ย้ายหอไปกีที่ ก็เจอผีทุกรอบ!

อังคารคลุมโปง RECAP

ย้ายหอไปกีที่ ก็เจอผีทุกรอบ!

25 ก.พ. 2024

       เรื่องนี้เป็นสายจาก ‘คุณตุ๊ก’ ที่โทรมาเล่าเหตุการณ์ที่เจอมากับตัวเองให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง x ’ (20 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการย้ายหอ ที่ไม่ว่าจะย้ายไปที่ไหนก็เจออะไรแปลก ๆ ทุกที่! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านเลย

       คุณตุ๊กเล่าว่า เป็นช่วงที่คุณตุ๊กเรียน ปวส. ซึ่งจะต้องย้ายไปอยู่ในตัวจังหวัด และยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปอยู่หอรวมหรืออยู่คนเดียว คุณตุ๊กจึงขอไปอยู่กับรุ่นพี่ที่เขาอยู่กัน 3 คน เพราะคิดว่าถ้ามีเพื่อนก็คงไม่น่ากลัวเท่ากับอยู่คนเดียว ซึ่งมีความปลอดภัยและสะดวกกว่าอยู่หอรวม  คุณตุ๊กก็ใช้ชีวิตปกติทุกวันจนมีอยู่คืนนึง คุณตุ๊กฝันว่า ได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำเปิดอยู่ จึงลุกขึ้นมาและมองไปที่ห้องน้ำ เห็นแสงไฟผ่านช่องประตูที่แง้มอยู่ จึงลุกขึ้นเดินไปกำลังจะเอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำ สายตาก็ดันไปเห็นเหมือนมีขาคนห้อยอยู่ คุณตุ๊กกำลังจะเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่คุณตุ๊กยังไม่ทันได้มองก็สะดุ้งตื่น และพอหันไปมองทางห้องน้ำ แต่ห้องน้ำก็ปิดไฟมืดปกติ คุณตุ๊กคิดในใจว่า ‘คงแค่ฝันไป ห้องนี้ไม่มีอะไรหรอก’

       หลังจากนั้นคุณตุ๊กก็ฝันแบบเดิมเรื่องเดิมอีกประมาณ 2-3 ครั้ง จึงตัดสินใจถามเพื่อนที่มาเช่าอยู่คนแรกที่ชื่อ ‘ดาว’ ว่า “ดาวอยู่ห้องนี้ เคยเจออะไรแปลก ๆ ไหม” เพื่อนก็ถามกลับว่า “เป็นอะไรหรือเปล่าตุ๊ก เจออะไร” คุณตุ๊กก็ไม่กล้าเล่าว่าตัวเองฝันร้าย เพราะกลัวว่าเพื่อนจะกลัว คุณดาวก็ได้บอกกลับมาอีกว่า “ไม่มีอะไรหรอก แถวนี้เจ้าที่เจ้าทางดีนะ” จากนั้นดาวก็เล่าให้ฟังว่าตอนที่มาอยู่ก่อนที่ ‘กล้วย’ และ ‘กานต์’ จะมาอยู่ด้วย ตนเคยนอนอยู่แล้วประตูข้างหลังบ้านเปิดออกเองและได้กลิ่นควัน ดาวก็ตกใจและเดินไปปิดประตู คุณตุ๊กนึกในใจว่าที่ห้องนี้มันต้องมีอะไรแปลก ๆ เพราไม่อย่างนั้นคงไม่ฝันแบบนั้น 3 รอบ

       เมื่อคุณตุ๊กได้สังเกตและมองไปรอบห้อง ก็เห็นสายสิญจน์โยงเข้ามาในห้อง เห็นแก้วกับหมากพลูที่แห้ง วางอยู่บนหิ้งเล็ก ๆ หลังประตู คุณตุ๊กก็คิดแค่ว่า อาจจะทำบุญหอแค่นั้น หลังจากนั้นคุณตุ๊กได้ไปสำรวจห้องของเพื่อนที่อยู่ติดกันอีก 3 ห้อง แต่ทั้ง 3 ห้องก็ไม่มีสายสิญจน์เหมือนห้องคุณตุ๊ก

       วันนึงเพื่อนทั้ง 3 คน จะต้องไปหาที่ฝึกงาน จึงมาถามคุณตุ๊กว่า “อยู่คนเดียวได้ไหม” คุณตุ๊กก็บอกว่า “อยู่ได้ เพื่อนข้างห้องอยู่กันเยอะแยะ” หลังจากที่เพื่อนทั้ง 3 คนไม่อยู่ ก็มีรุ่นพี่เรียกไปถามว่า “กล้าอยู่คนเดียวหรอ ห้องนี้มันมีคนเคยผูกคอตายนะ” คุณตุ๊กก็ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก และหลังจากรู้เรื่องก็กลับมาเก็บของย้ายออกและให้เหตุผลกับเพื่อนว่าจะย้ายไปอยู่กับญาติ 

       หลังจากที่คุณตุ๊กย้ายไปบ้านญาติ เป็นบ้านเดี่ยวอยู่กลางสวนส้มโอหลังวัด ในซอยจะเป็นซอยตัน มีบ้านอยู่ 5 หลัง บ้านที่คุณตุ๊กอยู่คือหลังที่ 4 หลังจากที่คุณตุ๊กอยู่ได้ไม่กี่เดือน แฟนคุณตุ๊กมาหาและนั่งคุยกันที่หน้าบ้านจนถึงประมาณ 1 ทุ่ม คุณตุ๊กได้สังเกตุเห็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 5 ขวบ เดินเขามาในซอย เดินมาถึงต้นกล้วยหน้าบ้านคุณตุ๊ก คุณตุ๊กก็พยายามจะมองหน้าเด็กแต่ก็เห็นแค่เป็นเงาๆ จากนั้นเหมือนเด็กคนนั้นจ้องมาทางคุณตุ๊กและยกมือขวามาดึกใบกล้วย ขึ้น-ลง ๆ ซ้ำๆ คุณตุ๊กจึงหันไปมองหน้าแฟนและหันไปมองต้นกล้วย เพื่อที่จะสื่อว่าเห็นเด็กคนนั้นที่อยู่ตรงต้นกล้วยไหม แต่แฟนคุณตุ๊กก็ทำหน้างง คุณตุ๊กจึงบอกออกไปว่า “เข้าบ้านกัน” แฟนสงสัยจึงถามกลับว่า “ทำไมมีอะไร” คุณตุ๊กไม่ตอบอะไร บอกแค่ว่า “เข้าบ้านก่อนเดี๋ยวบอก” หลังจากที่เข้ามาในบ้าน คุณตุ๊กได้ถามแฟนว่า “เห็นเด็กที่ยืนอยู่ตรงต้นกล้วยไหม” แฟนตอบว่า “ไม่เห็น” คุณตุ๊กก็คิดว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่คนแน่ ๆ เพราะมันก็มืดแล้ว คุณตุ๊กก็ไม่ได้ไปสืบว่าเด็กคนนั้นคือใคร เพราะมีคนบอกว่าแถวที่คุณตุ๊กอยู่ วัดนั้นผีดุ 

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

ไปเที่ยวเรียวกังเก่า เจอโทรศัพท์สีดำเลยแชะภาพไปหนึ่ง แต่ดันได้ยินเสียงจากปลายสาย ตกใจตัวสั่นหน้าซีด พอเช้าก็รีบกลับทันที ระหว่างทางแวะถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น แต่เพื่อนที่ข้ามถนนไปก่อนพูดประโยคเดียวกับเสียงในโทรศัพท์ จากนั้นก็โดนรถชนเสียชีวิต!

27 เม.ย. 2024

ไปเที่ยวเรียวกังเก่า เจอโทรศัพท์สีดำเลยแชะภาพไปหนึ่ง แต่ดันได้ยินเสียงจากปลายสาย ตกใจตัวสั่นหน้าซีด พอเช้าก็รีบกลับทันที ระหว่างทางแวะถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น แต่เพื่อนที่ข้ามถนนไปก่อนพูดประโยคเดียวกับเสียงในโทรศัพท์ จากนั้นก็โดนรถชนเสียชีวิต!

เรื่องนี้ ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘โทรศัพท์สีดำ’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณต้นกล้าได้ฟังมาจาก ‘มายูมิ’ เธอเป็นนักศึกษา อยู่ปี 3 กำลังจะขึ้นปี 4 ที่มหาลัยแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น ช่วงเวลานั้นเองที่เหล่านักศึกษาต้องเตรียมหาบริษัท เพื่อดูว่าควรจะทำงานอะไรต่อไป คนญี่ปุ่นเรียกช่วงนี้ว่า ‘Job Hunting’ หรือ การหางานของเด็กจบใหม่ในญี่ปุ่น ซึ่งนั่นก็หมายความว่าอาจจะไม่ได้มีโอกาสเจอเพื่อนอีกแล้ว มายูมิ จึงบอกกับเพื่อน ๆ ว่า “ไหนๆก็จะไม่ได้เจอกันแล้ว เรานัดกันไปออกทริปดีกว่า” เพื่อนหลายคนต่างก็ตอบรับคำชวนของมายูมิ รวมแล้วทริปนี้มีทั้งชายและหญิงประมาณ 4 - 5 คน ในวันออกทริปได้มีการเช่ารถยนต์ โดยให้เพื่อนที่มีใบขับขี่เป็นคนขับ ระหว่างออกเดินทาง ก็ขับกันไปสนุกสนานตามประสาวัยรุ่น ทุกอย่างปกติดีจนกระทั่งเหมือนระหว่างที่เดินทางอยู่ๆท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม เมื่อไปถึงที่หมายก็พบว่าที่พักเป็น เรียวกังญี่ปุ่น เหมือนโรงแรมญี่ปุ่นเวอร์ชั่นเก่าอยู่บนเขา หนึ่งในกลุ่มเพื่อนก็พูดขึ้นมาว่า “ฮู้ยย เนี่ยสวยเนอะ” มายูมิก็ตอบกลับไปด้วยความกลัวว่า “จะว่าสวยก็สวย จะว่าขนลุกก็ขนลุก ดูเหมือนมีผีเลยอ่ะ ต้องมีแน่ๆเลย” เพื่อนคนเดิมตอบกลับมาว่า “มีผีก็ดีดิ สนุกเลย เราได้เจอผี ถือเป็นโมเม้นต์ร่วมกัน ก่อนจะแยกย้ายไปทำงานไง” ส่วนตัวของมายูมิไม่ชอบเรื่องลี้ลับ จึงเริ่มรู้สึกไม่ดี แต่เพื่อนทุกคนก็ตัดสินใจว่า “เห้ยย เราพักที่นี่แหล่ะ เราจองไว้แล้ว เกิดอะไรก็เกิด” แต่ความรู้สึกของมายูมิบอกแต่แรกแล้วว่า ‘เรียวกังนี้ไม่ควรเข้าไป’ มายูมิรู้สึกไม่ดี ขนลุก อยากกลับ แต่ถ้าบอกเพื่อนไปตรง ๆ เพื่อนก็จะหาว่า “โอ้โห้ ขนาดแขกคนอื่นยังมาพักได้เลย” เมื่อถึงหน้าเรียวกัง ทุกคนก็ลงมาเก็บของ แล้วก็เดินเข้าไปข้างใน โดยมี ‘โอคามิซัง’ พนักงานมาต้องรับ โอคามิซังพูดกับทุกคนว่า “เหนื่อยมั้ยเดี๋ยวพาไปที่ห้องนะ” จากนั้นโอคามิซังก็พาไปแนะนำห้องพัก หลังจากแนะนำห้องพักเสร็จ ก็แนะนำห้องอาบน้ำที่เป็นออนเซ็นเล็ก ๆ โดยแบ่งห้องอาบน้ำชายและหญิงคนละฝั่ง รวมถึงบอกเรื่องเวลาปิดห้องอาบน้ำด้วย สุดท้ายก็ให้กุญแจห้อง และทิ้งท้ายว่า “หากต้องการอะไรให้เรียกโอคามิซังได้เลย” จากนั้นก็ปล่อยให้ทุกคนพักผ่อนตามอัธยาศัย หลังจากโอคามิซังเดินออกไป ทุกคนดูตื่นเต้นกับเรียวกังนี้มาก ต่างดูของตกแต่งในห้อง รวมถึงรูปภาพประดับ หนึ่งคนในกลุ่มก็พูดขึ้นมาว่า “โอ้โห้ดูรูปภาพนี้ดิ่ เราว่ามันจะต้องมีเรื่องราวแน่เลย” พอเอานิ้วไปสัมผัสที่รูปภาพก็มีฝุ่นติดขึ้นมา ทุกอย่างในเรียวกังนี้ดูขลังมาก หลังจากเดินชมเรียวกังเสร็จก็แยกย้ายกันไปพัก แยกห้องชาย-หญิง เมื่อฝั่งผู้ชายวางของเสร็จ ก็เดินมาที่ห้องของผู้หญิง เพื่อชวนกันออกไปถ่ายรูป ทุกคนจึงเดินออกมาข้างหน้า เมื่อได้มุมที่พอใจ ก็ถ่ายรูปกับสิ่งของต่าง ๆ เช่น หมี หน้าประตู แต่มีมุมหนึ่งที่น่าสนใจ เพื่อนผู้ชายบอกกับมายูมิว่า “ลองไปถือโทรศัพท์ตรงนั้นหน่อยสิ” มุมนั้นเป็นกำแพงสีพื้น มีโต๊ะเล็ก ๆ ที่วางสูง ๆ แล้วก็มี ‘โทรศัพท์สีดำ’ วางอยู่บนโต๊ะ และมีเก้าอี้วางไว้อีกหนึ่งตัว เรียกได้ว่าเป็นที่น่าถ่ายรูปมาก มายูมิก็ตอบกลับเพื่อนว่า “จะดีหรอ” สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินไป แล้วพอเดินไปกำลังจะถึง ก็ได้ยินเสียง “กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงง” ดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ มายูมิก็สะดุ้งตกใจ เพื่อนทุกคนก็ถามว่า “เฮ้ยยย เป็นอะไร” มายูมิตอบกลับเพื่อนว่า “ อ๋อโทษที เราสะดุ้งไปนิดนึง” ตอนนั้นมายูมิก็ไม่ได้เอะใจอะไร แล้วก็เดินไปยืนตามที่เพื่อนบอก จากนั้นก็หยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู เพื่อน ๆ ต่างหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป แต่แล้วอยู่ ๆ สีหน้าของมายูมิก็ค่อย ๆ ซีดลงไปเรื่อย ๆ แล้วก็วางโทรศัพท์ไป มายูมิสั่นไปทั้งตัว เพื่อนทุกคนต่างงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับมายูมิ และถามว่า “เป็นอะไร หนาวรึป่าว” มายูมิก็ไม่พูดบอกแค่ว่า “จะกลับห้อง” พูดประโยคเดิมวนอยู่ 2 - 3 รอบ เมื่อเห็นท่าไม่ดี ทุกคนจึงกลับมาที่ห้องและนำชาร้อนมาให้มายูมิดื่ม สักพักมายูมิก็ใจเย็นลงจึงเล่าให้เพื่อนฟังว่า “ตอนที่กำลังจะไปยกหูโทรศัพท์ พวกเธอได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังใช่มั้ย แล้วปลายสายมันมีคนพูดด้วย” แต่เพื่อนทุกคนตอบเหมือนกันหมดว่า “ไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังนะ” ทุกคนคิดว่ามายูมิสะดุ้งเพราะพื้นไม้เรียวกังมันเก่า เพื่อนจึงบอกว่า “เธอได้ยินคนเดียวนะ” มายูมิตอบกลับไปว่า “หรอ เป็นไปไม่ได้ เราได้ยินจริง ๆ นะ มันดังมาก ๆ” เพื่อนจึงถามต่อว่า “พอเธอยกหูโทรศัพท์เธอได้ยินอะไรจากปลายสาย ทำไมถึงหน้าซีดขนาดนั้น” มายูมิจึงเล่าว่า “เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราได้ยินอะไร เพราะมันแปลกมากเลย เราได้ยินว่า เฮ้ยย ทำไมยืนมองอยู่ตรงนั้น แล้วก็มีเสียง ตึ้มมมมมมมม ดังมากๆ แล้วสายก็ตัดไปเลย เป็นเสียงที่มาจากปลายสายนะ” เพื่อนก็ปลอบใจว่า “ไม่เป็นไรหรอก” จนกระทั่งคืนนั้น ทุกคนก็นอนหลับฝันดีปกติ มีแค่มายูมิที่นอนฝันร้าย พอตื่นขึ้นมา ผมมายูมิกระเซอะกระเซิง แล้วก็บอกกับเพื่อนว่า “จะกลับ” แล้วก็บอกต่ออีกว่า “ตี 4 แล้ว ตี 4 ครึ่งแล้ว พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว กลับกันเถอะ” เพื่อนทุกคนก็งง แล้วบอกว่า “จะรีบไปไหน เราจองที่นี่ไว้ 2 คืนนะ ไหนบอกจะมาสร้างความทรงจำดีๆ” มายูมิขอร้องให้เพื่อนกลับ ทุกคนกำลังรู้สึกงัวเงีย เพราะพึ่งตื่นไม่เต็มตา แต่สุดท้ายก็ต้องยอมกลับตามคำขอร้องของมายูมิ “ยอมกลับก็ได้ แล้วไปหา โรงแรมในเมืองเอา” พอเก็บของขึ้นรถเสร็จระหว่างทางขับรถออกจากเรียวกัง ซึ่งเป็นเส้นทางลงเขา ประจวบเหมาะกับพระอาทิตย์กำลังขึ้นพอดี กลายเป็นวิวที่สวยมาก จึงตัดสินใจจอดรถเทียบข้างทาง ฝั่งซ้าย ทุกคนต้องข้ามไปฝั่งขวา เพื่อที่จะได้เห็นวิวหน้าผาสวย ๆ จากนั้นก็ลงจากรถแล้วข้ามถนนไปฝั่งขวา เมื่อถ่ายรูปเสร็จ เพื่อนก็บอกว่า “กลับกันเถอะ” เพื่อนที่เป็นคนขับรถก็วิ่งข้ามถนนกลับไปที่รถ แล้วก็หันมากลับมาตะโกนบอกเพื่อนว่า “เฮ้ยย ทำไมยืนมองอยู่ตรงนั้น” แต่แล้วก็มีรถคันหนึ่งขับวิ่งเข้ามาชนเขา! แล้วมีเสียง “กริ๊งงงงงงง ตึ้มมมมมมม” เพื่อนคนนั้นถูกรถชนตัวกระเด็นทำให้เสียชีวิตทันที! ทุกคนที่อยู่อีกฝั่งต่างตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า เพราะมันตรงกับสิ่งที่มายูมิได้ยินจากโทรศัพท์สีดำเมื่อคืน! ทุกคนแทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น และเกิดคำถามขึ้นในใจว่าโทรศัพท์สีดำเครื่องนั้นมันพยายามจะบอกอะไร? ถ้ากลับไปอีกรอบ แล้วยกหูโทรศัพท์สีดำนั้นขึ้นมาอีกจะมีใครตายอีกหรือไม่..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปทักคนอื่นเรื่องเจ้ากรรมนายเวร ช่วยเขาจนเสร็จสรรพ แต่เจ้ากรรมนายเวรเขาไม่พอใจ จะมาเอาเป็นตัวตายตัวแทน!

12 ก.ค. 2023

ไปทักคนอื่นเรื่องเจ้ากรรมนายเวร ช่วยเขาจนเสร็จสรรพ แต่เจ้ากรรมนายเวรเขาไม่พอใจ จะมาเอาเป็นตัวตายตัวแทน!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ในครั้งนี้ (27 มิถุนายน 2566) ต้อนรับแขกรับเชิญอย่าง ‘คุณสายฝน พรหมญาณ’ หมอดูชื่อดังที่มาเล่าประสบการณ์หลอนที่เจอมากับตัวให้ทั้ง ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจม’ ฟัง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งในเรื่องที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น แท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย! เมื่อประมาณ 8 ปีก่อน ขณะนั้นคุณฝนกำลังไฟแรงเดินหน้าปฏิบัติธรรม ด้วยความที่ร้อนวิชาจึงเข้าไปทักผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อคุณฝนสามารถตอบชื่อแฟนของผู้ชายคนนี้ รวมถึงสีที่แฟนของเขาชอบ ไปจนถึงได้เล่าเหตุการณ์ที่เขาเกือบโดนรถชนได้อย่างถูกต้อง ผู้ชายคนนี้ถึงกับต้องผละตัวออกมาจากงานที่เขากำลังทำแล้วมานั่งฟังที่คุณฝนพูด คุณฝนเห็นภาพว่าผู้ชายคนนี้ได้เสียขาไป จึงเตือนผู้ชายคนนั้นว่า ให้ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาให้ดี และยังบอกอีกว่า เขาเคยสัญญาว่าจะไปบวชตอนรอดจากเหตุการณ์รถชนครั้งนั้น แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ไปบวช เขาจึงตอบกลับมาว่า จะไปบวชภายในเดือนนี้ คุณฝนจึงกำชับว่าให้รีบบวชโดยเร็วที่สุด หาไม่แล้วเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้โดนรถชนครั้งนั้น อาจจะตามมาเอาชีวิตไปก็ได้ ผู้ชายคนนี้ขอบคุณคุณฝนเป็นอย่างมากที่ช่วยแนะนำวิธีการแก้เคราะห์ให้เสร็จสรรพโดยไม่ได้เก็บค่าครูแม้แต่บาทเดียว ในตอนนั้นเอง.. คุณฝนไม่รู้เลยว่าเธอได้ทำอะไรลงไป! เมื่อคุณฝนกลับมาถึงที่บ้าน ก็เริ่มเกิดอาการร้อนรุ่มที่ตัว เริ่มอ่อนเพลียและหนักที่หัวจนอยากเข้านอน พอตื่นมาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้ ทั้งร่างกายรู้สึกแสบร้อนทรมานไปหมด คุณฝนรู้สึกเหมือนหัวถูกกดเอาไว้แล้วมีใครบางคนทุบมาที่หัวตลอดเวลา! คุณฝนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อาการคุณฝนตอนนั้นเหมือนกับคนที่กำลังจะเป็นไข้ แต่ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นเชื่อมโยงสิ่งนี้กับเหตุการณ์ที่ได้ไปช่วยผู้ชายคนนั้น และแล้วในความฝันกลางดึก คุณฝนก็พบกับร่างของชายคนหนึ่งมายืนอยู่ใกล้ ๆ ที่ผิวของร่างชายคนนี้ไหม้เกรียมแถมมีไฟฟอนสีแดงแตกออกมา คุณฝนมองเห็นร่างนี้ได้แบบพร่ามัวและเลือนลาง แต่ก็ยังสามารถได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมา สิ่งนั้นเองที่เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการดูดวงของคุณฝนตลอดไป “มึงอ่ะ อยากยุ่งเรื่องของกูมากใช่ไหม มึงตายแทนมันไปเลยนะ!” แม้จะตื่นอยู่แต่คุณฝนกลับไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้เลย ที่ดวงตาก็เริ่มมีน้ำไหลออกมา คุณฝนนอนปวดหัวแสบร้อน ขณะที่คนในบ้านคอยเช็ดตัวให้ คุณฝนไม่สามารถอธิบายออกมาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันเหมือนกับว่ามีคำพูดนั้นกระแทกเข้าหาตลอดเวลา ตอนนี้คุณฝนรู้สึกเหมือนถูกดึงถูกทึ้งไม่หยุดหย่อน สุดท้ายแฟนและแม่แฟนต้องพาไปส่งที่โรงพยาบาล เมื่อไปตรวจที่โรงพยาบาลสารพัดวิธีแล้ว หมอเจ้าของไข้ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าคุณฝนเป็นอะไรกันแน่ สุดท้ายหมอจึงลงความเห็นว่าอาจจะต้องเจาะไขสันหลังมาตรวจดูและผ่าเปิดกะโหลกไปเลย เพราะมีข้อสันนิษฐานว่าอาจมีความผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับน้ำในสมอง เมื่อคุณฝนซึ่งตอนนั้นไม่สามารถขยับร่างกายได้ยินเข้า จึงอธิษฐานให้บุญกุศลที่เคยทำไว้และการไปฏิบัติธรรมตลอดมาช่วยให้รอด คุณฝนบอกกับเสียงที่เข้ามาว่านับจากนี้ทุกเดือนจะไปปฏิบัติธรรมและไม่ทักใครหรือเข้าไปช่วยใครอีกเลย หากเขามิได้มีเจตนาจะร้องขอตั้งแต่แรก คุณฝนสะอื้นให้กับตัวเองแล้วรำพันว่าตนไม่ควรไปอวดอุตริไปทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมนี้แต่แรกเพราะมันเป็นเรื่องระหว่างเจ้ากรรมนายเวร เสียงนั้นก็ตอบกลับว่าคุณฝนไม่มีทางรอดไปได้ เพราะคุณฝนได้เข้าไปยุ่งกับเรื่องที่ตนไม่ควรเข้าไปยุ่ง ขณะที่ได้ยินแพทย์เจ้าของไข้ถามแฟนว่าให้เจาะไขสันหลังเลยไหม ผ่าตัดเลยไหม เพราะต้องรีบทำอะไรสักอย่างแล้ว คุณฝนพยายามส่ายหัวให้คนเห็นเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องการ คุณฝนผู้ซึ่งเป็นคนที่นับถือ “พระแม่” เป็นอย่างยิ่ง จึงบอกกับพระแม่ว่าตนขออุทิศชีวิตตัวเองให้กับการทำดี แล้วสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกเลย.. เช้าวันต่อมา หมอคนที่จะผ่าตัดให้ก็มีเคสพิเศษเข้ามากะทันหัน จึงต้องให้หมอคนใหม่มาดูแลแทน แล้วคำวินิจฉัยก็เปลี่ยนไป หมอคนใหม่บอกว่าคุณฝนไม่ได้เป็นอะไรสามารถกลับบ้านได้ทันที สาเหตุที่ไม่สามารถขยับตัวได้คงเป็นเพราะไมเกรนทำพิษ ซึ่งอาจเกิดความเครียดตอนทำงาน สุดท้ายอาการต่าง ๆ ที่เหลือก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นระยะ หลังจากนั้น คุณฝนก็ไปปฏิบัติธรรมทุกเดือนตามสัญญา คุณฝนเรียนรู้ว่าบางครั้งแม้เราจะมีดวงตาเห็นนิมิตอะไรบางอย่างในตัวคนคนหนึ่ง แต่เราก็ไม่มีสิทธิไปบอกเขาอยู่ดี เพราะผลที่ตามมามันอาจรุนแรงก็เป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราไม่มีครู..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณบอส 'บ้านอาม่า' | อังคารคลุมโปง X ไท ธนาวุฒิ [4 มี.ค. 2568 ]

07 มี.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณบอส 'บ้านอาม่า' | อังคารคลุมโปง X ไท ธนาวุฒิ [4 มี.ค. 2568 ]

เมื่อพ่อของคุณบอส เข้าไปเก็บลูกฟุตบอลในบ้านของอาม่าข้างบ้าน เขาเห็นอาม่ายืนอยู่หน้าประตู แลบลิ้นใส่ จึงแลบลิ้นตอบกลับไปคิดว่าเป็นการหยอกล้อ แต่คืนถัดมาผีเสื้อดำตัวหนึ่งบินเข้ามาในห้อง และเมื่อมันเข้าใกล้ เขาต้องตกใจสุดขีด เพราะใบหน้าของผีเสื้อตัวนั้นคือใบหน้าของอาม่า! ต่อมาถึงได้รู้ว่าอาม่าที่เขาคุ้นเคยได้เสียชีวิตไปแล้ว!! #อังคารคลุมโปง‘คุณบอส’ เล่าเรื่องหลอนเมื่อคุณพ่อได้เห็นเหตุการณ์สุดสยองที่ไม่เคยลืม! จากการเห็นอาม่าข้างบ้าน ที่ดูเหมือนจะเป็นการหยอกล้อธรรมดา แต่กลับกลายเป็นภาพหลอนของวิญญาณที่ผูกคอตาย! ทำไมถึงเป็นผีเสื้อที่มีหน้าคล้ายอาม่า? ฟังเรื่องสุดหลอนนี้ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (4 มีนาคม 2568) แล้วเหตุการณ์ณ์สุดหลอนนี้จะจบลงอย่างไร ไปติดตามพร้อมกันเลย!!‘คุณบอส’ เล่าว่า เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่คุณพ่อของตนเคยพบเจอ และถูกเล่าต่อกันมาจนถึงรุ่นของตน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว ในกรุงเทพมหานคร บ้านของคุณบอสเป็นครอบครัวชาวจีน อากงและอาม่า มีลูกทั้งหมด 5 คน โดยคุณพ่อของคุณบอสเป็นลูกคนกลาง ในสมัยนั้นซอยที่บ้านของคุณพ่อตั้งอยู่เป็นซอยลึก และเงียบสงบ มีบ้านเรือนอยู่ไม่มากนัก ส่วนตัวบ้านของคุณพ่อมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ข้างบ้านเป็นที่อาศัยของ ‘อาม่า’ ท่านหนึ่ง ซึ่งอยู่เพียงลำพัง ลูกหลานของท่านจะมาเยี่ยมเพียงนาน ๆ ครั้งในสมัยนั้น คุณพ่อของคุณบอสยังเป็นเด็ก มักออกไปวิ่งเล่น และเตะฟุตบอลกับเพื่อน ๆ ด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้กัน คุณพ่อจึงสนิทกับอาม่า ข้างบ้านไปด้วย อาม่าท่านนี้มักทำกิจวัตรประจำวันในตอนเช้า และทุกครั้งที่พบกันก็มักจะทักทายคุณพ่ออยู่เสมอ ทำให้ทั้งสองมีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยภายในซอยที่บ้านตั้งอยู่นั้นค่อนข้างเงียบสงบมาตั้งแต่เดิม ดังนั้นหากมีสิ่งใดผิดปกติ ก็มักจะสังเกตเห็นได้ไม่ยากวันหนึ่ง คุณพ่อสังเกตเห็นว่า อาม่าข้างบ้านไม่ออกมาทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ ต่างจากทุกวันที่มักจะเห็นท่านเดินไปเดินมา และทักทายกันเสมอคุณพ่อรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เวลาผ่านไปสักพัก ขณะที่คุณพ่อกำลังเล่นฟุตบอลกับพี่ ๆ ของตนอยู่นั้น บังเอิญเตะบอลพลาด ลูกบอลกระเด็นเข้าไปในบ้านของอาม่า บ้านของอาม่าเป็นบ้านแถว ด้านหน้ามีประตูลูกกรงกั้นไว้ และด้านในมีประตูอีกชั้นหนึ่ง คุณพ่อจึงยืนมองเข้าไปภายในบ้าน พลางคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปขณะที่คุณพ่อกำลังจะเดินเข้าไปหยิบลูกฟุตบอล เมื่อเดินผ่านหน้าบ้านก็ต้องสะดุ้งตกใจ เมื่อมองเข้าไปในบ้านกลับเห็นอาม่ายืนแนบชิดกับประตูด้านใน จ้องมองออกมา ดวงตาถลน และแลบลิ้นออกมาคุณพ่อชะงักไปชั่วขณะ แต่พอได้สติ ก็คิดว่าอาม่า คงแกล้งหยอกเล่น เพราะปกติแล้วท่านเป็นคนใจดีและชอบหยอกเด็ก ๆ อยู่เสมอ ด้วยความคิดแบบเด็ก ๆ คุณพ่อจึงแลบลิ้นตอบกลับไปเป็นเชิงเล่นสนุก จากนั้นก็หยิบลูกฟุตบอลแล้ววิ่งกลับไปหาพี่ ๆวันนั้น คุณพ่อสังเกตว่าบรรยากาศในซอยบ้านที่เคยเงียบสงบกลับดูคึกคักขึ้นอย่างผิดสังเกต มีผู้คนเข้าออกมากกว่าปกติ และหลายคนก็เดินเข้าไปในบ้านของอาม่า คุณพ่อจึงคิดว่า น่าจะเป็นลูกหลานของอาม่าที่มาเยี่ยมท่านโดยปกติแล้ว คุณพ่อจะนอนรวมกับพี่ ๆ ทั้ง 5 คน และอากงอาม่า ภายในห้องเดียวกัน คืนนั้น.. ขณะที่ทุกคนกำลังหลับสนิท คุณพ่อสังเกตเห็นผีเสื้อตัวหนึ่งบินวนอยู่รอบ ๆ ห้อง ลักษณะคล้ายผีเสื้อกลางคืน มีปีกสีดำสนิท มันบินมาเกาะอยู่ใกล้ใบหน้าของคุณพ่อ จนรู้สึกรำคาญ ด้วยความรำคาญ คุณพ่อจึงลุกขึ้นไปหยิบหนังสือพิมพ์มาม้วน แล้วพยายามไล่ตีผีเสื้อตัวนั้น เสียงการเคลื่อนไหวทำให้คนในห้องตื่นกันหมด แต่สิ่งที่ทำให้คุณพ่อต้องขนลุกคือ ไม่มีใครเห็นผีเสื้อแม้แต่คนเดียว ทุกคนพากันบอกว่า คุณพ่อคงเล่นมากไปจนเหนื่อย และอาจตาฝาดหรือฝันไปเองหลังจากเวลาผ่านไป 2-3 วัน นับตั้งแต่คืนที่คุณพ่อเห็นผีเสื้อ ทุกอย่างก็ดูเป็นปกติ ไม่มีสิ่งผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้น จนกระทั่ง คืนที่สาม ขณะที่คุณพ่อเข้านอนตามปกติ ผีเสื้อตัวเดิมก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันบินวนไปมาอยู่ภายในห้อง ราวกับมีจุดมุ่งหมายบางอย่าง ครั้งนี้ คุณพ่อไม่ได้พยายามไล่ตีมันเหมือนครั้งก่อน แต่กลับรู้สึกสงสัยแทนว่า เหตุใดมันจึงบินกลับมาอีกภายในห้องที่มืดสนิท คุณพ่อพยายามปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืด ทันใดนั้น ผีเสื้อตัวนั้นก็ค่อย ๆ บินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ แต่เมื่อเพ่งมองให้ชัดขึ้น คุณพ่อก็ต้องตกตะลึง เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้า ไม่ใช่ผีเสื้อธรรมดา ใบหน้าของมัน กลับเป็นใบหน้าของอาม่าข้างบ้าน!!!“อ๊ากกกกกกก!!” เสียงกรีดร้องดังลั่น ปลุกทุกคนในบ้านให้ตื่นขึ้นอย่างตกใจ ทุกคนต่างพากันรีบเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น คุณพ่อยังคงตัวสั่น และตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว “ผีหลอก! ผีหลอก!! ผีอาม่าข้างบ้านมาหลอก!!!”ทางอากง และอาม่าไม่ได้แสดงท่าทีตกใจ หรือคิดว่าคุณพ่อเป็นคนบ้าแต่อย่างใด พวกท่านเพียงพูดขึ้นมาว่า “อาม่าท่านคงมาหยอกเล่น”ต่อมา คุณพ่อจึงได้รู้ความจริงว่า อาม่าข้างบ้านได้ผูกคอตายอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน ร่างของท่านห้อยโชว์อยู่ตรงนั้น ภาพที่คุณพ่อเคยเห็นในวันนั้น เป็นภาพของอาม่า ที่แลบลิ้นและทำตาถลนใส่ แท้จริงแล้ว ไม่ใช่การหยอกล้อ แต่เป็นภาพของอาม่าขณะที่กำลังแขวนคอเสียชีวิต! ในตอนนั้น อาม่าอาจเสียชีวิตไปแล้ว และคุณพ่ออาจเป็นคนแรกที่เห็นท่านในสภาพนั้น ส่วนคนที่พบเป็นลำดับถัดไป อาจเป็นอากง และอาม่าของท่าน ที่เข้าไปเห็นและรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ และเหตุการณ์ที่คุณพ่อเห็นผู้คนเข้าออกซอยมากผิดปกติในวันนั้น ก็ไม่ใช่ลูกหลานของอาม่า ที่มาเยี่ยมท่าน แต่เป็นเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาเก็บศพของอาม่าออกไปคิดย้อนกลับไป ในตอนที่คุณพ่อเข้าไปในบ้านของอาม่า เพื่อเก็บลูกฟุตบอล คุณพ่อได้แลบลิ้นหยอกล้ออาม่า ไปตามประสาเด็ก ส่วนผีเสื้อที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนอาม่า บินมาให้คุณพ่อเห็น คงเป็นอาม่า ทีอาจไม่ได้ตั้งใจจะหลอกหลอน ทว่าเพราะท่านคุ้นเคย และสนิทสนมกับคุณพ่อมาตั้งแต่เด็ก จึงอาจต้องการมาหาตามความเชื่อของคนจีน มีความเชื่อว่าเมื่อผู้คนเสียชีวิต วิญญาณของพวกเขาอาจปรากฏในรูปของผีเสื้อ เพื่อสื่อถึงการกลับมาหรือการเยี่ยมเยียนคนที่ยังมีชีวิตอยู่…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เสียงปริศนาหลังกระต๊อบทำเสียวสันหลัง! พอมองลอดผ่านช่อง ก็เห็น...ระยะประชิดจนภาพติดตา!

10 มี.ค. 2023

เสียงปริศนาหลังกระต๊อบทำเสียวสันหลัง! พอมองลอดผ่านช่อง ก็เห็น...ระยะประชิดจนภาพติดตา!

ความเชื่อเรื่อง "ผีกระสือ" ที่มักจะเรืองแสงออกหากินของสดคาวและเน่าเหม็นในยามวิกาลมีมาอย่างยาวนานในบ้านเรา “พี่วิทย์ พชรพล” และครอบครัวก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เชื่อว่ากระสือมีจริง โดยอิงจากประสบการณ์ขนหัวลุก ที่พี่สาวแท้ ๆ ของพี่วิทย์เห็นมากับตา! โดยเรื่องนี้พี่วิทย์ได้นำมาเล่าให้ชาว “อังคารคลุมโปง X” (7 มีนาคม 2566) ได้เสียวสันหลังไปพร้อม กัน เรื่องจะเป็นยังไงนั้น ติดตามอ่านกันได้เลย! พี่วิทย์เล่าว่าต้องย้อนกลับไปเมื่อประมาณพี่วิทย์อายุแค่ 3 ขวบ ขณะที่ยังอาศัยอยู่ในย่านปากเกร็ด จ.นนทบุรี ครอบครัวที่เริ่มมีฐานะดีขึ้น จึงมีแพลนว่าจะสร้างบ้านที่สวนฝรั่ง ระหว่างที่กำลังสร้างบ้าน ก็พักอาศัยอยู่ในกระต๊อบหลังเล็กชั่วคราวไปก่อน พี่วิทย์และพี่ ๆ ในครอบครัวก็ชอบไปตกปลาหลังกระต๊อบ เพราะมีน้ำท่วมบ่อย และมีปลิงตัวเล็ก ๆ ทำให้พ่อมักจะห้ามไม่ให้เด็ก ๆ ในครอบครัวมาเล่นบริเวณนี้ นอกจากนั้น หลังกระต๊อบก็มีไส้ไก่ หรือพวกของเน่าเสียถูกนำมาทิ้งไว้ พี่วิทย์อธิบายกระต๊อบหลังนั้นคร่าว ๆ ว่าทำจากไม้อัดยาว ๆ เรียงต่อกันทำให้จะมีช่องเล็ก ๆ ส่วนหลังคาเป็นสังกะสี ในทุก ๆ คืน จะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างอยู่ข้างหลัง พี่สาวของพี่วิทย์ 2 คน ที่นอนอยู่ติดกับกำแพงไม้ก็นึกสงสัย และอยากรู้ให้ได้ว่ามันคือเสียงอะไร ทั้ง 2 ส่องลอดผ่านช่องแผ่นไม้กระต๊อบในระยะประชิด ก็เห็นเป็นผู้หญิงแก่ผมยาวยุ่งรุงรังกำลังกินไส้ไก่ด้วยความมูมมาม ที่สำคัญคือมีแสงไฟเล็ก ๆ ส่องสว่างขึ้นแล้วก็ดับ! พี่สาวของพี่วิทย์บอกว่า “ทุกครั้งที่พี่เล่า ภาพนั้นยังติดตาพี่อยู่เลยวิทย์” พี่วิทย์เชื่อว่าสิ่งนั้นคือ “กระสือ” ทั้งยังย้ำอย่างชัดเจนว่าไม่ได้โกหก และเล่าเสริมว่า “พี่สาวพี่ยังบอกอีกนะ ว่าตอนนั้นเขากินอย่างอร่อย เห็นหน้าไม่ชัดแต่ก็เห็นเป็นคนแก่ หลังจากเขากินเสร็จ เขาก็ลอยออกไป แต่ลอยต่ำ ๆ นะไม่ได้ลอยสูง จากนั้นก็หายไป!” และยังเล่าอีกว่าพอเช้าวันถัดมา “ลุงขาว” พี่ชายแท้ ๆ ของพ่อพี่วิทย์เดินมาบอกว่า “เนี่ย ยายคนนี้ (กระสือ) แกเอาปากไปเช็ดคราบเลือกที่ผ้าขาวม้า” พ่อพี่วิทย์ก็บอกว่า “เมื่อคืนลูกสาว 2 คนก็เห็น” แม้ตอนนั้นพี่วิทย์จะยังเด็กมาก แต่ก็จำได้ว่าหลังกระต๊อบนั้นมีน้ำท่วมขัง พี่วิทย์ชอบเอาขาไปเล่นแล้วก็ไปตกปลากับพวกพี่ ๆ แต่พ่อก็จะมาอุ้มพี่วิทย์ออกไป เพราะมีปลิงมาเกาะ แล้วยังจำได้อีกว่าหลังกระต๊อบจะมีกลิ่นเหม็นมาก เพราะทิ้งของเน่าของเสีย อย่างไส้ไก่ไว้..(เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่

album

0
0.8
1