อังคารคลุมโปง RECAP

อังคารคลุมโปง RECAP

เรียนหมอไม่ค่อยเข้าใจ ได้รุ่นพี่มาช่วยสอนจนคะแนนดีขึ้น ก่อนปิดเทอมไปสารภาพรักกับเขา แต่เขาตอบกลับมาว่า “ถ้าคุณรู้จักผมมากกว่านี้ คุณอาจจะเปลี่ยนใจ” แล้วเขาก็หายไปเลย!

02 มี.ค. 2024

            เรื่องนี้เป็นสายจาก ‘คุณสุ’ ที่ได้มาเล่าเรื่องรักชวนหลอนเกี่ยวกับนักศึกษาแพทย์และร่างอาจารย์ใหญ่ ให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันเลย!

            คุณสุเล่าย้อนว่าเมื่อก่อนตนนั้นเป็นพยาบาลในแผนก ICU ก่อนที่จะลาออก เพื่อนร่วมงานก็จัดปาร์ตี้เลี้ยงส่ง นั่นทำให้ ‘พี่หมอมุ่ย’ (นามสมมติ) นำเรื่องหลอนสมัยที่เขายังเป็นนักศึกษาแพทย์มาเล่าให้คุณสุฟัง

            หมอมุ่ยเล่าย้อนว่า ปกติแล้วนักศึกษาแพทย์จะใช้เวลาหนึ่งปีไปกับการศึกษาร่างกายมนุษย์ (Anatomy) กับร่างของอาจารย์ใหญ่ ในช่วงนั้นหมอมุ่ยมีปัญหากับการจดจำรายละเอียดต่าง ๆ ของร่างกาย มักจะจำผิดพลาดและคลาดเคลื่อนอยู่บ่อยครั้ง จึงลงการเรียนเสริมให้ตัวเอง เพื่อที่ตนเองนั้นจะสามารถเรียนทันนักศึกษาคนอื่นและสอบได้ เพราะหากต้องมาสอบแก้ทีหลังจะเสียเวลาไปกันใหญ่

            วันหนึ่ง ขณะที่หมอมุ่ยเรียนเสริมอยู่ เขาก็รู้สึกแย่กับตนเองเพราะไม่สามารถตอบคำถามของอาจารย์ได้เลย ทั้งยังไม่เข้าใจบทเรียนที่เรียนในวันนี้ด้วย หมอมุ่ยคิดในใจว่า ‘ถ้ามีใครสักคนมาสอนให้เรารู้มากกว่านี้ โดยที่เราไม่ต้องขอเงินจากพ่อแม่เพิ่ม ไม่ต้องไปทำงานหาเงินเพื่อมาเรียนเสริม มันก็คงจะดีเนอะ’ หลังจากนั้น ก็มีรุ่นพี่คนหนึ่ง นามสมมติว่า ‘ทรงเกียรติ’ มาเป็นผู้ช่วยสอนในเรื่องของกายวิภาคศาสตร์โดยเฉพาะ รุ่นพี่คนนี้พูดกับหมอมุ่ยว่า “พี่เห็นในคลาสเรียนแล้ว น้องดูไม่ค่อยเข้าใจเลย อยากเรียนเสริมกับพี่มั้ย? เดี๋ยวพี่สอนเอง พี่สอนให้ฟรีเลย ถือว่าเป็นการช่วยรุ่นน้อง” หมอมุ่ยดีใจมากที่จะได้เรียนเสริมเป็นการส่วนตัว แถมคนที่มาสอนยังรูปหล่อหน้าตาดีอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เองทำให้หมอมุ่ยได้แต่แอบกรี๊ดอยู่ในใจ

            ช่วงพักทานข้าวหรือระหว่างคาบเรียน ก็เป็นช่วงเวลาที่พี่ทรงเกียรติเข้ามาช่วยสอน ระหว่างที่เรียนเสริมนั้น ปรากฏว่าผลการเรียนของหมอมุ่ยก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขั้นได้รับคำชมจากอาจารย์ว่า “มีพัฒนาการขึ้นนะ ขอให้รักษาผลการเรียนแบบนี้ไว้นะ” นั่นทำให้หมอมุ่ยรู้สึกภูมิใจมากขึ้นไปอีก เป็นเวลากว่า 6-7 เดือนที่พี่ทรงเกียรติมาช่วยสอน ก็เกิดความรู้สึกดี ๆ ขึ้นภายในใจของหมอมุ่ย หมอมุ่ยบอกว่า “เขาเป็นคนแรก ที่ทำให้พี่รู้สึกปลื้มจนอยากไปสารภาพรักเลย”

            ก่อนจบการศึกษา หมอมุ่ยตัดสินใจบอกว่าพี่ทรงเกียรติไปว่า “หนูขอบคุณนะคะที่มาช่วยสอน หนูชอบพี่นะ หนูอยากเป็นแฟนกับพี่ พี่จะรับรักหนูมั้ย? ถึงหนูจะไม่ใช่ผู้หญิงแท้ แต่หนูก็รักจริงนะ” แต่พี่ทรงเกียรติก็ตอบกลับมาว่า “ผมไม่ได้รังเกียจหรอกครับว่าคุณจะเป็นเพศอะไร ขอบคุณมากที่คุณมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับผม แต่ถ้าคุณรู้จักผมมากกว่านี้ คุณอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้” แม้พี่ทรงเกียรติจะปฏิเสธอย่างมีมารยาท แต่หมอมุ่ยก็รู้สึกเสียใจไม่ใช่น้อย หลังจากวันนั้น หมอมุ่ยก็ไม่ได้เจอพี่ทรงเกียรติอีกเลย ไม่ว่าหมอมุ่ยจะพยายามเดินไปตึกเรียนที่คาดว่าพี่ทรงเกียรติจะอยู่แต่ก็ไม่เคยเจอ และยังไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับพี่ทรงเกียรติได้เลย

            จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้มีการจัดพิธีส่งร่างอาจารย์ใหญ่เพื่อนำไปฌาปนกิจ ซึ่งก่อนหน้านั้นจะมีการรวมตัวนักศึกษาเพื่อให้มากล่าวขอบคุณร่างอาจารย์ใหญ่ หมอมุ่ยบอกว่ามีชื่อนึงที่คุ้นหู และรูปก็คุ้นตาคล้ายกับพี่ทรงเกียรติอย่างไรอย่างนั้น แต่หมอมุ่ยก็ยังไม่แน่ใจเพราะเห็นในระยะไกล จนพิธีเสร็จสิ้น หมอมุ่ยจึงแอบปลีกตัวเองเดินออกไปหาร่างนั้น เพื่อที่จะไปดูป้ายชื่อว่าใช่อย่างที่ตนคิดหรือไม่ ปรากฏว่าร่างของอาจารย์ใหญ่ที่มีป้ายชื่อห้อยอยู่ รวมทั้งรูปภาพเจ้าของร่างนั้นเป็นพี่ทรงเกียรติจริง ๆ

            คุณสุนึกสงสัยจึงถามหมอมุ่ยไปว่า “ระหว่างนั้นเขาไม่มีอะไรแปลก ๆ เลยหรอคะหมอ?” หมอมุ่ยส่ายหัวและบอกว่า “ไม่เลย ทุกอย่างเหมือนกับที่เรานั่งคุยกันแบบนี้ เราแตะตัวกันได้ แล้วตอนที่เขามาสอนไม่ใช่นั่งตรงข้ามนะ เขาจะนั่งข้างขวาไม่ก็ซ้าย ใกล้ชิดหมอมาก ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกผิดแปลกอะไรเลย จะมีแค่อย่างเดียวคือ เวลาสั่งน้ำหรือสั่งขนมมาให้ พี่ทรงเกียรติจะไม่แตะอะไรเลย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าเขาอาจจะเกรงใจเรา” นั่นคือข้อสังเกตเดียวที่เห็นจากพี่ทรงเกียรติ นอกนั้นแล้ว เขาก็เหมือนคนปกติทั่วไป นั่นทำให้หมอมุ่ยเข้าใจความหมายของพี่ทรงเกียรติที่บอกว่า “ถ้ารู้จักผมมากกว่านี้ อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้..”

            คุณสุถามเพิ่มเติมว่า “ระหว่างที่ติวด้วยกัน ไม่มีใครเห็นเลยหรอ?” หมอมุ่ยก็บอกว่า “สถานที่ที่เลือกติวกันนั้น หลาย ๆ คนมักจะจดจ่อกับสิ่งที่ตนสนใจอยู่ ทำให้ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาที่คนอื่นมอง ไม่แน่ว่าคนอื่นก็อาจจะไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติก็เป็นได้”

            นอกจากนี้หมอมุ่ยก็ยังไปสืบมาว่าพี่ทรงเกียรติเป็นผู้ป่วยภาวะสมองตาย แต่ข้อมูลอื่น ๆ นั้นไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนรุ่นน้องของหมอมุ่ยก็เจอบ้างเป็นบางรุ่น เช่น นักศึกษาบางคนอยากจะเรียนเพิ่ม จึงไปอยู่กับร่างอาจารย์ใหญ่เพียงลำพัง พี่ทรงเกียรติก็จะเดินมาบอกว่า “น้อง มันหมดเวลาแล้ว กลับไปก่อนมั้ย ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนมาถามพี่หรืออาจารย์ท่านอื่นก็ได้ ถ้าพวกพี่ยามเขามาปิดตึกแล้ว น้องจะกลับบ้านไม่ได้นะ” เป็นต้น หลายคนที่เจอมักบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หากตั้งใจตามหาพี่ทรงเกียรติจะหาตัวไม่เจอ เขาจะปรากฏให้เห็นก็ต่อเมื่อเขาอยากมาเท่านั้น

            และนี่ก็เป็นรักแรกของหมอมุ่ยที่ยังคงจำได้ฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

แม้จะเลิกรากันด้วยดี และเธอก็เสียชีวิตไปแล้ว แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ผูกคุณน็อตกับดวงวิญญาณของแฟนเก่าไว้ด้วยกัน เธอมาหาเขาทุกคืน... แล้วนั่งทับที่หน้าอกของเขา!

30 มิ.ย. 2023

แม้จะเลิกรากันด้วยดี และเธอก็เสียชีวิตไปแล้ว แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ผูกคุณน็อตกับดวงวิญญาณของแฟนเก่าไว้ด้วยกัน เธอมาหาเขาทุกคืน... แล้วนั่งทับที่หน้าอกของเขา!

‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับ ‘ดีโซเซฟ’ และ ‘ดีเจมดดำ’ รับหน้าที่ดำเนินรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 มิ.ย. 66) ในครั้งนี้ สำหรับสายแรกของเรามาจากชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่า ‘คุณน็อต’ ซึ่งถูกผีแฟนเก่าตามรังควานไม่เลิกด้วยเหตุผลบางอย่าง ถ้าพร้อมที่จะไป อ่าน-ท้า-ผี กันแล้ว! เชิญย่อหน้าถัดไปเลยจ้า เรื่องราวของเราเริ่มต้นขึ้นที่คุณน็อต เขามีแฟนเก่าคนนึงที่คบกันมานาน 3 - 4 ปี หลังจากที่ปลดประจำการจากทหารกองเกณฑ์เขาก็ต้องเลิกรากับเธอไป เป็นเพราะจบความสัมพันธ์ด้วยดี เขากับแฟนเก่าจึงมีการนัดเจอกันอยู่บ้างประปราย แต่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาจู่ ๆ ก็ขาดการติดต่อกับเธอไป คุณน็อตคิดว่าเธอคงไปมีคนใหม่แล้ว อาจจะไม่ได้มีเวลามาคุยกับเขาเหมือนเดิม เวลาล่วงเลยไปจนถึงช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ประมาณวันที่ 15 พฤษภาคมพอดี คุณน็อตป่วยหนักมาก ปกติเขาเป็นคนเลิกงานไม่เป็นเวลาอยู่แล้ว คืนนั้นคุณน็อตเลิกงานเกือบ 5 ทุ่ม แล้วกลับมานอนที่ห้องของตัวเอง ขณะที่หลับอยู่ คุณน็อตก็รู้สึกถึงเงาร่างใหญ่สีดำทับมาที่หน้าอกของเขา! ในใจคิดว่าคงไม่มีอะไร เพราะส่วนตัวเป็นคนไม่เชื่อเรื่องอะไรทำนองนี้อยู่แล้ว คิดว่าอาจเป็นอาการที่เกิดจากความเหนื่อยตอนทำงาน พอนอนต่อไปจนถึงเวลาประมาณตี 2-3 คุณน็อตก็รู้สึกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีอาการดิ้น เพราะเริ่มรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนมาบีบคอ! ครั้งนี้คงไม่ได้เหนื่อยหรือว่าละเมอแล้ว พอคุณน็อตตื่นขึ้นในตอนเช้า เขาก็ยังคงรู้สึกถึงความเหนื่อยหอบแบบนี้เหมือนเมื่อคืน และอาการดังกล่าวก็ยังคงเกิดวนไปมาเรื่อย ๆ กระทั่งวันหยุดขณะเดินทางกลับบ้านที่นครปฐม เขาก็เห็นแฟนเก่าตัวเองปรากฎอยู่ตามข้างทางอย่างต่อเนื่อง! คุณน็อตคิดว่าตัวเองคงวิตกเรื่องอดีตแฟนคนนี้มากจนเกินไป พอกลับถึงบ้านเวลาประมาณ 1 ทุ่ม ก็มีเงาอันแสนคุ้นเคยมาทับอกของเขาขณะที่หลับอยู่เหมือนเดิม! คุณน็อตเริ่มหายใจไม่ออกและไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนอีก เขาพยายามสวดมนต์จนผล็อยหลับไป.. เช้าวันต่อมา คุณน็อตตื่นตามปกติแล้วเดินทางกลับไปที่คอนโดของตัวเอง และอย่างที่ผู้อ่านทุกคนน่าจะพอเดาได้...มีเงาปริศนาบางอย่างมาทับตรงอกของเขาอีกครั้ง จนเขาทนไม่ไหว! เช้าวันต่อมา คุณน็อตจึงไปหาหมอ พยายามให้หมอตรวจดูว่าตนเป็นอะไรกันแน่ คุณน็อตพบว่าตัวเองมีความดันเลือดสูงมาก เหมือนกับคนที่ออกกำลังกายอยู่ตลอดเวลา หมอจึงบอกให้เขาลองนั่งพักก่อนจะตรวจวัดค่าความดันอีกรอบ แต่พอเมื่อตรวจอีกรอบ ความดันก็ยังสูงเหมือนเดิม เมื่อตรวจโควิดดูผลก็ไม่ได้เป็นอะไร สุดท้ายหมอจึงสั่งยาและให้เขากลับคอนโด ก่อนที่จะถึงห้อง คุณน็อตนัดไปกินข้าวกับเพื่อน 3 คน แต่เมื่อไปนั่งที่โต๊ะอาหาร บริกรกลับหยิบช้อนส้อมกับจานแบ่งมาให้พวกเขากับเพื่อนถึง 4 ชุด! จนคุณน็อตและเพื่อนต่างแซวกันว่า “เฮ้ย มึงพาใครมารึเปล่าวะ” เมื่อตกดึก คุณน็อตก็ยังรู้สึกเช่นเดิมว่าเหนื่อยเหมือนมีใครมาทับตัวเขา ไม่ก็ขี่คอของเขา! คุณน็อตรู้สึกทรมานมาก จนกระทั่งวันหนึ่งเขานั่งทำงานอยู่ที่ห้องเวลาใกล้เที่ยงคืน อาการแน่นอกนี้ก็กลับมาอีกครั้ง เขาเกือบจะต้องไปโรงพยาบาลอีกรอบ แต่ก็มีเหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจให้คุณน็อตเปิดหน้าเฟสบุ๊คแฟนเก่าของตัวเองขึ้นมา เมื่อเข้าไปในหน้าไทม์ไลน์ เขาถึงกับต้องตกใจ! มีข้อความเขียนแสดงความเสียใจจำนวนมากอยู่ที่หน้าไทม์ไลน์ของแฟนเก่าคนนี้! และอีกเรื่องที่แปลกใจก็คือ แฟนเก่าคนนี้ได้บล็อคคุณน็อตไปตอนเลิกกันแล้ว แล้วเขาเข้าหน้าเฟสบุ๊คของเธอได้ยังไง เวลาผ่านไปอีกสักพักใกล้ตีหนึ่ง คุณน็อตก็เริ่มแน่นที่หน้าอกตัวเองอย่างรุนแรงอีกครั้ง แล้วก็มีอะไรบางอย่างดลใจให้เขาไปเปิดหน้าเฟสบุ๊คของแฟนเก่าเขาอีกรอบ... เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า แฟนเก่าของคุณน็อตเสียชีวิตแล้ว! คุณน็อตอึ้งไปพักหนึ่งก่อนที่จะไปเห็นภาพที่โพสต์เป็นด้านหน้าโลงศพของเธอ คุณน็อตจึงพยายามหาวันและเวลาการตายของเธอ ก็ไปเจอว่าเป็นช่วงกลางเดือนพฤษภาคม วันที่ 15 ที่พึ่งผ่านมานี่เอง ซึ่งก็ตรงกับช่วงเวลาครั้งแรกที่เขาเริ่มรู้สึกปวดแน่นที่หน้าอกพอดี! ปัง! ทันใดนั้นประตูห้องของเขาก็ปิดลง คุณน็อตตกใจมากเมื่อประตูห้องคอนโดปิดลงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เขาสะดุ้งกระโดดขึ้นเตียงนึกถึงพ่อแม่และยายก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ต่อสายตรงไปหาพวกเขา พวกเขาบอกให้คุณน็อตใจเย็น ตั้งสติ สวดมนต์และพยายามข่มตาหลับให้ได้ พอถึงช่วงเช้าวันต่อมา เมื่อตื่นขึ้นมาและมีสติมากขึ้น ก็รีบไปทำบุญสังฆทานทันที หลังจากทำเสร็จแล้ว ก็เหมือนได้ยกอะไรออกจากตัว ความเจ็บปวดหรืออาการใด ๆ เหมือนครั้งที่ผ่านมาก็เลือนหายไปทันควัน ตอนนั้นเป็นช่วงเวลา 6.30 น. ของเช้าวันวิสาขบูชา คุณน็อตไปนั่งตรงเจดีย์ที่เขาและแฟนเก่าคนนั้นเคยไปนั่งเล่นด้วยกันในอดีต พอเขานั่งลงก็มีลมแรงวูบใหญ่พัดผ่านใบหน้าของเขาไปชั่วอึดใจ เมื่อคุณน็อตนอนหลับในคืนวันนั้น เขาก็ฝันเห็นเธอ... ในความฝันนั้น คุณน็อตยืนอยู่ เห็นแฟนเก่ากำลังขับรถผ่านไป คุณน็อตเรียกเท่าไหร่ เธอก็ดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะหันมามอง หลังจากเขาตื่นขึ้นมา คุณน็อตก็พยายามติดต่อกับญาติของแฟนเก่าคนนี้ จนรู้ในเวลาต่อมาว่า เธอนั้นเก็บของที่เขาเคยให้ไว้ตลอดเวลาในกล่องส่วนตัวของตน เขาคิดได้ในภายหลังว่าตอนช่วงกลางเดือนพฤษภาคม เธอคงจะมาส่งข่าวเพื่อให้เขารับรู้ว่า “เธอไม่อยู่แล้ว” แต่ความรู้สึกส่วนตัวของคุณน็อต เขารู้สึกว่าเป็นการมาส่งข่าวที่แรงมาก คล้ายกับว่าจะให้เขาไปอยู่ด้วยให้ได้ คุณน็อตเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ให้แม่ฟัง แม่คุณน็อตบอกว่าเรื่องนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ คุณน็อตจึงจำเป็นต้องไปหาโอกาสไปทำพิธีตัดกรรมจากกัน เพื่อกันไม่ให้เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นได้อีก เขาบรรยายให้ดีเจฟังว่าเป็นช่วงเวลา 2 สัปดาห์ที่ทรมานมาก ดีเจเคเบิ้ลถามคุณน็อตว่าก่อนที่จะเกิดเรื่องราวทั้งหมดนี้ ได้รู้สึกถึงลางบอกเหตุอะไรล่วงหน้ารึเปล่า คุณน็อตตอบกลับไปว่า เขาก็มีความรู้สึกอิดโรยอย่างมากในตอนเช้าก่อนวันที่เกิดเรื่อง ถึงขั้นที่ลูกน้องกับพ่อก็ยังทักว่าเขาไปทำอะไรมา ทำไมถึงโทรมขนาดนี้ นอกจากนี้ แม่คุณน็อตยังอธิบายให้ฟังว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเขานี้ คงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่คนตายกำลังเดินตาม “เก็บรอยเท้า” ของตัวเองในช่วงเจ็ดวันแรกหลังจากที่เสียชีวิต เรื่องนี้ทำเอาดีเจทั้งสามคนขนลุกไปตามกัน เป็นการประเดิมค่ำคืนเขย่าขวัญของอังคารคลุมโปงที่ดีทีเดียว!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณต้น 'เชือกผูกผี' I อังคารคลุมโปง X คืนเผาผี Ghost Night [ 29 ต.ค. 2567]

08 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณต้น 'เชือกผูกผี' I อังคารคลุมโปง X คืนเผาผี Ghost Night [ 29 ต.ค. 2567]

‘คุณต้น‘ ได้นำเรื่อง ‘เชือกผูกผี’ มาเล่าในรายการอังคารคลุมโปง X (29 ตุลาคม 2567) ให้ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ‘ ฟัง เป็นเรื่องราวสุดหลอนในวัยเด็กที่ตนได้เจอ จะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย! คุณต้นได้เล่าว่าเป็นเรื่องราวของน้องที่รู้จักชื่อ ‘โต้ง’ เป็นเด็กที่อยู่ในจังหวัดหนึ่งทางแถบอีสานใต้ ทางครอบครัวของคุณโต้งมีวิชาอาคมเป็นทางศาสตร์ของทางฝั่งเขมร ในช่วงที่ยังเด็ก คุณโต้งก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรจึงใช้ชีวิตในวัยเด็กตามปกติ อยู่มาวันหนึ่ง คุณตาก็ได้ชวนคุณโต้งไปจับปลาแถวบ้านในช่วงเวลาประมาณหัวค่ำ ในขณะที่คุณโต้งกำลังนั่งรอคุณตากำลังจับปลาอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากริมตลิ่งฝั่งตรงข้าม พอมองไปตามเสียงนั้นแล้วก็พบกับร่างเด็ก 2 คน ตัวซีดเผือด มีเลือดแห้งเปรอะเปื้อนเต็มหน้า! เด็ก 2 คนนั้นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณโต้ง ประมาณ 8-9 ขวบ เมื่อเห็นดังนั้นคุณโต้งก็ตะโกนเรียกคุณตา แต่คุณตากลับคว้างก้อนดินไปบริเวณนั้น แล้วเด็ก 2 คนนั้นก็หายไป! เหตุการณ์นี้ทำให้คุณโต้งรู้จักคำว่า ‘ผี’ เป็นครั้งแรกในชีวิต จากนั้น คุณตาก็ได้เล่าให้ฟังว่า “เมื่อก่อนเนี่ย ก่อนที่จะมีบ่อน้ำนี้ ในช่วงที่ขุดแรก ๆ มีเด็ก 2 คนนี้แหละมาเล่นน้ำแล้วจมน้ำตาย วิญญาณก็น่าจะอยู่บริเวณนี้” เรื่องราวสุดหลอนต่อมาที่คุณโต้งได้เจอก็คือ หลังคุณโต้งเลิกเรียนก็ได้ยินว่าหมู่บ้านข้าง ๆ มีคนผูกคอฆ่าตัวตาย ซึ่งคนที่ตายก็คือญาติของคุณโต้ง เมื่อทราบข่าวแล้วทางครอบครัวเขาก็ไปดูแล้วก็พบกับศพผู้หญิงผูกคอตาย จึงได้มีการเผาศพในวันนั้นทันที เนื่องจากหมู่บ้านของคุณโต้งมีความเชื่อว่าถ้าเป็นศพผีตายโหงจะต้องทำการเผาวันนั้น จึงนำศพไปเผาที่ป่าช้าในหมู่บ้านที่คุณโต้งและคุณตาใช้เป็นเส้นทางในการไปจับปลา ต่อมาหลังจากที่เรื่องนี้ผ่านไปได้ 1 เดือน ก็มีคุณตาอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นน้องของคุณยายคุณโต้ง ให้นามสมมติว่า ‘ตาต้อย’ ได้มาถามว่า “ได้ข่าวว่าญาติที่อยู่หมู่บ้านนี้ผูกคอตายหรอ เอาไปเผาเอาไปฝังที่ไหนล่ะ” และได้ถามถึงเชือกเส้นนั้นที่ผูกคอตาย เนื่องจากตาต้อยเป็นคนที่มีวิชาอาคมจึงอยากจะได้เชือกเส้นนั้นเพื่อไปทำพิธีกรรมขอหวย จากนั้น ตาต้อยก็ได้ชวนคุณแม่คุณโต้งไปทำธุระในตัวเมือง ซึ่งคุณแม่ก็ได้มาเล่าให้คุณโต้งฟังแล้วมารู้ทีหลังว่าท้ายกระบะมีเชือกที่ตาต้อยเก็บสะสมอยู่ท้ายกระบะ ทำให้ในขณะที่นั่งรถอยู่นั้น คุณแม่รู้สึกเหมือนมีคนนั่งอยู่ท้ายกระบะ จึงหันไปดูและสิ่งที่คุณแม่เห็น ก็คือ ผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก และคนแก่นั่งเต็มท้ายกระบะประมาณ 10 คน พอคุณแม่กำลังจะหันไปถามตาต้อยร่างเหล่านั้นก็หายไป ตาต้อยจึงบอกว่า “นั่งไปเหอะ คงไม่มีอะไรหรอกลูก” ในวันนั้นเมื่อกลับมาถึงบ้าน คุณแม่ก็รู้สึกมีอาการเหมือนไม่สบายจึงรีบเข้านอน หลังจากที่หลับได้สักพักก็รู้สึกตัวในช่วงกลางดึก เพราะได้ยินเสียงเหมือนมีมือมาครูดสังกะสีบริเวณขื่อบ้าน จึงตัดสินใจเปิดมุ้งไปดูแล้วเห็นเป็นภาพคนผูกคอตาย ตัวซีด ดวงตาปูดโปน ลิ้นจุกปากห้อยลงมาจากขื่อบ้าน เรียกร้องขอให้คุณแม่ช่วย “ช่วยด้วยย.. ช่วยด้วย” ที่น่าขนลุกไปกว่านั้นคือไม่ได้มีคนเดียว แต่มีทั้งหมดเกือบ 10 คนที่ห้อยอยู่ตรงนั้น! ด้วยความที่คุณแม่ตกใจจึงรีบปิดมุ้งแล้วมานอนคลุมโปง ไม่นานก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างร่วงตกลงมาทับตัว! คุณแม่ค่อย ๆ เปิดผ้าห่มแล้วก็เห็นเป็นร่างที่ผูกคอตายนั้นร่วงตกลงมาทำให้มุ้งขาดแล้วลงมาทับคุณแม่ บางร่างตกลงมานอนประจันหน้ากับคุณแม่ เมื่อคุณแม่เจอเช่นนี้จึงร้องกรี๊ดจนหมดสติไป! คุณยายมาปลุกจึงทำให้คุณแม่รู้สึกตัว คุณแม่ที่อยู่ในอาการที่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เจอจึงเล่าให้คุณยายฟัง เมื่อคุณยายทราบเช่นนั้นก็ได้บอกน้าไปตามตาต้อยมา แล้วพูดกับตาต้อยว่า “ดูซิเนี่ย หลานมึงจะตายแล้วเนี่ย ไปเอาไรมา ไปออกมาให้หมดแล้วเผาทิ้งไปเลย” ตาต้อยจึงได้นำกล่องหนึ่งมาแล้วเทให้ดู ซึ่งของที่อยู่ในกล่องคือเชือกเกือบ 10 เส้น หลังจากนั้นก็ได้ให้นำเชือกทั้งหมดไปเผา ในขณะที่เผาคุณแม่ก็เห็นเป็นภาพลาง ๆ เหมือนดวงวิญญาณแต่ละดวงค่อย ๆ ลอยขึ้นไป..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณออโต้ 'คืนออกตรวจ' l อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [18 ก.พ. 2568]

22 ก.พ. 2025

เรื่องเล่าจากคุณออโต้ 'คืนออกตรวจ' l อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [18 ก.พ. 2568]

ตำรวจหน้าใหม่ไฟแรงคนหนึ่ง ได้รับแจ้งเหตุว่ามีขโมยขึ้นบ้าน แต่เมื่อไปถึงกลับไม่พบร่องรอยของโจรเลย กลับพบเพียงตู้เสื้อผ้าเก่า ๆ ที่มีศพอยู่ในนั้น! ศพนี้คือใคร? คนที่โทรแจ้งจะเกี่ยวข้องกับศพนี้อย่างไร? และเหตุการณ์หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น? ติดตามได้กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘คืนออกตรวจ’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (18 กุมภาพันธ์ 2568) พร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ ‘ดีีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ’ ถ้าพร้อมแล้ว ไปหาคำตอบกันเลย! ‘คุณออโต้’ ได้นำเรื่องของน้องตำรวจคนหนึ่งชื่อ ‘คุณโจ้’ (นามสมมติ) มาเล่า โดยเล่าว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน เป็นช่วงที่คุณโจ้ได้เป็นตำรวจใหม่ มักได้ออกตรวจเมื่อมีคนมาแจ้งเหตุเข้ามา และในวันที่เกิดเหตุตอนประมาณ ตี 1 กว่า ได้มีคนแจ้งเข้ามาว่า มีคนร้ายขึ้นบ้าน คุณโจ้และเพื่อนอีกสองคน จึงขับรถสายตรวจออกไปที่เกิดเหตุทันที จากสถานีตำรวจและบ้านที่เกิดเหตุนั้นห่างกันประมาณ 6 กิโลเมตร ลักษณะของบ้านที่เกิดเหตุมีพื้นที่ประมาณ 2 ไร่กว่า บ้านติดอยู่กับสวน เมื่อคุณโจ้และเพื่อนมาถึงก็สังเกตเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งยืนรออยู่หน้าประตูบ้าน ผู้ชายที่ยืนอยู่มีท่าทางตกใจเป็นอย่างมาก คุณโจ้จึงได้เข้าไปสอบถาม ผู้ชายคนนี้เล่าว่า “เมื่อกี้ ผมได้ยินเสียงกระทืบเท้าบนชั้น 2” เมื่อทราบเรื่องคุณโจ้และเพื่อนจึงขึ้นไปตรวจสอบบนบ้านทันที คุณโจ้และเพื่อนเดินขึ้นไปบนชั้น 2 พร้อมกับเจ้าของบ้านนามว่า ‘คุณเอ’ (นามสมมติ) ซึ่งได้บอกกับคุณโจ้เพิ่มเติมว่า “พี่ ห้องข้างบ้านเนี่ยผมได้ยินเสียง” คุณโจ้จึงพูดไปว่า “นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ใครอยู่ในห้อง ออกมา” แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา คุณโจ้จึงเปิดประตูเข้าไป แต่ก็ไม่พบใคร คุณโจ้จึงถามคุณเอว่า “น้อง ในห้องไม่มีคนเลยนะ” แต่คุณเอก็ยังยืนยันว่าเขานั้นได้ยินเสียงกระทืบเท้า และบอกต่อว่าอาจจะกระโดดออกทางหน้าต่างไปแล้วก็ได้ คุณโจ้จึงไปตรวจสอบที่หน้าต่างปรากฏว่ามันล็อกอยู่ และคิดว่าคงไม่มีโจรคนไหนกระโดดออกจากทางหน้าต่างแล้วกลับมาล็อกตามเดิม คุณโจ้ได้ปรึกษากับเพื่อนอีกสองคนว่า คุณเออาจจะเมาสารเสพติดแล้วเกิดอาการหลอน คุณโจ้จึงเดินลงมาบอกคุณเอว่าเขาไม่พบใครเลย แต่คุณเอก็ยังยืนยันคำเดิมว่าได้ยินเสียงจริง ๆ และมีเสียงคนคุยกันรอบบ้าน แต่ก็จับใจความที่คุยกันไม่ได้ แล้วยังได้ยินเสียงกระทืบเท้า คุณเอจึงขอให้ไปตรวจดูรอบบ้าน คุณโจ้และเพื่อนก็ทำตามนั้น แต่เมื่อเดินตรวจทุกที่แล้วก็ยังไม่พบใครหรือสิ่งมีชีวิตใด ๆ จึงเดินกลับมาบอกกับคุณเอว่า “พี่เดินตรวจแล้ว ไม่เจอคนร้ายเลยนะ” แต่คุณเอก็ยังยืนยันว่าได้ยินจริง ๆ เมื่อตรวจสอบทุกอย่างเรียบร้อย คุณโจ้และเพื่อนจึงขอกลับมาที่สถานีตำรวจ แต่ขับรถมาได้ประมาณ 10 นาที ก็มีวิทยุแจ้งเข้ามาว่า บ้านหลังนั้นที่พวกเขาไปตรวจมามีคนร้ายวิ่งเข้าไปในบ้าน คุณโจ้และเพื่อนก็คิดว่า ‘บ้านหลังนี้อีกแล้ว’ แต่ด้วยหน้าที่จึงเดินทางกลับไปที่บ้านหลังเดิม และเห็นคุณเอยืนอยู่ที่รั้วบ้านด้วยท่าทีตกใจและบอกว่า “มันมีคนวิ่งเข้าไปพี่” คุณเอจึงได้เอาเชือกล็อกประตูห้องนั้นไว้ มั่นใจว่าครั้งนี้ต้องจับได้แน่ คุณโจ้และเพื่อนก็ขึ้นไปบนชั้น 2 ของบ้าน แต่คราวนี้คุณเอได้เปิดไฟไว้ทั่วบ้าน พอถึงชั้น 2 คุณโจ้ก็ตะโกนออกไปว่า “ใครอยู่ในห้อง! ออกมา! นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ!” แต่เรื่องที่แปลกก็คือ ครั้งที่แล้วภายในห้องมีแค่เตียงกับพัดลม แต่ครั้งนี้กลับมีตู้เสื้อผ้าไม้ขนาดใหญ่อยู่กลางห้อง คุณโจ้จึงคุยกับเพื่อนว่า “เมื่อกี้เรามาไม่เห็นเจอนะ” คุณโจ้จึงเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เพื่อดูว่ามีคนร้ายอยู่ในนั้นหรือไม่ แต่เมื่อเปิดออกก็ไม่พบออะไร เป็นตู้เปล่า ทั้งสามคนจึงสรุปกันว่าเจ้าของบ้านมีอาการหลอน และเริ่มปลีกตัวออกมาพร้อมตะโกนบอกไปว่า “ถ้าน้องหลอนหรืออะไร นอนหลับได้เลยนะ อย่าโทรแจ้งอย่างงี้อีก” แต่ขณะที่กำลังออกจากห้องนั้น ก็มีเสียงเหมือนคนกำลังเคาะตู้เสื้อผ้าจากด้านใน คุณโจ้จึงหันไปมอง และไฟที่เริ่มติด ๆ ดับ ๆ ในขณะนั้นเองตู้เสื้อผ้าก็ค่อย ๆ เปิดออกมา จนเห็นร่างของผู้ชายคนหนึ่งภายในตู้ โดยร่างนั้นมีลักษณะอืดบวม และตรงพัดลมเพดานที่ไฟติด ๆ ดับ ๆ อยู่ ก็มีร่างของผู้หญิงคนหนึ่งผูกคอห้อยอยู่ แล้วชี้หน้ามาที่ทั้ง 3 คน พร้อมตะโกนออกมาว่า “พวกมึงเป็นใคร! เข้ามาบ้านกูทำไม” คุณโจ้และเพื่อนรีบวิ่งลงมาข้างล่าง โดยที่คุณเอไปยืนรอที่รถสายตรวจแล้ว ทั้ง 3 คนจึงมาคุยกับคุณเอถึงสิ่งที่พวกเขาเจอ และถามคุณเอว่า “แล้วเป็นเจ้าของบ้านหรือเปล่า” คุณเอจึงบอกไปว่า “ผมพึ่งมานอนคืนแรกพี่ ผมก็ได้ยินเสียง” คุณโจ้จึงถามต่อว่า “แล้วเจ้าของบ้านละ” คุณเอก็บอกว่าเจ้าของบ้านนั้นเป็นคุณป้า ตอนนี้อยู่ต่างจังหวัด ทั้ง 3 คนยังคงตกใจกับสิ่งที่เจอ จึงหันกลับไปมองในตัวบ้านที่เปิดไฟไว้ทั่ว แต่แล้วอยู่ ๆ ไฟก็ดับไป และมีเสียงตะโกนออกมาพร้อมกันว่า “พวกมึง! ออกไปจากบ้านกู!” โดยเสียงนั้นมาจากร่างชาย-หญิงที่พวกเขาพบ คุณโจ้และเพื่อนจึงรีบพาคุณเอไปที่สถานีตำรวจ เมื่อมาถึงก็ได้เริ่มพูดคุยกัน คุณเอก็ไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นภายในบ้านหลังนั้น แต่ก็ไม่สามารถกลับไปได้แล้วเพราะกลัวมาก คุณโจ้จึงให้คุณเอนอนที่สถานีตำรวจ เช้าวันรุ่งขึ้น คุณโจ้และเพื่อนมานั่งคุยกันว่าที่พวกเขาเจอนั้นมันคืออะไรกันแน่ เมื่อคุยกันเสร็จก็ขับรถไปส่งคุณเอเพื่อไปเก็บของ และถามว่าจะทำอย่างไรต่อ คุณเอจึงตอบกลับว่า “ไม่อยู่แล้วพี่ ผีหลอกขนาดนี้ผมกลับดีกว่า” เมื่อคุณโจ้ไปส่งคุณเอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมาที่สถานีตำรวจเพื่อไปถามรองผู้กำกับว่าบ้านหลังนั้นเคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น รองผู้กำกับก็มีสีหน้าตกใจและเริ่มเล่าให้คุณโจ้ฟังว่า บ้านหลังนี้เคยเป็นบ้านของสองสามีภรรยาคู่หนึ่งที่อยู่ด้วยกันแล้วมีการทะเลาะกันเกิดขึ้น ฝ่ายภรรยาได้แทงสามีและเอาร่างไปไว้ในตู้เสื้อผ้า ส่วนตัวเองก็ผูกคอตายตาม และเมื่อบ้านหลังนี้ได้ขายทอดตลาด คนที่เข้ามาพักก็จะเจอเหตุการณ์แบบที่คุณเอเจอ..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เจรจาก็แล้ว ขอขมาก็แล้ว สุดท้ายต้องมีคนตาย! งานนี้ยายออกโรงปกป้องหลาน แก้แค้นผีนางรำสุดโหด ลั่น! “มึงทำหลานกูเจ็บ 3 วัน เดี๋ยวกูจะทรมานมึง 3 ปี”

08 ธ.ค. 2023

เจรจาก็แล้ว ขอขมาก็แล้ว สุดท้ายต้องมีคนตาย! งานนี้ยายออกโรงปกป้องหลาน แก้แค้นผีนางรำสุดโหด ลั่น! “มึงทำหลานกูเจ็บ 3 วัน เดี๋ยวกูจะทรมานมึง 3 ปี”

เมื่อยายต้องแก้แค้นผีที่ทำให้หลานตัวเองเจ็บและทำให้เพื่อนของหลานต้องตาย ยายจะใช้วิธีไหน ติดตามในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 ธ.ค. 2566) กับเรื่องหลอนจาก ‘พี่แจ๊ค The Ghost Radio’ ที่ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ต้องทึ่ง! เรื่องนี้จะเป็นอย่างไรไปอ่านกันเลย! เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณวิทย์ เซลล์แมน’ ที่ได้มาถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้พี่แจ๊คได้ฟัง เริ่มเรื่องโดยคุณวิทย์เล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณฮูก’ ต้องย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน คุณฮูกมีครอบครัวที่คุณยายเปิดตำหนักเป็นร่างทรง ดูดวง ปัดเป่าทุกข์โศก รักษาอาการเจ็บป่วยด้วยการรมควันให้ชาวบ้านระแวกนั้น และตัวของคุณฮูกก็มีกลุ่มเพื่อน เป็นกลุ่มวัยรุ่นอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าคุณฮูกเป็นหลานของคุณยายท่านนี้ วันหนึ่ง ขณะที่คุณฮูกกำลังนอนอยู่ที่ตำหนักของคุณยาย จู่ ๆ พ่อของเพื่อนคุณฮูกที่ชื่อ ‘คุณโอ๊ต’ ก็มาที่ตำหนักและบอกว่า “ช่วยไปดูโอ๊ตหน่อย โอ๊ตโดนผีเข้า” ได้ยินดังนั้น ยายของคุณฮูกก็รีบไปทันที ตัวคุณฮูกที่ได้ยินก็ตกใจและรีบตามไป พอไปถึงก็เจอคุณโอ๊ตในลักษณะที่โดนผีผู้หญิงเข้า และพูดอยู่เพียงประโยคเดียวว่า “ไอ้พวกนี้มันลบหลู่กู กูจะเอาชีวิตมัน! พวงมึงต้องตาย!” คุณยายที่ได้เห็นแบบนั้นก็เข้าเจรจาพูดคุยว่า “มันเกิดอะไรขึ้น” แต่ผีตนนั้นก็ไม่ได้บอกอะไร พูดแค่ว่า “กูจะเอาชีวิตมัน มันลบหลู่กู พวงมึงต้องตาย” จากนั้น คุณยายก็หันหลับไปถามคุณฮูกว่า “ไหนเล่าให้ฟังซิ มันเกิดอะไรขึ้น เพื่อนเอ็งหนิ” คุณฮูกจึงเริ่มเล่าให้คุณยายฟังว่า “เมื่อวานนี้ กลุ่มเพื่อนได้ไปเล่นน้ำกัน ในระหว่างนั้นก็หาอะไรมาเล่น และเพื่อน ๆ ก็ได้ดำน้ำลงไปเอาก้อนดินมาปาใส่กัน ปรากฏว่า ‘โอ๊ต’ ได้ดำลงไปเอาก้อนดินใหญ่มากขึ้นมาปา แต่พลาดไปโดนศาลที่อยู่ริมน้ำ ทำให้ศาลพัง ของในศาลตุ๊กตานางรำอะไรแตกกระจายไปหมด ทุกคนที่เห็นท่าไม่ดีก็ขอขมา และแยกย้ายกันกลับบ้าน” ยายที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดก็ได้เจรจากับผีตนนั้นว่า “ออกก่อนได้ไหม เรื่องแบบนี้เดี๋ยวให้เด็กไปขอขมาพรุ่งดีได้ไหม ตอนนี้มันมืดแล้ว” ผีตนนั้นก็ตอบสวนกลับมาว่า “ไม่ได้! ต้องไปขอขมาวันนี้ ไม่งั้นกูจะเอามันไป” คุณยายที่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงพยายามทำให้ผีออกจากร่างด้วยวิธีการของยาย จนผีตนนี้ออกจากร่างไป ยายก็เอาด้ายแดงมาพันแขนของโอ๊ตไว้ แล้วก็บอกว่า “วันพรุ่งนี้ ให้เด็กทุกคนรวมตัวกันแล้วไปขอขมาตอนเช้า” เช้ารุ่งขึ้น เด็ก ๆ ทุกคนก็ได้มารวมตัวกันและไปขอขมาที่ศาลแห่งนั้น เรื่องนี้ก็ควรที่จะจบที่ตรงนี้ ที่ทุกคนได้ใช้ชีวิตตามปกติ แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป คุณฮูกได้รถมอเตอร์ไซค์มาใหม่ และอยากจะลองรถ จึงได้ชวนโอ๊ตไปด้วยกัน ในระหว่างที่ขี่ไปนั้นเ คุณโอ๊ตก็ได้ขอคุณฮูกว่า “ขอลองมั่งดิ อยากขี่บ้าง” คุณฮูกก็ให้คุณโอ๊ตลองขี่ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านศาลนั้น ปรากฏว่าจังหวะที่ผ่านศาลนั้น ตัวของคุณฮูกและคุณโอ๊ตก็ได้เห็นผู้หญิงแต่งตัวคล้าย ๆ นางรำมาโผล่ตามที่ต่าง ๆ จนตัวของคุณฮูกรู้สึกว่ากำลังโดนสิ่งนี้รังควาน คุณโอ๊ตที่ตกใจก็รีบขับหลบและหนีด้วยความเร็ว แต่ก็ยังโดนผู้หญิงคนนี้ตามไปทุกที่ จนกระทั่งกำลังจะขี่ข้ามสะพาน ปรากฏว่ารถได้ไปชนกับฟุตบาททำให้รถเสียหลักคว่ำ คุณฮูกถามคุณโอ๊ตว่า “เฮ้ย เพื่อนเป็นยังไงบ้าง” คุณโอ๊ตก็ตอบกลับมาว่า “เจ็บหน้าอกว่ะเพื่อน” หลังจากนั้นทั้งสองคนก็สลบไป มารู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่โรงพยาบาลกันแล้ว คุณฮูกรู้สึกเพียงแค่เจ็บขา และก็คิดห่วงว่าเพื่อนจะเป็นอย่างไรบ้าง จนกระทั่ง 7 โมงเช้า คุณโอ๊ตที่ใส่ชุดคนไข้ก็เดินเข้ามาถามว่า “เฮ้ย ฮูกเป็นไงบ้างวะ ขอโทษนะเว้ยที่ขี่รถแล้วเกิดอุบัติเหตุ” คุณฮูกที่ได้ยินแบบนั้นก็ตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไร เราก็เห็นหนิ ว่าเรากำลังเจอกับอะไรอยู่” หลังจากนั้นตัวของคุณฮูกและคุณโอ๊ตก็นั่งคุยกันอยู่อีกสักพักหนึ่ง คุณโอ๊ตก็บอกว่า “เฮ้ยฮูก ไปก่อนนะ เดี๋ยวกลับไปที่ห้องก่อน ค่อยเจอกันตอนออกจากโรงพยาบาล” จากนั้น คุณโอ๊ตก็เดินออกไป ตัวคุณฮูกจึงกลับไปนอน และหลับไปจนถึงช่วงเย็น คุณยายได้มาเยี่ยมคุณฮูกและถามไถ่อาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง คุณฮูกตอบไปว่าแค่เจ็บขา คุณยายก็ถามขึ้นมาอีกว่า “แล้วรู้ข่าวไอ้โอ๊ตยัง” ด้วยความสงสัยคุณฮูกก็ถามไปว่า “ทำไมอะยาย” แต่สิ่งที่ยายตอบกลับมาทำให้คุณฮูกตกใจเป็นอย่างมากคือ “ไอ้โอ๊ตเสียแล้วนะ ตายไปตั้งแต่เมื่อคืน หัวมันกระแทกแล้วมันจุกหน้าอก ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร” คุณฮูกที่ตกใจและเสียใจมากก็รีบสวนไปว่า “เฮ้ย ยายจะเป็นไปได้ยังไง ก็เมื่อเช้าโอ๊ตยังมานั่งคุยกับผมอยู่ข้างเตียงตรงนี้” หลังจากนั้น ผ่านไป 3 วัน คุณยายก็มาบอกกับคุณฮูกว่า “พ่อของโอ๊ตเขาอยากให้ฮูกบวชให้หน่อยได้ไหม” คุณฮูกก็ตกลงทันที หลังจากที่บวชเสร็จ คุณยายก็มาถามฮูกว่า “เป็นอย่างไรบ้าง” คุณฮูกก็ตอบกลับไปว่า “ผมรู้สึกเจ็บใจที่นอนเจ็บตัวไป 3 วัน” ยายก็ถามกลับมาว่า “แล้วจะเอายังไง” คุณฮูกก็ตอบกลับมาแค่ว่า “ไม่รู้ยาย แต่ผมเจ็บอะ” หลังจากนั้นคุณฮูกก็เล่าเหตุการณ์วันที่เกิดเรื่องให้คุณยายฟังว่าเจออะไรบ้างในตอนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปกับโอ๊ต คุณยายก็พูดมาว่า “มึงทำหลานกูเจ็บ 3 วัน เดี๋ยวกูจะทรมานมึง 3 ปี” ด้วยคำพูดนี้ ตกเย็นวันนั้น คุณยายก็ไปเผาศาลนั้นเพียงคนเดียว เหตุการณ์นี้ก็ผ่านไป ชาวบ้านต่างก็รู้ว่าคุณยายเป็นคนเผาศาลนี้เพราะว่าข่าวมันกระจายไปทั่วว่า ผีนางรำมาทำให้หลานเขาเจ็บ! หลังจากนั้นคุณฮูกก็ใช้ชีวิตตามปกติ แต่ตัดภาพกลับมาที่ตำหนักของคุณยายในตอนนี้ มีหม้อหุงข้าวอยู่ใบหนึ่ง ซึ่งคุณยายจะเสียบปลั๊กหม้อหุงข้าวใบนี้ไว้ตลอดเวลา ตัวของคุณฮูกจะรับหน้าที่เป็นคนเติมน้ำเข้าไปในช่องที่มีไอน้ำออกมา ซึ่งคุณฮูกก็ถามคุณยายตลอดว่าหม้อใบนี้เอาไว้ทำอะไร คุณยายก็ตอบกลับมาเพียงว่า “มันเป็นหม้อเอาไว้นึ่งสมุนไพร เอาไว้รมควันรักษาคน” คุณฮูกก็เข้าใจแบบนี้มาตลอด จนกระทั่งคุณฮูกไปเรียนปวส. 3 ปีผ่านไป ตำหนักแห่งนี้ยังคงเหมือนเดิม จนวันหนึ่งที่คุณฮูกเดินทางกลับมาที่ตำหนักนี้ คุณยายก็เรียกคุณฮูกไปและบอกว่า “เอาหม้อหุงข้าวนี้ไปทิ้ง ยามันน่าจะหมดแล้ว สมุนไพรมันน่าจะนิ่มหมดแล้ว” คุณฮูกที่ได้รับคำสั่งแบบนั้นก็รีบไปจัดการ แต่ขณะที่ไปดึงปลั๊ก ก็แทบจะดึงไม่ออก เพราะปลั๊กนี้ไม่ได้ถอดมา 3 ปีก็ทำให้ถอดออกยาก พอดึงออกมาได้และเปิดฝาออก ก็ทำให้คุณฮูกต้องผงะตกใจ เพราะว่าสิ่งที่อยู่ในนั้น ไม่ใช่สมุนไพร! แต่มันคือตุ๊กตานางรำ! คุณยายนั้นเอาตุ๊กตานางรำมาต้มอยู่ 3 ปี!! จากการที่แค้นผีนางรำมาทำให้หลานตัวเองเจ็บ ทำให้เพื่อนของหลานตัวเองตาย คุณยายก็ได้ทำตามที่ตัวเองลั่นวาจาไว้ว่า “มึงทำหลานกูเจ็บ 3 วัน กูจะทรมานมึง 3 ปี”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1
Contact usGreenwave02-665-8377EFM02-665-8373
Advertise with usมัลลิกา ปราบอริพ่าย (กบ)(Atime Showbiz, Online Content)063-282-6915จุฑา วนศานติ (บี) (EFM)02-669-9512, 081-923-9823
อังคณา พองาม (นุก) (Greenwave)02-669-9444-7
ดาวน์โหลด Application ได้แล้ววันนี้ที่atime online application download from app storeatime online application download from play storeติดต่อสอบถาม / แจ้งปัญหาการใช้งานatimeplatform@atimemedia.com
บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน)เลขที่ 50 อาคาร จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส ถนนสุขุมวิท21 (อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขต วัฒนา กรุงเทพ 10110