อย่าเชื่อ GPS เพราะถ้าคุณเลี้ยวผิด ก็อาจจะติด.. ผี!

อังคารคลุมโปง RECAP

อย่าเชื่อ GPS เพราะถ้าคุณเลี้ยวผิด ก็อาจจะติด.. ผี!

08 มี.ค. 2023

     “พี่แจ็ค The Ghost Radio” กลับมาเล่าเรื่องหลอนให้ชาว “อังคารคลุมโปง X” (28 กุมภาพันธ์ 2565) ได้ขนลุกกันอีกครั้ง กับเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้รถบนท้องถนน และการใช้ GPS นำทาง มีชื่อเรื่องว่า “เลี้ยวผิด ติดผี” เหตุการณ์จะเป็นยังไงนั้น เราสรุปไว้ให้คุณอ่านแล้ว!

     พี่แจ็คเล่าว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับ “คุณเปิ้ล” และ “คุณเอก” ทั้งสองคนเป็นแฟนกัน เมื่อถึงเทศกาลปีใหม่ก็พากันเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด แน่นอนว่าช่วงปีใหม่แบบนี้ ถนนเส้นที่มุ่งหน้าสู่แผ่นดินอีสานย่อมรถติดเป็นธรรมดา อาจต้องใช้เวลาหลายสิบชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมายได้ และทั้งคู่ไม่ได้กลับบ้านต่างจังหวัดบ่อย ๆ จึงต้องเปิด GPS นำทางไปด้วย...

     ระหว่างที่ขับรถไปนั้น ด้วยความที่รถติด GPS จึงคำนวณเส้นทางใหม่ให้ และพูดขึ้นมาว่า “ขณะนี้มีเส้นทางที่เร็วกว่า ประหยัดเวลาได้ 30 นาที” ทั้งสองคนที่ทนรถติดไม่ไหวก็ตัดสินใจไปเส้นทางใหม่ตามคำแนะนำของ GPS เมื่อเปลี่ยนไปใช้เส้นทางใหม่ก็ต้องประหลาดใจ เพราะถนนเส้นนั้นแทบจะไม่มีรถยนต์วิ่งอยู่เลย ใช้เวลาสักพัก GPS ก็บอกว่าอีก 10 กิโลเมตรให้เลี้ยวซ้าย ระหว่างที่ขับไป บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วคุณเปิ้ลก็พูดติดตลกขึ้นมาว่า “ถนนแบบนี้ บรรยากาศแบบนี้ ถ้าเจอผีขึ้นมา ก็คงจะไม่แปลกเลยนะ” แต่มันก็เป็นเพียงการพูดขำ ๆ จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร

     ผ่านไปสักพักใหญ่ คุณเอกก็รู้สึกว่ามันน่าจะเกิน 10 กิโลเมตรตามที่ GPS บอกแล้ว ทำไมยังไม่เจอทางที่ให้เลี้ยวซ้ายสักที แล้ว GPS ก็ยังคงบอกให้ตรงไปเรื่อย ๆ พอย่อแผนที่ดู ก็ยังบอกให้ตรงไปอีก ทั้งสองใจคอไม่ค่อยดี เพราะบรรยากาศก็เปลี่ยวมาก ข้างทางเป็นป่าดูรกร้างและมืดไปหมด คุณเปิ้ลจึงบอกว่า “ขับไปเรื่อย ๆ ก่อน ถ้าเจอชาวบ้านหรือใครแถวนี้ ก็ค่อยจอดถามทาง” จากนั้นก็ขับรถต่อไปสักพัก แล้วก็เห็นแสงจากรถมอเตอร์ไซต์ขี่สวนมาไกล ๆ พอรถกำลังจะสวน คุณเอกก็เตรียมเปิดกระจกเพื่อที่จะโบกทัก แต่คุณเปิ้ลกลับพูดเสียงดังบอกว่า “ไม่ต้องเปิด! ไปเลย ๆ ขับไปเลย!” คุณเอกก็ตกใจแต่ก็ทำตามที่คุณเปิ้ลบอก คุณเอกก็ถามว่าทำไมไม่ให้เปิด คุณเปิ้ลตอบกลับมาว่า “ไม่เห็นหรอ! ไอ้ที่ขี่มาอ่ะ!”

     คุณเปิ้ลบอกว่า ที่ขี่รถมอเตอร์ไซต์มานั้น เป็นผู้ชายหน้าซีด ๆ เสื้อขาดรุ่งริ่งมีเลือดอยู่ แล้วก็ขี่สวนไปไม่ได้สนใจรถที่สวนมา ตรงนั้นอาจจะไม่ได้แปลกอะไรมาก ที่แปลกคือปกติถ้าเจอแบบนี้จะต้องได้ยินเสียงเครื่องยนต์ แต่นี่ ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย อย่างกับรถคันนั้นมันลอยผ่านไป!

     พอคุณเอกได้ยินแบบนั้น ก็คุยกันว่าจะขับไปเรื่อย ๆ ตาม GPS ไปก่อน เพราะถ้าจะวนรถกลับมันก็ผ่านมาไกลมากแล้ว เมื่อขับต่อไปอีกก็เห็นแสงไฟรถมอเตอร์ไซต์ขับสวนมาอีก ทั้งคู่ก็นั่งนิ่ง เพื่อรอดูว่าจะเจอเหมือนเดิมหรือเปล่า พอรถเข้ามาใกล้ ก็ไม่มีเสียงเครื่องยนต์เหมือนเดิม และก็เห็นว่ามันเป็นผู้ชายคนเดียวกับคันเมื่อกี้! นอกจากนี้ยังเห็นอีกด้วยว่ารอบนี้เขาขี่รถด้วยมือซ้ายมือเดียว ส่วนใบหน้าก็ยุบไปครึ่งนึง เสื้อขาดรุ่งริ่ง ส่วนมือขวาก็เหมือนกับจับอะไรบางอย่างไว้ คล้ายกับขาคน แล้วมอเตอร์ไซต์คันนั้นก็สวนผ่านไป!

     ทั้งสองตกใจและคิดว่าน่าจะโดนผีหลอก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากขับรถไปตามทาง ขณะที่กำลังจะสติแตก GPS ก็บอกว่าอีก 800 เมตรให้เลี้ยวซ้าย แต่ก่อนจะถึงแยกนั้น คุณเปิ้ลและคุณเอกก็เห็นว่าซ้ายมือมีผู้ชายยืนอยู่ข้างทาง แล้วมองไปอีกฝั่ง พอรถขับเข้าไปใกล้ เขาก็ยื่นมือออกมาทำเหมือนจะโบกรถ แต่คุณเปิ้ลก็บอกว่า “อย่าจอด ขับรถต่อไป” จึงขับรถผ่านผู้ชายคนนั้นไป แล้วเลี้ยวซ้ายตามที่ GPS บอก จากนั้น GPS ก็บอกว่า “คุณมาถึงจุดหมายแล้ว” ทั้งสองยิ่งตกใจสติแทบกระเจิง!

     คุณเปิ้ลเล่าเสริมว่า พอเลี้ยวซ้ายไปตามที่บอกแล้ว ก็เห็นซุ้ม คล้ายกับประตูอะไรบางอย่าง พอผ่านเข้าไปก็จะเห็นวัดร้าง เป็นซากปรักหักพัง จึงตัดสินใจเลี้ยวรถเพื่อกลับออกไปทันที พอขับรถออกไป ก็เห็นผู้ชายคนนั้นยืนโบกมืออยู่ที่เดิม คราวนี้ทั้งคู่หันไปมอง ก็เห็นเป็นผู้ชายไม่มีขา พอเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบขับรถออกไปทันที! พอขับออกไปทางเดิมเรื่อย ๆ ก็เห็นไฟจากรถมอเตอร์ไซต์ตามมาข้างหลัง เหมือนจะขับแซง พอมอเตอร์ไซต์เข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ก็เห็นเป็นผู้ชาย 2 คน คนนึงเป็นผู้ชายที่เห็นตั้งแต่ตอนแรก ส่วนอีกคนซ้อนหลัง พอมอเตอร์ไซต์ซ้อนไป กลายเป็นว่าคนที่ข้างหลังตัวนั่งซ้อนปกติ แต่หัวดันหันมาอยู่ข้างหลัง! คุณเอกเห็นดังนั้นก็พยายามเร่งความเร็วเพื่อที่จะแซงมอเตอร์ไซต์คันนั้น พอแซงไปปุ๊บ หันไปมองอีกครั้ง มอเตอร์ไซต์คันนั้นก็หายไป!

     เมื่อรถเร่งความเร็วมาจนถึงทางแยกที่เป็นถนนใหญ่อีกครั้ง ก็พบว่ารถไม่ติดแล้ว จึงขับเข้าสู่เส้นทางหลัก กระทั่งเจอปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ทั้งสองเลี้ยวรถเข้าไปตั้งสติ แล้วก็เข้าห้องน้ำ ระหว่างที่ทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ก็เห็นป้าแม่บ้านคนหนึ่ง ด้วยความอยากรู้จึงเข้าไปถามว่า “ป้าครับ ป้าพอจะรู้จักโลเคชันที่เป็นวัดร้างบ้างมั้ย?” ป้าก็บอกว่า “มี ย้อนจากนี่ไปนิดนึง แล้วก็เลี้ยวขวาเข้าไป” ก็ตรงกับซอยที่ทั้งสองได้เลี้ยวเข้าไปเมื่อกี้นี้ ป้ายังบอกอีกว่า “กลางคืนไม่ค่อยมีคนเข้าไปนะ ที่นั่นผีดุ ล่าสุดไม่นานมานี้ มีมอเตอร์ไซต์ 2 คน ไม่รู้ขี่เข้าไปทำอะไร แล้วไปรถคว่ำมั้ง มาเจอศพอีกทีก็ช่วงเช้า อีกคนหน้าฟาดกับเสาหลักกิโล ส่วนอีกคนขาขาด ทุกวันนี้ยังหาขาไม่เจอเลย” แม้จะตรงกับสิ่งที่เจออย่างไม่น่าเชื่อ แต่ทั้งสองก็ไม่กล้าเล่าให้ป้าฟังว่าเจออะไรมาบ้าง จึงมานั่งคุยกับตัวเองว่าถ้าตอนที่เจอไม่มีสติ ก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุและตายอยู่ที่นั่นก็ได้ โอกาสที่คนจะเข้าไปเจอก็คงจะยาก

     พี่แจ็คเล่าเสริมว่า ถ้าจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดหรือไปที่ที่ไม่คุ้นชินเวลากลางคืน ถ้า GPS บอกให้ไปทางลัด อย่าไปเด็ดขาด ไปเส้นทางหลักจะดีกว่า และบอกว่า “เจอผีอาจจะยังพอตั้งสติได้ แต่ถ้าเจอมิจฉาชีพ อันนี้ลำบาก”

(เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่ 

related อังคารคลุมโปง RECAP

หนุ่มกระตุกทั้งคืน! เมื่อไปนอนรีสอร์ทใกล้วัด คืนนั้นเห็นคนมาป้วนเปี้ยนที่หน้าห้อง แต่พอลุกไปดู ร่างนั้นก็หายวับไป! ซ้ำยังโดนกระตุกข้อเท้าทั้งคืนจนนอนไม่ได้! ตื่นเช้ามาก็เจอรอยมือปริศนาอีก!!

01 ธ.ค. 2023

หนุ่มกระตุกทั้งคืน! เมื่อไปนอนรีสอร์ทใกล้วัด คืนนั้นเห็นคนมาป้วนเปี้ยนที่หน้าห้อง แต่พอลุกไปดู ร่างนั้นก็หายวับไป! ซ้ำยังโดนกระตุกข้อเท้าทั้งคืนจนนอนไม่ได้! ตื่นเช้ามาก็เจอรอยมือปริศนาอีก!!

หลอนตั้งแต่ทางเข้า เมื่อเข้าพักในรีสอร์ท แต่กว่าจะเจอต้องผ่านเข้าไปในวัดก่อน! เรื่องหลอนนี้มาจาก ‘คุณโจ’ สายที่โทรเข้ามาในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (28 พฤศจิกายน 2566) บอกเลยว่าหลอนจน ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ขนหัวลุก! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ปิดไฟแล้วไปอ่านกันเลย! เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณปลายเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ตอนนั้นคุณโจจะต้องไปแข่งกีฬาในจังหวัดนครนายก จึงตัดสินใจขับรถไปกับแฟน และจองรีสอร์ทแห่งหนึ่งไว้ พอได้เวลาออกเดินทางก็ตั้งค่า GPS ไปรีสอร์ทนี้ จนประมาณ 6 โมงเย็น บน GPS ก็ขึ้นว่า อีกประมาณ 200 เมตร จะถึงรีสอร์ทให้เลี้ยวซ้าย แต่ในเส้นทางที่ไป รอบ ๆ ข้างนั้น ก็ไม่มีวี่แววที่จะเป็นซอยให้เข้าไปเจอรีสอร์ทได้เลย คุณโจก็ขับไปเรื่อย ๆ เพราะคิดว่าเส้นทางนี้ไม่ได้เปลี่ยวอะไรมาก พอถึงจุดที่ต้องเลี้ยวซ้ายก็ต้องทำให้คุณโจแปลกใจ เพราะว่ามันเป็นทางเข้าวัด! ซึ่งมันเป็นเส้นทางร่วม ก่อนจะถึงรีสอร์ทต้องผ่านวัดนี้เข้าไปก่อน คุณโจจึงเลี้ยวเข้าไป เมื่อเลี้ยวเข้าซุ้มประตูวัดไปแล้ว ก็เจอต้นไทรต้นใหญ่ อยู่ด้านหน้า ถัดไปมีโบสถ์ แล้วทางนี้จะต้องค่อย ๆ เลาะขอบข้างทางวัดไป ก็ต้องผ่านโบสถ์ ที่ไว้โกศกระดูกตั้งเรียงรายอยู่ คุณโจก็ลองขับเลาะไป ได้แต่ภาวนาในใจว่ามันอาจจะไม่ใช่ แต่สุดท้ายก็ขับไปเจอรีสอร์ทจริง ๆ รีสอร์ทนี้ตั้งอยู่ด้านหลังวัด เป็นตึกเป็น 2 ชั้น และเป็นบ้านพักทั้งหลังให้เลือก คุณโจเลือกบ้านพักที่เป็นหลัง เพราะว่าสะดวกกว่า หลังจากรับกุญแจเรียบร้อยแล้ว คุณโจก็ขับรถเข้าไปที่บ้านพัก ลักษณะของบ้านหลังนี้คือ เป็นบ้านชั้นเดียว มีที่จอดรถอยู่ด้านหน้า เมื่อลงจากรถก็ไขกุญแจเข้าบ้านได้เลย เวลาจอดรถก็จะบังบ้านจนมิด คนข้างนอกก็จะมองไม่เห็นบ้านเรา เราก็มองไม่เห็นคนข้างนอก และ 3 ด้านของบ้านหลังนี้จะเป็นสไตล์ก่อปูนเปลือย ด้านหน้าจะเป็นกระจกบานใหญ่ใส แล้วก็มีม่าน มีประตูไขเข้าไป ระหว่างที่คุณโจกำลังไขกุญแจเข้าบ้าน คุณโจก็เห็นพวงมาลัยแห้งวางอยู่ 3 - 4 พวง และธูปที่เคยถูกจุดไปแล้ว ด้วยความที่คุณโจกลัวว่าแฟนจะกังวล จึงหยิบทั้งหมดและโยนไปด้านข้างทันที ก่อนที่แฟนจะมาเห็น หลังจากนั้นก็ไขประตูเข้าบ้านไป ลักษณะด้านในของบ้านหลังนี้คือ เป็นบ้าน Studio ห้องน้ำอยู่ด้านใน เข้าไปแล้วจะเจอเตียงด้านซ้ายมือ 2 เตียง ตัวของคุณโจกับแฟนจะนอนคนละเตียงกัน คุณโจเลือกเตียงที่ติดกับริมกระจก ส่วนเตียงของแฟนจะอยู่ใกล้กับห้องน้ำ หลังจากจัดของกันเสร็จแล้ว คุณโจกับแฟนก็ออกไปหาอะไรทานข้างนอก จนคุณโจได้ลืมเรื่องของพวงมาลัยไป ประมาณ 3 - 4 ทุ่ม คุณโจและแฟนก็ได้เตรียมตัวเข้านอน เมื่อปิดม่านและปิดไฟเรียบร้อยแล้ว แต่คุณโจรู้สึกว่ามันมืดเกินไป มืดจนมองอะไรไม่เห็นจึงลุกขึ้นไปเปิดม่านเล็กน้อยเพื่อให้แสงเข้ามาได้ จากนั้นคุณโจก็กลับมาเล่นมือถือต่อ ส่วนแฟนของคุณโจหลับไปเรียบร้อย.. คุณโจเล่นมือถือไปได้สักพักก็รู้สึกว่ามีคนยืนอยู่นอกบ้าน จึงเหลือบตาไปมองช่องผ้าม่านที่เปิดแง้มเอาไว้ สิ่งที่คุณโจเห็นก็คือเป็นลักษณะเหมือนเงาคน คุณโจจึงพยายามมองให้ชัดว่ามันคืออะไร แต่ว่าภายในห้องนั้นมืดและข้างนอกเองก็มีเพียงแสงเล็กน้อย และได้เห็นเงาที่ว่านั่น เป็นเงาของคน และเป็นผู้หญิงแน่ ๆ เพราะว่า ช่วงผมที่มันฟูๆ จะเห็นได้ว่าเป็นผม ในระหว่างที่คุณโจกำลังพยายามจะมอง เหมือนกับว่าเขาคนนั้นกำลังหันหน้าจากขวาค่อย ๆ มาด้านซ้ายตรงที่คุณโจนอน แล้วมาหยุดตรงกันพอดี! คุณโจรู้สึกได้ว่าเขาชะงักเมื่อเห็นหน้าคุณโจ ตอนนั้นคุณโจไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่นนอกกลัวว่าคนนั้นจะเป็นโจรมางัดรถงัดบ้าน จึงรีบพุ่งตัวไปเปิดม่าน แต่จังหวะที่คุณโจพุ่งเข้าไปก่อนจะถึงม่าน เงานั้นก็ขยับตัวไปทางขวา คุณโจก็รีบเปิดม่านจนสุด แต่ปรากฏว่ามันไม่มีอะไรเลย! คุณโจคิดว่ามันเร็วมาก ไม่น่าจะหลบได้เร็วขนาดนั้น ทางด้านแฟนก็รู้สึกตัวตื่นจึงถามว่า “มีอะไรหรือเปล่า” คุณโจก็ตอบกลับไปว่า “อ๋อ ไม่มีอะไร แค่จะมาดูว่ารถจอดดีไหม” คุณโจไม่กล้าเล่าว่าเจออะไร จึงรีบกลับไปนอนและครั้งนี้ปิดม่านทึบไปเลย สักพักนึงคุณโจก็ผล็อยหลับไป.. คุณโจสะดุ้งตื่นเพราะว่ารู้สึกว่าถูกกระตุกที่ข้อเท้าแรงมากจนหัวตกจากหมอน ตอนนั้นคุณโจก็ยังมึนงงอยู่ และรู้สึกได้ว่าข้อเท้าทั้ง 2 ข้างนั้นเหมือนมีคนกำอยู่ เมื่อเหลือบตาไปมองปลายเท้า คราวนี้ห้องไม่ได้มืดเหมือนครั้งแรก ทำให้คุณโจเห็นว่ามีเงาอยู่ที่ปลายเท้า ซึ่งมือทั้ง 2 ข้างของเงานั้นกำลังกำข้อเท้าของคุณโจอยู่แน่นมาก! คุณโจพยายามจะขยับตัวหรือจะร้องออกมาแต่ก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงลืมตา จึงพยายามเพ่งมองว่ามันคืออะไร ในระหว่างที่คุณโจกำลังเพ่งมอง เงานั้นก็ค่อย ๆ สูงขึ้น แต่ว่ามือที่จับข้อเท้ายังอยู่ที่เดิม จากนั้นก็โน้มตัวเข้ามาข้างหน้า คุณโจเริ่มเห็นชัดเจนแล้วว่าคือผู้หญิงที่เห็นอยู่นอกบ้าน ผู้หญิงคนนั้นค่อย ๆ โน้มตัวเข้ามา โดยที่คุณโจก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แม้กระทั่งหลับตา ภาพนั้นมันใกล้มาก ๆ จนผมฟู ๆ ของผู้หญิงคนนั้นมาโดนใบหน้าของคุณโจ แต่หน้าของผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เข้ามาใกล้กับหน้าของคุณโจ ในระหว่างที่คุณโจกำลังคิด ก็ได้ยินเสียงพูดจากผู้หญิงคนนี้ว่า “ดูสิ ดูสิ อยากเห็นไม่ใช่หรอ” พูดซ้ำอย่างนี้อยู่ 2 รอบแล้วก็หัวเราะ! คุณโจก็พยายามที่จะสวดมนต์ แต่ด้วยความกลัวในตอนนั้นทำให้คุณโจสวดได้แค่ “นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ” วนอยู่แค่นี้ และขณะที่คุณโจพยายามสวด ผู้หญิงคนนั้นก็พูดมาเหมือนกันว่า “มองสิ มองสิ” แต่ ณ ตอนนั้นคุณโจก็หลับตาไม่ได้ เห็นตลอดแต่ว่ามองหน้าผู้หญิงคนนั้นได้ไม่ชัด แต่ยังมีความรู้สึกว่าก้อนผมนั้นยังมาคลอเคลียอยู่ที่หน้าเขาตลอด สักพักความรู้สึกทั้งหมดก็หายไป จึงลุกขึ้นมานั่งคิดว่าจะทำอย่างไรดี ถ้าเปิดไฟก็กลัวว่าแฟนจะตื่น คุณโจจึงพยายามนอนห่มผ้าหดขาดึงผ้าห่มให้ขึ้นมาจนถึงคอและก็หลับไปอีกรอบ.. แต่แล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นอีกเหมือนเดิม ขาที่คุณโจคิดว่าหดเข้าไปแล้วก็ถูกกระตุกจนหัวตกจากหมอนอีกรอบ ทุกอย่างเหมือนถูกรีรัน ตั้งแต่โดนจับข้อเท้า โน้มตัวเข้ามาแล้วสักพักก็หลุดไป ตัวคุณโจก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการมาแกล้งหรือว่าต้องการมาบอกว่าคุณโจทำอะไรผิด แต่คุณโจก็นึกคิดได้ว่าอาจจะเกี่ยวกับที่คุณโจโยนพวงมาลัยกับธูปทิ้งไป และในรอบ 2 นี้ ทันทีที่คุณโตเริ่มขยับตัวได้ก็รีบเปิดไฟและดูนาฬิกา ปรากฏว่าตอนนี้เป็นเวลา ตี 5 ครึ่ง แฟนของคุณโจพลิกตัวหันมาถามคุณโจว่า “นอนไม่หลับหรอ” คุณโจก็ยังไม่กล้าเล่าให้แฟนฟัง จึงตอบกลับไปว่า “เออใช่ นอนไม่หลับ” แฟนของคุณโจก็หันหลังกลับไป คุณโจตัดสินใจว่าไม่นอนต่อแล้ว จนเวลาเกือบ 6 โมงเช้า คุณโจก็ลุกไปเปิดม่าน แต่ก็ต้องทำให้คุณโตตกใจผงะถอยหลังออกมา เพราะว่าตำแหน่งที่คุณโจเห็นเงาผู้หญิงจากข้างนอกเมื่อคืนนี้ มีรอยมือที่ใหญ่และนิ้ว 4 นิ้วที่เรียวยาวมาก คุณโจก็ตัดสินใจเล่าให้แฟนฟัง หลังจากที่แฟนได้ฟังแล้ว แฟนก็เล่าในมุมมองของตัวเองบ้างว่า “นอนไม่หลับเหมือนกัน รู้สึกเหมือนมีแมลงหรือยุงมาไต่หน้าไต่แขน” หลังจากคุณโจได้ฟังก็คิดว่าว่าไม่น่าจะใช่ยุง จึงถามแฟนไปว่า “มันเหมือนผมหรือเปล่า ที่มันมาไรโดนหน้า” แฟนก็บอกว่า “ไม่รู้ แต่รู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในห้องนี้ รู้สึกเหมือนมีคนมาชะโงก แต่ว่าไม่กล้าลืมตา อาจจะเป็นผมก็ได้” ตัวแฟนก็ไม่กล้าพลิกตัวเพราะว่ากลัวคุณโจจะตื่น หลังจากคุยกันเสร็จ คุณโจก็ตัดสินใจเปิดประตูออกไปเพื่อที่จะไปดูรอยมือนั้นเพื่อหาเหตุผลว่ามันคือรอยอะไร พอเปิดประตูออกไป ตำแหน่งที่มีรอยมือนั้น ต้องเป็นคนที่สูงประมาณ 180 – 190 เซนติเมตร มือถึงจะอยู่ระดับนั้นได้ เพราะว่าพื้นห้องพักจะสูงกว่าลานจอดรถ ซึ่งรอยมือนี้เหมือนเป็นรอยมือจากไอร้อนอยู่ด้านนอก แล้วเป็นนิ้วที่ดูน่ากลัวมาก คุณโตก็คิดว่าอยู่อีกคืนไม่ได้แล้ว จะต้องย้ายที่พัก หลังจากนั้นคุณโตก็ไปแข่งกีฬา และไปเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็ถามว่า “ไปนอนที่นี่ใช่ไหม” คุณโจจึงบอกว่า “ใช่” เพื่อนคุณโจจึงบอกว่า “โห ส่วนใหญ่แล้ว นักกีฬาที่ไปพักที่นี่หรือคนที่ไปพักที่นี่ ก็จะมีประสบการณ์แบบนี้หมด” ในระหว่างที่คุณโจและเพื่อนกำลังคุยกันอยู่นักกีฬาอีกกลุ่มหนึ่งที่นอนบนตึกก็มาบ่นกันว่า “นอนไม่หลับ” คุณโจจึงเข้าไปถามว่าทำไมนอนไม่หลับ สรุปแล้วหลายคนก็เจอคล้ายกันกับคุณโจ แต่เขาไม่ได้เล่าละเอียด เล่ามาแค่ว่า “เขาโดนกวน นอนกันไม่ได้” เพื่อนก็บอกว่า “ก็เป็นไปได้ว่าถ้ามาที่นี่ก็มีโอกาสที่จะเจอ” แต่คุณโจก็ไม่ได้ไปถามผู้ดูแลต่อ เพราะว่าถ้าถามไปเขาก็คงไม่เล่าให้ฟัง จึงคิดเองว่า ที่พักนี้อยู่ใกล้กับวัด ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นสิ่งที่วนเวียนอยู่รอบ ๆ นี้ แต่สุดท้ายแล้วคุณโจก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่คุณโจเจอเกี่ยวอะไรกับห้องที่เขาพักหรือเปล่า..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

กางเกงมือสองเจ้าของตามมาหา! เรื่องราวของคนชอบเสื้อผ้ามือสอง ซื้อแบบไม่สนใจ จนได้ของแถมกลับมา!

25 ม.ค. 2024

กางเกงมือสองเจ้าของตามมาหา! เรื่องราวของคนชอบเสื้อผ้ามือสอง ซื้อแบบไม่สนใจ จนได้ของแถมกลับมา!

เรื่องนี้เป็นสายจาก ‘คุณมิ้น’ ที่โทรมาเล่าเหตุการณ์ของรุ่นน้องให้แฟนรายการ ‘ อังคารคลุมโปง X’ (16 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับ ‘น้องอาย’ รุ่นน้องของคุณมิ้น เกี่ยวกับเสื้อผ้ามือสองที่ได้ของแถมกลับมาด้วย เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านเลย เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2566 ที่ผ่านมา คุณมิ้นเล่าว่า ‘น้องอาย’ ชอบซื้อเสื้อผ้ามือสองมาก จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่กางเกงลายทหารและกางเกงคาร์โก้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง น้องอายจึงไปหาซื้อกางเกงในร้านที่ไปบ่อย ๆ ก็ได้เจอกางเกงที่มีลักษณะโดนใจ แต่เป็นขนาดของผู้ชาย น้องอายจึงขอผ้าถุงจากแม่ค้าและลองสวม เมื่อลองสวมก็รู้สึกว่าเอวใส่ได้พอดี แต่ช่วงขาของกางเกงยาวเกิน ด้วยความชอบ น้องอายจึงซื้อกลับมาและเอามาเก็บไว้ในตู้ เพื่อที่จะเอาไปตัดขากางเกงให้พอดีกับตัวเอง หลังที่ซื้อกางเกงกลับมา น้องอายรู้สึกเหมือนมีคนอยู่ด้วยตลอดเวลา เวลาทำงานหางตาก็จะเห็นเหมือนกับมีคนเดินอยู่ในห้อง บางทีก็ได้ยินเสียงกุกกักอยู่ในตู้เสื้อผ้า น้องอายจึงมารื้อดู เพราะนึกว่ามีหนู แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร น้องอายเล่าให้คุณมิ้นฟังว่า เคยฝันว่าตัวเองปวดปัสสาวะ และสะดุ้งตื่นเห็นเงายืนอยู่ข้างตู้ที่ปลายเตียง จึงเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟที่โต๊ะข้างเตียง แต่พอเปิดไฟก็ไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้น จึงคิดว่าตัวเองตาฝาด หลังจากนั้นก็ไปเข้าห้องน้ำกลับมาปิดโคมไฟแล้วล้มตัวนอนอีกครั้ง ช่วงกำลังจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงประตูตู้เสื้อผ้าแง้มออก จึงมองดูในความมืด เห็นว่าประตูมันแง้มมานิดนึง แต่ก็นอนต่อเพราะคิดว่าไม่มีอะไร ผ่านไปสักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนกองเสื้อผ้าไหลออกมาจาก น้องอายจึงตัดสินในเปิดไฟห้องเพื่อที่จะเก็บเสื้อผ้าที่ไหลออกมา ในกองผ้านั้นมีกางเกงลายทหารที่เพิ่งซื้อมาอยู่ในนั้นด้วย น้องอายเก็บเสื้อผ้ายัดเข้าตู้เหมือนเดิม ปิดไฟกลับมานอนต่อ หลังจากล้มตัวลงนอนได้สักพัก ยังไม่ทันเคลิ้มหลับ น้องอายบอกว่าได้ยินเสียงบางอย่างในตู้ และตู้เสื้อผ้าก็สั่นโยก น้องอายจึงจับที่เตียงนอนเพราะคิดว่าแผ่นดินไหว ปรากฏว่ามีแค่ตู้ที่สั่น พอตู้หยุดสั่น น้องอายค่อย ๆ ล้มตัวลงนอนแต่สายตายังจ้องอยู่ที่ตู้ เห็นเงาผู้ชายคล้ายตำรวจไม่ก็ทหาร สูงประมาณ 180 เซนติเมตร ไม่แน่ใจว่าหน้าตาเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าดำไปทั้งตัว ยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้ากำลังมองมาที่น้องอาย! น้องอายไม่กล้าจ้องเงานั้นจึงหลบสายตาแต่ก็สังเกตุเห็นว่าผู้ชายคนนั้นใส่เสื้อสีขาว กางเกงลายทหารเหมือนกับที่น้องอายซื้อมา น้องจึงคิดว่าน่าจะต้องเกี่ยวข้องกับกางเกงที่ซื้อมา น้องอายก้มหน้าและพูดออกมาว่า “พี่คะ หนูอยู่คนเดียว พี่อย่าหลอกหนูเลย ถ้าหนูทำอะไรให้พี่ไม่พอใจ หนูขอโทษ” หลังจากพูดจบก็ยังก้มหน้าอยู่แต่ความรู้สึกอากาศรอบตัวหยุดนิ่ง จึงตัดสินใจค่อย ๆ เงยหน้าดูก็ไม่เห็นผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ที่ตู้แล้ว น้องอายจึงเดินไปเปิดไฟห้องและตัดสินใจว่าจะออกไปหาเพื่อน แต่ตอนนั้นเป็นเวลาตี 2 กว่าแล้ว จึงจัดสินใจเปิดไฟแล้วนอนจนถึงเช้า ตื่นเช้ามา น้องอายคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากกางเกงที่ซื้อมา จึงเอากางเกงมาดูแต่ไม่พบอะไร น้องอายจึงตัดสินใจกลับด้านดูด้านใน ทำให้เห็นว่ามีคราบสีแดงคล้ำ ๆ คล้ายเลือด ตรงบริเวณขากางเกงฝั่งซ้าย และขอบกางเกงด้านในมีคราบเลือดเป็นวงขนาดใหญ่ น้องอายจึงโทรไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟังและถ่ายรูปกางเกงส่งไปและมีความคิดว่าจะตามหาที่มาของกางเกงตัวนี้ แต่ร้านไม่น่าจะรู้เพราะเสื้อผ้ามือสองส่วนใหญ่มาจากหลาย ๆ ที่ น้องอายตัดสินใจว่าจะเอากางเกงตัวนี้ทิ้งแต่มีความคิดว่าเขาจะโกรธไหม จึงตัดสินใจเอากางเกงตัวนี้ไปที่วัดและเล่าเหตุการณ์ที่เจอให้กับหลวงพ่อฟัง หลวงพ่อจึงแนะนำให้สวดบังสุกุลและเผากางเกงตัวนี้ให้เขาไป น้องอายทำตามที่หลวงพ่อแนะนำ หลังจากที่ทำไปแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในห้องอีก คุณมิ้นเล่าต่อว่าปัจจุบันน้องอายก็ยังชอบซื้อเสื้อผ้ามือสองอยู่ แต่จะดูให้ละเอียดก่อน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ’ทำไมไม่สวดต่อ’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

02 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ’ทำไมไม่สวดต่อ’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘พี่แจ๊ค The Ghost Radio’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (28 พฤษภาคม 2567) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ทำไมไม่สวดต่อ’ จะชวนหลอนจนขนหัวลุกขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย ! เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณคิม (นามสมมติ)’ ที่ได้โทรเข้ามาเล่าให้พี่แจ็คได้ฟัง ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่ได้มาจากประสบการณ์ตรงของคุณคิม แต่เป็นเรื่องของเพื่อนคุณคิมที่มีชื่อว่า ‘คุณเปี๊ยก (นามสมมติ)’ ซึ่งเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว คุณเปี๊ยกเป็นหนึ่งในเด็กวัยรุ่นประจำหมู่บ้าน เมื่อถึงช่วงอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เพื่อนชายในกลุ่มต่างก็ต้องบวช โดยแต่ละคนก็ได้ไปประจำแต่ละวัด คุณเปี๊ยกเห็นเช่นนั้น ก็อยากที่จะบวชบ้าง จึงได้ไปปรึกษากับคุณแม่ แต่ฐานะทางการเงินของครอบครัวไม่ค่อยดี จึงถูกปฏิเสธ แต่เหมือนกับโชคเข้าข้าง ในระยะเวลาเดียวกัน บังเอิญว่า ‘หมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปได้จัดพิธีอุปสมบทหมู่’ แม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปไกลเกือบ 10 กิโล แต่งานพิธีอุปสมบทหมู่ครั้งนี้ จะมีเจ้าภาพที่คอยสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่าย เพื่อทางคณะเจ้าภาพจะได้บุญกุศลใหญ่ คุณเปี๊ยกจึงเป็นหนึ่งในบุคคลที่จะเข้าบวชในพิธีนี้ โดยมีกำหนดการออกมาทั้งหมด 9 วัน ซึ่งหลังจาก 9 วัน ใครก็ตามที่อยากจะบวชต่อก็สามารถจำวัดต่อได้ หรือใครอยากสึกก็ตามแต่ตั้งใจ หลังจากบวชจนครบ 9 วัน หลวงพี่เปี๊ยกจึงตัดสินใจที่จะบวชต่อ เพราะรู้สึกเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แต่หลวงพี่เปี๊ยกต้องการที่จะย้ายวัดให้อยู่ใกล้บ้านมากขึ้น เพื่อที่คุณแม่จะได้สะดวกในการมาใส่บาตร หลวงพี่เปี๊ยกจึงปรึกษากับหลวงพ่อ ทำเรื่องถึงวัดที่อยู่ในหมู่บ้านของตน ปรากฏว่าทุกวัดที่อยู่ในหมู่บ้านของหลวงพี่เปี๊ยก มีพระใหม่เข้ามาอุปสมบทเป็นจำนวนมาก จนพระล้นกุฏิ ไม่สามารถรับใครเพิ่มได้แล้ว แต่ก็มีคนคำแนะนำว่า “มีวัดอยู่ในหมู่บ้านข้าง ๆ ซึ่งห่างไปไม่เกิน 2 กิโล น่าจะสามารถเข้าไปจำพรรษาได้ ลองเข้าไปคุยกับที่วัดดู” หลวงพี่เปี๊ยกจึงตัดสินใจเข้าไปคุย ปรากฏว่าวัดนี้มีกุฏิว่างเหลืออยู่ แต่เป็นกุฏิหลังเดียวที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว และตอนนี้ได้กลายเป็นห้องเก็บของไปโดยปริยาย เจ้าอาวาสจึงถามว่า “อยู่ได้ไหม ?” หลวงพี่เปี๊ยกก็ตอบว่า “อยู่ได้ครับ” เพราะไม่ไกลบ้าน และคุณแม่ก็สามารถมาใส่บาตรตอนเช้าได้ หลังจากนั้นหลวงพี่เปี๊ยกก็เข้าไปดูกุฏิ ซึ่งอยู่บริเวณท้ายวัด ติดกับเมรุและป่าช้า ตัวกุฏิมีลักษณะเป็นไม้เก่า ยกพื้นสูง ด้านล่างเป็นใต้ถุนโล่ง ส่วนด้านในกุฏิจะเต็มไปด้วยข้าวของของวัดมากมาย เช่น พาน บาตร พวงมาลัยพลาสติก ฯลฯ หลวงพ่อจึงเกณฑ์คนในวัดให้ไปช่วยทำความสะอาด ขนของ ย้ายอุปกรณ์ออก ซึ่งวันแรกหลวงพี่เปี๊ยกก็สามารถเข้าจำวัดได้ตามปกติ หลังจากที่ออกบิณฑบาตเช้าเรียบร้อย หลวงพี่ที่อยู่จำพรรษามาก่อนก็ถามว่า “เป็นยังไงพระเปี๊ยก เมื่อคืนนอนได้ไหม หลับสบายหรือเปล่า ได้เจออะไรไหมล่ะ ?” หลวงพี่เปี๊ยกแปลกใจเล็กน้อย จึงก็ตอบกลับไปว่า “ไม่เจออะไรนะครับ” แต่ก็แอบคิดในใจว่า ‘ทำไมหลวงพี่ถามแบบนี้นะ ?’ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ หลังจากนั้นช่วงสายก็มีเด็กวัดมานั่งเล่นอยู่แถวกุฏิ เด็กวัดเห็นหลวงพี่เปี๊ยกจึงถามว่า “หลวงพี่มานอนกุฏินี้ หลวงพี่ไม่กลัวผีเหรอ ?” หลวงพี่เปี๊ยกจึงถามกลับไปว่า “ทำไมต้องกลัวผี ? มันมีอะไรหรือเปล่า” เด็กวัดก็เริ่มเลิ่กลั่กตอบว่า “อ๋อ ไม่มีอะไรครับ” ตกกลางคืน เข้าสู่คืนที่ 2 กิจวัตรประจำวันก่อนนอนทุกคืนของหลวงพี่เปี๊ยก คือ การสวดมนต์ แต่ด้วยความที่หลวงพี่เปี๊ยกเป็นพระใหม่ สวดไม่เป็น ไม่รู้วิธีการท่อง และก็ไม่รู้ว่าจะสวดบทอะไร จึงพยายามหาบทสวดที่ทำให้ตัวเองสามารถสวดเพื่อที่จะนอนหลับได้ จนกระทั่งเผลอหลับไป ก่อนที่จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะปวดท้อง โดยกุฏิกับห้องน้ำอยู่ห่างกัน 30-40 เมตร ซึ่งหลวงพี่เปี๊ยกต้องเดินลงจากกุฏิ และเดินผ่านทางที่มีไฟสลัวไปห้องน้ำ ระหว่างทางเดินหลวงพี่เปี๊ยกเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ผ่านหางตาซ้าย จึงรีบหันกลับไปมองเห็นเป็น ‘พระรูปหนึ่ง’ พระรูปนั้นเป็นพระแก่ชรา มีลักษณะหลังค่อม ซึ่งค่อมจน ‘ศีรษะแทบจะติดพื้น’ และยังคงยืนโค้งอยู่อย่างนั้น หลวงพี่เปี๊ยกจึงถามว่า “หลวงตามาทำอะไรครับ ?” หลวงตาจึงหยุดเดิน ก่อนที่จะหันหน้ากลับมายิ้มให้ แล้วก็เดินไปทางด้านหลังห้องน้ำที่เป็นทางไปกุฏิอื่น หลวงพี่เปี๊ยกจึงคิดว่า ‘หลวงพ่อเขาคงไม่อยากคุยอะไรกับเรา’ และเก็บความสงสัยไว้ในใจ.. วันรุ่งขึ้นหลวงพี่เปี๊ยกก็ถามกับหลวงพี่ว่า “วัดเรามีพระแก่ไหมครับ ลักษณะหลังค่อม ?” หลวงพี่จึงตอบว่า “พระแก่ของวัดเรามีอยู่รูปเดียว และเป็นรองเจ้าอาวาส ไม่ได้หลังค่อม ทำไมเหรอ ?” หลวงพี่เปี๊ยกได้ยินก็ไม่ได้คิดอะไร และไม่ถามอะไรต่อ ตกกลางคืน เข้าสู่คืนที่ 3 ในระหว่างที่หลวงพี่เปี๊ยกก็กำลังสวดมนต์เหมือนปกติ หลวงพี่เปี๊ยกก็ได้ยินเสียงคนสวดตามอยู่ด้านนอกกุฏิ และไม่ว่าหลวงพี่เปี๊ยกจะสวดบทอะไร ด้านนอกก็จะสวดตาม หลวงพี่เปี๊ยกเกิดความสงสัยว่าใครมาสวดตามตน จึงลองเงียบ และเมื่อเงียบ ด้านนอกก็เงียบ แต่เมื่อหลวงพี่เปี๊ยกสวดต่อ ด้านนอกก็สวดต่อ ด้วยความสงสัยถึงขั้นสุด หลวงพี่เปี๊ยกจึงเลือกที่จะเดินเอาหูไปแนบกับประตู ก่อนที่จะท่องต่อว่า “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต…” แล้วก็หยุดเพื่อที่จะรอฟังคนด้านนอก ปรากฏว่าหลวงพี่เปี๊ยกได้ยินเสียงพูดกลับมาว่า “ทำไมไม่สวดต่อล่ะ หยุดสวดทำไม กลัวเหรอ!?” หลวงพี่เปี๊ยกก็ตกใจ ก่อนที่จะถอยหลังจากประตู และกลับมานั่งสวดมนต์ต่อที่เดิม เริ่มสัมผัสได้ว่า ‘สิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกมันไม่ปกติ’ จึงนั่งหลับตาสวดมนต์ไปเรื่อย ๆ จนทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเงียบลง แล้วก็ได้ยินเสียง ปัก… ปัก… ปัก ! คล้ายกับว่ามีของบางอย่างกระทบกันอยู่! ซึ่งในตอนนั้นไฟทุกดวงได้ปิดหมดแล้ว หลวงพี่เปี๊ยกจึงหยิบไฟฉายใกล้ตัวขึ้นมา และส่องไปที่ต้นทางของเสียงบริเวณประตู เริ่มส่องไปตั้งแต่บริเวณพื้นเห็นเป็น ‘ขาและชายจีวร’ ก่อนที่จะค่อย ๆ ยกไฟขึ้น เห็นเป็นศีรษะที่ก้มโค้งจนจะติดพื้น และเสียง ปัก… ปัก… ปัก! เป็นเสียงที่เกิดขึ้นจากศีรษะที่กำลังโขกกับประตู หลวงพี่เปี๊ยกตกใจกับสิ่งที่เห็น ก่อนที่จะตั้งสติและเข้าใจแล้วว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นผีแน่นอน! จึงนำผ้าห่มมาคลุมตัว และหลับตาสวดมนต์ พร้อมพูดว่า “อย่ามาหลอกผมเลยครับ ! ผมกลัวแล้ว !!” ในระหว่างที่พูดเสียงที่เคาะก็ได้เงียบลง จังหวะพอดีกับความคิดของหลวงพี่เปี๊ยกที่คิดว่าจะเอายังไงต่อไป ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนที่หายใจไม่ออก “กร่อกกกกกก…” อยู่บริเวณด้านหน้าผ้าห่มที่ตัวเองคลุมเอาไว้ ก่อนที่จะพูดต่อว่า “อย่ามาหลอกผมเลยครับ ! อย่ามาหลอกผมเลย !!” แล้วเสียงก็เงียบลง จึงตัดสินใจเปิดผ้าออก และค่อย ๆ ลืมตา เห็นเป็นหน้าพระรูปหนึ่งที่แก่ชรา ยิ้มจนเห็นฟันดำ อ้าปากอมมือของหลวงพี่เปี๊ยกที่ไหว้อยู่! หลวงพี่เปี๊ยกตกใจมาก สะบัดมือของตัวเองออก ก่อนที่จะวิ่งหนีออกไปขอความช่วยเหลือ ทันที โดยวิ่งไปทางห้องน้ำ ซึ่งพอวิ่งไปถึงหน้าห้องน้ำ ก็เจอกับพระรูปหนึ่งที่มีลักษณะแก่ชราและมีอายุ พระรูปนั้นก็ถามขึ้นว่า “หลวงพี่เป็นอะไร ? วิ่งมาทำไม !?” หลวงพี่เปี๊ยกก็ตอบว่า “ช่วยผมด้วยครับ ผมโดนผีหลอก” หลวงพ่อรูปนี้ก็บอกว่า “ไม่เป็นไร ใจเย็น ๆ ก่อน ค่อย ๆ เล่า เดี๋ยวเข้าไปสงบจิตใจที่กุฏิอาตมา” ซึ่งเป็นกุฏิอยู่ทางด้านหลังห้องน้ำพอดี หลังจากเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้หลวงพ่อได้ฟัง หลวงพ่อก็พูดปลอบประโลมให้หลวงพี่เปี๊ยกใจเย็นขึ้น จนหลวงพี่เปี๊ยกเผลอหลับไป รู้สึกตัวอีกทีตอนรุ่งเช้า ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกเข้าหู ตอนกึ่งหลับกึ่งตื่นว่า “หลวงพี่เปี๊ยก !” และอีกหลายเสียงว่า “หลวงพี่เปี๊ยกอยู่ไหน !?” หลังจากนั้นหลวงพี่เปี๊ยกจึงเริ่มตั้งสติ ค่อย ๆ ลุกขึ้นลืมตามองไปรอบห้อง ก่อนที่จะตกใจสุดขีดเพราะ กุฏิที่ตนอยู่เป็นกุฏิที่ถูกปิดตาย และเห็นว่ามีสรีระสังขารของพระรูปหนึ่ง ลักษณะผิวแห้งคาดว่าน่าจะเสียชีวิตเป็นเวลานานแล้ว นอนอยู่ในโลงแก้ว! มองสูงขึ้นไปอีกพบรูปหน้าโลง เป็นใบหน้าของหลวงพ่อเมื่อคืนที่ช่วยเหลือตน หลวงพี่เปี๊ยกตะโกนร้องสุดเสียงว่า “ผมอยู่นี่ ! พระอยู่นี่ !! ช่วยด้วย !!” จนเจ้าอาวาสได้ยินเสียง และนำกุญแจมาเปิดประตู หลังจากเปิดเข้ามาก็ถามหลวงพี่เปี๊ยกว่า “พระเปี๊ยกเข้ามาอยู่ในนี้ได้ยังไง !?” เพราะกุฏินี้มันถูกล็อกจากด้านนอก หลวงพี่เปี๊ยกจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้กับเจ้าอาวาส และเด็กวัดทุกคนได้ฟัง ซึ่งทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “กุฏิที่หลวงพี่เปี๊ยกอยู่ เป็นกุฏิของเจ้าอาวาส และท่านมรณภาพไปนานแล้ว” ซึ่งก่อนที่ท่านจะมรณภาพ เจ้าอาวาสได้บอกกับรองเจ้าอาวาสว่า “ถ้าหากตัวอาตมามรณภาพ ไม่ต้องเผานะ เพราะว่าสรีระสังขารของอาตมาจะไม่เน่า ให้เก็บสรีระสังขารของอาตมาไว้ และในทุก ๆ ปีให้จัดงานสมโภช ให้กับสังขารของอาตมา” ทำให้มีสรีระสังขารของเจ้าอาวาสถูกเก็บไว้ในโลงแก้ว ทุกคนจึงตั้งคำถามว่า ‘แล้วหลวงพี่เปี๊ยกเข้าไปได้ยังไง ?’ เกิดเป็นข้อสันนิษฐานว่า เจ้าอาวาสท่านคงมาช่วย เพราะสิ่งที่หลวงพี่เปี๊ยกเจอ คือ อดีตพระลูกวัดที่เคยบวชอยู่ที่นี่ ชื่อว่า ‘หลวงตาแก้ว’ ซึ่งก่อนที่หลวงตาแก้วจะมาบวช ท่านเป็นคนเล่นของ จนกระทั่งหลวงตาแก้วได้ไปบอกกับชาวบ้านว่า ตนจะเลิกเล่นคุณไสยมนต์ดำ และตัดสินใจที่จะมาบวชที่วัดแห่งนี้ ซึ่งตอนที่หลวงตาแก้วบวช ก็ไม่มีชาวบ้านคนไหนเชื่อว่าท่านจะตัดขาดได้จริง แต่หลวงตาแก้วก็ได้พิสูจน์ว่า ‘ท่านสามารถทำกิจของสงฆ์ได้และได้ดี’ ไม่มีขาดตกบกพร่อง กระทั่งวันหนึ่ง หลวงตาแก้วก็เริ่มป่วย จนไม่สามารถที่จะทำกิจของสงฆ์ได้ จึงเป็นหน้าที่ของลูกศิษย์ที่เป็นคนคอยถวายอาหารให้ทุกวัน วันหนึ่งในระหว่างที่ลูกศิษย์นำอาหารเพลเข้ามาถวาย ลูกศิษย์ก็สังเกตเห็นว่า ‘ทำไมหลวงตาแก้วไม่ฉันอาหารเช้า ?’ แต่ก็เอาอาหารเพลไปวางไว้เหมือนเดิม จนเช้าวันรุ่งขึ้น อาหารทุกมื้อยังอยู่เหมือนเดิม จึงเริ่มเอะใจตะโกนชื่อเรียกหลวงตาแก้ว และพยายามเปิดประตู ซึ่งปรากฏว่าห้องล็อค จึงพยายามพังประตูเข้าไปพบ ‘สรีระสังขารหลวงตาแก้วนอนอืดอยู่กลางห้อง’ ซึ่งภายในห้องมีกระทงเครื่องเซ่นวางไว้อยู่ทั่วทั้งห้อง เหมือนกับว่า ‘หลวงตาแก้วเลี้ยงอะไรบางอย่างไว้ในกุฏิ’ เพราะไม่มีใครเคยเข้าไปในกุฏิของหลวงตาแก้ว ทุกคนจึงคิดตรงกันว่า หลวงตาแก้วเลี้ยงผีแน่นอน และคิดกันต่อว่าหลวงตาแก้วคงเอาไม่อยู่ คือพยายามจะเลิก แต่ไม่สามารถเลิกได้ จึงโดนของเข้าตัวจนเสียชีวิต และหลังจากนั้น คนในวัดก็พบเห็นผีหลวงตาแก้ว เดินอยู่ในวัด ลักษณะหลังค่อม โค้งจนศีรษะแทบจะติดพื้นอยู่เป็นประจำ..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก ขวัญ INDIGO 'นิมิตประหลาดพระจมน้ำ' I อังคารคลุมโปง X INDIGO [ 12 พ.ย. 2567 ]

21 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจาก ขวัญ INDIGO 'นิมิตประหลาดพระจมน้ำ' I อังคารคลุมโปง X INDIGO [ 12 พ.ย. 2567 ]

ขนลุกกับเศรัทธาความเชื่อใน ‘อังคารคลุมโปง X (12 พฤศจิกายน 2567) ที่ ‘ขวัญ INDIGO’ มาเล่าสิ่งที่เห็นจากภาพจิตสัมผัสทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ อ้าปากค้าง! จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย! คุณขวัญได้เล่าว่า ตนมักจะไปกินข้าวที่บ้านเพื่อนที่ชื่อ ‘ป๋อง’ (นามสมมุติ) บ่อยครั้ง บ้านหลังนี้มีลักษณะเป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น เปิดประตูเข้าไปฝั่งขวาเป็นโทรทัศน์ ข้างหน้าเป็นโต๊ะอาหาร เลี้ยวไปทางขวาจะเป็นห้องครัว ที่ประจำของคุณขวัญคือโต๊ะอาหาร พวกเขามักจะนั่งกินข้าวและพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้คุณป๋องยังเลี้ยงแมวหลายตัว เวลานั่งคุยกันก็มักจะอุ้มแมวมาเล่นด้วย และส่วนตัวของคุณป๋องไม่ค่อยเชื่อเรื่องพระ บ้านของเขาจึงไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในบ้าน ปกติคุณขวัญเป็นคนตื่นเช้า เมื่อก่อนจะสวดมนต์ทุกเช้า นั่งสมาธิ ทำบุญตักบาตร แต่อยู่มาวันหนึ่ง คุณขวัญนั่งสมาธิหลับตาแล้วเห็น ‘หลวงพ่อโสธร’ ท่านจมน้ำ ภาพที่เห็นเป็นองค์พระพุทธรูปสีทอง หลังจากนั้น คุณขวัญก็ไม่สามารถนั่งสมาธิได้ จึงเปลี่ยนมาสวดมนต์แทน แต่ระหว่างสวดมนต์ภาพที่เห็นก็ยังเป็นภาพเดิม คุณขวัญถึงกับเอะใจกับสถานที่ที่เห็นในภาพนั้นว่า ‘ทำไมเห็นบ้านหลังนี้ ทำไมเห็นบ้านป๋องที่น้ำกำลังท่วมแล้วเขารู้สึกถึงความอึดอัด ทรมาน’ หลังจากนั้นก็เห็นเป็นภาพโต๊ะอาหาร คุณขวัญเริ่มเอะใจ จึงตัดสินใจทักไลน์ไปหาคุณป๋องว่า “มึงเป็นไง มีอะไรอยู่ตรงใต้โต๊ะอาหารไหม ช่วยดูให้หน่อย กูเห็นอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นของศักดิ์สิทธิ์อยู่ใต้โต๊ะอาหาร มันเหมือนกับมีน้ำอะไรราดท่านอยู่หรือเปล่า” คุณป๋องก็ตอบกลับบอกว่า “บ้านกูเนี่ยนะ จะมีของศักดิ์สิทธิ์” เนื่องจากคุณป๋องไม่ได้เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุณขวัญจึงบอกไปว่า “รบกวนดูให้หน่อยนะ ขอร้อง” พอผ่านไปถึงช่วงเย็นคุณป๋องก็ทักมาบอกว่า “ไม่มีนะ” คุณขวัญคิดว่าตัวเองน่าจะคิดไปเอง.. วันรุ่งขึ้น คุณขวัญก็เห็นภาพนั้นอีกเหมือนเดิม แต่เห็นสถานที่ชัดเจนกว่าครั้งแรก ‘ท่านอยู่ใต้โต๊ะอาหารโต๊ะตรงนั้นจริง ๆ’ คุณขวัญจึงทักหาคุณป๋องอีกครั้ง คุณป๋องถามกลับมาว่า “เป็นอะไรเนี่ย” ด้วยความที่บอกไปอย่างไรคุณป๋องก็ไม่เชื่อ คุณขวัญจึงบอกว่า “โอเคไม่เป็นไรกูคงคิดไปเอง” พอผ่านไป 2 อาทิตย์ คุณพ่อของแฟนคุณป๋องก็เสียชีวิต คุณป๋องจึงต้องขับรถกลับเชียงใหม่เพื่อไปงานศพ คุณขวัญได้บอกกับเพื่อนว่า “เฮ้ย ขับรถดี ๆ นะ ก่อนออกไหว้ที่บ้านสักหน่อย กวาดบ้านก็ได้ พ่อเสียแล้วทำบ้านให้สะอาดก่อนค่อยเดินทางไปหาพ่อที่เชียงใหม่ไหม” ในใจคุณขวัญรู้สึกไม่สบายใจเนื่องจากคุณขวัญยังไม่สามารถลบภาพนั้นได้ จึงพยายามบอกกับคุณป๋องทำใจดี ๆ ขับรถดี ๆ คุณป๋องบอก “โอเค เดี๋ยวจะทำ” คุณขวัญบอกอีกว่า “ถ้าเชื่อกู กูขออย่างหนึ่ง เอาน้ำถวายหิ้งพระหน่อยก่อนออกเดินทาง หิ้งไม่มีอะไรเลยใช่ไหม” คุณป๋องก็ได้ทำตามที่คุณขวัญบอกทั้งหมด ส่วนแฟนของคุณป๋องในช่วงนั้นรู้สึกจิตใจแย่ พอคุณขวัญทักบอกให้กวาดบ้านทำบ้านให้สะอาดเขาจึงทำตามที่คุณขวัญบอกเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นเวลาประมาณ 5 โมงเย็น ก็มีไลน์เด้งมาพร้อมรูปที่โชว์ถุงพลาสติก ถุงพลาสติกนั้นมีน้ำอยู่ข้างในคือฉี่แมว แล้วมีหลวงพ่อโสธรเป็นตลับอยู่ประมาณ 20-30 ตลับ คุณป๋องถามคุณขวัญว่า “ขวัญ.. มึงเห็นได้ยังไง” คุณขวัญจึงถามกลับมาว่า “แล้วมันมาได้ยังไงมากกว่า!” เพราะคุณป๋องไม่ได้เชื่อเรื่องพระแต่ในบ้านมีพระหลายตลับอยู่ได้อย่างไร สุดท้ายคุณป๋องก็ได้มารู้ว่า คนที่มาทานข้าวด้วย เขาเป็นคนเล่นพระ ช่วงนั้นที่จะมีหลวงพ่อหลายองค์ที่เขาซื้อมาเป็นกล่อง แล้วเขาก็ลืมไว้ซึ่งอยู่ใต้กระเช้าปีใหม่ แมวจึงฉี่ใส่ถุงนั้นมาตลอด จากนั้นกลายเป็นว่าคุณป๋องก็เชื่อเรื่องที่คุณขวัญบอกทุกอย่าง พอคุณป๋องและแฟนทำความสะอาดบ้านเสร็จ พระที่ได้มานั้น คุณขวัญก็บอกให้คุณป๋องขอขมาท่าน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1