เรียนหมอไม่ค่อยเข้าใจ ได้รุ่นพี่มาช่วยสอนจนคะแนนดีขึ้น ก่อนปิดเทอมไปสารภาพรักกับเขา แต่เขาตอบกลับมาว่า “ถ้าคุณรู้จักผมมากกว่านี้ คุณอาจจะเปลี่ยนใจ” แล้วเขาก็หายไปเลย!

อังคารคลุมโปง RECAP

เรียนหมอไม่ค่อยเข้าใจ ได้รุ่นพี่มาช่วยสอนจนคะแนนดีขึ้น ก่อนปิดเทอมไปสารภาพรักกับเขา แต่เขาตอบกลับมาว่า “ถ้าคุณรู้จักผมมากกว่านี้ คุณอาจจะเปลี่ยนใจ” แล้วเขาก็หายไปเลย!

02 มี.ค. 2024

            เรื่องนี้เป็นสายจาก ‘คุณสุ’ ที่ได้มาเล่าเรื่องรักชวนหลอนเกี่ยวกับนักศึกษาแพทย์และร่างอาจารย์ใหญ่ ให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันเลย!

            คุณสุเล่าย้อนว่าเมื่อก่อนตนนั้นเป็นพยาบาลในแผนก ICU ก่อนที่จะลาออก เพื่อนร่วมงานก็จัดปาร์ตี้เลี้ยงส่ง นั่นทำให้ ‘พี่หมอมุ่ย’ (นามสมมติ) นำเรื่องหลอนสมัยที่เขายังเป็นนักศึกษาแพทย์มาเล่าให้คุณสุฟัง

            หมอมุ่ยเล่าย้อนว่า ปกติแล้วนักศึกษาแพทย์จะใช้เวลาหนึ่งปีไปกับการศึกษาร่างกายมนุษย์ (Anatomy) กับร่างของอาจารย์ใหญ่ ในช่วงนั้นหมอมุ่ยมีปัญหากับการจดจำรายละเอียดต่าง ๆ ของร่างกาย มักจะจำผิดพลาดและคลาดเคลื่อนอยู่บ่อยครั้ง จึงลงการเรียนเสริมให้ตัวเอง เพื่อที่ตนเองนั้นจะสามารถเรียนทันนักศึกษาคนอื่นและสอบได้ เพราะหากต้องมาสอบแก้ทีหลังจะเสียเวลาไปกันใหญ่

            วันหนึ่ง ขณะที่หมอมุ่ยเรียนเสริมอยู่ เขาก็รู้สึกแย่กับตนเองเพราะไม่สามารถตอบคำถามของอาจารย์ได้เลย ทั้งยังไม่เข้าใจบทเรียนที่เรียนในวันนี้ด้วย หมอมุ่ยคิดในใจว่า ‘ถ้ามีใครสักคนมาสอนให้เรารู้มากกว่านี้ โดยที่เราไม่ต้องขอเงินจากพ่อแม่เพิ่ม ไม่ต้องไปทำงานหาเงินเพื่อมาเรียนเสริม มันก็คงจะดีเนอะ’ หลังจากนั้น ก็มีรุ่นพี่คนหนึ่ง นามสมมติว่า ‘ทรงเกียรติ’ มาเป็นผู้ช่วยสอนในเรื่องของกายวิภาคศาสตร์โดยเฉพาะ รุ่นพี่คนนี้พูดกับหมอมุ่ยว่า “พี่เห็นในคลาสเรียนแล้ว น้องดูไม่ค่อยเข้าใจเลย อยากเรียนเสริมกับพี่มั้ย? เดี๋ยวพี่สอนเอง พี่สอนให้ฟรีเลย ถือว่าเป็นการช่วยรุ่นน้อง” หมอมุ่ยดีใจมากที่จะได้เรียนเสริมเป็นการส่วนตัว แถมคนที่มาสอนยังรูปหล่อหน้าตาดีอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เองทำให้หมอมุ่ยได้แต่แอบกรี๊ดอยู่ในใจ

            ช่วงพักทานข้าวหรือระหว่างคาบเรียน ก็เป็นช่วงเวลาที่พี่ทรงเกียรติเข้ามาช่วยสอน ระหว่างที่เรียนเสริมนั้น ปรากฏว่าผลการเรียนของหมอมุ่ยก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขั้นได้รับคำชมจากอาจารย์ว่า “มีพัฒนาการขึ้นนะ ขอให้รักษาผลการเรียนแบบนี้ไว้นะ” นั่นทำให้หมอมุ่ยรู้สึกภูมิใจมากขึ้นไปอีก เป็นเวลากว่า 6-7 เดือนที่พี่ทรงเกียรติมาช่วยสอน ก็เกิดความรู้สึกดี ๆ ขึ้นภายในใจของหมอมุ่ย หมอมุ่ยบอกว่า “เขาเป็นคนแรก ที่ทำให้พี่รู้สึกปลื้มจนอยากไปสารภาพรักเลย”

            ก่อนจบการศึกษา หมอมุ่ยตัดสินใจบอกว่าพี่ทรงเกียรติไปว่า “หนูขอบคุณนะคะที่มาช่วยสอน หนูชอบพี่นะ หนูอยากเป็นแฟนกับพี่ พี่จะรับรักหนูมั้ย? ถึงหนูจะไม่ใช่ผู้หญิงแท้ แต่หนูก็รักจริงนะ” แต่พี่ทรงเกียรติก็ตอบกลับมาว่า “ผมไม่ได้รังเกียจหรอกครับว่าคุณจะเป็นเพศอะไร ขอบคุณมากที่คุณมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับผม แต่ถ้าคุณรู้จักผมมากกว่านี้ คุณอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้” แม้พี่ทรงเกียรติจะปฏิเสธอย่างมีมารยาท แต่หมอมุ่ยก็รู้สึกเสียใจไม่ใช่น้อย หลังจากวันนั้น หมอมุ่ยก็ไม่ได้เจอพี่ทรงเกียรติอีกเลย ไม่ว่าหมอมุ่ยจะพยายามเดินไปตึกเรียนที่คาดว่าพี่ทรงเกียรติจะอยู่แต่ก็ไม่เคยเจอ และยังไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับพี่ทรงเกียรติได้เลย

            จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้มีการจัดพิธีส่งร่างอาจารย์ใหญ่เพื่อนำไปฌาปนกิจ ซึ่งก่อนหน้านั้นจะมีการรวมตัวนักศึกษาเพื่อให้มากล่าวขอบคุณร่างอาจารย์ใหญ่ หมอมุ่ยบอกว่ามีชื่อนึงที่คุ้นหู และรูปก็คุ้นตาคล้ายกับพี่ทรงเกียรติอย่างไรอย่างนั้น แต่หมอมุ่ยก็ยังไม่แน่ใจเพราะเห็นในระยะไกล จนพิธีเสร็จสิ้น หมอมุ่ยจึงแอบปลีกตัวเองเดินออกไปหาร่างนั้น เพื่อที่จะไปดูป้ายชื่อว่าใช่อย่างที่ตนคิดหรือไม่ ปรากฏว่าร่างของอาจารย์ใหญ่ที่มีป้ายชื่อห้อยอยู่ รวมทั้งรูปภาพเจ้าของร่างนั้นเป็นพี่ทรงเกียรติจริง ๆ

            คุณสุนึกสงสัยจึงถามหมอมุ่ยไปว่า “ระหว่างนั้นเขาไม่มีอะไรแปลก ๆ เลยหรอคะหมอ?” หมอมุ่ยส่ายหัวและบอกว่า “ไม่เลย ทุกอย่างเหมือนกับที่เรานั่งคุยกันแบบนี้ เราแตะตัวกันได้ แล้วตอนที่เขามาสอนไม่ใช่นั่งตรงข้ามนะ เขาจะนั่งข้างขวาไม่ก็ซ้าย ใกล้ชิดหมอมาก ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกผิดแปลกอะไรเลย จะมีแค่อย่างเดียวคือ เวลาสั่งน้ำหรือสั่งขนมมาให้ พี่ทรงเกียรติจะไม่แตะอะไรเลย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าเขาอาจจะเกรงใจเรา” นั่นคือข้อสังเกตเดียวที่เห็นจากพี่ทรงเกียรติ นอกนั้นแล้ว เขาก็เหมือนคนปกติทั่วไป นั่นทำให้หมอมุ่ยเข้าใจความหมายของพี่ทรงเกียรติที่บอกว่า “ถ้ารู้จักผมมากกว่านี้ อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้..”

            คุณสุถามเพิ่มเติมว่า “ระหว่างที่ติวด้วยกัน ไม่มีใครเห็นเลยหรอ?” หมอมุ่ยก็บอกว่า “สถานที่ที่เลือกติวกันนั้น หลาย ๆ คนมักจะจดจ่อกับสิ่งที่ตนสนใจอยู่ ทำให้ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาที่คนอื่นมอง ไม่แน่ว่าคนอื่นก็อาจจะไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติก็เป็นได้”

            นอกจากนี้หมอมุ่ยก็ยังไปสืบมาว่าพี่ทรงเกียรติเป็นผู้ป่วยภาวะสมองตาย แต่ข้อมูลอื่น ๆ นั้นไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนรุ่นน้องของหมอมุ่ยก็เจอบ้างเป็นบางรุ่น เช่น นักศึกษาบางคนอยากจะเรียนเพิ่ม จึงไปอยู่กับร่างอาจารย์ใหญ่เพียงลำพัง พี่ทรงเกียรติก็จะเดินมาบอกว่า “น้อง มันหมดเวลาแล้ว กลับไปก่อนมั้ย ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนมาถามพี่หรืออาจารย์ท่านอื่นก็ได้ ถ้าพวกพี่ยามเขามาปิดตึกแล้ว น้องจะกลับบ้านไม่ได้นะ” เป็นต้น หลายคนที่เจอมักบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หากตั้งใจตามหาพี่ทรงเกียรติจะหาตัวไม่เจอ เขาจะปรากฏให้เห็นก็ต่อเมื่อเขาอยากมาเท่านั้น

            และนี่ก็เป็นรักแรกของหมอมุ่ยที่ยังคงจำได้ฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เสียงปริศนาหลังกระต๊อบทำเสียวสันหลัง! พอมองลอดผ่านช่อง ก็เห็น...ระยะประชิดจนภาพติดตา!

10 มี.ค. 2023

เสียงปริศนาหลังกระต๊อบทำเสียวสันหลัง! พอมองลอดผ่านช่อง ก็เห็น...ระยะประชิดจนภาพติดตา!

ความเชื่อเรื่อง "ผีกระสือ" ที่มักจะเรืองแสงออกหากินของสดคาวและเน่าเหม็นในยามวิกาลมีมาอย่างยาวนานในบ้านเรา “พี่วิทย์ พชรพล” และครอบครัวก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เชื่อว่ากระสือมีจริง โดยอิงจากประสบการณ์ขนหัวลุก ที่พี่สาวแท้ ๆ ของพี่วิทย์เห็นมากับตา! โดยเรื่องนี้พี่วิทย์ได้นำมาเล่าให้ชาว “อังคารคลุมโปง X” (7 มีนาคม 2566) ได้เสียวสันหลังไปพร้อม กัน เรื่องจะเป็นยังไงนั้น ติดตามอ่านกันได้เลย! พี่วิทย์เล่าว่าต้องย้อนกลับไปเมื่อประมาณพี่วิทย์อายุแค่ 3 ขวบ ขณะที่ยังอาศัยอยู่ในย่านปากเกร็ด จ.นนทบุรี ครอบครัวที่เริ่มมีฐานะดีขึ้น จึงมีแพลนว่าจะสร้างบ้านที่สวนฝรั่ง ระหว่างที่กำลังสร้างบ้าน ก็พักอาศัยอยู่ในกระต๊อบหลังเล็กชั่วคราวไปก่อน พี่วิทย์และพี่ ๆ ในครอบครัวก็ชอบไปตกปลาหลังกระต๊อบ เพราะมีน้ำท่วมบ่อย และมีปลิงตัวเล็ก ๆ ทำให้พ่อมักจะห้ามไม่ให้เด็ก ๆ ในครอบครัวมาเล่นบริเวณนี้ นอกจากนั้น หลังกระต๊อบก็มีไส้ไก่ หรือพวกของเน่าเสียถูกนำมาทิ้งไว้ พี่วิทย์อธิบายกระต๊อบหลังนั้นคร่าว ๆ ว่าทำจากไม้อัดยาว ๆ เรียงต่อกันทำให้จะมีช่องเล็ก ๆ ส่วนหลังคาเป็นสังกะสี ในทุก ๆ คืน จะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างอยู่ข้างหลัง พี่สาวของพี่วิทย์ 2 คน ที่นอนอยู่ติดกับกำแพงไม้ก็นึกสงสัย และอยากรู้ให้ได้ว่ามันคือเสียงอะไร ทั้ง 2 ส่องลอดผ่านช่องแผ่นไม้กระต๊อบในระยะประชิด ก็เห็นเป็นผู้หญิงแก่ผมยาวยุ่งรุงรังกำลังกินไส้ไก่ด้วยความมูมมาม ที่สำคัญคือมีแสงไฟเล็ก ๆ ส่องสว่างขึ้นแล้วก็ดับ! พี่สาวของพี่วิทย์บอกว่า “ทุกครั้งที่พี่เล่า ภาพนั้นยังติดตาพี่อยู่เลยวิทย์” พี่วิทย์เชื่อว่าสิ่งนั้นคือ “กระสือ” ทั้งยังย้ำอย่างชัดเจนว่าไม่ได้โกหก และเล่าเสริมว่า “พี่สาวพี่ยังบอกอีกนะ ว่าตอนนั้นเขากินอย่างอร่อย เห็นหน้าไม่ชัดแต่ก็เห็นเป็นคนแก่ หลังจากเขากินเสร็จ เขาก็ลอยออกไป แต่ลอยต่ำ ๆ นะไม่ได้ลอยสูง จากนั้นก็หายไป!” และยังเล่าอีกว่าพอเช้าวันถัดมา “ลุงขาว” พี่ชายแท้ ๆ ของพ่อพี่วิทย์เดินมาบอกว่า “เนี่ย ยายคนนี้ (กระสือ) แกเอาปากไปเช็ดคราบเลือกที่ผ้าขาวม้า” พ่อพี่วิทย์ก็บอกว่า “เมื่อคืนลูกสาว 2 คนก็เห็น” แม้ตอนนั้นพี่วิทย์จะยังเด็กมาก แต่ก็จำได้ว่าหลังกระต๊อบนั้นมีน้ำท่วมขัง พี่วิทย์ชอบเอาขาไปเล่นแล้วก็ไปตกปลากับพวกพี่ ๆ แต่พ่อก็จะมาอุ้มพี่วิทย์ออกไป เพราะมีปลิงมาเกาะ แล้วยังจำได้อีกว่าหลังกระต๊อบจะมีกลิ่นเหม็นมาก เพราะทิ้งของเน่าของเสีย อย่างไส้ไก่ไว้..(เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่

ไปตั้งแคมป์กับเพื่อน งานนี้โดนหลอกตลอดทั้งคืน!

28 เม.ย. 2023

ไปตั้งแคมป์กับเพื่อน งานนี้โดนหลอกตลอดทั้งคืน!

สายตั้งแคมป์รับรองมีขนหัวลุก เพราะสายจาก ‘คุณชิ’ ที่โทรเข้ามาในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (28 มีนาคม 2566) ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเคเบิ้ล’ ฟัง ถึงการพบเจอเจ้าถิ่น.. ถ้าเป็นคนคงจะดีกว่านี้ แต่นี่กลับเป็นสิ่งลี้ลับที่เกินจะคาดเดา! คุณชิเล่าว่า ตัวเองเป็นสายแคมป์ปิ้งและวางแพลนกับเพื่อน ๆ ว่าจะไปเที่ยวจังหวัดทางภาคเหนือกัน ซึ่งตนเองนั้นชอบไปแคมป์ปิ้งในป่าลึกหรือพื้นที่ที่ยังไม่เปิดให้เที่ยว และจะให้คนในพื้นที่เป็นคนนำทาง การไปแคมป์ปิ้งในครั้งนี้ คุณชิและผู้ร่วมเดินทางอีกประมาณ 10 คน ได้ไปยังดอยแห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นภูเขาที่มีความสวยงามและยังเป็นจุดชมวิวซากุระของเมืองไทยอีกด้วย แต่จุดที่คุณชิจะตั้งแคมป์เป็นยอดดอยอีกด้านหนึ่งของภูเขา ซึ่งต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง ซึ่งวันที่คุณชิติดต่อกับคนในพื้นที่ให้มาช่วยนำทาง เขาดันติดธุระ จึงให้ลูกชายของเขาที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ขึ้นมาช่วยนำทางให้แทน เมื่อคณะเดินทางของคุณชิมาถึงจุดตั้งแคมป์จุดแรกซึ่งเป็นยอดดอยที่มองเห็นความสวยงามของทัศนียภาพได้ 360 องศา มีเจดีย์สองยอดซึ่งเป็นจุดชมวิวชื่อดังของภาคเหนือตั้งอยู่บนยอดดอยฝั่งตรงข้าม ด้านซ้ายเป็นทางเดินที่ชิดริมขอบหน้าผาซึ่งเป็นไหล่เขาลงไป ส่วนด้านขวามือเป็นเหมือนดงป่าไม้ทึบ ทั้งหมดจึงตกลงกันว่าจะตั้งแคมป์กันที่ตรงนี้ ถึงแม้ว่าจะมีพื้นที่ไม่ได้กว้างขวางมากมายเท่าไหร่นัก คณะเดินทางเริ่มผูกเต็นท์จับจองที่นอนของตัวเอง โดยเต็นท์สามหลังแรกผูกเรียงกันตรงทางเดินและหันหัวที่นอนไปทางด้านหน้าผา ส่วนที่เหลืออีกสี่เต็นท์จะผูกติดกันตรงกลางเป็นระนาบไปตามแนวของดงป่าทึบ ซึ่งในทริปนี้ มีน้องคนหนึ่งขอผูกเปลนอนกับต้นไม้ใหญ่ ซึ่ง ณ ตอนนั้นน้องที่เป็นคนนำทางก็ขอตัวกลับลงไปยังหมู่บ้านทันทีโดยไม่ได้อยู่ค้างคืนด้วย ในช่วงเย็นหลังจากที่ทุกคนจัดของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว จู่ ๆ น้องผู้หญิงคนหนึ่งในคณะมีอาการแปลก ๆ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายกับพื้นพร้อมกับร้องไห้ คุณชิเห็นดังนั้นจึงคิดว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่ และด้วยความที่เป็นสายมูเตลูจึงนำสร้อยพระเวสสุวรรณของตัวเองนำไปคล้องคอให้กับน้องคนนั้น หลังจากนั้นน้องคนนั้นก็หายจากอาการดิ้นแต่ก็ยังคงร้องไห้อยู่ คุณชิจึงนึกถึงน้ำมนต์ แต่ในตอนนั้นไม่มีใครมีน้ำมนต์ติดตัวมาเลย จึงนำน้ำขวดเทใส่แก้วพร้มอกับสวดคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า แล้วให้น้องคนนั้นจิบน้ำ เมื่อจิบน้ำไปสักพัก น้องก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองและได้เล่าว่าระหว่างที่กำลังผูกเต็นท์ที่หันหน้าไปทางด้านหน้าผา เขาได้ยินเสียงเด็กเรียกชื่อเขา และเผลอขานรับ หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย คุณชิเล่าต่ออีกว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ตนเองจึงนึกย้อนไปว่าก่อนที่จะขึ้นมาบนยอดดอยนี้ คุณชิได้รับข้อมูลมาว่ามีศาลแห่งหนึ่ง ลักษณะเป็นพระธาตุ ที่ชาวบ้านสักการะอยู่บนยอดดอยนี้ด้วย จึงคิดว่าต้องไปไหว้สักการะขอเจ้าที่เจ้าทางก่อน ซึ่งระยะทางระหว่างแคมป์และศาลนั้นอยู่ที่ 300 เมตร แต่คณะเดินทางกลับใช้เวลาเกือบถึงครึ่งชั่วโมงในการไปศาล ราวกับว่ายิ่งเดินเท่าไหร่ยิ่งไปไม่ถึงสักที คุณชิจึงตั้งจิตอธิษฐานว่าลูกช้างกับคณะเดินทางนี้ เราเข้ามาในพื้นที่เพื่อมาพักผ่อนไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้ามาทำลายธรรมชาติ ดังนั้นด้วยเจตนานี้จึงขอให้ลูกช้างและคณะได้เดินทางไปสักการะด้วยเถิด ต่อมาหลังจากนั้นทั้ง 10 คนเดินไปได้อีกสักระยะหนึ่ง ใช้เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้นก็เจอกับศาลที่ว่า เมื่อสักการะบอกเจ้าที่เจ้าทางเรียบร้อยแล้วมีลมวูบหนึ่งพัดมาเป็นลมเย็น ๆ คุณชิจึงคิดว่านี่ถือเป็นการตอบรับในทางที่ดี เมื่อทั้งคณะกลับมายังจุดตั้งแคมป์ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้ม จึงได้ตระเตรียมทำอาหารเย็นกัน โดยคุณชิเชื่อว่าทุกคนที่เดินป่าย่อมมีความเชื่อ ว่าอาหารที่เป็นคำแรก หรืออาหารที่พึ่งปรุงใหม่ จะต้องแบ่งมาส่วนหนึ่งเพื่อบวงสรวงหรือเซ่นไหว้ให้กับเจ้าที่เจ้าทาง ในขณะที่ทุกคนกำลังกินชาบูและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน คุณชิจึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาและได้ทักท้วงทุกคนไป ซึ่งปรากฏว่าทุกคนต่างพากันลืมหมด คุณชิจึงได้นำอาหารที่ปรุงใหม่ตักใส่ถ้วยเพื่อเตรียมนำไปเซ่นไหว้ แต่ดันพลาดนำน้ำชาบูที่อยู่ในหม้อกลางที่ทุกคนกินไปแล้ว ตักราดลงไปในถ้วยด้วย แล้วนำไปตั้งอยู่บนทางเดินที่เป็นทางสามแพร่ง ซึ่งเจตนาของคุณชิในตอนนั้นคือไม่ได้ต้องการลบหลู่แต่อย่างใด และในวันนั้นก็เป็นคืนเดือนหงาย แต่ปรากฏว่าหลังจากที่เซ่นไหว้อาหารเรียบร้อยแล้วทั้งป่ากลับเงียบสนิทไม่มีแม้แต่เสียงลมหรือแมลงเลย คืนนั้นจึงไม่มีใครกล้าดื่มสิ่งของมึนเมาหรือสังสรรค์ใด ๆ ต่อ ทุกคนตัดสินใจเข้านอนประมาณ 3 - 4 ทุ่มท่ามกลางอากาศบนยอดดอยที่เย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ คุณชิไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปนานแค่ไหน รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียง “ฮืออ…ชิ นอนด้วย..หนาวว~ ขอเข้าไปด้วย” ซึ่งเสียงเย็น ๆ น่าขนลุกนั้นดังมาจากปลายเท้าของคุณชิที่หันประตูเต็นท์ไปทางดงไม้ทึบ ซึ่งปกติแล้วเวลาไปตั้งแคมป์ ทุกคนจะไม่ให้ไฟตรงกลางมอด แต่คืนนั้นไฟกลับมอดลงเร็วมาก และจังหวะที่เสียงนั้นใกล้เข้ามา คุณชิจึงเปิดไฟภายในเต็นท์โดยมีน้องที่นอนข้าง ๆ กำมือคุณชิแน่นอย่างหวาดระแวง และเมื่อคุณชิได้ส่องไฟไปยังปลายเต็นท์ ปรากฏว่าตรงผ้าใบที่ประตูเต็นท์เหมือนมีคนแนบหน้าเข้ามา! ด้วยความที่ลักษณะเต็นท์มันถูกกางให้ตึง จึงเห็นว่าเป็นลักษณะหน้าคน! ทั้งสองคนเห็นดังนั้นถึงกับนอนตัวแข็งกันเลยทีเดียว แต่ยิ่งไปกว่านั้นซิปที่ประตูเต็นท์มันกลับถูกรูดขึ้นมาด้วย!! ซี้บบบบบ…เสียงซิปที่ถูกรูดดังก้องในโสตประสาทของคนที่อยู่ในเต็นท์ และภาพที่เห็นตรงหน้าคือคนที่โผล่เข้ามา.. กลับกลายเป็นน้องคนที่ผูกเปลนอน!! คุณชิถึงกับโล่งใจเพราะกลัวจนแทบจิตหลุด สุดท้ายแล้วจึงได้ข้อสรุปว่าด้วยความที่ตอนนั้นอากาศข้างนอกค่อนข้างที่จะหนาวมาก จนทำให้น้องคนนั้นปากสั่นจนพูดไม่เป็นคำ ทำให้คุณชิได้ยินเสียงอันน่าสะพรึงแบบนั้น หลังจากนั้นทั้งสามคนจึงนอนเบียดกันเพื่อแบ่งปันไออุ่นภายในเต็นท์ แต่แล้ว.. ก็เหมือนมีลมแรงพัดขึ้นมากระทบกับผ้าใบของเต็นท์จนสั่นกระพือเสียงดังพรึ่บๆๆ คุณชิกลัวว่ากระทบเสียงดังขนาดนี้ผ้าใบเต็นท์จะขาด แต่พอเปิดเต็นท์ออกมาดู ปรากฏว่าไม่มีลมเลย ข้างนอกอากาศนิ่งมาก แล้วเสียงที่คุณชิได้ยินเมื่อสักครู่มันคืออะไร? จากนั้น จังหวะที่คุณชิหันมายังจุดตรงกลางแคมป์ ก็ได้เห็นน้องร่วมทริปคนหนึ่งนั่งกอดตัวเองพร้อมกับคลุมผ้าห่มอยู่เงียบ ๆ ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาตี4 แล้วจึงถามน้องคนนั้นว่าทำไมยังไม่เข้าไปนอน แต่น้องกลับตอบมาเพียงคำเดียวว่า “ผมนอนไม่ได้พี่” คุณชิกับน้องร่วมเต็นท์อีกสองคนจึงมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อาจจะเกี่ยวข้องกับเต็นท์ของน้องที่นอนหันหัวไปทางหน้าผาหรือเปล่า จึงมารวมตัวกันผิงไฟ เพราะไหนๆก็จะเช้าแล้ว ต่อมาอีกสักพักกลุ่มน้องผู้หญิงจากอีกเต็นท์หนึ่งก็พากันเดินออกมา คุณชิเห็นว่าท่าทีแปลกๆ จึงเปิดประเด็นด้วยคำถามที่ว่า “มีใครอยากจะเล่าอะไรไหม” น้องผู้ชายคนแรกที่ออกมานั่งตรงกลางแคมป์ได้เล่าว่า “ได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่บนหัวเต็นท์” แต่หัวเต็นท์ตรงนั้นอีกประมาณ 2 เมตรเป็นหน้าผา จึงคิดว่าคนในคณะไม่น่าจะไปเดินตรงนั้นได้ แถมยังมีการเขย่าเต็นท์ด้วย ส่วนน้องผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งก็เล่าว่าได้ยินเสียงของน้องคนที่ผูกเปลมาเรียกให้ไปส่งเข้าห้องน้ำ ซึ่งในขนะนั้นน้องคนที่ผูกเปลได้เข้ามานอนในเต็นท์คุณชิเรียบร้อยแล้ว แถมน้องคนที่ผูกเปลก็เป็นผู้ชายด้วย จะมาเรียกน้องผู้หญิงให้ไปส่งเข้าห้องน้ำได้อย่างไร นอกเหนือจากนั้นแล้ว น้องผู้หญิงอีกคนก็ได้ยินเสียงคนผิวปากเบา ๆ เป็นเพลงแว่วมาจากข้างหลังดงไม้ทึบ ทุกคนสัมผัสได้ถึงสิ่งลี้ลับรอบตัวและทนไม่ไหว จึงพากันออกจากเต็นท์ คุณชิที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจึงตัดสินใจเดินไปยังจุดที่เอาอาหารไปเซ่นไหว้ ปรากฏว่ามันถูกคว่ำอยู่และมีอาหารกระจัดกระจาย เหมือนมีใครมารุมทึ้งรุมกินกันอย่างตะกละตะกลาม เมื่อแสงแดดรำไรในเวลา 6 โมงเช้า ทุกคนจึงรีบเก็บเต็นท์กันเร็วกว่าปกติเพื่อจะเดินทางกลับลงไปยังตีนภูเขา ระหว่างเก็บเต็นท์คุณชิก็ได้เจอกับคำตอบของเหตุการณ์ทั้งหมดว่า “หลังดงไม้ทึบที่ไปตั้งเต็นท์รายล้อมไปด้วยหลุมศพ” ที่มีป้ายเขียนด้วยภาษาอะไรสักอย่างไว้ รวมไปถึงเข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กวัยรุ่นคนที่นำทางถึงรีบส่งพวกเขาแล้วรีบกลับลงไปทันที หลังจากนั้น ทุกคนก็เดินกลับลงมาอย่างปลอดภัย และพากันไปยังจุดจอดรถซึ่งเป็นวัดที่อยู่ตีนเขา พร้อมกับได้พบหลวงพ่อที่ประจำอยู่ ณ วัดแห่งนี้ ท่านทักขึ้นมาทันทีว่า “เมื่อคืนไปทำอะไรกันมา ขึ้นไปตั้งแคมป์ข้างบนแล้วลืมให้อาหารเซ่นไหว้เขาใช่ไหม” ทั้งคณะได้ยินดังนั้นถึงกับสะดุ้งตกใจ คุณชิจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระท่านฟัง หลวงพ่อจึงบอกว่า “การที่เราได้ยินเสียงต่าง ๆ แสดงว่าเขาอยากให้รู้ว่าที่พื้นที่ตรงนั้นเป็นที่ของเขา” และน้องคนที่โดนเขย่าเต็นท์ก็สารภาพว่าตัวเองได้ปัสสาวะข้าง ๆ เต็นท์ ซึ่งน่าจะเป็นบริเวณหลุมศพของเขาพอดี เขาเลยไม่พอใจ หลังจากนั้นทุกคนก็ได้ทำบุญและถวายสังฆทานให้ แต่โดยทั่วไปเท่าที่คุณชิจำได้ เวลาที่พระท่านให้พรท่านจะเอาตาลปัตรบังหน้าเสมอ แต่ครั้งนี้จังหวะที่พระท่านสวดในครั้งสุดท้าย ท่านกลับยกตาลปัตรออกมาแล้วทำท่าพัดออกไปด้านหน้าหนึ่งทีแรง ๆ และพูดกับทางคณะว่า “กลับกรุงเทพได้แล้วนะไม่มีอะไรตามแล้ว” ทุกคนได้ยินดังนั้นต่างขนลุกไปตาม ๆ กัน เรื่องนี้ทำให้คุณชิระแวงเป็นอย่างมาก จึงต้องตรวจเช็คด้านสายมูเตลู หรือทุกความเชื่อว่าจะไม่มีสิ่งไหนตามมาให้แน่ชัด และยังต้องเช็คความเป็นมาของสถานที่ ที่จะไปให้ถี่ถ้วนทุกครั้งจะได้ไม่พบเจอกับเหตุการณ์หลอนทั้งแคมป์แบบนี้อีก(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

คู่รักนักสะสมตาดีเจอตู้เสื้อผ้ามือสาม พอซื้อกลับมาก็เจอเหตุการณ์ชวนสยอง มีเสียงตะกุกตะกัก ประตูตู้เสื้อผ้าก็เปิด-ปิดเอง! แถมยังฉายภาพนองเลือดให้ดูสด ๆ เหมือนไปอยู่ในเหตุการณ์จริง!

13 พ.ย. 2023

คู่รักนักสะสมตาดีเจอตู้เสื้อผ้ามือสาม พอซื้อกลับมาก็เจอเหตุการณ์ชวนสยอง มีเสียงตะกุกตะกัก ประตูตู้เสื้อผ้าก็เปิด-ปิดเอง! แถมยังฉายภาพนองเลือดให้ดูสด ๆ เหมือนไปอยู่ในเหตุการณ์จริง!

‘อังคารคลุมโปง X’ (7 พฤศจิกายน 2566) ที่ผ่านมา อยู่กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เปิดไมค์ต้อนรับ ‘คุณต้น’ ที่นำเรื่องหลอนชวนเสียวสันหลังจากประสบการณ์การซื้อของมือสอง ที่มีของแถมชวนขนหัวลุกติดมาด้วย! ถ้าพร้อมแล้ว เปิดไฟให้สลัวแล้วไปอ่านกันเลย! คุณต้นเล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับพี่ชายคนหนึ่ง นามสมมติว่า ‘พี่เอก’ ความหลอนถูกนำมาเล่าต่อ ๆ กันว่า พี่เอกชื่นชอบของเก่าและสะสมของมือสอง-มือสาม จนวันหนึ่งได้มีโอกาสไปเดินตลาดกับแฟน จู่ ๆ ก็สะดุดตาเข้ากับตู้ใบหนึ่ง ซึ่งเป็นตู้เสื้อผ้าเก่า ราวกับมีอะไรบางอย่างมาดึงดูด จึงหยุดเดินและไปดูตู้นี้ใกล้ ๆ พี่เอกเดินวนดูไปดูมาก็เกิดความรู้สึกอยากทราบราคาตู้ใบนี้ จึงเอ่ยปากถามกับคนขาย ปรากฏว่าตู้ใบนี้ราคาถูกมาก เพียงหกร้อยบาทเท่านั้น หากเทียบกับขนาดตู้ที่ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป เมื่อทราบราคา จึงตัดสินใจซื้อตู้ใบนี้ ท่าทีของแฟนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เนื่องจากที่ห้องของทั้งคู่ก็ยังไม่มีตู้เสื้อผ้า หลังจากตกลงซื้อขายกันเรียบร้อย ทางร้านก็ให้คนมายกขึ้นรถ ทุกอย่างก็ยังดูปกติดี แต่ในระหว่างทางที่กำลังขับรถนั้น พี่เอกก็รู้สึกว่าท้ายรถหนักแปลก ๆ เหมือนมีหลายคนนั่งอยู่ท้ายรถ หนักกว่าที่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรยังคงขับมาจนถึงห้อง และก็คิดขึ้นมาได้ว่า ‘ถ้าหนักขนาดนี้ จะยกกับแฟนแค่สองคนไหวเหรอ’ แต่ก็คงจะทำอะไรไม่ได้ต้องลองยกดูก่อน ปรากฏว่าทุกอย่างก็ปกติดี ไม่ได้หนักเหมือนตอนที่อยู่ท้ายรถ หลังจากนั้นพี่เอกและแฟนก็นำเสื้อผ้ามาเรียงเก็บเข้าตู้ให้เรียบร้อย พร้อมกับพูดเชิงภาคภูมิใจที่ตนตาดีหาของที่สวยและราคาถูกได้อีกด้วย เช้าวันใหม่ ทั้งคู่ตื่นมาอาบน้ำไปทำงานปกติ แต่ช่วงเย็นหลังจากที่กลับมาจากทำงาน พี่เอกเปิดประตูเข้าไปในห้องก็รู้สึกว่าภายในห้องเหมือนมีร่องรอยถูกรื้อข้าวของ ตู้เสื้อผ้าก็เปิดทิ้งไว้ ทั้งคู่มองหน้ากันด้วยความสงสัย พี่เอกถามแฟนว่า “เมื่อเช้าเธอไม่ได้เก็บของก่อนออกไปเหรอ” แฟนจึงตอบกลับว่า “จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเราก็ออกไปพร้อมกัน” ทั้งคู่จึงคิดว่าห้องอาจจะโดนงัด ทั้งคู่จึงพยายามเดินดูตามประตู หน้าต่างว่ามีร่องรอยอะไรหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีร่องรอยอะไรเลย แล้วจู่ ๆ เรื่องแปลกก็เกิดขึ้นอีก เพราะทั้งคู่รู้สึกเหมือนได้กลิ่นสาปเน่าเหม็นเหมือนกลิ่นคนตายอยู่ในห้อง! ทั้งคู่จึงพยายามเดินหาและเก็บของเข้าที่เดิม จนถึงเวลาประมาณสองทุ่ม ก็ยังไม่เจอต้นตอของกลิ่นนั้น ทั้งคู่จึงเข้านอนกันตามปกติเพราะว่าต้องไปทำงานต่อในตอนเช้า ระหว่างที่พี่เอกนอนอยู่ก็รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำจึงลุกขึ้น และจังหวะที่จะเปิดประตูปรากฏว่าพี่เอกลืมตามาดูกลับไม่ใช่ประตูห้องน้ำ แต่ดันเป็นประตูของตู้เสื้อผ้า! ซึ่งพี่เอกเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะเดินละเมอได้ขนาดนี้ เพราะตำแหน่งของห้องน้ำและตู้เสื้อผ้านั้นอยู่คนละทาง พอเห็นว่าเปิดประตูผิด จึงพยายามที่จะปิดประตูตู้แล้วไปเข้าห้องน้ำ แต่ประตูของตู้เสื้อผ้าไม่สามารถปิดได้ เหมือนมีคนยื่นอยู่แล้วใช้แขนมาค้ำไว้ พี่เอกพยายามดันประตูอยู่นาน จนคิดว่าจะปล่อยไว้แบบนี้แล้วไปเข้าห้องน้ำก่อน เมื่อเข้าห้องน้ำทำธุระจนเสร็จ ในตอนที่กำลังจะเดินก้าวขาออกจากห้องน้ำ ก็ได้ยินเสียงตู้เสื้อผ้าปิดดังปั้งงง!! พี่เอกถึงกับงงว่าจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะเมื่อสักครู่นี้พยายามปิดอยู่นานแต่ก็ปิดไม่ได้ จู่ ๆ เหมือนมีลมพัดก็ปิดได้เอง จากนั้นพี่เอกก็ล้มตัวนอนต่อ ขณะที่กำลังนอนอยู่นั้นก็รู้สึกถึงความผิดปกติที่อยู่ในตู้เหมือนมีเสียงไม้แขวนหรือเสียงอะไรบางอย่างตะกุกตะกักอยู่ในตู้ ในตอนแรกพี่เอกคิดว่าอาจจะเป็นหนู จึงตัดสินใจจะเดินไปเปิดดู แต่เมื่อเดินไปเปิดดูตู้ เสียงนั้นก็เงียบหายไป.. พี่เอกกลับมานอนต่อ ในขณะที่หลับ ก็ฝันว่าตัวเองไปนอนอยู่ข้างหน้าตู้เสื้อผ้า จากนั้นตู้ก็เปิดออกมาเอง พร้อมกับมีผู้หญิงคนหนึ่ง สวมชุดสีขาวค่อย ๆ ลอยออกมาจากตู้เสื้อผ้า ลอยมาจนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าอก แล้วก้มหน้ามามอง ตอนนั้นพี่เอกเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออกและกลัวมาก แต่ก็พยายามมองหน้าผู้หญิงคนนี้ว่าเป็นใคร จังหวะที่กำลังมอง ก็รู้สึกว่าเหมือนมีน้ำอะไรบางอย่างไหลลงมาโดนหน้า จึงค่อย ๆ เอามือลูบ ปรากฎว่าน้ำที่ไหลมาคือเลือดจากคอผู้หญิงคนนั้น! และได้เห็นว่าผู้หญิงคนนี้มีรอยตรงคอเหมือนเป็นรอยที่ถูกเฉือนด้วยของมีคมจนคอกับหัวเหมือนจะหลุดออกจากกัน! ผู้หญิงคนนี้ยังคงมองหน้าพี่เอกและชี้หน้าว่า “มึงฆ่ากู มึงฆ่ากู!!” ด้วยความตกใจกลัวพี่เอกพยายามที่จะนอนดิ้นไปดิ้นมาเพื่อให้ผู้หญิงคนนี้หลุดไปจากตัว สักพักพี่เอกก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา แต่สิ่งที่เห็นคือ มือของแฟนกำลังพาดมาตรงคอของตัวเอง แล้วอีกมือนึงของแฟนดันมีมีดอยู่ในมือ! ด้วยความตกใจกลัวจึงรีบเขย่าตัวแฟนให้ตื่น ส่วนแฟนเองก็ตกใจว่ามีมีดมาอยู่ในมือของเธอได้อย่างไร หลังจากที่เกิดเหตุการณ์แปลก ๆ ขึ้น ทั้งคู่กำลังนอนคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น ก็มีเสียงตะกุกตะกักดังขึ้นอีกครั้ง แล้วก็กลายเป็นเสียงกรีดร้อง ในตอนแรกทั้งคู่คิดว่าหรือจะเป็นเสียงจากข้างนอกหรือเสียงจากห้องอื่น ขณะที่กำลังหาต้นตอของเสียงนั้น ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นออกมาอีกจากในตู้เสื้อผ้าอีก จากนั้นทั้งคู่เริ่มรู้สึกว่า ขยับตัวไม่ได้ ทำได้เพียงนอนนิ่งอยู่บนเตียง แล้วจู่ ๆ ตู้ใบนี้ก็เปิดออกเองพร้อมกับร่างผู้หญิงคนที่พี่เอกฝันเห็น กระเด็นออกมาจากในตู้! สักพักก็มีภาพแปลก ๆ ขึ้นมา เป็นร่างของผู้ชายคนหนึ่ง กำลังทำร้ายร่างกายผู้หญิงที่กระเด็นออกมาจากในตู้ จากนั้นผู้ชายก็เดินเข้าไปในครัวแล้วหยิบมีดขึ้นมา ส่วนผู้หญิงรีบวิ่งเข้าไปแย่งมีดจนมีดนั้นฟันโดนแขนของผู้ชาย แต่ก็ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ ยังคงแย่งมีดกันไปมา จนผู้ชายดึงมีดกลับมาได้ ด้วยความโมโหจึงใช้มีดปาดเข้าไปที่คอของผู้หญิงจนเลือดกระเด็นมาโดนทั้งคู่ที่นอนอยู่บนเตียง ฝ่ายชายหลังจากที่ปาดคอผู้หญิงเสร็จก็ได้หายตัวไปในทันที ผู้หญิงที่นอนจมกองเลือดอยู่ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา แล้วหันหน้ามาชี้ที่พี่เอกแล้วพูดอีกว่า “มึงฆ่ากู มึงฆ่ากู!!” ทั้งคู่ที่นอนอยู่บนเตียงไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ จึงพยายามนอนหลับตา สวดมนต์ ภาวนาออกไปว่า “ไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่พวกเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าพรุ่งนี้พวกเรารอดออกไปได้เดี๋ยวจะทำบุญไปให้” ในขณะที่หลับตาภาวนาอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงดังปั้งงง!! ประตูของตู้เสื้อผ้าปิดเองอีกครั้ง จากนั้นทั้งคู่ก็รู้สึกขยับตัวได้ปกติ เหมือนได้หลุดจากการถูกอำ แต่ในคืนนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้นอนอีกเลย รุ่งเช้าวันต่อมา ทั้งคู่คิดเห็นตรงกันว่าอยากจะรู้ที่มาที่ไปของตู้เสื้อผ้านี้ จึงหยุดงานและเดินทางไปที่ร้านขายตู้ เมื่อไปถึงร้าน เจ้าของก็ได้เล่าว่า ตู้นี้ถูกซื้อต่อมาอีกทีเหมือนกัน แต่ว่ายังมีเบอร์ติดต่อคนที่นำมาขายจึงลองโทรถามให้ ปรากฏว่าพอเจ้าของร้านโทรไปประมาณ 4-5 สายก็ยังไม่มีคนรับ จนสายที่ 6 เสียงปลายสายก็พูดออกมาว่า “อ๋อจะเอาเงินคืนเหรอ โอเคโอเคเดี๋ยวจะเอาเงินไปคืนให้ แต่ของไม่ต้องเอามาคืนนะ เอาไปเลย” จากนั้นปลายสายก็ตัดสายทิ้งไป สุดท้ายพอโทรกลับไปสืบสาวราวเรื่องจนได้รู้ว่า ตู้ใบนี้เดิมถูกใช้งานอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง และโรงแรมนี้ถูกปิดตัวลงไปในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตู้เสื้อผ้าตู้นี้จึงถูกขายต่อ ๆ กันมา ซึ่งมือแรกที่เป็นคนขายตู้ใบนี้เล่าว่า ในตอนนั้นมีคู่รักคู่หนึ่งไปเที่ยวด้วยกัน แล้วเกิดทะเลาะกันหนักมาก จากนั้นตอนเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมก็มีเพียงผู้ชายรีบออกไปแค่คนเดียว ยังไม่มีใครเห็นผู้หญิง ทางพนักงานต้อนรับพูดกันว่าผู้ชายที่ออกไปเหมือนคนเล่นของ ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสักยันต์ จากนั้นทางแม่บ้านก็เข้าไปทำความสะอาดห้อง ถึงขั้นกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ เพราะเมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าก็ไปเจอกับศพผู้หญิงคนถูกฆ่าปาดคอนอนตายอยู่ในตู้! หลังจากที่ได้รู้เรื่องราวของตู้ใบนี้แล้ว ทั้งคู่จึงขอให้เจ้าของร้านช่วยพาเอาตู้ไปหาหลวงพ่อเพื่อจะนำไปเผา ขณะที่กำลังขนย้าย ก็มีคนเห็นว่าตรงข้างล่างของตู้เหมือนมีเป็นเป็นเศษผ้ายันต์สีแดงติดอยู่ และมีกระจุกผมที่ถูกตัดออกมาแปะไว้ด้วย เมื่อหลวงพ่อเห็นตู้จึงพูดขึ้นมาว่า “เอาเขาไปแต่ตัว แล้วยังไม่ยอมให้วิญญาณเขาไปไหนอีก เขาก็ต้องติดอยู่แต่ในนี้แหละ” จากนั้นหลวงพ่อจึงช่วยทำพิธี นำตู้ไปเผาและสวดส่งวิญญาณให้ หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกเลย...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ปากดีที่ค่ายธรรมมะ มาจริง! ทั้งเสียงเท้าเดิน เห็นเป็นหน้า กลับบ้านก็ยังเจอฉ่ำ! จะรดน้ำมนต์ก็ติดขัดไม่ได้ไปสักที

22 ธ.ค. 2023

ปากดีที่ค่ายธรรมมะ มาจริง! ทั้งเสียงเท้าเดิน เห็นเป็นหน้า กลับบ้านก็ยังเจอฉ่ำ! จะรดน้ำมนต์ก็ติดขัดไม่ได้ไปสักที

เมื่อต้องไปเข้าค่ายธรรมะประจำปีของโรงเรียน แต่กลับมีแขกรับเชิญสุดหลอนมาร่วมด้วย หลังจากเอ่ยปากท้า! เรื่องนี้ ‘คุณตั้น The Shock’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 ธันวาคม 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจมดดำ’ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ผีเข้าค่ายธรรมะ’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันได้เลย! ‘คุณตั้น The Shock’ บอกว่า ‘น้องแนนสำลี’ นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ย้อนกลับไปเมื่อประาณ 10 ปีที่แล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งใช้เป็นค่ายอบรมธรรมะ และทุกวันนี้ วัดนั้นยังคงเปิดเป็นค่ายอยู่ น้องแนนบอกว่าตอนนั้นอยู่ม.3 จะต้องไปเข้าค่ายที่วัดแห่งนี้เป็นครั้งที่สอง ซึ่งโดยปกติแล้วจะมาเข้าค่ายที่วัดแห่งนี้ทุกปี น้องแนนยังบอกอีกว่าครั้งแรกที่ไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะมีเพียงคำพูดเล็ก ๆ น้อย ๆ จากพระและรุ่นพี่คอยเตือนว่าหากเป็นเด็กไม่ดีอาจจะเจอบางอย่างได้ น้องแนนที่ยังเด็กก็เชื่อฟัง ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างตั้งใจ และไม่เจออะไร แต่การไปค่ายปีนี้แตกต่างออกไปจากครั้งก่อน เนื่องจากน้องแนนโตขึ้น มีความเล่นซนเพิ่มขึ้นตามประสาเด็กทั่วไป ภายในสถานที่จัดค่ายจะมีห้องอบรมจะอยู่ที่ชั้นล่าง เป็นชั้นเดียวกับห้องนอนของเด็ก ๆ ส่วนห้องนอนอาจารย์จะอยู่ที่ชั้นสอง ห้องนอนสำหรับนักเรียนหญิงแบ่งเป็น 6 ห้อง เพื่อน ๆ และน้องแนนจึงไปสืบมาว่าห้องที่โดนผีหลอกเยอะที่สุดคือห้องที่ 4 น้องแนนจึงเลือกไปนอนห้องที่ 6 เพื่อหลีกเลี่ยงการเจอ คืนแรกที่นอนในค่ายนั้น ต้องเข้านอนเร็วประมาณ 2 - 3 ทุ่ม อีกทั้งค่ายนี้พระอาจารย์ไม่อนุญาตให้นำโทรศัพท์เข้ามา แต่ทว่าน้องแนนและเพื่อน ๆ ได้แอบเอามา และนำออกมาเล่นก่อนนอน จนกระทั่งพระอาจารย์เดินตรวจความเรียบร้อย ก็พบว่าเด็ก ๆ แอบเล่นโทรศัพท์อยู่ จึงได้ยึดโทรศัพท์ไป เด็ก ๆ เครียดมากกลัวไม่ได้คืน จึงรวมหัวนั่งปรึกษากัน แต่ก็คุยกันว่าให้รีบนอน เพราะได้ยินเสียงเล่าลือว่าที่นี่มีผี น้องแนนที่ยังโมโหเรื่องโดนยึดโทรศัพท์ก็พูดขึ้นมาว่า “ผีมาสิดี จะได้ไปบอกพระอาจารย์ขอโทรศัพท์คืน” จากนั้นก็แยกย้ายกันนอน คืนที่สอง ปรากฏว่าได้ยินเสียงตะโกนจากห้องนอนที่ 3 ว่า “มีเงาอะไรแปลก ๆ เหมือนเจอผี!” น้องแนนที่ได้ยินจึงรีบวิ่งไปห้องที่สาม น้องแนนอยากรับผิดชอบคำพูดที่ตนเผลอพูดไปเมื่อคืน จึงบอกเพื่อนในห้องนั้นว่า “เดี๋ยวเรานอนห้องนี้เอง” หลังจากนั้นน้องแนนก็เก็บของจากห้องเก่าย้ายมาห้องใหม่ รวมทั้งพาเพื่อน และรุ่นน้องในกลุ่มไปด้วย ระหว่างที่นอนอยู่นั้น ก็หันไปเห็นพี่คนหนึ่งลุกขึ้นนั่งจากฟูก มีใบหน้าของคนรุ่นพี่คนนั้นถูกกระทบด้วยแสงที่ลอดมาจากบานเกร็ด แต่ทว่า หน้าของรุ่นพี่คนนี้ไม่ใช่คนที่น้องแนนรู้จัก กลายเป็น ‘หน้าของชายแก่สีขาวซีดที่หันมาจ้องน้องแนนอยู่..!’ จนกระทั่งน้องแนนรู้สึกว่าน้องที่นอนอยู่ข้าง ๆ มีเสียงสะอื้น ซึ่งเป็นเสียงสะอื้นที่แปลกมาก เพราะเป็นเสียงของน้องปนกับเสียงของผู้ชาย น้องแนนจึงหันไปถามว่า “เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น” น้องคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “หนูเห็นพี่..หนูเห็นเหมือนพี่แหละ” แล้วก็กรี๊ดออกมา! จากนั้นภายในห้องก็ชุลมุน ทันใดนั้น ใบหน้าของรุ่นพี่คนนั้นก็กลับมาเป็นปกติ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงตะโกนจากเพื่อนท้ายห้องว่า “ไอ้แนนไม่มีหัว!” จากนั้นเพื่อนคนที่ตะโกนก็ร้องห่มร้องไห้โวยวายอีกว่า “ผีเต็มเลย มันกำลังจะเข้ามาในห้องแล้ว ข้างนอกมีทั้งผีผู้ชาย ผีผู้หญิง ผีเด็กเต็มไปหมดเลย แล้วผีผู้หญิงอะ มันกำลังจะเปิดประตูเข้ามา ผมมันเลื้อยลอดประตูเข้ามาแล้ว!” ผ่านไปสักพัก ก็มีครูท่านหนึ่งวิ่งมา พยายามที่จะควบคุมสติทุกคน และบอกให้เด็ก ๆ ขึ้นไปชั้นสองที่เป็นห้องพระห้องใหญ่ น้องแนนบอกว่าตอนที่กำลังจะออกไป ได้ยินเหมือนเป็นเสียงฝีเท้าอยู่ที่ชั้นสองสะเทือนมาถึงชั้นที่น้องแนนอยู่ ในใจก็คิดว่าอาจารย์คงจะจัดพื้นที่เพื่อเตรียมให้เด็ก ๆ ย้ายขึ้นไป ปรากฏว่าพอขึ้นไปถึง ในห้องไม่มีใคร! เป็นห้องว่างเปล่าที่มีแค่พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ในขณะนั้นเอง น้องแนนรู้สึกว่าอยากร้องไห้ รู้สึกเศร้าโดยไม่มีเหตุผล และน้ำตาไหลก็ไม่หยุด! อาจารย์นำพระมาคล้องคอให้แต่ไม่หาย สุดท้ายอาจารย์คนนี้ต้องไปตามอาจารย์ที่เหลือมาช่วย แล้วจึงได้รู้ว่าอาจารย์กลุ่มที่เหลือ 20 กว่าคนนั้น หนีไปนอนที่รีสอร์ทกันหมดแล้ว เหตุเพราะปีที่แล้วอาจารย์กลุ่มนี้มานอนที่นี่และโดนผีหลอกนั่นเอง! เมื่ออาจารย์ที่เหลือมาถึง จึงไปตามพระอาจารย์อีกวัดมาช่วย ซึ่ง ณ ตอนนั้นไม่ได้มีแค่น้องแนนคนเดียวที่ร้องไห้ น้องผู้หญิงที่นอนสะอื้นอยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มร้องไห้ด้วยเช่นกัน แต่น้องอาการไม่หนักเท่า อาจจะร้องเพราะตื่นตกใจ พระอาจารย์จึงมอบตะกรุดให้ แล้วบอกว่า “เป็นตะกรุดที่ถูกปลุกเสกขึ้นมาโดยเฉพาะ สำหรับเด็กที่ถูกผีหลอกที่นี่” พร้อมบอกว่า “มีอันนี้แค่อันเดียว เพราะคณะก่อนหน้า ก็โดนผีหลอกเหมือนกัน จึงแจกไปหมดแล้ว” สุดท้ายจึงเป็นน้องแนนที่ได้ตะกรุด หลังจากที่ได้มาก็น่าแปลกที่อาการเศร้าค่อย ๆ คลายหายไป เช้าวันต่อมาเป็นวันวิปัสสนา ทุกคนมานั่งร่วมกันบนอาสนะที่ถูกปูไว้ในห้องโถงใหญ่ เมื่อถึงช่วงเข้าฌาน พระอาจารย์ก็บอกให้ทุกคนเงียบ น้องแนนเริ่มรู้สึกเหมือนมีเสียงเรียกชื่อ “แนน...แนน...” อยู่ตลอดเวลา และรู้สึกอยากลืมตาขึ้นมา ขณะที่กำลังจะลืมตา มีเสียงแทรกเข้ามาที่หู ซึ่งเป็นเสียงของพระอาจารย์ บอกว่า “อย่าลืมตานะ เคยมีคนลืมตาแล้วสติเสียไปเลย” จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าพระอาจารย์ค่อย ๆ เดินออกไป ประกอบกับได้ยินเสียงเพื่อนข้างหลังที่น่าจะลืมตาขึ้นมาดู พูดว่า “กูไม่เห็นจะเห็นอะไรเลย พระอาจารย์พูดอะไรวะ” น้องแนนจึงตัดสินใจที่จะลืมตาอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงประกาศออกไมค์จากพระอาจารย์ว่า “อย่าลืมตานะ ต้องเชื่อ ถ้าไม่เชื่อ หลุดแล้วไม่มีใครช่วย” พอสิ้นเสียงพระอาจารย์ ก็มีลมพัดมา ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนมีนิ้วมือมาจับที่แขนทั้งสองข้างของน้องแนนล๊อคให้อยู่กับที่! วันเดินทางกลับในวันสุดท้าย ด้วยความที่เด็กมากันเยอะ อาจมีการพูดเล่นล่วงเกิน จึงมีการขอขมาเหล่าสัมภเวสีภูตผีวิญญาณ โดยการจุดธูปท่องคาถา และนำธูปไปปักที่พื้นนอกชายคาตามพิธีกรรม สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้องแนนปักธูปไม่ลง พยายามยังไงก็ปักไม่ลง นำไปปักตำแหน่งเดียวกับเพื่อนก็ปักไม่ลง ตอนนั้นน้องแนนคิดว่าในใจคิดว่า ‘เหมือนเขาไม่ยอมรับการขอขมาจากเรา’ ก็พยายามปักไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งธูปหัก! จึงนำธูปไปวางพิงไว้ เมื่อถึงเวลาจะเดินทางกลับ อาจารย์ได้ลงความเห็นว่าให้น้องแนนไปนั่งรถกับอาจารย์ ไม่ต้องไปนั่งรวมกับเพื่อน ในระหว่างที่กำลังจะเดินขึ้นรถ มีพระ 3 รูป เดินมาถามว่า “โยมเจออะไร” น้องแนนจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง พระจึงพูดออกมาว่า “ว่าแล้วไง เจอแบบนี้จริง ๆ ด้วย เขาเจอกันแบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะยังอยู่ โยม..เขาดุมากเลยนะ แต่ไม่ต้องกลัวนะ เขามาเตือน ขอให้โยมกลับบ้านปลอดภัยแล้วกัน” แล้วพระอาจารย์ก็เดินจากไป ในมุมของน้องแนนที่นั่งรถกลับกับอาจารย์ น้องแนนบอกว่าได้กลิ่นธูปตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อถึงที่หมาย เพื่อน ๆ ก็วิ่งมาหาน้องแนนอย่างตื่นตะหนกพร้อมถามว่า “มึงเจออะไรรึเปล่า บนรถกระบะอาจารย์” และเพื่อนยังบอกอีกว่า “พวกกูเจอทั้งคันเลย” เพื่อนน้องแนนเล่าว่าระหว่างที่นั่งรถกลับมา ทุกคนก็นั่งเล่นนั่งคุยตามปกติ สักพักจากรถที่มีเสียงดังก็ก็ค่อย ๆ เงียบลงเรื่อย ๆ โดยไล่จากท้ายรถมาหน้ารถ เพื่อนน้องแนนคนนี้ก็สงสัยว่าคนในรถเป็นอะไร แต่ระหว่างที่คิดอยู่รู้สึกเหมือนมีอะไรมาแตะที่ขา จึงก้มลงไปมอง ปรากฎว่าสิ่งที่เห็นคือ ‘เป็นมือคนหลายมือล้วงมาจากใต้เบาะที่นั่ง เหมือนกำลังควานหาอะไรบางอย่าง’ นั่นเป็นเหตุที่ทุกคนบนรถเงียบ และทำเป็นเมินกับสิ่งที่เห็น! ขออธิบายครอบครัวน้องแนนสั้น ๆ ว่า ที่บ้านจะมีคุณยายอยู่ด้วย ซึ่งอยู่กัน 2 คน และจะมีห้องนอนส่วนตัวแยกไป เมื่อน้องแนนมาถึงบ้านคืนแรก ในห้องน้องแนนจะมีเต็นท์กางอยู่ วันนั้นก็นอนในเต็นท์ตามปกติ จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบเที่ยงคืนน้องแนนก็สะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินอยู่รอบ ๆ เต็นท์ นอกจากนั้น ยังมีเสียงมือขูดไปตามผ้าใบเต็นท์ ในที่สุดน้องแนนไม่รู้จะทำอย่างไร กลัวก็กลัว แต่ก็พยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมดวิ่งพุ่งไปนอนห้องคุณยาย คืนที่สอง น้องแนนสะดุ้งตื่นตอนเที่ยงคืนอีกเช่นเคย จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา แต่ระหว่างที่ถือโทรศัพท์แสงจากจอสว่างมาก ทำให้เห็นคนอยู่ที่ปลายเท้า พอค่อย ๆ ลดแสงลง สิ่งที่เห็นคือ ‘ผู้ชายแก่ที่หน้าเหมือนคนที่เจอที่วัด ใส่เสื้อขาวกางเกงสีดำ มีมุ้งพาดคออยู่ และยืนมองผ่านมุ้งอยู่ที่ปลายเตียง ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่แววตาแดงก่ำ!’ น้องแนนจึงพยายามสวดมนต์ตามบทสวดที่จำได้แต่ไม่ได้ผล จนสุดท้ายก็เผลอหลับไป ตื่นเช้ามาจึงตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ยายฟัง ยายบอกว่าเดี๋ยวจะพาไปหาหมอธรรม เมื่อไปถึง หมอธรรมก็บอกว่า “เดี๋ยวเราต้องหาฤกษ์มารดน้ำมนต์ครั้งใหญ่ แต่ทำวันนี้ไม่ได้ ต้องมีฤกษ์” น้องแนนและคุณยายจึงกลับมาบ้านเพื่อรอฤกษ์อีกครั้ง ระหว่างนั้นเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นแทบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น มายืนเฉย ๆ, เอาหน้ามาแนบมุ้ง, มาลูบมุ้ง จนถึงขั้นพยายามจะเอื้อมมือเข้ามาในมุ้งก็ทำมาแล้ว เรื่องนี้หนักขึ้นเรื่อย ๆ จากที่เมื่อก่อนเจอแค่ในมุ้งตอนกลางคืน แต่ตอนนี้กลับเห็นในตอนกลางวันด้วย มีอยู่วันหนึ่งน้องแนนเพิ่งตื่น และกำลังจะเดินไปอาบน้ำเพื่อไปโรงเรียน ก็เห็นชายคนนี้ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ แต่ก็ต้องจำใจเดินผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าไม่อยากทนเห็นอีกต่อไป จึงไปคุยกับยายว่าจะทำอย่างไร ยายบอกว่า “พอมาลองนับเวลาดูมันเลยช่วงวันที่นัดอาบน้ำมนต์ไปแล้ว” ราวกับว่าเมื่อถึงวันที่จะต้องไป ก็มักจจะเกิดเหตุอะไรบางอย่างที่ทำให้ไปไม่ได้เสมอ ไม่อาจารย์ก็เป็นคุณยายกับน้องแนนที่จะต้องติดธุระอะไรสักอย่าง ยายจึงตัดสินใจที่จะให้อาจารย์มาที่บ้านในวันนั้นเลย เพื่อที่จะทำขันธ์ 5 ให้ที่บ้าน เมื่ออาจารย์มาถึง คำแรกที่ทักคือ “โห อยู่กันเยอะเนอะ เต็มเลยอะ ผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก เต็มบ้านไปหมดเลย” หลังจากที่อาจารย์ทำพิธีให้เสร็จเรียบร้อย ก็ได้บอกน้องแนนว่าบอกว่าภายใน 3 – 7 วันนี้ ต้องไปบวชชีที่วัด น้องแนนจึงไปบวชชีเป็นเวลารวมทั้งสิ้นประมาณ 3 เดือน ในช่วงระหว่างที่บวชก็มีเจอบ้าง แต่ไม่ได้มาให้เห็นเป็นตัว มาในมุมของความรู้สึก หรืออาจจะมีฝันถึง แต่คืนสุดท้ายก่อนวันสึก ช่วงเที่ยงคืนเวลาเดิม กลับสะดุ้งตื่นขึ้นมา และได้ยินเสียงฝีเท้าคนหลายคนเดินรอบศาลา น้องแนนจึงคิดว่า ‘ยอมบวชขนาดนี้แล้ว ยังไม่ได้ผลอะไรเลยเหรอ’ แม่ชีข้าง ๆ จึงบอกว่า “หนูนอนเหอะ เขาคงรับรู้ในสิ่งที่เราทำ” น้องแนนจึงนอนหลับไป พอถึงตอนเช้าก็ไปสึกตามปกติ หลังจากที่สึกมาก็ไม่เคยต้องสะดุ้งตื่นเที่ยงคืน หรือต้องเจอวิญญาณเหล่านั้นอีกเลย.. คุณตั้นยังเสริมอีกว่า ก่อนที่น้องแนนจะมาเล่าให้คุณตั้นฟังในรายการ น้องแนนเก็บเรื่องนี้จนผ่านไป เกือบ 8 ปี ย้อนกลับไป 2 ปีก่อนจะมาเล่าในรายการ The shock น้องพยายามลำดับเรื่องและหลับไป ปรากฎว่าสะดุ้งตื่นตอนเที่ยงคืนอีกครั้ง พร้อมกับเห็นผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่ปลายเตียง พร้อมพูดว่า “หึ!” เหมือนเขาไม่อยากให้เล่า จนเวลาผ่านไป สุดท้ายก็ตัดสินใจมาเล่า ซึ่งวันก่อนที่จะมาเล่า น้อนแนนยังฝันถึงเขา เป็นการฝันลำดับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เหมือนเขากลับมาเล่าให้ฟังว่าพรุ่งนี้จะต้องเล่าอย่างไร จากนั้นน้องแนนก็สะดุ้งตื่นเที่ยงคืนอีกครั้ง และได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดิน อีกทั้งยังมีใบหน้ามาแนบที่มุ้งเหมือนที่เคยเกิดขึ้น!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1