เสียชีวิตแล้วแต่จิตยังคิดถึงงาน! เรื่องราวของคนทำงานที่รักงานมาก ป่วยเป็นมะเร็งก็ยังมาทำงาน เสียชีวิตแล้วก็ยังมาทำงาน พอมีน้องเข้ามาใหม่ ก็ยังช่วยสอนงานน้องอีก!

อังคารคลุมโปง RECAP

เสียชีวิตแล้วแต่จิตยังคิดถึงงาน! เรื่องราวของคนทำงานที่รักงานมาก ป่วยเป็นมะเร็งก็ยังมาทำงาน เสียชีวิตแล้วก็ยังมาทำงาน พอมีน้องเข้ามาใหม่ ก็ยังช่วยสอนงานน้องอีก!

15 ธ.ค. 2023

       พี่ในบริษัทรักงานมาก ป่วยเป็นมะเร็งก็ยังมาทำงาน จนเสียชีวิตแล้วก็ยังมาทำงาน พอบริษัทมีน้องใหม่เข้ามา ยังมาช่วยสอนงานให้น้องอีก เรื่องนี้ ‘คุณต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 ธันวาคม 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘พี่สา’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันได้เลย!

       ต้นกล้าบอกว่าเรื่องนี้ ‘Base on true story’ เป็นเรื่องจากเพื่อนที่ทำงานบริษัทญี่ปุ่นในไทย มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่บางนา ในบริษัทจะมีพี่คนหนึ่ง ชื่อว่า ‘พี่สา’ เป็นพี่ที่ดีและเป็นที่รักของคนในทีมมาก  เพราะพี่สาจะคอยอาสาช่วยงานคนในทีมอยู่เสมอ แม้ว่าตัวพี่สาเองจะป่วยเป็นโรคมะเร็งก็ตาม ตอนนั้นเอง อาการพี่สาไม่สู้ดีนักและกำลังรักษาตัวด้วยการทำคีโมอยู่ ผลข้างเคียงของการทำคีโมนั้นเอง ทำให้พี่สาต้องใส่วิกผมมาทำงานทุกวัน

       จนกระทั่งมีอยู่สัปดาห์หนึ่ง พี่สาไม่มาทำงานที่บริษัทเลย แต่ทุกคนในทีมไม่ได้รู้สึกสงสัยหรือตั้งคำถามอะไร เพราะคิดว่าพี่สาคง work from home พร้อมกับรักษาตัวอยู่ที่บ้านไปด้วย ปรากฏว่าหลังจากนั้น ทุกคนก็ต้องตกใจ เพราะทราบข่าวว่าพี่สาเสียชีวิตแล้ว ทุกคนเสียใจมากเพราะรู้สึกรักและผูกพันกับพี่สา อีกทั้งยังรู้สึกซาบซึ้งที่แม้แต่ช่วงสุดท้ายของชีวิต พี่สายังมอบให้กับการทำงาน ด้วยความที่ทุกคนเสียใจ และเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับพี่สา คนในทีมจึงนำดอกไม้ไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของพี่สา พร้อมพูดออกไปว่า “พี่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวน้องใหม่ที่มา พวกผมจะดูแลกันเอง พี่พักผ่อนให้เต็มที่เลย พี่ทำงานมาหนักมากแล้ว”

       ในวันนั้นเป็นวันที่ทางทีมต้องไปโรงงาน ซึ่งโรงงานจะอยู่คนละที่กับสำนักงานใหญ่ พอตอนเย็นถึงเวลาเลิกงาน คนในทีมก็ได้ชวนกันไปดื่มสังสรรค์ตามปกติ แต่มีพี่คนหนึ่งชื่อ ‘พี่เสือ’ เขาอาสานำอุปกรณ์ไปเก็บที่สำนักงานใหญ่ให้ พอเวลาผ่านไป ร้านก็ใกล้จะปิดเพราะดึกมากแล้ว ปรากฏว่ามีโทรศัพท์โทรหาคนในทีม ซึ่งคนที่โทรมานั่นก็คือพี่เสือนั่นเอง เขาโทรมาแล้วบอกว่า “มารับกูที กูออกจากห้องน้ำไม่ได้ พี่สาเขามา ไม่กล้าออกจากห้องน้ำ” ทุกคนจึงไปรับพี่เสือที่สำนักงานใหญ่ เพราะปกติแล้วพี่เสือเป็นคนแมน ๆ ทะมัดทะแมง ตั้งใจทำงาน แต่น้ำเสียงที่โทรมาเหมือนกับว่าเขากำลังกลัวมากจริง ๆ

       เมื่อทั้งทีมไปถึงสำนักงานใหญ่ ทั้งชั้นปิดไฟมืดสนิท จึงเดินไปเปิดสวิตช์ไฟ แล้วเข้าไปรับพี่เสือที่ห้องน้ำ ปรากฏว่าพี่เสือไม่มีแม้แต่แรงที่จะเดิน แขนขาอ่อนแรง ต้องเดินเกาะแขนคนในทีมออกมา ระหว่างนั้น คนในทีมก็คะยั้นคะยอให้พี่เสือเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่พี่เสือบอกว่าขอออกไปจากตรงนี้ก่อนแล้วจะเล่าให้ฟัง

        พอเดินออกมาจากโซนออฟฟิศแล้ว พี่เสือก็เริ่มเล่าว่า ตอนมาเก็บอุปกรณ์เขาแสกนนิ้วเข้าตามปกติ แต่รู้สึกปวดท้องจึงไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างที่อยู่ในห้องน้ำ ก็ได้ยินเสียงคนแสกนนิ้ว แล้วก็เสียงเดิน ต๊อก ต๊อก ต๊อก .. เดินตรงมาหยุดที่หน้าห้องน้ำที่พี่เสือเข้าอยู่ จากนั้นเคาะประตู ก๊อก ก๊อก ก๊อก .. พี่เสือนึกว่าเป็นพี่ยามจึงตะโกนบอกว่า “พี่ยามรึเปล่าครับ พอดีเอาของมาเก็บแปปนึง เดี๋ยวก็ไปละพี่ อย่าพึ่งปิดไฟนะ”

       แต่ก็ยังมีเสียงเคาะประตูอยู่ แล้วก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า “เสือ..พี่หยิบวิกพี่ไม่ถึง” ณ ตอนนั้นพี่เสือคิดว่าคงเป็นพี่สาแน่ ๆ เพราะในออฟฟิศไม่มีใครใส่วิกนอกจากพี่สา จากนั้นก็พูดขึ้นมาอีกว่า “พี่หยิบวิกพี่ไม่ถึง ช่วยหยิบวิกให้พี่หน่อยได้มั้ย พี่สูงไม่พอ มันขึ้นไปอยู่ตรงนั้น ช่วยหยิบให้หน่อย” พี่เสือรู้สึกกลัวแต่ด้วยความอยากรู้จึงเงยหน้าขึ้นไปมอง ปรากฎว่าเห็นเป็นวิกผมวางไว้อยู่ตรงนั้นในห้องน้ำจริง ๆ! แต่พี่เสือก็ไม่กล้าหยิบ รวมไปถึงไม่กล้าเปิดประตูออกไปด้วย พี่สาจึงพูดต่ออีกว่า “เร็วเสือ..หยิบให้พี่หน่อย พี่หยิบไม่ถึง ไม่รู้ว่ามันขึ้นไปอยู่บนนั้นได้ยังไง” พี่เสือนั่งกลัวจนตัวสั่นอยู่ในห้องน้ำไม่กล้าออกไปไหน จึงได้โทรไปหาทีมให้รีบมาหานั่นเอง

       เมื่อพี่เสือเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดจบ คนในทีมก็อยากรู้ว่ามีวิกผมในห้องน้ำจริงหรือไม่ จึงเข้าไปหาในห้องน้ำ ปรากฏว่ามีวิกผมวางไว้ตรงตำแหน่งที่พี่เสือเล่าจริง ๆ จนกระทั่งถึงเวลาแยกย้ายปิดไฟกลับ ทุกคนในทีมก็สังเกตว่าในเมื่อไฟปิดหมดแล้ว แต่ทำไมในออฟฟิศยังคงมีแสงสว่างอยู่ ปรากฏว่าจอคอมของพี่สายังเปิดอยู่ พอเห็นแบบนั้นทำให้ทุกคนในทีมต่างรีบแยกย้ายกันกลับบ้านอย่างรวดเร็ว!

       ถัดมาเช้าของอีกวัน พี่เสือยังคงรู้สึกค้างคาใจกับเรื่องเมื่อคืน จึงได้ขอเช็คประวัติการแสกนลายนิ้วมือเข้าออฟฟิศ ปรากฏว่าคนที่แสกนลายนิ้วมือต่อจากพี่เสือเมื่อคืนนั่นก็คือพี่สานั่นเอง! พอเวลาผ่านไปเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ถูกนำไปเล่าต่อกันในออฟฟิศ ทำให้ทุกคนกลัวกันมาก ขนาดที่หัวหน้าสั่งให้ย้ายไปนั่งที่พี่สา เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้หัวหน้ามากขึ้น แต่ก็ไม่มีใครยอมย้าย กระทั่งมีพนักงานน้องใหม่เข้ามา ซึ่งไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงให้น้องใหม่ไปนั่งโต๊ะของพี่สา เวลาผ่านไปไม่กี่วัน พนักงานน้องใหม่ก็มาเล่าให้ฟังว่า “ทำงานยากมาก แต่อาจจะเป็นเพราะเครียดงาน หรืออาจจะยังปรับตัวไม่ได้ แต่คือหนูได้ยินเสียงกระซิบข้าง ๆ หูตลอดว่า ‘ทำตรงนี้สิ...กดตรงนี้สิ’ เหมือนมีคนมาสอนข้าง ๆ หูอยู่ตลอด” จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังมีใครกล้าไปนั่งโต๊ะของพี่สา รวมถึงข้าวของต่าง ๆ ของพี่สาก็ยังคงอยู่ในตู้เก็บของ และวิกผมก็ยังคงอยู่ในตู้เหมือนเดิม..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณนัท ‘โรงพยาบาลหลอน’ l อังคารคลุมโปง X นัท กู้ภัย [ 5 ส.ค.2568 ]

10 ส.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณนัท ‘โรงพยาบาลหลอน’ l อังคารคลุมโปง X นัท กู้ภัย [ 5 ส.ค.2568 ]

‘คุณนัท กู้ภัย’ ได้มาเล่าประสบการณ์สุดสยองที่พบเจอกับตัวในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในคืนนั้นเขาได้พักรักษาอาการป่วย แต่กลับได้ยินเสียงหลอนหูที่จะจำไปตลอดชีวิต รวมถึงเงาดำทมิฬแต่ดวงตากลับสีขาวโพลนอยู่เต็มทางเดิน! เรื่องราวจะจบลงอย่างไร สามารถติดตามไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ดีเจเจ็ม’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง x’ (5 สิงหาคม 2568) คุณคงจินตนาการไม่ออกแน่ว่า หากตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้จะเอาตัวรอดอย่างไร! คุณนัทได้เล่าว่า เหตุการณ์นี้ย้อนเวลาไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ในช่วงที่ไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากการช่วยเหลือตำรวจ เมื่อตื่นขึ้นมาหลังจากหมดสติไป ก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว จากนั้นก็มีพยาบาลเข้ามาตรวจสุขภาพ วัดความดัน และเธอก็ออกไป กระทั่งประมาณสี่ทุ่ม พยาบาลก็เข้ามาเช็คน้ำเกลือ และตรวจดูว่าแผลเป็นอย่างไรบ้าง จากนั้นก็ออกไปอีก เวลาผ่านเลยไปจนตีสาม คุณนัทรู้สึกได้ว่าบรรยากาศในห้องอึมครึมกว่าปกติ และอบอ้าวขึ้นจนรู้สึกได้อย่างชัดเจน ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกำลังเดินเข้ามาที่ห้อง เสียงนั้นไม่ได้ดังเหมือนคนที่เดินปกติ แต่ราวกับว่ากำลังลากขามา.. เสียงลากขาดัง ‘ครืดดด ครืดดด’ สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของคุณนัท หยุดไปไม่ได้นาน เสียง ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’ ก็ดังขึ้น! ขณะนั้นสภาพร่างกายของคุณนัทยังไม่เต็มร้อย มีอาการอ่อนเพลียและลืมตาได้ไม่เต็มที่ แต่สิ่งที่คุณนัทเห็นคือวิญญาณพยาบาลหญิงที่ไม่มีหัว เธอกำลังเข็นรถอุปกรณ์เข้ามาหา เข็นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งหยุดที่ข้างเตียงของเขา! เธอทำทุกอย่างเหมือนที่พยาบาลคนอื่นทำ แต่คุณนัทก็แน่ใจแล้วว่า พยาบาลหญิงคนนี้คงไม่ใช่คนเขาจึงเลือกเบือนหน้าหนีไปทางซ้าย แล้วเขาก็พบว่าศีรษะของเธอได้วางอยู่ที่ข้าง ๆ เตียง! คุณนัทตกใจมากรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และเธอก็เอื้อมมือเข้ามาจับพร้อมกับพูดว่า “คนไข้จะทำอะไร ยังไม่หายดีเลยนะ” แต่คุณนัทก็ไม่รอช้าที่จะกระชากสายน้ำเกลือ แล้วรีบวิ่งออกไปทันที! แต่หลังจากที่วิ่งออกไปก็พบว่าไฟทางเดินทั้งชั้นนั้นมืดสนิท ไม่มีแสงสว่างใด ๆ เขาตัดสินใจวิ่งไปตามทางเดินด้วยความกลัว แต่เมื่อวิ่งไปสักพัก ก็เจอกับที่นั่งต่าง ๆ ที่มีไว้ให้ผู้ป่วยนั่ง คุณนัทได้สะดุดกับอะไรบางอย่างเป็นร่างสีดำ ซึ่งก็คือวิญญาณที่อยู่ตรงเก้าอี้ อธิบายให้เห็นภาพง่าย ๆ ว่าหากตรงนั้นมีเก้าอี้ 50 ตัว ก็คงเต็มทั้ง 50 ที่นั่ง นั่งเป็นร่างสีดำทมิฬเต็มทางเดิน! และเหมือนวิญญาณจะรู้ว่าคุณนัทมองเห็น วิญญาณจึงหันมามองด้วยนัยน์ตาสีขาว ไม่มีลูกตาสีดำ หลังจากนั้นภาพของคุณนัทได้ตัดไป พอรู้สึกตัวขึ้นมา ก็ได้รู้ว่าทั้งหมดมันคือความฝัน แต่เป็นความฝันที่เหมือนจริงเหลือเกิน เขาตื่นมาด้วยหวั่นใจว่ามันจะเกิดขึ้นอีก จึงแหงนหน้ามองนาฬิกา อีกแค่ห้านาทีก็จะถึงเวลาตีสามเหมือนกับในความฝันที่ได้ฝันไปก่อนหน้านี้ กระทั่งเวลา 02.59 น. เสียงฝีเท้าสุดสยองนั้นก็ดังขึ้นเหมือนกับในฝัน! เสียงนั้นเดินลากเท้าช้า ๆ มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพัก จากนั้นก็มีเสียงเคาะ ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’ และเมื่อประตูเปิดออกมา วิญญาณผีพยาบาลหัวขาดก็เข็นรถอุปกรณ์ที่มีหัวอยู่บนนั้นมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง! คุณนัทรีบกระชากสายน้ำเกลือออก เธอคว้ามือเขาเอาไว้และพูดว่า “คนไข้จะทำอะไร ยังไม่หายดีเลยนะ” แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ แล้วรีบกระชากตัวออกเพื่อวิ่งหนีทันที! ทางเดินยังคงมืดสนิท แต่เมื่อวิ่งออกมาแล้วก็ไม่สามารถตัดสินใจย้อนกลับได้ คุณนัทเห็นว่าที่แผนกต้อนรับมีวิญญาณพยาบาลยืนอยู่เต็มทางเดิน ทั้งหมดตัวสีดำสนิทแต่มีดวงตาขาวโพลน วิญญาณคงสัมผัสได้ถึงคุณนัทจึงหันมามองพร้อมกัน รอบนี้คุณนัทรู้ตัวว่านี่คือความจริง! เขามีทางเลือกแค่สองทางให้กับตนเอง หนึ่งคือลงบันได สองคือลงลิฟต์ นาทีที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ประตูลิฟต์ก็เปิดส่งเสียงดังขึ้นมา ‘ติ๊ง’ นั่นทำให้คุณนัทตัดสินใจไดว่าจะไปทางบันได เพราะในลิฟต์อัดแน่นไปด้วยผีพยาบาลและคนไข้ คุณนัทรีบวิ่งลงจากบันไดชั้นสี่มาที่ชั้นสาม ทั้งชั้นก็ยังคงปิดไฟมืดสนิท ผ่านจากชั้นสามกำลังจะถึงชั้นสอง ฝีเท้าก็ต้องหยุดชะงักลง เพราะตรงบันไดมีวิญญาณพยาบาล เธอกำลังประคองคนไข้ คุณนัทเลือกที่จะไม่สนใจและวิ่งฝ่าร่างเหล่านั้นไป แม้ในใจจะกลัวมากก็ตาม เมื่อถึงชั้นสอง ไฟที่ชั้นสองสว่างทั้งชั้น มีผู้คนเดินไปเดินมาเต็มไปหมด รวมถึงเจ้าหน้าที่ คุณนัทรู้ว่านี่เป็นคนแน่ ๆ เมื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเห็นว่าคุณนัทลงมาจากบันได ก็ตะโกนขึ้นมาว่า “คนไข้ ขึ้นไปได้ยังไง!” คุณนัทจึงตอบว่า “ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ พอฟื้นขึ้นมาก็อยู่ที่ชั้นสี่แล้ว” พยาบาลจึงบอกว่า “เป็นไปไม่ได้นะคะ ไม่เชื่อคนไข้ก็ลองมองป้ายตรงบันไดดู ชั้นสามและชั้นสี่ ไม่เปิดให้บริการนะคะ” คุณนัททำอะไรไม่ถูกได้แต่สอบถามว่า “มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงขึ้นไปนอนที่ชั้นสี่ได้” และก็ได้ทราบคำตอบว่า ตนไม่ใช่คนแรกที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีคนที่โดนไม่ต่างกัน ต่างกันตรงที่เป็นชั้นสามเท่านั้นเอง และเนื่องจากโรงพยาบาลแห่งนี้เตรียมที่จะย้าย ชั้นสามและชั้นสี่ จึงขนอุปกรณ์และบุคลากรออกไปหมด สุดท้ายคุณนัทก็ไม่ได้พักรักษาตัวที่นี่ต่อ แต่ก็ยังคงได้ยินเรื่องเล่าที่ไม่ต่างจากสิ่งที่เขาเจอเรื่อย ๆ เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าเกิดอะไรที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แม้แต่ตัวคุณนัทเอง..เขียน: อภิธิดา ดุรงค์พันธุ์เรียบเรียง: วันทนีย์ ไชยชาติภาพ: กิตติพงษ์ นาคทอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก บอย ธิติพร 'บ้านท่าน้ำนนท์' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

04 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจาก บอย ธิติพร 'บ้านท่าน้ำนนท์' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณบอย ธิติพร‘ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม‘ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ’บ้านท่าน้ำนนท์‘ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! คุณบอยเล่าว่า ตนได้ไปซื้อบ้านโบราณ เนื่องจากอยากจะสร้างบ้านอยู่กับครอบครัว ไม่ได้ตั้งใจอยากจะทำเป็นร้านอาหารแต่อย่างใด จึงไปบอกกับย่าว่าถ้าหากแถวนี้มีใครขายที่ติดน้ำ ให้บอกตนด้วย ตนจะได้ซื้อไว้ หลังจากนั้น คุณบอยแวะเวียนไปดูบ้านหลายหลัง แต่ก็ยังไม่ได้ตกลงซื้อเสียที จนอยู่มาวันหนึ่ง ย่าก็บอกว่า“ พรุ่งนี้จะมีคนขายบ้าน มาดูหน่อยสิ” ตนก็ถามคุณย่าว่า “บ้านหลังนี้คือบ้านหลังไหน?” ย่าก็บอกว่า “ตรงนี้ไงที่เราไปเล่นตอนเด็ก ๆ” แต่คุณบอยนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก จนกระทั่งคุณย่าพาตนกับน้องชายไปดูก็ต้องตกใจเพราะบ้านเก่ามาก สภาพคือบ้านร้าง ไม่มีคนอยู่ คุณย่าจึงเล่าให้ฟังว่า “บ้านหลังนี้เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องเรา เป็นบ้านที่ดองกับครอบครัวเรา เเต่เขาเสียชีวิตที่บ้านหลังนี้” ในขณะที่กำลังเดินเข้าไปดูบ้านก็เห็นตะขาบตัวเท่าไม้บรรทัดเลื้อยผ่านหน้าตน น้องชายพูดออกมาว่า “เฮ้ยย เก่าขนาดนี้ ยังจะซื้ออีกหรอ” เเต่คุณบอยรู้สึกว่าบ้านหลังนี้สวย มันมีค่ามาก เเต่ตนก็เกิดความลังเลขึ้นว่าจะซื้อดีหรือไม่ เพราะบ้านมันเก่า ตนจึงไปยืนอยู่ตรงกลางระหว่างบ้าน 2 หลังเเละมีต้นไทรย้อยลงมา เเล้วพนมมือพูดเสียงดังออกมาว่า ”เจ้าที่เจ้าทางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บ้านหลังนี้ ลูกมาซื้อเพื่อจะมาสร้างครอบครัวอยู่ที่นี่ ถ้าเมตตาลูก ถ้าอยู่เเล้วทำมาค้าขึ้น ถ้าต้อนรับลูกเเละครอบครัว ขอให้แสดงสัญญาณมาหน่อยว่าต้อนรับเรา“ เมื่อคุณบอยพูดจบก็ลมแรงพัดเข้ามา ทั้ง ๆ บริเวณนั้นมันไม่ควรจะมีลม คุณบอยจึงตัดสินใจซื้อบ้านหลังนั้น หลังจากที่คุณบอยซื้อเสร็จ ก็เตรียมย้ายเข้ามา แต่เจ้าของบ้านก็บอกว่า “น้องบอยไม่ต้องรอกุญเเจจากพี่นะ งัดเข้าไปเลย” คุณบอยจึงงัดเข้าไป แต่ก็เจอสิ่งที่ตนคิดไม่ถึง เเต่ตอนนั้นก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ต่อมาก็ได้เรียกช่างและสถาปนิกมาเพื่อจะรีโนเวทบ้านใหม่ ในคืนวันนั้นคุณบอยได้ตื่นมาเข้าห้องน้ำเวลาประมาณตี 1-2 ที่บ้านของตัวเองอีกหลัง ตนยืนยันว่าไม่ได้ละเมอ มีสติมาก ในขณะที่กำลังจะนอนก็ได้ยินเสียงผู้หญิงพูดว่า “อย่ารื้ออ~ อย่ารื้ออ~” คุณบอยจึงได้ยกมือไหว้เเละพูดว่า “พรุ่งนี้ค่อยคุยกันนะคะ ง่วง” ในตอนเช้าคุณบอยก็รีบขับรถไปหาย่าเเล้วเล่าเหตุการณ์ที่ตนเจอเมื่อคืน เเล้วคุณย่าก็ตอบกลับว่า “คงเป็นเเม่ตะเคียนของบ้านนั้นแหละ” คุณบอยตกใจเเละตอบกลับคุณย่าไปว่า “ทำไมไม่เล่าให้ฟังเลยล่ะ“ คุณย่าตอบกลับว่า ”ถ้าชั้นเล่า กลัวแกไม่ซื้อ“ นอกจากนี้เ ยังทราบจากคุณย่าอีกว่าบ้านหลังนี้ประกาศขายมา 10 ปีแล้ว แต่ไม่มีใครซื้อ เเล้วคุณย่าก็ได้พาคุณบอยขึ้นไปชั้น 2 เเล้วจุดธูปไหว้ นั่นทำให้คุณบอยทราบว่ามีเสาตะเคียนอยู่ในบ้าน จึงไหว้และอธิษฐานว่า ”เเม่ตะเคียนคะ ถ้าไม่ให้หนูรื้อบ้านหลังนี้ เเล้วจะเก็บไว้ไปทำอะไร“ ในคืนนั้น คุณบอยฝันเห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยเดินไปเดินมาในบ้านเเละบ้านสวยมาก มีคนเสิร์ฟอาหาร มีโต๊ะวางเรียงที่ริมน้ำ เมื่อตื่นมาก็รีบบอกกับครอบครัวว่าให้เปิดร้านอาหาร คุณบอยจึงต้องหาช่างมาทำแต่ติดต่อช่างก็ไม่มีใครรับทำ จนมาถึงคนที่ 9 เขาก็ทำให้ได้ และต้องรอประมาณ 9-10 เดือน เพราะเขาติดทำบ้านอยู่ เเต่เขามีเพื่อนที่เป็นช่างอีกคนก็ จึงให้เขาติดต่อคุณบอยกลับไป ผ่านไปประมาณเกือบชั่วโมงก็มีการติดต่อมา บอกว่าเป็นเพื่อนของช่างคนนั้น เขาอยากจะไปดูบ้านก่อนว่าอยากจะให้ทำอะไรบ้าง คุณบอยก็ได้นัดกับช่างให้มาดูบ้านเวลา 4 โมงเย็น เมื่อช่างมาถึงบ้านก็พูดกับคุณบอยว่า “โห พี่ให้ผมไปทำเเล้วผมจะทำยังไง พี่หาช่างอื่นเหอะเพราะว่ามันยาก บ้านพี่ดีหมดเลย” คุณบอยก็ตอบกลับว่า “คุณบอกว่ามันยาก มันสวย เเล้วคุณจะไม่ช่วยผมทำหรอ” ช่างก็ตอบกลับว่า “ผมก็อยากทำพี่ แต่ผมมีงานสร้างเเละรับเขาไว้ ว่างอีกทีกลางปีเลย” คุณบอยขอร้องให้ช่างช่วย เเต่ช่างก็บอกกลับมาว่าจะถามเพื่อนอีกคนให้ วันต่อมาเวลา 8 โมงเช้า ช่างคนเมื่อวานที่มาดูบ้านโทรกลับมาเเล้วบอกว่าจะรับทำบ้านคุณบอย ตนจึงตอบกลับว่า ”ไหนบอกติดงาน แล้วทำไมมาทำล่ะ?“ ช่างก็ตอบกลับว่า ”ก็เมื่อคืนอ่ะ มีผู้หญิงใส่ชุดไทยสีทอง มาอยู่ที่ปลายเท้าเเล้วบอกว่าให้ช่วยมาทำบ้านให้ชั้นหน่อย“ หลังจากนั้นก็เจรจาราคากันจนเสร็จแล้วช่างก็เริ่มทำงาน.. อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่คุณบอยกำลังเข้าห้องน้ำ ก็มีเสียงดัง “โอ้วว! เอ๊อออ!” มาจากบ้าน ตนก็ตกใจเพราะกลัวว่าจะมีอุบัติเหตุหรือเกิดอะไรขึ้นกับช่าง จึงรีบออกมาเเล้วถามว่า “เกิดไรขึ้น ใครเป็นไร” ช่างก็ตอบกลับมาว่า “พี่ ผมถูกหวย!“ เเละได้เล่าว่า ”ผมกับแฟนนอนพักกลางวันอยู่บน ผมฝันเห็นบนเพดานบ้านพี่เป็นเลข 307“ แต่บ้านหลังนี้มันเลข 370 ในระหว่างที่คุณบอยกับช่างกำลังคุยกันอยู่ก็มีคนโทรหาเเล้วพูดว่า ”เฮ้ยย มึงก็ได้หลายหมื่นนะ มึงถูกเหมือนกัน” คุณบอยก็ตอบกลับไปว่า “จะถูกได้ไง เลขบ้านกู 370” เเล้วเขาก็ตอบกลับว่า “เปล่า มึงพิมพ์ไลน์ให้กูอะ 307” ตั้งเเต่อยู่บ้านนี้มาก็มีเรื่องที่คุณบอยนึกไม่ถึงเยอะ อย่างเช่น ในขณะที่เสิร์ฟอาหารลูกค้า ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมีทรงคล้ายกับแม่หมอ เขามากับสามีเเล้วถามตนว่า “คุณบอยคะ ข้างบนเขามีปาร์ตี้ชุดไทยกันหรอคะ” ตนก็บอก “ไม่นะคะ ไม่มีอะไร” เขาก็บอกว่า “เดี๋ยวพี่ลงมานะ คุณบอยยืนรอตรงนี้” จากนั้นเขาก็หายไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง สามีเขาก็บอกคุณบอยว่า “พี่บอยไปทำอะไรก็ไปเถอะ ภรรยาผมเสร็จเเล้วเดี๋ยวผมเรียก” สักพักหนึ่งเขาก็เดินลงมา เเล้วบอกว่า “พี่ไปคุยกับผู้หญิงชุดไทย เขาขอบคุณบอยมากเลยนะที่ไม่รื้อบ้านเขา จากนี้ไปจะให้โชคคุณบอย“ เมื่อคุณบอยได้ทราบเช่นนั้นก็ตกใจว่าเขารู้เรื่องรื้อบ้านได้อย่างไร เพราะไม่เคยคุยกับเขาเเละไม่ได้ออกสื่อ เเต่ตนก็ไม่เชื่อเเละไม่ได้คิดอะไรมาก ต่อมาก็มีรายการของ “อาจารย์พรหมญาณ” เข้ามาติดต่อถ่ายทำรายการที่บ้านของคุณบอย นัดเจอกันเวลาบ่ายโมงที่บ้าน สักพักหนึ่งอาจารย์ก็เดินเข้ามาเเตะไหล่ ตนจึงตกใจเเละถามกลับไปว่า “อาจารย์มาบ้านบอยถูกได้ยังไง อาจารย์รู้ได้ไงว่าบ้านบอยอยู่นี่” ปกติแล้ว หากมาที่บ้านหลังนี้ ต้องจอดรถอีกที่หนึ่งเเล้วเดินเข้าซอยมาถึงจะเจอบ้าน อาจารย์ก็ตอบกลับมาว่า “ผมจะไม่รู้ได้ยังไง ผมขับรถเข้ามาในซอยบ้านคุณเเสงสีทองพุ่งถึงฟ้าเลย” จากนั้นก็เริ่มถ่ายรายการ อาจารย์ก็ได้บอกกับคุณบอยอีกว่า “เลขที่เดิมของบ้านหลังนี้คือ 103 บ้านหลังนี้ญาติพี่น้องตีกันมีราหู มีสิ่งลี้ลับเเละบ้านหลังนี้มีคาถาบังบดที่อยู่กับ 103 เเล้วเทศบาลนนทบุรีรื้อระบบออกเลขบ้านให้เลขบ้านใหม่ เลยทำให้คาถาบังบดหายไปหมด ตอนนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขายืนรอบเรา เขาโอบรับคุณบอยมากเลยนะ“ เเล้วก็ไปนั่งคุยกันต่อชั้น 2 ก็ถามว่า “คุณบอย หลังตู้ตรงนั้น มันมีอะไรอยู่หรอครับ” คุณบอยจึงตอบว่า “มันเป็นกองขยะ ยังรื้อไม่หมดเลย เพราะบ้านมันร้างมาอยู่หลายปี” อาจารย์บอกว่า “ผมขอไปรื้อได้มั้ย” แล้วอาจารย์ก็เดินไปหยิบกระดาษเป็นตาราง 9 ช่อง เเล้วพูดว่า “นี่คือดวงบ้านหลังนี้ ที่ผูกเอาไว้ ให้บูชาเเละเก็บเอาไว้” หลังจากนั้น คุณบอยก็ได้เอาใส่กรอบไม้ เเล้วเอาไปติดที่เสาหลักของบ้าน ครั้งแรกตอกตะปูเเล้วตอกไม่เข้า จึงยกมือไหว้ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าขอติดตรงนี้ พอตอกอีกครั้งรอบนี้ตอกเข้า อาจารย์ก็บอกอีกว่า “บ้านหลังนี้ทุกเสาเป็นไม้มะเคียนทั้งหมด เเละลงอาคมหมดทุกเสา คนที่อยู่ข้างบนไม่ได้มีเเค่เเม่ตะเคียนเงินตะเคียนทอง มีพ่อแก่แม่แก่ มีเจ้าที่เจ้าทาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์เต็มไปหมดในบ้านหลังนี้” ต่อมา เวลาลูกค้ามาทานอาหารก็เจออยู่เรื่อย ๆ มีอยู่วันหนึ่งลูกค้าผู้ชายบอกกับคุณบอยว่า “เมื่อกี้ผมขึ้นไปห้องข้างบน เจ้าของห้องเขาบอกว่าเบื่อเพลงลูกกรุงละ ช่วยเปลี่ยนเป็นเพลงไทยเดิมให้หน่อย” ที่ร้านจึงต้องสร้างห้องแม่ตะเคียน ซึ่งห้องนั้นเวลาลูกค้ามาก็จะขอไปไหว้ ในช่วงเปิดร้านใหม่ ๆ ได้มี “ครูอ้อย ฐิตินาถ” กับ “พี่กาละแมร์” ได้มาทานข้าวที่ร้านเเล้วพูดในสิ่งที่ทำให้คุณบอยขนลุกว่า “น้องบอยครูเชื่อในเรื่องของเจ้ากรรมนายเวร บ้านหลังนี้เขาเลือกคุณบอยนะ เเละครูเชื่อว่าคุณบอยเคยเป็นอะไรในรั้วในวังถึงจะต้องได้มาอยู่บ้านหลังนี้” ตนก็ได้เเต่ตอบกลับไปว่า “ครับ เจ้าของบ้านท่านแรกเป็นข้าราชบริพารในรัชกาลที่ 6 ในขณะเดียวกันต้นตระกูลฝั่งคุณย่าพี่บอยเป็นเเม่ครัวในวัง ร.6” นอกจากนี้ ยังมีแม่หมอคนหนึ่งเดินมาหาบอกคุณบอยว่า “คุณบอยคะ รู้ไหมว่าซุ้มประตูนี้มันมีมนต์แคล้วคลาด ใครโดนของให้เดินเข้าเดินออกมันจะเเคล้วคลาด” มีอยู่วันหนึ่งก็ได้ลูกค้าเข้ามาจองโต๊ะที่ร้านประมาณ 10 คน ลูกค้าได้ชวนหมอดูมาดูดวงโดยใช้ห้องประชุมของร้านคุณบอย ซึ่งข้างบนเป็นห้องเเม่ตะเคียน เวลาล่วงเลยจนดึก ก็ยังดูดวงไม่เสร็จ จึงตั้งใจจะไปดูต่อที่โรงเเรมเพราะหมอดูเกรงใจคุณบอย แต่ก็ได้พูดว่า “ยังกลับไม่ได้ ต้องดูให้คุณบอยก่อน” คุณบอยก็รู้สึกงง เพราะไม่เคยรู้จักกันเเล้วก็ไม่ได้เป็นลูกค้าที่ให้ดูดวงด้วย หมอดูคนนั้นได้พูดกับตนว่า “พอดีคนข้างบนเขาฝากมาสื่อสารกับคุณบอยว่า แม่ตะเคียนขอบคุณคุณบอยนะที่ถวายข้าว ถวายน้ำให้ทุกวัน จนเขามีญาณเยอะ รอบ ๆ บ้านสัมภเวสีเยอะมาก โดยเฉพาะคนที่ตกน้ำตายหรือวิญญาณเร่ร่อนริมน้ำ ทุกวันพระเป็นไปได้มั้ยให้คุณบอยถวายข้าวให้เขากินด้วย ถ้าทำคุณบอยจะเจริญรุ่งเรือง และข้าง ๆ ริมน้ำของร้านมีต้นมะเดื่อชุมพรกับต้นก้านเหลืองอยู่ 2 ที่นั้นน่ะ มีนางฟ้าอยู่ด้วยนะ คุณบอยอย่าลืมไปถวายอาหารเขาบ้างนะ ทุกวันนี้เขาดูเเลริมน้ำทั้งหมดไม่ให้ใครมาวุ่นวาย“ เเละได้บอกอีกว่า ”ช่วงนี้คุณบอยดูไม่ปกติ ดูกังวล ดูชีวิตมีปัญหา ให้พี่บอยไปหาเเม่ตะเคียนข้างบน นั่งสมาธิเเละสื่อสารกับเเม่ตะเคียนว่าอยากให้ช่วยอะไร เขาอยากช่วยเเต่ไม่รู้ว่าคุณบอยต้องการอะไร” เมื่อคุณบอยทราบเช่นนั้นก็ตกใจว่ารู้ได้อย่างไรว่าตนถวายเเม่ตะเคียนทุกวันเเละทราบได้อย่างไรว่าชีวิตมีปัญหา เพราะตนเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งมันเป็นเรื่องส่วนตัวเเละเราก็ไม่ได้รู้จักกัน เเละได้บอกอีกว่า “ตอนนี้เรื่องร้านไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเเม่จะเรียกคนให้ ขอให้บอยรักษาตัวเองเเล้วทำให้ทุกอย่างกลับมา เพราะเเม่เป็นห่วง…”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากครูตรี ‘ห้องนั้น...ยังมีคนอยู่’ l อังคารคลุมโปง X ครูตรีมีเรื่องเล่า [ 24 มิ.ย.2568 ]

10 ก.ค. 2025

เรื่องเล่าจากครูตรี ‘ห้องนั้น...ยังมีคนอยู่’ l อังคารคลุมโปง X ครูตรีมีเรื่องเล่า [ 24 มิ.ย.2568 ]

‘ครูตรีมีเรื่องเล่า’ ได้เข้ามาเล่าเรื่องราวสุดหลอนของ ‘เกด’ นักเรียนตัวแทนแข่งขันวิชาการ ที่ต้องไปแข่งขันต่างจังหวัด นำไปสู่การค้างคืนจนเจอดี เพราะห้องนี้มี…อยู่ด้วย!! เกดจะต้องเจอกับอะไร? สามารถติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (24 มิถุนายน 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ห้องนั้น…ยังมีคนอยู่’ ย้อนกลับไปในสมัยที่ครูตรีพึ่งจะได้เป็นครูใหม่ ๆ มีนักเรียนคนหนึ่ง เธอชื่อ ‘เกด’ เป็นเด็กนักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กที่ไม่มีทุน หากต้องการทุนหรือสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนต้องไปทำการแข่งขัน เช่น การแข่งขันวิชาการหรืองานประดิษฐ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเกดต้องไปแข่งขันวิชาการระดับจังหวัด โดยจะมีการเดินทางข้ามจังหวัด โรงเรียนมีให้ 2 ทางเลือกคือ 1. ไปค้างคืน แต่ต้องนอนค้างที่โรงแรม 2. ไป-กลับ แต่ต้องมาถึงโรงเรียนเวลาตีสามครึ่ง ในสมัยนั้น การเดินทางไป-กลับเป็นเรื่องที่ยากลำบาก จึงเลือกทางที่หนึ่งและให้โรงเรียนเจ้าภาพจัดหาที่พักให้ ทางโรงเรียนเจ้าภาพจึงจัดห้องไว้ให้ 6 ห้อง คือห้องชั้นประถมศึกษาปีที่ 1- 6 เผื่อโรงเรียนอื่น ๆ จะมาพักด้วย ทีมจากโรงเรียนเกดมีทั้งหมด 5 คน เป็นคุณครู 2 คน และนักเรียน 3 คน เมื่อถึงวันที่ต้องเดินทาง ก็มีรถตู้สภาพค่อนข้างเก่ามารับ ขณะเดินทางเกิดฝนตกหนัก รถตู้หลังคารั่วทำให้นักเรียนต้องย้ายไปนั่งกันเป็นกระจุก เมื่อรถเลี้ยวเข้าตัวอำเภอก็ได้แวะร้านสะดวกซื้อให้นักเรียนลงไปซื้อของ ช่วงนั้นฝนตกปรอย ๆ จึงมีเพียงเกดคนเดียวเท่านั้นที่ลงไปซื้อ ผ่านไปไม่นาน ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักทำให้เกดต้องวิ่งฝ่าฝนขึ้นรถ จนตัวเปียกชุ่มอยู่นานนับชั่วโมงกว่าจะถึงโรงเรียน เมื่อถึงโรงเรียนก็รีบไปลงทะเบียนรับห้องพักเพื่อที่จะได้รีบเปลี่ยนชุด ซึ่งเกดได้เป็นห้องชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และในช่วงนั้นตรงกับวันหยุดปิดเทอมจึงไม่มีนักเรียนคนอื่นนอกจากเด็กที่มาแข่งขัน บรรยากาศในห้องนี้มีกลิ่นอับจากเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ชื้นจากฝนตก รอบ ๆ มีฝุ่นเขรอะเนื่องจากเป็นช่วงปิดภาคเรียน ทำให้ไม่มีนักเรียนเข้ามาใช้งาน และไม่ได้ทำความสะอาด เมื่อเดินเข้าไปก็เจอที่นอน ซึ่งเป็นฟูกเบาะสีเขียวเรียงอยู่หน้ากระดานดำทั้งหมด 5 อัน จากนั้น นักเรียนและคุณครูก็เอาของไปเก็บประจำที่ และปล่อยให้พักผ่อนตามอัธยาศัย โดยตกลงกันว่าจะเจอกันอีกครั้งเวลา 16.00 น. เพื่อไปเดินดูสถานที่จริงในการแข่งขันของวันพรุ่งนี้ เมื่อถึงเวลา 16.00 น. ทุกคนเดินไปดูสถานที่ โดยห้องที่ใช้สอบวิชาการจะต้องเดินข้ามสนามไป ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตึกห้องพัก เมื่อทราบห้องแข่งแล้ว เกดก็เกิดอาการปวดหัว เริ่มมีไข้ อาจเป็นเพราะตากฝนแล้วตากแอร์เป็นเวลานาน ครูจึงให้กลับไปพักผ่อนก่อน ส่วนอีก 3 คนยังคงไปกับครูเพื่อดูสถานที่ต่อ ระหว่างที่เกดเดินทางกลับห้องพักนั้น เกดเห็นลุงคนหนึ่งคล้ายภารโรงกำลังหาของอยู่ในห้องเก็บของขนาดใหญ่ของโรงเรียน จึงจะเข้าไปช่วยหาแต่เกิดอาการปวดหัวเสียก่อน ทำให้เปลี่ยนใจไม่เข้าไป เวลาล่วงเลยไปถึงเวลา 17.00 น. ฟ้ายังไม่มืด เกดจึงไม่ได้เปิดไฟและนอนหลับไป ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงแว่วว่า “หนูหนาว” เกดพยายามบอกตัวเองว่าไม่มีอะไร สักพักก็มีเสียงแว่วอีกรอบว่า “หนูหนาว” เกดยังไม่ปักใจเชื่อ จากนั้นก็มีเสียง ครืดด ครืดด เป็นเสียงลากเก้าอี้เข้ามาใกล้กระดานดำ ซึ่งเป็นบริเวณที่เกดนอนอยู่ เธอจึงตัดสินใจลืมตา ปรากฏว่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประจวบเหมาะกับช่วงเวลานั้นมีเพื่อนโรงเรียนอื่นเข้ามาพักห้องข้าง ๆ พอดี เกดคิดในแง่ดีว่าอาจจะเป็นเสียงจากห้องข้าง ๆ จึงพลิกตัวนอนหงายและหลับต่อ เวลาล่วงเลยไปนานจนกระทั่งเกดรู้สึกว่ามีน้ำเย็น ๆ หยดลงบนใบหน้า แต่ก็คิดว่าฝ้ารั่วจึงขยับที่นอน ทันใดนั้นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อลืมตากลับเห็นเป็นผู้ชายหน้าบวม ตาแดง ยืนก้มหน้าลงมาจ้องอยู่ น้ำที่หยดใส่หน้าก็เป็นน้ำจากผู้ชายคนนี้ เกดพยายามขยับตัวก็ทำไม่ได้ จะกรี๊ดก็ไม่ได้ จึงพยายามเกร็งและหันหน้าหลบ แต่ก็พบเข้ากับต้นตอเจ้าของเสียง “หนูหนาว” เป็นเด็กผู้ชายยืนอยู่ข้าง ๆ ลักษณะบวมน้ำไม่ต่างจากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า! โชคดีที่จู่ ๆ ก็มีเสียงเปิดประตู-เปิดไฟ ซึ่งเป็นคุณครูและเพื่อนกลับมาพอดี ทำให้ทั้ง 2 ร่างนี้หายไป เกดตั้งสติได้ก็โผเข้ากอดครูทันที เธอร้องไห้และเล่าเรื่องที่เจอให้ฟัง ครูก็เชื่อทุกอย่าง จึงสั่งให้เกดไปนั่งรวมตัวกับเพื่อนและครูจะไปหาคำตอบให้ ครูไปถามทุกคนที่พอจะเกี่ยวข้อง ตั้งแต่คุณครูโรงเรียนนี้ ป้าแม่บ้าน ภารโรง ฯลฯ เขากลับตอบว่าไม่เคยมีใครเจอเรื่องนี้ในโรงเรียน จะเป็นไปได้มั๊ยที่นักเรียนป่วยจึงคิดไปเอง ครูจึงไม่กล้าเถียงต่อ และปล่อยเหตุการณ์ครั้งนี้ไป เช้าวันแข่งขันวิชาการ ตามกำหนดการหากชนะจะมีการมอบรางวัลเวลา 15.30 น. แต่ผลกลายเป็นทุกคนตกรอบแรก สามารถกลับบ้านได้ ครูจึงประสานรถตู้โรงเรียนให้มารับแต่รถกลับไม่ว่าง ต้องรอให้ถึงเวลาที่กำหนด ระหว่างรอมีโรงเรียนที่เป็นทางผ่าน ครูจึงขออนุญาตเขาติดรถกลับไปด้วย เขาตอบตกลง ระหว่างนั่งบนรถก็พูดคุยว่าการแข่งขันพลาดตรงไหน จนเข้าสู่เรื่องเมื่อคืน.. “เมื่อวานนี้ลูกศิษย์ของหนูถูกผีหลอก” ครูเล่าเรื่องให้อีกโรงเรียนฟัง ปรากฏว่ามีครูคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “น่าจะเป็นยิ่ง” ทุกคนทำหน้าสงสัย ครูจึงบอกว่าเคยอยู่ที่นี่มาก่อนจะแต่งงานและย้ายไป เรื่องเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2554 จังหวัดนี้เป็นจังหวัดที่น้ำท่วมสูงมิดหลังคา ในปีนั้นน้ำไหลเร็วมาก ‘ยิ่ง’ คือเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนนี้ ช่วงนั้นปิดเทอมมีการดูแลโรงเรียนเป็นเรื่องปกติ ยิ่งจึงพาลูกมาด้วย ลูกก็วิ่งเล่นตามประสาเด็ก แต่เมื่อน้ำมายิ่งออกตามหาลูกเพื่อที่จะพากลับบ้าน แต่กลับหาไม่เจอ จากนั้นทุกคนก็อพยพกันไปหมด หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบไปจนน้ำลดและเมื่อมีการเข้ามาเคลียร์พื้นที่ก็พบศพของยิ่งและลูกอยู่ในห้องชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หรือห้องพักของเกดนั่นเอง ความจริงที่ห้องนั้นอับและชื้นเป็นเพราะห้องตรงนั้นไม่ได้มีการเปิดใช้งาน เนื่องจากอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถใช้งานได้แล้ว คุณครูไม่พูดจบแค่นี้ ยังพูดขึ้นมาว่า “ดีนะ ไม่เจอลุงชัด” ทุกคนบนรถสงสัยว่าคือใคร ? ‘ลุงชัด’ เป็นพ่อของยิ่งซึ่งเป็นภารโรงของโรงเรียนนี้ หลังจากยิ่งและหลานตาย เขาก็ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า ทำงานได้ระยะหนึ่งก็ลาออกไป ก่อนลาออกได้มีการตามหากรอบรูปที่มี ลุงชัด ยิ่งและลูก ที่ถูกถ่ายในวันพ่อ ภาพนี้หายไปช่วงน้ำท่วม นอกจากนี้ พวกโต๊ะเก้าอี้ที่ผุพังจากน้ำท่วมจะถูกรวมไว้ในห้องเก็บของขนาดใหญ่ทั้งหมด ลุงชัดจะมาค้นหาภาพทุกวัน ทุกคนก็เข้าใจได้ เพราะนั่นอาจเป็นสิ่งเดียวที่พอจะทำให้ยิ่งและหลานยังอยู่ในความทรงจำของลุงชัด วันหนึ่งในช่วงปิดเทอม ครูเวรเดินตรวจโรงเรียนก็พบว่าลุงชัดนอนเสียชีวิตอยู่ในห้องเก็บของด้วยโรคประจำตัว สภาพขึ้นอืดเนื่องจากเสียชีวิตไปหลายวัน หลังจากเคลียร์เรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่โรงเรียนต้องเจอคือไม่ว่าใครที่กลับเย็น-ค่ำ จะพบกับลุงภารโรงเดินไปมาเหมือนหาอะไรบางอย่าง ครั้งหนึ่งเคยมีเหตุการณ์เด็กลืมการบ้านไว้จึงกลับมาเอาในตอนเย็น แต่ห้องดันปิดแล้ว เดินลงมาเจอกับลุงภารโรงจึงวิ่งไปขอให้เปิดห้องให้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือลุงภารโรงหันมาพร้อมกับใบหน้าที่เละ เด็กช็อคร้องไห้วิ่งกลับไปหาพ่อ จนไข้ขึ้น ไม่นานก็ลาออกจากโรงเรียนไป หลังจากนั้นช่วงเย็นก็จะไม่มีใครเดินไปแถวห้องเก็บของเลย เกดจึงบอกว่า “จริง ๆ หนูก็เจอเหมือนกัน ดีที่ปวดหัวจึงไม่เดินเข้าไปทัก” หลังจากนั้นเวลาเกดไปแข่งขันวิชาการจะเลือกการแข่งแบบไปเช้าเย็นกลับเสมอ ไม่ค้างคืนที่โรงเรียนไหนอีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากสาวแอน The Ghost 'คุณค่าเเห่งความตาย' l อังคารคลุมโปง X เจน-สาวแอน The Ghost [ 26 ส.ค.2568 ]

06 ก.ย. 2025

เรื่องเล่าจากสาวแอน The Ghost 'คุณค่าเเห่งความตาย' l อังคารคลุมโปง X เจน-สาวแอน The Ghost [ 26 ส.ค.2568 ]

เรื่องเล่าที่ทำให้บางคนถึงกับเสียน้ำตา เมื่อภรรยาแอบไปคบชู้นอกใจกับลูกพี่ลูกน้องของสามี จนในที่สุดก็หย่าร้างกัน ภรรยาสานสัมพันธ์กับชู้ต่อแต่ก็ไม่ราบรื่น จนเกิดเรื่องราวบานปลายกลายเป็นภรรยาตั้งท้องกับสามีที่หย่ากันไป รัก 3 เศร้า และ 1 ชีวิตของเด็กที่บริสุทธิ์จะจบลงอย่างไร? ติดตามได้กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘คุณค่าของความตาย’ จาก ‘คุณไอซ์’ โดยมี ‘สาวแอน The Ghost’ เป็นผู้ถ่ายทอด ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X เจน-สาวแอน The Ghost’ (26 สิงหาคม 2568) พร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว ‘ไอซ์’ มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อ ‘วัฒน์’ ในวันนั้นเขาได้โทรมาร้องไห้ ตัดพ้อว่า “กูไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้ กูอะทนไอมิ้นไม่ไหว” ซึ่ง ‘มิ้น’ เป็นภรรยาเก่าของวัฒน์ที่เลิกกันไปตั้งแต่ 7 เดือนก่อน และวัฒน์ก็มีแฟนใหม่มาเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว ทำให้ไอซ์ไม่เข้าใจว่าทำไมวัฒน์ต้องร้องไห้เสียใจเรื่องมิ้น ในเมื่อก็มีแฟนใหม่ไปแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปลอบใจเพื่อนด้วยประโยคที่ว่า “มึงอยู่ก่อน มึงอย่าพึ่งเป็นอะไร เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะไปหามึงที่บ้าน” หลังจากที่ได้วางสายโทรศัพท์ไป ไอซ์ก็ได้เข้านอน แต่ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะกลิ่นยาเส้นพร้อมกับเสียงผู้ชายที่พูดให้ตื่น เธอรีบลุกขึ้นมาอย่างลุกลี้ลุกลนเพื่อที่จะขับรถ แต่ในระหว่างเดินทางก็มีสายโทรเข้ามาจากเพื่อนอีกคนที่ชื่อว่า ‘บิ๊ก’ “ไอซ์มึงทำใจดี ๆ ไว้นะ ไอวัฒน์ตายแล้ว” ไอซ์ได้ยินดังนั้นก็ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน ทั้ง ๆ ที่เธอก็ได้บอกให้วัฒน์รอก่อน แต่เพื่อนสนิทก็รอไม่ไหว จากนั้นก็ทราบว่าข่าวว่าวัฒน์ตัดสินใจจบชีวิตด้วยการผูกคอตายกับกิ่งไม้ที่ยื่นเข้าไปตรงหน้าต่างบ้านของมิ้นกับ ‘ทอม’ ซึ่งทอมคือลูกพี่ลูกน้องของวัฒน์ และเป็น LGBTQ+ แต่เมื่อ 7 เดือนที่แล้ว วัฒน์ก็ได้รู้ความจริงว่า คนที่เชื่อใจทั้งสองคนแอบเป็นชู้กัน ทางด้านไอซ์เมื่อมาถึงที่หมายแล้ว บิ๊กก็ได้พาไปที่จุดเกิดเหตุแทนที่จะไปวัด เพราะที่นี่ เพื่อน ๆ กำลังตั้งศาลเตี้ย หาคนผิดโดยไม่พึ่งกฏหมาย แต่ทั้งมิ้นและทอมก็ได้หนีไปแล้ว จากนั้นไม่นาน ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาพร้อมกับกลิ่นยาเส้นแล้วพูดว่า “มึงก็บอกมันสิ” และอยู่ดี ๆ น้องที่นั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์หน้าบ้านก็กลิ้งตกรถลงมาด้วยอาการตกใจ สีหน้าเหมือนคนกลัวอะไรสักอย่างจนไม่มีสติต้องรีบวิ่งหนีหายไป เพื่อนที่อยู่ตรงนั้นเมื่อมองไปที่ต้นไม้ที่วัฒน์ผูกคอตายก็วิ่งหายออกไปจากบ้านไม่ต่างกัน และบิ๊กก็วิ่งออกไปด้วย ไอซ์มีแต่ความงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จึงรีบโทรหาบิ๊กให้มารับ และก็ได้ไปถึงวัดในที่สุด ในคืนนั้นทั้งญาติสนิทและผองเพื่อนก็ได้นอนเฝ้าศพที่วัด แต่แล้วน้องที่ชื่อ ‘โรจน์’ ก็ตะโกนโวยวายขึ้นมาดังลั่นก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในโรงครัวของวัด ทุกคนพยายามจับมาถามและคุยให้ใจเย็นลงว่า โรจน์ที่ยังสั่นกลัวอยู่ได้แต่พูดว่า “ผมเห็นพี่วัฒน์ยืนอยู่บนตัวของพี่บิ๊ก แล้วพี่วัฒน์ค่อย ๆ นั่งลงยอง ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เอาตัวเอนไปข้างหลัง จากนั้นก็ฟาดหัวตัวเองมาข้างหน้า เขาทำย้ำ ๆ จนหัวของพี่วัฒน์หลุดออกมากระแทกหน้าพี่บิ๊ก หัวนั้นได้กลิ้งลงมาหยุดอยู่ที่ผม ผมเลยวิ่งหนี” บิ๊กที่ได้ยินแบบนั้นก็คิดว่าอีกคืนเขาคงไม่อยู่แล้ว ในช่วงเย็นวันต่อมา ไอซ์ก็ได้มาอยู่เป็นเพื่อนบิ๊ก ขณะที่บิ๊กอาบน้ำอยู่นั้น ไอซ์ก็นั่งรอข้างนอก แต่กลับได้ยินเสียงดังออกมาจากห้องน้ำว่า “กลัวแล้ว กลัวแล้ว” พร้อมกับเสียงถีบประตูห้องน้ำที่ดังปัง! จนประตูหลุดออกมา บิ๊กที่เปลือยเปล่าทั้งตัว ก็วิ่งออกไปที่ป่ากล้วย กว่าบิ๊กจะสงบสติได้ก็ใช้เวลานาน บิ๊กเล่าให้ไอซ์ฟังว่า ตอนนั้นกำลังใช้สบู่ฟอกหน้าอยู่ ขณะที่หลับตา กำลังใช้มือควานหาขันก็ใช้เวลาสักพักเลยกว่าจะเจอ เขาก็คว้าและตักน้ำราดลงมาที่ใบหน้า แต่จังหวะที่ลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เขาจับกลับไม่ใช่ขัน แต่เป็นปากของวัฒน์! เรียกได้ว่าขันใบนั้นคือหัวของวัฒน์นั่นเอง ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ในระยะประชิด เขาทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากขว้างหัวทิ้ง บิ๊กคิดว่ามันจะจบแค่นั้น เขารีบดึงผ้าขนหนูมาคลุมตัว แต่สิ่งที่เขาหยิบขึ้นมากลายเป็นร่างของวัฒน์ที่กำลังโอบเขาอยู่จากด้านหลัง! สติบิ๊กได้หายไปแล้วมีแต่ความกลัวที่คลืบคลานเข้ามา ในเวลานั้นคิดแค่ว่ายังไงก็ต้องเอาตัวเองออกจากห้องน้ำให้ได้ บิ๊กจึงพยายามดิ้นถีบประตูออกมา หลังจากฟังเรื่องราวจบ ทุกคนก็ได้แต่คุยกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเพื่อนที่ตายไปถึงต้องเล่นงานหนักขนาดนี้ แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลมารองรับได้ เวลาล่วงเลยจนมาถึงวันทำบุญร้อยวัน ในตอนเย็นเพื่อนก็มานั่งสังสรรค์กัน อยู่ ๆ บิ๊กก็พูดขึ้นมาว่า “กูรู้สึกผิดว่ะ กูเป็นเหตุผลที่ทำให้วัฒน์ตายด้วยส่วนหนึ่ง เพราะว่าวันที่เกิดเหตุ กูไปบ้านของทอม ไปส่งมันนี่แหละ กูอยากกินเหล้ากับเพื่อน เลยทิ้งมันไว้ตรงนั้น สายแรกวัฒน์โทรมา ให้กูไปรับมัน สายที่สองโทรมาตัดพ้อว่าอยากตาย ไม่อยากอยู่แล้ว กูก็ปากพล่อยตอบมันไปว่า มึงตายก็ดี มึงจะได้เป็นผีรุ่นพี่ กูจะได้ขอหวยด้วย และที่สำคัญนะ ถ้ามึงตาย มึงมาหลอกกูคนแรกเลย เพราะว่ากูคือเพื่อนรักของมึง” ไอซ์เข้าใจกระจ่างว่าทำไมบิ๊กถึงได้โดนหลอก หลังจากนั้นเวลาผ่านไป 2 ปี ได้มีสายจากมิ้นโทรมาหาไอซ์ เธอได้ถามไปว่า “มึงหายไปไหนมา มึงทำให้เพื่อนกูตาย” มิ้นจึงได้เล่าทุกอย่างให้ฟังว่า.. ในช่วงที่คบกับทอมก็มีทะเลาะกันบ้าง พอมีปากเสียงกัน มิ้นก็เลือกที่จะไปดื่มกับวัฒน์ และมีอะไรกันจนท้อง เมื่อท้องได้ 2 เดือน ทอมก็จับได้ ทั้งสามคนตัดสินใจมาเคลียร์กันที่บ้านของทอมว่าควรจะจัดการยังไงต่อ ทอมยื่นคำขาดกับมิ้นว่า “ถ้าเลือกวัฒน์ ก็ออกจากบ้านกูไป แต่ถ้ามึงเลือกกู ก็ต้องเอาเด็กคนนี้ออก” พอวัฒน์ได้ยิน ก็รู้สึกเศร้ามาก จนทำลายข้าวของ เขาไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายก็ก้มลงกราบมิ้นและทอม พรางอ้อนวอนว่า “เอาลูกกูไว้เถอะ ถ้ามึงไม่อยากเลี้ยงกูเลี้ยงเอง” แม้วัฒน์จะยอมทิ้งศักดิ์ศรีก้มลงกราบแทบเท้า แต่ทอมก็ไม่คิดจะเอาเด็กคนนี้ไว้ ทั้งยังสะใจที่ได้เป็นผู้ชนะ และพามิ้นกลับเข้าไปในบ้าน วัฒน์จึงตะโกนไล่หลังไปว่า “ถ้ามึงจะกำจัดลูกกู กูจะไปรอมันที่อีกโลกหนึ่ง!” นี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่วัฒน์ได้พูดกับมิ้นและทอม เช้าวันต่อมา เมื่อได้เปิดหน้าต่างบ้านเพื่อรับลม ทั้งคู่ก็ได้เห็นว่าวัฒน์ผูกคอตายอยู่ตรงหน้าต่างบ้าน และที่ข้อเท้ายังเขียนชื่อเป็นชื่อจริงของมิ้นกับทอมไว้อีกด้วย ทั้งสองทำอะไรไม่ถูกจึงรีบหนีไปใต้ และมิ้นก็ยังคงเก็บเด็กคนนั้นไว้ เวลาผ่านไปจนมิ้นคลอด และตั้งชื่อว่า ‘น้องโปรแกรม’ ไอซ์ไม่เชื่อว่านี่คือเรื่องจริง มิ้นจึงได้พาน้องโปรแกรมมาพบกับไอซ์ เมื่อไอซ์ได้เห็นเด็กผู้ชายวัย 2 ขวบ ก็เชื่ออย่างสนิทใจว่านี่คือลูกของวัฒน์อย่างแน่นอน ไอซ์โผกอดน้องโปรแกรม ราวกับนี่คือวัฒน์เพื่อนที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ จากนั้นมิ้นก็เล่าให้ฟังอีกว่า หลังจากที่หนีไปใต้ วัฒน์ไม่เคยไปไหนไกล บางทีก็เดินถือหัวไปมา เวลาที่มิ้นสระผม ก็มาช่วยเธอสระผมบ้าง สถานที่ที่จะทำให้นอนได้ ไม่วัดก็เป็นบ้านหมอผี วันหนึ่ง ทอมและมิ้นเจอพระอาจารย์รูปหนึ่ง ทั้งสองได้เรียนวิปัสสนา กรรมฐาน รู้จักบาปบุญ และวันที่เปลี่ยนชีวิตทอมก็มาถึง มิ้นท้องแก่ใกล้คลอด ทอมก็ขับรถไปแต่ระหว่างทางก็มีควายสีดำวิ่งมาตัดหน้ารถ ทอมเลือกที่จะหักพวงมาลัยจนไปชนต้นไม้ ทั้งคู่สลบคาที่ แต่เสียงที่เรียกให้ทอมตื่นขึ้นมาคือเสียงของผู้ชาย บอกให้เขาไปช่วยมิ้น เพราะไฟกำลังโหมรถ ทอมได้สติก็รีบดึงมิ้นออกมา รถพยาบาลขับผ่านมาพอดี และน้องโปรแกรมก็ได้คลอดบนรถคันนั้น ทอมพูดกับอากาศหวังว่ามันจะส่งไปถึงวัฒน์ว่า ‘ขอบคุณนะพี่ที่มาช่วย ถ้าตอนนั้นหนูมีศีลมีธรรมหนูก็คงไม่ทำร้ายเด็กคนนี้ และคงไม่เป็นชู้กับมิ้น ตอนนี้หนูรู้สึกผิดแล้ว หนูยอมตายแทนเด็กคนนี้ด้วย’ หลังจากคลอดน้องโปรแกรมออกมา พระอาจารย์ก็บอกกับมิ้นว่า “ให้เอาหลานไปคืนปู่กับย่า เพราะวัฒน์มาขอไว้ ไม่งั้นปู่กับย่าจะไม่รอด” มิ้นจึงถ่ายรูปน้องโปรแกรมส่งไปให้พ่อแม่ของวัฒน์ และเมื่อพ่อแม่วัฒน์ได้เจอน้องโปรแกรมก็ได้แต่ร้องไห้กอดหลาน เพราะว่านี่คือวัฒน์น้อยของแม่ เด็กคนนี้จะมาทดแทนความโหยหาที่ขาดหายไป จากนั้น พ่อวัฒน์ก็พูดขึ้นมาว่า “แม่มึง ไอที่เราคุยกันไว้ว่า 60 ปี เราอะอยู่ได้ยันร้อยปีเลยนะ” ทั้งมิ้นและทอมก็นำขันธ์ห้ามาไหว้พ่อกับแม่ ทั้งสองคนไม่ได้ด่าทอหรือทุบตี แต่กลับกอดกันแทน นี่ทำให้ไอซ์ตกผลึกได้ว่า การที่เรามีบุญ หรือรักษาศีล มันทำให้เราให้อภัยคนได้ ไอซ์เดินออกมานอกบ้าน พูดเบา ๆ กับเพื่อนสนิทของตนว่า ‘วัฒน์ มึงคิดเหมือนกูมั้ย ว่ามึงไม่ได้ตายฟรี มึงทำให้ไอชั่วสองคนนี้ กลับกลายเป็นคนดี และทำให้ครอบครัวกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ถึงตัวมึงจะตาย แต่คุณค่าของมึงก็ยังคงอยู่ คงถึงเวลาที่มึงจะไปสบายได้แล้ว’ ไม่นานก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินคีบบุหรี่ออกมาจากป่า และพูดกับเธอว่า “มันยังต้องชดใช้กรรมอีก” และเขาก็หายไป พร้อมกับรถตุ๊กตุ๊กที่วิ่งผ่านมา วัฒน์นั่งอยู่บนรถคันนั้นนั้น เขายิ้ม ดูมีความสุข และพยักหน้าให้เหมือนจะขอบคุณ และก็หายไป ไอซ์สะดุ้งเพราะน้องโปรแกรมเข้ามากอดจากข้างหลัง บอกให้ไปกินข้าวได้แล้ว..เขียน: อภิธิดา ดุรงค์พันธุ์เรียบเรียง: วันทนีย์ ไชยชาติภาพ: กิตติพงษ์ นาคทอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1