ชาติที่แล้วเคยสัญญาว่าจะอยู่คู่กันตลอดไป ทำให้เกือบใหลตายไปกับความฝัน! ตั้งใจจะตัดกรรมแต่ก็ต้องพบเจอกับความสูญเสีย..

อังคารคลุมโปง RECAP

ชาติที่แล้วเคยสัญญาว่าจะอยู่คู่กันตลอดไป ทำให้เกือบใหลตายไปกับความฝัน! ตั้งใจจะตัดกรรมแต่ก็ต้องพบเจอกับความสูญเสีย..

10 ม.ค. 2024

        คำสัญญาของชาติที่แล้วตามมาส่งผลในชาตินี้! กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ชายชุดดำกับกรรมในอดีต’ จาก ‘คุณเป้’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 ธันวาคม 2566) พร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ จะหลอนเหลือเชื่อแค่ไหน ตามไปอ่านกันเลย!  

        คุณเป้เล่าว่า ตัวคุณเป้นั้นเป็นคนที่ชอบพญานาค ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่ได้ชอบ แต่อยู่ดี ๆ ก็มีความรู้สึกชอบพญานาคสีดำ หลังจากนั้นก็ไปบูชาพญานาคสีดำมาไว้ที่บ้าน และชอบสวดมนต์เพื่อบูชาปู่พญานาค หลังจากนั้นตัวคุณเป้ก็ได้ฝันว่า ตัวเองไปยืนอยู่บนสะพานกลางน้ำ และมีเรือนักท่องเที่ยงล่องมา มีคนอยู่บนนั้นเยอะมาก แต่มีผู้ชายคนหนึ่ง ใส่ชุดสีดำ เดินขึ้นมาจากน้ำมาอุ้มคุณเป้ลงไปในน้ำ หลังจากที่ลงไปในน้ำแล้ว ตัวคุณเป้รู้สึกว่า ที่ ณ ตรงนั้น เป็นห้องเหมือนบ้านหลังหนึ่ง และผู้ชายคนนั้นก็พูดกับคุณเป้ว่า “เธอรู้ไหม ว่าเราตามหาเธอมานานแล้ว นานมาก ๆ” หลังจากนั้นคุณเป้ก็รู้สึกว่า ตัวเองหลับอยู่ และได้ยินเสียงที่ดังมากจากผู้ชายคนนั้นว่า “เมื่อไหร่พ่อเธอ ครอบครัวเธอจะไปสักที รำคาญจังเลย” ด้วยน้ำเสียงโมโห และไม่พอใจ เพราะว่าเขากำลังให้คุณเป้อยู่ ณ ตรงนั้น และเขายังเน้นอีกว่า “เธอรู้ไหม ว่าเราตามหาเธอมานานมาก กว่าจะเจอ” หลังจากนั้นคุณเป้ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา

        ด้วยความสงสัยในความฝันของตัวเอง คุณเป้จึงได้ไปหาพระอาจารย์ พระอาจารย์ก็บอกมาว่า “มึงสามารถใหลตายได้เลยนะ การฝันแบบนี้” นอกจากนี้คุณเป้ยังได้รับคำแนะนำจากเพื่อนมาว่า “เออ เนี่ยมีหมอดูไพ่พรหมญาณนะ น้องคนนี้แม่นมากเลย ลองไหม” คุณเป้จึงโทรไปหาน้องหมอดูคนนี้ ทันทีได้ได้คุยเขาก็พูดขึ้นมาว่า “พี่เป้คะ เคยฝันเห็นผู้ชายหรือเปล่า เคยฝันอะไรเกี่ยวกับน้ำไหม พี่เป้มีสัญญาอดีตชาตินะคะ แล้วพี่เป้มีเคยแพลนจะไปวัดที่ไหนหรือเปล่า” ทันทีที่ได้ยิน คำถามที่คุณเป้ตั้งใจคิดมาก็หายวับไปทั้งหมด คุณเป้ตอบกลับไปว่า “วัดอะ พี่เคยมีแพลนที่อยากจะไป แต่ว่าไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปหรือเปล่า” หมอดูก็ตอบกลับมาว่า “พี่เป้ต้องไปที่ที่มีพระประธานนะ ต้องไปตัดกรรม ต้องใช้ดอกบัว 5 ดอก” จากนั้นคุณเป้ก็เริ่มมีความคิดว่าอยากจะตัดกรรมแล้ว

        และในวันนั้น ก่อนที่จะไปตัดกรรม พระที่อยู่บนหิ้ง ก็ร่วงหล่นลงมาแตก คุณเป้ก็เริ่มสงสัยว่าเป็นเพราะเขาหรือเปล่า คุณเป้จึงโทรไปถามน้องหมอดูคนนั้นว่า “ทำไมมันถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น” น้องก็ตอบกลับมาว่า “พี่เป้ เขารู้แล้วนะ ว่าพี่เป้รู้ เขาจะแสดงตัวให้พี่เป้รู้แล้วนะ” หลังจากนั้น คืนนั้นคุณเป้ก็ฝันว่าเขามาบอกกับคุณเป้ว่า “เธอจะตัดกรรมกับเราจริง ๆ หรอ เราให้เธอได้ทุกอย่างนะ” แต่ในใจคุณเป้ก็คิดว่า เกิดชาติภพใหม่แล้ว หลังจากนั้นคุณเป้ก็ตัดสินใจเดินทางไปจังหวัดอ่างทองเพื่อจะไปวัด แต่ระหว่างที่นั่งรถไป คุณเป้ก็มีความรู้สึกว่า เศร้ามาก ๆ จนกระทั่งถึงวัด คุณไปได้พูดว่า “เราพาเธอมาส่งแล้วนะ” จากนั้นคุณเป้ก็ไปทำพิธีเพื่อที่จะตัดกรรม

        หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว ผ่านไปประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ คุณเป้ก็ได้ตั้งครรภ์แบบไม่รู้ตัว แต่ปกติแล้วคุณเป้ทานยาคุมมาตลอด และไปปรึกษาหมอ หมอก็ตอบกลับว่า “คุณไม่มีบุตรหรอก เพราะทานยาคุมมานานเกิน” นั่นก็ทำให้คุณเป้มั่นใจในระดับหนึ่ง ว่าตัวเองไม่สามารถมีบุตรได้ จนคุณเป้เกิดอาการเท้าบวม หลังจากนั้นคุณเป้ก็ไปหาหมอมาตลอดทั้งเดือน แต่คุณหมอหลายคนก็บอกว่าเป็นออฟฟิศซินโดรมบ้าง เป็นอย่างอื่นบ้าง จนกระทั่งสุดท้าย มีคุณหมอบอกว่า “คุณตั้งครรภ์นะ แล้วตั้งครรภ์ได้ 6 เดือนแล้ว” ตัวคุณเป้ก็ช็อกไป และก็คิดว่า เขากลัวเรารู้แล้วเอาออกหรือเปล่า หรือมันเป็นเพราะอะไร ทำไมไม่มีความรู้สึกว่าท้องเลย หลังจากนั้นคุณเป้ก็พยายามดูแลเด็กในครรภ์ตลอด แต่ในใจของคุณเป้เริ่มรู้สึกว่า ลูกต้องเป็นผู้ชายแน่เลย เป็นเขาคนนั้นหรือเปล่า

        หลังจากนั้นเมื่อครรภ์ครบ 7 เดือน คุณเป้ได้รู้สึกหน่วง ๆ ที่ท้อง จึงไม่สบายใจและรีบไปหาคุณหมอ และก็ได้ทราบว่า เด็กได้เสียไปแล้ว 3 วัน คุณเป้เสียใจมากจนแทบจะเสียสติ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องคลอดเด็กออกมา คุณหมอพูดกับคุณเป้ว่า “มดลูกล็อคนะคะคุณแม่ น้องไม่สามารถคลอดออกมาได้ ต้องรอสักพักให้มดลูกคลาย” คุณเป้ที่ได้ยินดังนั้นก็คิดว่า เขาเป็นห่วงเราหรือเปล่า เขาไม่ยอมไปจากเราหรือเปล่า คุณเป้ก็ได้พูดขึ้นมาว่า “โอเค ถ้าเป็นเธอจริง ๆ ที่มาเกิดกับเรา ถ้าเธอจะทำให้เรารู้ว่าการสูญเสียมันเป็นอย่างไร เรารู้แล้วนะ เราขอให้เธอไปอยู่ภพภูมิที่ดี เราได้รับรสชาติของความเจ็บปวดแล้ว ขอให้เธอไปอยู่ภพภูมิที่ดี เราจะตั้งใจทำบุญอุทิศให้เธอไปอยู่ภพภูมิที่ดี ชาตินี้เราคงหมดกรรมกันเท่านี้” ในตอนนั้นคุณเป้พูดออกมาด้วยเสียใจมาก ๆ หลังจากที่พูดจบ คุณเป้ได้ลองเบ่งคลอดอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าเด็กก็หลุดออกมาอย่างง่ายดาย และสิ่งที่ทำให้คุณเป้ช็อกก็คือ เด็กออกมาเป็นผู้ชาย! มันทำให้คุณเป้มั่นใจมาก ๆ ว่าเป็นเขาคนนั้น

        หลังจากความสูญเสียนี้คุณเป้ก็ได้นำร่างของลูกชายไปฝังไว้ที่วัดใกล้บ้าน และก็พยายามทำบุญทุกอย่างให้เขา และยังได้ไปที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี วัดนั้นมีพญานาคองค์สีดำอยู่ คุณเป้ได้เข้าไปไหว้องค์พญานาคที่อยู่ในถ้ำ และอยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงวี๊ดเข้ามาในหู และตามด้วยเสียงของผู้ชายขึ้นมาว่า “ทีนี้รับรู้รสชาติความเจ็บปวด การพลัดพรากหรือยัง” หลังจากนั้นคุณเป้ก็นั่งร้องไห้เหมือนคนเสียสติเพราะว่าการสูญเสียครั้งนี้ หลังจากนั้นก็มีฝนตกลงมา มันทำให้คุณเป้ได้พูดออกมาว่า “ตกทำไม ฝนบ้าลูกกูจะเน่า” หลังจากนั้นคุณเป้ก็คิดขึ้นมาได้ว่า เรามาถึงจุดนี้แล้วหรอ นั่นทำให้คุณเป้รีบไปที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งหลวงพี่ได้สอนมาว่า “โยมอย่าไปยึดติดนะ นี่มันคือร่าง คือสังขาร เขาละแล้ว” นั่นก็ทำให้คุณเป้ตั้งสติได้ แต่ก็ใช้เวลานานมาก

        หลังจากนั้นคุณเป้ก็ได้โทรถามน้องหมอดูว่า “น้องคะ พี่หมดกรรมหรือยัง” น้องก็ตอบกลับมาว่า “พี่เป้ พี่เป้จะหมดกรรมก็ต่อเมื่อได้ไปไหว้พญานาคครบทุกองค์” หลังจากนั้น อยู่ ๆ ก็มีลุงของคุณเป้ เขามาชวนไปไหว้พญานาคให้ครบทุกองค์ ด้วยความบังเอิญนี้คุณเป้ก็ได้คิดว่า มันคงจะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทุกอย่างมันคงจะจบลงแล้ว ซึ่งมันก็จบลงแล้วจริง ๆ และกรรมครั้งนี้มันเกิดขึ้นจากเมื่อภพภูมิที่แล้วคุณเป้และผู้ชายคนนั้น เป็นพญานาค และได้เป็นสามีภรรยากัน สัญญากรรมกันไว้ว่า “เราจะไม่พลัดพรากจากกัน ไม่ว่าจะภพชาติไหนก็ตาม จอยู่เป็นคู่กันตลอดไป”

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากเเพรว นฤภรกมล 'เสียงใคร' I อังคารคลุมโปง X จี๋ สุทธิรักษ์ - แพรว นฤภรกมล [ 20 ส.ค. 2567]

25 ส.ค. 2024

เรื่องเล่าจากเเพรว นฤภรกมล 'เสียงใคร' I อังคารคลุมโปง X จี๋ สุทธิรักษ์ - แพรว นฤภรกมล [ 20 ส.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ’แพรว-นฤภรกมล’ นักแสดงจากซีรีส์ ‘อังคารคลุมโปง: เอ็กซ์ตรีม’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘เสียงใคร’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย โดยคุณแพรวเล่าว่า ย้อนกลับไปสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านรังสิต วันนั้นตนอยู่ที่หอพัก โดยปกติแล้วระแวกนั้นจะมีการละหมาดทำให้มีเสียงสวด แต่จะทำเป็นเวลา ซึ่งคุณแพรวรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ก็ใช้ชีวิตไปแบบทุกวัน แต่ก็มีเรื่องผิดปกติก็คือ คุณแพรวไปซอยข้าง ๆ มหาวิทยาลัย แล้วเห็นคุณลุงคนหนึ่งนั่งขายของอยู่ที่พื้น นั่นก็คือ ‘ตุ๊กตาปิ๊กกาจู’ แล้วก็จะมีเสียงหลอน ๆ วางอยู่ที่พื้น คุณแพรวพูดกับเพื่อนว่า ”อยากช่วยลุงเขาซื้อ” จากนั้น เพื่อนตอบมาเล่น ๆ ว่า “มันเป็นตุ๊กตาผีสิงหรือเปล่า“ ในใจคุณแพรวก็คิดว่าเพื่อนจะพูดแบบนั้นขึ้นมาทำไม สุดท้ายคุณแพรวก็ซื้ออยู่ดี แล้วก็เอาตุ๊กตากลับมาที่ห้อง โดยปกติแล้ว ห้องไม่เคยมีเรื่องอะไรเลย แต่วันนั้นคุณแพรวกับเพื่อนกำลังจะนอน ระหว่างที่นอนเล่นโทรศัพท์กันอยู่ สักพักได้ยินเสียงที่ฟังไม่รู้เรื่อง ดูไม่มีความหมาย เหมือนเสียงสวดมนต์ และมันดังอยู่ในห้อง เพราะเสียงละหมาดที่เคยได้ยินบ่อย ๆ จะฟังกี่ครั้งก็รู้สึกว่ามันดังมาจากนอกห้อง แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าเสียงมันอยู่ในห้อง! ตอนแรกคุณแพรวก็คิดว่าเพื่อนแกล้ง เพราะปกติก็มีการเล่นกันอยู่บ้าง แต่จังหวะที่กำลังจะหันไป เพื่อนก็เขยิบตัวมาเบียดตน แล้วหันมาบอกว่า “มึง กูไม่ได้พูด” ตอนนั้นคุณแพรวรู้สึกเหมือนซีนในหนังมาก หลังจากนั้นก็ยืนขึ้น แล้วเปิดไฟ คุณแพรวก็พูดว่า “มันยังไงกันวะ” แล้วเพื่อนก็ตอบกลับว่า “หรือว่าเป็นเพราะตุ๊กตาที่ซื้อมา” ในใจก็คิดว่าเพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยมี แต่พอมีก็เกิดสิ่งนี้ คุณแพรวจึงเอาไปแอบไว้ในห้องเพื่อนในวันรุ่งขึ้น หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องที่ห้องเพื่อน ปกติแล้วคุณแพรวจะนอนอยู่ 2 ห้องคือเพื่อนคนแรก กับเพื่อนคนที่ 2 มีวันหนึ่งที่ต้องออกไปทำงานแล้วนัดกับเพื่อนคนที่ 2 ว่าจะกลับมานอนที่ห้องด้วย (ห้องที่เอาตุ๊กตามาแอบ) แต่ปรากฏว่าไม่ได้กลับไป เพื่อนคนนั้นบอกว่าเห็นคุณแพรวเดินมาที่หัวเตียง แล้วก้มมามอง ตอนแรกคิดว่าเป็นคุณแพรว แต่พอมองดี ๆ กลับไม่ใช่ เขาเป็นคนผมยาว แล้วมองไม่เห็นหน้า และได้ยินเสียงคนเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ ทั้งที่อยู่คนเดียว แล้วหลังจากนั้นห้องนั้นก็เจอเรื่องอยู่บ่อย ๆ ซึ่งทุกวันนี้ก็ไม่รู้ว่าตุ๊กตานั้นไปอยู่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าเสียงมากจากตุ๊กตาหรือไม่ แต่สำหรับตนแล้ว ตุ๊กตามันน่ารักมาก เพราะตอนไปซื้อก็มีหลายตัว แล้วเลือกหยิบมาแค่หนึ่งตัว จากนั้นก็ไม่เห็นลุงอีกเลย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณต๊ะของอาถรรพ์ 'พี่ม่านเเก้ว' I อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [11 ก.พ. 2568]

17 ก.พ. 2025

เรื่องเล่าจากคุณต๊ะของอาถรรพ์ 'พี่ม่านเเก้ว' I อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [11 ก.พ. 2568]

‘คุณต๊ะ ของอาถรรพ์’ เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ขนหัวลุกที่เกิดขึ้นหลังจากได้หุ่นกระบอกเก่า ๆ ที่เขาคิดว่าจะเป็นเพียงของสะสม กลับพาเขาไปพบกับความลึกลับที่ไม่สามารถอธิบายได้ ทั้งเสียงแปลก ๆ และสัมผัสที่เย็นราวกับมือคนจริง ๆ แล้วหุ่นกระบอกนี้จะมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่? ฟังเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (11 กุมภาพันธ์ 2568) กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ แล้วคุณอาจจะไม่มองหุ่นกระบอกแบบเดิมอีกเลย! ‘คุณต๊ะ ของอาถรรพ์’ เล่าว่าโดยพื้นเพของตัวเองนั้นเป็นคนกรุงเทพฯ แต่ได้ย้ายภูมิลำเนามาอยู่ที่อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ซึ่งสถานที่นี้ ในอดีต มีคณะหุ่นกระบอกอยู่หลายคณะที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียง โดยส่วนตัวคุณต๊ะเป็นคนที่ชอบของเก่าหรือของโบราณเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงมีความคิดว่าอยากได้หุ่นกระบอกมาเก็บไว้สักหนึ่งชิ้น เพื่ออนุรักษ์ไว้ให้รุ่นลูก-รุ่นหลานไว้ดูว่าหุ่นกระบอกมีลักษณะเป็นอย่างไร คุณต๊ะจึงเริ่มค้นหาข้อมูลและตามหาผู้ที่ยังเก็บรักษาหุ่นกระบอกไว้ จนกระทั่งได้พบกับเพจหนึ่งซึ่งมีคุณลุงท่านหนึ่งเป็นเจ้าของ คุณต๊ะจึงส่งข้อความไปติดต่อ แต่ไม่ว่าจะพยายามติดต่อไปกี่ครั้ง ก็ไม่ได้รับการตอบกลับจากคุณลุงคนนั้น สุดท้าย คุณต๊ะตัดสินใจโทรศัพท์ไปหา หลังจากที่คุยกันคุณลุงก็บอกว่า ‘ยังมีหุ่นอยู่นะ ตามที่ลงไว้ เพราะเขาเป็นคนที่เก็บอย่างเดียว ไม่ได้มีความคิดที่จะขาย’ ด้วยความที่คุณต๊ะ ถูกชะตากับหุ่นกระบอกที่คุณลุงมีอยู่ จึงบอกคุณลุงไปว่า “คุณลุงครับ ขอร้องได้ไหมคือผมอยากจะเอากลับมาไว้ที่อัมพวาจริง ๆ เพราะมีความรู้สึกว่าถูกชะตาและอยากเก็บไว้เพื่ออนุรักษ์สักหนึ่งตัว” หลังจากที่พูดคุยกันอยู่สักพัก คุณลุงก็เริ่มใจอ่อนยอมให้ แต่มีข้อแม้ว่า “จะต้องมารับด้วยตัวเองนะ จะไม่ส่งไปรษณีย์เด็ดขาด ต้องมาด้วยตัวเองเท่านั้น” ตัวเหตุบังเอิญ บ้านของคุณลุงกับที่ทำงานของคุณต๊ะ อยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งบ้านของคุณลุงนั้นอยู่ในสวนทางฝั่งนนทบุรี หลังจากที่คุณต๊ะไปถึงบ้านของคุณลุง ซึ่งโครงสร้างบ้านของคุณลุงเป็นกึ่งปูนกึ่งไม้ ห้องแรกที่คุณต๊ะก้าวเข้าไป เป็นห้องที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ ลักษณะการตกแต่งเป็นแบบสมัยรัชกาลที่ 5 พอคุณต๊ะมองเข้าไปจนสุดกำแพง จะเห็นเป็นตู้บานหนึ่งที่วางอยู่ พร้อมกับหุ่นที่คุณลุงได้โพสต์ไว้ในเพจตั้งอยู่สามตัว แวบแรกที่คุณต๊ะเห็น ‘หุ่นตัวกลางยิ้มให้’ ตั้งแต่คุณต๊ะเดินเข้ามา และคุณลุงก็ได้พูดขึ้นมาว่า “หนุ่มนั่งรอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวจะไปเอาน้ำมาให้” หลังจากนั้นคุณต๊ะก็นั่งรอคุณลุงอยู่ โดยหันด้านข้างให้กับหุ่นกระบอกทั้งสามตัวที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ ระหว่างนั้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นขณะรอคุณลุงกลับมา สักพักหนึ่ง คุณต๊ะรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนจ้องอยู่ จึงหันหน้าไปมอง สิ่งที่คุณต๊ะเห็นก็คือ ‘หุ่นตัวกลางหันหัว มามองหน้าตัวเองพอดี’ ในตอนแรกที่คุณต๊ะเดินเข้ามาในบ้าน ใบหน้าของหุ่นหันตรงออกมาทางหน้าประตูบ้าน แต่ในตอนนี้หุ่นตัวนั้นกำลังจ้องหน้าคุณต๊ะที่นั่งทางด้านข้างของหุ่นอยู่! พอคุณลุงเดินกลับมาพร้อมน้ำที่เตรียมมาให้ และพูดว่า “เลือกเอาเลยสามตัวนี้ ชอบตัวไหน เอาตัวนั้น” ซึ่งตัวคุณต๊ะเองก็ได้เล็งเอาไว้แล้วว่าจะเอาตัวที่ยิ้มให้กับตัวเอง หลังจากที่เดินไปดู คุณลุงก็พูดขึ้นมาว่า “ลองยกลองจับดูก็ได้ อันไหนที่ชอบก็เอาไปนะ” คุณต๊ะก็ได้ลองยก ลองจับดู ปรากฏว่าหุ่นตัวแรกที่อยู่ริมสุด คุณต๊ะสามารถยกขึ้นมาดูได้แบบสบาย ๆ ส่วนหุ่นอีกฝั่งก็ยกได้ง่ายเช่นกัน แต่พอคุณต๊ะยกหุ่นตัวที่อยู่ตรงกลาง คุณต๊ะรู้สึกเหมือน พยายามยกคนจริง ๆ คือน้ำหนักของหุ่นมันหน่วงมือจนไม่สามารถที่จะยกขึ้นได้ คุณต๊ะเกิดความสงสัยว่าทำไมถึงยกไม่ขึ้น จึงก้มตัวลงไปดูเผื่อมีอะไรติดอยู่หรือเปล่า แต่ก็ไม่พบอะไร คุณต๊ะจึงอธิษฐานในใจว่า ‘ถ้าอยากจะไปอยู่กับเราที่อัมพวา เราขออนุญาตยกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง’ จากนั้นคุณต๊ะก็ลองยกหุ่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้น้ำหนักของหุ่นเบาเหมือนกับทั้งสองตัวก่อนหน้านี้ นั่นคือครั้งแรกที่คุณต๊ะรู้สึกว่าหุ่นตัวนี้ไม่ใช่หุ่นธรรมดา.. คุณต๊ะจึงบอกกับคุณลุงไปว่า “งั้นเดี๋ยวผมเอาตัวนี้แล้วกันครับคุณลุง” คุณลุงตอบกลับทันทีว่า “ลุงคิดอยู่แล้ว ว่าเขาน่าจะอยากไปอยู่กับคุณ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น คุณต๊ะก็เกิดความลังเลขึ้นมาทันที ‘จะเอาดีไหม?’ เขาคิดในใจว่าหุ่นกระบอกตัวนี้ต้องมีอะไรบางอย่างแปลก ๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่อุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว เขาจึงตัดสินใจนำหุ่นกระบอกตัวนั้นกลับไปด้วย หลังจากตัดสินใจนำหุ่นกระบอกตัวนั้นกลับไปด้วยแล้ว คุณลุงก็เดินมาส่งคุณต๊ะที่หน้าบ้าน ก่อนจะยื่นหุ่นให้เขา ทันทีที่มือของหุ่นสัมผัสตัวคุณต๊ะ เขาก็รู้สึกถึงความเย็นราวกับเป็นมือของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สัมผัสของหุ่นไม่ได้แข็งกระด้างเหมือนไม้ธรรมดา หากแต่นุ่มคล้ายมือของมนุษย์จริง ๆ หลังจากคุณต๊ะนำหุ่นกระบอกขึ้นรถโดยวางหุ่นไว้ที่เบาะด้านหลัง เขาก็ขับรถมุ่งหน้ากลับอัมพวา โดยใช้เส้นทางถนนพระราม 2 ระหว่างทาง คุณต๊ะแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มแห่งหนึ่ง พนักงานก็สอบถามตามปกติ ซึ่งคุณต๊ะก็ตอบกลับไป พนักงานพยักหน้าและยิ้มให้เขา แต่สิ่งที่ทำให้คุณต๊ะรู้สึกแปลกคือ พนักงานคนนั้นหันไปมองที่เบาะหลังของรถ ก่อนจะยิ้มอีกครั้ง ราวกับกำลังยิ้มให้กับบางสิ่งที่อยู่ตรงนั้น ทั้งที่ความจริงแล้ว บริเวณนั้นมีเพียงหุ่นกระบอกเท่านั้น หลังจากเติมน้ำมันเสร็จ คุณต๊ะจ่ายเงินตามปกติ ขณะที่พนักงานรับเงินก็กล่าวขอบคุณตามมารยาท ทว่ามีบางอย่างที่ทำให้คุณต๊ะรู้สึกแปลก พนักงานไม่ได้ขอบคุณแค่เขาเพียงคนเดียว แต่กลับชะโงกหน้าไปทางเบาะหลัง ราวกับกำลังกล่าวขอบคุณใครอีกคนที่อยู่ตรงนั้น คุณต๊ะไม่ได้คิดอะไรและขับรถต่อไปตามปกติ เมื่อถึงถนนแม่กลอง เขาต้องขับเข้ามายังสวนที่บ้าน ซึ่งต้องผ่านวงเวียนและสะพานสูง ก่อนที่จะเข้าสวนจริง ๆ ถนนจะเป็นทางสองเลนสวนกันและค่อนข้างมืด ระหว่างทางจู่ ๆ รถที่ตามหลังและรถที่สวนทางมาก็เริ่มกระพริบไฟและบีบแตรใส่เขาตลอดทาง โดยที่คุณต๊ะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของรถตัวเองเอง รู้สึกแค่เพียงว่าเวลาที่เหยียบคันเร่ง รถกลับไม่ค่อยไปเหมือนมันหนักกว่าหนึ่งคนนั่ง ระหว่างทางที่ขับรถกลับบ้าน คุณต๊ะต้องผ่านฝูงหมาที่มักจะวิ่งไล่รถของเขาเป็นประจำ แต่ในวันนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ปกติ ฝูงหมาไม่เพียงแค่วิ่งไล่รถเขาเท่านั้น แต่ยังเห่าไล่ตามหลังมาด้วย การเห่านั้นเหมือนกับว่ามันเห็นอะไรบางอย่าง เมื่อถึงบ้าน คุณต๊ะรู้สึกลังเลที่จะนำหุ่นกระบอกขึ้นไปบนบ้าน เพราะกลัวว่าคนในบ้านอาจจะตกใจหรือกลัว เนื่องจากหุ่นกระบอกมีลักษณะเป็นนางรำ ซึ่งอาจทำให้ดูน่ากลัว จึงตัดสินใจว่าจะรอจนถึงตอนเช้ามืด แล้วค่อยใส่หุ่นลงในกล่องก่อนที่จะนำขึ้นไปบนบ้านจากนั้น เขาก็เข้าไปในบ้านและเข้านอนตามปกติ เช้าวันรุ่งขึ้น คุณต๊ะรีบนำกล่องลงมาเพื่อใส่หุ่นกระบอก แต่ยังไม่ทันได้เปิดรถ จู่ ๆ คุณป้าข้างบ้านที่กำลังรอใส่บาตรก็พูดถามขึ้นมาว่า “ที่โรงเรียนลูก มีงานโรงเรียนเหรอ เห็นซ้อมรำตั้งแต่เช้ามืดแล้ว” ณ ตอนนั้น คุณต๊ะไม่กล้าปฏิเสธ ทำได้เพียงพยักหน้าและยิ้มตอบรับกลับไป จากนั้นจึงรีบนำกล่องมาเตรียมเก็บหุ่นกระบอก ขณะที่เปิดรถ กลับได้กลิ่นน้ำอบและน้ำหอมฟุ้งกระจายอบอวลไปทั่วทั้งรถ ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานยังไม่มีกลิ่นอะไรเลย คุณต๊ะพยายามบอกตัวเองว่าอาจเป็นกลิ่นของดอกไม้ที่คุณลุงใช้ไหว้ ซึ่งอาจติดมากับหุ่นกระบอก แต่ทันทีที่ยกหุ่นออกจากรถ กลิ่นเหล่านั้นกลับจางหายไป หลังจากนั้นคุณต๊ะก็นำหุ่นกระบอกไปวางที่ห้อง ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่แฟนของคุณต๊ะนั่งทำงานอยู่ด้านนอก แต่จู่ ๆ เขาก็เรียกขึ้นมา “ออกมานี่สิ มานี่ ๆ” ตุณต๊ะตกใจและคิดในใจว่าหรือว่าเขารู้ว่าเราเอาของแปลก ๆ เข้าบ้านแต่พอมาถึงแฟนคุณต๊ะก็พูดต่อว่า “เมื่อกี้นี้ประตูห้องเก็บของมันเปิดออก แล้วมีชายผ้าไทย แวบเข้าไปในห้อง เข้าไปดูหน่อย” คุณต๊ะเปิดห้องเก็บของแล้วก้าวเข้าไปดู ปรากฏว่าหุ่นกระบอกยังคงอยู่ในกล่องตามเดิม ไม่มีสิ่งผิดปกติใด ๆ เขาจึงคิดว่าคงไม่มีอะไร แต่ก่อนจะปิดห้อง เขาก็ยังพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้ามีอะไรหรืออยากจะบอกอะไร ให้มาบอกกับเราโดยตรง เพราะไม่อย่างนั้นถ้าทำให้คนในบ้านกลัว จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน” หลังจากนั้นหนึ่งวัน คุณต๊ะฝันแปลกไปจากปกติ ในความฝัน เขาเห็นนางรำคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะชี้มาทางเขาแล้วพูดว่า “ข้าชื่อม่านแก้ว” จากนั้น นางรำก็จูงมือเขาไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านทรงไทย ข้างหน้ามีคณะละครกำลังแสดงอยู่ เสียงดนตรีไทยบรรเลงคลอไปกับการแสดง นางรำพาเขาไปนั่งชมละคร ทว่าผ่านไปไม่นาน เขากลับรู้สึกเหมือนตกจากม้านั่ง และสะดุ้งตื่นขึ้นมาในทันที ด้วยความสงสัยว่าชื่อ ‘ม่านแก้ว’ ที่ได้ยินในฝัน อาจเป็นชื่อของคณะละครหรือไม่ คุณต๊ะจึงลองค้นหาข้อมูล ปรากฏว่าเขาพบเพลงหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ลาวม่านแก้ว’ ด้วยความอยากรู้ เขาจึงลองเปิดฟัง และทันทีที่เสียงดนตรีดังขึ้น คุณต๊ะก็ต้องตกตะลึง เพราะทำนองของเพลงนั้นกลับเหมือนกับเสียงดนตรีที่เขาได้ยินในฝันทุกอย่าง เมื่อรู้แล้วว่านางรำในฝันชื่อม่านแก้ว คุณต๊ะก็ยังคงสงสัยว่าเธอมีความเป็นมาอย่างไร เขาจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาคุณลุง เพื่อขอให้ช่วยเล่าประวัติของหุ่นกระบอกตัวนี้ให้ฟัง คุณลุงกลับตอบมาว่า ‘หุ่นกระบอกนี้มีคุณป้าท่านหนึ่งเอามาขาย ซึ่งก็คือหุ่นกระบอกทั้งสามตัวที่อยู่บ้านของคุณลุง ตัวคุณป้าท่านนี้เป็นคนในคณะละครหุ่นกระบอกเก่าทางอัมพวา’ คุณต๊ะจึงถามต่อว่า “มันมีอะไรหรือเปล่าครับ ในหุ่นกระบอก” คุณลุงก็ตอบกลับมาว่า “เสื้อผ้าของหุ่น ทำจากเสื้อผ้าของนางรำที่เสียชีวิตแล้ว” ในอดีต การสร้างหุ่นกระบอกมีความเชื่อว่า หากหุ่นมีชีวิตหรือมีจิตวิญญาณอยู่ภายใน จะทำให้การแสดงสมจริงและถ่ายทอดอารมณ์ได้เหมือนมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการนำชุดของนางรำที่เสียชีวิตแล้วมาใช้กับหุ่นกระบอก เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากคุณลุง คุณต๊ะคิดว่าคงไม่มีอะไรไปมากกว่านี้แล้ว แต่ด้วยความอยากรู้ เขาจึงตัดสินใจสอบถามครูอีกท่านหนึ่ง ซึ่งมีความรู้ด้านหุ่นกระบอกเกี่ยวกับกระบวนการสร้างหุ่นกระบอกดังกล่าว ครูท่านนั้นเล่าให้ฟังว่า “ในสมัยก่อน นอกจากจะใช้ผ้าของนางรำจริง ๆ มาทำชุดให้หุ่นกระบอกแล้ว ยังมีวัตถุบางอย่างที่เป็นของนางรำที่เสียชีวิตแล้วถูกบรรจุไว้ภายในหุ่น ลองเปิดดูสิว่ามีหรือไม่” คุณต๊ะจึงทำตามคำแนะนำของครูท่านนั้น เขาลองตรวจดูหุ่นกระบอกอย่างละเอียด จนสังเกตเห็นว่าบริเวณศีรษะของหุ่นมีรูซึ่งใช้สำหรับปักเข้ากับไม้แกนของหุ่น เมื่อลองเปิดดูภายใน เขาก็ว่ามีเส้นผมและชิ้นส่วนกระดูกบางอย่าง ถูกห่อด้วยผ้าขาวอัดแน่นอยู่ข้างใน หลังจากนั้น คุณต๊ะจึงนำชิ้นส่วนเหล่านั้นไปทำพิธีตามความตั้งใจที่ว่า อยากปลดปล่อยจิตวิญญาณของนางรำ เขาทำบุญให้และกล่าวกับหุ่นกระบอกว่า ‘ถ้าถึงเวลาแล้ว ก็ขอให้เขาไปแต่ถ้ายังไม่ไปก็อยู่กับเรา เเต่ว่าอยู่ด้วยกันอย่างสงบ อย่าแสดงตัวให้ใครเห็น’ หลังจากวันนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่มันรุนแรงมาก แต่ก็ยังมีเหตุการณ์เล็ก ๆ อย่าง เสียงหรือเงาที่แวบไปมาอยู่บ้าง จนอยู่มาวันหนึ่ง คุณต๊ะได้นำหุ่นกระบอกนี้ไปถ่ายรายหนึ่ง มีน้องท่านหนึ่งที่คุณต๊ะไม่รู้จัก น้องท่านอยู่ที่จังหวัดอยุธยา นั่งดูรายการตามปกติ แต่ก็หันไปพูดกับแฟนเขาว่า “เนี่ยไม่จริงหรอก เหมือนเอาหุ่นมาโม้ เพราะความจริงมันไม่มีผีหรอก” ในคืนนั้น น้องคนนั้นฝันว่า เขากำลังนั่งอยู่บนรถกับคุณต๊ะ โดยนั่งที่เบาะหน้า ขณะที่ด้านหลังเบาะมีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดนางรำสีขาวนั่งอยู่ เธอหันมามองและพูดขึ้นว่า “ทีนี้เชื่อหรือยัง” วันรุ่งขึ้น น้องคนนั้นขับรถจากอยุธยา มาถึงบ้านของคุณต๊ะและนำโรตีสายไหมมาให้ถึงหนึ่งร้อยชุด พร้อมกับพูดกับคุณต๊ะว่า “ให้นำโรตีสายไหมนี้ ห่อแล้วก็ให้พี่เขาด้วย” เนื่องจากไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรหรือขอขมาอย่างไร น้องคนนั้นจึงเพียงบอกว่า “เดี๋ยวผมซื้อขนมไปให้” หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา โรตีสายไหมก็ถูกส่งมาให้คุณต๊ะทุกสัปดาห์ อาทิตย์ละหนึ่งร้อยชุดจากนั้นพี่ม่านแก้วก็กลายเป็นเหมือนสิ่งศักดิ์ที่คอยให้พรมาเรื่อย ๆ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากโนอาร์ ‘นางรำ’ I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 7 พ.ค. 2567]

12 พ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากโนอาร์ ‘นางรำ’ I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 7 พ.ค. 2567]

เรื่องนี้ ‘โนอาร์ ล่าท้าผี’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (7 พฤษภาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจแนน’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘นางรำ’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! โนอาร์เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เจอมาก่อนที่จะทำล่าท้าผี เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต ตอนที่ยังเรียนอยู่โรงเรียนวัด ช่วงประมาณ ม.2 - ม.3 ซึ่งรั้วโรงเรียนกับรั้ววัดคือรั้วเดียวกัน แต่ฝั่งรั้วของวัดจะมีรูปผู้ที่เสียชีวิตติดอยู่รอบรั้ว ส่วนฝั่งโรงเรียนไม่มี โนอาร์เป็นเด็กกิจกรรมที่สนิทกับครูนาฏศิลป์ แม้ว่าตนจะไม่ได้เป็นเด็กนาฏศิลป์ แต่ก็มักจะเข้าไปช่วยงานหากชมรมนาฏศิลป์มีงานแสดงทั้งข้างนอกและข้างในโรงเรียน เช่น ยกของ หรือช่วยจัดอุปกรณ์ต่าง ๆ ในตอนนั้น โนอาร์มีเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายอยู่ 2 คน ในขณะนั้นทางโรงเรียนได้จัดงานประจำสัปดาห์ เป็นงานที่จัดขึ้นปีละครั้ง มีประมาณ 3 - 5 วัน ในคืนแรก โนอาร์ได้รับหน้าที่จัดอุปกรณ์ประกอบฉากบนเวที เมื่องานวันแรกจบ คนก็ทยอยกลับบ้าน เหลือเพียงโนอาร์กับเพื่อนอีก 2 คนที่อยู่เก็บของ ระหว่างที่โนอาร์กำลังเก็บของอยู่บนเวที อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียง เหมือนเสียงดนตรีไทยที่ดังมาจากห้องนาฏศิลป์ แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะคิดว่าอยู่ในช่วงวันงาน และคิดว่าคงจะเป็นพวกนางรำมาซ้อมตามปกติ ในตอนนั้นก็ได้ยินทั้งเสียงเครื่องดนตรีไทย มีทั้ง เสียงระนาด เสียงปี่ เสียงฉิ่ง ครบทุกอย่างบรรเลงเป็นเพลง โนอาร์ไม่รู้ว่ามันคือเพลงอะไร จากนั้นเพื่อนสนิทคนหนึ่งก็พูดว่า “โชว์ของนาฏศิลป์วันนี้เขาโชว์จบไปแล้วนะ แล้วทำไมเขาถึงยังซ้อมอยู่” โนอาร์ตอบไปตามประสาเด็กห้าวที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีว่า “เขาก็อาจจะซ้อมงานอื่นหรือเปล่า?” แล้วพูดต่อว่า “นี่มัน 5 ทุ่มแล้วนะ มึงอย่าไปคิดมาก รีบเก็บของให้เสร็จจะได้กลับบ้าน” ระหว่างที่คุยกับเพื่อนอยู่นั้น เสียงดนตรีไทยจากห้องนาฏศิลป์ก็ยังคงบรรเลงอยู่ตลอด โนอาร์กับเพื่อนก็รีบเก็บของเอาไว้หลังเวที เพราะงานวันที่ 2 ก็ต้องนำออกมาจัดใหม่ หลังจากเก็บของเสร็จ ก็ต่างแยกย้ายกลับบ้าน ถัดมาคืนที่ 2 โนอาร์รองานจบเพื่อที่จะเก็บของ โนอาร์คิดในใจว่า ‘หากได้ยินเสียงหรือว่ายังมีคนอยู่ในห้องนาฏศิลป์อีก จะไปแอบดู’ จากนั้นก็บอกกับเพื่อนไปว่า “เดี๋ยวพวกเรา 3 คน จะเข้าไปดูหลังจากที่เก็บของเสร็จแล้ว” เพื่อนอีกสองคนพยักหน้าเห็นด้วยและตอบตกลง เวลาประมาณ 3-4 ทุ่ม คนก็เริ่มทยอยกลับ เมื่อโชว์สุดท้ายจบ โนอาร์กับเพื่อนก็เก็บของเหมือนเมื่อวาน ระหว่างที่เก็บของก็ได้ยินเสียงมาจากห้องนาฏศิลป์อีก แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงเครื่องดนตรีแบบวันแรก แต่เป็นเสียง ‘เอื้อน’ ที่ถูกเปล่งออกมาจากผู้หญิง หลังจากได้ยินเสียงนี้ ด้วยความที่เป็นเด็กผู้ชาย โนอาร์คิดในใจว่า ‘ขอไปดูหน่อยดีกว่า เพราะเป็นนางรำด้วยคงจะสวยน่าดู’ จากนั้นก็เอ่ยปากชวนเพื่อนว่า “เห้ยพวกมึง เสียงผู้หญิงว่ะ” จากนั้นโนอาร์และเพื่อนก็รีบเก็บของ แล้วรีบเดินไปตามเสียงเอื้อนที่ได้ยิน ซึ่งต้นเสียงมากจากห้องนาฏศิลป์ ห้องนาฏศิลป์กับเวทีอยู่ไม่ไกล ห่างกันแค่ช่วงตึกเท่านั้น ลักษณะประตูของห้องนาฏศิลป์จะเป็นแบบบานเลื่อน ฟิล์มกระจกห้องเป็นแบบทึบ หากจะดูก็ต้องเอาหน้าทาบกระจกเพื่อที่จะได้เห็นข้างใน ภายในห้องนาฏศิลป์ก็จะมี ชุดไทย อุปกรณ์แต่งหน้าแต่งตัว เครื่องดนตรีไทย เศียรพ่อแก่ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนาฏศิลป์ทั่วไป เมื่อเดินมาถึง โนอาร์ก็รู้สึกผิดสังเกต เพราะในห้องไม่ได้เปิดไฟ ถ้ามีคนมาซ้อมอย่างน้อยก็ต้องเปิดไฟ จะได้ซ้อมแบบสะดวก แต่ในห้องนาฏศิลป์ตอนนั้นกลับมืดสนิท ที่สำคัญคือยังมีเสียงเอื้อนดังออกมาจากห้อง โนอาร์ก็บอกกับเพื่อนว่า “เขาอาจจะซ้อมแบบไม่เปิดไฟหรือเปล่า?” เขายังคิดในแง่บวก แล้วก็บอกกับเพื่อนต่อว่า “เห้ย ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเข้าไปดูก็รู้เอง” ตอนนั้นเอง โนอาร์และเพื่อนยังยืนอยู่ที่หน้าห้องนาฏศิลป์ เสียงเอื้อนยังดังอยู่ แต่มองไม่เห็นอะไรเลยเพราะมืดมาก โนอาร์บอกกับเพื่อนอีกว่า “เห้ย เราแอบดูดีกว่า” พูดจบ โนอาร์และเพื่อนก็เอาหน้าทาบไปตรงกระจกเพื่อดู ก็ได้เห็นเหมือนเป็นผู้หญิง นั่งท่าเทพธิดาหันหลังไม่เห็นหน้า เธอมีผมยาวเกือบจรดพื้น ชุดที่ใส่ท่อนบนเป็นเสื้อนักเรียน ส่วนท่อนล่างจะนุ่งเป็นโจงกระเบนสีแดง แล้วเธอก็ทำท่ารำ พร้อมกับเปล่งเสียงเอื้อนออกมา ผู้หญิงคนนั้นทำแบบนั้นไปเรื่อย ๆ โนอาร์แปลกใจว่าทำไมเธอคนนั้นถึงไม่เปิดไฟ โนอาร์ส่งซิกกับเพื่อนว่า “เดี๋ยวกูจะเลื่อนประตูนะ แล้วมึงก็เอามือเอื้อมไปเปิดสวิตช์ไฟ” เนื่องจากสวิตช์ไฟอยู่ข้างประตูสามารถเอื้อมมือเข้าไปเปิดได้ เธอคนนั้นยังคงรำแล้วเอื้อนเสียงอยู่ โนอาร์มองไม่เห็นหน้าของเธอ แต่ก็มีจังหวะที่เธอกระแทกเสียงที่เปล่งออกมาให้ดังขึ้นกว่าเดิม จังหวะนั้นเธอก็ค่อย ๆ หันหน้ามา แต่โนอาร์กับเพื่อนก็ยังไม่เห็นหน้าของเธออยู่ดี เห็นแค่เสี้ยวหูกับมือที่รำอยู่เท่านั้น พอเห็นแบบนั้น โนอาร์ก็ส่งสัญญาณ 1 2 3 พอถึง 3 โนอาร์ก็เลื่อนประตู เพื่อนก็เอื้อมมือเปิดสวิตช์ไฟตามที่วางแผนกันเอาไว้ พอเปิดไฟจนห้องสว่าง แต่กลับไม่พบใครนั่งอยู่ตรงกลางห้องนั้นเลยแม้แต่คนเดียว! พอเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า เพื่อนอีกคนที่ไม่ได้เปิดสวิตช์ไฟและไม่ได้เปิดประตูก็ช็อค เพราะเพื่อนเห็นตอนจังหวะที่ผู้หญิงคนนั้นกระแทกเสียง แล้วเธอกำลังหันหน้ามา เพื่อนคนนี้เห็นว่าเธอคนนี้ไม่มีหน้า ในจังหวะที่เปิดไฟพอดี พอเห็นแบบนั้นก็ยืนค้างไปเลย แต่โนอาร์กับเพื่อนอีกคนที่เป็นคนเปิดสวิตช์ไฟก็รีบวิ่งหนีออกไปทันที! เช้าวันต่อมา ก็เล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง ไม่นานเรื่องนี้ก็หลุดไปถึงหูครูนาฏศิลป์ ครูก็บอกว่า“ผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นรุ่นพี่ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจากด้านนอก เหมือนประมาณว่า เขาเป็นเด็กนาฏศิลป์เนี่ยแหล่ะ แล้วเขาใส่เสื้อนักเรียน นุ่งโจงกระเบนสีแดง ตามที่เห็นเลย แล้วเขาก็ไปเสียชีวิตด้านนอกเพราะอุบัติเหตุ ช่วงนั้นก็มีการทำบุญห้องนาฏศิลป์กันยกใหญ่เลย คนในโรงเรียนก็เริ่มกลัวเริ่มหลอนเพราะมันติดวัดด้วย” หลังจากคืนนั้นก็ทำให้โนอาร์และเพื่อน ๆ ที่ชอบแอ๊วสาวหลอนไปเลย ไม่กล้าไปแอบดูสาวที่ไหนอีกแล้ว(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

‘ใหม่ รอเรน’ ถูกไหว้วานให้มาช่วยทำธีสิสในยามวิกาล!

06 ต.ค. 2023

‘ใหม่ รอเรน’ ถูกไหว้วานให้มาช่วยทำธีสิสในยามวิกาล!

เรื่องหลอนในครั้งนี้ มาจากประสบการณ์ตรงของอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอย่าง ‘ใหม่ รอเรน’ กับเรื่องหลอนในรั้วมหาวิทยาลัยที่ชื่อว่า ‘ธีสิสสยอง’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 ตุลาคม 2566) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านพร้อมกันเลย! ย้อนกลับไปในสมัยที่คุณใหม่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในช่วงนั้นคุณใหม่เองบอกว่าเธอพักอยู่ที่หอพักนอกจึงทำให้เธอสะดวกสบายเรื่องเวลาจะออกไปไหนมาไหน เพราะไม่ได้มีกฎ เข้า-ออก ที่ตายตัวเหมือนกับหอภายในมหาวิทยาลัย ด้วยเหตุนี้เอง คุณใหม่จึงถูกไหว้วานจากรุ่นพี่ที่รู้จัก นามสมมุติ ‘พี่ส้ม’ ให้มาช่วยทำโปรเจกต์จบในเวลากลางคืนที่คณะของพี่ส้ม เนื่องจากพี่ส้มนั้นเรียนเภสัชและกำลังทำการทดลองในห้องแล็บเกี่ยวกับสารเคมี แต่ด้วยระยะทางจากบ้านของพี่ส้มมายังมหาวิทยาลัยค่อนข้างไกล และการทดลองนี้จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนย้ายสารเคมีอยู่ตลอด จึงทำให้พี่ส้มไม่สามารถที่จะทำการทดลองในเวลากลางคืนได้ เธอจึงได้ไหว้วานให้คุณใหม่ มาช่วยรับผิดชอบให้แทนในยามวิกาล คุณใหม่เล่าว่า บรรยากาศของคณะแพทยศาสตร์ค่อนข้างวังเวงมาก และยังต้องเดินผ่านห้องของอาจารย์ใหญ่อยู่บ่อยครั้ง ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวที่นี่ในเวลากลางคืนเป็นอย่างมาก และด้วยความที่คุณใหม่เองนั้นไม่ได้ศึกษาในคณะนี้ จึงไม่มีบัตรนักศึกษาประจำคณะ นั่นทำให้เธอต้องคอยหลบเจ้าหน้าที่เพื่อขึ้นไปที่ตึกในทุก ๆ คืน จากประสบการณ์ครั้งนี้ คุณใหม่เล่าว่าตัวเธอไม่ได้พบเจออะไรในระหว่างทำการทดลอง แต่ด้วยบรรยากาศของคณะแพทยศาสตร์ประกอบกับร่างอาจารย์ใหญ่ที่เธอต้องเจอในระหว่างทางเดิน ก็ทำเอาคุณใหม่รู้สึกขนลุกอยู่เหมือนกัน ไม่นานหลังจากที่คุณใหม่ช่วยพี่ส้มทำการทดลองสำเร็จ พี่ส้มก็เล่าเรื่องสยองระหว่างที่กำลังทำการทดลองให้คุณใหม่ฟัง พี่ส้มเล่าว่าส่วนตัวพี่ส้มเองเป็นคนชอบร้องเพลงมาก และในวันนั้นเธอกำลังทำการทดลองกับเพื่อนในห้องแล็บอยู่ 2 คน จังหวะที่เธอร้องเพลงพร้อมกับตบเท้าเป็นจังหวะดนตรี จู่ๆ หลังจากที่เธอหยุดร้องเพลงและเงียบไป ปรากฏว่าเธอได้ยินเสียงเท้าแทรกเข้ามาคล้ายกับสิ่งที่เธอทำไปเมื่อสักครู่ แต่ด้วยเธอเรียนสายแพทย์ก็ไม่ได้คิดหรือเอะใจอะไร เพราะคิดเพียงว่ามันเป็นเสียงสะท้อนจากห้องแล็บเท่านั้น วันต่อมา พี่ส้มก็มาทำการทดลองตามปกติ และยังอธิบายลักษณะของห้องทดลองเพิ่มเติมว่า ห้องแล็บเป็นห้องที่ค่อนข้างกว้าง มีโต๊ะยาวสำหรับการทดลองสองฝั่ง และมีตู้ไว้เก็บสารเคมีและอุปกรณ์ทดลองต่าง ๆ เป็นตู้กระจกยาว ซึ่งอุปกรณ์แต่ละอย่างก็อยู่กระจัดกระจายกัน ในระหว่างที่พี่ส้มกำลังจะเดินไปหยิบอุปกรณ์จากอีกจุดนึงไปยังอีกจุดนึง จู่ ๆ พี่ส้มก็เริ่มสังเกตเห็นเงาของตัวเองในกระจกเงานั้นมีลักษณะคล้ายกับผู้หญิง แต่เงานั้นไม่ได้ขยับตามตัวเธอไป และเห็นว่ามันกำลังเดินสวนกับเธออยู่หลายรอบ! พี่ส้มเริ่มเอะใจว่ามี ‘บางอย่าง’ อยู่กับเธอในห้องนี้ จากนั้น พี่ส้มและเพื่อนจึงตัดสินใจเก็บของ และเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างให้เร็วที่สุด จากนั้นก็กลับบ้านไป วันที่ 3 สำหรับการทดลองสารเคมีของพี่ส้มก็เป็นไปอย่างปกติ หลังจากที่ทำการทดลองเสร็จก็ชวนเพื่อนกลับบ้านเพราะตอนนั้นกำลังจะมืดแล้ว ขณะที่พี่ส้มกำลังเอื้อมมือไปเปิดประตู จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังดันประตูสวนมาเพื่อเปิดมันมาจากด้านนอก! แต่ที่แปลกคือไม่มีใครอยู่ข้างนอกห้องนั้นเลย และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้พี่ส้มไม่กล้าเล่าให้คุณใหม่ฟัง เพราะกลัวว่าถ้ารู้จะทำให้คุณใหม่หวาดกลัวจนไม่กล้าที่จะมาที่นี่ หลังจากที่พี่ส้มเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณใหม่ฟัง คุณใหม่ก็ได้ทราบถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องแบบนี้กับพี่ส้มว่า มีนักศึกษาสาวคนหนึ่ง เธอต้องเข้ามาทำธีสิสจบเช่นเดียวกันกับพี่ส้ม ในวันนั้นเธอเกิดเคราะห์ร้ายประสบอุบัติเหตุ จนเสียชีวิต แต่ด้วยจิตสุดท้ายต้องมาที่ทำการทดลองที่มหาวิทยาลัย ทำให้ทุกคนเห็นเธอในลักษณะแบบนั้นนั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1