เรื่องเล่าจากส้ม มัลนิการ์ ‘ตายตกตามกัน’ I อังคารคลุมโปง X ส้ม มัลนิการ์ คนตาทิพย์ [ 11 มิ.ย. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากส้ม มัลนิการ์ ‘ตายตกตามกัน’ I อังคารคลุมโปง X ส้ม มัลนิการ์ คนตาทิพย์ [ 11 มิ.ย. 2567]

15 มิ.ย. 2024

       ที่นาหนึ่งผืนที่นำพาความตายมาให้ทั้งตระกูล แถมยังต้องมาเจอสิ่งแปลก ๆ ที่พร้อมจะมาเอาชีวิตทุกเมื่อ เรื่องราวนี้ ‘คุณส้ม’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (11 มิถุนายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ตายตกตามกัน’ จะชวนหลอนจนขนหัวลุกขนาดไหนนั้นไปอ่านกันได้เลย!

       คุณส้มเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เกิดขึ้นหลังจากคุณส้มกลับมาทำ The sixth sense เป็นเคสที่คุณส้มต้องเข้าไปสื่อสารและช่วยแก้ไขปัญหาให้กับบ้าน 5 หลัง ซึ่งบ้านทั้ง 5 หลังนี้มีความเชื่อมโยงกันทั้งหมด เพราะมีคนเสียชีวิตไป 2 หลัง หลังที่ 3 กำลังนอนรอความตาย หลังที่ 4 มีสัญญาณบ่งบอกว่าจะเป็นรายต่อไป และหลังที่ 5 คือบ้านร้าง

       เมื่อไปถึงสถานที่ ในระหว่างที่พักกอง คุณส้มกำลังนั่งกินข้าวอยู่ จู่ ๆ ก็เห็นคุณยายคนหนึ่งที่รู้ว่าไม่ใช่คนแน่ ๆ เป็นวิญญาณยืนใส่เสื้อสีชมพูบานเย็น กางเกงคลุมเข่า คุณส้มก็รู้สึกงงว่า ‘เขาเป็นใคร?’ เพราะเขามายืนยิ้มด้วยท่าทางใจดี แต่ตัวคุณส้มเองรู้สึกได้ว่าคุณยายคนนี้เหมือนกำลังโดนอะไรบางอย่างครอบงำแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป 

       เมื่อถึงเวลาถ่ายทำ ทางโปรดิวเซอร์ก็ได้ถามว่าคุณส้มว่า

       “เห็นอะไรบ้าง”

       คุณส้มจึงเล่าสิ่งที่เห็นออกไปและพาไปยังจุดที่เจอ แต่เมื่อไปถึงคุณส้มกลับเห็นเพิ่มอีกหนึ่งคน เป็นผู้หญิงใส่เสื้อคอกลมสีขาว มัดผมรวบต่ำ กำลังยืนร้องไห้อยู่ และยืนไม่ห่างกันมากกับคุณยายคนแรก ซึ่งคุณยายเสื้อสีชมพูบานเย็นได้ตะโกนออกมาว่า

       “อย่าเข้ามา เอามันออกไป”

       คุณส้มก็รู้สึกว่างงว่าต้องการให้เอาใครออกไป คุณยายคนนั้นจึงชี้ไปที่ ‘ป้าอ้อน’ ป้าเจ้าของเคสนี้ คุณส้มจึงถามกลับไปว่า “เกิดอะไรขึ้น”

       คุณยายตอบกลับมาว่า “มันอยู่ในนี้ ๆ”

       ซึ่งสถานที่ที่คุณส้มอยู่คือบ้านร้างที่เป็นหนึ่งในบ้านทั้งหมด 5 หลังของเคสนี้ ทันทีที่คุณยายพูดจบ คุณส้มก็ได้ยินเสียงผู้ชายหวีดร้องเหมือนสัตว์ประหลาดดังออกมาจากบ้านร้าง! คุณส้มจะเดินไปดูที่บ้านร้างหลังนี้ แต่โดนโปรดิวเซอร์ดึงแขนไว้ และบอกว่า

       “อันตราย อย่าไป พี่รู้เรื่องราวของบ้านหลังนี้”

       แต่โปรดิวเซอร์ก็ไม่ได้เล่าให้คุณส้มฟัง คุณส้มจึงบอกว่า “ส้มไม่กลัวนะ”

       แต่คุณโปรดิวเซอร์ก็ยังห้าม คุณส้มจึงเริ่มเอะใจว่าเกิดอะไรขึ้น และรู้สึกว่าต้องไม่ใช่ผีธรรมดา 

       หลังจากนั้นคุณส้มได้อธิบายรูปร่างและลักษณะของวิญญาณที่เห็นให้เจ้าของบ้านฟัง และถามว่ามีใครที่ลักษณะแบบนี้เคยอยู่บ้านหลังนี้ หรือรู้จักไหม เจ้าของบ้านตอบกลับว่า

       “มีทั้งคู่เลย”

       คุณยายเสื้อสีชมพูบานเย็นคือแม่ของเจ้าของบ้านหลังกลางที่เสียชีวิตไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และอีกคนคือ ‘คุณหงส์’ เป็นป้าหรือน้าของเจ้าของบ้านซึ่งเสียชีวิตไปก่อนคุณแม่อีก และคนส่วนมากมักจะเห็นคุณยายมาในรูปแบบของตะขาบ เมื่อเจ้าของบ้านพูดเสร็จ อยู่ ๆ ก็มีตะขาบตัวใหญ่ไต่ขึ้นที่ขาของทีมงาน!

       และในส่วนของการเห็นวิญญาณ คุณส้มได้เล่าว่าวิญญาณที่กรีดร้องอยู่ในบ้านร้างได้วิ่งออกไปที่บ้านหลังกลาง ที่คุณยายเสื้อสีชมพูเสียชีวิต และวิญญาณตนนั้นก็หัวเราะ คุณส้มได้อธิบายถึงรูปร่างของวิญญาณตัวนั้นว่ามีลักษณะเหมือน ‘กอลลัม (Gollum)’ ตัวใหญ่ คุณส้มจึงเดินไปที่บ้านหลังกลางซึ่งเป็นบ้าน 2 ชั้นที่ข้างล่างเป็นปูนข้างบนเป็นไม้ คุณส้มเดินเข้าไปและรู้สึกถึงพลังงานที่เป็นผู้หญิงยืนอยู่กลางบ้านใส่สไบสีเขียว แต่เขายืนหันข้างแล้วหันคอมาทางคุณส้มทำให้ได้เห็นว่าหน้าของผู้หญิงคนนั้นเละจนจำเค้าโครงไม่ได้  แล้วเขาก็ได้มองไปที่ลูกชายของคุณยายเสื้อชมพูบานเย็น คุณส้มจึงถามพี่ผู้ชายว่า

       “ช่วงนี้การงานไม่ดีใช่มั้ย เพราะวิญญาณตนนี้เขาจะเอาเราไปให้ได้นะ”

       พี่ผู้ชายจึงตอบว่า “เมื่อไม่กี่วันมานี้ จะเอาให้ได้เลยใช่มั้ย”

       เพราะว่าพี่ผู้ชายคนนี้เค้าเจอเหตุการณ์ที่ไม้แหลมจากชั้น 2 ของบ้าน มันผุและจะตกมาทิ่มหัว แต่โชคดีที่วันนั้นตนรู้สึกแปลก ๆ เลยทำให้บังเอิญไปเห็นก่อนที่จะตกลงมา

       ซึ่งคุณส้มก็ได้สืบไปสืบมาจนได้ความว่า เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของพี่ผู้ชายคนนี้ ซึ่งคุณส้มก็สงสัยว่าทำไมวิญญาณตนถึงอยู่ได้อิสระทั้ง ๆ ที่บ้านหลังนี้มีเจ้าที่ คุณส้มจึงไปที่ศาลพระภูมิจุดแรกแต่ปรากฏว่าไม่มีเจ้าที่อยู่เลย ทำให้ชัดเจนแล้วว่าไม่มีอะไรป้องกัน และวิญญาณทั่วไปสามารถมาทำร้ายคนในบ้านได้ 

       คุณส้มกลับมาสืบต่อเรื่องที่ทำไมคุณยายเสื้อชมพูกับคุณป้าเสื้อขาวถึงตายติดต่อกัน และยังมีเรื่องที่แฟนคุณยายเสื้อชมพูตายก่อนคุณยายอีก 2 ปี คุณส้มจึงรู้สึกว่ามีอะไรมากกว่าวิญญาณ เพราะคุณส้มรู้สึกว่าสิ่งที่วิ่งไปวิ่งมาตามบ้านต่าง ๆ เหมือนคุณไสย์มากกว่า

       โปรดิวเซอร์จึงพาคุณส้มไปบ้านที่เก่าแก่ที่สุดในบ้าน 5 หลังนี้ เมื่อถึงหน้าบ้านทางโปรดิวเซอร์ได้ถามว่าคุณส้มเห็นอะไรหรือไม่ คุณส้มตอบว่า

       “เห็นผู้หญิงแก่ผมขาวทั้งหัว ดูใจดีเดินออกมาและเรียกให้เข้าบ้าน”

       ป้าอ้อนตอบกลับมาว่า “นี่คือแม่”

       คุณส้มจึงเข้าไปพิสูจน์ ที่แรกที่ไปคือใต้ถุนบ้าน สิ่งที่คุณส้มเจอเป็นอันดับแรกคืออัฐิคนตายจำนวนมากตั้งข้างหิ้งพระ ซึ่งหิ้งพระวางอยู่ที่พื้นบ้าน และมีอัฐิที่อยู่ตรงกลางหนึ่งอันที่ทำให้คุณส้มรู้สึกว่าผู้หญิงที่เรียกเข้าบ้านเค้าตั้งใจให้มาที่อัฐินี้ คุณส้มจึงเดินไปใกล้ ๆ และเห็นรูปภาพที่เป็นคน ๆ เดียวกับคนที่เรียกคุณส้มเข้าบ้านซึ่งเป็นแม่ป้าอ้อน และวิญญาณที่เป็นแม่ป้าอ้อนพูดว่า

       “พวกมันอยากได้ แต่พวกมันไม่ได้หรอก มันเลยทำสิ่งไม่ดีใส่บ้านนี้”

       พูดราวกับว่ามีประเด็นกับใครสักคนหนึ่ง.. 

       ในระหว่างที่จะสืบกันต่อ โปรดิวเซอร์ได้ท้าทายกับวิญญาณที่วิ่งไปวิ่งมาเหมือนกอลลัมว่า

       “ถ้ามีฤทธิ์จริงก็แสดงให้เห็น หรือได้ยินก็ได้”

       และเมื่อทีมงานทุกคนกำลังจะเดินออกจากบ้านก็ได้ยินเสียงคนวิ่งจากมุมหนึ่งไปอีกมุมหนึ่งทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีใครอยู่บนชั้น 2 คุณส้มจึงออกมาจากห้องที่อยู่ชั้นล่างและเดินไปที่ชั้น 2 เมื่อขึ้นไปก็ไม่เห็นมีสิ่งชีวิตอยู่เลย สิ่งแรกที่คุณส้มเห็นคือวิญญาณที่วิ่งไปวิ่งมากำลังยืนหัวเราะเหมือนสะใจที่หลอกให้คุณส้มขึ้นมาได้ และพูดออกมาคำหนึ่งว่า

       “ก็เค้าขอดี ๆ แล้วพวกมึงไม่ให้เอง”

       ซึ่งตรงกับสิ่งที่คุณแม่ป้าอ้อนพูดมา ทีมงานจึงเรียกป้าอ้อนขึ้นมาและถามไปว่าเคยมีใครขออะไรแล้วเราไม่ให้มั้ยเพราะของถูกส่งมาจากฝั่งนั้น ป้าอ้อนตอบว่า

       “มี เป็นที่นาของพ่อที่ใช้วัวแลกกับป้ามา”

       ซึ่งป้าอ้อนได้ขายที่นาตรงนั้นไปและได้เงินมาก้อนหนึ่ง แล้วลูกหลานฝั่งป้าที่เคยเป็นเจ้าของที่นามาขอแบ่งเงิน แต่ป้าอ้อนไม่ให้เพราะว่าก็แลกวัวกับที่นาไปแล้ว จึงทำให้มีข้อพิพาทกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และป้าอ้อนไปได้ยินบุคคลที่ 3 เล่าให้ป้าอ้อนฟังว่าบ้านที่มาขอเงินสาปแช่งบ้านป้าอ้อน และคนต่อไปคือป้าอ้อน ซึ่งเป็นสิ่งที่เค้าทำมานานและคนที่จะได้รับเคราะห์จะเป็นคนในบ้านหลังนี้เสมอ

       เมื่อไขปมตรงนี้ได้แล้วก็มีการทำพิธีไล่สิ่งไม่ดีออกไป..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เล่นดนตรีในผับแต่โดนล็อกตึกไม่ให้ออก! เล่นเสร็จพนง.ถึงบอกว่า เขาจ้างมาให้ผีฟัง!

04 พ.ค. 2024

เล่นดนตรีในผับแต่โดนล็อกตึกไม่ให้ออก! เล่นเสร็จพนง.ถึงบอกว่า เขาจ้างมาให้ผีฟัง!

เรื่องนี้ ‘พี่แจ๊ค The Ghost Radio’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (30 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘อีเว้นท์หลอน โรงแรมเฮี้ยน’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เรื่องนี้พี่แจ๊คได้ฟังมาจาก ‘คุณโบนัส’ โดยมีตัวละครในเรื่องคือน้องที่เป็นดีเจ ชื่อว่า ‘ตั้ม’ และวงดนตรีวงหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว มีอยู่วันหนึ่ง คุณตั้มโทรมาหาคุณโบนัสว่า “พี่ มีคนมาจ้างให้เราไปเล่นดนตรีในงานอีเว้นท์ แต่สถานที่จัดคือในผับที่จังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ พี่สนใจมั้ย งานคืนเดียว” คุณโบนัสก็คิดว่า ‘อย่างงี้ก็ดีเลยสิ งานคืนเดียว’ คุณโบนัสจึงตอบคุณตั้มไปว่า “โอเค คืนเดียวเอง” ทุกอย่างดูลงตัว เพราะในตอนนั้นตัวของคุณโบนัสเองก็อยู่ที่หัวหินซึ่งใกล้กับเส้นทางลงใต้พอดี แต่ก่อนจะงานนั้น คุณโบนัสก็ไปเช็คเพื่อความชัวร์กับวงดนตรีที่โดนจ้างงานเดียวกันว่า “มีงานนี้วันเดียวกันรึป่าว” เพราะกลัวโดนหลอก วงดนตรีวงนั้นก็ตอบว่า “ใช่ ๆ วันเดียวกันงานเดียวกันเลย” คุณโบนัสได้ยินก็รู้สึกสบายใจ จึงบอกกับนักดนตรีวงนั้นว่า “เดี๋ยว เจอกันที่นู่น” เมื่อวันงานมาถึง คุณโบนัสและคุณตั้มก็เริ่มออกเดินทางตั้งแต่เวลาประมาณบ่ายโมง ถึงสถานที่จัดงานประมาณ 4 - 5 โมงเย็น พอไปถึงจุดหมาย ทั้งสองเริ่มเอะใจ เพราะโดยปกติแล้ว สถานบันเทิงที่ขึ้นชื่อว่าผับ ถ้าไม่อยู่ติดริมถนน ก็ต้องอยู่ใจกลางเมือง แต่สถานที่แห่งนี้อยู่ไกลจากถนนและเข้าไปลึกมาก ยิ่งขับรถเข้าไปก็ยิ่งเหมือนอยู่ในชนบท สิ่งแรกที่มองเห็นหลังจากที่ขับเข้ามา คือ โรงแรมเก่า 10 ชั้น พอขับเลยโรงแรมไปเจออาคารพาณิชย์ตั้งอยู่ 3 ห้อง เป็นเหมือนกับร้านอาหาร ถัดจากอาคารพาณิชย์ คือสถานบันเทิงหรือผับ ลักษณะของผับนี้เป็นผับที่มีขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ เมื่อเห็นว่าสถานบันเทิงแห่งนี้คือสถานที่ที่จะต้องทำงานในคืนนี้ ก็หันไปเห็นเจ้าของผับที่กำลังจัดเตรียมงานอยู่ คุณโบนัสและคุณตั้มลงจากรถ จากนั้นก็เดินไปหาเจ้าของผับ แล้วพูดว่า “ผมขอเข้าไปข้างในเพื่อที่จะเตรียมตัว Sound check ก่อนที่จะเล่นจริง” เจ้าของผับก็อนุญาต เมื่อเข้าไปก็เห็นว่าบรรยากาศข้างในก็เหมือนกับผับทั่วไปที่มีโต๊ะวางเต็มไปหมด มีบูธดีเจอยู่ข้างหลัง ส่วนเวทีสำหรับนักดนตรีอยู่ข้างหน้า ตรงกลางเป็นพื้นที่สำหรับแขก จากนั้นทั้งสองก็เตรียมตัว Sound check เวลาผ่านไปสักพัก นักดนตรีก็เดินทางมาถึง ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 - 6 โมงเย็นแล้ว นักดนตรีทุกคนก็ขึ้นไปเตรียมตัวบนเวทีเพื่อที่จะทำการ Sound check ทั้งนักดนตรีและดีเจต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง ระหว่างที่คุณโบนัสกำลังทำการ Sound check คุณตั้มก็เดินมากระซิบคุณโบนัสว่า “พี่ว่ามันแปลก ๆ ป่ะวะ” คุณโบนัสถามกลับ “ทำไมอ่ะ” “พี่ดูดิโต๊ะเป็นร้อยเลย ทำไมพนักงานเสิร์ฟมันน้อยจังวะ” คุณตั้มพูด คุณโบนัสที่อยู่ข้างบนก็มองลงมาข้างล่าง เห็นว่ามีโต๊ะเป็นร้อยจริง ๆ แต่เห็นพนักงานเสิร์ฟประมาณ 5 คน ที่กำลังทำงานอยู่ คุณโบนัสก็พูดว่า “พนักงานคนอื่นมาทีหลังมั้ง เดี๋ยวก็คงจะมาสมทบกันอะไรอย่างงี้” แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากมีงานอีเว้นท์เช่นนี้ พนักงานทุกคนจะต้องมารวมตัวกันทั้งหมดเพื่อที่จะทำงาน ทั้งสองคุยกันจบก็แยกย้ายกันไปทำงานในส่วนของตนจนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็เดินออกมาข้างนอก แล้วเจ้าของก็เดินมาบอกว่า “เดี๋ยวไปพักโรงแรมที่ขับผ่านมาได้เลย ที่เป็นตึก 10 ชั้น” คุณโบนัสก็บอกว่า “โอ้ววว ดีจังเลยใกล้ ๆ” ตัวคุณโบนัสกับคุณตั้มจึงออกจากสถานที่จัดงานมาที่โรงแรม พอถึงก็เช็คอิน ซึ่งบรรยากาศในโรงแรมค่อนข้างที่จะเงียบเหงา แต่สภาพของโรงแรมแห่งนี้ถือว่าดูดีเลยทีเดียว คุณโบนัสเดินเข้าไป แล้วบอกกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ว่า “ถูกจองไว้แล้วโดย เจ้าของผับนี้” พนักงานยื่นกุญแจห้องให้ แล้วบอกว่า “พี่เลือกห้องเลย” ตัวเลขที่ปรากฏบนกุญแจนั้นขึ้นต้นด้วยเลข 6 ทุกอัน คุณโบนัสจึงถามไปว่า “อยู่ชั้น 6 ใช่มั้ย” พนักงานตอบกลับไปว่า “ใช่” คุณโบนัสจึงเลือกห้อง 602 ที่เป็นห้องต้น ๆ พอเลือกห้องรับกุญแจเสร็จ ก็เตรียมกระเป๋าจะขึ้นไปที่ห้องที่ตัวเองเลือกไว้ แต่พนักงานก็บอกว่า “พี่กดลิฟต์แล้วขึ้นไปชั้น 6 เลยนะพี่ ไม่ต้องแวะชั้นไหนนะ” คุณโบนัสก็ตอบไปว่า “จะให้แวะชั้นไหนล่ะ” พนักงานตอบว่า “อ้อ ชั้น 4 เนี่ย มันมีสระว่ายน้ำ มีฟิตเนสพี่ไม่ต้องแวะนะ พี่ขึ้นไปก่อนเลย” คุณโบนัสกับคุณตั้มก็ทำตามที่พนักงานบอก ขึ้นลิฟต์มาถึงชั้น 6 พอลิฟต์เปิด ก็เห็นว่าสภาพทางเดินดูเก่า ส่วนพรมที่ปูอยู่ก็มีกลิ่นเหม็นอับ ส่วนห้อง 602 ก็แปลก ลักษณะของโรงแรมนี้มีสองฝั่ง เป็นฝั่งคี่กับฝั่งคู่ ถ้าห้อง 601 อยู่ฝั่งนี้ ห้อง 602 ก็จะอยู่ตรงข้าม แต่ห้อง 602 ดันอยู่ประตูถัดไป ประตูห้องที่ควรจะเป็นห้อง 602 ก็เหมือนมีการย้ายตัวเลข คุณโบนัสคิดว่า อาจจะเป็นห้องเก็บของ ก็ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเดินมาถึงหน้าห้อง 602 ก็เข้าไปพักผ่อนเล่นเกมในห้อง หลังจากนั้นนักดนตรีก็เดินขึ้นมาหาที่ห้อง แล้วถามว่า “ทำไมไม่อยู่ห้องแรกวะ” เพราะนักดนตรีนึกว่ามาก่อนก็จะได้อยู่ห้องแรก คุณโบนัสจึงบอกไปว่า “เนี่ยห้องแรก ไอห้องนั้นมันน่าจะเป็นห้องเก็บของ” ระหว่างนั้นเขาก็นั่งเล่นเกมนั่งพักผ่อนไปเรื่อย ๆ แล้วก็เดินไปเปิดม่านดูวิวรอบ ๆ โรงแรม ก็เห็นว่า ชั้น 4 เป็นสระว่ายน้ำ จึงคิดว่าหลังจากเล่นดนตรีเสร็จก็จะมาเล่นน้ำต่อ จนกระทั่งเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ประมาณ 3 ทุ่ม ใกล้เวลาที่จะต้องทำงานแล้ว คุณโบนัสและคุณตั้มจึงเตรียมตัวออกจากโรงแรม หลังจากออกจากโรงแรม คุณโบนัสกับคุณตั้มก็เดินทางไปที่ผับ สิ่งแรกที่คิดขึ้นมาคือ ‘ทำไมมันมืดจัง ไฟหน้าผับทำไมถึงไม่เปิด แต่ไฟที่อยู่ในตัวตึกอ่ะเปิด มีพีอาร์ งานทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย แต่ไฟป้ายไม่เปิด’ คุณโบนัสจึงเดินเข้าไปถามพีอาร์ว่า “ทำไมมันดูมืดๆ” พีอาร์ตอบว่า “อ้อ ไฟป้ายเขาเปิดเป็นเวลาพี่ ไม่มีไรหรอก เดี๋ยวถึงเวลาเขาก็เปิดเอง” คุณโบนัสจึงพูดแซวไปว่า “พี่ไม่ได้มาผิดงานผิดวันแน่นะ’’ พีอาร์ตอบว่า “ไม่ผิดหรอกพี่ เนี่ยแขกมากันแล้ว” จากนั้น คุณโบนัสและคุณตั้มก็เดินเข้าไปข้างใน สิ่งที่เห็นภายในร้านก็คือ โต๊ะที่ถูกจัดไว้ ส่วนบริเวณรอบ ๆ มีเครื่องดื่มวางอยู่ แต่เป็นเครื่องเดิมที่ถูกเปิดฝาเอาไว้ แล้วก็มีอาหารวางอยู่ พร้อมให้กิน คุณโบนัสเห็นแบบนั้นก็พูดว่า “คนที่นี่เขาแปลกว่ะ บางโต๊ะยังไม่มีแขกเลย แต่เอาอาหารไปวางไว้” และอีกสิ่งหนึ่งที่เขาเห็นคือพนักงานก็ยังมีเท่าเดิมคือ 5 คน นอกจากนี้ คุณโบนัสยังสังเกตเห็นว่า บางโต๊ะที่มีอาหารวางอยู่มันก็มีคนนั่งอยู่จริง ๆ ตัวคุณโบนัสอยู่ข้างหลัง ก็เห็นแขกทุกคนนั่งหันหลังให้กับดีเจทั้งหมด เพราะหน้าต้องหันไปทางเวที ตัวคุณโบนัสเห็นว่าแขกก็มาแล้ว สักพักนักดนตรีก็มา และขึ้นไปเตรียมตัวบนเวที หลังจากนั้นคุณตั้มก็เดินมาถามคุณโบนัสว่า “พี่ พี่ว่ามันแปลก ๆ ป่ะวะ ปกติแล้ว เวลาเรามางานอะไรแบบนี้ มันต้องมีพนักงานของสถานบันเทิงอยู่กับเราด้วยสิ แต่นี่ไม่มีเจ้าหน้าที่จากทางผับมาดูแลพวกเราเลย มีแค่พวกเรากับนักดนตรีแค่นั้น” คุณโบนัสจึงให้คุณตั้มเดินออกไปถามข้างนอกว่า มีใครพอจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ได้บ้างหรือไม่ หลังจากที่คุณตั้มออกไป อยู่ดี ๆ เขาก็วิ่งมาหน้าตาตื่นแล้วพูดว่า “พี่! ออกไม่ได้ประตูล็อค! ไอประตูกระจกข้างหน้ามันล็อคแบบออกไม่ได้เลย” คุณโบนัสเดินไปดูที่ประตู ปรากฏว่ามันล็อคจริง ๆ คุณโบนัสรีบหยิบโทรหาเจ้าของทันที เมื่อเจ้าของรับสายก็ถามไปว่า “พี่ ทำไมถึงล็อคประตูอ่ะ” ปลายสายบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอกผมจ้างคุณมาเล่นคุณก็เล่นไป ถ้าคุณไม่เล่นผมฟ้อง แขกอยู่ข้างในแล้วคุณเล่นเลย” พอคุยกับเจ้าของเสร็จ คุณโบนัสก็หันกลับมามองภายใน เห็นว่ามีแขกนั่งอยู่ แต่พนักงานเสิร์ฟไม่มีสักคน บางโต๊ะก็เต็ม บางโต๊ะก็มีแค่ 2-3 คน จากนั้นก็สังเกตว่านักดนตรีกำลังเล่นดนตรีอยู่ แต่ทุกคนไม่มีอารมณ์ร่วมเลย นักดนตรีจึงเดินมาคุยกับคุณโบนัสว่า “เห้ย พี่ผมเล่นไม่ออกว่ะ” คุณโบนัสก็ถามว่า “ทำไมอ่ะ ก็มีแขกอยู่ก็เล่นได้หนิ” นักดนตรีตอบกลับว่า “พี่ ก็พี่อยู่ข้างหลัง พี่ไม่หรอก พี่ลองเดินไปดูข้างหน้าดิ แขกแต่ละคนนั่งแบบเหมือนไม่มีอารมณ์ร่วมอ่ะ เหมือนนั่งกันเฉย ๆ” คุณโบนัสบอก “ไม่เป็นไรโทรคุยกับเจ้าของแล้ว ถ้าเราไม่เล่นเขาจะฟ้อง เพราะเราเซ็นสัญญาไว้แล้ว” คุณโบนัสก็พูดอีกว่า “ผับนี้มันปิด ตี 1 เราเล่นแปปเดียว” เพราะตอนนั้นเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ก็ได้เวลาที่จะเล่น รวมเวลาเล่นก็ประมาณ 4 ชั่วโมง เวลาก็ผ่านไป บนเวทีส่งสัญญาณมา ตัวคุณโบนัสหลังจากดนตรีเล่นเสร็จก็รีบมาเป็นดีเจต่อ เปิดเพลงมาครึ่งชั่วโมง เล่นจนถึงตี 1 พอถึงตี 1 ประตูก็เปิด พนักงานยืนอยู่ข้างหน้า คุณโบนัสจึงเรียกพนักงานคนหนึ่งมาถามว่า “เห้ย มันเกิดไรขึ้นวะ เล่าให้ฟังหน่อย” พนักงานคนนี้ก็เล่าว่า “จริง ๆ แล้วมันเป็นอีเว้นท์จริง ๆ ซึ่งในอดีตผับนี้คนเที่ยวเยอะมากลูกค้าเยอะเลย เพราะมันเป็นผับที่ดังมาก ๆ ปรากฎว่าวันนึงมีคู่แข่งมาเปิดอีกทีนึง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่นี่ แล้วเขาว่ากันว่าคู่แข่งทำของใส่สถานที่แห่งนี้ ผับนี้เลยไม่มีคน ทางเจ้าของลงทุนไปเยอะไม่รู้ว่าจะทำยังไง มีคนแนะนำบอกลองวิธีนี้สิ เลี้ยงผี เลี้ยงผีในที่นี้คือเขาจะเอาตุ๊กตาไปวางที่รอบ ๆ บริเวณขอบ ๆ ที่ลูกค้ามองไม่เห็น แล้วก็ทุก ๆ เดือน ทุก ๆ ปี จะต้องจัดงานแบบนี้ขึ้นมาเพื่อเล่นดนตรีปาร์ตี้ให้กับผีที่เลี้ยงเอาไว้ แล้วแขกที่เห็นนั่นคือ ไม่ใช่คนนะ นั่นคือผี และเขาก็ไม่ให้ใครเข้าไม่ให้ใครออกระหว่างที่ทุกอย่างกำลังทำการแสดง พอถึงเวลาพนักงานทุกคนต้องออกมาจากร้าน แล้วคือสิ่งที่นั่นอยู่ในนั้นน่าจะเป็นผี ที่เขาเลี้ยงเอาไว้” หลังจากที่เล่นเสร็จแล้ว ก็กลับโรงแรมพร้อมกับนักดนตรี คุณตั้มและคุณโบนัสก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง พอกลับมาถึงห้อง ทุกคนก็แยกย้ายกันไปเก็บของที่ห้องของตัวเอง แต่ก็มีบางส่วนที่ออกมาสังสรรค์รวมกันที่ห้องของคุณโบนัส ในวงสังสรรค์นั้น คุณโบนัสนั่งคุยกับคุณตั้ม มีนักดนตรีบางคนที่บอกว่าจะไปเล่นน้ำก็ไปเล่นน้ำ แต่ก็มีนักดนตรีสองคนที่อยู่นั่งคุยกัน อยู่ดี ๆ นักดนตรีคนหนึ่งก็บ่นว่า “เมื่อยว่ะ เมื่อกี้ตอนขึ้นมาเห็นมีร้านนวดอยู่เดี๋ยวโทรไปข้างล่างให้ส่งหมอนวดขึ้นมานวด” จากนั้นนักดนตรีคนนี้ก็แยกตัวออกไปจากวงสนทนา แล้วก็มีนักดนตรีอีกคนที่นั่งอยู่กับคุณโบนัสระหว่างที่เล่นเกมและนั่งคุยกันอยู่ เขาพูดขึ้นว่า “เห้ยเดี๋ยวพี่ไปห้องแปปนึง ไปกินน้ำหน่อย” นักดนตรีคนนี้ก็เดินออกไปจากห้อง โดยที่ห้องของคุณโบนัสยังเปิดประตูทิ้งไว้ แต่พอเขาเดินออกไปแปปเดียว อยู่ ๆ ทุกคนในห้องก็ได้ยินเสียงวิ่ง ตึกๆๆๆๆ นั่นคือเสียงวิ่งของนักดนตรีที่วิ่งมาจากห้องตัวเอง แล้วก็ตะโกนร้องว่า “ช่วยด้วย ๆ ” แล้วก็วิ่งลงลิฟต์ไป! ทุกคนต่างก็งงกับสิ่งที่เกิดขึ้น สักพักนักดนตรีที่จ้างหมอนวดมานวดก็วิ่งมาจากห้อง ผ่านหน้าห้องคุณโบนัสแล้วก็วิ่งลงลิฟต์ไปอีกคน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้คุณโบนัสสงสัย แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะโรงแรมนี้ดูปกติทุกอย่าง จึงปิดประตูห้อง เพื่อเตรียมตัวเข้านอน และให้คุณตั้มไปอาบน้ำก่อน ตอนนั้นประมาณตี 4-5 ระหว่างนั้นคุณโบนัสก็นั่งเล่นรอคุณตั้มอาบน้ำอยู่บนเตียง จากนั้น 10 นาที คุณตั้มก็เปิดประตูห้องน้ำ เดินมาที่เตียงแล้วสะกิดขาคุณโบนัสแล้วพูดว่า “พี่ ๆ กลับเถอะ” คุณโบนัสตอบไปว่า “กลับบ้าไรพึ่งตี 5” “เออพี่เชื่อผม พี่กลับเถอะ” คุณตั้มบอก คุณโบนัสที่รู้สึกแปลกใจก็ตอบไปว่า “เออกลับก็ได้” ทั้งสองเดินไปที่ลิฟต์แล้วลงมาข้างล่าง ปรากฎว่ามาเจอเพื่อนสองคนที่เป็นนักดนตรีนั่งอยู่ข้างล่าง คุณโบนัสถามว่าเกิดไรขึ้น ทั้งสองคนก็เล่าให้ฟังว่า คนแรกที่บอกว่าไปเรียกหมอนวดบอกว่า มีหมอนวดมาจริง ๆ เป็นผู้หญิงใส่เดรทสีแดง ให้ตนนอนคว่ำหน้า แล้วผู้หญิงคนนี้ก็นวดอยู่ข้างหลัง สักพักเขาก็เห็นเพื่อนอีกคนที่บอกว่าจะมากินน้ำ เดินผ่านหน้าประตูห้องแล้วมองเข้ามาเพื่อนก็ตกใจ เพราะเห็นผู้หญิงชุดเดรทสีแดงนั่งนวดอยู่ที่หลังเพื่อน ผู้หญิงคนนี้มีลักษณะตัวเขียว ๆ ช้ำ ๆ เปียก ๆ กำลังนวดแล้วหันมายิ้มให้! เขาเลยวิ่งร้องตะโกนว่า “ช่วยด้วย ๆ” แล้ววิ่งลงไปข้างล่าง เพื่อนที่นวดก็ตกใจ เขาก็เลยหันไปมอง ปรากฏว่าเห็นเป็นภาพเดียวกัน คือเห็นผู้หญิงตัวอืดตัวเขียวอยู่ข้างหลัง! แล้วก็วิ่งออกมาโดยที่ผ่านหน้าห้องคุณโบนัส เมื่อทราบเรื่องจากเพื่อนนักดนตรีทั้งสอง คุณโบนัสก็ถามคุณตั้มต่อว่า “แล้วทำไมเราต้องรีบกลับวะ” คุณตั้มบอกว่า “ตอนที่ผมเข้าไปอาบน้ำ และอยู่ในอ่างอาบน้ำ ผมก็รูดม่านมาปิดครึ่งหนึ่ง แล้วอีกครึ่งหนึ่งมันก็จะมองเห็นชักโครก ปรากฎว่าตอนที่ผมกำลังอาบน้ำอยู่แล้วผมก็หันไปมองม่าน ผมว่าเห็นว่าเหมือนมีคนมานั่งอยู่บนชักโครก ตอนแรกผมนึกว่าพี่ ผมก็เลยมองเข้าไปดูด้วยตาเปล่า ปรากฎว่าคนที่นั่งอยู่ใครก็ไม่รู้ นั่งอยู่บนชักโครก ลักษณะคือผู้หญิงหรือผู้ชายเนี่ยแหล่ะ แต่สภาพไม่ค่อยดี พอเขาเห็นแล้ว เขาก็ปิดม่านแล้วลุกออกจากอ่างเลย แต่ผู้ชายผู้หญิงคนนั้นไม่อยู่แล้วนะ พอเห็นแบบนั้นผมก็รีบออกมาแล้วบอกให้กลับนี่แหล่ะ” นั่นคือสิ่งที่คุณตั้มเจอ ส่วนนักดนตรีบางส่วนที่บอกว่าจะไปเล่นน้ำ เขาก็วิ่งมาหาเพื่อน เพื่อนจึงถามว่า “ไปทำไรมาหัวแตก” เขาเล่าว่า “ตอนที่ลงไปชั้น 4 เพื่อที่จะไปเล่นน้ำ มีสาวฝรั่งคนหนึ่งที่อยู่ตรงสระน้ำ กำลังจะเล่นน้ำ พอเห็นสาวฝรั่งคนนั้นโดดน้ำ ก็เลยถอดเสื้อ ใส่กางเกงว่ายน้ำ โดดตามลงไป ปรากฎว่า น้ำไม่มีในสระ หัวก็ไปแทกกับขอบสระจนเลือดไหล พอมองดูอีกทีสาวฝรั่งคนนั้นก็ไม่มี” นี่คือสิ่งที่นักดนตรีอีกส่วนหนึ่งเจอมา คุณโบนัสอยากทราบที่มาที่ไปของเรื่องต่าง ๆ จึงถามพนักงานว่า “ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น” แล้วถามต่อว่า “ตอน ตี 2 ตี 3 เพื่อนพี่ลงมาทำไมไม่เจอน้อง” พนักงานจึงเล่าให้ฟังว่า “พี่ ตี 2 ตี 3 ใครจะกล้าอยู่ ไอผู้หญิงชุดเดรทสีแดงร้านนวดอ่ะ ตอนตี 2 ตี 3 เดินขึ้นผ่านหน้าผมทุกวัน” คุณโบนัสถามอีกว่า “เดินทุกวันแล้วทำไมอ่ะ” พนักงานตอบว่า “คือก่อนหน้านี้เขาเป็นพนักงานนวดจริง ๆ ก็มีต่างชาติ เรียกขึ้นไปให้นวดแล้วปรากฏว่า โดนต่างชาติทำมิดีมิร้าย ผู้หญิงคนนั้นก็สู้แต่สู้แรงไม่ไหว เลยถูกฆ่าตายในห้อง 602 คือห้องแรกที่ถูกปิดและช่วงตี 2 ตี 3 ที่เพื่อนพี่ลงมา ไม่มีใครนั่งอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์หรอก เพราะผู้หญิงคนนี้จะเดินผ่านเคาน์เตอร์แล้วขึ้นลิฟต์ไปทุกวัน ส่วนตรงสระน้ำ ก็มีต่างชาติฝรั่งผู้ชายจมน้ำตาย ผู้หญิงต่างชาติก็จมน้ำตาย“ สรุปแล้วที่โรงแรมนี้มี 3 ศพ และในห้องน้ำที่คุณตั้มเจอน่าจะเป็นฝรั่งผู้ชาย ที่เสียชีวิตก่อนหน้านี้จากการจมน้ำตาย เพราะแต่ละคนที่เจอคือมีลักษณะอืด บ่งบอกได้ชัดเจนว่าคือ 3 คน 3 ศพที่พนักงานเล่าให้ฟัง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณคิงส์ 'มะม่วงกวน' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [21 ม.ค. 2568]

25 ม.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณคิงส์ 'มะม่วงกวน' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [21 ม.ค. 2568]

เรื่องราวความเฮี้ยนนี้ มาจาก ‘คุณคิงส์’ สายแรกจากรายการ ‘อังคารคลุมโปง’ (21 มกราคม 2568) กับเรื่องราวของ ‘ป้านวล’ คนสวยประจำหมู่บ้าน ที่สำคัญคือทำมะม่วงกวนได้อร่อยที่หนึ่ง แต่แล้วกลับต้องพบจุดจบที่น่าเศร้า ที่ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถึงกับอ้าปากค้าง กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘มะม่วงกวน’ คุณคิงส์เล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 45 – 50 ปีก่อน เป็นเรื่องราวที่เล่าต่อกันมาจาก ‘คุณยายน้อย’ (คุณยายของคุณคิง) ตอนนั้น คุณยายอายุประมาณ 10 ขวบกว่า คุณยายได้เล่าว่าท่านรู้จักกับ ‘ป้านวล’ ซึ่งป้านวลเป็นคนที่มีหน้าตาสวย กิริยามารยาทดี และที่สำคัญคือทำอาหารเก่งและทำขนมอร่อยมาก สิ่งที่ป้านวลทำอร่อยมากที่สุดคือ ‘มะม่วงกวน’ เพราะว่ารอบ ๆ ตัวบ้านของป้านวลจะมีต้นมะม่วงที่ปลูกไว้เยอะมาก พอมะม่วงสุก ป้านวลก็จะนำมากวน เพื่อถนอมอาหารไว้ ป้านวลทำมะม่วงกวนอร่อยมาก รสชาติเลื่องลือ เรียกได้ว่าถ้าอยากกินมะม่วงกวนก็ต้องมาซื้อที่บ้านของป้านวลเท่านั้น นอกจากเสน่ห์ปลายจวักแล้ว ป้านวลก็ยังเป็นคนสวย ทำให้มีผู้ชายเข้าหาเยอะ จนในที่สุด ป้านวลก็ตัดสินใจเลือกแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง เวลาผ่านไปจนกระทั่งป้านวลตั้งท้องลูกคนแรก หลังจากมีลูกคนแรก ป้านวลก็เริ่มทะเลาะกับสามีบ่อยครั้ง ชาวบ้านเริ่มได้ยินเสียงทะเลาะกัน และเห็นป้านวลเดินออกมาร้องไห้ที่ใต้ต้นมะม่วงเป็นประจำ บางครั้งยายน้อยก็เดินเข้าไปคุยกับป้านวลอยู่เรื่อย ๆ เพื่อปลอบใจ ป้านวลเล่าว่าแกทะเลาะกับสามีแกบ่อยเลยไม่สบายใจและเครียด ยายน้อยจึงได้พูดปลอบใจว่า เพราะป้านวลท้องหรือเปล่าจึงได้มีอารมณ์ฉุนเฉียว หลังจากปลอบใจเสร็จ ยายน้อยก็คิดว่าไม่มีอะไรแล้ว จึงกลับไปที่บ้านของตนเอง จนกระทั่งรุ่งเช้าเวลาประมาณตี 5 แม่ของยายน้อยได้มาปลุกให้ยายน้อยตื่นและให้เดินตามมา แต่สมัยก่อนนั้นไฟฟ้ายังไม่ได้มีความสว่างมาก ทำให้ต้องใช้ไฟฉายและตะเกียงในการเดินทาง แม่ของยายน้อยได้พายายน้อยทั้งเดินและกึ่งวิ่งไปที่บ้านของป้านวลและตะโกนเรียกหา แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา จึงได้เดินหารอบ ๆ ตัวบ้านและให้สามีของป้านวลช่วยหาด้วย สาเหตุที่ทำให้ต้องมาตามหาป้านวลเป็นเพราะสามีของป้านวลได้วิ่งมาบอกว่าป้านวลหายออกไปจากบ้าน แต่หารอบบ้านเท่าไหร่ก็ไม่เจอเสียที จึงลองเดินไปหาแถวสวนมะม่วงของป้านวล เพราะยายน้อยบอกว่าป้านวลชอบไปแถวนั้น พอเดินไปถึงที่ต้นมะม่วงที่ป้านวลชอบไป ก็ได้ใช้ไฟฉายเพื่อส่องดูรอบ ๆ ยายน้อยเกิดรู้สึกสะกิดใจจึงได้ฉายไปที่ด้านบนของต้นมะม่วง ก็เห็นร่างของป้านวลห้อยอยู่ด้านบน! ป้านวลได้ผูกคอที่ด้านบนของต้นมะม่วงซึ่งเป็นต้นมะม่วงที่ป้านวลรักมากที่สุด เมื่อเห็นดังนั้น สามีป้านวลก็รีบปีนขึ้นไปเพื่อนำร่างของป้านวลลงมา แต่ก็ไม่ทัน ป้านวลกับลูกในท้องได้เสียชีวิตแล้ว.. หลังจากเหตุการณ์นั้นชาวบ้านต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องเฮี้ยนแน่ หลังจากประกอบพิธีศพของป้านวลเสร็จเรียบร้อย ความเฮี้ยนก็ได้เริ่มต้นขึ้น.. สาเหตุเป็นเพราะต้นมะม่วงของป้านวลออกลูกดกและมีรสชาติอร่อยจึงได้เป็นที่หมายตาของใครหลายคน ทำให้มีคนไปแอบเก็บมะม่วงของป้านวล บางคนก็ได้เจอป้านวลนั่งแกว่งขาเล่นอยู่บนกิ่งไม้ บางคนก็ได้ยินเสียงคนโยนมะม่วงลงมาแต่กลับไม่เห็นคน บางคนก็จะเห็นป้านวลยืนรออยู่ และก็โดนป้านวลไล่ไม่ให้ไปเก็บมะม่วง และเนื่องจากต้นมะม่วงต้นนี้อยู่ใกล้กับถนนที่มีผู้คนใช้เดินทาง บางคนก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนขย่มกิ่งของต้นมะม่วงอีกด้วย เรื่องราวนี้ผ่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีกลุ่มวัยรุ่นที่มีความคึกคะนองได้ท้าทายว่า ‘คืนนี้จะไปเก็บมะม่วงของป้านวล’ วัยรุ่นผู้ชายจึงได้นัดรวมตัวกัน 3-4 คน ในเวลา 4 – 5 ทุ่ม เพื่อไปเก็บมะม่วง ก็ไปเก็บกันปกติไม่ได้มีอะไร บางลูกก็อยู่บนต้น บางลูกก็ร่วงตามพื้น เหล่าวัยรุ่นเก็บจนได้เกือบเต็มตะกร้าและจะเดินทางกลับ ในตอนที่กำลังหันหลัง กลุ่มวัยรุ่นก็ได้ยินเสียงพูดว่า “เดี๋ยวสิ มะม่วงที่เอาไปน่ะ มันยังสุกไม่เต็มที่ ถ้าจะเอาไปกวนนะมันต้องสุกเละ ๆ นะ ถึงจะอร่อยรสดี” เมื่อวัยรุ่นหันกลับมา ก็ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนและยื่นมะม่วงมาให้ พร้อมทั้งพูดว่า “ต้องลูกแบบนี้ สุกแบบนี้ ถึงจะกวนอร่อย” เหล่าวัยรุ่นจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อจะหยิบมะม่วงลูกนั้นมา และด้วยความที่ไม่ได้รู้จักกับป้านวลมากเท่าไหร่จึงไม่ได้รู้ถึงน้ำเสียงและรูปลักษณ์ของป้านวล ระหว่างที่เดินเข้าไปหยิบมะม่วง แสงไฟก็ได้สะท้อนและเห็นหน้าของผู้หญิงคนนั้น ที่มีหน้าเละและตาถลนออกมา ป้านวลได้พูดขึ้นว่า “ต้องเละ ๆ แบบนี้สิ ถึงจะกวนอร่อย” เมื่อเหล่าวัยรุ่นเห็นเช่นนั้น ก็ได้โยนทุกอย่างและวิ่งหนีตะโกนดังไปทั่วหมู่บ้าน จนเป็นไข้หัวโกร๋นกันห หลังจากเหตุการณ์นั้น แม่ของยายน้อยก็เริ่มรู้สึกกังวลใจ จึงได้หาคนเพื่อมาอัญเชิญดวงวิญญาณของป้านวลให้ไปสู่สุขคติ จึงได้ขอหมอผีมาทำพิธีให้ดวงวิญญาณสงบ แต่หมอผีคนนั้นก็ได้พูดว่า “เป็นแบบนี้เอาไม่อยู่หรอก” เพราะในตอนที่ทำพิธีต้นมะม่วงสั่นไหวเหมือนโดนลมพายุ แต่กลับสั่นอยู่ต้นเดียวคือต้นที่ป้านวลผูกคอ นอกจากนี้ หมอผีคนนี้ยังได้ยินเหมือนมีคนตะโกนว่า “อย่ามายุ่งเรื่องของกู!” จนหมอผีห้ามไม่ให้มายุ่งกับพื้นที่ตรงนี้ หลายเดือนผ่านไป เรื่องราวของป้านวลก็ค่อย ๆ จางหายไปเพราะไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง จนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่ยายน้อยและเพื่อนได้ไปเดินเล่นบริเวณนั้น ยายน้อยได้ยินเสียงคนเรียกและพูดว่า “น้อย.. ป้าฝากไปบอกแม่ ให้ทำบุญให้หน่อย” ยายน้อยรู้สึกขนลุกตั้งและมองที่มาของเสียงแต่ก็ไม่เจอใครอยู่บริเวณนั้น จึงรีบวิ่งกลับบ้านและบอกคุณแม่ เช้าวันรุ่งขึ้น ก็ได้นิมนต์พระมา และพระท่านได้บอกว่า “โยม ได้ทำบุญหรืออุทิศอะไรให้เขาไปเต็มที่หรือยัง” ซึ่งแม่ของยายน้อยยังไม่ได้ทำเพราะปกติจะเก็บร่างไว้ประมาณ 1 ปี แล้วค่อยนำมาเผา หลวงพ่อท่านจึงบอกให้ทำบุญบ่อย ๆ หลังจากพระท่านพูดเสร็จ ต้นมะม่วงก็ได้สั่นไหว เหมือนเป็นสัญญาณบางอย่าง จากนั้น แม่ก็ได้ทำบุญให้ป้านวล หลังจากนั้น คืนหนึ่ง ยายน้อยก็ได้ยินเสียงบางคนเดินขึ้นมาบนตัวบ้านและหยุดที่หน้าห้องของยายน้อยและพูดว่า “น้อย ฉันไปก่อนนะ ฝากบอกแม่ฉันด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง” หลังจากสิ้นประโยค เสียงทุกอย่างก็เงียบไป ยายน้อยจำได้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงของป้านวล หลังจากเหตุการณ์นี้ก็ไม่มีใครเจอเหตุการณ์แปลก ๆ อะไรอีกเลย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ซื้อที่ใหม่ไว้สร้างบ้าน หลังจากมาอยู่ก็เจอแต่เรื่องแปลก ๆ ทั้งเจองูตัวใหญ่ เจอผู้หญิงปริศนา ประตูเปิดเอง ทำไรไม่ได้ เลยจำใจต้องอยู่!

08 ธ.ค. 2023

ซื้อที่ใหม่ไว้สร้างบ้าน หลังจากมาอยู่ก็เจอแต่เรื่องแปลก ๆ ทั้งเจองูตัวใหญ่ เจอผู้หญิงปริศนา ประตูเปิดเอง ทำไรไม่ได้ เลยจำใจต้องอยู่!

อ่านความแปลกจากเรื่อง ‘บ้านหลังใหม่’ โดย ‘คุณป๊อบ’ ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในรายการอังคารคลุมโปง X (5 ธันวาคม 2566) เรื่องราวนี้จะหลอนแค่ไหน แล้วคุณป๊อบต้องเจอกับอะไรระหว่างที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ไปอ่านพร้อมกันเลย! เรื่องราวความสยองนี้ เป็นประสบการณ์ตรงจากคุณป๊อบ ย้อนกลับไปเมื่อ ปี พ.ศ. 2557 ครอบครัวคุณป๊อบอยากได้ที่ไว้เพื่อปลูกบ้าน จึงไปดูที่คลอง 5 จังหวัดปทุมธานี แต่ในปีนั้นเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ จึงตัดสินใจว่าจะหาซื้อแถวบ้านที่ต่างจังหวัดแทนช่วงแรก ครอบครัวคุณป๊อบได้แวะไปดูที่ดินแถวบ้านญาติ ในสมัยนั้นที่ดินตรงนี้ยังเป็นป่าต้นยูคาลิปตัส ปรากฏว่าชอบมาก จึงคิดว่าจะซื้อที่ตรงนี้แทน ตอนนั้นก็มีคนต้องการซื้อที่ดินแปลงนี้เหมือนกัน และเสนอราคาที่สูงกว่าครอบครัวคุณป๊อบ ตอนนั้นคิดว่าคงไม่น่าได้ แม่ของคุณป๊อบจึงไหว้ขอเจ้าที่เจ้าทางขอให้ได้ที่ตรงนี้ ไม่นานก็ได้รับการติดต่อมาจากเจ้าของ ทุกคนดีใจมาก จึงรีบตอบตกลงไปทันที หลังจากที่ได้ที่ดินนี้มาแล้ว พวกเขาคิดว่าจะถางป่ายูคาลิปตัสออก แต่ในระหว่างวันที่กำลังถางป่า ปรากฏว่าไปเจองูเห่าตัวใหญ่ประมาณ 2 เมตร จึงขอให้คนงานจับไปปล่อยที่อื่น เรื่องราวแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นหลังจากนี้ตลอด ทุกครั้งที่ที่ดินตรงนี้นี้มีการเปลี่ยนแปลง ก็มักจะเจอกับงูเง่าทุกรอบ ซึ่งแต่ละรอบขนาดของงูก็แตกต่างกันออกไป คุณป๊อบต้องเจอเรื่องราวแปลก ๆ แบบนี้จนบ้านสร้างเสร็จเรียบร้อย วันหนึ่ง ‘คุณแม่อร’ (นามสมมุติ แม่ของคุณป๊อบ) มีธุระจะพูดคุยกับ ‘ป้าอ้าย’ (นามสมมุติ ป้าของคุณป๊อบ) จึงนัดหมายว่าจะมาที่บ้านหลังนี้ ในระหว่างที่แม่อรกำลังเดินอยู่ในบ้าน ก็สังเกตเห็นผู้หญิงใส่ผ้าไหมมัดหมี่ (ผ้าซิ่นในภาคอีสาน) กำลังเดินเข้าไปในห้องนอนของเธอ ตอนนั้นคิดว่าเป็นป้าอ้ายที่นัดกันไว้ จึงรีบเดินตามไป หลังจากที่แง้มประตูเข้าไปก็ไม่เจอใคร จากนั้นแม่อรจึงไปรอที่หน้าบ้าน ไม่นานป้าอ้ายก็มาถึง ตอนนั้นเธอไม่เห็นใครจึงเข้ามาในบ้าน ปรากฏว่าระหว่างที่เดินอยู่ก็สังเกตเห็นผู้หญิงใส่ผ้าไหมมัดหมี่เดินเข้าไปในห้องเหมือนกัน จึงรีบตามไป ในระหว่างที่กำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตู ป้าอ้ายได้ยินเสียงเรียกของแม่อรจากนอกบ้าน ป้าอ้ายจึงชะโงกหน้าเข้าไปดูในห้อง ก็ไม่เจอใครเลย และรีบออกไปหาแม่อรทันที เรื่องราวแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นตลอดเวลา ทั้งน้าสะใภ้ คุณตา รวมถึงตัวคุณป๊อบเอง ต่างพากันเจอเรื่องราวสุดขนหัวลุกแบบนี้เหมือนกัน วันหนึ่ง น้าสะใภ้อยู่ในครัว ก็สังเกตเห็นมือปริศนาเปิดประตูเอง หรือแม้กระทั่งคุณตากำลังนั่งสมาธิอยู่ก็ได้ยินเสียงเด็ก “หนูขออยู่ด้วย หนูกลัวผี” คุณตาตอบไปทันที “หนูก็เป็นผีอยู่แล้วหนิ หนูจะกลัวทำไม” ไม่นานเด็กคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “หนูกลัวผีตัวอื่นในบ้านหลังนี้ !” คุณตาจึงตัดสินใจเปิดประตูให้ผีตนนี้เข้ามาอยู่ด้วย รวมถึงตัวคุณป๊อบก็เคยเจอผู้หญิงใส่ชุดสีขาว ตอนแรกก็คิดว่าเป็นแม่ แต่พอสังเกตดูดี ๆ มันคือใครก็ไม่รู้! หรืออีกเหตุการณ์ก็คือประตูเปิดเอง ทั้ง ๆ ที่ล็อกไว้แล้ว ด้วยความที่คุณป๊อบเป็นคนปากไวจึงด่าไปว่า “ไม่มีมารยาทเลยอะ เปิดประตูแล้วไม่รู้จักปิด” จากนั้นประตูก็ค่อย ๆ ปิดเอง ! มีอยู่วันหนึ่ง หมู่บ้านมีการทำบุญใหญ่ และจะมีหมอธรรมมาทำพิธีรดน้ำมนต์ให้บ้านทุกหลังในหมู่บ้าน พอจังหวะที่หมอธรรมมาถึงบ้านของคุณป๊อบก็ว่าทักขึ้นว่า “เคยเจอเรื่องราวแปลก ๆ กันบ้างมั๊ย อย่างคนเดินอยู่ในบ้าน รู้ไหมว่าที่นี่เป็นทางผ่าน บ้านหลังนี้เป็นเมืองบังบด” ทุกคนเงียบกันหมด และต้องจำใจอยู่เพราะตอนนั้นก็ลงทุนกันไปเยอะมาก จึงไม่คิดจะย้ายไปไหน เพราะตั้งแต่อยู่มาก็ไม่ได้เกิดเรื่องร้ายอะไรกับครอบครัว ซ้ำยังได้โชคถูกหวยกันบ่อยครั้ง จึงไม่ได้กลัวอะไรมาก..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก 'ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม' "เด็กที่ชวนไปเล่นซ่อนแอบ" I อังคารคลุมโปง X ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม [ 5 พ.ย. 2567 ]

13 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจาก 'ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม' "เด็กที่ชวนไปเล่นซ่อนแอบ" I อังคารคลุมโปง X ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม [ 5 พ.ย. 2567 ]

เรื่องหลอนจากแดนอาทิตย์อุทัยกลับมาพร้อมกับ ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ที่ได้มาเล่าเรื่อง ‘เด็กชวนไปเล่นซอนแอบ’ ให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 พฤศจิกายน 2567) ฟัง จัดหนักจัดเต็มหลอนสุดกำลังจน ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ขนลุกซู่ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ตามไปอ่านกันเลย! ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ เป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น แต่ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นมากกว่าจึงไม่คุ้นเคยกับระบบการจัดงานศพในไทยสักเท่าไหร่ แต่ที่ญี่ปุ่นนั้น หากมีคนเสียชีวิต ก็จะมีบริษัทหรืออาชีพที่คอยให้คำปรึกษาและช่วยวางแผนงานศพให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต เช่น ควรใช้ขนาดรูปถ่ายเท่าไหร่ ต้องการจักงานศพแบบศาสนาใด เรียกได้ว่าเป็นอาชีพที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะ ส่วนเรื่องหลอนที่จะเล่านี้ เป็นเรื่องของ ‘เรียวตะ’ (นามสมมติ) เขาทำอาชีพเกี่ยวกับการจัดงานศพในตำแหน่งผู้ช่วย แต่ยังอ่อนประสบการณ์ หัวหน้าจึงพาเรียวตะไปทำงานด้วยที่บ้านลูกค้าหลังหนึ่ง บ้านลูกค้าหลังนี้ เป็นบ้านญี่ปุ่นโบราณ พื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง มีสวนหิน ตกแต่งด้วยต้นบอนไซตามสไตล์ญี่ปุ่น เรียวตะมองดูและคิดในใจว่า ‘เจ้าของบ้านหลังนี้ต้องรวยมากแน่ ๆ’ ไม่นานก็ได้พบเจ้าของบ้าน ขอเรียกแทนว่า ‘คุณป้า’ เมื่อทักทายกันเสร็จเรียบร้อย หัวหน้าก็ขอไปไหว้ผู้เสียชีวิตเป็นอันดับแรกตามธรรมเนียม คุณป้าไม่ได้ว่าอะไร และกล่าวเชื้อเชิญไปตามทางเดิน เมื่อถึงที่เคารพศพผู้เสียชีวิต ก็พบว่าคุณป้าได้จัดเตรียมหิ้งและรูปไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแต่ยังไม่ได้จัดการกับศพที่จะเป็นแท่นตั้งเอาไว้ เรียวตะเดินเข้าไปปักธูปเพื่อเคารพศพ จากนั้นหัวหน้าก็บอกว่า “ดูแลพวกน้ำ พวกของต่าง ๆ ที่ใช้เตรียมไหว้ตรงนี้นะ ส่วนผมจะไปคุยรายละเอียดกับคุณป้าก่อน” เรียวตะคิดทึกทักเอาเองว่า ศพตรงหน้านี้น่าจะเป็นคุณลุงที่อาจจะเป็นสามีของคุณป้า หลังจากคุณลุงเสียชีวิต คุณป้าจึงเข้ามาดูแลบ้านหลังนี้แทน หลังจากที่หัวหน้าบอก เรียวตะก็จัดเตรียมเปลี่ยนน้ำ และหยิบผลไม้มาวางจัดให้ผู้เสียชีวิตจนเสร็จ เมื่อลุกขึ้นเดินออกจากห้องเพื่อที่จะไปตามหาหัวหน้าที่กำลังคุยกับคุณป้าอยู่นั้น พอเดินออกจากห้อง เรียวตะก็มองซ้ายมองขวา อยู่ ๆ ก็เอะใจขึ้นมาว่า ‘บ้านหลังใหญ่จัง ห้องไหนนะ อ่า..หลงทางเสียแล้ว’ เรียวตะพยายามเดินตามหาเสียงพูดคุยตามห้องไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้ยินเสียง กุกกักๆๆ ในห้องหนึ่ง เรียวตะคิดว่าอาจจะเป็นห้องนี้ จึงเลื่อนเปิดประตูปรากฏว่า เป็นห้องสี่เหลี่ยมมีของเล่นเด็กวางไว้อยู่ทั่วห้อง เป็นของเล่นเด็กที่เก่ามาก มีฝุ่นและหยากไย่เต็มไปหมด สภาพห้องเหมือนกับไม่ได้ทำความสะอาดมานาน ส่วนเสียงที่ดัง กุกกักๆๆ ก็มาจากตู้ในห้องนี้ เรียวตะคิดว่าตนเข้าห้องผิด พอหันหลังกลับไป ก็ได้ยินเสียงเด็กผู้ชายพูดขึ้นมาว่า “คุณเป็นใครครับ” เรียวตะหันหลังกลับทันทีที่ได้ยิน ก็เห็นเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กอายุราวประมาณ 3 ขวบ ยืนอยู่กลางห้อง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขามองไม่เห็นใครสักคน! เรียวตะ : ขอโทษทีนะหนู พี่มาคุยธุระเรื่องจัดการเรื่องงานศพ หนูพาพี่ไปหรือพอจะบอกทางพี่ไปห้องรับรองได้ไหม เด็กชาย : เรื่องงานศพอะไร มีคนเสียชีวิตเหรอครับ ผมไม่รู้เรื่องผู้ใหญ่ ถ้าพี่ว่าง พี่มาเล่นกับผมได้ไหม เล่นเป็นเพื่อนผมหน่อยผมเหงา เรียวตะ : พี่ก็อยากเล่นด้วยนะ หนูเล่นอะไร เด็กชาย : เล่นซ่อนแอบครับพี่ มาเล่นกับผมไหม เรียวตะ : ตอนนี้ยังไม่ได้ เดี๋ยวพี่ต้องไปประชุมต่อ หัวหน้าจะบ่น งั้นถ้าบอกพี่ว่าห้องอยู่ตรงไหน เดี๋ยวเสร็จธุระ พี่จะมาเล่นด้วยนะ เด็กชาย : โอเคได้ งั้นสัญญามาเล่นกับผมนะ จากนั้นเรียวตะก็เดินไปตามทางที่เด็กผู้ชายคนนั้นบอก จนไปเจอหัวหน้าและได้นั่งคุยธุระวางแผนกันจนกระทั่งพระอาทิตย์ตก ทั้งคู่เตรียมตัวกลับบ้าน แต่ก่อนที่จะกลับ คุณป้าก็พูดคุยด้วยความยิ้มแย้มว่า “ขอบคุณมากนะคะ ที่มาดูแลจัดการให้” เรียวตะตอบกลับไปว่า “ครับ ขอบคุณมากนะครับ อีกเรื่องนึงน่ะครับ ผมฝากบอกขอบคุณเด็กผู้ชายคนหนึ่งด้วยครับ คือผมเดินหลงทางในบ้าน มีน้องผู้ชายพามาที่ห้องนี้” หลังจากนั้น คุณป้าที่กำลังยิ้มแย้มอยู่กลับหุบยิ้มแล้วพูดเสียงแข็งว่า “เด็กผู้ชายหรอ?! บ้านนี้ไม่มีเด็ก เธอพูดอะไรเลอะเทอะ กลับบ้านไปได้แล้ว!” เมื่อหัวหน้าเห็นสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปของคุณป้าจึงพูดไปว่า “เด็กใหม่ครับ มันพูดไปเรื่อย ผมขอโทษด้วยนะครับ” แล้วทั้งคู่ก็รีบออกจากบ้านไปทันที เช้าวันต่อมา เรียวตะและหัวหน้าต้องกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีก หัวหน้าจึงบอกให้เขาขอโทษคุณป้าอีกครั้ง พอถึงบ้านคุณป้า เรียวตะก็รีบไปขอโทษคุณป้าอย่างจริงใจ แต่คุณป้ากลับตอบกลับมาว่า “ไม่เป็นไรหรอก มันก็อาจจะมีจริงก็ได้นะ เด็กที่เธอพูดถึง แต่แค่ป้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กคนนั้นเป็นยังไง ช่างมันเถอะ เชิญขึ้นบ้าน” พอเข้าไปในบ้านก็คุยธุระกันไป จนกระทั่งถึงเรื่องสำคัญ หัวหน้าบอกให้เรียวตะออกไปรอข้างนอกก่อน เนื่องจากเขายังอยู่ในช่วงฝึกงาน เรียวตะจึงเดินออกไปนอกห้องแล้วก็คิดในใจถามกลับตัวเองว่า ‘เมื่อวานที่เจอเด็กผู้ชายคนนั้นมันชัดมาก เด็กมีตัวจริงใช่ไหม’ เรียวตะเดินเพลินแล้วก็หยุดนั่งบริเวณสวนในบ้าน ในหัวยังคงเหม่อคิดถึงเรื่องเด็กผู้ชายคนนั้นอยู่ จากนั้นก็มีเสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นมาว่า “พี่มาทำอะไรเนี่ย” เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงเด็กผู้ชายคนนั้นจากข้างหลัง เรียวตะเคลิ้มเผลอพูดตอบกลับไปว่า เรียวตะ : พี่เหรอ อืม.. พี่ก็มา.. เอ้า! แล้วหนูอยู่ไหน?! เด็กชาย : อ๋อ พี่หาผมไม่เจอหรอก ผมเล่นซ่อนแอบอยู่ พี่.. วันนี้พี่จะมาหาใช่ไหม พี่จะมาเล่นกับผมใช่ไหม? เรียวตะ : อืม แต่พี่จะหาหนูเจอได้ไง แล้วงานก็ต้องทำ อีกอย่างนะ คุณป้าบอกว่าที่นี่ไม่มีเด็ก.. เรียวตะนึกถึงอาการของคุณป้าที่เหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง แต่เขาก็อยากรู้อยากเห็นจึงถามไปว่า เรียวตะ : แล้วตอนนี้หนูแอบอยู่ไหนเหรอ? เด็กชาย : ไม่ได้ ถ้าผมบอกพี่ มันก็ไม่ได้เป็นการเล่นสิ แต่ผมก็ต้องเล่นซ่อนแอบอยู่อย่างงี้ตลอด เพราะว่าคุณป้าบอกว่าให้ผมเล่นซ่อนแอบ แล้วก็เป็นซ่อนแอบที่ไม่มียักษ์ (การเล่นซ่อนแอบที่ไม่มียักษ์ เป็นการเล่นซ่อนแอบที่ให้เด็กแอบอยู่ที่ใดที่หนึ่งแล้วขังเด็กไว้ ยักษ์ที่หมายถึงคือคนหา เท่ากับว่าคุณป้าบอกให้เด็กคนนั้นแอบแต่คุณป้าไม่มาหา เรียวตะจึงตีความได้ว่าคุณป้าน่าจะขังเด็กคนหนึ่งเอาไว้ในบ้านหลังนี้) เด็กชาย : ผมไปไหนไม่ได้เพราะว่ายังไม่มีใครหาผมเจอ ยังไม่มียักษ์มาหา เรียวตะ : งั้นเดี๋ยวพี่เป็นยักษ์ให้ บอกมาว่าหนูอยู่ไหน? เด็กชาย : หนูอยู่ข้างหลังพี่!!! พอเรียวตะหันหลังกลับไปก็พบว่าข้างหลังเป็นแค่ห้องโล่งห้องหนึ่ง จากนั้นเขาคิดว่าบ้านหลังนี้ต้องมีเงื่อนงำอะไรบางอย่าง เพราะเขามั่นใจว่าตัวเองได้ยินเสียงเด็กผู้ชายเต็มสองหู และแล้วก็มาถึงวันจัดงานศพ หน้าที่ของเรียวตะคือดูแลแขกที่มาร่วมงาน เมื่อทำพิธีเสร็จเรียบร้อยและแขกกลับจนหมด เรียวตะจึงไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งเป็นห้องน้ำรวม เพราะสถานที่จัดงานไม่ได้แบ่งโซนชายหญิง ขณะที่กำลังล้างมืออยู่นั้น เรียวตะก็หวนนึกถึงคำพูดของตนที่บอกเด็กผู้ชายว่า ตนจะเป็นยักษ์ให้ เมื่อไหร่จะได้หา แล้วจะได้กลับไปบ้านหลังนั้นอีกหรือเปล่าตนก็ไม่แน่ใจ หรือ เด็กคนนั้นจะเป็นผี ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วตนจะทำอย่างไรดี เมื่อล้างมือจนสะอาดเรียบร้อยก็เงยหน้าขึ้นมา เรียวตะเห็นว่า ตรงกระจกมีเด็กผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ แต่ไม่มีลูกตา ปากขยับเหมือนกำลังตะโกนบอกบางอย่างอยู่! ตอนแรกเขาก็ตกใจแต่ไม่ได้กลัว แค่รู้สึกเหมือนเด็กกำลังพยายามบอกอะไรบางอย่าง พอตั้งใจดูปาก ก็พอจะอ่านปากได้ว่า “พี่ ข้างหลัง หลังไงพี่ ข้างหลัง ๆๆ” หลังจากนั้น เรียวตะก็เห็นคุณป้ายืนอยู่ข้างหลัง กำลังเอาเชือกรัดคอตัวเขาอยู่! และคุณป้ายังพูดอีกว่า “มึงรู้เรื่องกูเยอะเกินไปแล้ว” เรียวตะพยายามสู้ เสียงโวยวายของเขาดังมาก จนมีคนเข้ามาแล้วพูดว่า “คุณทำอะไรเนี่ย ใจเย็น ๆ คุณพยายามจะฆ่าพนักงานเรานะ” เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เรียวตะมั่นใจว่ามีเรื่องราวบางอย่างไม่ชอบมาพากล เมื่อเขานำเรื่องทั้งหมดมาปะติดปะต่อกันก็คิดได้ว่า เป็นไปได้ที่คุณป้าจะต้องทำร้ายเด็กคนนั้นแน่นอน สุดท้ายก็ได้มีการแจ้งตำรวจ และทำการไกล่เกลี่ยกัน คุณป้าและเรียวตะถูกสั่งห้ามเจอกัน ทำให้เรียวตะไม่มีโอกาสกลับไปบ้านหลังนั้นเพื่อตามหาเด็กผู้ชายคนนั้นอีก เขาจึงตัดสินใจพยายามบอกเรื่องนี้กับทางตำรวจ แต่ตำรวจก็ไม่เชื่อ หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านมา 5 ปี โชคชะตาก็พาเรียวตะกลับมาไปบ้านหลังนั้นอีกครั้ง เหตุผลคือ เรียวตะได้กลับมาจัดงานศพของคุณป้าคนนั้น เรียวตะได้จัดงานศพตามความประสงค์ของคุณป้าที่เขียนไว้ก่อนตาย คุณป้าไม่มีลูกหลาน เรียวตะจึงต้องจัดแจงมรดกและดูรายละเอียดในใบนั้นให้ดี เขาเห็นว่ามีรายชื่อที่ถูกลบไป แต่หากเพ่งดูให้ชัดก็จะเห็นตัวอักษรที่เขียนว่า ‘ทากิลุคุง’ เรียวตะอนุมานในใจว่า ‘หรือนี่คือชื่อของเด็กผู้ชายคนนั้น?’ แต่เนื่องจากชื่อนั้นถูกลบออกไปแล้ว ทำให้ไม่มีใครได้รับมรดก มรดกนี้จึงตกไปอยู่ที่ธนาคาร ในวันนั้นเอง เรียวตะตัดสินใจเดินไปรอบบ้าน เพื่อตามหาความจริง จนกระทั่งไปถึงตู้ในห้องที่เคยเจอเด็กคนนั้นครั้งแรก เรียวตะพยายามงัดเปิดตู้จนเจอเข้าอีกชั้นหนึ่งที่ซ่อนอยู่ พองัดอีกทีก็เห็นศพของทากิลุคุงที่ถูกหมกอยู่ตรงนั้น! สภาพน้องเหมือนผ่านมานานหลายปี หลังจากนั้น เรียวตะก็แจ้งตำรวจ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ตำรวจก็ไม่สามารถสืบสวนอะไรได้ เนื่องจากไม่สามารถระบุได้ว่าใครคือฆาตกรที่ฆ่าหมกศพเด็กน้อย ‘ทากิลุคุง’ และคนที่น่าจะรู้ดีที่สุดอย่างคุณป้าที่เป็นเจ้าของบ้านก็เสียชีวิตไปแล้ว..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1