เรื่องเล่าจากคุณเหมย ‘บ้านโรงรถ’ I อังคารคลุมโปง X ตั้น The Shock [ 23 ก.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเหมย ‘บ้านโรงรถ’ I อังคารคลุมโปง X ตั้น The Shock [ 23 ก.ค. 2567]

27 ก.ค. 2024

     เรื่องราวนี้ ‘คุณเหมย‘ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 กรกฎาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน‘ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ’บ้านโรงรถ‘ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย!

...

เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นที่บ้านโรงรถ

     คุณเหมยเล่าว่า ย้อนไปเมื่อตอนยังเด็ก บ้านตั้งอยู่ในตัวตำบล ระหว่างตำบลกับอำเภอค่อนข้างที่จะไกลกัน อยู่มาวันหนึ่ง คุณเเม่ทะเลาะกับคุณตา คุณเหมยจึงย้ายไปอยู่ที่ตัวอำเภอกับคุณป้า ตอนที่ย้ายไปนั้น คุณเเม่ก็ยังไม่มีอาชีพเป็นหลักเป็นแหล่งเพื่อหาเงินซื้อบ้าน จึงไปปรึกษากับคุณป้าว่าควรทำอย่างไร คุณป้าก็ได้เเนะนำคุณเเม่ให้มาอยู่ที่โรงรถแบบชั่วคราวไปก่อน

     จนกระทั่งคุณเหมยเรียนอยู่ชั้น ป.1 มีวันหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงคนคุยกันหน้าบ้านค่อนข้างดังมาก ประมาณร้อยกว่าคน ซึ่งก่อนหน้าที่คุณเหมยจะเข้ามาอยู่ บริเวณนี้ค่อนข้างพลุกพล่าน คนทำงานค่อนข้างเยอะ เเต่ตอนนั้นก็ดึกมากแล้ว คุณเหมยจึงคิดว่าไม่น่ามีใครมายืนคุยกันตรงนี้ จึงลุกไปดูผ่านแสงไฟที่ลอดมาจากปลายถนน ก็เห็นเป็นผู้ชายกับผู้หญิงยืนคุยกัน ด้วยความสงสัยว่าทำไมถึงมายืนคุยตรงนี้ คุณเหมยจึงเดินออกไปดู เเต่เเล้วก็พบเจอกับความว่างเปล่า! ไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้น ส่วนเสียงที่ได้ยินก็หายไป!

     คุณเหมยเดินกลับเข้าไปนอน พอกลับเข้ามานอนก็ได้ยินเสียงเหมือนเดิม! ตนจึงได้ไปเล่าให้คุณเเม่ฟังเเล้วก็โดนตอบกลับมาว่า

     “เพ้อเจ้อ คิดมาก”

     ซึ่งคุณเเม่กับคุณพ่อเป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ตนจึงได้เเต่สงสัยเเล้วก็ได้ยินเสียงนี้อยู่เรื่อยมาก

     จนคุณเหมยขึ้น ป.2 คืนนั้นตนนอนกึ่งหลับกึ่งตื่น นอนได้สักพักก็มองไปบนเพดานฝ้าที่อยู่ตรงโรงรถ ก็เห็นเป็นหน้าผู้หญิงแก่ มวยผม ลอยอยู่บนฝ้าเพดาน! เเล้วบอกว่า

     “ไปอยู่ด้วยกันมั้ย“

     คุณเหมยตกใจจนขยับไม่ได้ ได้เเต่พูดในใจว่า

     ”ไม่ไป“

     ตอนนั้นตนคิดว่าได้พูดออกไปแล้วเเต่ความจริงคือยังไม่ได้พูด! เขาก็เลยถามตนอีกครั้งว่า

     ”สรุปจะไปอยู่ด้วยกันมั้ย คิดได้หรือยัง“

     คุณเหมยบอกว่าตนก็พยายามที่จะพูด เพราะพูดไม่ได้ จู่ ๆ เขาก็สวนกลับมาว่า

     ”มึง! จะไปอยู่กับกูมั้ย!“

     ทำให้คุณเหมยตกใจเเล้วรีบวิ่งไปหาคุณแม่!

     เช้าวันถัดมา คุณเหมยได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง แม่ก็ตอบกลับอีกว่า ”เพ้อเจ้อ คิดมาก“ เป็นครั้งที่ 2

     เมื่อคุณเหมยเริ่มขึ้น ป.3-4 คุณแม่ก็ได้ซื้อรถจักรยานยนต์ให้ เเต่ตนชอบเที่ยว จึงทำให้คุณเเม่อยากดัดนิสัยด้วยการเอารถไปซ่อน ตนคิดว่ารถหายจึงไปบอกกับหมอธรรม เเล้วเขาก็ได้ตอบกลับมาว่า

     “รถไม่ได้หายนะ เเม่เอ็งเอาไปซ่อน”

     คุณเหมยได้ยินเเบบนั้นก็ไม่เชื่อ เเล้วก็ไม่คิดว่าเเม่จะเป็นคนแบบนี้ ตนจึงตอบกลับไปว่า “ไม่เชื่อ”

     หมอธรรมได้ตอบกลับว่า “ที่บ้านเอ็งตรงนั้น มันเป็นป่าช้าเก่านะ เเต่ก่อนมันเคยเป็นที่เก็บกระดูกคน เป็นโกศที่อยู่ในตามวัด“

     หลังจากคุณเหมยกลับมาบ้าน ผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ คุณแม่ได้ยอมรับกับตนว่าเป็นคนไปแอบจริง!

...

เหตุการณ์ที่ 2 เกิดขึ้นที่บ้านหลังใหม่ที่อยู่ใกล้กับบ้านโรงรถ

     ช่วงมัธยมต้น คุณเหมยคิดว่าย้ายมาอยู่บ้านใหม่เเล้วคงจะไม่เจออะไรที่เคยเจอ เเต่ก็เหมือนเดิม ตนเห็น 2 คนนั้นที่เคยเจอเมื่อตอนเด็ก ๆ เขามายืนหน้าห้องเเล้วพูดว่า

     “มึงจะไปอยู่กับกูมั้ย! จะไปอยู่ด้วยรึเปล่า!”

     คุณเหมยกลัวมากจึงรีบไปบอกกับคุณเเม่ เเล้วคุณเเม่ก็บอกกับตนว่าจะพาไปทำบุญเพื่อความสบายใจ ในตอนเช้าคุณเเม่ก็พาคุณเหมยไปทำบุญ จู่ ๆ ก็มีหลวงตาองค์หนึ่งเข้ามาทักว่า

     ”ดูเเลไอเด็กคนนี้มันดี ๆ นะ ไอเด็กคนเนี้ย ที่ของบ้านที่เอ็งอยู่ เขาจะเอามันไปอยู่หลายครั้งเเล้ว เเต่มันดวงเเข็งเขาเอามันไปไม่ได้“

     เเล้วหลวงตาท่านนั้นก็ได้บอกอีกว่า ”ให้หมั่นทำบุญตักบาตร กรวดน้ำ“ หลังจากนั้นคุณเหมยก็ตักบาตรทุกเช้าก่อนไปเรียน เเต่ก็ยังเจออยู่เหมือนเดิม..

     ต่อมาก็อยู่บ้านหลังนี้ได้ 5-6 ปี คุณเเม่ก็ปล่อยบ้านนี้ให้คนเช่า ซึ่งคนที่มาเช่าต่อบังเอิญเป็นเเม่ของเพื่อนคุณเหมย อยู่ได้ประมาณ 3 เดือน เพื่อนก็ทักมาถามว่า “บ้านนี้มีอะไรหรือเปล่า?”

     จึงได้ตอบกลับไปว่า “บ้านนี้ก็มีนะ ตอนที่ตากับพ่อเลี้ยงเสียก็ได้จัดงานศพที่บ้าน มีอะไรหรือเปล่า?”

     เพื่อนของคุณเหมยตอบกลับมาว่า “เปล่า พอดีเเม่เล่าให้ฟังว่าช่วงที่อยู่ 2-3 เดือนแรก ได้ยินเสียงคนคุยกันเยอะมาก”

     ซึ่งสิ่งที่เขาเจอมันก็เหมือนกับเหตุการณ์ตอนที่คุณเหมยอยู่บ้านหลังนั้น!

...

เหตุการณ์ที่ 3 เกิดขึ้นที่บ้านหลังที่สาม

     หลังจากที่คุณเเม่ปล่อยบ้านหลังนั้นให้เช่า ก็พาคุณเหมยย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ เป็นบ้านหลังที่สาม เนื่องจากคุณแม่มีปัญหากับคุณป้า ตอนที่ตนนอนก็ได้ฝันถึงบ้านหลังนั้น ภาพในฝันเหมือนกับที่หมอธรรมเคยบอก!

     ต่อมาคุณเหมยได้เล่าว่าพ่อเลี้ยงตามมาที่บ้าน ย้อนกลับไปที่บ้านหลังเก่า พ่อเลี้ยงของตนได้เสียชีวิตที่นั่น คืนก่อนที่พ่อเลี้ยงจะเสียชีวิต มีพยาบาลโทรมาเเจ้งกับคุณเเม่ว่าพ่อเลี้ยงเสียชีวิตเเล้ว เเต่ก็ไม่กล้าบอกกับตน เเต่คุณเหมยกลับเห็นตรงกระจกเป็นพ่อเลี้ยงกำลังโบกมือให้อยู่!

     ตนตกใจจึงสะกิดแม่เเล้วถามว่า “เเม่ พ่อหายเเล้วหรอ? เเม่ไปรับพ่อมาตอนไหน”

     เเม่ก็ทำสีหน้ามึนงงเเล้วตอบกลับว่า “พูดอะไร พูดนี่คิดด้วย“ แล้วบอกอีกว่า ”รีบไปแต่งตัว เดี๋ยวจะไป รพ.พ่อเสียเเล้ว!“

     ผ่านไปประมาณ 10 กว่าปี คุณเหมยเติบโตจนใกล้จะเเต่งงาน เเม่ก็บอกให้ขึ้นไปไหว้พ่อกับตายาย เมื่อคุณเหมยกำลังก้าวขึ้นบันไดขั้นสุดท้าย ก็เห็นพ่อเลี้ยง เเว๊บ! ผ่านหน้าไป ตนจึงหยุดนิ่งอยู่ในอาการช็อก ซึ่งคุณเเม่ที่อยู่ข้างหลังก็เห็นเช่นเดียวกันกับคุณเหมย

     ต่อมาคุณเหมยได้พารุ่นน้องมานอนที่บ้าน ผ่านไปได้สักพักรุ่นน้องก็บอกว่าขอไปนอนรีสอร์ต เพราะตอนคุณเหมยไปอาบน้ำ จู่ ๆ ป้ายรูปพ่อของตนร่วงตกลงมา! ไม่ได้คิดอะไรจึงเอากลับไปแขวนที่เดิม สักพักก็ตกลงอีกครั้งจนกระจกแตก!

     คุณเหมยคิดว่าพ่อเสียไปประมาณ 10 กว่าปีเเล้ว ก็ยังอยู่วนเวียนในบ้าน อาจจะเป็นเพราะเป็นห่วงลูกสาวของเขา..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากหมอพิพิม 'เก้าอี้ข้างเตียง' I อังคารคลุมโปง X หมอพิพิม [ 3 ก.ย. 2567]

07 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจากหมอพิพิม 'เก้าอี้ข้างเตียง' I อังคารคลุมโปง X หมอพิพิม [ 3 ก.ย. 2567]

‘คุณหมอพิพิม’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 สิงหาคม 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘เก้าอี้ข้างเตียง’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! ‘คุณหมอพิพิม’ เล่าว่า เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของลูกดวง ดูไปดูมาลูกดวงของคุณหมอพิพิมก็ได้บอกว่า “แม่นมาก ในเมื่อดูแม่นขนาดนี้ผมขอปรึกษาเรื่องหนึ่งได้ไหม” ซึ่งคุณหมอพิพิมก็ยินดี ลูกดวงจึงบอกว่าเป็นเรื่องสิ่งลี้ลับ และเล่าให้คุณหมอพิพิมฟังว่า ลูกดวงทำงานที่ต่างตังหวัดเพราะได้งานใหม่ ซึ่งงานใหม่ที่ได้นี้มีสวัสดิการให้เป็นบ้านพัก 2 ชั้นที่ต้องอาศัยร่วมกับเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง โดยลูกดวงคนนี้จะอยู่ชั้น 2 เพื่อนร่วมงานจะอยู่ชั้นล่าง บรรยากาศของบ้านไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาด แต่ลูกดวงคนนี้จะรู้สึกแปลก ๆ เวลาเข้าไปในบ้านหลังนี้ ลูกดวงมักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวที่ชั้น 2 รู้สึกถูกจ้องมองตลอดเวลา และรู้สึกไม่ปลอดภัย โดยลักษณะชั้น 2 นี้ ห้องนอนจะอยู่ซ้ายมือ มีเตียงไม้ มีโต๊ะเขียนหนังสือปลายเตียง และจะมีเก้าอี้อยู่ด้วยหนึ่งตัว พอลูกดวงนอนช่วง 2-3 วันแรกก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อมาช่วงวันที่ 4-5 ลูกดวงคนนี้ได้เอางานกลับมาทำที่บ้าน ซึ่งตอนนั้นค่อนข้างดึกและเกิดอาการง่วง จึงเก็บเอกสารและเอาเก้าอี้วางชิดใต้โต๊ะอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และเดินมานอนที่เตียง แต่เมื่อตื่นเช้ามาสิ่งที่ลูกดวงเห็นคือเก้าอี้มาอยู่ข้างเตียงในลักษณะที่หันเข้าหาเตียง ลูกดวงก็คิดไปว่าตัวเองอาจจะลืมเก็บเก้าอี้ไม่ได้คิดอะไร วันต่อมาเมื่อกลับมาจากทำงานก็มานั่งทำงานที่ค้างตามปกติ แต่ขณะทำงานก็รู้สึกว่ามีคนจ้องและมองอยู่ แต่ก็พยายามไม่คิดอะไร จึงเก็บเอกสารเก็บเก้าอี้แล้วไปนอน เมื่อตื่นขึ้นมาเก้าอี้ดันมาอยู่ข้างเตียงในลักษณะเดิมอีกแล้ว และคืนถัดไปก็ยังเป็นแบบนี้อีก เมื่อเป็นบ่อยเข้าก็รู้สึกไม่ไหวจึงสวดมนต์ก่อนนอน ในคืนนั้นลูกดวงได้บอกว่า ณ ตอนนั้นไม่มั่นใจว่ากำลังฝันหรือว่าเห็นเป็นภาพจริง คืนนั้นลูกดวงนอนแล้วหันตะแคงข้างออกไปทางหน้าต่างที่มีแสงลอดเข้ามา และหันไปเห็นผู้หญิงนั่งขดตัวอยู่ในเงามืดเหมือนร้องไห้ ในขณะนั้นลูกดวงไม่สามารถขยับตัวได้ ส่วนผู้หญิงที่นั่งขดตัวอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามอง จนลูกดวงช็อคหลับไป เมื่อตื่นมาก็เห็นเก้าอี้มาอยู่ข้าง ๆ อีกแล้ว ลูกดวงถามคุณหมอพิพิมว่ามันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม คุณหมอพิพิมจึงเปิดไพ่ และได้ความว่ามีจริง ๆ แต่วิญญาณไม่ได้มาทำอันตราย แต่เหมือนวิญญาณเขาเหงา เขาไปไหนไม่ได้ นาน ๆ ทีมีคนมาอยู่เขาก็คงอยากจะสื่อสาร และเก้าอี้ปลายเตียงเป็นเก้าอี้ที่เค้าใช้นั่งประจำ ซึ่งเขาต้องการขอบุญ อยากให้คนทำบุญให้ ลูกดวงจึงทำบุญให้ หลังจากนั้นก็ไม่เคยเจออีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ตู้ในตำนานของห้องซ้อมวงโยธวาทิต ที่ถูกปิดล็อกเอาไว้อย่างดี จู่ ๆ แม่กุญแจก็แกว่งเองเสียงดัง! หัวหน้าวงจึงนั่งสมาธิเพื่อสื่อสาร แต่แล้วเขาก็ลุกขึ้นมาบีบคอคนในวงโดยที่ไม่รู้ตัว! สุดท้ายจำได้ว่าในสมาธินั้นเจอพ่อแก่มาบอกว่าไม่พอใจที่มีคนไม่เคารพเครื่องดนตรี!

04 ก.ย. 2023

ตู้ในตำนานของห้องซ้อมวงโยธวาทิต ที่ถูกปิดล็อกเอาไว้อย่างดี จู่ ๆ แม่กุญแจก็แกว่งเองเสียงดัง! หัวหน้าวงจึงนั่งสมาธิเพื่อสื่อสาร แต่แล้วเขาก็ลุกขึ้นมาบีบคอคนในวงโดยที่ไม่รู้ตัว! สุดท้ายจำได้ว่าในสมาธินั้นเจอพ่อแก่มาบอกว่าไม่พอใจที่มีคนไม่เคารพเครื่องดนตรี!

‘อังคารคลุมโปง X’ (29 สิงหาคม 2566) ที่ผ่านมา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ได้เปิดไมค์ต้อนรับ ‘คุณไอซ์’ สายจากทางบ้านที่โทรมาเล่าประสบการณ์หลอนสมัยที่ยังอยู่ในวงโยธวาทิตของโรงเรียน กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ตู้ลับในห้องวงโย’ จะชวนขนลุกขนาดไหน ตั้งสติให้ดีแล้วไปอ่านต่อกันเลย! ย้อนกลับไปช่วงมัธยม คุณไอซ์เคยเป็นเด็กวงโยธวาทิตของโรงเรียนแห่งหนึ่ง โดยปกติแล้ว วงโยฯจะต้องอยู่ซ้อมตั้งแต่บ่ายสองถึงห้าโมงเย็น ในบริเวณที่ซ้อมนั้นจะเป็นลักษณะห้อง 2 ส่วน คือห้องเล็กเป็นห้องพักครู และห้องใหญ่เป็นห้องสำหรับซ้อม ซึ่งสามารถมองทะลุหากันได้ แต่จะไม่มีหน้าต่าง เป็นห้องที่บุผนังด้วยแผงไข่ และมีตู้เหล็กไว้เก็บเครื่องดนตรี ในวันนั้นเหตุการณ์เกิดขึ้นประมาณบ่าย 3-4 โมงเย็น มีคนที่ยังอยู่ซ้อมทั้งหมดหกคน หนึ่งในนั้นเป็นพี่ผู้ชายคนนึง ซึ่งเป็นมือกลองประจำวง กำลังนั่งตีกลองชุดอยู่ ตำแหน่งของกลองชุดนั้นตั้งอยู่หน้าตู้เก็บเครื่องดนตรี ขณะที่เขากำลังตีกลองอยู่สักพัก เขาก็วิ่งกรี๊ดออกมา! และตะโกนโวยวายหาหัวหน้าวง ซึ่งเป็นคนที่ค่อนข้างมีเซนส์ว่า “พี่ที พี่ที พี่ ผมเห็นอะไรไม่รู้ วาร์ปออกมาตรงตู้ ผมเห็นจริง ๆนะ ” แต่ทุกคนก็บอกกลับไปว่า “ คิดมาก มันเป็นห้องปิด มีแค่ไฟหลอด เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะมีอะไร” ในจังหวะที่เถียงกันอยู่นั้น สายตาคุณไอซ์ก็เหลือบไปเห็นตู้หนึ่ง มันเป็นตู้ที่เคยมีตำนานว่าเคยมีคนเจอบางสิ่งบางอย่างกันบ่อย ตรงนั้นเป็นตู้ที่ล็อกแม่กุญแจ แต่จู่ ๆ แม่กุญแจนั้นมันก็แกว่งและมีเสียงขึ้นดัง “แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก” ตีกับตู้เหล็กโดยไม่มีเหตุผล! แล้วพี่มือกลองที่วิ่งออกมา เขาก็ตะโกนออกมาอีกครั้ง “เห้ยพี่! เห้ยเนี่ย เห้ยทำไมแม่กุญแจมันแกว่งแบบนั้นอะ เห้ย! ” พอเขาพูดขึ้นมา แม่กุญแจก็แกว่งแรงขึ้นอีก แรงขึ้นเรื่อย ๆ คุณไอซ์และเพื่อนผู้หญิงก็รีบวิ่งลงมาก่อน เพื่อนผู้ชายตัดสินใจเข้าไปรอที่ห้องพักครู ส่วนพี่ทีจะเข้าไปดูเพียงคนเดียวว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ที่ห้องซ้อม จังหวะที่พี่ทีเข้าไปในห้อง เขานั่งลงทำสมาธิ เหมือนพยายามที่จะสื่อ และพูดคุยว่าเกิดอะไรขึ้น ตรงนี้มีใคร ต้องการจะทำอะไรถึงได้มีน้องเห็นเป็นแสงวาร์ปออกมา และแม่กุญแจแกว่งได้ยังไงทั้ง ๆ ที่เป็นห้องปิด และไม่มีลมเลย... สักพักพี่ทีก็เดินออกมาจากห้องซ้อมใหญ่ และเดินตรงมาบีบคอเพื่อนผู้ชาย ที่ยืนรออยู่ที่ห้องพักครู เพื่อนที่ถูกบีบคอเริ่มทนไม่ไหวจึงพูดขึ้นมาว่า “ถ้าพี่ไม่ปล่อยผม ผมจะต่อยหน้าพี่จริง ๆนะ!” แล้วเพื่อนก็ต่อยเข้าที่หน้าด้านขวาจริง ๆ พี่ทีก็ล้มลงไป จากนั้นเพื่อนคนที่ถูกบีบคอก็รีบวิ่งหนีออกและกลับบ้านทันที หลังจากนั้น พอพี่ทีรู้สึกตัว เขาก็เล่าว่าตอนที่นั่งสมาธิ เขาเห็นว่ามีพ่อแก่ที่เป็นครูมาบอกว่า “ทำไมมีคนเอาขลุ่ยเพียงออ ไปเช็ดกระโปรงแบบนั้น” เขาเลยมาแสดงให้เห็นว่าเขาไม่พอใจ ให้ไปทำพิธีขอขมาเครื่องดนตรีก่อน ใครที่อยู่สายดนตรีไทยอยู่แล้ว เขาจะถือกันว่าห้ามทำพฤติกรรมที่แสดงถึงการไม่เคารพเครื่องดนตรี เพราะของทุกชิ้นมีครูดูแล..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องหลอน ๆ ของคนมีเซนส์ หลังย้ายไปทำงานที่พังงา

21 มี.ค. 2023

เรื่องหลอน ๆ ของคนมีเซนส์ หลังย้ายไปทำงานที่พังงา

เรื่องหลอน ๆ ของคนมีเซนส์ หลังย้ายไปทำงานที่พังงา คืนหนึ่ง.. ต้องไปส่งเอกสารด่วน ขากลับขับผ่านโค้งหักศอก ตรงนั้นมีศาลตั้งอยู่ด้วย! พยายามมองแค่ทางตรงแล้ว แต่หางตาดันสะดุด ทำให้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น! สติหลุด ทั้งกรี๊ด ทั้งร้องไห้ ขับต่อแทบไม่ไหวจนต้องจอดพัก แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ก่อให้เกิดคลื่นน้ำขนาดยักษ์ที่เรารู้จักและหวาดกลัวอย่าง ‘สึนามิ’ พัดถล่มเข้าชายฝั่งหลายจังหวัดทางภาคใต้ในประเทศไทย ส่งผลให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ทั้งโลกไม่อาจลืมเลือน หนึ่งในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์เต็ม ๆ คือ จ.พังงา และยังเป็นจุดหมายปลายทางของ ‘คุณแนน’ สายจากทางบ้านที่พบเจอกับประสบการณ์หลอนทันทีที่ได้มาถึง ทำเอา ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ’ ถึงกับอ้าปากค้างในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (14 มีนาคม 2566) กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ย้ายไปพังงา’ คุณแนนเล่าว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์เมื่อ 13 ปีก่อน ตอนนั้นคุณแนนได้บรรจุเป็นราชการครั้งแรก ได้ทำงานอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งในจังหวัดพังงา แต่เดิมนั้นคุณแนนอาศัยอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี จึงใช้เวลาเดินทางไปที่พังงานานหลายชั่วโมง ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ทำงาน รวมทั้งบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยทะเลที่สวยงาม และความเหน็ดเหนื่อยจากเดินทางไกล ทำให้คุณแนนไม่ได้บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง และผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยทันทีที่เดินทางไปถึงบ้านพักข้าราชการ.. ทันทีที่หลับ คุณแนนก็ฝันว่าตัวเองนั้นนั่งอยู่ที่ท้ายกระบะ สักพักก็มีคนโยนศพขึ้นมาบนรถ! โยนมาจนเต็มหลังกระบะและเบียดพื้นที่ของคุณแนน ตอนนั้นคุณแนนรู้ตัวแล้วว่ากำลังฝันอยู่ แต่ก็ขยับตัวไม่ได้ จากนั้นก็พยายามพูดแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ส่งเสียง “อึกอัก อึกอัก” ไม่เป็นภาษา จนพี่ที่อยู่บ้านพักเดียวกันตื่นขึ้นมาเขย่าตัวคุณแนนและตะโกนเรียกเสียงดังจนคุณแนนตื่นขึ้นมาจากภวังค์นั้น และบอกว่า “เห้ยพี่ หนูฝันร้าย” เมื่อชาวบ้านทราบข่าวก็ถามขึ้นมาว่า “พอลงเกาะมาเนี่ย ได้ไหว้ ได้ขอเจ้าที่เจ้าทางบ้างหรือเปล่า” คุณแนนก็ตอบไปว่า “ไม่ได้ขอเลยค่ะ” เมื่อได้ยินดังนั้นก็พาคุณแนนไปที่หน้าหาดเพื่อทำพิธีไหว้เจ้าที่เจ้าทาง จะได้ทำงานและอยู่อาศัยที่นี่ได้อย่างราบรื่น คุณแนนเล่าเสริมอีกว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์สึนามิถล่ม จำนวนประชากรที่เกานี้มีประมาณ 500 - 600 คน จนปีที่คุณแนนบรรจุเข้าไปทำงาน เหลือประชากรเพียง 200 กว่าคนเท่านั้น นอกจากจะไปไหว้ที่หน้าหาดแล้ว ชาวบ้านยังพาคุณแนนไปไหว้ที่ศาลพ่อตาหินกอง ลักษณะคือเป็นศาลที่ตั้งอยู่บนหิน ซึ่งเป็นจุดเดียวที่ไม่โดนสึนามิแม้จะตั้งอยู่หน้าหาดก็ตาม หลังจากนั้นคุณแนนก็ไม่เจออะไรพิศวงจนกระทั่ง.. เวลาผ่านไปสักพัก ในคืนที่คุณแนนต้องนอนคนเดียว เพราะเพื่อนร่วมงานหลายคนส่วนใหญ่เป็นคนใต้ที่มาจากจังหวัดใกล้เคียง เช่น นครศรีธรรมราชบ้าง สุราษฎร์ธานีบ้าง พัทลุงบ้าง เขาก็จะกลับบ้านในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ คุณแนนเล่าว่าทุกครั้งที่ต้องนอนคนเดียว จะรู้สึกเหมือนว่าถูกผีอำ แล้วก็จะเห็นบางสิ่งบางอย่างอยู่ที่ปลายเท้า บางครั้งก็เป็นเด็ก บางครั้งก็เป็นผู้ชายแก่ หรือคนท้องบ้าง เรียกได้ว่ามาทุกรูปแบบ ทุกครั้งที่เจอคุณแนนก็จะสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ตลอด บางคนก็ไปง่าย แต่กับบางคนก็ต้องใช้เวลาสวดนาน คุณเล่าเสริมอีกว่าเขาจะมาปรากฏโดยที่ไม่ได้พูดหรือสื่อสารอะไร เหมือนมายืนมองเราเฉย ๆ แต่ก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่หลอนขนลุกจนคุณแนนจำได้ถึงทุกวันนี้.. คุณแนนเล่าให้ฟังว่าอำเภอที่อาศัยอยู่นั้นค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมือง ต้องใช้เวลาเดินทางกว่า 2 ชั่วโมง แถมที่นี่ยังมีฝนตกแทบจะตลอดเวลา วันนั้นต้องไปส่งเอกสารด่วนในตัวเมือง คุณแนนจึงรีบออกเดินทางเพราะรู้ดีว่าเส้นทางขากลับที่จะต้องผ่านหากว่ายิ่งมืดก็ยิ่งอันตราย เส้นทางที่ว่าจะมีลักษณะเป็นทางโค้งหักศอกหากหลุดโค้งก็เท่ากับตกเหว นอกจากนั้นยังมีศาลตั้งอยู่ด้วย ทุกครั้งที่ผ่านคุณแนนก็จะรู้สึกอึดอัดใจทุกครั้ง แต่ด้วยงานที่ยังค้างคาและกว่าจะสะสางเสร็จ เวลากลับก็ล่วงเลยมาถึงหนึ่งทุ่ม คุณแนนตั้งใจว่าจะไม่วอกแวกและจะตั้งสติในการขับรถเพียงอย่างเดียว พี่ที่นั่งมาด้วยก็รู้ดีว่าคุณแนนสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง เขาก็พยายามหาเรื่องอื่นคุยกับคุณแนน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเครียด พอใกล้จะถึงทางโค้ง พี่เขาก็จับขาคุณแนน แล้วก็บอกว่า “พี่อยู่นี่นะ ไม่ต้องกลัว เราอยู่ด้วยกัน” คุณแนนก็พยายามมองแค่ทางตรง แต่ก็ต้องเสียสมาธิเพราะมีอะไรบางอย่างดึงความสนใจอยู่ที่หางตา! คุณแนนเผลอหันไปมองเข้าเต็ม ๆ ภาพที่เห็นคือศพหน้าเละที่ถูกผ้าห่อเต็มไปด้วยเลือดสีแดงยืนอยู่ตรงศาล! คุณแนนเห็นแบบนั้นก็ร้องกรี๊ดออกมาทันที สติแทบไม่อยู่กับตัว! พี่ที่นั่งมาด้วยก็พยายามช่วยตั้งสติ เพราะกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ คุณแนนพอเริ่มได้สติก็พยายามขับรถให้ผ่านตรงนั้นไปแม้จะยังร้องไห้และช็อคกับสิ่งที่เห็น เมื่อขับผ่านจุดนั้นก็จอดรถและรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด เมื่อทุกอย่างเริ่มโอเคขึ้น ก็ขับรถกลับที่พักอย่างปลอดภัย ปัจจุบันนี้คุณแนนได้ย้ายกลับมาทำงานที่จังหวัดสุพรณบุรีแล้ว แต่ก็ยังคงมีความรู้สึกสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้คิดร้ายอะไร ขอแค่ถ้าอยากได้อะไรก็ให้มาบอกดี ๆ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่

ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชีวิตกำลังไปได้ดี แต่หลังรู้ตัวว่าป่วยเป็นมะเร็ง ก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายแปลกไป เหมือนมี 'ใคร' มาแทนที่! ญาติให้พระอาจารย์มาช่วยดู แต่ไม่ยอมเจอ สุดท้ายแล้วพูดทิ้งท้ายว่า "กูไปละ" จากนั้นก็เสียชีวิตไป!

22 ก.ย. 2023

ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชีวิตกำลังไปได้ดี แต่หลังรู้ตัวว่าป่วยเป็นมะเร็ง ก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายแปลกไป เหมือนมี 'ใคร' มาแทนที่! ญาติให้พระอาจารย์มาช่วยดู แต่ไม่ยอมเจอ สุดท้ายแล้วพูดทิ้งท้ายว่า "กูไปละ" จากนั้นก็เสียชีวิตไป!

ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชีวิตกำลังไปได้ดี แต่หลังรู้ตัวว่าป่วยเป็นมะเร็ง ก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายแปลกไป เหมือนมี 'ใคร' มาแทนที่! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร สามารถมาติดตามความหลอนไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ จากเรื่อง ‘แฝงร่างจนตาย’ โดย ‘คุณเป้’ สายจากรายการอังคารคลุมโปงX (19 กันยายน 2566) ถ้าพร้อมแล้วปิดไฟแล้วอ่านไปพร้อมกันเลย! คุณเป้เล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับน้าสาว นามสมมุติ ‘คุณเอ๋’ เมื่อ 10-12 ปี ที่ผ่านมา ในตอนนั้นสามีของคุณเอ๋เป็นคนเจ้าชู้และมีผู้หญิงเข้าหาเป็นจำนวนมาก แต่สุดท้ายคุณเอ๋ก็ได้สามีคนนั้นมาครอบครอง จากการที่คุณเอ๋แย่งมาจากผู้หญิงอื่น ต่อมาไม่นานลูกของคุณเอ๋เริ่มเข้าสู่ช่วงประถมวัย คุณเอ๋อยากมีรายได้เพิ่ม จึงเข้าไปสมัครงานในตัวอำเภอ เมื่อได้งานทำแล้ว ชีวิตที่เป็นอยู่ก็เริ่มดีขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งคุณเอ๋ทำงานครบ 1 ปี ก็ได้ไปตรวจสุขภาพประจำปีตามสวัสดิการของบริษัท ปรากฏว่าหลังจากที่เธอตรวจสุขภาพเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น หมอได้แจ้งกับเธอว่าเธอป่วยเป็นวัณโรค นั่นทำให้คุณเอ๋เกิดความกังวลและไม่สบายใจเป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจไปตรวจเช็คอีกรอบในโรงพยาบาลประจำจังหวัด เรื่องสุดช็อคก็ได้เกิดกับเธอหลังจากทางโรงพยาบาลแจ้งกับเธอว่าเธอพบมะเร็งปอด หลังจากที่คุณเอ๋ทราบผลตรวจแล้ว เธอรู้สึกกังวลและเกิดอาการเครียด จากชีวิตการงานและครอบครัวที่กำลังดำเนินไปได้ดีก็หยุดลง จากนั้นเธอก็ตัดสินใจลาออกจากงาน และกลับมารักษาตัวที่บ้านกับครอบครัว คุณเป้บอกว่า น้าเอ๋มีการรักษาโรคมะเร็งปอดนี้ด้วยยาหม้อ ซึ่งสมัยนั้นมีความเชื่อว่าถ้าดื่มแล้วจะมีอาการดีขึ้น และทางครอบครัวของคุณเอ๋ก็มีการรักษาทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ แต่ในชนบทเมื่อ 10-12 ปีก่อน มักมีความเชื่อกันว่ามะเร็งจะรักษาไม่ได้ หลังจากคุณเอ๋ตรวจพบโรคมะเร็งปอด สามีของเธอก็เริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป โดยการไปคบหากับผู้หญิงใหม่ แล้วทิ้งคุณเอ๋ให้อยู่กับลูกตามลำพังในช่วงเวลากลางคืน ต่อมาคุณเป้จึงตัดสินใจพาคุณเอ๋มาอยู่ที่บ้านของยายเพื่อจะได้ดูแลใกล้ชิดขึ้น จากอาการของคุณเอ๋ที่ทรุดตัวลง คุณเป้เริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติว่าจากที่กินอะไรได้น้อย เดินไม่ไหว ก็กลับมากินอะไรได้เยอะมากกว่าปกติและมีพฤติกรรมแปลกจากเดิม ตามปกติแล้ว ชาวบ้านในหมู่บ้านแถบนั้นก็จะมารวมตัวกันที่บ้านของคุณยาย มาถามไถ่อาการและดูอาการของคุณเอ๋ ในคืนหนึ่งเมื่อทุกคนมารวมตัวกันครบ คุณเอ๋ก็พูดว่า “มึงมากันทำไม มาทำอะไรกันมากมาย” คุณเอ๋ด่าทอทุกคนที่อยู่ที่บ้าน มีคนนึงที่มีรอยสักเต็มตัวเข้าใกล้เธอ เธอก็พูดว่า “ไอ้มารหัวขน มึงเข้ามาทำไม กูร้อน กูอึดอัด กูรู้สึกกลัวมึงจังเลย!” นี่คือลักษณะนิสัยที่คุณเป้ไม่เคยเห็นคุณเอ๋เป็นมาก่อน หลังจากคุณเอ๋มีอาการแปลกไป ก็มีการเรียนเชิญหลวงตามาพรมน้ำมนต์ และมีการฟาดไม้หวายลงกับพื้นตามความเชื่อสมัยนั้น แต่หลังจากเสร็จพิธีแล้ว คุณเอ๋ ก็พูดท้าทายไปว่า “ไอ้พระแก่ ตีกู ดีนะกูโดดหลบทัน ถ้ากูโดดหลบไม่ทันกูเจ็บแน่เลย” หลังจากนั้นช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืน คุณเอ๋มีอาการทรุดลงทำให้ปวดท้องรุนแรง จนทำให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่หลังจากที่เธอเสียชีวิตไปแล้ว เธอก็กลับฟื้นขึ้นมา แล้วพุ่งตัวไปกอดแม่ของเธอพร้อมกับพูดว่า “แม่ ต่อไปนี้ลูกจะอยู่กับแม่นะ ลูกจะไม่ไปไหนแล้วนะ” ทุกคนสังเกตเห็นความผิดปกติจากตัวคุณเอ๋ เพราะเธอมีอาการแลบลิ้นปลิ้นตา และขอกินทุกอย่างที่เธออยากจะกิน หลังจากวันนั้นคุณเป้ได้ไปปรึกษากับหลวงพี่ที่เป็นญาติกัน หลวงพี่ได้แนะนำให้โทรไปปรึกษาวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี ซึ่งมีพระอาจารย์ที่เก่งเรื่องดูว่าคนนี้เป็นคนจริง ๆ หรือมีอะไรแฝงในตัวหรือไม่ พระอาจารย์บอกกับเธอว่าคุณเอ๋มีผีสิงในตัวและกินคนมาเยอะแล้ว และพระอาจารย์ก็ยังบอกกับคุณเป้อีกว่าสิ่งที่เธอขอและกินเข้าไปนั้น ห้ามกินต่อเด็ดขาดให้นำไปทิ้งที่ป่าช้าเท่านั้น ถ้ากินแล้วจะได้รับเคราะห์แทน หลังจากคุณเป้ได้โทรไปปรึกษาพระอาจารย์แล้วนั้น ตากับยายก็ได้เดินทางไปยังวัดดังกล่าว แต่พระอาจารย์ไม่ว่างจึงให้สายสิญจน์และน้ำมนต์มาให้คุณเอ๋ดื่ม ในขณะที่เธอดื่ม เธอบอกว่ามันร้อน จนเธอต้องนั่งเป่าให้เย็น ทุกคนที่เห็นก็งง เพราะน้ำมันก็ไม่ได้ผ่านการต้มมาแต่อย่างใด ผ่านไปไม่กี่วัน ทุกคนเริ่มรู้แล้วว่าในตัวของคุณเอ๋ไม่ใช่คุณเอ๋อีกต่อไป จึงพากันรุมเค้นถามว่าคือใคร แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรจากเธอเลย จนกระทั่งคุณเอ๋รู้ว่าพระอาจารย์จะมา จึงได้พูดออกมาว่า “กูไปละ” จากนั้นเธอก็เสียชีวิตไป เพื่อให้ทางครอบครัวไม่รู้ว่าเธอเป็นใครกันแน่ หลังจากจบงานศพของคุณเอ๋ไม่กี่วัน สามีของคุณเอ๋ก็พาผู้หญิงเข้าบ้าน จนคุณเป้และครอบครัวรู้สึกไม่สบายใจ และไม่พอใจที่สามีของคุณเอ๋ทำเช่นนี้ จนกระทั่งคืนหนึ่ง สามีของคุณเอ๋ได้ไปรับสัปเหร่อมาทำพิธีสะกดวิญญาณในห้องน้ำ ทำให้ร่างของคุณเอ๋ไม่สามารถไปไหนได้ และต่อมาสามีของคุณเอ๋ก็หนีหายไปกับผู้หญิงใหม่ และคุณเป้ก็ยังได้ฝันหลายครั้งว่าคุณเอ๋ไม่สามารถไปไหนได้ เธออยู่ในห้องน้ำ จนคุณเป้มารู้ทีหลังว่าสามีของน้าสาวและสัปเหร่อได้สะกดวิญญาณของเธอไว้ในชักโครกห้องน้ำ ซึ่งมีรูปและมีดอยู่ในชักโครก นั่นทำให้คุณเป้รู้สึกสงสารคุณเอ๋เป็นอย่างมาก ไม่นานหลังจากนั้นคุณเอ๋ก็ได้กลับมาเข้าฝันอีกครั้ง และได้บอกเธอว่าใครที่แฝงในร่างของเธอ ในฝันเธอบอกว่ามีบ้านเยื้องไปไม่กี่หลัง จะเป็นบ้านของหมอธรรมที่ภรรยาของเขาเป็นผีปอบและได้เสียชีวิตไป ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่งก็ตรงกับช่วงที่เธอดวงตกจนทำให้วิญญาณผีตนนั้นมาแฝงในตัวของคุณเอ๋นั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1