สามเหตุการณ์หลอนจากพี่ปิ๊ด Bodyslam

อังคารคลุมโปง RECAP

สามเหตุการณ์หลอนจากพี่ปิ๊ด Bodyslam

11 มี.ค. 2024

        เรื่องนี้ ‘พี่ปิ๊ด Bodyslam’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 มีนาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’  เป็นเรื่องเกี่ยวกับบ้านหลังเก่าที่คุณปิ๊ดมักจะเจอเหตุการณ์หลอนที่ทำเอาทีมงานไม่กล้ามาบ้าน! เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย

เหตุการณ์ที่หนึ่ง

        เรื่องนี้เกิดขึ้นที่บ้านหลังเก่าของพี่ปิ๊ด วันหนึ่งพี่ปิ๊ดไปดื่มสังสรรค์จนเมา แต่วันรุ่งขึ้นมีงานที่จะต้องเดินทางด้วยเครื่องบินทำให้ต้องตื่นเช้า พี่ปิ๊ดกลัวว่าตนจะตื่นไม่ทัน จึงโทรไปหาผู้จัดการส่วนตัวให้มาปลุกที่บ้าน ระหว่างที่พี่ปิ๊ดนอนหลับอยู่ในห้องน้ำ จนใกล้เวลาที่จะต้องตื่นมาเตรียมตัว ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเสียงดัง พี่ปิ๊ดคิดว่าน่าจะเป็นเสียงเคาะของผู้จัดการ จึงเดินไปเปิดประตู ปรากฏว่าไม่เจอผู้จัดการ ข้างนอกว่างเปล่าไม่มีใคร พี่ปิ๊ดจึงโทรศัพท์ไปหาผู้จัดการถามว่า “อยู่ที่ไหน?” ผู้จัดการกลับตอบว่า “ยังไม่ได้ออกจากบ้าน” พี่ปิ๊ดคิดว่าอาจจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านที่มาช่วยไม่ให้ตกเครื่องบิน และนี่คือเหตุการณ์แรกที่พี่ปิ๊ดเจอในบ้าน

เหตุการณ์ที่สอง

        ขณะที่พี่ปิ๊ดกำลังนอนอยู่บนเตียงในตอนเช้า ซึ่งจะปิดผ้าม่านให้ห้องมืดสนิด เมื่อนอนหลับไปสักพักก็ได้ยินเสียงสะบัดผ้าม่านแรง ๆ ไปมา พี่ปิ๊ดจึงลืมตาขึ้นมา มองเห็นเป็นผู้ชายยืนอยู่ที่ปลายเท้า และผู้ชายคนนั้นก็กำลังจ้องหน้าพี่ปิ๊ดอยู่พร้อมกับใช้มือสะบัดม่านแรง ๆ พี่ปิ๊กนิ่งไปสักพักและคิดว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของตนเอง น่าจะพูดคุยกันรู้เรื่อง พี่ปิ๊ดตัดสินใจพูดกับผู้ชายคนนั้นว่า “ขอเถอะ จะนอน” ปรากฏว่าได้ผล ผู้ชายคนนั้นหยุดสะบัดผ้าม่านแล้วก็เดินหายไปอีกทาง!

เหตุการณ์ที่สาม

        พี่ปิ๊ดกับภรรยามีแพลนไปเที่ยวทะเล ตนจึงพูดลอย ๆ ขึ้นมาว่า “ถ้าหวยงวดหน้าออกเลขที่บ้าน เดี๋ยวจะซื้ออาหารทะเลมาไหว้” พอถึงวันที่หวยออกก็ไม่ถูก พี่ปิ๊ดกับภรรยาก็ไปเที่ยวทะเลตามแพลนที่วางไว้ ขากลับก็ซื้ออาหารทะเลมาด้วย แต่ไม่ได้ตั้งใจซื้อมาไหว้เพราะไม่ถูกหวย พอถึงบ้านก็นั่งกินอาหารทะเลกับภรรยา และในขณะที่กำลังจะตักอาหารเข้าปาก ก็ได้ยินเสียงเหมือนกับมีคนเอาเหรียญเคาะตู้ปลาถี่ ๆ ต่อกันยาว พี่ปิ๊ดเล่าว่าขณะที่กำลังตักอาหารเข้าปาก ตัวเองกับภรรยาตัวค้างนิ่งทั้งคู่เพราะลึก ๆ ในใจรู้อยู่แล้วว่าตัวเองเคยพูดอะไรไว้ พี่ปิ๊ดจึงตัดสินใจแบ่งอาหารทะเลบางส่วน จุดธูป แล้วไปวางไว้ เสียงเคาะตู้ปลาก็เงียบลงแล้วสถานการณ์ก็กลับมาเป็นปกติ

        พี่ปิ๊ดได้นำเรื่องราวที่เจอไปเล่าให้ทีมงานฟัง ทำให้ทีมงานกลัว ไม่มีใครกล้าไปบ้านพี่ปิ๊ด ถึงจะไม่กล้าอย่างไรทีมงานก็ยังต้องมารับพี่ปิ๊ดที่บ้าน พร้อมกับต้องช่วยขนของอุปกรณ์ต่าง ๆ และต้องยืนรอพี่ปิ๊ดล็อกประตูบ้าน แต่วันหนึ่ง อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงปิดประตูเสียงดังมากมาจากข้างบนบ้าน พี่ปิ๊ดก็ได้ยินเสียงจึงหันหลังเพื่อจะดูว่าทีมงานได้ยินเหมือนกันหรือไม่ ปรากฏว่าทีมงานทุกคนวิ่งหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง!

        ปัจจุบันนี้ พี่ปิ๊ดขายบ้านหลังนี้ไปแล้ว ก่อนหน้าที่จะขายบ้านได้ นายหน้าคนแรกทำอย่างไรก็ขายบ้านไม่ได้ จนกระทั่งเปลี่ยนนายหน้าคนใหม่ พี่ปิ๊ดจึงให้นายหน้าคนใหม่ไหว้พระที่บ้าน หลังจากนั้นผ่านมาไม่กี่วันก็ขายบ้านได้

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ตู้ในตำนานของห้องซ้อมวงโยธวาทิต ที่ถูกปิดล็อกเอาไว้อย่างดี จู่ ๆ แม่กุญแจก็แกว่งเองเสียงดัง! หัวหน้าวงจึงนั่งสมาธิเพื่อสื่อสาร แต่แล้วเขาก็ลุกขึ้นมาบีบคอคนในวงโดยที่ไม่รู้ตัว! สุดท้ายจำได้ว่าในสมาธินั้นเจอพ่อแก่มาบอกว่าไม่พอใจที่มีคนไม่เคารพเครื่องดนตรี!

04 ก.ย. 2023

ตู้ในตำนานของห้องซ้อมวงโยธวาทิต ที่ถูกปิดล็อกเอาไว้อย่างดี จู่ ๆ แม่กุญแจก็แกว่งเองเสียงดัง! หัวหน้าวงจึงนั่งสมาธิเพื่อสื่อสาร แต่แล้วเขาก็ลุกขึ้นมาบีบคอคนในวงโดยที่ไม่รู้ตัว! สุดท้ายจำได้ว่าในสมาธินั้นเจอพ่อแก่มาบอกว่าไม่พอใจที่มีคนไม่เคารพเครื่องดนตรี!

‘อังคารคลุมโปง X’ (29 สิงหาคม 2566) ที่ผ่านมา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ได้เปิดไมค์ต้อนรับ ‘คุณไอซ์’ สายจากทางบ้านที่โทรมาเล่าประสบการณ์หลอนสมัยที่ยังอยู่ในวงโยธวาทิตของโรงเรียน กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ตู้ลับในห้องวงโย’ จะชวนขนลุกขนาดไหน ตั้งสติให้ดีแล้วไปอ่านต่อกันเลย! ย้อนกลับไปช่วงมัธยม คุณไอซ์เคยเป็นเด็กวงโยธวาทิตของโรงเรียนแห่งหนึ่ง โดยปกติแล้ว วงโยฯจะต้องอยู่ซ้อมตั้งแต่บ่ายสองถึงห้าโมงเย็น ในบริเวณที่ซ้อมนั้นจะเป็นลักษณะห้อง 2 ส่วน คือห้องเล็กเป็นห้องพักครู และห้องใหญ่เป็นห้องสำหรับซ้อม ซึ่งสามารถมองทะลุหากันได้ แต่จะไม่มีหน้าต่าง เป็นห้องที่บุผนังด้วยแผงไข่ และมีตู้เหล็กไว้เก็บเครื่องดนตรี ในวันนั้นเหตุการณ์เกิดขึ้นประมาณบ่าย 3-4 โมงเย็น มีคนที่ยังอยู่ซ้อมทั้งหมดหกคน หนึ่งในนั้นเป็นพี่ผู้ชายคนนึง ซึ่งเป็นมือกลองประจำวง กำลังนั่งตีกลองชุดอยู่ ตำแหน่งของกลองชุดนั้นตั้งอยู่หน้าตู้เก็บเครื่องดนตรี ขณะที่เขากำลังตีกลองอยู่สักพัก เขาก็วิ่งกรี๊ดออกมา! และตะโกนโวยวายหาหัวหน้าวง ซึ่งเป็นคนที่ค่อนข้างมีเซนส์ว่า “พี่ที พี่ที พี่ ผมเห็นอะไรไม่รู้ วาร์ปออกมาตรงตู้ ผมเห็นจริง ๆนะ ” แต่ทุกคนก็บอกกลับไปว่า “ คิดมาก มันเป็นห้องปิด มีแค่ไฟหลอด เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะมีอะไร” ในจังหวะที่เถียงกันอยู่นั้น สายตาคุณไอซ์ก็เหลือบไปเห็นตู้หนึ่ง มันเป็นตู้ที่เคยมีตำนานว่าเคยมีคนเจอบางสิ่งบางอย่างกันบ่อย ตรงนั้นเป็นตู้ที่ล็อกแม่กุญแจ แต่จู่ ๆ แม่กุญแจนั้นมันก็แกว่งและมีเสียงขึ้นดัง “แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก” ตีกับตู้เหล็กโดยไม่มีเหตุผล! แล้วพี่มือกลองที่วิ่งออกมา เขาก็ตะโกนออกมาอีกครั้ง “เห้ยพี่! เห้ยเนี่ย เห้ยทำไมแม่กุญแจมันแกว่งแบบนั้นอะ เห้ย! ” พอเขาพูดขึ้นมา แม่กุญแจก็แกว่งแรงขึ้นอีก แรงขึ้นเรื่อย ๆ คุณไอซ์และเพื่อนผู้หญิงก็รีบวิ่งลงมาก่อน เพื่อนผู้ชายตัดสินใจเข้าไปรอที่ห้องพักครู ส่วนพี่ทีจะเข้าไปดูเพียงคนเดียวว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ที่ห้องซ้อม จังหวะที่พี่ทีเข้าไปในห้อง เขานั่งลงทำสมาธิ เหมือนพยายามที่จะสื่อ และพูดคุยว่าเกิดอะไรขึ้น ตรงนี้มีใคร ต้องการจะทำอะไรถึงได้มีน้องเห็นเป็นแสงวาร์ปออกมา และแม่กุญแจแกว่งได้ยังไงทั้ง ๆ ที่เป็นห้องปิด และไม่มีลมเลย... สักพักพี่ทีก็เดินออกมาจากห้องซ้อมใหญ่ และเดินตรงมาบีบคอเพื่อนผู้ชาย ที่ยืนรออยู่ที่ห้องพักครู เพื่อนที่ถูกบีบคอเริ่มทนไม่ไหวจึงพูดขึ้นมาว่า “ถ้าพี่ไม่ปล่อยผม ผมจะต่อยหน้าพี่จริง ๆนะ!” แล้วเพื่อนก็ต่อยเข้าที่หน้าด้านขวาจริง ๆ พี่ทีก็ล้มลงไป จากนั้นเพื่อนคนที่ถูกบีบคอก็รีบวิ่งหนีออกและกลับบ้านทันที หลังจากนั้น พอพี่ทีรู้สึกตัว เขาก็เล่าว่าตอนที่นั่งสมาธิ เขาเห็นว่ามีพ่อแก่ที่เป็นครูมาบอกว่า “ทำไมมีคนเอาขลุ่ยเพียงออ ไปเช็ดกระโปรงแบบนั้น” เขาเลยมาแสดงให้เห็นว่าเขาไม่พอใจ ให้ไปทำพิธีขอขมาเครื่องดนตรีก่อน ใครที่อยู่สายดนตรีไทยอยู่แล้ว เขาจะถือกันว่าห้ามทำพฤติกรรมที่แสดงถึงการไม่เคารพเครื่องดนตรี เพราะของทุกชิ้นมีครูดูแล..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณจอย 'ทางที่ต้องเลือก' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 22 ต.ค. 2567]

26 ต.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณจอย 'ทางที่ต้องเลือก' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 22 ต.ค. 2567]

ขนหัวลุกไปกับเรื่องหลอนจาก ‘คุณจอย‘ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ทางที่ต้องเลือก’ จากรายการอังคารคลุมโปง X (22 ตุลาคม 2567) โดยมี ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ หลอนไปพร้อมกัน เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่วิญญาณคุณจอยออกจากร่าง และเกือบจะเลือกทางผิด! จะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย! คุณจอยได้เล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว ตอนนั้นคุณพ่อเเละคุณแม่ทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งบริษัทก็มีบ้านพักไว้ให้พนักงาน บ้าน 1 หลังให้พัก 2 ครอบครัว ครอบครัวของคุณจอยพักอยู่ชั้นล่าง ครอบครัวพี่ปรีชาอยู่ชั้นบน ในตอนนั้นคุณจอยทำงานที่โรงพยาบาลหนักจนมีความเครียดสะสม ทำให้มีอาการปวดท้องบ่อย โดยปกติเเล้วเวลาเลิกงานของคุณจอยคือ 2 ทุ่ม เเต่วันนั้นพี่หัวหน้าพยาบาลเห็นอาการของตนไม่ค่อยดี จึงบอกให้คุณจอยกลับก่อน ตนจึงกลับถึงบ้านเวลาประมาณ 1 ทุ่ม เมื่อถึงบ้านเเล้วตนรู้สึกหิวข้าวมากจึงเดินไปหาคุณเเม่เเล้วถามว่ามีอะไรให้กินหรือไม่ คุณเเม่ : อ่าว เวลานี้มันจะมีอะไรกินล่ะ ก็เห็นปกติเเล้วเห็นซื้อมากิน คุณจอย : พอดีวันนี้ไม่สบาย ก็เลยกลับมาบ้านเลย ก็ไม่คิดว่าที่บ้านจะไม่มีอะไรกิน คุณเเม่ : งั้นไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากินสิ คุณจอยที่ไม่สบายและเหนื่อยจากการทำงาน ทั้งยังรู้สึกหิวแต่ที่บ้านกลับไม่มีอะไรกิน ก็เริ่มน้อยใจแม่ จึงเดินเข้าห้องตัวเองเเล้วนั่งร้องไห้กับพื้น ไม่มีใครรู้ว่าคุณจอยร้องไห้ยกเว้นน้องเพราะนอนห้องเดียวกัน หลังจากร้องไห้ได้สักพัก คุณจอยก็รู้สึกแน่นหน้าอก มือเท้าชา เเล้วก็ฟุ้บลงไปกับพื้น! ในตอนนั้นรู้ว่าตัวเองชักเกร็ง จากนั้นน้องก็เดินเข้ามาเห็นเเล้วก็ตะโกนเรียกแม่ ในตอนนั้นคุณพ่อคิดว่าตนเรียกร้องความสนใจ เพราะคุณพ่อทราบเรื่องที่คุณจอยทะเลาะกับคุณแม่เรื่องของกิน เมื่อคุณแม่มาเห็นสภาพคุณจอยที่ชักตาตั้ง น้ำลายไหลอยู่กับพื้น เห็นท่าทีไม่ค่อยดีจึงอุ้มคุณจอยไปโรงพยาบาล คุณพ่อกับพี่ปรีชาก็ออกไปเรียกรถเเท็กซี่ มีเเท็กซี่คันหนึ่งจอดแต่กลับบอกว่า “ไม่รับ ผมไม่เอา ผมกลัวไปตายในรถผม หาคันใหม่นะครับ“ ในตอนนั้นเป็นช่วงกลางดึก จึงทำให้หารถยากมาก ระหว่างนั้น คุณจอยนอนอยู่บนตักแม่โดยมีเเม่กอดอยู่ จากนั้นก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาตีหัวเเล้วเหมือนมีแรงผลักทำให้ลุกขึ้น! เเล้วความรู้สึกที่แน่นหน้าอกก็หายไป ตนได้ยินเสียงร้องไห้มาจากข้างหลังจึงหันไปดู ภาพที่ตนเห็นคือเห็นแม่กอดตนอยู่! มีน้องนั่งอยู่ข้าง ๆ ส่วนคุณพ่อกับพี่ปรีชากำลังเรียกรถ ตนจึงได้เเต่คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น? จิตหลุดหรือเราตายไปแล้วหรือยัง ตนได้เเต่ยืนร้องไห้ดูตัวเอง ตนจึงรู้สึกผิดที่โกรธเเม่ จากนั้นก็พยายามที่จะจับเเม่เเต่ก็จับไม่ได้ เรียกก็ไม่มีใครได้ยิน จากนั้น ก็ได้ยินเสียงดังมาจากหลังบ้านว่า “มานี่ มาทางนี้” เป็นเสียงผู้ชายดุ ๆ เมื่อตนมองไปก็เห็นเป็นผู้ชายร่างใหญ่ สูง ไม่เหมือนคนเเล้วมีควันลอยฟุ้งเต็มไปหมด จากนั้นก็เริ่มเสียงดังขึ้น “มานี่! เดี๋ยวนี้!” คุณจอยรู้สึกเหมือนโดนสะกดจิต คิดว่าคงมารับจึงก้าวขาไปหา เเต่ในขณะที่กำลังจะก้าวก็มีเสียงตายายเรียกจากอีกฝั่งหนึ่งว่า “อีหนู! จะไปไหนลูก” ตนจึงหยุดเเล้วก้าวกลับมาที่เดิม เมื่อหันไปทางเสียงนั้นตนก็รู้สึกต่างกับฝั่งซ้าย ฝั่งขวามันสว่างเหมือนตอนเช้า เห็นตายายใส่โจงกระเบนยืนอยู่เเล้วเรียกว่า “อีหนูมานี่ลูก มันไม่ยังไม่ถึงคราวเอ็ง จะไปทำไม” ด้วยความรู้สึกว่าฝั่งขวามันน่าไปกว่า จึงตัดสินใจก้าวขาเดินไปตายาย เมื่อตนก้าวไปขาเหยียบลงพื้น ทันใดนั้นตนก็กลับมารู้สึกแน่นหน้าอกเหมือนเดิม เเล้วลืมตาขึ้นเห็นเเม่ร้องไห้ ผ่านไปไม่นานตนก็รู้สึกดีขึ้น ไม่เจ็บไม่ปวดแล้วเเต่รู้สึกเพลีย ในตอนเช้าจึงไปเช็คร่างกายที่โรงพยาบาล เมื่อกลับมาจากโรงพยาบาลก็ได้เดินไปที่ศาลตายาย เมื่อส่องเข้าไปดูก็เห็นชุดที่ตายายใส่นั้นเป็นชุดเดียวกันกับที่ตนเจอเมื่อคืน หลังจากนั้นคุณจอยก็เห็นตายายตลอด เพราะเวลานอนตนจะเปิดหน้าต่างรับลมเอาไว้ เเต่คุณจอยไม่ได้รู้สึกกลัวเพราะตายายมาหาเหมือนมาช่วยตนให้พ้นจากอันตราย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเเป้ง 'หมู่บ้านที่ห่างไกล' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 19 พ.ย. 2567 ]

22 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเเป้ง 'หมู่บ้านที่ห่างไกล' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 19 พ.ย. 2567 ]

‘คุณแป้ง’ สายจากทางบ้านได้นำเรื่อง ‘หมู่บ้านที่ห่างไกล’ มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 พฤศจิกายน 2567) ฟังกัน ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ รู้สึกถึงความน่าสงสาร ความน่ากลัว และความน่าสงสัย ส่วนเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไรนั้น สามารถตามไปอ่านกันได้เลย! ‘คุณแป้ง’ ได้เล่าว่าเป็นเรื่องราวของเซลล์ที่รู้จักชื่อ ‘พี่วิทย์’ เขาเป็นเซลล์ที่ต้องไปทำงานต่างจังหวัดบ่อย แต่ละครั้งก็ใช้เวลาหลายวัน ครั้งนี้ใช้เวลา 1 เดือน ซึ่งมันนานกว่าปกติ พี่วิทย์จึงเป็นห่วงภรรยาอย่าง ‘พี่อุ้ม’ และได้ชักชวนให้ไปด้วย ทั้งคู่ออกเดินทางตั้งแต่เช้าไปยังบ้านเช่าที่ได้ทำสัญญากันไว้ บ้านเช่าหลังนี้เป็นบ้านปูนธรรมดาชั้นเดียว ในช่วงเวลากลางคืน บ้านหลังนี้จะเย็นมากเพราะรอบ ๆ เป็นป่าและภูเขาทั้งหมด และมีสัญญาณอ่อน ๆ ไว้ให้แค่พอโทรหากันได้ พอเช้าวันถัดมา พี่วิทย์ก็ได้ขับรถออกไปหาลูกค้าแต่เช้า ที่บ้านจึงเหลือพี่อุ้มอยู่แค่คนเดียว ในวันแรกที่มาอยู่ก็ปกติดีทุกอย่าง วันที่สอง หลังจากพี่วิทย์ขับรถออกไปสักพักหนึ่ง พี่อุ้มก็เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนแอบมองอยู่ข้างต้นไม้ เมื่อเด็กเห็นว่าพี่อุ้มมองตนอยู่ก็วิ่งหนีออกไป วันถัดมา พี่อุ้มก็ยังเห็นเด็กชายคนนั้นอีก พอตะโกนเรียก เด็กก็วิ่งหนีไป พี่อุ้มรอจนตอนเย็นพี่วิทย์กลับมาจึงถามว่า “ตอนจะออกไปข้างนอกเห็นเด็กผู้ชายแถวนี้บ้างไหม” พี่วิทย์ตอบกลับมาว่า “ไม่เห็นเลยนะ แถวนี้มีเด็กด้วยเหรอ ตั้งแต่อยู่มายังไม่เคยเห็นเด็กนะ” วันต่อมา พี่อุ้มก็ได้ไปยืนรอแถวนั้นด้วยความข้องใจ เมื่อเวลาผ่านไปก็ได้เจอกับเด็กชายคนนั้นหน้าตามอมแมมยืนก้มหน้าอยู่จึงถามออกไปว่า “มาแอบมองพี่ทำไม หนูเป็นอะไรหรือเปล่า หนูชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน” เด็กคนนั้นตอบเพียงแค่ว่า “ผม ผม ผม ผ...” เป็นเหมือนเสียงที่อยู่ในลำคอ เมื่อเด็กชายเห็นพี่อุ้มเผลอ ก็วิ่งหนีไปอีกไม่ยอมพูดอะไรต่อ ตกดึกคืนนั้นมีลมแรงมาก จากนั้นพายุและฝนก็เริ่มตกลงมา พี่วิทย์กับพี่อุ้มก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาเคาะประตูแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะคิดว่าลมมันอาจจะแรงจนพัดอะไรบางอย่างมากระทบประตูก็เป็นได้ สักพักก็มีเสียงเคาะประตูอีกครั้ง และคราวนี้มีเสียงเด็กพูดขึ้นมาว่า “เปิดประตูให้ผมหน่อย ผมหนาวมากเลยครับ” เมื่อพี่อุ้มได้ยินเสียงก็รู้สึกคุ้นหูเป็นพิเศษ เหมือนว่าเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน ส่วนพี่วิทย์นั้นรู้สึกกังวลว่าอาจจะเป็นอันตราย ไม่นานเด็กคนนั้นก็ร้องไห้ใหญ่โต พี่อุ้มนั้นอยากจะเปิดประตูให้ จึงหันไปพูดกับพี่วิทย์ว่า “ดูสิเด็กร้องไห้ใหญ่เลยนะ พี่จะไม่ช่วยเด็กหน่อยเหรอ” พี่วิทย์ใจอ่อนจึงยอมให้พี่อุ้มเปิดประตู ระหว่างที่พี่อุ้มกำลังจะเดินไปเปิดประตู โทรศัพท์พี่วิทย์ก็ดัง กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง เป็นสายของผู้ใหญ่บ้านที่โทรมาแจ้งว่าตอนนี้มีพายุแรงมาก ห้ามออกจากบ้าน และย้ำอีกว่าถ้าหากมีใครมาเรียกให้เปิดประตู ห้ามเปิดเด็ดขาด พี่วิทย์ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสงสัย แต่ผู้ใหญ่บ้านตอบกลับมาว่า “รอให้เช้าก่อนแล้วผมจะเล่าให้ฟัง” นอกจากนี้ผู้ใหญ่บ้านยังย้ำอีกครั้งว่า “อย่าเปิดประตูเด็ดขาด! ถ้ามีอะไรเร่งด่วนให้โทรหาผม” เมื่อพูดเสร็จก็วางสายไป พี่วิทย์จึงห้ามไม่ให้พี่อุ้มเปิดประตู และเสียงเด็กผู้ชายคนนั้นก็หายไป หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เข้านอน แต่ก็นอนไม่หลับเพราะอยากรู้เรื่องราวทั้งหมดว่าทำไมมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่... เช้าวันต่อมา ทั้งคู่รีบไปหาผู้ใหญ่บ้าน ระหว่างทางพี่อุ้มก็ไม่เห็นเด็กชายที่ปกติจะมายืนแอบมองอยู่ข้างต้นไม้คนนั้นแล้ว พอถึงบ้านของผู้ใหญ่บ้านก็ได้เล่าว่า “เมื่อก่อนที่ตรงนี้ยังไม่มีไฟฟ้าใช้มากนัก ทำให้คนที่อยู่ท้ายหมู่บ้านลำบาก จนอยู่มาวันหนึ่ง ฝนตกหนักมากทำให้ดินถล่มลงมาพังบ้านผู้คนที่อาศัยอยู่แถวนั้น ช่วงที่เกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ทำให้มีความยากลำบากในการแจ้งข่าวชาวบ้าน คนที่อยู่ต้นหมู่บ้านก็รอดชีวิตกันมาได้เพราะได้รับข่าวก่อน แต่ทว่าคนที่อยู่ท้ายหมู่บ้านเขาออกมาไม่ทัน ส่วนบ้านสุดท้าย เป็นบ้านของผู้ชายคนหนึ่ง เขาอาศัยอยู่กับลูกชายและลูกสาวที่ยังเล็กทั้งคู่ คนในหมู่บ้านเชื่อว่าตอนนั้นลูก ๆ ของเขากำลังหลับอยู่ ทำให้ไม่รู้เรื่องว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น เวลานั้น ดินได้ถล่มลงมาพังบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าลูกชายของเขายังมีชีวิตอยู่สังเกตจากการที่มีรอยมือและรอยเท้าที่เปื้อนโคลน คาดว่าเด็กคนนั้นคงจะไล่เคาะประตูบ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครมาเปิดเพราะทุกคนล็อคประตูบ้านและหนีไปกันหมด และคาดว่าเด็กคนนั้นสิ้นใจไปก่อนเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว” ตั้งแต่นั้นมา พอมีพายุมาทีไร ใครที่เปิดประตูให้ วันถัดมาก็จะถูกพบเป็นศพนอนอยู่บริเวณบ้านของเด็กคนนั้น มีหลายคนเจอเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกัน คนในหมู่บ้านจึงสั่งห้ามทุกคนว่า ห้ามเปิดประตูในคืนที่มีพายุ พี่วิทย์จึงถามไปว่า “ทำไมไม่ทำพิธีให้เด็กคนนั้นหละครับ” ผู้ใหญ่บ้านตอบทันทีว่า “จะไปทำได้ยังหละคุณ แม้แต่ศพยังหาไม่เจอเลย..” หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็รีบย้ายบ้านออกไปอยู่ในเมืองแทนเพราะรู้สึกไม่สบายใจที่จะอยู่ต่อ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไรเดอร์หนุ่มรับออเดอร์ส่งพัสดุ เจอป้อมใหญ่จึงขออนุญาตผ่านทาง แต่ทหารประจำป้อมไม่ตอบ จึงคิดว่าเข้าไปได้ ระหว่างทางก็ได้ยินเสียงกระแอม เมื่อหยุดรถก็พบว่าข้างหน้าเป็นหน้าผา! พอหันกลับมาก็เจอผู้หญิงกวักมือเรียก! จะหนีก็ดันสตาร์ทรถไม่ติด!

21 เม.ย. 2023

ไรเดอร์หนุ่มรับออเดอร์ส่งพัสดุ เจอป้อมใหญ่จึงขออนุญาตผ่านทาง แต่ทหารประจำป้อมไม่ตอบ จึงคิดว่าเข้าไปได้ ระหว่างทางก็ได้ยินเสียงกระแอม เมื่อหยุดรถก็พบว่าข้างหน้าเป็นหน้าผา! พอหันกลับมาก็เจอผู้หญิงกวักมือเรียก! จะหนีก็ดันสตาร์ทรถไม่ติด!

“ไรเดอร์” เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เสี่ยงต่อการพบเจอเหตุการณ์แปลก ๆ เพราะต้องไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย แถมอาจจะยังได้เจอกับสิ่งลี้ลับที่หลอนจนลืมไม่ลง ดังเช่นกับเรื่องราวในรายการ “อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio” ที่ผ่านมา (28 มีนาคม 2566) ทั้ง ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเคเบิ้ล’ ต่างก็ขนลุกไปตาม ๆ กัน เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปตามอ่านกันได้เลย! พี่แจ็คเล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจาก ‘คุณเอิร์ธ’ หนุ่มไรเดอร์ที่วิ่งอยู่ในพัทยา วันหนึ่งช่วงพลบค่ำ เขาตัดสินใจว่าจะกลับบ้านไปพักผ่อน เนื่องจากยอดออเดอร์วันนี้ไม่ได้ตามที่หวังไว้ แต่ขณะที่กำลังจะกลับนั้น ดันมีออเดอร์ใหม่เข้ามา เป็นออเดอร์ส่งพัสดุไม่ใช่อาหาร และจะได้รับค่าส่งสูงถึง 369 บาท ยอดนี้ทำให้คุณเอิร์ธถึงกับตาลุกวาว จึงเปิดดูระยะทางที่ต้องไปส่งของ ก็พบว่าระยะทางไปกลับรวมกว่า 80 กิโลเมตร แถมช่วงเวลาตอนนั้นก็เริ่มดึก รถจึงไม่ติด คุณเอิร์ธมองว่ายังไงก็คุ้ม จึงตัดสินใจกดรับออเดอร์ และออกไปรับพัสดุทันที ซึ่งซองพัสดุนี้คาดว่าจะเป็นเอกสารราชการ (เนื่องจากมีเครื่องหมายตราครุฑ) และต้องนำไปส่งสถานที่ราชการแห่งหนึ่ง เมื่อรับพัสดุเสร็จ ขณะที่กำลังขับรถออกมานั้น ลูกค้าเจ้าของออเดอร์ก็เดินมาที่หน้ารถและถามว่า “ไฟสูงรถพี่ใช้ได้ไหม” เขาจึงตอบไปว่า “ก็ใช้ได้ปกตินะครับ ทำไมหรอครับ” ลูกค้าก็ตอบกลับมาว่า “อ๋อ ผมเป็นห่วง เพราะถนนที่จะไปมันค่อนข้างมืดนิดหน่อย เลยมาถามก่อนว่าไฟสูงพี่ใช้ได้หรือเปล่า” คุณเอิร์ธจึงถามต่อว่า “แล้วหมุดปลายทางที่ปักให้ถูกต้องมั้ยครับ?” ลูกค้าก็ตอบว่าถูกต้อง เมื่อคุยกันเสร็จสรรพ คุณเอิร์ธก็ขับรถออกไปตามสถานที่ที่ลูกค้าบอกไว้ สถานที่ที่ลูกค้าหมุดไว้ มีลักษณะเป็นเหมือนค่ายทหาร คุณเอิร์ธจึงขับรถเข้าไปและได้เจอกับป้อมเก่าขนาดใหญ่ คุณเอิร์ธจึงจอดรถตรงป้อมเพื่อขออนุญาตผ่านทาง เมื่อมองเข้าไปภายในป้อมก็สังเกตเห็นว่า ภายในป้อมนั้นมีอุปกรณ์หรือเฟอร์นิเจอร์ค่อนข้างครบครัน เช่น กระจก โต๊ะ เก้าอี้ และมีทหารคนหนึ่งที่แต่งตัวเต็มยศนั่งเก้าอี้อยู่ แต่เขากลับมีท่าท่างแปลก ๆ เพราะนั่งแข็งทื่อ ส่วนหน้าก็มองตรงไปข้างหน้า ไม่หันมามองยังถนนที่คุณเอิร์ธจอดรถอยู่เลย คุณเอิร์ธจึงถามว่า “พี่ครับ ผมเข้าไปได้มั้ยครับ?” แต่ทหารคนนั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำพูดของคุณเอิร์ธเลย คุณเอิร์ธคิดว่าเขาอาจจะไม่ได้ยิน จึงบีบแตรรถไปหนึ่งครั้ง รอบนี้ทหารคนนั้นก็ยังไม่หันมามอง แต่กลอกตามาดูในขณะที่นั่งทื่อหน้าตรงอยู่อย่างนั้น แถมยังไม่พูดอะไร คุณเอิร์ธจึงทำท่าทางใบ้ประมาณว่ามีของมาส่ง ขอเข้าไปข้างในได้มั้ย ทหารคนนี้เห็นท่าทีดังนั้น ก็กลอกตากลับไปมองตรงเหมือนเดิม คุณเอิร์ธจึงคิดว่า ”เข้าไปได้แหละ ถ้าไม่ได้ เขาคงห้ามแล้ว” คุณเอิร์ธจึงขับรถผ่านป้อมตรงเข้าไปประมาณ 100 เมตร โดยระหว่างทางก็มีไฟจากถนนส่องตลอดทาง จนไปถึงทาง 3 แยก ทางซ้ายมือจะไปยังอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ส่วนทางขวาจะเป็นทางขึ้นเนิน และ GPS ก็บอกให้เลี้ยวขวา คุณเอิร์ธก็เลี้ยวไปตามทาง ซึ่งทางขึ้นเนินค่อนข้างชัน และเส้นทางก็เริ่มขรุขระ แถมบรรยากาศก็ยิ่งมืดลงเรื่อย ๆ จนเจอป้ายที่เขียนว่า “กำลังก่อสร้างห้ามเข้า” แต่หมุดปลายทางให้ตรงไปทางนี้ คุณเอิร์ธคิดว่าลูกค้าน่าจะอยู่ข้างใน จึงขับตรงเข้าไปอีก คุณเอิร์ธยังบอกอีกว่า คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด มองไม่เห็นข้างทางและต้นไม้ใด ๆ เลย มีเพียงแค่ไฟสูงและไฟท้ายของรถตัวเองเท่านั้น แต่ระหว่างนั้นคุณเอิร์ธก็เกิดอาการหูแว่ว ได้ยินเสียงหัวเราะ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเสียงของผู้หญิงหรือผู้ชาย คุณเอิร์ธพยายามไม่คิดมากจึงขับต่อมาอีกสักพัก จากนั้นก็จอดรถและกดโทร.หาลูกค้าว่า “ผมมาถึงตรงนี้แล้ว ผมมาถูกทางใช่มั้ยครับจะได้ตรงไปต่อ” ลูกค้าคนนั้นตอบมาว่า “อืม” แค่คำเดียว ทำให้คุณเอิร์ธเริ่มโมโห จึงบอกปลายสายไปอีกว่า “พี่ ผมมาส่งของ ผมมาทำงานนะ พี่อย่าแกล้งผมดิ” ปลายสายก็ยังคงตอบมาเพียง “อื้ม!” แล้วกดวางสายไปเลย! คุณเอิร์ธโมโหยิ่งกว่าเดิม จึงเปิดโทรศัพท์ไปที่แอปไรเดอร์ และส่งแชทไปว่า “พี่ครับช่วยแอดไลน์และส่งโลเคชั่นที่แม่นยำกว่านี้มาให้หน่อยครับ” แต่พอกดส่งมันก็ส่งไม่ไป และก็เห็นว่าสัญญาณโทรศัพท์แสดงรูปสัญลักษณ์กากบาท นั่นหมายความว่าไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ตั้งแต่แรก! แล้วเมื่อกี้.. เขาโทรติดได้ยังไงและโทรคุยกับใคร? เพราะยังไม่ได้ขยับไปไหน คุณเอิร์ธพูดกับตัวเองว่า “เอาไงดีวะ” แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจขับต่อไปเพราะหมุดปลายทางอยู่อีกไม่ไกลแล้ว.. คุณเอิร์ธขับรถต่อมาอีกสักพัก ครั้งนี้เขาได้ยินเสียงกระแอมแว่วเข้ามาในหู เป็นเสียงของผู้ชายชัดเจน! ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นเจอแบบนี้ก็คงไม่จอด แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำให้คุณเอิร์ธเหยียบเบรกจอดทันที! และสังเกตรอบ ๆ ว่าเสียงมาจากไหน แต่มองยังไงก็ไม่มีอะไรผิดปกติ สถานการณ์ตอนนั้นทำให้คุณเอิร์ธเริ่มเครียดจึงนำบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ และก็นึกขึ้นได้ว่าทางบ้านมีความเชื่อว่าเอาบุหรี่หรือพวกยาเส้นยาสูบเซ่นไหว้ให้ภูติผีแล้วจะดี จึงเอาบุหรี่อีกมวนจุดวางไว้ให้ในบริเวณนั้น แต่พอคุณเอิร์ธหันไปมองอีกทีกลับเห็นว่าไฟของบุหรี่ที่พึ่งวางมันวาบขึ้นมาเหมือนมีคนกำลังสูบและใกล้จะหมด! ซึ่งตอนนั้นคุณเอิร์ธมั่นใจว่าไม่มีลมพัดอย่างแน่นอน จึงนำโทรศัพท์เปิดไฟฉายขึ้นมาและลองเดินไปข้างหน้าอีกประมาณ 20 เมตร ก็เจอว่าถ้าตรงไปทางนั้นอีกนิดเดียวจะเป็นหน้าผาที่ชันมาก เป็นทางยาวไหลลงไปค่อนข้างลึก คุณเอิร์ธกลับมาคิดกับตัวเองว่า ถ้าขับต่อไปอีกนิดคงศพไม่สวยแน่เพราะเบรกยังไงก็คงไม่อยู่ และคิดว่า หรือเสียงกระแอมนั้นมาเตือนให้ตัวเขาหยุดรถหรือเปล่า..? เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงหันหลังเดินกลับมาที่รถ แต่ปรากฏว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้ใจเขาตกไปถึงตาตุ่ม! เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือผู้หญิงที่แต่งตัวมอมแมม ผมยาว มีผมหน้าม้าปิดทั้งส่วนของใบหน้าเหลือให้เห็นเพียงแค่ปาก และกำลังเดินออกมาจากป่าข้างทาง แต่ไม่ได้เดินออกมาธรรมดาเพราะเธอเดินแฉลบเฉียงข้างออกมาเป็นลักษณะเหมือนปูไปยังรถมอเตอร์ไซค์!! ความคิดในหัวคุณเอิร์ธตีกันว่าจะวิ่งหนีจากผู้หญิงคนนี้ หรือ จะถามทางเธอดี แต่ความคิดนั้นยังไม่ทันได้ข้อสรุป ปากคุณเอิร์ธกลับลั่นถามไปเองว่า “ผมหลงทาง ผมมาถูกทางใช่มั้ย” แทนที่ผู้หญิงคนนี้จะตอบ เธอกลับยกแขนซ้ายขึ้นมาตรง ๆ และกวักมือแบบเร็ว ๆ พร้อมกับผงกหัวเร็ว ๆ ตามแรงกวักมือ! คุณเอิร์ธบอกว่ามันเร็วมาก (แม้ว่าหลังเกิดเหตุคุณเอิร์ธจะลองกลับมาทำตามที่บ้าน ก็ทำไม่ได้) ทำให้ตอนนั้นสติและจิตหลุดพร้อมกันเลยก็ว่าได้ คุณเอิร์ธไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี จึงตัดสินใจวิ่งหนีเลยผู้หญิงคนนั้นไป แต่นึกขึ้นมาได้ว่าลืมมอเตอร์ไซค์และโทรศัพท์ไว้ แถมทางที่เข้ามาก็ไกลมาก จึงวิ่งกลับไปยังที่เดิม และพอไปถึงผู้หญิงคนนั้นก็หายไปแล้ว! จึงมองซ้ายมองขวาก่อนจะควบเบาะนั่งและสตาร์ทรถ แต่รถก็ดันสตาร์ทไม่ติด! แต่ไม่ใช่เพราะสิ่งลี้ลับเป็นเพราะแบตของรถมอเตอร์ไซค์ใกล้จะหมด จึงเอาตัวดันมอเตอร์ไซค์ไถไปเรื่อย ๆ ซึ่งระหว่างนั้น ผู้หญิงคนเดิมก็เดินแฉลบข้างโผล่มาอีกตามต้นไม้ข้างทาง!! คุณเอิร์ธบอกว่าเห็นชัดมาก ทั้ง ๆ ที่เป็นคืนเดือนมืด จนจังหวะใกล้ลงเนินจึงลองสตาร์ทรถอีกครั้ง เมื่อเครื่องติดก็ขับออกมา ซึ่งก็ได้ยินเสียงผู้ชายไล่ตามหลังมาพูดประมาณว่า “ไปเลย อย่าหันกลับมา!” หลังจากออกห่างจากสถานที่ตรงนั้นได้จนมาถึงยังป้อมทางเข้า ปรากฏว่าป้อมนั้นกลายเป็นป้อมร้างที่ปิดใช้งาน เพราะล็อกกุญแจไว้ แถมไม่มีเฟอร์นิเจอร์เหมือนที่เห็นในตอนแรกเลย! พอออกมานอกป้อม คุณเอิร์ธก็เห็นว่าสัญญาณโทรศัพท์กลับมาแล้วจึงโทรไปโวยวายกับลูกค้าว่าโดนผีหลอกไม่กล้ากลับเข้าไปส่งให้แล้ว และจะวางพัสดุไว้ที่นี่ให้ลูกค้ามาเอาพัสดุเอง เงินก็ไม่เอาแล้ว ลูกค้าจึงตอบกลับมาว่า “พี่ใจเย็น ๆ ก่อน ผมดูในแอปและเห็นตำแหน่งพี่อยู่ พี่อยู่ห่างจากจุดที่ผมปักหมุดให้ เลยไป 12 กิโล!” คุณเอิร์ธได้ยินดังนั้นถึงกับตะลึง เพราะเส้นทางที่ปักหมุดมามันไม่น่าเพี้ยนถึงขนาดนั้น ด้วยความที่กลัวมาก จึงถอดใจทิ้งเอกสารไว้ตรงนั้นและกลับบ้านทันที! เมื่อกลับถึงบ้านคุณเอิร์ธก็ไข้ขึ้นและนอนป่วยอยู่ 3 วัน กระทั่งหายดี จึงไปพูดคุยกับเพื่อน ๆ ว่าจุดที่เคยไปมันมีจริงหรือไม่ พร้อมกับเปิดไล่เส้นทางนั้นในแอปให้ดู เพื่อนก็บอกว่า “ป้อมนั้นมันร้างมานานแล้วนะ แถมเนินที่ขึ้นไปจอดรถ ตรงนี้มันก็คือสุสานฮวงซุ้ย” เมื่อคุณเอิร์ธเรียบเรียงความคิดทั้งหมดได้จึงคิดว่าตัวเองโดนพามาหลอกแน่ ๆ และที่ได้ยินเสียงผู้ชายปริศนาคนนั้นช่วยไว้ถึง 2 ครั้ง คงเพราะตัวเองได้เซ่นไหว้บุหรี่ให้นั่นเอง เมื่อคุณแจ็คเล่าเรื่องคุณเอิร์ธจบ ก็ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า อาชีพไรเดอร์มักเจอประสบการณ์หลอนที่หนักและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากต้องไปยังที่แปลก ๆ ซึ่งอาจจะไม่คุ้นเคย ทำให้เสี่ยงเจอเหตุการณ์ชวนขนหัวลุกแบบนี้ได้ตลอด ดังนั้นควรเช็คและสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเส้นทางและสถานที่ของลูกค้าให้ชัดเจนก่อนทุกครั้ง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1