แม้จะเลิกรากันด้วยดี และเธอก็เสียชีวิตไปแล้ว แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ผูกคุณน็อตกับดวงวิญญาณของแฟนเก่าไว้ด้วยกัน เธอมาหาเขาทุกคืน... แล้วนั่งทับที่หน้าอกของเขา!

อังคารคลุมโปง RECAP

แม้จะเลิกรากันด้วยดี และเธอก็เสียชีวิตไปแล้ว แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ผูกคุณน็อตกับดวงวิญญาณของแฟนเก่าไว้ด้วยกัน เธอมาหาเขาทุกคืน... แล้วนั่งทับที่หน้าอกของเขา!

30 มิ.ย. 2023

       ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับ ‘ดีโซเซฟ’ และ ‘ดีเจมดดำ’ รับหน้าที่ดำเนินรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 มิ.ย. 66) ในครั้งนี้ สำหรับสายแรกของเรามาจากชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่า ‘คุณน็อต’ ซึ่งถูกผีแฟนเก่าตามรังควานไม่เลิกด้วยเหตุผลบางอย่าง ถ้าพร้อมที่จะไป อ่าน-ท้า-ผี กันแล้ว! เชิญย่อหน้าถัดไปเลยจ้า

       เรื่องราวของเราเริ่มต้นขึ้นที่คุณน็อต เขามีแฟนเก่าคนนึงที่คบกันมานาน 3 - 4 ปี หลังจากที่ปลดประจำการจากทหารกองเกณฑ์เขาก็ต้องเลิกรากับเธอไป เป็นเพราะจบความสัมพันธ์ด้วยดี เขากับแฟนเก่าจึงมีการนัดเจอกันอยู่บ้างประปราย แต่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาจู่ ๆ ก็ขาดการติดต่อกับเธอไป คุณน็อตคิดว่าเธอคงไปมีคนใหม่แล้ว อาจจะไม่ได้มีเวลามาคุยกับเขาเหมือนเดิม

       เวลาล่วงเลยไปจนถึงช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ประมาณวันที่ 15 พฤษภาคมพอดี คุณน็อตป่วยหนักมาก ปกติเขาเป็นคนเลิกงานไม่เป็นเวลาอยู่แล้ว คืนนั้นคุณน็อตเลิกงานเกือบ 5 ทุ่ม แล้วกลับมานอนที่ห้องของตัวเอง ขณะที่หลับอยู่ คุณน็อตก็รู้สึกถึงเงาร่างใหญ่สีดำทับมาที่หน้าอกของเขา! ในใจคิดว่าคงไม่มีอะไร เพราะส่วนตัวเป็นคนไม่เชื่อเรื่องอะไรทำนองนี้อยู่แล้ว คิดว่าอาจเป็นอาการที่เกิดจากความเหนื่อยตอนทำงาน พอนอนต่อไปจนถึงเวลาประมาณตี 2-3 คุณน็อตก็รู้สึกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีอาการดิ้น เพราะเริ่มรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนมาบีบคอ! ครั้งนี้คงไม่ได้เหนื่อยหรือว่าละเมอแล้ว พอคุณน็อตตื่นขึ้นในตอนเช้า เขาก็ยังคงรู้สึกถึงความเหนื่อยหอบแบบนี้เหมือนเมื่อคืน และอาการดังกล่าวก็ยังคงเกิดวนไปมาเรื่อย ๆ

       กระทั่งวันหยุดขณะเดินทางกลับบ้านที่นครปฐม เขาก็เห็นแฟนเก่าตัวเองปรากฎอยู่ตามข้างทางอย่างต่อเนื่อง! คุณน็อตคิดว่าตัวเองคงวิตกเรื่องอดีตแฟนคนนี้มากจนเกินไป พอกลับถึงบ้านเวลาประมาณ 1 ทุ่ม ก็มีเงาอันแสนคุ้นเคยมาทับอกของเขาขณะที่หลับอยู่เหมือนเดิม! คุณน็อตเริ่มหายใจไม่ออกและไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนอีก เขาพยายามสวดมนต์จนผล็อยหลับไป..

       เช้าวันต่อมา คุณน็อตตื่นตามปกติแล้วเดินทางกลับไปที่คอนโดของตัวเอง และอย่างที่ผู้อ่านทุกคนน่าจะพอเดาได้...มีเงาปริศนาบางอย่างมาทับตรงอกของเขาอีกครั้ง จนเขาทนไม่ไหว! เช้าวันต่อมา คุณน็อตจึงไปหาหมอ พยายามให้หมอตรวจดูว่าตนเป็นอะไรกันแน่

       คุณน็อตพบว่าตัวเองมีความดันเลือดสูงมาก เหมือนกับคนที่ออกกำลังกายอยู่ตลอดเวลา หมอจึงบอกให้เขาลองนั่งพักก่อนจะตรวจวัดค่าความดันอีกรอบ แต่พอเมื่อตรวจอีกรอบ ความดันก็ยังสูงเหมือนเดิม เมื่อตรวจโควิดดูผลก็ไม่ได้เป็นอะไร สุดท้ายหมอจึงสั่งยาและให้เขากลับคอนโด ก่อนที่จะถึงห้อง คุณน็อตนัดไปกินข้าวกับเพื่อน 3 คน แต่เมื่อไปนั่งที่โต๊ะอาหาร บริกรกลับหยิบช้อนส้อมกับจานแบ่งมาให้พวกเขากับเพื่อนถึง 4  ชุด! จนคุณน็อตและเพื่อนต่างแซวกันว่า “เฮ้ย มึงพาใครมารึเปล่าวะ” เมื่อตกดึก คุณน็อตก็ยังรู้สึกเช่นเดิมว่าเหนื่อยเหมือนมีใครมาทับตัวเขา ไม่ก็ขี่คอของเขา!

       คุณน็อตรู้สึกทรมานมาก จนกระทั่งวันหนึ่งเขานั่งทำงานอยู่ที่ห้องเวลาใกล้เที่ยงคืน อาการแน่นอกนี้ก็กลับมาอีกครั้ง เขาเกือบจะต้องไปโรงพยาบาลอีกรอบ แต่ก็มีเหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจให้คุณน็อตเปิดหน้าเฟสบุ๊คแฟนเก่าของตัวเองขึ้นมา เมื่อเข้าไปในหน้าไทม์ไลน์ เขาถึงกับต้องตกใจ!

       มีข้อความเขียนแสดงความเสียใจจำนวนมากอยู่ที่หน้าไทม์ไลน์ของแฟนเก่าคนนี้! และอีกเรื่องที่แปลกใจก็คือ แฟนเก่าคนนี้ได้บล็อคคุณน็อตไปตอนเลิกกันแล้ว แล้วเขาเข้าหน้าเฟสบุ๊คของเธอได้ยังไง เวลาผ่านไปอีกสักพักใกล้ตีหนึ่ง คุณน็อตก็เริ่มแน่นที่หน้าอกตัวเองอย่างรุนแรงอีกครั้ง แล้วก็มีอะไรบางอย่างดลใจให้เขาไปเปิดหน้าเฟสบุ๊คของแฟนเก่าเขาอีกรอบ... เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า แฟนเก่าของคุณน็อตเสียชีวิตแล้ว! คุณน็อตอึ้งไปพักหนึ่งก่อนที่จะไปเห็นภาพที่โพสต์เป็นด้านหน้าโลงศพของเธอ คุณน็อตจึงพยายามหาวันและเวลาการตายของเธอ ก็ไปเจอว่าเป็นช่วงกลางเดือนพฤษภาคม วันที่ 15 ที่พึ่งผ่านมานี่เอง ซึ่งก็ตรงกับช่วงเวลาครั้งแรกที่เขาเริ่มรู้สึกปวดแน่นที่หน้าอกพอดี!

       ปัง! ทันใดนั้นประตูห้องของเขาก็ปิดลง คุณน็อตตกใจมากเมื่อประตูห้องคอนโดปิดลงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เขาสะดุ้งกระโดดขึ้นเตียงนึกถึงพ่อแม่และยายก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ต่อสายตรงไปหาพวกเขา พวกเขาบอกให้คุณน็อตใจเย็น  ตั้งสติ สวดมนต์และพยายามข่มตาหลับให้ได้ พอถึงช่วงเช้าวันต่อมา เมื่อตื่นขึ้นมาและมีสติมากขึ้น ก็รีบไปทำบุญสังฆทานทันที หลังจากทำเสร็จแล้ว ก็เหมือนได้ยกอะไรออกจากตัว ความเจ็บปวดหรืออาการใด ๆ เหมือนครั้งที่ผ่านมาก็เลือนหายไปทันควัน ตอนนั้นเป็นช่วงเวลา 6.30 น. ของเช้าวันวิสาขบูชา คุณน็อตไปนั่งตรงเจดีย์ที่เขาและแฟนเก่าคนนั้นเคยไปนั่งเล่นด้วยกันในอดีต พอเขานั่งลงก็มีลมแรงวูบใหญ่พัดผ่านใบหน้าของเขาไปชั่วอึดใจ

       เมื่อคุณน็อตนอนหลับในคืนวันนั้น เขาก็ฝันเห็นเธอ... ในความฝันนั้น คุณน็อตยืนอยู่ เห็นแฟนเก่ากำลังขับรถผ่านไป  คุณน็อตเรียกเท่าไหร่ เธอก็ดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะหันมามอง หลังจากเขาตื่นขึ้นมา คุณน็อตก็พยายามติดต่อกับญาติของแฟนเก่าคนนี้ จนรู้ในเวลาต่อมาว่า เธอนั้นเก็บของที่เขาเคยให้ไว้ตลอดเวลาในกล่องส่วนตัวของตน เขาคิดได้ในภายหลังว่าตอนช่วงกลางเดือนพฤษภาคม เธอคงจะมาส่งข่าวเพื่อให้เขารับรู้ว่า “เธอไม่อยู่แล้ว”

       แต่ความรู้สึกส่วนตัวของคุณน็อต เขารู้สึกว่าเป็นการมาส่งข่าวที่แรงมาก คล้ายกับว่าจะให้เขาไปอยู่ด้วยให้ได้ คุณน็อตเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ให้แม่ฟัง แม่คุณน็อตบอกว่าเรื่องนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ คุณน็อตจึงจำเป็นต้องไปหาโอกาสไปทำพิธีตัดกรรมจากกัน เพื่อกันไม่ให้เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นได้อีก เขาบรรยายให้ดีเจฟังว่าเป็นช่วงเวลา 2  สัปดาห์ที่ทรมานมาก

       ดีเจเคเบิ้ลถามคุณน็อตว่าก่อนที่จะเกิดเรื่องราวทั้งหมดนี้ ได้รู้สึกถึงลางบอกเหตุอะไรล่วงหน้ารึเปล่า คุณน็อตตอบกลับไปว่า เขาก็มีความรู้สึกอิดโรยอย่างมากในตอนเช้าก่อนวันที่เกิดเรื่อง ถึงขั้นที่ลูกน้องกับพ่อก็ยังทักว่าเขาไปทำอะไรมา ทำไมถึงโทรมขนาดนี้ นอกจากนี้ แม่คุณน็อตยังอธิบายให้ฟังว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเขานี้ คงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่คนตายกำลังเดินตาม “เก็บรอยเท้า” ของตัวเองในช่วงเจ็ดวันแรกหลังจากที่เสียชีวิต

       เรื่องนี้ทำเอาดีเจทั้งสามคนขนลุกไปตามกัน เป็นการประเดิมค่ำคืนเขย่าขวัญของอังคารคลุมโปงที่ดีทีเดียว!

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่บ้านแฟน เข้าบ้านไม่บอกเจ้าที่ โดนเรียกจนไม่ได้นอน!

20 ม.ค. 2024

ไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่บ้านแฟน เข้าบ้านไม่บอกเจ้าที่ โดนเรียกจนไม่ได้นอน!

เมื่อไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่บ้านเเฟนส่งท้ายปี เเต่ก่อนเข้าบ้านไม่ได้ไหว้บอกเจ้าที่ จนเจอดี นอนไม่ได้ทั้งคืน! เรื่องนี้ ‘คุณแฟร้ง’ ได้นำเรื่องเล่าสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 ธันวาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ต้อนรับปีใหม่’ จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เริ่มเรื่องจากที่คุณแฟร้งไปเที่ยวปีใหม่ที่บ้านแฟนในจังหวัดพิษณุโลก คุณแฟร้งได้เตรียมตัวในวันที่ 31 ธันวาคม ต้นทางคือจังหวัดอยุธยา ระหว่างทางนั้นได้ผ่านอำเภอหนึ่ง ซึ่งอำเภอนี้ห่างจากตัวเมืองประมาณ 100 กิโลเมตร พอเข้าเขตนั้นก็ต้องข้ามเขาไปอีก 1-2 ลูกกว่าจะถึงหมู่บ้าน หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ตามร่องเขา คุณแฟร้งบอกว่า บรรยากาศน่ากลัวใช้ได้ แฟนของคุณแฟร้งให้นามสมมุติว่า ‘คุณบี’ ซึ่งคุณบีรับหน้าที่เป็นคนขับรถ เมื่อเดินทางไปถึงทางขึ้นเขา อยู่ ๆ คุณบีก็บีบแตร และคุณแฟร้งก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ทางขวามือ คุณแฟร้งจึงห้ามคุณบีและพูดว่า “ไปบีบแตรใส่ป้าเขาทำไม ป้าเขาไม่ได้ขวางทางอะไรเรา” จากนั้นคุณแฟร้งก็บ่นอุบไปเรื่อย จนคุณบีตะโกนด่าคุณแฟร้งและบอกว่า “ไม่ได้บีบแตรใส่ป้า แต่บีบแตรให้ศาล” แต่คุณแฟร้งกลับมองไม่เห็นศาลตรงนั้น เมื่อขึ้นเขาจนลงมาสุดแล้วเข้ามาในตัวหมู่บ้าน ในหมู่บ้านนั้นไม่ได้เป็นหมู่บ้านใหญ่ แต่หมู่บ้านจะอยู่ติดกัน และอยู่เขตใต้ตีนเขา เมื่อถึงที่นั่น คุณแฟร้งก็ได้พบกับครอบครัวของคุณบี ซึ่งมีคุณพ่อ คุณแม่ และพี่ชายของคุณบี เมื่อถึงช่วงเย็นก็นั่งสังสรรค์กับเหล่าญาติ จนเวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง คุณแฟร้งก็เตรียมเข้านอนพร้อมกับคุณบี เพราะช่วงเวลานั้นคนในพื้นที่จะเริ่มเข้านอนกันหมด และทุกบ้านไม่มีใครฉลองปีใหม่ คุณแฟร้งก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะในวันสิ้นปีแบบนี้ หลายคนจะต้องสังสรรค์ถึงเที่ยงคืนไม่ก็เช้าตรู่ แต่ที่นี่กลับไม่มีใครเคาท์ดาวน์เลย หลังจากนั้นคุณบีก็บอกให้คุณแฟร้งเข้านอนห้ามเกิน 4-5 ทุ่ม คุณแฟร้งจึงเข้านอนแต่กว่าจะหลับเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึง 4 ทุ่มแล้ว กระทั่งเวลาประมาณเที่ยงคืน คุณแฟร้งได้ยินเสียงพลุ เสียงปืน และเสียงประทัดดังขึ้น ในระหว่างนั้นคุณแฟร้งก็ตื่นและได้ยินเสียงพระสวดมนต์ข้ามปีออกลำโพงกระจายเสียงของหมู่บ้าน คุณแฟร้งไม่คิดอะไรจึงนั่งฟังเพลิน ๆ แต่ในใจกลับรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี และในขณะที่พระสวดอยู่นั้นก็ได้ยินเหมือนไม่ใช่เสียงสวดมนต์ทั่วไป แต่เสียงสวดมนต์นั้นมีภาษาอื่นมาด้วย ตอนนั้นคุณแฟร้งเริ่มเคลิ้ม กึ่งหลับกึ่งตื่น และอยู่ดี ๆ ก็มีชายคนหนึ่งเดินมาหาคุณแฟร้ง ซึ่งตอนนั้นคุณแฟร้งคิดว่าตัวเองฝันแต่ก็รู้สึกตัว แล้วชายคนนั้นก็เดินเข้ามาเรียกและพูดขึ้นว่า “ไป ไปกินเหล้ากันเถอะ มึงอยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ มากับกูนี่ มากินเหล้าเถอะมา”ชายคนนั้นพยายามจะเรียกคุณแฟร้ง ความรู้สึกของคุณแฟร้งตอนนั้นไม่ได้ฝันและรู้สึกตัวทุกอย่าง เขาเดินมาหาและพูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ ว่า “มา มากินเหล้าเถอะ อยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ” และก็ค่อย ๆ เดินเข้ามา คุณแฟร้งจึงตอบไปว่า “ผมไม่ไปหรอกครับ ผมกินมาแล้ว” แต่ชายคนนั้นก็พูดอยู่แต่คำเดิม ๆ จนกระทั่งคุณแฟร้งนึกขึ้นได้ในหัวว่า ‘อ้าว นี่ใครวะ??’ หลังจากนั้นคุณแฟร้งกำลังจะหันไปเรียกคุณบี สรุปว่าตัวแข็งทื่อ พอจะพูดก็ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ พูดได้แค่ในลำคอ คุณแฟร้งรู้สึกได้ว่าตัวเองโดนผีอำเข้าแล้ว! คราวนี้คุณแฟร้งตัดสินใจสวดมนต์ ระหว่างที่สวดอยู่นั้น ผู้ชายคนนั้นก็สวดตามคุณแฟร้ง! และก็พูดว่า “มึงอยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ มากับกูนี่มา” คุณแฟร้งตกใจ รีบตั้งสตินึกถึงบารมีพญาครุฑ บารมีท้าวเวสสุวรรณ บารมีหลวงปู่ทวด หลวงพ่อกวย และหลวงปู่ชิน ขณะที่คุณแฟร้งท่องอยู่นั้น อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองลืมตาขึ้นมา ขณะที่ลืมตาก็เหมือนมีแสงขาว ๆ แว๊บมาแป๊ปนึง แล้วคุณแฟร้งก็สะดุ้งหลุดออกมาได้! เมื่อขยับตัวได้ก็เข้าไปกอดคุณบี แล้วคุณบีก็พูดขึ้นมาว่า “โอเค รู้แล้ว ๆ” หลังจากนั้นคุณบีก็ลุกขึ้นไปจุดธูปไหว้พระ และบอกว่า “วันนี้พาแฟนมานอนด้วย ลูกลืมบอก” คุณแฟร้งเล่าเสริมว่า ปกติแล้วหากไปนอนต่างถิ่น ตนจะไม่ไหว้พระก่อนนอน ไม่บอกกล่าวอะไร เพราะเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผี เวลาผ่านไปจนกระทั่งตี 3 คุณแฟร้งก็นอนไม่หลับยังคงสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น และยังคาใจอยู่ว่าตนกำลังฝันอยู่หรือเป็นเรื่องจริง แต่ความรู้สึกคือรู้สึกตัวทุกอย่าง คราวนี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงเดินบนหลังคาบ้าน ‘กึกกัก กึกกัก กึกกัก’ แล้วก็ได้ยินคำเดิม “ไป ไปกินเหล้ากัน มึงอยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ” คุณแฟร้งรู้สึกขนลุกและเข้าไปกอดแฟนแน่น และนอนไม่หลับจนถึงเช้า หลังจากนั้นก็ไปเล่าให้แม่ของคุณบีฟัง ท่านก็จุดธูปบอกเจ้าที่เจ้าทาง และบอกกับคุณแฟร้งว่าน่าจะเป็นเพราะคุณแฟร้งขึ้นเขามาแล้วไม่ได้ไหว้ศาลตรงที่ผ่านมา เพราะมีทางเข้า-ออกแค่ทางเดียว ต้องข้ามเขาออกเขาทางนั้นและต้องเจอศาลนั้น และนอกจากนี้ศาลนั้นยังเป็นศาลที่ชาวบ้านนับถือกราบไหว้กันทุกวันหรือทุกปี ถือเป็นศาลประจำเขานี้เลยก็ว่าได้ ในวันนั้นเวลาประมาณบ่าย 3 คุณแม่และคุณพ่อของคุณบีก็ให้คุณแฟร้งไปหว่านแหที่ตีนเขา ระหว่างหว่านแหและจับปลา คุณแฟร้งก็ต้องดำน้ำ พอดำลงไปก็เห็นผู้ชายคนนั้นอยู่ในน้ำและมองมาทางคุณแฟร้ง คุณแฟร้งสะดุ้งพุ่งจากน้ำขึ้นมาทันที! ตัดสินใจเลิกหว่านแหแล้วกลับบ้านเข้าสู่คืนที่สอง คุณแฟร้งก็คิดว่าคืนนี้ตัวเองจะเจออีกหรือไม่ เวลาผ่านไปประมาณ 3-4 ทุ่ม คุณแฟร้งก็นอนเวลาเดิม เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีคนมาเรียกว่า “มา ออกมาข้างนอกเถอะ ไปกินเหล้ากัน” นาทีนั้นคุณแฟร้งขนลุกซู่ และลุกมาเปิดโทรศัพท์ ค้นหาคาถาต่าง ๆ จากนั้นก็ท่องบอกกล่าวเจ้าที่ ผ่านไปสักพักประมาณตี 3-4 ก็ได้ยินเสียงบนหลังคาเหมือนเดิม ‘กึกกัก กึกกัก กึกกัก’ แล้วก็มีเสียงพูดขึ้นว่า “ไป ไปกินเหล้ากัน” คุณแฟร้งตกใจไม่รู้จะทำอย่างไรต่อจึงนอนอย่างหวาดผวายันเช้า เช้าวันนั้นคุณแฟร้งเตรียมตัวกลับอยุธยา เมื่อถึงเวลาบ่าย 3 ระหว่างขับรถก็ต้องขึ้นเขาเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง แต่ก่อนจะลงเขา รถของคุณแฟร้งดับไป ซึ่งดับระหว่างทางลงเขา คุณบีจึงจอดรถ คุณแฟร้งเช็คสภาพรถต่าง ๆ ว่ามีอะไรเสียหายหรือไม่ปรากฏว่ารถก็ปกติดี ผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมง คุณแฟร้งจะให้ญาติมารับ แต่อยู่ดี ๆ คุณบีก็ลองสตาร์ทรถจนติด เมื่อขับรถผ่านศาลก็จอดรถ เพราะคุณบีเตรียมเหล้ารวมทั้งสำรับคาวหวานมาไว้แล้ว และเข้าไปไหว้ที่ศาลนั้น ขอขมาว่า “ถ้าทำอะไรผิด ขออภัย ณ ที่นี้ด้วย ขอให้ลูกเดินทางปลอดภัยโดยสวัสดิภาพ” หลังจากนั้นคุณแฟร้งกับคุณบีก็เดินทางกลับได้ปกติ…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปตั้งแคมป์กับเพื่อน งานนี้โดนหลอกตลอดทั้งคืน!

28 เม.ย. 2023

ไปตั้งแคมป์กับเพื่อน งานนี้โดนหลอกตลอดทั้งคืน!

สายตั้งแคมป์รับรองมีขนหัวลุก เพราะสายจาก ‘คุณชิ’ ที่โทรเข้ามาในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (28 มีนาคม 2566) ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเคเบิ้ล’ ฟัง ถึงการพบเจอเจ้าถิ่น.. ถ้าเป็นคนคงจะดีกว่านี้ แต่นี่กลับเป็นสิ่งลี้ลับที่เกินจะคาดเดา! คุณชิเล่าว่า ตัวเองเป็นสายแคมป์ปิ้งและวางแพลนกับเพื่อน ๆ ว่าจะไปเที่ยวจังหวัดทางภาคเหนือกัน ซึ่งตนเองนั้นชอบไปแคมป์ปิ้งในป่าลึกหรือพื้นที่ที่ยังไม่เปิดให้เที่ยว และจะให้คนในพื้นที่เป็นคนนำทาง การไปแคมป์ปิ้งในครั้งนี้ คุณชิและผู้ร่วมเดินทางอีกประมาณ 10 คน ได้ไปยังดอยแห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นภูเขาที่มีความสวยงามและยังเป็นจุดชมวิวซากุระของเมืองไทยอีกด้วย แต่จุดที่คุณชิจะตั้งแคมป์เป็นยอดดอยอีกด้านหนึ่งของภูเขา ซึ่งต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง ซึ่งวันที่คุณชิติดต่อกับคนในพื้นที่ให้มาช่วยนำทาง เขาดันติดธุระ จึงให้ลูกชายของเขาที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ขึ้นมาช่วยนำทางให้แทน เมื่อคณะเดินทางของคุณชิมาถึงจุดตั้งแคมป์จุดแรกซึ่งเป็นยอดดอยที่มองเห็นความสวยงามของทัศนียภาพได้ 360 องศา มีเจดีย์สองยอดซึ่งเป็นจุดชมวิวชื่อดังของภาคเหนือตั้งอยู่บนยอดดอยฝั่งตรงข้าม ด้านซ้ายเป็นทางเดินที่ชิดริมขอบหน้าผาซึ่งเป็นไหล่เขาลงไป ส่วนด้านขวามือเป็นเหมือนดงป่าไม้ทึบ ทั้งหมดจึงตกลงกันว่าจะตั้งแคมป์กันที่ตรงนี้ ถึงแม้ว่าจะมีพื้นที่ไม่ได้กว้างขวางมากมายเท่าไหร่นัก คณะเดินทางเริ่มผูกเต็นท์จับจองที่นอนของตัวเอง โดยเต็นท์สามหลังแรกผูกเรียงกันตรงทางเดินและหันหัวที่นอนไปทางด้านหน้าผา ส่วนที่เหลืออีกสี่เต็นท์จะผูกติดกันตรงกลางเป็นระนาบไปตามแนวของดงป่าทึบ ซึ่งในทริปนี้ มีน้องคนหนึ่งขอผูกเปลนอนกับต้นไม้ใหญ่ ซึ่ง ณ ตอนนั้นน้องที่เป็นคนนำทางก็ขอตัวกลับลงไปยังหมู่บ้านทันทีโดยไม่ได้อยู่ค้างคืนด้วย ในช่วงเย็นหลังจากที่ทุกคนจัดของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว จู่ ๆ น้องผู้หญิงคนหนึ่งในคณะมีอาการแปลก ๆ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายกับพื้นพร้อมกับร้องไห้ คุณชิเห็นดังนั้นจึงคิดว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่ และด้วยความที่เป็นสายมูเตลูจึงนำสร้อยพระเวสสุวรรณของตัวเองนำไปคล้องคอให้กับน้องคนนั้น หลังจากนั้นน้องคนนั้นก็หายจากอาการดิ้นแต่ก็ยังคงร้องไห้อยู่ คุณชิจึงนึกถึงน้ำมนต์ แต่ในตอนนั้นไม่มีใครมีน้ำมนต์ติดตัวมาเลย จึงนำน้ำขวดเทใส่แก้วพร้มอกับสวดคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า แล้วให้น้องคนนั้นจิบน้ำ เมื่อจิบน้ำไปสักพัก น้องก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองและได้เล่าว่าระหว่างที่กำลังผูกเต็นท์ที่หันหน้าไปทางด้านหน้าผา เขาได้ยินเสียงเด็กเรียกชื่อเขา และเผลอขานรับ หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย คุณชิเล่าต่ออีกว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ตนเองจึงนึกย้อนไปว่าก่อนที่จะขึ้นมาบนยอดดอยนี้ คุณชิได้รับข้อมูลมาว่ามีศาลแห่งหนึ่ง ลักษณะเป็นพระธาตุ ที่ชาวบ้านสักการะอยู่บนยอดดอยนี้ด้วย จึงคิดว่าต้องไปไหว้สักการะขอเจ้าที่เจ้าทางก่อน ซึ่งระยะทางระหว่างแคมป์และศาลนั้นอยู่ที่ 300 เมตร แต่คณะเดินทางกลับใช้เวลาเกือบถึงครึ่งชั่วโมงในการไปศาล ราวกับว่ายิ่งเดินเท่าไหร่ยิ่งไปไม่ถึงสักที คุณชิจึงตั้งจิตอธิษฐานว่าลูกช้างกับคณะเดินทางนี้ เราเข้ามาในพื้นที่เพื่อมาพักผ่อนไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้ามาทำลายธรรมชาติ ดังนั้นด้วยเจตนานี้จึงขอให้ลูกช้างและคณะได้เดินทางไปสักการะด้วยเถิด ต่อมาหลังจากนั้นทั้ง 10 คนเดินไปได้อีกสักระยะหนึ่ง ใช้เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้นก็เจอกับศาลที่ว่า เมื่อสักการะบอกเจ้าที่เจ้าทางเรียบร้อยแล้วมีลมวูบหนึ่งพัดมาเป็นลมเย็น ๆ คุณชิจึงคิดว่านี่ถือเป็นการตอบรับในทางที่ดี เมื่อทั้งคณะกลับมายังจุดตั้งแคมป์ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้ม จึงได้ตระเตรียมทำอาหารเย็นกัน โดยคุณชิเชื่อว่าทุกคนที่เดินป่าย่อมมีความเชื่อ ว่าอาหารที่เป็นคำแรก หรืออาหารที่พึ่งปรุงใหม่ จะต้องแบ่งมาส่วนหนึ่งเพื่อบวงสรวงหรือเซ่นไหว้ให้กับเจ้าที่เจ้าทาง ในขณะที่ทุกคนกำลังกินชาบูและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน คุณชิจึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาและได้ทักท้วงทุกคนไป ซึ่งปรากฏว่าทุกคนต่างพากันลืมหมด คุณชิจึงได้นำอาหารที่ปรุงใหม่ตักใส่ถ้วยเพื่อเตรียมนำไปเซ่นไหว้ แต่ดันพลาดนำน้ำชาบูที่อยู่ในหม้อกลางที่ทุกคนกินไปแล้ว ตักราดลงไปในถ้วยด้วย แล้วนำไปตั้งอยู่บนทางเดินที่เป็นทางสามแพร่ง ซึ่งเจตนาของคุณชิในตอนนั้นคือไม่ได้ต้องการลบหลู่แต่อย่างใด และในวันนั้นก็เป็นคืนเดือนหงาย แต่ปรากฏว่าหลังจากที่เซ่นไหว้อาหารเรียบร้อยแล้วทั้งป่ากลับเงียบสนิทไม่มีแม้แต่เสียงลมหรือแมลงเลย คืนนั้นจึงไม่มีใครกล้าดื่มสิ่งของมึนเมาหรือสังสรรค์ใด ๆ ต่อ ทุกคนตัดสินใจเข้านอนประมาณ 3 - 4 ทุ่มท่ามกลางอากาศบนยอดดอยที่เย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ คุณชิไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปนานแค่ไหน รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียง “ฮืออ…ชิ นอนด้วย..หนาวว~ ขอเข้าไปด้วย” ซึ่งเสียงเย็น ๆ น่าขนลุกนั้นดังมาจากปลายเท้าของคุณชิที่หันประตูเต็นท์ไปทางดงไม้ทึบ ซึ่งปกติแล้วเวลาไปตั้งแคมป์ ทุกคนจะไม่ให้ไฟตรงกลางมอด แต่คืนนั้นไฟกลับมอดลงเร็วมาก และจังหวะที่เสียงนั้นใกล้เข้ามา คุณชิจึงเปิดไฟภายในเต็นท์โดยมีน้องที่นอนข้าง ๆ กำมือคุณชิแน่นอย่างหวาดระแวง และเมื่อคุณชิได้ส่องไฟไปยังปลายเต็นท์ ปรากฏว่าตรงผ้าใบที่ประตูเต็นท์เหมือนมีคนแนบหน้าเข้ามา! ด้วยความที่ลักษณะเต็นท์มันถูกกางให้ตึง จึงเห็นว่าเป็นลักษณะหน้าคน! ทั้งสองคนเห็นดังนั้นถึงกับนอนตัวแข็งกันเลยทีเดียว แต่ยิ่งไปกว่านั้นซิปที่ประตูเต็นท์มันกลับถูกรูดขึ้นมาด้วย!! ซี้บบบบบ…เสียงซิปที่ถูกรูดดังก้องในโสตประสาทของคนที่อยู่ในเต็นท์ และภาพที่เห็นตรงหน้าคือคนที่โผล่เข้ามา.. กลับกลายเป็นน้องคนที่ผูกเปลนอน!! คุณชิถึงกับโล่งใจเพราะกลัวจนแทบจิตหลุด สุดท้ายแล้วจึงได้ข้อสรุปว่าด้วยความที่ตอนนั้นอากาศข้างนอกค่อนข้างที่จะหนาวมาก จนทำให้น้องคนนั้นปากสั่นจนพูดไม่เป็นคำ ทำให้คุณชิได้ยินเสียงอันน่าสะพรึงแบบนั้น หลังจากนั้นทั้งสามคนจึงนอนเบียดกันเพื่อแบ่งปันไออุ่นภายในเต็นท์ แต่แล้ว.. ก็เหมือนมีลมแรงพัดขึ้นมากระทบกับผ้าใบของเต็นท์จนสั่นกระพือเสียงดังพรึ่บๆๆ คุณชิกลัวว่ากระทบเสียงดังขนาดนี้ผ้าใบเต็นท์จะขาด แต่พอเปิดเต็นท์ออกมาดู ปรากฏว่าไม่มีลมเลย ข้างนอกอากาศนิ่งมาก แล้วเสียงที่คุณชิได้ยินเมื่อสักครู่มันคืออะไร? จากนั้น จังหวะที่คุณชิหันมายังจุดตรงกลางแคมป์ ก็ได้เห็นน้องร่วมทริปคนหนึ่งนั่งกอดตัวเองพร้อมกับคลุมผ้าห่มอยู่เงียบ ๆ ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาตี4 แล้วจึงถามน้องคนนั้นว่าทำไมยังไม่เข้าไปนอน แต่น้องกลับตอบมาเพียงคำเดียวว่า “ผมนอนไม่ได้พี่” คุณชิกับน้องร่วมเต็นท์อีกสองคนจึงมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อาจจะเกี่ยวข้องกับเต็นท์ของน้องที่นอนหันหัวไปทางหน้าผาหรือเปล่า จึงมารวมตัวกันผิงไฟ เพราะไหนๆก็จะเช้าแล้ว ต่อมาอีกสักพักกลุ่มน้องผู้หญิงจากอีกเต็นท์หนึ่งก็พากันเดินออกมา คุณชิเห็นว่าท่าทีแปลกๆ จึงเปิดประเด็นด้วยคำถามที่ว่า “มีใครอยากจะเล่าอะไรไหม” น้องผู้ชายคนแรกที่ออกมานั่งตรงกลางแคมป์ได้เล่าว่า “ได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่บนหัวเต็นท์” แต่หัวเต็นท์ตรงนั้นอีกประมาณ 2 เมตรเป็นหน้าผา จึงคิดว่าคนในคณะไม่น่าจะไปเดินตรงนั้นได้ แถมยังมีการเขย่าเต็นท์ด้วย ส่วนน้องผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งก็เล่าว่าได้ยินเสียงของน้องคนที่ผูกเปลมาเรียกให้ไปส่งเข้าห้องน้ำ ซึ่งในขนะนั้นน้องคนที่ผูกเปลได้เข้ามานอนในเต็นท์คุณชิเรียบร้อยแล้ว แถมน้องคนที่ผูกเปลก็เป็นผู้ชายด้วย จะมาเรียกน้องผู้หญิงให้ไปส่งเข้าห้องน้ำได้อย่างไร นอกเหนือจากนั้นแล้ว น้องผู้หญิงอีกคนก็ได้ยินเสียงคนผิวปากเบา ๆ เป็นเพลงแว่วมาจากข้างหลังดงไม้ทึบ ทุกคนสัมผัสได้ถึงสิ่งลี้ลับรอบตัวและทนไม่ไหว จึงพากันออกจากเต็นท์ คุณชิที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจึงตัดสินใจเดินไปยังจุดที่เอาอาหารไปเซ่นไหว้ ปรากฏว่ามันถูกคว่ำอยู่และมีอาหารกระจัดกระจาย เหมือนมีใครมารุมทึ้งรุมกินกันอย่างตะกละตะกลาม เมื่อแสงแดดรำไรในเวลา 6 โมงเช้า ทุกคนจึงรีบเก็บเต็นท์กันเร็วกว่าปกติเพื่อจะเดินทางกลับลงไปยังตีนภูเขา ระหว่างเก็บเต็นท์คุณชิก็ได้เจอกับคำตอบของเหตุการณ์ทั้งหมดว่า “หลังดงไม้ทึบที่ไปตั้งเต็นท์รายล้อมไปด้วยหลุมศพ” ที่มีป้ายเขียนด้วยภาษาอะไรสักอย่างไว้ รวมไปถึงเข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กวัยรุ่นคนที่นำทางถึงรีบส่งพวกเขาแล้วรีบกลับลงไปทันที หลังจากนั้น ทุกคนก็เดินกลับลงมาอย่างปลอดภัย และพากันไปยังจุดจอดรถซึ่งเป็นวัดที่อยู่ตีนเขา พร้อมกับได้พบหลวงพ่อที่ประจำอยู่ ณ วัดแห่งนี้ ท่านทักขึ้นมาทันทีว่า “เมื่อคืนไปทำอะไรกันมา ขึ้นไปตั้งแคมป์ข้างบนแล้วลืมให้อาหารเซ่นไหว้เขาใช่ไหม” ทั้งคณะได้ยินดังนั้นถึงกับสะดุ้งตกใจ คุณชิจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระท่านฟัง หลวงพ่อจึงบอกว่า “การที่เราได้ยินเสียงต่าง ๆ แสดงว่าเขาอยากให้รู้ว่าที่พื้นที่ตรงนั้นเป็นที่ของเขา” และน้องคนที่โดนเขย่าเต็นท์ก็สารภาพว่าตัวเองได้ปัสสาวะข้าง ๆ เต็นท์ ซึ่งน่าจะเป็นบริเวณหลุมศพของเขาพอดี เขาเลยไม่พอใจ หลังจากนั้นทุกคนก็ได้ทำบุญและถวายสังฆทานให้ แต่โดยทั่วไปเท่าที่คุณชิจำได้ เวลาที่พระท่านให้พรท่านจะเอาตาลปัตรบังหน้าเสมอ แต่ครั้งนี้จังหวะที่พระท่านสวดในครั้งสุดท้าย ท่านกลับยกตาลปัตรออกมาแล้วทำท่าพัดออกไปด้านหน้าหนึ่งทีแรง ๆ และพูดกับทางคณะว่า “กลับกรุงเทพได้แล้วนะไม่มีอะไรตามแล้ว” ทุกคนได้ยินดังนั้นต่างขนลุกไปตาม ๆ กัน เรื่องนี้ทำให้คุณชิระแวงเป็นอย่างมาก จึงต้องตรวจเช็คด้านสายมูเตลู หรือทุกความเชื่อว่าจะไม่มีสิ่งไหนตามมาให้แน่ชัด และยังต้องเช็คความเป็นมาของสถานที่ ที่จะไปให้ถี่ถ้วนทุกครั้งจะได้ไม่พบเจอกับเหตุการณ์หลอนทั้งแคมป์แบบนี้อีก(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เหตุเกิดที่สะพานพระราม 8 เคยเจอคุณลุงขับแท็กซี่มาช่วยชีวิต 10 ปีต่อมา กลับมาช่วยชีวิตเพื่อนอีกครั้ง จะโทรไปขอบคุณกลับเจอเรื่องแปลก!

23 ม.ค. 2024

เหตุเกิดที่สะพานพระราม 8 เคยเจอคุณลุงขับแท็กซี่มาช่วยชีวิต 10 ปีต่อมา กลับมาช่วยชีวิตเพื่อนอีกครั้ง จะโทรไปขอบคุณกลับเจอเรื่องแปลก!

เรื่องนี้ ‘ใหม่ รอเรน PowerPuff Guy’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (16 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นกับคุณใหม่ เมื่อประมาณ 10 ที่แล้ว แต่ดันบังเอิญคล้ายคลึงกับเรื่องของเพื่อน ซึ่งเกิดในช่วงปลายปีที่ผ่านมา! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย เล่าย้อนกลับไปสมัยที่คุณใหม่เรียนมหาวิทยาลัย อยู่ชั้นปีที่ 2 ด้วยความที่คุณใหม่ชอบปาร์ตี้กับเพื่อน ๆ และชอบไปเที่ยวที่ถนนข้าวสาร หลังจากเที่ยวเสร็จ ก็จะชวนเพื่อน ๆ ประมาณ 9 คน ไปนั่งเล่น เม้าท์มอยกันต่อที่สะพานพระราม 8 ในกลุ่มเพื่อนนี้ก็จะมีผู้หญิงคนหนึ่ง เวลาเมาจะชอบตะโกนโวยวาย ทะเลาะกับแฟน และก็ด่าเสียงดังขึ้นมาว่า “มึงสิตอแหล” พอพูดเสร็จ ปรากฏว่าเด็กถิ่นแถวนั้น ก็เข้าใจผิดคิดว่าฝั่งคุณใหม่ไปตะโกนด่าเขา จึงมีปากเสียงกัน กลุ่มคุณใหม่วิ่งหนีขึ้นสะพานมาเรื่อย ๆ จนมาถึงทางตันที่กลางสะพาน ถ้าวิ่งไปฝั่งขวาจะเป็นกลุ่มของเด็กถิ่นอีกกลุ่มที่เป็นแก๊งเดียวกัน อีกฝั่งก็ลงไม่ได้ โดนล้อมไว้หมด จนมีรถแท็กซี่คันหนึ่งขับผ่านมา เป็นแท็กซี่เก่ามาก เปิดไฟว่างไว้อยู่ คุณใหม่จึงโบก รถแท็กซี่ก็จอด คุณใหม่ก็บอกกับคุณลุงแท็กซี่ไปว่า “ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม พวกหนูขอขึ้นรถไปก่อนได้มั้ย” คุณลุงแท็กซี่ก็ไม่พูดอะไร คุณลุงแท็กซี่ดูเป็นคนมีอายุมากแล้ว ร่างกายผอม ผมและหนวดมีสีขาว มีเครายาว จากนั้นกลุ่มเพื่อนคุณใหม่ก็ขึ้นรถมา 9 คน ข้างหน้านั่ง 2 คน ข้างหลังอีก 7 คน ตั้งแต่ขึ้นรถมา คุณลุงแท็กซี่ไม่พูดอะไรเลย คุณลุงก็มาส่งไกลประมาณหนึ่งที่รู้สึกว่าปลอดภัย กลุ่มเพื่อนและคุณใหม่ก็ลงจากรถ ขอบคุณและจ่ายเงินปกติ คุณใหม่ก็คิดกับตัวเองว่า ‘รอดได้ไง ถ้าอยู่ตรงนั้นจะรอดมั้ย ยังดีที่มีแท็กซี่ผ่านมา’ เรื่องนี้ก็ผ่านไปหลายปี จนกระทั่งเพื่อนคุณใหม่ที่พึ่งรู้จักกัน เขาป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ได้มาเล่าให้ฟังว่า เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ไปที่สะพานพระราม 8 คนเดียว เพื่อตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง จึงโทรเรียกรถแท็กซี่มารับ รถแท็กซี่คันนี้เป็นคันใหม่ แต่คนขับเป็นคนแก่ ผมขาว หนวดขาว คนขับก็ถามว่า “ไอ้หนู จะไปไหน” เพื่อนคุณใหม่ก็บอกว่า “ไปสะพานพระราม 8 ครับ” ลุงก็ขับไปพอถึงกลางสะพาน เพื่อนก็บอกให้จอด พอส่งเสร็จคุณลุงแท็กซี่ก็ไป เพื่อนก็ไปนั่งตรงขอบสะพานหันหน้ามาฝั่งถนน แล้วอยู่ดี ๆ คุณลุงแท็กซี่คันเดิมก็วนรถกลับมาจอดรถตรงหน้า คุณลุงลงมาจากรถและเดินมาหาเพื่อน พร้อมกับหยิบน้ำเปล่ามา 1 ขวด แล้วก็ถามเพื่อนว่า “เอ็งทำอาชีพอะไร ได้เงินเดือนเท่าไหร่” เพื่อนก็ตอบไป คุณลุงแท็กซี่ก็พูดอีกว่า “ได้เงินเดือนขนาดนี้ ลุงไม่คิดสั้นหรอก ลุงได้วันละ 300 ยังทนอยู่เลย” จากนั้นคุณลุงแท็กซี่ก็ยื่นน้ำให้ดื่ม พอเพื่อนดื่มน้ำเสร็จก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว คุณลุงแท็กซี่ก็บอกว่า “อย่าพึ่งเป็นอะไร ปีหน้าเองจะดัง” พูดเสร็จลุงก็บอกว่าจะไปส่งที่บ้าน ระหว่างทางเพื่อนก็แอบถ่ายรูปด้านหลังคุณลุงเพื่อจะส่งให้เพื่อนอีกคนว่ากำลังกลับแล้วนะ พอถึงคอนโดก็ร่ำลากับคุณลุงแท็กซี่ ต่อมา เพื่อนก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนอีกคนฟัง เพื่อนก็บอกให้โทรไปขอบคุณคุณลุงแท็กซี่คนนั้น เพื่อนก็กำลังจะโทร ปรากฏว่าไม่มีเบอร์โทรคุณลุงแท็กซี่คนนั้นแล้ว และรูปที่เคยส่งให้เพื่อน ไฟล์รูปก็เสียหมด พอคุณใหม่ฟังจบ ก็รู้สึกว่ามันคุ้นเหมือนเคยเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เหมือนลุงคนนี้ที่เคยเจอที่สะพานพระราม 8 คุณใหม่เดาว่า คุณลุงแท็กซี่คนนี้อาจจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มาช่วยก็เป็นไปได้..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปขอเนื้อคู่ที่ไต้หวัน แต่ดันโดนตามกลับมาจับ...ถึงประเทศไทย! สิ่งนี้คือคำใบ้สู่รักแท้หรือเพียงแค่ประสบการณ์ขนหัวลุกส่วนบุคคล

30 มิ.ย. 2023

ไปขอเนื้อคู่ที่ไต้หวัน แต่ดันโดนตามกลับมาจับ...ถึงประเทศไทย! สิ่งนี้คือคำใบ้สู่รักแท้หรือเพียงแค่ประสบการณ์ขนหัวลุกส่วนบุคคล

วันนี้ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจแนน’ รับหน้าที่จัดรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 มิ.ย. 66) เช่นเคย คนที่โทรมาเล่าเรื่องราวในครั้งนี้ชื่อว่า ‘คุณแบงค์’ เขามาพร้อมกับภารกิจตามหารักแท้ ซึ่งต้องแลกมากับเรื่องเขย่าขวัญในค่ำคืนนี้ ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านกันเลย! เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา คุณแบงค์อาศัยอยู่ในคอนโดที่พึ่งสร้างขึ้นใหม่ เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าสถานที่แห่งนี้ ‘คลีน’ ซึ่งหมายความว่า ไม่น่าจะมีอะไรน่ากลัวอาศัยอยู่ เขากับน้องสาว 1 คนพักด้วยกันที่ห้องบนชั้น 14 ของตึก ด้วยความที่คอนโดแห่งนี้อยู่ในตัวเมืองและคุณแบงค์เองก็นอนอยู่ฝั่งข้างที่ติดผ้าม่าน เขาจึงสามารถเห็นบริเวณภายในห้องตอนกลางคืนผ่านแสงที่ส่องผ่านเข้ามา ในคืนหนึ่งขณะที่คุณแบงค์กำลังนอนหลับอยู่ เขาฝันว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะบุกเข้ามาในห้อง ได้ยินเสียงเหมือนมีคนวิ่งบนหลังคา ทุบห้อง ข่วนห้อง คล้ายพยายามจะทำให้เขากับน้องกลัว และมันก็ได้ผลจริง ๆ ในฝันน้องสาวบอกให้แกล้งหลับกัน เพื่อหลอกตัวอะไรก็ตามที่กำลังพยายามจะพังเข้ามาในห้อง แล้วพอเขาข่มตาหลับลง ‘มัน’ ก็ได้เข้ามาในห้อง! เขาสัมผัสได้ถึงสิ่งนั้นที่ลอยผ่านตัวเขาไปมา แล้วสักพักหนึ่งก็มีเหมือนเศษผ้าปาดผ่านหน้าเขาไป ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแส้หางม้า ทันใดนั้นน้องสาวคุณแบงค์กรีดร้องและพูดขึ้นว่า “มีอะไรไม่รู้มาจับอวัยวะเพศ” คุณแบงค์รับรู้ว่ามีมือเล็ก ๆ นุ่ม ๆ มาจั๊กจี้ที่รักแร้ของเขาและในเวลาต่อมาก็มาตะครุบอวัยะเพศของเขา! คุณแบงค์ตกใจจนตื่นขึ้นจากฝัน ณ ขณะนั้นห้องทั้งห้องของเขาก็เปลี่ยนจากสีดำมืดเป็นสีแดงเหมือนกับห้องเชือด ตัดภาพไปด้านซ้ายของเขา ฝั่งที่เป็นผ้าม่าน เขาเห็นลิงหน้าสีแดงสดกำลังแหวกม่านโผล่หัวของมันเข้ามา ระหว่างเขากับลิงตัวนี้อยู่ห่างกันเพียงเมตรเดียวเท่านั้น เขาไม่รู้จะทำอะไรจึงได้แต่นอนนิ่ง ๆ อยู่ประมาณ 10 นาที ก่อนจะเริ่มตกตะกอนทางความคิดกับตัวเองได้ว่า ไม่ว่าสิ่งนี้จะเป็นคน ผี ปีศาจ สัตว์ประหลาด หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็ไม่น่าจะใช้ของไทยแน่นอน! “หรือว่าจะเป็นของที่เราเอาเข้ามา” คุณแบงค์คิดกับตัวเอง พอเขาเริ่มตั้งสติได้ จึงขยับตัวสะบัดผ้าม่านและผ้าห่ม สักพักห้องของเขาจากสีแดงก็กลับกลายเป็นความมืดดังเดิม หน้าของเจ้าจ๋อที่เขาเห็นก็ค่อย ๆ เลือนหายไปตามลำดับ ดีเจแนนถามคุณแบงค์ว่าน้องสาวของเขาเห็นเหมือนกับที่เขาเห็นด้วยรึเปล่า คุณแบงค์จึงตอบกลับว่าตอนแรกเขาคิดว่าน้องน่าจะเห็นด้วย แต่พอถามถึงเรื่องลิงตัวนี้ตอนเช้า น้องสาวของเขากลับตอบว่า เธอนั้นหลับอยู่ตลอดเวลาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เหมือนกับว่าสิ่งที่คุณแบงค์เห็นและประสบพบเจอในค่ำคืนนั้น มีเพียงแต่เขาคนเดียวที่สัมผัสถึงได้ ดีเจทั้งสองพยายามสอบถามคุณแบงค์ต่อว่า แล้วคุณแบงค์พอจะทราบที่มาที่ไปของลิงตัวนี้หรือไม่ คุณแบงค์ก็บอกว่าเมื่อเขากลับมาย้อนนึกดูแล้วก็พบว่าคืนนั้น เขาได้เอาวัตถุมงคลชิ้นหนึ่งสอดไว้ใต้หมอนก่อนนอน ย้อนไปเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา คุณแบงค์พึ่งจะเลิกกับแฟน ประจวบเหมาะกับจังหวะที่เขาไปเที่ยวที่ไต้หวันกับเพื่อนพอดี เขาเดินทางไปวัดหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรเกี่ยวกับความรัก สิ่งที่เขาได้กลับมาจากวัดในวันนั้นคือด้ายแดง ขณะที่เขาไปขอพรเขาก็สัมผัสได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนี้ เช่นเดียวกันกับเพื่อนของเขา เพื่อนของเขาได้ขอพรว่า หากแฟนคนที่อยู่ด้วยกันในปัจจุบันเป็นคนที่ใช่จริง ก็ขอให้คบกันไปตราบนานเท่านาน แต่ถ้าไม่ใช่คู่กันจริงก็ขอให้เลิกกันโดยเร็วที่สุด แล้วหลังกลับจากไต้หวันได้สองสัปดาห์ เพื่อนของเขากับแฟนก็เลิกกัน... คุณแบงค์ได้อธิษฐานขอคนรักพร้อมบอกชื่อที่อยู่ของตนไปด้วย เขาเลยสันนิษฐานน่าจะเป็นเรื่องนี้นี่เองที่ทำให้เทพท่านมาหาเขาตอนกลางคืน เขาคิดว่าท่านน่าจะมาหาเขาเพื่อ ‘ดูตัว’ อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้ในภายหลังว่าวัดแห่งนั้นที่เขาไปไหว้ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับไต้หวันเลย แต่ทั้งเพื่อนที่เป็นหมอดูที่เป็นเพื่อนของเขามีข้อเสนอว่า ลิงตัวนี้อาจมาในลักษณะของการเป็นคำใบ้บอกถึงเนื้อคู่ของเขา และเมื่อลองตรวจตามปีนักษัตร เขาสามารถวิเคราะห์ได้เบื้องต้นว่าอาจเป็นคนอายุ 19 หรือ 31 ปี แต่เรื่องนี้คุณแบงค์ก็ไม่ได้ปักใจเชื่อในทันทีว่ามันเป็นเหมือนที่เขาคิดไว้ คงต้องรอดูกันไปเรื่อย ๆ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1