ้าน มีอะไรหรือเปล่า?”

     เพื่อนของคุณเหมยตอบกลับมาว่า “เปล่า พอดีเเม่เล่าให้ฟังว่าช่วงที่อยู่ 2-3 เดือนแรก ได้ยินเสียงคนคุยกันเยอะมาก”

     ซึ่งสิ่งที่เขาเจอมันก็เหมือนกับเหตุการณ์ตอนที่คุณเหมยอยู่บ้านหลังนั้น!

...

เหตุการณ์ที่ 3 เกิดขึ้นที่บ้านหลังที่สาม

     หลังจากที่คุณเเม่ปล่อยบ้านหลังนั้นให้เช่า ก็พาคุณเหมยย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ เป็นบ้านหลังที่สาม เนื่องจากคุณแม่มีปัญหากับคุณป้า ตอนที่ตนนอนก็ได้ฝันถึงบ้านหลังนั้น ภาพในฝันเหมือนกับที่หมอธรรมเคยบอก!

     ต่อมาคุณเหมยได้เล่าว่าพ่อเลี้ยงตามมาที่บ้าน ย้อนกลับไปที่บ้านหลังเก่า พ่อเลี้ยงของตนได้เสียชีวิตที่นั่น คืนก่อนที่พ่อเลี้ยงจะเสียชีวิต มีพยาบาลโทรมาเเจ้งกับคุณเเม่ว่าพ่อเลี้ยงเสียชีวิตเเล้ว เเต่ก็ไม่กล้าบอกกับตน เเต่คุณเหมยกลับเห็นตรงกระจกเป็นพ่อเลี้ยงกำลังโบกมือให้อยู่!

     ตนตกใจจึงสะกิดแม่เเล้วถามว่า “เเม่ พ่อหายเเล้วหรอ? เเม่ไปรับพ่อมาตอนไหน”

     เเม่ก็ทำสีหน้ามึนงงเเล้วตอบกลับว่า “พูดอะไร พูดนี่คิดด้วย“ แล้วบอกอีกว่า ”รีบไปแต่งตัว เดี๋ยวจะไป รพ.พ่อเสียเเล้ว!“

     ผ่านไปประมาณ 10 กว่าปี คุณเหมยเติบโตจนใกล้จะเเต่งงาน เเม่ก็บอกให้ขึ้นไปไหว้พ่อกับตายาย เมื่อคุณเหมยกำลังก้าวขึ้นบันไดขั้นสุดท้าย ก็เห็นพ่อเลี้ยง เเว๊บ! ผ่านหน้าไป ตนจึงหยุดนิ่งอยู่ในอาการช็อก ซึ่งคุณเเม่ที่อยู่ข้างหลังก็เห็นเช่นเดียวกันกับคุณเหมย

     ต่อมาคุณเหมยได้พารุ่นน้องมานอนที่บ้าน ผ่านไปได้สักพักรุ่นน้องก็บอกว่าขอไปนอนรีสอร์ต เพราะตอนคุณเหมยไปอาบน้ำ จู่ ๆ ป้ายรูปพ่อของตนร่วงตกลงมา! ไม่ได้คิดอะไรจึงเอากลับไปแขวนที่เดิม สักพักก็ตกลงอีกครั้งจนกระจกแตก!

     คุณเหมยคิดว่าพ่อเสียไปประมาณ 10 กว่าปีเเล้ว ก็ยังอยู่วนเวียนในบ้าน อาจจะเป็นเพราะเป็นห่วงลูกสาวของเขา..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

ย้ายเข้าไปอยู่บ้านเช่า แต่เจออดีตเพื่อนบ้านมาหาถึงที่! พอกำลังจะหลับก็เห็นคุณยายผมหยิกมานั่งอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับลูบหัวด้วยความเอ็นดู แต่เมื่อไปถามพี่ยามในหมู่บ้านก็ถึงกับช็อก เพราะคุณยายคนนี้ไหลตายไปนานแล้ว! #อังคารคลุมโปง

29 เม.ย. 2024

ย้ายเข้าไปอยู่บ้านเช่า แต่เจออดีตเพื่อนบ้านมาหาถึงที่! พอกำลังจะหลับก็เห็นคุณยายผมหยิกมานั่งอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับลูบหัวด้วยความเอ็นดู แต่เมื่อไปถามพี่ยามในหมู่บ้านก็ถึงกับช็อก เพราะคุณยายคนนี้ไหลตายไปนานแล้ว! #อังคารคลุมโปง

ไปเช่าบ้านหลังใหม่แต่กลับอยู่ไม่ได้เพราะเจอแต่เรื่องแปลก จนทุกวันนี้ต้องอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดเพราะไม่กล้ากลับไปที่บ้านหลังนั้นอีก! เรื่องนี้ ‘คุณปุยฝ้าย’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เรื่องเล่าจากคุณปุยฝ้าย’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เรื่องราวนี้เป็นประสบการณ์หลอนของ ‘คุณปุยฝ้าย’ ที่ได้ไปเจอมาด้วยตัวเอง โดยปกติจะมีบ้านอยู่ที่ต่างจังหวัด แต่ต้องเดินทางเข้ากรุงเทพบ่อย จึงตัดสินใจมาเช่าบ้านที่กรุงเทพเพื่อความสะดวก หลังจากนั้นคุณปุยฝ้าย ก็เข้าไปอยู่ในบ้านหลังนี้ ซึ่งช่วงแรกที่เข้าไปอยู่ทุกอย่างก็ปกติไม่ได้มีอะไร แต่เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาตรงกับเทศกาลวันลอยกระทง ด้วยความที่เป็นสายมูเตลู วันนั้นก็มีการจัดโต๊ะหมู่ ทำพิธีไหว้ขอพรพระจันทร์ อาบน้ำใต้แสงจันทร์ต่าง ๆ หลังจากนั้นถัดมาประมาณ 1-2 วัน จากที่อยู่บ้านนี้อย่างสงบ ความบันเทิงก็เกิดขึ้น คืนนั้นคุณปุยฝ้าย นอนไม่หลับแม้จะพยายามข่มตานอนแล้วพลิกตัวไปมา ด้วยความที่เตียงใหญ่ แต่เป็นคนขี้กลัวมาก บนเตียงก็จะมีหมอนล้อมเต็มไปหมด ตัวของคุณปุยฝ้ายนอนอยู่ฝั่งขวา ส่วนฝั่งซ้ายจะมีหมอนที่จะติดกับหิ้งพระ และเป็นที่วางท้าวเวสสุวรรณ ในขณะที่นอนพลิกตัวไปทางซ้าย ก็รู้สึกว่าชาตั้งแต่ขาขึ้นมาที่ตัว คุณปุยฝ้ายคิดในใจว่า... ต้องโดนแล้วแน่ ๆ และคิดว่าทำอย่างไรดีถึงจะหลุด แต่หลังจากที่สิ้นความคิดนั้น ในหัวก็เห็นเป็นภาพคุณยายคนหนึ่งอายุประมาณ 50-60 ปี ผมหยิก ใส่กระโปรงโสร่งยาว ๆ มานั่งเอนตัวกึ่งนั่ง กึ่งนอน อยู่ข้าง ๆ คุณปุยฝ้าย แล้วแขนขวาของคุณยาย ก็ค่อย ๆ ยื่นมาทางคุณปุยฝ้าย เหมือนคุณปุยฝ้ายกำลังนอนหนุนแขนเขาอยู่ และในจังหวะนั้น ขณะที่คุณปุยฝ้าย กำลังพลิกตัวเขาก็ค่อย ๆ ยื่นหน้ามามองคุณปุยฝ้าย อย่างใกล้ชิด! นาทีนั้นคุณปุยฝ้ายกลัวมาก คุณยายคนนั้น ก็พยายามเอื้อมมือซ้ายมาลูบหัวคุณปุยฝ้าย เหมือนรู้สึกเอ็นดู และเขาก็รู้ว่าคุณปุยฝ้ายเริ่มไม่ไหว เขาก็เหมือนจะปล่อย แต่กลับมากระซิบข้างหู และหัวเราะ “ฮิ ๆๆ” แล้วก็หายไป! จากนั้นคุณปุยฝ้ายก็ไลน์ไปหาน้องสาวที่นอนอยู่ห้องข้าง ๆ ว่า “มาหาหน่อย มานอนเป็นเพื่อนหน่อย ไม่ไหวแล้ว” หลังจากนั้นเมื่อไม่นานมานี้ ก็พึ่งมารู้ความจริงจากพี่ยามในหมู่บ้านว่า เขาเป็นผู้เสียชีวิตท่านหนึ่ง อยู่ซอยตรงข้ามบ้านคุณปุยฝ้าย ซึ่งไม่ได้อยู่ใกล้กันขนาดนั้น แต่ก็อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน พี่ยามตกใจมาก เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากคุณปุยฝ้าย เพราะไม่มีใครรู้เรื่องราวนี้เลย พี่ยามก็ถามคุณปุยฝ้ายว่า “คุณไปเจอได้ยังไง ไปเจอที่ไหน?” เมื่อซักถามเสร็จพี่ยามก็เล่าให้ฟังว่า ตรงข้ามซอยบ้านคุณปุยฝ้าย มีคุณป้าที่มีลักษณะนี้ นอนไหลตายในบ้าน ตั้งแต่นั้นก็เริ่มมีคนย้ายออก แต่ตอนนี้บ้านหลังนั้นมีคนเช่าแล้ว พี่ยามก็บอกว่า “แต่มันไม่ได้เป็นโซนบ้านคุณนะ แต่ทำไมเขาถึงไปอยู่บ้านคุณ?” คุณปุยฝ้าย ก็สงสัยว่าหรืออาจจะเพราะเขาพึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้จึงไม่มีศาล เขาเลยอาจจะเข้ามาได้ คุณปุยฝ้าย ยังเล่าต่อว่า พึ่งได้รู้ว่าน้องสาวก็เจอเรื่องราวแปลก ๆ ในคืนไหว้พระจันทร์ เพราะน้องสาวโดนอำทั้งคืนซึ่งในคืนไหว้พระจันทร์นั้น เราไปไหว้กันตรงข้างบ้าน ซึ่งบ้านจะอยู่สุดซอยหลังสุดท้าย พอมองเข้าไปก็จะเห็นคุณป้ายืนอยู่ในซอกมืด ๆ ด้านหลังบ้าน เมื่อถามน้องสาวก็เห็นว่าลักษณะตรงกัน จากนั้นก็เคยโมโหแล้วพูดว่า “แบบนี้ไม่เอานะ มันบาปนะ” จนน้องสาวกลัว และพูดว่า “อย่าไปว่าเขา เดี๋ยวมึงก็เจอหนักหรอก” แต่ปรากฏว่าได้ผล เขาก็ไม่มาให้เจออีกเลย แต่บางครั้งก็ยังรู้สึกอยู่ แล้วล่าสุดกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ตกกลางคืนกล้องวงจรปิดที่บ้านเช่าเตือนว่าได้รับการเคลื่อนไหวตลอด ‘พบบุคคล’ แต่ไม่มีอะไร จนคุณปุยฝ้าย ให้ยามไปดูเพราะคิดว่าเป็นขโมย แต่พี่ยามบอกไม่มีอะไร และหัวเราะแห้ง ๆ ตลอด จนตอนนี้คุณปุยฝ้าย ก็กลับมาอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด เพราะไม่กล้ากลับไปที่นั่นอีกเลย...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก 'แจ็ค The Ghost Radio' 'ผีผ่าห่ม' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 22 ต.ค. 2567]

08 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจาก 'แจ็ค The Ghost Radio' 'ผีผ่าห่ม' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 22 ต.ค. 2567]

ขนหัวลุกไปกับ ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio‘ ที่ได้นำเรื่อง ‘ผีผ้าห่ม’ มาเล่าในรายการอังคารคลุมโปง X (22 ตุลาคม 2567) ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม‘ ฟัง ซึ่งเป็นเรื่องสุดหลอนในห้องนอน จะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย! พี่แจ็คได้เล่าว่าเป็นเรื่องราวของ ‘คุณบี’ แฟนคลับรายการ The Ghost Radio เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อยังเป็นวัยรุ่น ซึ่งในขณะนั้นเองคุณบีก็มีรุ่นพี่ที่รู้จักแต่งงานที่จังหวัดเชียงรายและก็ได้เชิญชวนรุ่นน้องทุกคนไปร่วมงานแต่ง ซึ่งเพื่อนทุกคนก็วางแพลนเรื่องการเดินทางกัน ยกเว้นคุณบีที่ไม่สามารถแจ้งได้ว่าจะไปวันไหน อาจจะเป็นเพราะว่าอยู่ในช่วงเรียนหนัก จนคุณบีได้ตัดสินใจที่จะไปซึ่งเป็นวันก่อนวันแต่ง 1 วัน ตนไม่รู้ว่าจะเดินทางไปที่นั่นได้อย่างไร เนื่องจากเพื่อนต่างก็เดินทางกันไปก่อนแล้ว และรถโดยสารวันนั้นก็เต็ม คุณบีจึงคิดย้อนกลับไปใช้วิธีการในอดีตที่ตนเคยทำนั่นก็คือการโบกรถ จากนั้นก็ได้ทำการยืนโบกอยู่นานแต่ก็ไม่มีรถคันไหนจอด แต่สักพักหนึ่งก็มีรถกระบะขนตู้ไม้จอดแล้วก็ให้คุณบีติดท้ายกระบะไปด้วย โดยปกติแล้วคุณบีจะเป็นคนที่ห้อยพระ แต่ในขณะนั้นตนไม่ได้ห้อยจึงรู้สึกไม่สบายใจ มีสิ่งหนึ่งที่ตนทำแล้วจะช่วยทำให้รู้สึกอุ่นใจได้นั้นก็คือการไหว้ ไหว้ทุกอย่างที่ตนเห็นเพราะตนคิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่นั่งรถไปเรื่อย ๆ ก็มีจุด ๆ หนึ่งรถติดแถวยาวมาก คนขันรถจึงเดินลงมาบอกคุณบีว่า “โอ้ น่าจะอีกนานข้างหน้าเนี่ย มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นข้างหน้า” แล้วจู่ ๆ ตนก็ได้ยกมื้อไหว้ คนขับรถเห็นแบบนั้นก็เกิดความสงสัยแล้วถามว่า คนขับรถ : ไหว้อะไรเนี่ย? คุณบี : ผมไม่ได้ไหว้อะไรครับ ผมแค่ขอพรให้คนที่เกิดอุบัติเหตุปลอดภัย ไม่เป็นอะไรมาก คนขับรถ : เป็นคนชอบไหว้ใช่มั้ย พี่ขับรถมามองกระจกหลังนั่งไหว้มาตลอดทางเลย คนในรถอีกคนหนึ่ง : ใช่ การไปไหว้อย่างงี้ บางที่มันไปไหว้ในสิ่งที่มันไม่ควรที่จะไปไหว้นะ ไหว้ไปไหว้มา ระวังจะไปเปิดเซ้นท์ตัวเองทำให้มองเห็นผีได้นะ เมื่อขับมาถึงจุดที่เกิดอุบัติเหตุ ก็ได้เห็นว่ามีผู้เสียชีวิตถูกคลุมผ้าอยู่ 2 ศพ คุณบีจึงได้ยกมือไหว้ขอให้ดวงวิญญาณไปสู่สุขคติ แล้วก็เดินทางกันต่อจนถึงแยกที่จะเข้าไปจังหวัดเชียงราย คุณบีก็ต้องลงจากรถเนื่องจากรถคันนี้ไม่ได้จะไปทางเดียวกันกับตน ทำให้ต้องโบกรถอีกคันเพื่อที่จะเข้าไปในตัวเมือง โบกอยู่สักพักหนึ่งก็มีรถเก๋งคนหนึ่งจอดรับ และก็ให้คุณบีติดรถไปด้วยเพราะไปที่เดียวกัน ระหว่างที่เดินทางอยู่นั้นเมื่อคุณบีเจออะไรก็จะไหว้อยู่เหมือนเดิม จนคนขับรถพูดว่า “น้องเป็นคนมือไม้อ่อนนะ ชอบไหว้” ต่อมาก็เดินทางจนมาถึงตัวเมือง ด้วยความที่คนขับรถเห็นคุณบีเป็นนักศึกษาจึงได้ให้เงิน 200 บาท ติดตัวเอาไว้ คุณบีขอบคุณและลงจากรถ แล้วก็ให้รุ่นน้องมารับตนไปที่งานแต่งงาน คุณบีไปถึงเวลาประมาณ 5 โมงเย็น ซึ่งทันงานเริ่มพอดี คุณบีและเพื่อน ๆ ก็ได้มีการกินเลี้ยง พูดคุย สังสรรคกันจนกระทั่งเป็นเวลาเที่ยงคืน ทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน รุ่นพี่ที่เป็นเจ้าภาพก็ได้เดินมาถามคุณบีว่า “จะนอนที่ไหน มีบ้านฝั่งตรงข้ามกับบ้านญาติให้นอนนะ” ซึ่งในรั้วบริเวณบ้านจะมีบ้านอยู่ 2 หลัง บ้านหลังแรกเป็นบ้านยกสูง ในตอนที่คุณบีได้เดินเข้าไปนั้นตนรู้สึกเหนื่อยจากการนั่งรถมานาน จึงตัดสินใจไม่พักบ้านหลังนี้ แล้วเดินไปที่บ้านอีกหลัง จากนั้นก็ค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไป เข้าในได้พบกับคนจำนวนมากที่มานอนระเกะระกะเต็มไปหมด ตนจึงค่อย ๆ เข้าไปแล้วเดินข้ามคนที่กำลังนอนอยู่ เพื่อพยายามหาที่นอน บ้านหลังนั้นแทบจะไม่มีที่ที่สามารถแทรกนอนได้เลย พอเดินไปสุดบ้านก็เจอห้องน้ำ จึงได้ทำการล้างหน้าล้างตาและคิดว่าจะเดินกลับไปดูที่บ้านยกสูงอีกครั้ง ในขณะที่คุณบีกำลังจะเดินออกจากบ้านหลังนี้ ก็สังเกตเห็นห้องทางด้านซ้ายมือเปิดประตูไว้อยู่ จึงตัดสินใจลองเดินเข้าไปดู ก็พบกับห้องนอน ที่มีเตียง มีผ้าห่ม มีทุกสิ่งทุกอย่างแต่ไม่มีคนนอน ด้วยความที่คุณบีเพลียมาก จึงได้ทำการนอนทันทีโดยไม่ได้มีการอาบน้ำก่อน ระหว่างที่นอนอยู่นั้น ก็ฝันเห็นภาพห้องนอนห้องหนึ่ง มีผู้หญิงเดินไปที่มุมห้องใกล้ ๆ กับประตู แล้วทำท่าทีเหมือนกำลังทะเลาะด่ากับใครบางคน ตนได้ยินผู้หญิงคนนั้นพูดประมาณว่า “กูไม่ได้ทำ มึงมาใส่ร้ายกูทำไม มึงชอบมาใส่ร้ายกู” ในฝันนั้น คุณบีได้ลุกขึ้นแล้วพยายามเดินไปหาผู้หญิงคนนั้นแล้วถามว่า “พี่ พี่เป็นไรอะ มีอะไรให้ช่วยมั้ย?” แต่จู่ ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็หันหน้ามา! โดยหันมาแต่หัว แต่ตัวไม่ได้ขยับ! แล้วตะโกนใส่คุณบีว่า “มึงก็อีกคน! ออกไปจากห้องกู!” คุณบีสะดุ้งตื่นทันที แต่ก็ยังนอนอยู่แค่ไม่ได้ลืมตา สักพักหนึ่งตนก็รู้สึกหนาวที่ข้างซ้ายของตัว จึงเอามือคลำไป จนได้รู้ว่าผ้าห่มไปอยู่ฝั่งทางขวา จึงดึงผ้าห่มมาห่มแล้วก็นอนหลับ หลับได้ไม่นาน ก็รู้สึกหนาวฝั่งขวา ในตอนนั้นตนคิดว่าถูกเพื่อนแกล้งเพราะเห็นว่าผ้าห่มเทไปทางซ้าย ในขณะที่กำลังดึงผ้าห่ม ตนก็คิดว่าไม่น่าจะใช่เพื่อนแกล้ง เพราะเตียงนอนชิดกับผนัง ถ้าเพื่อนแกล้งจริง ๆ ก็ต้องปีนข้ามตัวคุณบีแล้วเตียงต้องยุบ คุณบีจึงดึงผ้าห่มมาคลุมโปงทันที สักพักหนึ่งผ้าห่มก็ค่อย ๆ ดึงลงไปทางขาพร้อมกับเสียงพูดว่า “มึงออกไปจากห้องกู มึงออกไปจากห้องกู” คุณบีพยายามดึงผ้าห่มสู้แต่ก็สู้ไม่ไหว แล้วผ้าห่มก็ถูกกระชาก! คุณบีตกใจตะโกนลั่นห้อง แล้วรีบเก็บของออกจากห้องทันที! ตนคิดว่าคงจะมีใครข้างนอกได้ยินแล้วมาช่วย แต่กลับกลายเป็นว่าคุณบีถึงกับช็อก เพราะว่าข้างนอกนั้นไม่มีใครนอนอยู่เลยซักคน! คุณบีวิ่งออกมานั่งตรงกองไฟ ในตอนนั้นเป็นเวลาประมาณตี 4 ต่อมาก็มีเพื่อนเดินมาถามว่า “เป็นอะไร?” คุณบีตอบไม่ได้เพราะกำลังตกใจกับสิ่งที่ตัวเองเจอ จนเวลาผ่านไปคุณบีก็ได้สติ เจ้าสาวได้เดินมาหาคุณบีแล้วถามว่า “เป็นไง เมื่อคืนนอนสบายมั้ย? เมื่อคืนนอนไหน” คุณบียังคงช็อกกับเรื่องเมื่อคืนทำให้ตอบไม่รู้เรื่อง เจ้าสาวจึงได้ถามต่อว่า “เป็นอะไร ไปเจออะไรมาในบ้านหลังนี้?” ตนจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เจ้าสาวฟัง เมื่อเจ้าสาวทราบเช่นนั้นจึงเรียกเพื่อนทุกคนมาแล้วถามว่าเมื่อคืนไปนอนที่ไหน เพื่อนก็ตอบกลับมาว่า “ไปนอนชั้นบน บ้านยกสูง เพราะหลังบ้านหลังนั้นเขาจะให้คนที่มากินทีหลังนอน คนที่เลิกก่อนขึ้นไปนอนบ้านยกสูง” สุดท้ายแล้วเจ้าสาวก็เล่าให้คุณบีฟังว่า “บ้านหลังนี้ มันเป็นบ้านของพี่คนหนึ่งอยู่กับแม่ ซึ่งเป็นแม่ผัวลูกสะใภ้ โดยที่พี่ผู้หญิงคนนี้ชอบโดนแม่มองผิด ๆ มาโดยตลอดว่าชอบไปไหนมาไหนกับผู้ชาย เขาไปกับผู้ชายจริง เขาเป็นเพื่อนและเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง เขาเป็น LGBTQ พูดกับใครก็ไม่มีใครเชื่อเรื่อง เรื่องนี้เก็บไว้ในใจพี่ผู้หญิงมาตลอด มีวันหนึ่งก็ออกไปกับเพื่อนผู้ชายคนนี้ แล้วก็เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ คอหักตายทั้งคู่ แล้วพี่คนนี้เป็นคนหวงของหวงบ้านมากและเป็นคนที่รักความสะอาดมาก”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไลฟ์ดูดวงแล้วได้เสียงคนปาก้อนหิน พอไปดูก็ไม่มีใคร!

06 เม.ย. 2024

ไลฟ์ดูดวงแล้วได้เสียงคนปาก้อนหิน พอไปดูก็ไม่มีใคร!

เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณขวัญ’ ที่ ได้โทรมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (2 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เกี่ยวกับประสบการณ์การดูดวงที่มีวิณญาณมาของขอความช่วยเหลือ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย! คุณขวัญเล่าว่า คุณขวัญเองมีอาชีพเป็นหมอดู กลางคืนก็จะรับคิวดูดวง ช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนครึ่งก็จะไลฟ์สดเพื่อพูดคุยกับลูกดวงในทุก ๆ คืน ในช่วง 4-5 ปีที่แล้ว คุณขวัญก็ขึ้นไลฟ์สดปกติ และคุณขวัญก็เล่าว่าบ้านเก่าที่เคยอยู่เป็นบ้าน 2 ชั้น ห้องดูดวงกับห้องทำงานอยู่ชั้น 2 หากเปิดหน้าต่างในห้องทำงานก็จะเห็นประตูหน้าบ้านติดกับถนน คืนหนึ่ง เวลาประมาณเที่ยงคืนครึ่ง คุณขวัญกำลังเตรียมของเพื่อไลฟ์สดก็ได้ยินเสียงคล้ายกับก้อนหินกระทบกับประตูรั้วหน้าบ้าน แต่คุณขวัญก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งกำลังจะเปิดไลฟ์ ก็ได้ยินเสียงอีกครั้ง เป็นเสียงเหมือนมีคนขว้างบางอย่างใส่ประตูรั้วหน้าบ้าน คุณขวัญจึงเดินไปดูที่หน้าต่าง แต่มองออกไปก็ไม่เห็นอะไร แม้แต่สุนัขหรือรถวิ่งผ่านก็ไม่มี คุณขวัญจึงปล่อยผ่านไปแล้วมาขึ้นไลฟ์คุยกับลูกดวงปกติ แต่ในระหว่างคุยอยู่นั้น หางตาก็เห็นเหมือนมีกลุ่มควันดำ ๆ อยู่ที่มุมห้องของตนเอง จากนั้นก็ค่อย ๆ หายไป ในใจคิดแค่ว่าตัวเองคงตาฝาดจึงไม่ได้สนใจ วันถัดมาเวลาเดิม (ประมาณเที่ยงคืนครึ่ง) คุณขวัญก็เตรียมของเพื่อที่จะไลฟ์คุยกับลูกดวงเหมือนทุกวัน จากนั้นก็ได้ยินเสียงกระทบกับประตูหน้าบ้านเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้คุณขวัญแอบไปดูตรงหน้าต่าง ก็เห็นคล้ายกับคนยืนอยู่ จึงรีบวิ่งลงมาจากชั้น 2 เพื่อที่จะมาดูหน้าประตู แต่สุดท้ายก็ไม่มีใคร คุณขวัญได้แต่คิดในใจว่า ‘ใครวะ’ แล้วก็เดินขึ้นไปไลฟ์สด ช่วงที่ไลฟ์อยู่นั้นทุก ๆ 10 นาทีก็ได้ยินเสียง “ป๊อก…ป๊อก…ป๊อก” เป็นเสียงคล้ายก้อนหินถูกขว้างใส่ประตูหน้าบ้าน จนเขารู้สึกหงุดหงิดในใจ คิดว่าใครมาแกล้งหรือเปล่า พอสิ้นความคิดก็มีภาพของเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงมุมห้องมุมเดียวกับที่เห็นกลุ่มควันเมื่อวาน แต่ที่เห็นคือเด็กผู้ชายยืนก้มหน้าอยู่ประมาณ 5 วิแล้วก็หายไป คุณขวัญรู้สึกกังวลใจจึงไลฟ์ต่ออีกประมาณ 5 นาทีก็ปิดไลฟ์ แล้วเริ่มประติดประต่อเรื่องได้ว่า ‘น่าจะมีใครสักคนต้องการจะสื่อหรือคุยอะไรหรือเปล่า’ จากนั้นคุณขวัญก็นั่งสมาธิ แล้วคืนนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น... วันถัดมา คุณขวัญรันคิวดูดวงตามปกติจนกระทั่งคิวนี้.. ในขณะที่กำลังเคลียร์พลังงานของตัวเองเพื่อที่จะดูคิวต่อไป ก็เห็นภาพเด็กคนนั้นขึ้นมาในความคิด แต่สิ่งที่คุณขวัญเห็นคือเด็กผู้ชายคนนี้อยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ลักษณะของบ้านเป็นประตูกระจกที่เป็นบ้านเลื่อน เป็นประตูที่ติดกับข้างบ้าน ตรงข้างบ้านจะเป็นบริเวณหญ้าเหมือนเป็นมุมจิบกาแฟ คุณขวัญเห็นน้องผู้ชายคนนี้ยืนร้องไห้ ไม่พูดไม่คุยอะไร เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว คุณขวัญจะต้องเข้าคิวถัดไปจึงรีบเคลียร์ภาพเหล่านั้นออก คิวนี้เป็นน้องผู้หญิงอายุประมาณ 20 ปี ปรึกษาเรื่องปกติเกี่ยวกับการงาน การเงิน ความรัก ในระหว่างที่คุยกัน ก็มีภาพน้องผู้ชายคนนั้นก็แว๊บขึ้นมาร้องไห้เหมือนเดิม คุณขวัญจึงขอเบรคลูกดวงก่อนแล้วบอกว่า “ขอโทษนะคะ รู้จักเด็กผู้ชายลักษณะผอมสูง ใส่เสื้อเชิ้ตมีกระดุมกางเกงขายาว ลักษณะรูปร่างประมาณนี้ไหม ขวัญเห็นยืนอยู่ในบ้าน” แล้วคุณขวัญก็อธิบายลักษณะบ้านให้ลูกดวงคนนี้ฟัง น้องผู้หญิงคนนี้ก็เงียบไปสักครู่นึงแล้วก็ถามว่า “มีอะไรหรือเปล่าคะ?” คุณขวัญจึงเล่าเหตุการณ์เมื่อวันก่อนให้ฟัง แล้วน้องคนนั้นก็บอกว่า “สิ่งที่คุณขวัญเห็น เป็นลักษณะของน้องชาย ที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว” และบ้านที่คุณขวัญเห็นเป็นบ้านหลังเก่าที่ครอบครัวนี้เคยอยู่ต้อนที่น้องผู้ชายคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ คุณขวัญก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องได้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น.. หลังจากนั้นก็คุยเรื่องดวงต่อ แล้วก็ได้ยินเสียงน้องผู้ชายคนนั้นพูดว่า “พาหนูไปด้วย หนูเหงา” พร้อมกับร้องไห้ออกมา คุณขวัญจึงบอกกับน้องผู้หญิงคนนั้นไปว่าได้ยินเสียงน้องผู้ชายพูดมาแบบนี้ และถามว่า “ตอนที่ตัดสินใจย้ายบ้านได้เรียกน้องไหม แล้วตอนเข้าบ้านใหม่บอกเจ้้าที่เจ้าทางที่ใหม่หรือเปล่าเพื่ออนุญาตให้น้องเข้า” น้องผู้หญิงคนนี้ก็เล่าให้ฟังว่า “เท่าที่จำได้ ไม่ได้มีการจุดธูป ไม่ได้เรียกน้องแบบจริงจังเลย” คุณขวัญคิดว่าน้องน่าจะยังอยู่ที่บ้านหลังเดิมคนเดียวเหงา ๆ แล้วก็น่าจะคิดถึงครอบครัว จึงพยายามมาสื่อสารเพื่อที่จะให้ทางครอบครัวรับรู้ คุณขวัญจึงแนะนำไปว่า “ถ้าสมมติมีโอกาสกลับมาบ้านหลังนี้ ให้เรียกน้องกลับไปที่บ้านหลังใหม่ แล้วก็บอกเจ้าที่เจ้าทางให้เขารับรู้และให้เขาอนุญาตให้น้องได้เข้าบ้าน” คุณขวัญยังนึกสงสัยว่า ‘ทำไมดวงวิณญาณมาหาถึงหน้าบ้าน’ ก่อนจะวางสายจึงคุยกับน้องผู้หญิงคนนี้ว่า “บ้านเก่าที่เราเจอดวงวิณญาณอยู่ที่ไหน” น้องผู้หญิงก็บอกว่าอยู่จังหวัดเดียวกับคุณขวัญ ซึ่งห่างจากบ้านของคุณขวัญแค่ไม่กี่กิโลเมตร แล้วเมื่อ 3 วันก่อนคุณขวัญก็เพิ่งไปหาเพื่อนแถวนั้นมาพอดี คุณขวัญเล่าว่าน้องน่าจะหาคนที่สื่อสารได้เพื่อบอกกับครอบครัวว่าเขายังอยู่ตรงนี้..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก ‘เป้ MVL’ ปู่ยักษ์ใจดี I อังคารคลุมโปง X เป้ MVL [ 16 ก.ค. 2567]

20 ก.ค. 2024

เรื่องเล่าจาก ‘เป้ MVL’ ปู่ยักษ์ใจดี I อังคารคลุมโปง X เป้ MVL [ 16 ก.ค. 2567]

‘คุณเป้ MVL’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (16 กรกฎาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ปู่ยักษ์ใจดี’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณเป้เล่าว่า คุณเป้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณเป้เรียกว่า ‘ปู่ พ่อ และเตี่ย’ ที่คุณเป้จะไหว้สักการะที่บ้านเป็นประจำนอกเหนือจากพระ โดยคุณเป้จะเรียกท้าวเวสสุวรรณว่า ‘ปู่’ เรียกพระพิฆเนศว่า ‘พ่อ’ และเรียกกรมหลวงชุมพรว่า ‘เตี่ย’ ซึ่ง 3 องค์นี้คุณเป้บูชาอยู่ที่บ้าน แต่โดยปกติก่อนหน้านี้คุณเป้เป็นคนไม่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีโอกาสเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ของตนโดยไม่ได้ตั้งใจ เลขที่ลงท้ายของเบอร์คือ 5995 ซึ่งถ้าใครที่เล่นเรื่องเลขมงคลจะทราบดีว่าเลขนี้เป็นเลขสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเบอร์ที่เกี่ยวกับธรรมะธัมโม ใครใช้ก็จะชอบเข้าวัดสวดมนต์ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง และคุณเป้รู้สึกว่าเมื่อเปลี่ยนเบอร์แล้วชีวิตนั้นเปลี่ยนไปอีกทาง จากที่เป็นคนทำงานกลางคืน นอนตอนกลางวัน อยู่แต่ในที่มืด ณ ตอนนั้นเรื่องสวดมนต์แค่ท่องนะโมได้คือเก่งแล้ว แต่หลังจากใช้เบอร์ใหม่ได้ประมาณ 3 เดือน คุณเป้กลับกลายเป็นคนที่ตื่นเช้าเพื่อมาเปลี่ยนน้ำพระทุกวัน ได้มีโอกาสได้รับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาจากผู้ใหญ่ที่นับถือเข้าบ้าน เริ่มนั่งสมาธิ หากมีโอกาสก็จะไปทำสังฆทานและกลายเป็นคนเข้าวัดที่ชอบทำบุญ โดยที่ตนก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เพราะไม่มีจุดเปลี่ยนอะไรนอกจากเบอร์มือถือ นั่นทำให้คุณเป้มีความเชื่อมากขึ้น หลังจากนั้น คุณเป้ได้เจอจุดเปลี่ยนอีกจุดหนึ่ง เป็นวันเกิดปีหนึ่งของคุณเป้ ซึ่งเป็นตอนที่มีลูกแล้ว ภรรยาของคุณเป้แนะนำว่าวันเกิดปีนี้อยากพาคุณเป้ไปที่วัดหนึ่ง ซึ่งวัดนี้จะโดดเด่นมากเรื่องของท้าวเวสสุวรรณ โดยก่อนหน้านี้คุณเป้เพียงแต่เคยได้ยินว่าท้าวเวสสุวรรณท่านเป็นใคร แต่ไม่เคยสนใจถึงขึ้นอยากจะเข้าไปบูชาสักการะ และไหน ๆ ก็เป็นวันดีคุณเป้จึงตัดสินใจไปไหว้วัดแห่งนี้ เมื่อไปถึงก็กราบสักการะบูชาพระต่าง ๆ ถวายสังฆทาน และมีแม่ชีแนะนำว่าควรจะไปไหว้พระเวสสุวรรณที่อยู่ด้านหลัง และมีธรรมเนียมปฏิบัติว่าให้เดินลอดใต้ขาท่านเพื่อสะเดาะเคราะห์และขอพร ตอนนั้นลูกของคุณเป้ยังเด็กและเดินไม่ได้คุณเป้จึงอุ้มลอดใต้ขาของท้าวเวสสุวรรณขอพรให้ดูแลปกปักรักษา เพราะก็จะมีความเชื่อที่ว่าเด็กนั้นมีโอกาสที่สิ่งต่าง ๆ จะเข้ามารบกวน คนก็จะมักมีความเชื่อที่ว่าให้นำท้าวเวสสุวรรณไว้ที่บริเวณไหนก็ได้ในบริเวณที่เด็กนอน เมื่อลอดเสร็จ ในช่วงขาออกจะมีโต๊ะที่บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำเงินไปบูรณะวัด ซึ่ง ณ ตอนนั้นคุณเป้ไม่ได้เชื่อในเรื่องนี้เสียสักเท่าไหร่ แต่มีแม่ชีมาแนะนำคุณเป้จึงรับมาโดยที่ตนก็ยังไม่ได้มีความเชื่อเกี่ยวกับท้าวเวสสุวรรณ หลังจากที่ไปไหว้วัดดังกล่าว มีบางอย่างเกิดขึ้นกับคุณเป้ที่ทำให้คุณเป้รู้สึกว่าเรื่องราวไปโยงกังองค์ท่าน เช่น อยู่มาวันหนึ่ง คุณพ่อของภรรยาได้ยกท้าวเวสสุวรรณองค์สีทองมาไว้ที่บ้าน แล้วบอกให้บูชาองค์นี้เพื่อที่จะช่วยให้ลูก ๆ ของคุณเป้นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น และช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดี เพราะบางทีคุณเป้ไปทำงานต่างจังหวัดต่างที่ต่างถิ่นไม่ได้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ป้องกันอาจจะพาสิ่งที่ไม่ดีกลับมาแล้วไปโดนลูก ๆ หลังจากนั้นคุณเป้ก็ได้เริ่มศึกษาและบูชาท่าน และขอพรตามปกติ จนมีช่วงหนึ่งได้เกิดเรื่องราวแปลก ๆ ที่ได้เห็นชัดคือในช่วงวันโกนวันพระ เด็ก ๆ จะมีอาการร้องไห้และนอนไม่หลับทั้งคืน ต้องอุ้มเดินทั้งคืนจะหลับอีกทีก็ 6 โมงเช้า ในขณะที่อุ้มจะมีสิ่งที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ เวลาที่คุณเป้มองหน้าลูก จะเห็นว่าลูกไม่ได้มองหน้าคุณเป้แต่จะมองผ่านไปอีกฝั่งบ้าง มองข้ามหลังไปบ้าง จนทำให้คุณเป้รู้สึกว่าที่บ้านไม่ได้มีแค่คุณเป้ จนเมื่อลูกเริ่มโตขึ้นคุณเป้ได้มีโอกาสพาไปทะเลต่างจังหวัดและไปพักโรงแรมแห่งหนึ่ง 3 วัน 2 คืน โดยคุณเป้จะขอเป็นห้องครอบครัว และนำฟูกมาต่อเป็นคอกให้กับลูก ในวันแรกคุณเป้ได้พาลูกไปเล่นสนุกมาก พอตกกลางคืนลูกก็หลับเพราะเหนื่อย แต่หลับไปได้ประมาณ 1 ชั่วโมง ลูกก็ลุกขึ้นมานั่งแล้วมองเลยคุณเป้ขึ้นไปแล้วชี้พร้อมพูดว่า “ผี” แต่คุณเป้คิดว่าสิ่งที่ลูก เห็นไม่น่าใช่ผีเพราะคุณเป้ไม่เคยสอนคำนี้ คุณเป้จึงคิดว่าลูกเรียกว่า “พี่” เพราะอาจจะพูดไม่ชัด แต่คุณเป้ก็คิดว่าแล้ว “พี่” คนนั้นคือใคร เพราะในห้องนั้นมีแค่ลูก 2 คน จากนั้นลูกก็นั่งมองสิ่งที่เขาชี้ทั้งคืนไม่ยอมนอนแต่ไม่ร้องไห้ เมื่อถึงคืนที่ 2 ลูกเป็นเหมือนเดิมแต่คราวนี้ร้องไห้ทั้งคืนไม่หยุด คุณเป้เหนื่อยมากเพราะไม่ได้นอนทั้ง 2 คืนและอีกวันก็ต้องขับรถกลับ พอดีวันนั้นคุณเป้ห้อยท้าวเวสสุวรรณ จู่ ๆ ก็มีอะไรดลใจให้คุณเป้จับท้าวเวสสุวรรณและบอกว่า “ปู่ครับ ช่วยลูกผมด้วย ให้ลูกผมได้หลับให้ลูกผมได้นอน อย่าให้มีอะไรมารบกวน ขอให้คนนี้ทุกคนหลับสบาย” แล้วคุณเป้ก็นำท้าวเวสสุวรรณวนหัวลูก 3 รอบ เมื่อเสร็จลูกคุณเป้ล้มลงนอนทันทีหลับไปเลย ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาทำให้คุณเป้เชื่อว่าปู่เวสสุวรรณมีจริง และพกติดตัวตลอดเวลา(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1