เรื่องเล่าจากหมอพิพิม 'เจ้าของเดิม ' I อังคารคลุมโปง X หมอพิพิม [ 3 ก.ย. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากหมอพิพิม 'เจ้าของเดิม ' I อังคารคลุมโปง X หมอพิพิม [ 3 ก.ย. 2567]

11 ก.ย. 2024

    เรื่องราวนี้ ’หมอพิพิม’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 กันยายน 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘เจ้าของเดิม’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย!

    หมอพิพิมเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของศิลปินคนหนึ่ง ให้สมมติว่า ‘คุณเอ๋’ โดยปกติแล้วการจ้างนักดนตรีไปต่างจังหวัดก็มักจะจ้างยาว คุณเอ๋ถูกจ้างไปเล่นดนตรีทางภาคใต้พร้อมกับวงดนตรี ก็ได้บ้านเช่าตึกแถวหนึ่งชั้น มีประตูรั้วเหล็กแบบเลื่อนปิด บ้านเป็นลักษณะตรงยาวลึกเข้าไป พอเข้าประตูไปก็จะมีศาลตี่จู่เอี๊ยะ ด้านขวาเป็นทางเดินตรงยาว ห้องแรกไม่มีประตู ห้องที่สองมีประตู ตรงเข้าไปข้างหลังก็จะมีห้องครัว บ้านหลังนี้ไม่ได้หรูหรา แต่ก็พออยู่ได้ บรรยากาศโอเค

    หลังจากเล่นดนตรีเสร็จ ปกติก็มักจะชอบสังสรรค์หลังเลิก แต่แล้วก็มีพี่คนหนึ่ง นามสมมติว่า ‘พี่โต้’ เขาขอกลับก่อน เพราะยังเล่นไม่คล่องเลยอยากแกะเพลงเพิ่ม เมื่อถึงบ้านเขาก็ล็อคประตู แล้วก็ไปอยู่ที่ห้องแรก พี่โต้เอากีตาร์และเอาวิทยุมาเปิดเพลง ด้วยความที่ต้องแกะเพลงจึงต้องเปิดเสียงดัง ในระหว่างที่ก้มหน้าอยู่นั้น หางตาก็เห็นมีคนเดินจากหน้าบ้านไปหลังบ้าน ในใจพี่โต้คิดว่า ‘เพื่อนมาแล้วหรอ ทำไมไม่ได้ยินเสียงประตู หรือเป็นเพราะเราเปิดเพลงเสียงดัง’ พี่โต้ชะโงกออกไปมอง ปรากฏว่าไม่เจอใคร จึงตะโกนเรียกว่า

    “เจม ใช่เจมป่าว (นามสมมุติ)”

    แต่แล้วก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา จึงคิดว่าตนอาจจะเบลอหรือตาฝาดไปเอง แล้วก็กลับมาโฟกัสกับการแกะเพลงต่อ สักพักก็เกิดเหตุการณ์เดิมอีกคือหางตาเห็นเหมือนมีใครเดินผ่านไป แต่ครั้งนี้ เดินมาอีกทางจากหลังบ้านมาหน้าบ้าน พี่โต้ทำเช่นเดิมคือก็ชะโงกหน้าออกมา แล้วตะโกนถามว่า

    ”เจมป่าว“

    แต่ก็ยังไม่มีคนตอบ พี่โต้เดินออกไปที่ประตู ปรากฎว่าประตูก็ยังล็อคอยู่เหมือนเดิม พี่โต้พยายามไม่คิดอะไรเยอะ จึงกลับมาแกะเพลงต่อ

    ไม่นานหลังจากนั้น ขณะที่กำลังแกะเพลงอยู่ ก็เห็นคนเดินมาจากหน้าบ้าน แต่รอบนี้ไม่เดินผ่านแล้ว เขาเดินมาหยุดอยู่ที่ประตู รอบแรกกับรอบสองที่พี่โต้เห็น ก็เริ่มรู้สึกไม่ดี พี่โต้รู้สึกแปลกที่ด้วยความที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ จึงไม่แน่ใจว่าคืออะไร พี่โต้สับสน อยากจะเงยหน้ามอง แต่ขณะที่กำลังจะเงยหน้าขึ้นมา ทุกอย่างก็ช้าลงผิดปกติ หางตาเห็นคนเท้าซีด ไม่ใส่รองเท้า พอค่อย ๆ เงยขึ้นมา ก็เห็นเป็นขากางเกงสีน้ำเงินคล้ายขาก๊วย พี่โต้ตัวนิ่งและค่อย ๆ ชา แล้วขนก็ลุก แต่แล้วก็พยายามเงยหน้าขึ้นมาดูต่อ เห็นเป็นแขนแนบตัว ผิวซีด และเห็นเป็นคนไม่มีหัว! พี่โต้ช็อกจนอึราด แล้วเขาก็หลับตา พยายามรวบรวมสติ คิดว่าคงตาฝาด แต่พอลืมตามาอีกครั้ง ก็ยังเห็นคนไม่มีหัวอยู่ ในตอนนั้น พี่โต้ทั้งถ่ายหนักถ่ายเบา น้ำหูน้ำตาออกมาหมด พี่โต้ลองหลับตาอีกครั้ง แล้วบอกว่า

    “อย่าทำอะไรผมเลย ผมมาทำงาน ถ้าเกิดว่าการที่ผมทำอะไรเสียงดัง หรือทำอะไรรบกวน ผมขอโทษจริง ๆ เดี๋ยวผมจะให้เพื่อนทำบุญไปให้ (เขาไม่สามารถทำได้เพราะด้วยศาสนาของเขา)”

    จากนั้นพี่โต้ก็ลืมตาขึ้นมา คนไม่มีหัวก็หายไป..

    เมื่อเหตุการณ์สงบ สติของพี่โต้กลับเข้าที่ เขาก็ทำความสะอาดเตียง ทำความสะอาดตนเอง อาบน้ำล้างตัว พอเพื่อนกลับมาก็เล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็บอกว่า

    ”อย่ามาหลอกเลย ไม่เชื่อหรอก”

    แล้วก็ขำตลกเฮฮากันแล้วก็ผ่านไป แต่เพราะต้องอยู่ต่ออีกหลายวัน หลังจากวันนั้น เพื่อน ๆ ก็ได้เจอกันทีละคน บางคนเห็นมีคนเดินผ่าน บางคนได้ยินเสียงเท้า เรียกว่าสมาชิกทุกคนได้เจอกันจนครบ สุดท้ายก็มาคุยกันว่า อยู่บ้านหลังนี้ไม่ได้แล้ว จึงตัดสินใจย้ายออกกัน ระหว่างที่กำลังย้ายออก ป้าข้างบ้านก็มาพูดด้วยว่า

    “อ้าว เจอแล้วหรอ กำลังจะย้ายออกใช่ไหม”

    เหมือนว่าใครมาอยู่ที่นี่ต้องได้เจอทุกคน หลังจากนั้นก็ถามคุณป้า คุณป้าบอกว่า “คนที่อยู่ที่นี่ เขาเป็นคนแก่ ซึ่งอยู่คนเดียว ไม่มีคนดูแล ก็เสียชีวิตที่นี่”

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ป่วยหนักทั้งครอบครัว รักษายังไงก็ไม่หาย ไปรักษาด้วยพิธีกรรมกับแม่หมอ จนหายสนิท แต่หลังจากนั้นก็เจอเรื่องน่าขนลุก!

16 ม.ค. 2024

ป่วยหนักทั้งครอบครัว รักษายังไงก็ไม่หาย ไปรักษาด้วยพิธีกรรมกับแม่หมอ จนหายสนิท แต่หลังจากนั้นก็เจอเรื่องน่าขนลุก!

เรื่องนี้ ‘หมอบี ฑูตสื่อวิญญาณ’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคุมโปง X’ (9 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘อูน ชนิสรา’ , ‘ดีเจแนน’ และ’ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องราวของหญิงชาวต่างชาติ ตัวเธอ ลูกสาวและพี่สาว ทั้ง 3 คนป่วยหนักเป็นโรคที่รักษาไม่หาย และได้ไปรักษาด้วยพิธีกรรมกับแม่หมอคนหนึ่ง ในที่สุดหายเป็นปกติ แต่หลังจากนั้นก็สังเกตเห็นความผิดปกติ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย นี่เป็นเรื่องของหญิงต่างชาติประเทศเพื่อนบ้านเรา สมมุติว่าชื่อ ‘คุณเอ’ คุณเอมาหาหมอบี 3 รอบ สองรอบแรกนั้นคุยเรื่องทั่วไป ไม่มีเรื่องผิดปกติ แต่รอบที่ 3 คุณเอมาพร้อมกับลูกสาวและพี่สาว เธอเล่าให้หมอบีฟังว่า เธอป่วยเป็นมะเร็ง ลูกสาวก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนพี่สาวก็ป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่าง ซึ่งหมอบีเล่าว่าจำไม่ได้แล้ว จำได้แค่ว่าป่วยเป็นอะไรสักอย่างที่แย่มาก ๆ คุณเอยังเล่าอีกว่า ที่ประเทศของเธอ จะมีแม่หมอคนหนึ่ง เก่งมาก หาตัวจับยากมาก คุณเอกับลูกสาวและพี่สาว ก็ไปรักษากับแม่หมอคนนั้น จากนั้นไม่นาน พวกเธอก็หายเป็นปกติ หมอบีฟังก็คิดว่าโอเค แต่ครั้งนี้ที่คุณเอมาหาหมอบีก็เพราะว่า คุณเอกังวลใจเกี่ยวกับสิ่งที่พบหลังจากไปหาแม่หมอคนนี้นั่นก็คือจะมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นกับคนที่ไปรักษา หลังจากรักษาจนหายพอกลับมาก็จะมีอาการทางจิต ทั้งเครียด กังวล หลอน ไม่เป็นตัวของตัวเอง สุดท้ายก็ทนตัวเองไม่ไหว จากนั้นก็ตัดสินใจผูกคอตายทุกคน! คุณเอยังจับสังเกตได้อีกว่า ทุกคนที่ผูกคอตายก็ตายเป็นลำดับ ใครเข้าไปหาก่อนก็จะตายก่อน ไล่ตามลำดับมา และรอบที่กำลังจะมาถึง เป็นรอบของพี่สาว ต่อมาเป็นลูกสาว แล้วก็ถึงตาคุณเอ คุณเอรู้สึกเครียด คิดว่าก็ต้องมาถึงคิวคุณเออย่างแน่นอน จึงอยากกลับไปหาแม่หมอคนนั้นอีกครั้ง ด้วยความที่แม่หมอหาตัวยากมาก ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน คุณเอก็สืบค้นจนรู้ว่า แม่หมอคนนี้มาที่ประเทศไทย คุณเอกับลูกสาวและพี่สาว จึงเดินทางมาตามหาแต่ก็ไม่เจอ คุณเอก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อ มีคนบอกให้คุณเอไปหาพระ ท่านอายุเยอะ แต่ท่านเก่งมาก อยู่ที่จังหวัดลำปาง พวกเธอก็ไปหา แต่พระท่านก็ได้แค่บอกให้พวกเธอไปหาหมอบี ท่านบอกว่าหมอบีช่วยได้ ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาพวกเธอจึงมาหาและเล่าให้หมอบีฟัง พอเล่าเสร็จก็เปิดรูปให้หมอบีดู รูปเยอะมาก ซึ่งรูปนั้นเป็นรูปของผู้เสียชีวิตตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่รูปที่ผูกคอตาย เป็นรูปที่ถ่ายติดคน บางรูปเป็นจาง ๆ บางรูปเป็นเหมือนนั่งกินข้าวด้วยกันเป็นกลุ่มแต่จะมีที่ว่างหนึ่งที่ราวกับมีคนนั่งอยู่ด้วย เป็นแบบนี้ทุกรูป รูปถัดมาเป็นรูปคุณเอกับคุณป้า แต่รูปนี้มีสิ่งผิดปกติ เช่น ถ่ายรูป 2 คน ก็เว้นที่ว่างไว้เหมือนถ่าย 3 คน และรูปที่ถ่ายคนเดียว แต่เว้นที่ว่างเหมือนถ่าย 2 คน เจอแบบนี้ทั้งหมด ทั้งลูกสาวและพี่สาวก็เจอแบบนี้เหมือนกัน แต่ของพี่สาวถึงขั้นไปร้านถ่ายรูป พี่สาวก็เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ไปนั่งถ่ายที่เป็นสตูดิโอ คนที่ถ่ายรูปก็มาจัดเก้าอี้ให้พี่สาวนั่ง ลูกสาวของพี่สาว 1 คน และก็เอาเก้าอี้อีกตัวมาวางข้าง ๆ พี่สาว พี่สาวจึงถามว่า “เอามาตั้งทำไม?” คนที่ถ่ายรูปก็ตอบว่า “ก็มาอีกคน เป็น 3 คน” พอพี่สาวได้ยินแบบนั้น ก็ตัดสินใจยกเลิกการถ่ายรูปไป เรื่องนี้หมอบีสัมผัสไม่ได้ สุดท้ายหมอบีก็พูดให้คุณเอเข้าใจว่า ‘ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ’ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับแต่ละคน ที่รักษาหายนั้น แท้จริงแล้วคือ ‘คนที่ถึงเวลาตาย แต่โกงความตายมา’ สุดท้ายก็ต้องกลับไปที่เดิมอยู่ดี ได้แค่ยื้อเวลา พอฟังที่หมอบีพูด คุณเอก็เข้าใจว่า “หนึ่งคือทุกคนป่วยหนักมาก สองพิธีกรรมของแม่หมอคือการเอาชีวิตของอีกคนที่มีชีวิตอยู่ มาแทนชีวิตให้อีกคนที่กำลังจะตาย มันถูกต้องแล้วหรอ คนเราไม่สามารถเปลี่ยนระบบกรรมได้ จุดเริ่มต้นของความตายคือการเกิดไม่ใช่หรอ แล้วเราควรเสียใจกับความตายหรือเสียใจเรื่องการเกิดมากกว่ากัน”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

หนุ่มกระตุกทั้งคืน! เมื่อไปนอนรีสอร์ทใกล้วัด คืนนั้นเห็นคนมาป้วนเปี้ยนที่หน้าห้อง แต่พอลุกไปดู ร่างนั้นก็หายวับไป! ซ้ำยังโดนกระตุกข้อเท้าทั้งคืนจนนอนไม่ได้! ตื่นเช้ามาก็เจอรอยมือปริศนาอีก!!

01 ธ.ค. 2023

หนุ่มกระตุกทั้งคืน! เมื่อไปนอนรีสอร์ทใกล้วัด คืนนั้นเห็นคนมาป้วนเปี้ยนที่หน้าห้อง แต่พอลุกไปดู ร่างนั้นก็หายวับไป! ซ้ำยังโดนกระตุกข้อเท้าทั้งคืนจนนอนไม่ได้! ตื่นเช้ามาก็เจอรอยมือปริศนาอีก!!

หลอนตั้งแต่ทางเข้า เมื่อเข้าพักในรีสอร์ท แต่กว่าจะเจอต้องผ่านเข้าไปในวัดก่อน! เรื่องหลอนนี้มาจาก ‘คุณโจ’ สายที่โทรเข้ามาในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (28 พฤศจิกายน 2566) บอกเลยว่าหลอนจน ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ขนหัวลุก! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ปิดไฟแล้วไปอ่านกันเลย! เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณปลายเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ตอนนั้นคุณโจจะต้องไปแข่งกีฬาในจังหวัดนครนายก จึงตัดสินใจขับรถไปกับแฟน และจองรีสอร์ทแห่งหนึ่งไว้ พอได้เวลาออกเดินทางก็ตั้งค่า GPS ไปรีสอร์ทนี้ จนประมาณ 6 โมงเย็น บน GPS ก็ขึ้นว่า อีกประมาณ 200 เมตร จะถึงรีสอร์ทให้เลี้ยวซ้าย แต่ในเส้นทางที่ไป รอบ ๆ ข้างนั้น ก็ไม่มีวี่แววที่จะเป็นซอยให้เข้าไปเจอรีสอร์ทได้เลย คุณโจก็ขับไปเรื่อย ๆ เพราะคิดว่าเส้นทางนี้ไม่ได้เปลี่ยวอะไรมาก พอถึงจุดที่ต้องเลี้ยวซ้ายก็ต้องทำให้คุณโจแปลกใจ เพราะว่ามันเป็นทางเข้าวัด! ซึ่งมันเป็นเส้นทางร่วม ก่อนจะถึงรีสอร์ทต้องผ่านวัดนี้เข้าไปก่อน คุณโจจึงเลี้ยวเข้าไป เมื่อเลี้ยวเข้าซุ้มประตูวัดไปแล้ว ก็เจอต้นไทรต้นใหญ่ อยู่ด้านหน้า ถัดไปมีโบสถ์ แล้วทางนี้จะต้องค่อย ๆ เลาะขอบข้างทางวัดไป ก็ต้องผ่านโบสถ์ ที่ไว้โกศกระดูกตั้งเรียงรายอยู่ คุณโจก็ลองขับเลาะไป ได้แต่ภาวนาในใจว่ามันอาจจะไม่ใช่ แต่สุดท้ายก็ขับไปเจอรีสอร์ทจริง ๆ รีสอร์ทนี้ตั้งอยู่ด้านหลังวัด เป็นตึกเป็น 2 ชั้น และเป็นบ้านพักทั้งหลังให้เลือก คุณโจเลือกบ้านพักที่เป็นหลัง เพราะว่าสะดวกกว่า หลังจากรับกุญแจเรียบร้อยแล้ว คุณโจก็ขับรถเข้าไปที่บ้านพัก ลักษณะของบ้านหลังนี้คือ เป็นบ้านชั้นเดียว มีที่จอดรถอยู่ด้านหน้า เมื่อลงจากรถก็ไขกุญแจเข้าบ้านได้เลย เวลาจอดรถก็จะบังบ้านจนมิด คนข้างนอกก็จะมองไม่เห็นบ้านเรา เราก็มองไม่เห็นคนข้างนอก และ 3 ด้านของบ้านหลังนี้จะเป็นสไตล์ก่อปูนเปลือย ด้านหน้าจะเป็นกระจกบานใหญ่ใส แล้วก็มีม่าน มีประตูไขเข้าไป ระหว่างที่คุณโจกำลังไขกุญแจเข้าบ้าน คุณโจก็เห็นพวงมาลัยแห้งวางอยู่ 3 - 4 พวง และธูปที่เคยถูกจุดไปแล้ว ด้วยความที่คุณโจกลัวว่าแฟนจะกังวล จึงหยิบทั้งหมดและโยนไปด้านข้างทันที ก่อนที่แฟนจะมาเห็น หลังจากนั้นก็ไขประตูเข้าบ้านไป ลักษณะด้านในของบ้านหลังนี้คือ เป็นบ้าน Studio ห้องน้ำอยู่ด้านใน เข้าไปแล้วจะเจอเตียงด้านซ้ายมือ 2 เตียง ตัวของคุณโจกับแฟนจะนอนคนละเตียงกัน คุณโจเลือกเตียงที่ติดกับริมกระจก ส่วนเตียงของแฟนจะอยู่ใกล้กับห้องน้ำ หลังจากจัดของกันเสร็จแล้ว คุณโจกับแฟนก็ออกไปหาอะไรทานข้างนอก จนคุณโจได้ลืมเรื่องของพวงมาลัยไป ประมาณ 3 - 4 ทุ่ม คุณโจและแฟนก็ได้เตรียมตัวเข้านอน เมื่อปิดม่านและปิดไฟเรียบร้อยแล้ว แต่คุณโจรู้สึกว่ามันมืดเกินไป มืดจนมองอะไรไม่เห็นจึงลุกขึ้นไปเปิดม่านเล็กน้อยเพื่อให้แสงเข้ามาได้ จากนั้นคุณโจก็กลับมาเล่นมือถือต่อ ส่วนแฟนของคุณโจหลับไปเรียบร้อย.. คุณโจเล่นมือถือไปได้สักพักก็รู้สึกว่ามีคนยืนอยู่นอกบ้าน จึงเหลือบตาไปมองช่องผ้าม่านที่เปิดแง้มเอาไว้ สิ่งที่คุณโจเห็นก็คือเป็นลักษณะเหมือนเงาคน คุณโจจึงพยายามมองให้ชัดว่ามันคืออะไร แต่ว่าภายในห้องนั้นมืดและข้างนอกเองก็มีเพียงแสงเล็กน้อย และได้เห็นเงาที่ว่านั่น เป็นเงาของคน และเป็นผู้หญิงแน่ ๆ เพราะว่า ช่วงผมที่มันฟูๆ จะเห็นได้ว่าเป็นผม ในระหว่างที่คุณโจกำลังพยายามจะมอง เหมือนกับว่าเขาคนนั้นกำลังหันหน้าจากขวาค่อย ๆ มาด้านซ้ายตรงที่คุณโจนอน แล้วมาหยุดตรงกันพอดี! คุณโจรู้สึกได้ว่าเขาชะงักเมื่อเห็นหน้าคุณโจ ตอนนั้นคุณโจไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่นนอกกลัวว่าคนนั้นจะเป็นโจรมางัดรถงัดบ้าน จึงรีบพุ่งตัวไปเปิดม่าน แต่จังหวะที่คุณโจพุ่งเข้าไปก่อนจะถึงม่าน เงานั้นก็ขยับตัวไปทางขวา คุณโจก็รีบเปิดม่านจนสุด แต่ปรากฏว่ามันไม่มีอะไรเลย! คุณโจคิดว่ามันเร็วมาก ไม่น่าจะหลบได้เร็วขนาดนั้น ทางด้านแฟนก็รู้สึกตัวตื่นจึงถามว่า “มีอะไรหรือเปล่า” คุณโจก็ตอบกลับไปว่า “อ๋อ ไม่มีอะไร แค่จะมาดูว่ารถจอดดีไหม” คุณโจไม่กล้าเล่าว่าเจออะไร จึงรีบกลับไปนอนและครั้งนี้ปิดม่านทึบไปเลย สักพักนึงคุณโจก็ผล็อยหลับไป.. คุณโจสะดุ้งตื่นเพราะว่ารู้สึกว่าถูกกระตุกที่ข้อเท้าแรงมากจนหัวตกจากหมอน ตอนนั้นคุณโจก็ยังมึนงงอยู่ และรู้สึกได้ว่าข้อเท้าทั้ง 2 ข้างนั้นเหมือนมีคนกำอยู่ เมื่อเหลือบตาไปมองปลายเท้า คราวนี้ห้องไม่ได้มืดเหมือนครั้งแรก ทำให้คุณโจเห็นว่ามีเงาอยู่ที่ปลายเท้า ซึ่งมือทั้ง 2 ข้างของเงานั้นกำลังกำข้อเท้าของคุณโจอยู่แน่นมาก! คุณโจพยายามจะขยับตัวหรือจะร้องออกมาแต่ก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงลืมตา จึงพยายามเพ่งมองว่ามันคืออะไร ในระหว่างที่คุณโจกำลังเพ่งมอง เงานั้นก็ค่อย ๆ สูงขึ้น แต่ว่ามือที่จับข้อเท้ายังอยู่ที่เดิม จากนั้นก็โน้มตัวเข้ามาข้างหน้า คุณโจเริ่มเห็นชัดเจนแล้วว่าคือผู้หญิงที่เห็นอยู่นอกบ้าน ผู้หญิงคนนั้นค่อย ๆ โน้มตัวเข้ามา โดยที่คุณโจก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แม้กระทั่งหลับตา ภาพนั้นมันใกล้มาก ๆ จนผมฟู ๆ ของผู้หญิงคนนั้นมาโดนใบหน้าของคุณโจ แต่หน้าของผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เข้ามาใกล้กับหน้าของคุณโจ ในระหว่างที่คุณโจกำลังคิด ก็ได้ยินเสียงพูดจากผู้หญิงคนนี้ว่า “ดูสิ ดูสิ อยากเห็นไม่ใช่หรอ” พูดซ้ำอย่างนี้อยู่ 2 รอบแล้วก็หัวเราะ! คุณโจก็พยายามที่จะสวดมนต์ แต่ด้วยความกลัวในตอนนั้นทำให้คุณโจสวดได้แค่ “นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ” วนอยู่แค่นี้ และขณะที่คุณโจพยายามสวด ผู้หญิงคนนั้นก็พูดมาเหมือนกันว่า “มองสิ มองสิ” แต่ ณ ตอนนั้นคุณโจก็หลับตาไม่ได้ เห็นตลอดแต่ว่ามองหน้าผู้หญิงคนนั้นได้ไม่ชัด แต่ยังมีความรู้สึกว่าก้อนผมนั้นยังมาคลอเคลียอยู่ที่หน้าเขาตลอด สักพักความรู้สึกทั้งหมดก็หายไป จึงลุกขึ้นมานั่งคิดว่าจะทำอย่างไรดี ถ้าเปิดไฟก็กลัวว่าแฟนจะตื่น คุณโจจึงพยายามนอนห่มผ้าหดขาดึงผ้าห่มให้ขึ้นมาจนถึงคอและก็หลับไปอีกรอบ.. แต่แล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นอีกเหมือนเดิม ขาที่คุณโจคิดว่าหดเข้าไปแล้วก็ถูกกระตุกจนหัวตกจากหมอนอีกรอบ ทุกอย่างเหมือนถูกรีรัน ตั้งแต่โดนจับข้อเท้า โน้มตัวเข้ามาแล้วสักพักก็หลุดไป ตัวคุณโจก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการมาแกล้งหรือว่าต้องการมาบอกว่าคุณโจทำอะไรผิด แต่คุณโจก็นึกคิดได้ว่าอาจจะเกี่ยวกับที่คุณโจโยนพวงมาลัยกับธูปทิ้งไป และในรอบ 2 นี้ ทันทีที่คุณโตเริ่มขยับตัวได้ก็รีบเปิดไฟและดูนาฬิกา ปรากฏว่าตอนนี้เป็นเวลา ตี 5 ครึ่ง แฟนของคุณโจพลิกตัวหันมาถามคุณโจว่า “นอนไม่หลับหรอ” คุณโจก็ยังไม่กล้าเล่าให้แฟนฟัง จึงตอบกลับไปว่า “เออใช่ นอนไม่หลับ” แฟนของคุณโจก็หันหลังกลับไป คุณโจตัดสินใจว่าไม่นอนต่อแล้ว จนเวลาเกือบ 6 โมงเช้า คุณโจก็ลุกไปเปิดม่าน แต่ก็ต้องทำให้คุณโตตกใจผงะถอยหลังออกมา เพราะว่าตำแหน่งที่คุณโจเห็นเงาผู้หญิงจากข้างนอกเมื่อคืนนี้ มีรอยมือที่ใหญ่และนิ้ว 4 นิ้วที่เรียวยาวมาก คุณโจก็ตัดสินใจเล่าให้แฟนฟัง หลังจากที่แฟนได้ฟังแล้ว แฟนก็เล่าในมุมมองของตัวเองบ้างว่า “นอนไม่หลับเหมือนกัน รู้สึกเหมือนมีแมลงหรือยุงมาไต่หน้าไต่แขน” หลังจากคุณโจได้ฟังก็คิดว่าว่าไม่น่าจะใช่ยุง จึงถามแฟนไปว่า “มันเหมือนผมหรือเปล่า ที่มันมาไรโดนหน้า” แฟนก็บอกว่า “ไม่รู้ แต่รู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในห้องนี้ รู้สึกเหมือนมีคนมาชะโงก แต่ว่าไม่กล้าลืมตา อาจจะเป็นผมก็ได้” ตัวแฟนก็ไม่กล้าพลิกตัวเพราะว่ากลัวคุณโจจะตื่น หลังจากคุยกันเสร็จ คุณโจก็ตัดสินใจเปิดประตูออกไปเพื่อที่จะไปดูรอยมือนั้นเพื่อหาเหตุผลว่ามันคือรอยอะไร พอเปิดประตูออกไป ตำแหน่งที่มีรอยมือนั้น ต้องเป็นคนที่สูงประมาณ 180 – 190 เซนติเมตร มือถึงจะอยู่ระดับนั้นได้ เพราะว่าพื้นห้องพักจะสูงกว่าลานจอดรถ ซึ่งรอยมือนี้เหมือนเป็นรอยมือจากไอร้อนอยู่ด้านนอก แล้วเป็นนิ้วที่ดูน่ากลัวมาก คุณโตก็คิดว่าอยู่อีกคืนไม่ได้แล้ว จะต้องย้ายที่พัก หลังจากนั้นคุณโตก็ไปแข่งกีฬา และไปเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็ถามว่า “ไปนอนที่นี่ใช่ไหม” คุณโจจึงบอกว่า “ใช่” เพื่อนคุณโจจึงบอกว่า “โห ส่วนใหญ่แล้ว นักกีฬาที่ไปพักที่นี่หรือคนที่ไปพักที่นี่ ก็จะมีประสบการณ์แบบนี้หมด” ในระหว่างที่คุณโจและเพื่อนกำลังคุยกันอยู่นักกีฬาอีกกลุ่มหนึ่งที่นอนบนตึกก็มาบ่นกันว่า “นอนไม่หลับ” คุณโจจึงเข้าไปถามว่าทำไมนอนไม่หลับ สรุปแล้วหลายคนก็เจอคล้ายกันกับคุณโจ แต่เขาไม่ได้เล่าละเอียด เล่ามาแค่ว่า “เขาโดนกวน นอนกันไม่ได้” เพื่อนก็บอกว่า “ก็เป็นไปได้ว่าถ้ามาที่นี่ก็มีโอกาสที่จะเจอ” แต่คุณโจก็ไม่ได้ไปถามผู้ดูแลต่อ เพราะว่าถ้าถามไปเขาก็คงไม่เล่าให้ฟัง จึงคิดเองว่า ที่พักนี้อยู่ใกล้กับวัด ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นสิ่งที่วนเวียนอยู่รอบ ๆ นี้ แต่สุดท้ายแล้วคุณโจก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่คุณโจเจอเกี่ยวอะไรกับห้องที่เขาพักหรือเปล่า..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เปลี่ยนบรรยากาศไปเล่าเรื่องผีในลานวัด แล้วดันตรงกับวันโกนพอดี เจอวิญญาณเดินเข้าออกเป็นว่าเล่น! ระหว่างถ่ายก็เจอวิญญาณกวนจนไมค์ใช้งานไม่ได้ แถมยังเห็นเจ้ากรรมนายเวรของแขกรับเชิญมาร่วมแจมด้วย!

25 ก.ค. 2023

เปลี่ยนบรรยากาศไปเล่าเรื่องผีในลานวัด แล้วดันตรงกับวันโกนพอดี เจอวิญญาณเดินเข้าออกเป็นว่าเล่น! ระหว่างถ่ายก็เจอวิญญาณกวนจนไมค์ใช้งานไม่ได้ แถมยังเห็นเจ้ากรรมนายเวรของแขกรับเชิญมาร่วมแจมด้วย!

สำหรับรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ครั้งนี้ (11 กรกฎาคม 2566) ยังอยู่กับ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจแนน’ เช่นเคย มาพร้อม ‘คุณอุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี’ ที่จะมาเล่าเรื่องหลอนชวนผวาขณะถ่ายรายการเรื่องเล่าแคมป์ไฟ รายการเล่าเรื่องผีของคุณอุ๋มอิ๋มเอง เรื่องจะหลอนขนาดไหน ปิดไฟแล้วไปอ่านกันเลย! เรื่องราวในครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนที่คุณอุ๋มอิ๋มจะมารายการอังคารคลุมโปงเพียงไม่กี่วัน เป็นช่วงขณะที่กำลังถ่ายทำรายการเรื่องเล่าแคมป์ไฟอยู่บริเวณลานวัด ซึ่งปกติแล้ว รายการจะมีสถานที่ประจำในการถ่ายทำอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ทีมงานเห็นว่าลานวัดตรงนี้ให้บรรยากาศหลอนชวนขนหัวลุกมากกว่า จึงตัดสินใจเปลี่ยนมาถ่ายทำที่สถานที่แห่งนี้แทน เมื่อวันถ่ายทำมาถึง ฝนก็ตกลงมาตลอดทั้งวัน ในช่วงเย็นบรรยากาศยังไม่น่ากลัวเท่าไหร่ พอถึงเวลาถ่ายทำรายการประมาณ 2 ทุ่ม ฝนหยุดตก และบริเวณนั้นก็ไม่มีไฟฟ้า ทีมงานจึงต้องเตรียมอุปกรณ์ไปเอง นอกจากนี้บริเวณที่ถ่ายทำนั้นยังมีต้นหูกระโจงสูงใหญ่กางออกแกมกับไม้ต้นเล็ก ๆ อยู่ริมคลอง ถัดจากจุดที่ทีมงานและคุณอุ๋มอิ๋มอยู่ มีต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของคนในหมู่บ้านและยังมีชุดไทยอีกประมาณ 30 ชุดวางเรียงราย ด้านหลังเป็นห้องน้ำเก่าที่ไม่มีใครใช้แล้ว เมื่อสำรวจมาถึงตรงนี้ ทีมงานถึงกับพูดออกมาเลยว่าถ่ายรายการจบเมื่อไหร่ จะไปนั่งสมาธิโชว์ให้ทุกคนดูตรงห้องน้ำ ก่อนเริ่มถ่ายรายการ มีทีมงานเดินเข้ามาบอกคุณอุ๋มอิ๋มว่า “วันนี้เป็นวันโกน” ปกติคุณอุ๋มอิ๋มเป็นคนเห็นผีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าวันนี้ จะเป็นวันที่ได้เห็นเยอะขนาดนี้! คุณอุ๋มอิ๋มบอกกับดีเจทั้งสองคนฟังว่า “มันเหมือนคนมาเดินตลาดนัด” ทั้งเห็นออกเข้าวัด เดินสวนเข้าด้านข้างเยอะเต็มไปหมด แต่คุณอุ๋มอิ๋มก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเป็นเรื่องปกติของวันโกนที่วิญญาณจะถูกปล่อยออกมาขอส่วนบุญ รายการเล่าเรื่องผีของคนอุ๋มอิ๋มนี้ จะเชิญแขกรับเชิญมาเล่าประสบการณ์หลอนที่เคยเจอมา หลังจากเริ่มถ่ายทำรายการทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี กระทั่งถึงคิวแขกรับเชิญคนที่สอง คุณอุ๋มอิ๋มเริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าดังเป็นจังหวะ แต่ก็พยายามคิดว่าเป็นเสียงของน้ำที่ไหลลงมาจากต้นหูกระโจง แต่สิ่งที่ได้ยินกับสิ่งที่คิดไว้น่าจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน หลังจากนั้นแขกรับเชิญและคุณอุ๋มอิ๋มก็เริ่มสัมผัสได้ถึงพลังงานอะไรบางอย่าง! จึงตกลงกันว่าจะไม่หันไปทัก อย่างไรก็ดี สายตาคุณอุ๋มอิ๋มก็หันไปเห็นชายร่างท้วมใหญ่ ตัดผมเกรียน แต่งกายด้วยสีดำทั้งตัว เดินวูบผ่านข้างหลังไป! คุณอุ๋มอิ๋คิดว่าวิญญาณดวงนี้คงแค่อยากลองมาทักทายเท่านั้น แต่เมื่อดวงวิญญาณนี้เดินผ่านไป เขาก็เดินกลับมาอีกครั้ง! จังหวะนั้นทั้งคุณอุ๋มอิ๋มและแขกรับเชิญต่างหันหลังพร้อมกัน เสียงที่ได้ยินก็ยังคงเหมือนเดิม และเมื่อเธอหันไปบอกตากล้อง ตากล้องก็บอกว่าเขาก็ได้ยินเช่นกัน! รายการยังต้องดำเนินต่อไป คุณอุ๋มอิ๋มคิดว่าตอนนี้ผีคงสนุกกับการที่จะได้แกล้งพวกเธอ จากนั้น คุณอุ๋มอิ๋มก็เห็นวิญญาณเดินมาข้างหลังแขกรับเชิญแล้วก็เป่าไปที่หูของเขา! คุณอุ๋มอิ๋มคิดในใจว่า “อย่ากลัวนะ” และสิ่งที่แขกรับเชิญคนนี้แสดงออกมาเป็นเพียงแต่การปัดหู เหมือนมีแมลงมาตอม ซึ่งก็โชคดีที่เขาเป็นคนไม่กลัวผี เขาบอกกับคุณอุ๋มอิ๋มว่าเดี๋ยวรอให้ถ่ายเทปนี้จบก่อน จากนั้นจะไปเคลียร์ คุณอุ๋มอิ๋มจำเป็นต้องใช้สถานที่ตรงนี้ถ่ายทำรายการต่อให้เสร็จ เธอจึงขอให้ผีอย่าพึ่งรบกวน แต่ยิ่งพูดก็ดูเหมือนจะยิ่งได้ใจกว่าเดิม คุณอุ๋มอิ๋มเหลือบไปมองแขกรับเชิญผู้หญิงอีกคนหนึ่งและพบว่ามีเจ้ากรรมนายเวรตามเธอมาเป็นจำนวนมาก! คุณอุ๋มอิ๋มคิดว่าตนคงเข้าแอดมิดแน่นอน ถ้าบอกผู้หญิงคนนั้นไปว่าตอนนี้ว่าคุณอุ๋มอิ๋มเห็นอะไร และในตอนที่แขกรับเชิญหญิงคนนั้นเดินกลับมาจากการเปลี่ยนเสื้อ ก็มีวิญญาณประมาณ 3 - 4 ตนจิ้มไปที่หลังของแขกรับเชิญคนนั้นตลอดเวลา คุณอุ๋มอิ๋มสงสัยว่าพวกเขาจะจิ้มไปทำไม แต่ก็ห้ามใจไว้ไม่พูดหรือสื่อสารอะไรออกไป รายการจำเป็นต้องถ่ายทำต่อ แขกรับเชิญผู้หญิงก็เริ่มเล่าเรื่องของเธอ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเจ้ากรรมนายเวรที่ตามติดตัวพอดี แต่ไม่ทันไรทีมงานก็ต้องบอกให้หยุดเล่าก่อน เพราะมีสัญญาณรบกวนในไมค์ตลอดเวลา พอเปลี่ยนไมค์อีกครั้งก็ยังแทรกเหมือนเดิม ประสบการณ์ทำให้คุณอุ๋มอิ๋มตระหนักได้ว่าอะไรแบบนี้เกิดจากมีวิญญาณพยายามที่จะรบกวนการทำงาน คุณอุ๋มอิ๋มคิดว่าสิ่งที่ตามแขกรับเชิญคนนี้อยู่น่าจะไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวรกลุ่มเดิมกับในเรื่องที่เล่า เพราะเจ้าของเรื่องเธอเล่าว่ามันเกิดขึ้นมาเมื่อ 20 กว่าปีแล้ว เมื่อตากล้องพยายามเปลี่ยนไมค์เป็นครั้งที่ 3 ก็ปรากฎว่าไม่เป็นผลสำเร็จ คุณอุ๋มอิ๋มจึงตัดสินใจนำ “กระบองอากง” เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ออกมาตั้งไว้ข้างหลัง และคราวนี้ก็ไม่เสียงใด ๆ มารบกวนอีกเลย.. เมื่อเรื่องถูกเล่าไปสักพัก คุณอุ๋มอิ๋มก็เริ่มได้กลิ่นเน่าของคนโชยมา ในใจก็เริ่มถามกับดวงวิญญาณต่าง ๆ ที่มาป่วนการถ่ายทำในครั้งนี้ว่าพวกเขาต้องการอะไร สักพักก็มีร่างผู้หญิงคนหนึ่ง ผมหยักศก ตาโบ๋ ใส่เสื้อผ้าเก่าทรุดโทรม สูงประมาณ 150 เซนติเมตร ปรากฏขึ้นมาข้างหลังแขกรับเชิญ วิญญาณตนนี้จิ้มไปมาที่หัวของแขกรับเชิญ ตอนนั้นคุณอุ๋มอิ๋มไม่ได้แผ่บุญให้กับวิญญาณตนนี้ เธอบอกกับวิญญาณตนนี้ว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นมันผิด แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ในที่สุดก็อาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาช่วยแทน! คุณอุ๋มอิ๋มขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์พาวิญญาณผู้หญิงตนนี้ไปสู่ภพภูมิที่ดี และหากตนมีเศษเสี้ยวของบุญในลักษณะที่วิญญาณตนนี้ต้องการก็ขอให้เขาได้รับมันไป และยังขอให้สิ่งเร้นลับที่เจอปล่อยมือจากแขกรับเชิญ แต่คุณอุ๋มอิ๋มก็ช่วยได้เพียงดวงวิญญาณนี้ดวงเดียวเท่านั้น ส่วนที่เหลือนั้นคุณอุ๋มอิ๋มไม่สามารถช่วยได้ หลังจากถ่ายรายการเสร็จในวันนั้น คุณอุ๋มอิ๋มก็นำเรื่องนี้มาเล่าให้กับทีมงานของเธอฟัง สิ่งที่น่าสนใจก็คือคืนนั้นไม่ใช่แค่คุณอุ๋มอิ๋มคนเดียวที่ได้กลิ่นศพเน่า แต่ทุกคนในกองก็ได้กลิ่นนั้นเหมือนกัน!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

หนุ่มนักศึกษาเช่าบ้านอยู่กับเพื่อน กลับมาเจอผีผู้หญิงคลานออกมาจากตี่จู่เอี๊ยะ! โทรถามเพื่อนก็บอกว่าไม่มีคนอยู่บ้าน คืนนั้นจึงตั้งวงกินเหล้า พอเริ่มเมาก็ปากเสียตะโกนถามว่า “ถ้ามึงมีอยู่จริง มึงมาทำให้กูรู้ว่ามึงตายยังไง!”

01 ธ.ค. 2023

หนุ่มนักศึกษาเช่าบ้านอยู่กับเพื่อน กลับมาเจอผีผู้หญิงคลานออกมาจากตี่จู่เอี๊ยะ! โทรถามเพื่อนก็บอกว่าไม่มีคนอยู่บ้าน คืนนั้นจึงตั้งวงกินเหล้า พอเริ่มเมาก็ปากเสียตะโกนถามว่า “ถ้ามึงมีอยู่จริง มึงมาทำให้กูรู้ว่ามึงตายยังไง!”

เรื่องสยองขวัญนี้ มีชื่อเรื่องว่า ‘เรื่องผีมีอยู่จริง’ โดย ‘คุณณัฐผี’ แขกรับเชิญในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 พฤศจิกายน 2566) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันเลย! เรื่องราวความสยองนี้ เป็นประสบการณ์ตรงจากคุณณัฐ เริ่มขึ้นเมื่อเขาได้ย้ายเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพมหานคร จึงตัดสินใจที่จะเช่าบ้านและอยู่กับเพื่อนหลายคน เพราะคุณณัฐและเพื่อน ชอบเล่นดนตรีกันมาก จึงคิดว่าเช่าบ้านอยู่ด้วยกันก็จะสะดวกมากกว่า ซึ่งบ้านเช่าหลังนี้เป็นอาคารอาคารพาณิชย์หลังเก่า มีทั้งหมด 4 ชั้น เคยเป็นร้านเกมส์มาก่อน ทำให้ประตูด้านหน้าเป็นกระจก ภายในตัวบ้านจะค่อนข้างโล่ง และลึกยาวเข้าไป ด้านหลังเป็นบันไดสำหรับใช้ขึ้นไปยังชั้น 2 หลังบันไดจะมี ‘ตี่จู่เอี๊ยะ’ ตั้งไว้บริเวณนั้น ในแต่ละชั้นของบ้านจะถูกแบ่งโซนไว้อย่างชัดเจน โดยชั้น 2 ถูกแต่งเติมเป็นห้องนอน 2 ห้อง ส่วนชั้น 3 เปลี่ยนให้เป็นสตูดิโอสำหรับซ้อมดนตรีและห้องอัด และชั้นสุดท้ายคือชั้น 4 เป็นห้องนอนอีก 1 ห้อง วันหนึ่ง หลังจากที่คุณณัฐกลับมาจากการทำธุระข้างนอก เวลาตอนนั้นประมาณ 3 ทุ่มกว่า เขาสังเกตเห็นว่าไฟยังคงเปิดไว้จึงคิดว่ามีคนอยู่ในบ้าน ขณะที่กำลังจะเปิดประตู ปรากฏว่าประตูดันล็อก จึงตัดสินใจส่องผ่านกระจกเข้าไปดูว่ามีใครอยู่ข้างในหรือไม่ ระหว่างที่กวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อมองหาคนช่วยเปิดประตู สายตาดันไปเจอกับมือของผู้หญิงกำลังยืนขึ้นมาจากด้านหลังของตี่จู่เอี๊ยะ! เหมือนกับว่ากำลังพยายามผลักตัวเองให้ลุกขึ้นมา ไม่นานหัวก็โผล่พ้นขึ้นมาพร้อมกับค่อย ๆ เอาคางมาวางไว้ที่กำแพง! คุณณัฐคิดว่าคงเป็นพี่ที่รู้จัก จึงเรียกชื่อไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีการตอบกลับจากใครเลย จึงตัดสินใจเพ่งเล็งดูอีกครั้ง ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นก็ยังคงมองอยู่ในลักษณะเดิม คือจ้องมองมาที่คุณณัฐ แต่สิ่งที่น่าขนลุกไปกว่านั้นคือเขาเห็นว่าผู้หญิงที่กำลังสบตาด้วยนั้นไม่มีจมูกและปาก! ดวงตากลมโต ใบหน้าขาวซีด! คุณณัฐผีเห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งหนีไป ระว่างที่วิ่งอยู่ก็เห็นตู้โทรศัพท์จึงตัดสินใจว่าจะโทรไปหารุ่นพี่ แต่ปลายสายกลับบอกว่าไม่มีใครอยู่ที่บ้าน ทุกออกไปเดินห้างกันหมด เมื่อได้ยินแบบนั้น คุณณัฐก็รู้สึกกลัวมาก รีบบอกให้รุ่นพี่รีบกลับมาที่บ้านทันที! เมื่อทุกคนกลับมาถึงบ้าน ก็มีการตั้งวงสังสรรค์นับสิบคนได้ พอเริ่มกริ่มได้ที่ก็คิดอยากลองทำอะไรแผลง ๆ เริ่มจาก ‘พี่ปอ’ (รุ่นพี่ของคุณณัฐ) ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ถ้ามึงมีอยู่จริง มึงมาทำให้กูรู้ว่ามึงตายยังไง!” หลังจากท้าทายเสร็จ ไม่นานทุกคนก็เมากันหมด จึงพากันหลับรวมกันอยู่ที่ชั้น 4 รุ่งขึ้น พี่ปอก็มาปลุกทุกคน แล้วพูดว่า “เห้ย กูรู้แล้ว เขาตายยังไง!” ทุกคนตกใจสะดุ้ง แล้วรีบถามถึงเรื่องราวจากพี่ปอ พี่ปอเล่าว่า หลังจากที่เลิกจากวงเหล้า พี่ปอก็เข้าไปนอนในห้องกับแฟน ปรากฏว่าระหว่างที่หลับ ก็ฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผมยาว ใส่ชุดสีขาว ในฝันเธอพูดว่า “มึงอยากเห็นกูตายใช่มั๊ย งั้นมึงดู!” หลังจากผู้หญิงคนนั้นพูดจบ พี่ปอก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก่อนเธอจะเสียชีวิต เธอถูกผู้ชายฉุดมาข่มขืน หลักจากโดนกระทำชำเราจนสาแก่ใจชายโฉด ก็ถูกฆ่าโดยการถูกขวานฝ่ามาที่หน้า! เธอทุรนทุรายอยู่นาน แต่สุดท้ายก็เสียชีวิตไปในที่สุด ในตอนนั้นพี่ปอคิดว่าเป็นแค่ฝัน แต่หลังจากที่ตื่นนอนก็ได้หาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ ปรากฏว่าเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริง จึงคิดว่าจะหาวันไปทำบุญให้ ก่อนวันที่จะไปทำบุญก็มีการเตรียมของก่อน 1 วัน ในคืนนั้น ทุกคนเข้านอนกันตามปกติ แต่ที่แปลกคือคืนนั้นทุกคนฝันคล้ายกันว่ามีผู้หญิงมาเข้าฝัน เธอพูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นว่า “พวกมึงจะไล่กูใช่มั๊ย!” รุ่งขึ้นทุกคนจึงมารวมตัวกัน และได้เล่าสิ่งที่ฝันสู่กันฟัง จากนั้นจึงตัดสินใจพากันจุดธูปเพื่อบอกว่าไม่ได้มีเจตนาจะไล่แต่อย่างใด แค่จะไปทำบุญให้เท่านั้นเอง หลังจากทำบุญเสร็จทุกคนที่อยู่บ้านหลังนี้ก็ไม่ได้เจอกับผู้หญิงคนนี้อีกเลย กลับกลายเป็นว่าคนที่แวะเวียนมามักจะเจอเรื่องราวแปลก ๆ อยู่เสมอ ทั้งเห็นว่ามีบางอย่างเดินผ่านบ้าง ประตูปิดเองบ้าง พอคิดว่าคนแกล้งแต่เมื่อออกไปดูก็จะไม่เห็นใครเลย สุดท้ายแล้ว ทุกคนก็ตัดสินใจที่จะไม่เช่าต่อ และย้ายออกไป หลังจากนั้นไม่นาน ผู้เช่าใหม่ก็ได้มาเช่าต่อ เพื่อเปิดเป็นร้านทำสปาในชั้นแรก ชั้นที่ 2 ให้บริการอบไอน้ำ เมื่อมีลูกค้ามาใช้บริการที่ร้านก็มักจะรู้สึกว่ามีคนแอบมองอยู่ตลอดเวลา บางทีเจ้าของร้านเอง ก็สัมผัสถึงดวงวิญญาณของผู้หญิงคนนี้ได้เหมือนกัน วันหนึ่ง เธอสวดมนต์อยู่ที่ชั้น 4 ในระหว่างที่กำลังสวดมนต์อยู่ ลูกก็ขึ้นมาหา แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือ แม่กำลังนั่งสวดมนต์ปกติ แต่ตัวแม่งอผิดปกติ เหมือนกับว่ากระดูกงอหักไป เพราะเห็นผู้หญิงกำลังนั่งค่อมบริเวณไหล่อยู่! จากนั้นจึงถามแม่ว่า “แม่เป็นอะไร” เธอตอบว่า “ไม่ได้เป็นอะไร แต่รู้สึกว่าปวดตัวแปลก ๆ” หลักจากนั้นทั้งคู่ก็เดินลงมาชั้นล่าง ลูกชายจึงตัดสินใจเล่าสิ่งที่เห็นให้แม่ฟังทั้งหมด หลังจากนั้นแม่ก็เจอเรื่องสุดหลอนมาโดยตลอด จนต้องเลิกกิจการ ในขณะที่เธอและลูกชายกำลังขนย้ายสัมภาระอยู่นั้น ก็มองไปที่รูปภาพที่เธอบูชา จึงคิดว่าจะนำไปด้วย ในขณะที่มือเอื้อมไปหยิบกรอบรูป และดึงด้ายสายสิญจน์ออก ปรากฏว่าผ้ายัญก็หลุดออกมา ทั้ง ๆ ที่ถูกแปะไว้คนละจุดกับด้ายสายสิญจน์ เธอรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ตัดสินใจเก็บสัมภาระให้เสร็จเร็ว ๆ หลังจากปิดกิจการก็ย้ายกลับมาอยูบ้าน คืนหนึ่งระหว่างที่นอนหลับ ก็ฝันเห็นผู้หญิงคนนั้น ในฝันเธอบอกว่า “หนูขอบคุณมากนะ หนูออกจากที่นั่นได้แล้ว” และฝันแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง จนคืนหนึ่ง เธอก็ฝันถึงผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง เธอมาบอกว่า “พี่ หนูไปก่อนนะ” หลังจากนั้นก็ไม่เคยฝันเห็นผู้หญิงคนนั้นอีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1