เรื่องเล่าจากส้ม มัลนิการ์ ‘ตายตกตามกัน’ I อังคารคลุมโปง X ส้ม มัลนิการ์ คนตาทิพย์ [ 11 มิ.ย. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากส้ม มัลนิการ์ ‘ตายตกตามกัน’ I อังคารคลุมโปง X ส้ม มัลนิการ์ คนตาทิพย์ [ 11 มิ.ย. 2567]

15 มิ.ย. 2024

       ที่นาหนึ่งผืนที่นำพาความตายมาให้ทั้งตระกูล แถมยังต้องมาเจอสิ่งแปลก ๆ ที่พร้อมจะมาเอาชีวิตทุกเมื่อ เรื่องราวนี้ ‘คุณส้ม’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (11 มิถุนายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ตายตกตามกัน’ จะชวนหลอนจนขนหัวลุกขนาดไหนนั้นไปอ่านกันได้เลย!

       คุณส้มเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เกิดขึ้นหลังจากคุณส้มกลับมาทำ The sixth sense เป็นเคสที่คุณส้มต้องเข้าไปสื่อสารและช่วยแก้ไขปัญหาให้กับบ้าน 5 หลัง ซึ่งบ้านทั้ง 5 หลังนี้มีความเชื่อมโยงกันทั้งหมด เพราะมีคนเสียชีวิตไป 2 หลัง หลังที่ 3 กำลังนอนรอความตาย หลังที่ 4 มีสัญญาณบ่งบอกว่าจะเป็นรายต่อไป และหลังที่ 5 คือบ้านร้าง

       เมื่อไปถึงสถานที่ ในระหว่างที่พักกอง คุณส้มกำลังนั่งกินข้าวอยู่ จู่ ๆ ก็เห็นคุณยายคนหนึ่งที่รู้ว่าไม่ใช่คนแน่ ๆ เป็นวิญญาณยืนใส่เสื้อสีชมพูบานเย็น กางเกงคลุมเข่า คุณส้มก็รู้สึกงงว่า ‘เขาเป็นใคร?’ เพราะเขามายืนยิ้มด้วยท่าทางใจดี แต่ตัวคุณส้มเองรู้สึกได้ว่าคุณยายคนนี้เหมือนกำลังโดนอะไรบางอย่างครอบงำแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป 

       เมื่อถึงเวลาถ่ายทำ ทางโปรดิวเซอร์ก็ได้ถามว่าคุณส้มว่า

       “เห็นอะไรบ้าง”

       คุณส้มจึงเล่าสิ่งที่เห็นออกไปและพาไปยังจุดที่เจอ แต่เมื่อไปถึงคุณส้มกลับเห็นเพิ่มอีกหนึ่งคน เป็นผู้หญิงใส่เสื้อคอกลมสีขาว มัดผมรวบต่ำ กำลังยืนร้องไห้อยู่ และยืนไม่ห่างกันมากกับคุณยายคนแรก ซึ่งคุณยายเสื้อสีชมพูบานเย็นได้ตะโกนออกมาว่า

       “อย่าเข้ามา เอามันออกไป”

       คุณส้มก็รู้สึกว่างงว่าต้องการให้เอาใครออกไป คุณยายคนนั้นจึงชี้ไปที่ ‘ป้าอ้อน’ ป้าเจ้าของเคสนี้ คุณส้มจึงถามกลับไปว่า “เกิดอะไรขึ้น”

       คุณยายตอบกลับมาว่า “มันอยู่ในนี้ ๆ”

       ซึ่งสถานที่ที่คุณส้มอยู่คือบ้านร้างที่เป็นหนึ่งในบ้านทั้งหมด 5 หลังของเคสนี้ ทันทีที่คุณยายพูดจบ คุณส้มก็ได้ยินเสียงผู้ชายหวีดร้องเหมือนสัตว์ประหลาดดังออกมาจากบ้านร้าง! คุณส้มจะเดินไปดูที่บ้านร้างหลังนี้ แต่โดนโปรดิวเซอร์ดึงแขนไว้ และบอกว่า

       “อันตราย อย่าไป พี่รู้เรื่องราวของบ้านหลังนี้”

       แต่โปรดิวเซอร์ก็ไม่ได้เล่าให้คุณส้มฟัง คุณส้มจึงบอกว่า “ส้มไม่กลัวนะ”

       แต่คุณโปรดิวเซอร์ก็ยังห้าม คุณส้มจึงเริ่มเอะใจว่าเกิดอะไรขึ้น และรู้สึกว่าต้องไม่ใช่ผีธรรมดา 

       หลังจากนั้นคุณส้มได้อธิบายรูปร่างและลักษณะของวิญญาณที่เห็นให้เจ้าของบ้านฟัง และถามว่ามีใครที่ลักษณะแบบนี้เคยอยู่บ้านหลังนี้ หรือรู้จักไหม เจ้าของบ้านตอบกลับว่า

       “มีทั้งคู่เลย”

       คุณยายเสื้อสีชมพูบานเย็นคือแม่ของเจ้าของบ้านหลังกลางที่เสียชีวิตไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และอีกคนคือ ‘คุณหงส์’ เป็นป้าหรือน้าของเจ้าของบ้านซึ่งเสียชีวิตไปก่อนคุณแม่อีก และคนส่วนมากมักจะเห็นคุณยายมาในรูปแบบของตะขาบ เมื่อเจ้าของบ้านพูดเสร็จ อยู่ ๆ ก็มีตะขาบตัวใหญ่ไต่ขึ้นที่ขาของทีมงาน!

       และในส่วนของการเห็นวิญญาณ คุณส้มได้เล่าว่าวิญญาณที่กรีดร้องอยู่ในบ้านร้างได้วิ่งออกไปที่บ้านหลังกลาง ที่คุณยายเสื้อสีชมพูเสียชีวิต และวิญญาณตนนั้นก็หัวเราะ คุณส้มได้อธิบายถึงรูปร่างของวิญญาณตัวนั้นว่ามีลักษณะเหมือน ‘กอลลัม (Gollum)’ ตัวใหญ่ คุณส้มจึงเดินไปที่บ้านหลังกลางซึ่งเป็นบ้าน 2 ชั้นที่ข้างล่างเป็นปูนข้างบนเป็นไม้ คุณส้มเดินเข้าไปและรู้สึกถึงพลังงานที่เป็นผู้หญิงยืนอยู่กลางบ้านใส่สไบสีเขียว แต่เขายืนหันข้างแล้วหันคอมาทางคุณส้มทำให้ได้เห็นว่าหน้าของผู้หญิงคนนั้นเละจนจำเค้าโครงไม่ได้  แล้วเขาก็ได้มองไปที่ลูกชายของคุณยายเสื้อชมพูบานเย็น คุณส้มจึงถามพี่ผู้ชายว่า

       “ช่วงนี้การงานไม่ดีใช่มั้ย เพราะวิญญาณตนนี้เขาจะเอาเราไปให้ได้นะ”

       พี่ผู้ชายจึงตอบว่า “เมื่อไม่กี่วันมานี้ จะเอาให้ได้เลยใช่มั้ย”

       เพราะว่าพี่ผู้ชายคนนี้เค้าเจอเหตุการณ์ที่ไม้แหลมจากชั้น 2 ของบ้าน มันผุและจะตกมาทิ่มหัว แต่โชคดีที่วันนั้นตนรู้สึกแปลก ๆ เลยทำให้บังเอิญไปเห็นก่อนที่จะตกลงมา

       ซึ่งคุณส้มก็ได้สืบไปสืบมาจนได้ความว่า เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของพี่ผู้ชายคนนี้ ซึ่งคุณส้มก็สงสัยว่าทำไมวิญญาณตนถึงอยู่ได้อิสระทั้ง ๆ ที่บ้านหลังนี้มีเจ้าที่ คุณส้มจึงไปที่ศาลพระภูมิจุดแรกแต่ปรากฏว่าไม่มีเจ้าที่อยู่เลย ทำให้ชัดเจนแล้วว่าไม่มีอะไรป้องกัน และวิญญาณทั่วไปสามารถมาทำร้ายคนในบ้านได้ 

       คุณส้มกลับมาสืบต่อเรื่องที่ทำไมคุณยายเสื้อชมพูกับคุณป้าเสื้อขาวถึงตายติดต่อกัน และยังมีเรื่องที่แฟนคุณยายเสื้อชมพูตายก่อนคุณยายอีก 2 ปี คุณส้มจึงรู้สึกว่ามีอะไรมากกว่าวิญญาณ เพราะคุณส้มรู้สึกว่าสิ่งที่วิ่งไปวิ่งมาตามบ้านต่าง ๆ เหมือนคุณไสย์มากกว่า

       โปรดิวเซอร์จึงพาคุณส้มไปบ้านที่เก่าแก่ที่สุดในบ้าน 5 หลังนี้ เมื่อถึงหน้าบ้านทางโปรดิวเซอร์ได้ถามว่าคุณส้มเห็นอะไรหรือไม่ คุณส้มตอบว่า

       “เห็นผู้หญิงแก่ผมขาวทั้งหัว ดูใจดีเดินออกมาและเรียกให้เข้าบ้าน”

       ป้าอ้อนตอบกลับมาว่า “นี่คือแม่”

       คุณส้มจึงเข้าไปพิสูจน์ ที่แรกที่ไปคือใต้ถุนบ้าน สิ่งที่คุณส้มเจอเป็นอันดับแรกคืออัฐิคนตายจำนวนมากตั้งข้างหิ้งพระ ซึ่งหิ้งพระวางอยู่ที่พื้นบ้าน และมีอัฐิที่อยู่ตรงกลางหนึ่งอันที่ทำให้คุณส้มรู้สึกว่าผู้หญิงที่เรียกเข้าบ้านเค้าตั้งใจให้มาที่อัฐินี้ คุณส้มจึงเดินไปใกล้ ๆ และเห็นรูปภาพที่เป็นคน ๆ เดียวกับคนที่เรียกคุณส้มเข้าบ้านซึ่งเป็นแม่ป้าอ้อน และวิญญาณที่เป็นแม่ป้าอ้อนพูดว่า

       “พวกมันอยากได้ แต่พวกมันไม่ได้หรอก มันเลยทำสิ่งไม่ดีใส่บ้านนี้”

       พูดราวกับว่ามีประเด็นกับใครสักคนหนึ่ง.. 

       ในระหว่างที่จะสืบกันต่อ โปรดิวเซอร์ได้ท้าทายกับวิญญาณที่วิ่งไปวิ่งมาเหมือนกอลลัมว่า

       “ถ้ามีฤทธิ์จริงก็แสดงให้เห็น หรือได้ยินก็ได้”

       และเมื่อทีมงานทุกคนกำลังจะเดินออกจากบ้านก็ได้ยินเสียงคนวิ่งจากมุมหนึ่งไปอีกมุมหนึ่งทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีใครอยู่บนชั้น 2 คุณส้มจึงออกมาจากห้องที่อยู่ชั้นล่างและเดินไปที่ชั้น 2 เมื่อขึ้นไปก็ไม่เห็นมีสิ่งชีวิตอยู่เลย สิ่งแรกที่คุณส้มเห็นคือวิญญาณที่วิ่งไปวิ่งมากำลังยืนหัวเราะเหมือนสะใจที่หลอกให้คุณส้มขึ้นมาได้ และพูดออกมาคำหนึ่งว่า

       “ก็เค้าขอดี ๆ แล้วพวกมึงไม่ให้เอง”

       ซึ่งตรงกับสิ่งที่คุณแม่ป้าอ้อนพูดมา ทีมงานจึงเรียกป้าอ้อนขึ้นมาและถามไปว่าเคยมีใครขออะไรแล้วเราไม่ให้มั้ยเพราะของถูกส่งมาจากฝั่งนั้น ป้าอ้อนตอบว่า

       “มี เป็นที่นาของพ่อที่ใช้วัวแลกกับป้ามา”

       ซึ่งป้าอ้อนได้ขายที่นาตรงนั้นไปและได้เงินมาก้อนหนึ่ง แล้วลูกหลานฝั่งป้าที่เคยเป็นเจ้าของที่นามาขอแบ่งเงิน แต่ป้าอ้อนไม่ให้เพราะว่าก็แลกวัวกับที่นาไปแล้ว จึงทำให้มีข้อพิพาทกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และป้าอ้อนไปได้ยินบุคคลที่ 3 เล่าให้ป้าอ้อนฟังว่าบ้านที่มาขอเงินสาปแช่งบ้านป้าอ้อน และคนต่อไปคือป้าอ้อน ซึ่งเป็นสิ่งที่เค้าทำมานานและคนที่จะได้รับเคราะห์จะเป็นคนในบ้านหลังนี้เสมอ

       เมื่อไขปมตรงนี้ได้แล้วก็มีการทำพิธีไล่สิ่งไม่ดีออกไป..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากเสือ พิชย 'ขอนั่งข้างๆ' I อังคารคลุมโปง X เต๋อ ฉันทวิชช์ - เสือ พิชย [ 3 ธ.ค. 2567 ]

13 ธ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากเสือ พิชย 'ขอนั่งข้างๆ' I อังคารคลุมโปง X เต๋อ ฉันทวิชช์ - เสือ พิชย [ 3 ธ.ค. 2567 ]

‘เสือ พิชย’ ผู้กำกับภาพยนตร์ 404 สุขีนิรันดร์..RUN RUN ได้นำเรื่อง ‘ขอนั่งข้างๆ’ มาเล่าให้รายการ’ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 ธันวาคม 2567) หลอนไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ เรื่องราวนี้จะทำเอาทั้งสองดีเจขนลุกขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย!! ‘เสือ พิชย’ เล่าว่าในกองถ่ายจะมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า เวลากลับบ้านจะต้องเรียกชื่อเป็นรายคนและต้องเรียกเป็นชื่อคนเท่านั้น ซึ่งเมื่อก่อนนั้น คุณเสือไม่เชื่อเรื่องนี้ จนคุณเสือมีโอกาสได้ไปถ่ายหนังในตึกร้างเมื่อหลายปีที่ผ่านมา หลังจากถ่ายทำเสร็จเรียบร้อย คุณเสือก็พูดเหมารวมขึ้นมาว่า “ทุกคนกลับบ้านกัน” หลังจากนั้น คุณเสือก็ได้กลับบ้านตามปกติ ลักษณะบ้านจะเป็นทาวน์โฮม มีห้องน้ำอยู่ใต้บันได ตอนนั้นคุณเสือกำลังล้างหน้าอยู่ ขณะที่คุณเสือกำลังเงยหน้าขึ้นก็ได้เห็นเงาของใครบางคนอยู่ข้างหลัง แต่สิ่งที่แปลกคือ ไหล่ของคน ๆ นั้นอยู่เหนือหัวของคุณเสือไปอีก! แต่ตอนนั้นคุณเสือคิดว่าคงออกกองมาหลายวันอาจทำให้ร่างกายอ่อนล้า ทำให้ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองเจอคือผีหรือว่าแค่ตาฝาดไป เวลาผ่านมาถึงตอนที่คุณเสือ ถ่ายภาพยนตร์ 404 สุขขีนิรันดร์..RUN RUN ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ในกองก็มีทั้งนักแสดงตัวประกอบที่แต่งตัวเป็นผี ทีมช่างเบื้องหลัง ทีมแต่งหน้าต่าง ๆ ในวันนั้นคิวของทีมนักแสดงที่เป็นผีหมดคิวแล้ว ตามธรรมเนียมจะมีการถ่ายรูปรวมกัน และจะมีผู้จัดการกองใช้เครื่องวิทยุสื่อสารเรียก “ทุกคนมาถ่ายรูปรวมกัน ผีเผอ มาให้หมด” ซึ่งความหมายจริง ๆ คือทีมนักแสดงที่แต่งเป็นผี และช่างแต่งหน้า วินาทีนั้น คุณเสือก็เริ่มรู้สึกแปลก ๆ แต่คุณเสือยังคิดในแง่ดีว่า ‘ทีมงานมีเป็นร้อย เขาคงไม่มาตามตัวเองหรอก’ หลังจากความคิดนั้น เวลาผ่านไปถึงเวลาเลิกกอง ในขณะที่คุณเสือกำลังเดินไปที่ลานจอดรถซึ่งเป็นลานโล่ง ๆ หน้าที่จอดรถของคุณเสือติดเซ็นเซอร์กันชน ซึ่งจะมีอยู่สองสี คือสีส้มกับสีแดง สีส้มคือห่างออกไปประมาณหนึ่ง ส่วนสีแดงคือใกล้ที่จะชนแล้ว ในตอนนั้นลานจอดรถเหลือเพียงรถของคุณเสือเพียงคันเดียว จังหวะที่คุณเสือกำลังจะถอยรถ จู่ ๆ หน้าจอเซ็นเซอร์ก็ขึ้นสีส้ม คุณเสือจึงสงสัยว่ามีอะไรขวางอยู่หรือเปล่า แต่พอมองออกไปดูก็ไม่เห็นสิ่งของหรืออะไรขวางอยู่ คุณเสือจึงเริ่มถอยรถอีกครั้ง สัญญาณก็ขึ้นเป็นสีส้มอีก จึงคิดว่า..เป็นเพราะเซ็นเซอร์อาจขัดข้อง จึงถอยหลังอีกครั้ง ครั้งนี้ สีเซ็นเซอร์เปลี่ยนจากสีส้มกลายเป็นสีแดงรอบคันและมีเสียงร้องเตือนดัง ตอนนั้นคุณเสือมีความรู้สึกว่า ‘เหมือนมีคนมายืนล้อมรถของตัวเองอยู่!’ คุณเสือจึงรีบถอยรถออกมาด้วยความคิดที่ว่า ‘เขาอยู่ข้างนอก’ พอขับรถออกมาได้สักพักหนึ่ง ในขณะที่ความเร็วเริ่มมากขึ้น จู่ ๆ เสียงสัญญาณเตือนให้รัดเข็มขัดของเบาะข้าง ๆ ก็ดัง แต่ที่แปลกคือ ที่นั่งข้างคนขับของคุณเสือไม่มีใครนั่งอยู่เลย เพราะมีแค่กระดาษบทใบบาง ๆ วางไว้ก็ไม่น่าจะทำให้เตือนขึ้นมาได้ ขณะนั้นคุณเสือเริ่มรู้สึกอึดอัด คิดว่าเขาน่าจะเข้ามาอยู่ในรถแล้ว และเสียงเตือนก็ยังคงดังต่อไปเรื่อย ๆ สิ่งที่คุณเสือทำคือชะลอรถและหันไปคาดเข็มขัดให้เบาะข้าง ๆ เพื่อทำให้เสียงสัญญาณเตือนหายไป หลังจากนั้น คุณเสือก็ขับรถต่อไปจนถึงบ้าน คุณเสือใช้วิธีลงจากรถแล้วรีบปิดประตู โดยไม่เรียกเขาลงมาด้วย เพราะคุณเสือมีความเชื่อว่า เรียกขึ้นมาแล้วก็ต้องเรียกลงในสถานที่เดิม วันรุ่งขึ้นหลังจากที่คุณเสือถึงสถานที่ถ่ายทำเดิม หลังจากที่จอดรถก็เปิดประตูรถทุกบานทิ้งไว้ และพูดเชิญให้เขาลงรถไป เพื่อหวังไว้ว่าคนที่นั่งเบาะข้าง ๆ จะหายไป..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก ขวัญ น้ำมันพราย 'ครูเอก' I อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ 10 ก.ย. 2567]

14 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจาก ขวัญ น้ำมันพราย 'ครูเอก' I อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ 10 ก.ย. 2567]

‘ขวัญ น้ำมันพราย’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ครูเอก’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณขวัญเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฟังมาจาก ‘พี่เอก’ ซึ่งเรื่องนี้ย้อนกลับไปประมาณ 20 - 30 ปีก่อน เป็นช่วงที่พี่เอกกำลังบรรจุเป็นครูที่โรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในภาคเหนือ พี่เอกนั้นจะมีรถส่วนตัวคันเก่า จึงใช้รถคันนั้นขับไปรายงานตัวที่โรงเรียน โดยเดินทางออกจากจังหวัดกาญจนบุรี สมัยนั้นยังไม่มี GPS จึงเกิดการหลง ทำให้เสียเวลาพอสมควร พี่เอกถามคนข้างทางไปเรื่อย แต่ละคนต่างบอกไม่เหมือนกันสักคน ทำให้ถึงโรงเรียนประมาณ 6 โมงเย็น เมื่อขับไปถึง ลักษณะประตูโรงเรียนจะเป็นประตูเลื่อนบานเดียว พี่เอกก็สงสัยว่าทำไมโรงเรียนถึงเงียบผิดปกติ จึงไปยืนดูหน้าประตู และเห็นว่าประตูสามารถเลื่อนได้ พี่เอกจึงเลื่อนประตูแล้วขับรถเข้าไป เมื่อขับเข้าไป ก็เห็นสนามบอลอยู่ตรงกลางของโรงเรียน พี่เอกขับเข้าไปอยู่ฝั่งซ้ายของสนามบอล และหลังสนามฟุตบอลจะมีอาคารไม้สูงสองชั้น มีบันไดอยู่ 3 ขั้นเพื่อขึ้นชั้น 1 และมีทางเข้าออกซ้ายขวา ซึ่งพี่เอกไปจอดอยู่ฝั่งซ้ายของสนามบอลที่มีโรงอาหารเก่า ๆ อยู่ด้านข้าง เมื่อจอดรถเสร็จ พี่เอกก็รู้สึกสงสัย เพราะปกติแล้วโรงเรียนประถมควรจะคึกครื้นกว่านี้ แต่โรงเรียนนี้กลับเงียบผิดปกติ พี่เอกมองหาคนเพื่อสอบถาม แต่มองไปมองมาก็เห็นอาคารเล็ก ๆ เหมือนบ้านชั้นเดียวที่อยู่ข้างตึกเรียน จู่ ๆ บ้านหลังนั้นก็เปิดประตูมา แล้วก็มีคนเดินอกมาจากบ้านหลังนั้นพร้อมลากของออกมาหน้าบ้าน พี่เอกจึงเดินผ่านตึกเรียนไปที่บ้านหลังนั้น ก็เห็นว่าเป็นคุณลุงใส่เสื้อเก่า ๆ พี่เอกจึงตะโกนเรียกคุณลุง คุณลุงหยุดการกระทำแล้วหันมามองพี่เอก แล้วถามว่า “คุณเป็นใคร” พี่เอกจึงตอบว่า “ผมเป็นครูใหม่ที่จะมารายงานตัวครับ” คุณลุงถามว่า “ทำไมมาเวลานี้ ผอ.ก็รอจนกลับไปแล้ว” พี่เอกรีบอธิบายว่าตนหลงทาง คุณลุงจึงให้กุญแจบ้านพักครูที่อยู่บริเวณหลังที่พี่เอกจอดรถ และให้ไปห้องที่ไม่ได้ล็อกกุญแจ เมื่อพี่เอกไปถึง ก็เห็นว่าทั้ง 2 ห้องดันล็อคกุญแจอยู่ พี่เอกจึงลองไขดูถึงได้รู้ว่าเป็นห้องไหน จากนั้นก็เอาของเข้าไปเก็บ เมื่อเก็บของเสร็จ พี่เอกก็คิดจะขับรถเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อหาของกิน ในตอนที่ออกจากห้องก็ยังเห็นคุณลุงขนของอยู่ พี่เอกจึงทักทายทำความรู้จักกับคุณลุง ได้ความมาว่าคุณลุงชื่อ ‘สังเวียน’ และคุณลุงยังบอกให้พี่เอกรีบไปรีบกลับอย่ากลับดึกมาก หลังจากทักทายกันเสร็จ พี่เอกก็ขอตัวออกไปหาอะไรกินในหมู่บ้านตามแผน คนในละแวกนั้นไม่เคยเห็นหน้าจึงถามว่าเป็นใคร พี่เอกก็บอกว่าเป็นครูคนใหม่ของโรงเรียน เมื่อกลับไปถึงโรงเรียนพี่เอกก็แปลกใจว่า ‘ทำไมไม่มีไฟสักดวง’ แต่ก็กลับไปที่ห้องพักแล้วกินข้าวที่ซื้อมา จากนั้นก็อาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวนอน แต่พี่เอกรู้สึกไม่คุ้นที่จึงออกมาเดินเล่น ในขณะที่เดินเล่นก็มีเสียง โครม! ดังมาจากอีกฝั่งของสนามบอล ก็คือหน้าห้องของลุงสังเวียน และก็เห็นว่าลุงสังเวียนเปิดประตูออกมาพร้อมถือไม้กวาดกับถังใส่ของ เมื่อเห็นว่าลุงสังเวียนไม่ได้เป็นอะไร พี่เอกก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ และมองไปที่อาคารไม้พร้อมกับชื่นชมตัวอาคารเพราะมันสวยดี แต่เมื่อแหงนมองไปชั้น 2 ก็แปลกใจกับสิ่งที่เห็น เพราะเห็นนักเรียนยืนเอามือท้าวขอบระเบียงอยู่บนระเบียง พี่เอกจึงตะโกนถามว่าเป็นใคร เด็กคนนั้นหันมามองพี่เอกแล้วยิ้มให้แต่ก็ไม่พูดอะไรแล้วก็วิ่งหายไปในความมืด พี่เอกจึงกลับไปที่ห้องพักเพื่อเอาไฟฉายแล้ววิ่งตามไป แต่จังหวะที่กำลังขึ้นไปไฟฉายดันดับ สักพักได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ พี่เอกก็หันไปดูพร้อมหันไปฉายไปและไปฉายก็ติดพอดี เห็นหัวเด็กอยู่ตรงพื้นบันไดชั้น 2 ลักษณะเหมือนนอนละเอาหัวโผล่มา แล้วเด็กคนนั้นก็ลุกแล้วก็วิ่งย้อนไปอีกฝั่งนึง! พี่เอกก็วิ่งตามไปแต่ก็หาไม่เจอ จนไปถึงห้องสุดท้ายก็เปิดประตูเข้าไปก็ไม่มีอะไร ในระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงเท้าพี่เอกจึงหันกลับไปดูแต่ก็ไม่มีอะไร พี่เอกเริ่มกลัวแล้วก็ตัดสินใจกลับห้อง แต่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตามหลัง พี่เอกเลยหันไปดู สิ่งที่เห็นคือเด็กวิ่งเข้ามาใส่ พี่เอกตกในจนเสียหลัก พอตั้งหลักได้เด็กคนนั้นกลับไปยืนอยู่กลางอาคาร พี่เอกจึงถามว่าเป็นใคร เด็กคนนั้นก็หายเข้าไปในห้องเรียน พี่เอกก็ตามเด็กไปอีก พี่เอกเปิดประตูเข้าไปเห็นเด็กอยู่ตรงหน้าต่าง พี่เอกก็เรียกให้เด็กคนนั้นมาคุย แต่สิ่งที่เห็นคือเด็กกระโดดลงหน้าต่างไป! พี่เอกรีบวิ่งไปดูแต่ก็ว่างเปล่า จากนั้นก็รู้ตัวแล้วว่าตนโดนผีหลอกจึงตัดสินใจวิ่งลงบันไดจะกลับห้อง ก็ได้ยินเสียง โครม! อีกครั้ง ดังมาจากบ้านลุงสังเวียน แล้วก็เห็นประตูบ้านของลุงสังเวียนเปิด จากนั้นพี่เอกก็เห็นว่ามีมือและหน้าเด็กโผล่ออกมา ซึ่งก็คือเด็กคนนั้นแล้วชี้เข้าไปในบ้าน พี่เอกจึงเดินไปหา แต่ก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินบนอาคารเมื่อหันไปก็ไม่มีใคร พอถึงหน้าบ้านลุงสังเวียน พอเข้าไปบรรยากาศในบ้านมีของวางเต็มไปหมด และมีห้องที่ปิดประตูอยู่ พี่เอกจึงตะโกนถามว่า “ลุงอยู่ไหม เป็นอะไรรึเปล่า” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ พี่เอกจึงเดินไปที่ห้องนั้น และเปิดประตูเข้าไปจนเตะเข้ากับขวดเหล้าขาวเต็มไปหมด พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นลุงสังเวียนแขวนคอตายลิ้นจุกปาก พอตั้งสติได้ก็วิ่งออกจากห้องลุงสังเวียน แล้วก็เอากุญแจรถที่ห้อง เมื่อจะขึ้นรถ จู่ ๆ ก็มีรถหลายคันขับเข้ามา แล้วถามพี่เอกว่าเป็นใคร ตนก็รีบอธิบายว่าเป็นครูคนใหม่ของโรงเรียนนี้ ซึ่งคนที่ถามคือครูเวรที่ไปตามตำรวจมา แล้วตำรวจก็พาเดินไปหน้าห้องลุงสังเวียน เพื่อชันสูตร แต่พี่เอกก็ต้องขนลุกเมื่อมองไปที่รูปภาพข้างเตียงของลุงสังเวียนเป็นเด็กคนนั้นที่มีคำว่าชาตะมรณะ ที่ตายยังไม่ถึง 1 อาทิตย์! และได้ความจากครูเวรว่าลุงสังเวียนเป็นปู่ของเด็กคนนี้ เด็กคนนี้พ่อแม่ทิ้ง ลุงสังเวียนจึงเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้ ซึ่งสาเหตุการตายของเด็กคนนี้คือเล่นกับเพื่อนแล้วผลัดตกหน้าต่างไปแปลงผักที่มีไม้ไผ่เสียบอยู่ ซึ่งเด็กคนนี้ตกลงไปแล้วคอเสียบไม่ไผ่ตายคาที่ และวันนี้ครูเวรก็สงสัยว่าทำไมไม่เห็นลุงสังเวียน ก็ได้พบว่าลุงสังเวียนฆ่าตัวตาย เมื่อครูเอกได้รู้เรื่องราวก็เลือกที่จะไปเช่าบ้านอยู่นอกโรงเรียนแทน..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เบ็คกี้ รีเบคก้า เล่าเรื่อง ‘นาฎศิลป์ โรงเรียนไทย’ l อังคารคลุมโปง X เบคกี้ - พิม [8 เม.ย 2568]

12 เม.ย. 2025

เบ็คกี้ รีเบคก้า เล่าเรื่อง ‘นาฎศิลป์ โรงเรียนไทย’ l อังคารคลุมโปง X เบคกี้ - พิม [8 เม.ย 2568]

‘เบคกี้ เเพทรีเซีย’ มาเล่าเรื่องสุดหลอนใน ‘อังคารคลุมโปง X (4 มีนาคม 2568) พร้อมกับ 2 ดีเจ อย่าง ’ดีเจเเนน’ เเละ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องมีชื่อว่า ‘นาฏศิลป์ โรงเรียนไทย’ ที่ทำเอาขนหัวลุกกับเหตุการณ์เเปลก ๆ ที่เกิดขึ้นภายในห้องนั้น จนทำให้เกิดความสงสัยว่า มีอะไร อยู่ภายในห้องนาฏศิลป์เเห่งนี้กันแน่? เบคกี้ได้เล่าว่า ในตอนที่ตนได้เรียนที่โรงเรียนไทยเเห่งหนึ่ง ในเเผนการเรียนนั้น ตนจำเป็นต้องเรียนวิชานาฏศิลป์ ตัวของคุณเบคกี้ไม่ถนัดวิชานี้จึงทำให้สอบไม่ผ่าน เป็นเหตุให้ต้องสอบเเก้ใหม่อีกครั้ง โรงเรียนที่คุณเบคกี้เรียน เป็นโรงเรียนประจำ โดยการซ้อมนาฏศิลป์เพื่อที่จะสอบเเก้ ก็มีเวลาที่จะสามารถซ้อมได้เเค่ตอนกลางคืน ส่วนห้องนาฏศิลป์นี้อยู่ที่ชั้นบนสุดของตัวอาคารเรียน จำเป็นที่จะต้องเดินบันไดขึ้นไป ในคืนเเรกที่คุณเบคกี้ซ้อม ขณะที่ซ้อมอยู่ได้สักครู่หนึ่ง ประตูของห้องนาฏศิลป์ก็ได้เปิดออกเอง ในใจตอนนั้นคุณเบคกี้คิดเเค่ว่า อาจจะเป็นเพราะลมพัดทำให้ประตูเปิดออก จึงไม่ได้สนใจในเหตุการณ์นี้มากเเละซ้อมต่อไป คืนถัดมา ความน่ากลัวก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเพราะขณะที่คุณเบคกี้ซ้อมอยู่นั้น ทุกครั้งที่คุณเบคกี้มองไปที่หุ่นนาฏศิลป์ภายในห้องซ้อม หุ่นตัวนั้นได้มีการเปลี่ยนตำเเหน่งที่ตั้งทุกครั้งราวกับว่าหุ่นตัวนั้นเคลื่อนไหวได้เอง นอกจากนี้โรงเรียนนี้ยังมีความเก่าเเก่ ทำให้รู้สึกว่าห้องซ้อมนี้ต้องมีบางอย่างที่ไม่ปกติเเน่นอน เเละนั่นเป็นเหตุการณ์ครั้งสุดท้ายที่คุณเบคกี้ได้ขึ้นมาใช้ห้องซ้อมรำในโรงเรียนนี้..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณนุ๊ก ‘อดีตที่ตามหลอกหลอน’ I อังคารคลุมโปง X เป้ MVL [ 16 ก.ค. 2567]

22 ก.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณนุ๊ก ‘อดีตที่ตามหลอกหลอน’ I อังคารคลุมโปง X เป้ MVL [ 16 ก.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ’คุณนุ้ก’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (16 กรกฎาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘อดีตที่ตามหลอกหลอน’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! คุณนุ้กมีอาชีพเป็นหมอดู มีลูกดวงท่านหนึ่งสมมุติว่าชื่อ ‘เจฟ’ ระหว่างที่ดูดวงอยู่ เขาดูเหมือนกับว่ามีปัญหากวนใจอยู่ แต่ไม่กล้าพูด อยากเล่าก็ไม่กล้าเล่า แต่ก็เร่งเร้าจะดู พอถึงเวลาดู เขาถามว่าดวงเขาเป็นยังไงบ้าง คุณนุ้กตอบกลับไปว่า ”ไม่ค่อยโอเค ความรัก การเงิน การงาน มีปัญหา” คุณเจฟจึงบอกว่า “ผมดูให้ตัวเองแล้ว ความรักดวงตก แต่เรื่องอื่นไม่มีปัญหาเลย” คุณนุ้กจึงคิดในใจว่า ‘ทำไมถึงมาดูกับเรา’ แล้วคุณเจฟยังบอกว่า “มันแปลก คือผมต้องไม่ดีแค่เรื่องความรัก ผมราศีนี้ ยังไงเรื่องงานเรื่องเงินก็รุ่ง แต่ดวงผมร่วงหมดตั้งแต่เดือนกุมภา คนรักนอกใจ ผมเคยขายพระเครื่องรายได้อาทิตย์ละ 5,000-10,000 บาท แต่ตอนนี้ไม่มีเลย ร้านอาหารที่ผมเปิด ก็เจ๊งอีก ส่วนเรื่องเงินไม่ต้องพูดถึงเลย“ คุณนุ้กก็คิดว่าทำไมชีวิตเป็นแบบนี้ พอดูดวงไปสักพัก ก็เห็นภาพในหัวระหว่างเปิดไพ่ เป็นเหมือนผู้หญิงจะมาเอาวิญญาณคุณเจฟ จึงถามคุณเจฟว่ามีใครตามไหม คุณเจฟบอกว่าเขาก็รู้ตัว แต่ที่โทรมาดูดวงเพราะอยากให้มีคนช่วยคอนเฟิร์ม คุณนุ้กบอกไปว่าเห็นเรื่องในอดีตที่ไม่ใช่ภพนี้ คุณเจฟเคยเป็นสามีของผู้หญิงคนนี้ แต่มีเรื่องมือที่ 3 แล้วฆ่าผู้หญิงคนนี้ ซึ่งผู้หญิงคนนี้ตั้งใจตามมาเอาชีวิตคุณเจฟ พอเปิดไพ่ไปอีก ก็มีไพ่ที่บอกว่า มีคนขอให้ไว้ชีวิตคุณเจฟ คุณเจฟจึงเล่าว่า “จริง ๆ ก่อนมาหาพี่ ผมไปมาทุกสำนักแล้วทำมาทุกอย่าง ไม่เกิน 3 วันดวงก็ตกเหมือนเดิม จนไม่นานมานี้ไปวัดชื่อดังแห่งหนึ่ง ได้เจอหลวงพี่ที่เป็นพระดัง ท่านเดินเข้ามาหาแล้วทักว่า โยมจะต้องบวชนะ บวชแล้วดีขึ้น” คุณนุ้กจึงคิดว่าน่าจะเป็นพระรูปนี้ที่ขอบิณฑบาต เหมือนให้บวชเพื่อไม่ถึงเเก่ชีวิต จากนั้นคุณนุ้กก็ให้เลขบัญชีของพระตามวัดที่คัดมาแล้วว่าปฏิบัติธรรมจริง ให้คุณเจฟทำบุญบวชพระทุกวัน วันละ 1 บาท พอครบ 7 วันให้มาบอก หลังจากนั้นไม่นานก็มีข้อความเข้ามาหาตนว่า “พี่ ผมเจอแล้วนะ“ แล้วก็เล่าว่า ”ผมทำบุญตามที่พี่บอก จนวันหนึ่งผมไปนวด ในร้านก็จะมีไฟสลัวส่องหน้าคนนวด ผมเห็นหน้าคนนวด ปรากฎว่าไม่ใช่หน้าคน มันเป็นหน้าดำ ๆ มืดสนิทที่มองผมอยู่“ พอฟังเสร็จคุณนุ้กก็เปิดไพ่ ณ ตอนนั้นปรากฎว่า มันดีขึ้น การเงินไม่ขัดแล้ว แต่ความรักยังขัดอยู่ คุณเจฟก็ตอบว่า “ใช่ครับพี่ ผมทำตามพี่ไม่ถึง 7 วันเลย ได้เงินมา 1 แสนละ ตอนนี้กำลังรอบวช“ คุณนุ้กจึงบอกให้ทำบุญไปจนกว่าจะบวช จนล่าสุดก่อนที่จะมาเล่าในรายการได้ทักไปถามคุณเจฟ เขาก็บอกว่า ”บวชอยู่ครับตอนนี้ ได้บวชแล้ว“ ตั้งแต่ที่เขาดูดวงจนบวช ใช้เวลาไม่ถึงเดือนเป็นไปตามที่คุณนุ้กเปิดไพ่ว่า “ถ้าบวช ยังไงก็รอด”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1