บ้านนี้ใครอยู่ก็ตาย! สืบสาวราวเรื่องจึงได้ความว่าคุณยายเคยเลี้ยงปอบเพื่อทำเสน่ห์ใส่คุณตา ต่อมาเลี้ยงไม่ไหวจึงมอบให้คนอื่นไป แต่สุดท้ายมันก็วนกลับมากินคนในบ้านจนหมด มิหนำซ้ำที่ดินของบ้านยังมีบ่อเน่าที่เคยเป็นที่ทิ้งศพทหาร!

อังคารคลุมโปง RECAP

บ้านนี้ใครอยู่ก็ตาย! สืบสาวราวเรื่องจึงได้ความว่าคุณยายเคยเลี้ยงปอบเพื่อทำเสน่ห์ใส่คุณตา ต่อมาเลี้ยงไม่ไหวจึงมอบให้คนอื่นไป แต่สุดท้ายมันก็วนกลับมากินคนในบ้านจนหมด มิหนำซ้ำที่ดินของบ้านยังมีบ่อเน่าที่เคยเป็นที่ทิ้งศพทหาร!

12 พ.ค. 2023

       ‘ท่าปอบหยิบ’ กลายเป็นไอคอนที่ทำให้หลายคนนึกถึง ‘ผีปอบ’ แต่หลังจากที่ได้เจอเข้ากับตัวจริง ๆ ‘คุณอ๊อฟ คนเห็นผี’ ก็ได้เล่าใน ‘รายการอังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (2 พฤษภาคม 2566) ว่าผีปอบจริง ๆ แล้วไม่ได้กินตับไตไส้พุงอย่างที่พวกเรารู้กัน แล้วความจริงที่คุณอ๊อฟได้เจอมาเป็นอย่างไรนั้น ไปหาคำตอบพร้อมกันเลย!

       คุณอ๊อฟเล่าว่าเรื่องนี้มาจากเคสหนึ่งใน ‘รายการ The sixth sense คนเห็นผี’ เคสนี้ต้องเดินทางไปไกลถึงจังหวัดกำแพงเพชร แต่คืนก่อนที่จะไป คุณอ๊อฟกินยาไทรอยด์จึงทำให้หลับลึกไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ จนทีมงานคนอื่น ๆ ต้องออกเดินทางไปก่อน คุณอ๊อฟจึงกล่าวขอโทษทีมงาน และคิดว่าคงไปไม่ทันแล้ว แต่แล้วก็มีความรู้สึกหนึ่งที่สะกิดคุณอ๊อฟขึ้นมาว่า “ลุก แล้วไปซะ” ตอนนั้นคุณอ๊อฟก็รับรู้ได้เลยว่าเป็นเสียงพระแม่ทุรคาที่ตนนับถือ หลังจากนั้นก็เสิร์ชหาบริการรถเช่าด่วนเพื่อออกเดินทางทันที 

       เมื่อเดินทางมาถึงจังหวัดกำแพงเพชร เส้นทางที่เข้าไปในบ้านของเคสนั้น เหมือนกับหลงเข้าไปในป่าเพราะข้างทางเป็นป่าไม้รกทึบ จะเจอบ้านคนอยู่แค่หลังเดียวต่อระยะทางประมาณหนึ่งกิโลเมตรเกือบตลอดทาง และเมื่อถึงจุดหมายและกำลังจะลงจากรถ พี่คนขับรถก็ทักขึ้นมาว่า “แล้วพี่ผู้หญิงคนนั้นจะลงไปด้วยไหมครับ” คุณอ๊อฟจึงคิดในใจว่า “เรานั่งมาตลอดทางทำไมถึงไม่เห็นใครเลย แล้วทำไมตอนเราขึ้นรถพี่คนขับรถไม่สังเกตบ้างหรอว่าขึ้นมาคนเดียว” จึงตอบกลับพี่คนขับรถไปว่า “ไม่รู้ค่ะ เดี๋ยวถามพี่เขาอีกทีนึงละกัน” จากนั้นก็ลงมาจากรถก่อน ทำให้ได้เห็นหน้าของผู้หญิงคนนั้นเต็ม ๆ และสัมผัสได้ว่าเขาพึ่งขึ้นมาบนรถตอนที่คุณอ๊อฟมองออกไปนอกหน้าต่างระหว่างเดินทางเข้ามา คุณอ๊อฟไม่ได้คิดอะไรต่อ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องถ่ายทำรายการ ระหว่างที่คุณอ๊อฟเข้าฉากก็ได้เห็น ‘ผีกระสือ’ ครั้งแรกในชีวิต ลักษณะคือเป็นหน้าคนที่มีดวงไฟสีส้มกระพริบเป็นจังหวะวูบวาบช้า ๆ ขึ้นมา ซึ่งในตอนนั้นเห็นอยู่ไกล ๆ และทุกคนก็เห็นเหมือนกันหมด 

       มาถึงเรื่องของเคสในวันนั้นกันบ้าง เจ้าของเคสเล่าว่าตนนั้นซื้อบ้านมาจากที่ดินแบ่งขายสำหรับให้ทำกิน เมื่ออยู่กับครอบครัวไปได้สักพัก คุณยายก็เริ่มป่วย โดยมีอาการผอมแห้ง ซูบผอมลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียชีวิต ต่อมาก็เป็นคุณตาและญาติที่มีอาการเดียวกัน และอาการเหล่านั้นก็มาถึงตัวเขา เจ้าของเคสเล่าว่าเมื่อก่อนเขาเป็นคนรูปร่างอ้วนท้วมอุดมสมบูรณ์ แต่พอกลับมาอยู่บ้านหลังนี้ รูปร่างก็กลับผอมแห้ง นอกจากนี้ครอบครัวของเขาก็เลิกราแยกย้ายออกไป ทำให้เขาต้องอยู่บ้านหลังนี้คนเดียว เขาจึงกลัวว่าอาจจะต้องเสียชีวิตเหมือนกับตายายและญาติของเขาอีกเป็นแน่

       ต่อมาเจ้าของเคสได้พาไปดูบริเวณรอบ ๆ บ้านแต่ก็ไม่พบอะไรเชื่อมโยงถึงปอบเลย จนกระทั่งได้ขึ้นไปดูชั้นสองของบ้าน คุณอ๊อฟสัมผัสได้ว่ามันมีอะไรอยู่ข้างบน แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่า ‘สิ่งนั้น’ คืออะไร จนได้เจอกับรูปคุณตาคุณยาย และสัมผัสได้ว่าเมื่อก่อนตอนสาว ๆ คุณยายชอบคุณตา จึงไป “ทำเสน่ห์เพื่อให้คุณตาหลงรัก” และได้อยู่กินด้วยกัน แต่สุดท้ายมันเหมือนกับว่า “อยู่แต่ตัวแต่ใจไม่อยู่” นับวันก็มีแต่จะแห้งเหี่ยวลงไปเรื่อย ๆ คุณยายจึงต้องหมั่นไปเติมของและเลี้ยงสิ่งนั้นด้วยเลือด คุณยายรู้ว่าสิ่งนั้นคือปอบและเลี้ยงต่อไม่ไหว จึงเอาไปฝากบ้านข้างหน้าที่อยู่ถัดห่างออกไปจากบ้านตัวเองประมาณ 2-3 กิโลเมตรให้เลี้ยงแทน แต่คนที่บ้านหลังนั้นก็สติฟั่นเฟือน ทำให้เลี้ยงไม่ดีพอ ปอบจึงกินคนในบ้านหลังนั้นแทน และกลับมาไล่กินคุณยายเจ้าของดั้งเดิมและคนเกี่ยวข้องไปทีละคน

       ขณะที่กำลังสืบสาวราวเรื่องอยู่นั้น คุณอ๊อฟก็ได้เห็นสิ่งหนึ่งในเงามืด ลักษณะคือเป็นคุณยายที่หน้าตาเหมือนกับผู้หญิงที่นั่งรถเช่ามากับคุณอ๊อฟเป๊ะ!! “แถมร่างนั้นก็ค่อย ๆ คลานแบบ 4 ขา และกำลังหักคอตัวเองไปมา” เดินออกมาจากอีกห้องหนึ่ง มายืนอยู่ตรงหน้าคุณอ๊อฟก่อนที่จะหายไป! คุณอ๊อฟบอกว่า “เคยมีความคิดเกี่ยวกับปอบว่า มันจะต้องกินไส้ กินตับ หรืออะไรดิบ ๆ แต่จริง ๆ แล้ว ปอบมีลักษณะคือ มันจะค่อย ๆ กินจากจิตใจ เหมือนสะกดจิตเราว่าต้องเป็นซึมเศร้า เราจะต้องไม่คบหาสมาคมกับใคร เราจะต้องอยู่แบบนี้อยู่คนเดียว และไม่กินข้าว กระทั่งมันสูบพลังชีวิตเราไปทีละนิดจนหมด ตัวอย่างเช่น เมื่อคน ๆ หนึ่งโดนปอบสิง และมีสังคมรอบข้าง เขาจะค่อย ๆ ถอยตัวห่างออกมาจากสังคมนั้น ทำให้พลังชีวิตนอกบ้านมันเริ่มหาย และเมื่อเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านพลังชีวิตมันก็หมุนอยู่แต่ในบ้าน และหลังจากนั้นมันก็จะตัดพลังชีวิตที่หมุนเวียนอยู่ในบ้านออกไปอีกโดยทำให้คนในครอบครัวแยกกันอยู่คนละที่ ทำให้พลังงานนั้นก็จะหมุนอยู่กับแค่ตัวเอง และสาเหตุการเป็นปอบมันเกิดจากการที่คนนั้นเคยมีความอิจฉาริษยาโลภมากในจิตสุดท้ายก่อนตาย” 

       หลังจากผ่านเหตุการณ์สยองนั้นมาได้ คุณอ๊อฟก็เล่าต่ออีกว่าทีมงานสัมผัสได้ถึงเมืองบังบด (เมืองลับแลของกำแพงเพชร) ตั้งอยู่ในพื้นที่บริเวณบ้าน ซึ่งพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ประหารคนในช่วงสงครามสมัยก่อน และเป็นที่สำหรับโยนศพของทหารลงไปในบ่อหลังบ้าน เจ้าของเคสได้ยินดังนั้นก็ขนลุก เพราะที่ผ่านมาตนได้พยายามขุดลอกบ่อนั้นมาหลายครั้ง แต่ลอกยังไงก็ยังเหม็นเน่าอยู่ตลอด จึงตัดสินใจปลูกบัวแต่ก็ไม่สำเร็จอีก สุดท้ายจึงปล่อยเน่าอยู่อย่างนั้น 

       คุณอ๊อฟจึงแนะนำไปว่าวิธีแก้ง่ายที่สุดเลยคือการย้ายออกจากที่นี่ เจ้าของเคสถึงกับอึ้งอยู่พักหนึ่ง เพราะการทิ้งถิ่นกำเนิดก็เป็นเรื่องที่ทำใจลำบาก แต่ก็มีอีกวิธีนั่นก็คือ ต้องพลิกหน้าดินโดยใช้น้ำมนต์ธรณีสารล้างพื้นดิน ต่อมาคือตัวเจ้าของเคสต้องหมั่นทำบุญ เพราะคุณอ๊อฟรู้ได้เลยว่าตัวเจ้าของเคสไม่ค่อยทำบุญ สวดมนต์ นั่งสมาธิ หรือทำทานเลย แม้แต่บุญเก่าที่เขาเคยทำมาก็ไม่มีติดตัว จึงทำให้ไม่มีสิ่งใดเป็นเกราะคุ้มครอง เจ้าของเคสก็ลังเลว่าเขาจะทำได้หรือไม่เพราะที่ผ่านมาไม่เคยทำจริง ๆ คุณอ๊อฟจึงตอบไปว่า “ลังเลไม่ได้นะมันคือชีวิตคุณ ถ้าคุณไม่ทำ คุณไม่เริ่ม เราก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว” 

       เมื่อคุณอ๊อฟเล่าจบ ดีเจแนนก็ได้ถามคุณอ๊อฟไปว่าถ้าเกิดเจ้าของเคสตัดสินใจย้ายที่อยู่ออกไปจริง ๆ และไปใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้ถือศีลภาวนาหรือทำบุญใด ๆ จะเป็นอย่างไร คุณอ๊อฟก็ตอบว่า “ก็อาจจะหลุดพ้นจากปอบตัวนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปเจออะไรในข้างหน้าอีกเพราะไม่มีอะไรคุ้มครองเขาไว้เลย มันเป็นเหมือนการหนีปัญหา แต่ไม่หาทางแก้ ดังนั้นต้องหมั่นทำบุญสร้างกุศลให้ตัวเอง เพื่อเป็นเกราะป้องกันจากสิ่งที่มองไม่เห็น”

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเป้ ‘ห้องนี้ห้ามเข้า’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ขวัญ อุษามณี [ 8 ต.ค. 2567]

12 ต.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเป้ ‘ห้องนี้ห้ามเข้า’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ขวัญ อุษามณี [ 8 ต.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง X (8 ตุลาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘คุณเป้‘ ที่ได้มาเล่าเรื่อง ’ห้องนี้ห้ามเข้า’ ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม‘ และแฟนรายการฟัง ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นภายในบ้านที่ต่างประเทศ ทนไม่ไหวจนต้องย้ายออกจากบ้านทันที! เรื่องราวจะเป็นยังไง จะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย! คุณเป้เล่าว่าเป็นเรื่องของน้องที่ต่างประเทศคนหนึ่ง เขาชื่อ ‘อิงอิง’ เป็นคนจีนที่สอนหนังสือชั้นอนุบาลในสิงค์โปร์ ในตอนนั้นคุณอิงอิงกำลังหาที่พักใหม่เนื่องจากที่เดิมไกลจากโรงเรียนมาก ต้องใช้เวลาในการเดินทางไปโรงเรียน 3-4 ชั่วโมง จนได้ไปเจอป้ายติดประกาศตามกำแพงจึงตัดสินใจโทรไป มีคุณลุงแก่ ๆ รับสาย ก็ได้เจรจาพูดคุยกันเกี่ยวกับที่พักเเล้วก็ได้นัดเจอกัน ต่อมาเมื่อถึงเวลาที่นัดประมาณ 6 โมงครึ่ง คุณลุงก็นั่งรออยู่ตรงทางเข้า ลักษณะภายนอกของคุณลุงดูไม่ค่อยเป็นมิตร แต่คุณลุงก็ได้พาคุณอิงอิงเดินเข้าไปเรื่อย ๆ จนไปเจอบ้านชั้นเดี่ยวหลังหนึ่ง เมื่อเดินสำรวจรอบบ้านเเล้วคุณอิงอิงก็ถูกใจบ้านหลังนี้ การเดินทางไปโรงเรียนก็สะดวกเเละไวกว่าที่เก่า คุณลุงเห็นว่าคุณอิงอิงชอบจึงได้พูดคุยเเละบอกกฎของบ้านว่า “ห้องนี้มี 2 ห้องนอนนะ ทางขวามือเป็นห้องเก่าของลุงเอง ซึ่งตอนนี้ไม่ได้อยู่เเล้ว ใครมาถามหาลุงก็บอกไปนะว่าลุงไม่อยู่ ห้ามพาใครมาอยู่ที่บ้านหลังนี้เเละที่สำคัญคือห้องตรงนั้นที่เป็นห้องเก็บของ ห้ามเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามเข้าไปในห้องนี้ ถ้าลุงรู้ไล่ออกจากบ้านทันที ยกเลิกทุกอย่าง ค่าน้ำค่าไฟหนูจ่ายเเค่ค่าน้ำอย่างเดียวนะ ค่าไฟลุงจ่ายเองทั้งหมด“ เมื่อได้ยินดังนั้น คุณอิงอิงก็รู้สึกแปลก ๆ เเต่คุณลุงบอกราคาเช่าที่ถูกมาก ทำเอาตนลบความแปลกนั้นออกไปจากสมองทันที จึงตัดสินใจที่จะเช่าบ้านหลังนี้ เเล้วก็ได้ย้ายของเข้ามาทันที ไม่นานหลังจากนั้น ก็ย้ายของเข้ามา ด้วยความเพลียจากการที่ตนจัดห้องจึงทำให้เผลอหลับไปในช่วงค่ำ ในตอนนั้นก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในห้อง! เเล้วเสียงก็เงียบไป.. วันต่อมา คุณอิงอิงกลับมาจากโรงเรียนก็ทำธุระส่วนตัวเเล้วก็เข้านอน ในช่วงกลางดึกก็ได้ยินเสียงเหมือนเดิมเเต่รอบนี้มีเสียงทุบประตูด้วย! ปึ้งง ปึ้งงง! เเละตนก็ได้ยินว่า “พอแล้วว ไม่ทำแล้ว” เเล้วเสียงนั้นก็เงียบไป ณ ตอนนั้นเองคุณอิงอิงก็คิดว่าอาจจะเป็นเสียงข้างบ้านทะเลาะกัน จนผ่านไปเรื่อย ๆ เหตุการณ์ในบ้านก็เริ่มหนักขึ้น จนตนรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มันแปลก.. คืนหนึ่งในขณะที่ตนนอนอยู่ ก็รู้สึกว่าหนาวผิดปกติจึงจะลุกไปปิดหน้าต่างเเละประตู เมื่อหันไปดูที่หน้าต่างปรากฎว่าหน้าต่างปิดอยู่ จึงลุกไปปิดประตู เเต่ในขณะที่กำลังจะปิดก็มีไอเย็นบางอย่างที่อยู่ภายในบ้านตามพื้น ตนสัมผัสได้จากเท้าเปล่าเเละสงสัยว่ามาจากไหน จึงเดิมตามไอเย็นนั้นไป ปรากฎว่าไอเย็นนั้นที่ตนสัมผัสได้มันมาจากห้องเก็บของ! เเต่ห้องมันล็อคไว้อยู่เเล้วคุณลุงก็สั่งห้ามเข้า ตนไม่อยากยุ่งเพราะกลัวว่าจะโดนไล่ออกจากบ้าน จนเวลาผ่านไป.. ในคืนหนึ่ง คุณอิงอิงก็รู้สึกว่ามีเสียง กึ๊กกึก แกกแกกก! ดังอยู่ข้าง ๆ หู จึงลืมตาเเล้วปรากฎว่า กลายเป็นมือของตัวเองที่กำลังหมุนลูกบิดประห้องเก็บของ! ตนตกใจมากเพราะกำลังนอนอยู่เเล้วฝันละเมอมาห้องนี้ เเต่ในขณะนั้นก็มีเสียงร้องไห้สะอื้นมาจากห้องนี้! จนทำให้เริ่มรู้สึกกลัวเเละก็ได้กลับไปทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ตั้งเเต่คืนแรกที่เจอภายในบ้าน จนทำให้ตนรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มันต้องมีอะไรเเน่นอน ในเช้าวันถัดมา คุณอิงอิงก็ได้เล่าเรื่องสิ่งที่เจอในบ้านหลังนี้ให้เพื่อนที่โรงเรียนฟัง เเต่กลับโดนเพื่อนบอกว่า “มึงฝันละเมอไปเองรึเปล่า?” ตนก็รู้สึกว่าไม่น่ามาเล่าให้เพื่อนฟัง เเต่ก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่เชื่อเรื่องนี้เเละสัมผัสได้ว่าเรื่องที่คุณอิงอิงเล่าเป็นเรื่องจริง จึงได้เเอบเอาสร้อยประคำ 1 เส้นให้ คุณอิงอิงจึงรู้สึกสบายใจที่ได้สร้อยประคำเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เเล้วตนก็ได้บอกว่า “ถ้าคืนนี้มันมีเหตุการณ์เเบบนี้อีกนะ ไม่เอาเเล้ว” จากนั้นก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าลาก วางอยู่ใกล้ตัวเพื่อที่จะได้สามารถย้ายออกทันที เเละตนก็ได้หลับไป.. แล้วในคืนนั้น ตนก็สะดุ้งตื่นกลางดึกเหมือนเดิม เพราะรู้สึกว่าเหมือนใครกำลังคร่อมตนอยู่! เเต่มองไม่เห็นเพราะในห้องมันมืด เเล้วก็มีเสียงเหมือนมีดที่กำลังกรีดตามผนังห้อง! สักพักเสียงนั้นก็หยุดไปเเต่กลับมาแทงบนเตียงนอน เเทงนับไม่ถ้วน! เเล้วก็มีเสียงเข้ามาในห้องว่า “หยุด พอได้เเล้ว ชั้นผิดไปแล้ว ชั้นขอโทษ” ในตอนนั้นคุณอิงอิงตกใจก็กรี๊ดสุดเสียงเพราะกลัว เมื่อได้โอกาสตนจึงคว้ากระเป๋าเเล้วรีบวิ่งออกจากห้องนั้นทันที เเต่ในขณะที่กำลังจะออกจากบ้าน สายตาของตนเห็นสร้อยประคำที่เพื่อนให้ไว้ เเขวนอยู่ตรงหน้าประตู! ตนรู้สึกว่าสร้อยนั้นเป็นของสำคัญจึงรีบไปเอาสร้อยนั้น เเล้วในขณะที่กำลังจะคว้าก็มีรอยแกะสลักเป็นตัวอักษรภาษาจีนว่า ช่วยด้วย! นาทีนั้นตนคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะช่วยใคร จึงรีบคว้าสร้อยนั้นเเล้ววิ่งออกไปจากบ้าน ในตอนนั้นเป็นเวลาประมาณตี 4 กว่า จึงได้ไปนั่งอยู่ตามร้านขายของข้างทางจนเช้า เเล้วได้นั่งรถไปที่โรงเรียน เมื่อถึงโรงเรียนก็รีบโทรหาคุณลุงทันที ในใจตนคิดว่าจะย้ายออกจาก ไม่อยู่เเล้วบ้านหลังนี้ สักพักหนึ่งคุณลุงก็รับสายเเล้วพูดว่า “เออ โอเคตกลง” ทั้ง ๆ ที่คุณอิงอิงยังไม่ได้พูดอะไรเลย เหมือนรู้ว่ากำลังจะพูดอะไร ตนจึงเอาของไปเก็บเเละย้ายพักอยู่กับเพื่อนชั่วคราว ผ่านไปประมาณ 1 เดือน ขณะที่กำลังดื่มกาแฟกับเพื่อนอยู่ในตอนเช้า คุณอิงอิงก็เห็นรูปผู้ชายคนหนึ่งอยู่ตรงปกหนังสือพิมพ์ที่เพื่อนกำลังอ่าน ตนรู้สึกแปลกใจเพราะคุ้นผู้ชายคนนี้มาก ๆ จึงขอยืมหนังสือพิมพ์เพื่อนมา เเล้วคลี่อ่าน เมื่อตนเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นก็ช็อค! ตกใจมาก เพราะเขาคือคุณลุงเจ้าของบ้านที่ตนไปเช่า ข่าวในหนังสือพิมพ์เขาเขียนว่า “เจ้าของบ้านถูกจับข้อหาฆาตกรรมภรรยาตัวเองภายในบ้าน! สาเหตุเกิดจากการหึงหวงภรรยาทะเลาะกันเรื่องชู้สาว ครอบครัวผู้หญิงมีการติดต่อมาอยู่เรื่อย ๆ เเต่ไม่มีการตอบกลับ จึงได้เเจ้งเรื่องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ไปตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้ไปตรวจสอบที่บ้านหลังนี้เเล้วก็ได้พบศพอยู่ในตู้เเช่เย็นภายในห้องเก็บของ! สภาพศพตามร่างกายถูกเเทงพรุนทั้งตัว! ตามใบหน้าถูกกรีดจนจำใบหน้าไม่ได้!” เมื่อคุณอิงอิงอ่านข่าวจบก็ถึงกับช็อค! เพราะไม่คิดว่าตนจะนอนอยู่กับศพเป็นเวลา 1 สัปดาห์เเละก็หายสงสัยเรื่องค่าไฟที่คุณลุงบอกว่าจะจ่ายเอง เป็นเพราะว่าเขาเปิดตู้เเช่เย็นตลอดเพื่อแช่ศพภรรยาตัวเองไว้นั่นเอง!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณกล้วย 'ตำเเหน่งอาถรรพ์' I อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [11 ก.พ. 2568]

16 ก.พ. 2025

เรื่องเล่าจากคุณกล้วย 'ตำเเหน่งอาถรรพ์' I อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [11 ก.พ. 2568]

ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (11 กุมภาพันธ์ 2568) ‘คุณกล้วย’ ได้มาเล่าประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับ ‘ตำแหน่งอาถรรพ์’ ที่เกิดขึ้นในออฟฟิศ หลังจากรับของฝากจากเมเนเจอร์ทีม A แล้วเกิดเหตุการณ์ลึกลับจนต้องลาออกจากงาน! มาฟังเรื่องราวเต็มๆ ไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ แล้วคุณจะรู้ว่า บางครั้งการเป็นคนเก่งก็กลายเป็นอุปสรรค! คุณกล้วยได้เล่าว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง ย้อนกลับไปช่วงโควิด คุณกล้วยมีโอกาสได้ส่งใบสมัครเข้าทำงานที่บริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และสุดท้ายก็ได้รับเลือกให้เข้าทำงานในตำแหน่งเมเนเจอร์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างสูง บรรยากาศในบริษัทค่อนข้างใกล้ชิดสนิทสนมกัน เนื่องจากบริษัทไม่ได้ใหญ่มาก แต่ลักษณะการทำงานแบ่งออกเป็น 2 ทีมใหญ่ คุณกล้วยได้มีการเรียกแทนว่า ทีม A และ ทีม B ซึ่งตำแหน่งของเขาคือเมเนเจอร์ของ ทีม B เป็นทีมน้องใหม่ และทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น ได้รับการดูแลที่ดีจากเพื่อนร่วมงาน รวมถึง CEO แต่เชื่อว่าทุกออฟฟิศต้องมีใครสักคนที่ไม่ได้ถูกชะตากับเรา ต่อให้พูดอะไรเพียงนิดเดียว เขาก็ไม่ชอบสิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำ หรือแม้แต่ตัวตนของเราเอง แต่ด้วยความที่คุณกล้วยเป็นเด็กใหม่ จึงพยายามมองข้ามเรื่องเหล่านั้นไป จนกระทั่งวันหนึ่ง บริษัทมีการมอบหมายโปรเจกต์ใหญ่ประจำปี โดยเมเนเจอร์ของทีม A และทีม B ต้องนำโจทย์ไประดมความคิดกันในทีม และก่อนนำเสนอ จะต้องขายไอเดียของแต่ละทีมให้ CEO ตัดสินว่าไอเดียของทีมไหนน่าสนใจกว่ากัน ปรากฏว่าในวันนั้น โปรเจกต์ที่ทีมของคุณกล้วยคิดถูกรับเลือกและได้รับความสนใจจาก CEO ซึ่งในระหว่างนั้น คุณกล้วยสังเกตเห็นสีหน้าของเมเนเจอร์ทีม A ดูไม่พอใจเล็กน้อย อาจเพราะเขาอยู่มาก่อน มีทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิที่สูงกว่า กลับกลายเป็นว่าผลงานของคุณกล้วยโดดเด่นกว่า แต่กระบวนการทำงานยังมีอีกขั้นตอนก่อนไฟนอล นั่นคือ การนำไอเดียกลับมาทบทวนกันอีกครั้ง แล้วสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป… วันถัดมา ในที่ประชุม CEO ตำหนิทีมของคุณกล้วยอย่างรุนแรงด้วยคำพูดที่เย็นชาว่า “จ้างเงินเดือนขนาดนี้ คิดงานได้แค่นี้เองเหรอ?” ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาซื้อไอเดียนี้ไปแล้ว แต่สุดท้าย CEO กลับไปเลือกไอเดียของเมเนเจอร์ทีม A แทน คุณกล้วยรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง เมเนเจอร์ทีม A เดินทางกลับต่างจังหวัด และมีของกลับมาฝากทุกคนในทีม คุณกล้วยก็ได้รับขนมมาหนึ่งชุดเช่นกัน ด้วยความเกรงใจจึงรับไว้และทาน หลังจากทานของฝากวันนั้น ทุกครั้งที่อยู่ที่ทำงาน หรือแม้แต่เดินกลับบ้าน คุณกล้วยรู้สึกเหมือนมี ใครบางคนกำลังจ้องมองอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกนี้จะหายไปก็ต่อเมื่อขึ้นห้อง แต่กลับรู้สึกว่า มีสายตาลึกลับจ้องมาจากนอกหน้าต่างอยู่เสมอ จนกระทั่งคืนนั้น คุณกล้วยนอนหลับไปตามปกติ แต่แล้วก็ฝันว่า มีบางอย่างรูปร่างท้วมมานั่งทับที่ตัวแล้วเอามือมากดที่ใบหน้า บีบตรงจมูกและปาก เหมือนพยายามกดให้หัวจมไปในหมอน แรงกดนั้นรุนแรงมาก ราวกับต้องการให้หายใจไม่ออกแล้วก็พยายาม ล้วงมือลึกเข้ามาในปาก แล้วกดซ้ำที่ฟัน จนรู้สึกเจ็บไปทั้งปาก คุณกล้วยพยายามดิ้นสุดแรงจนหลุดออกมาได้ แล้วก็ สะดุ้งตื่นขึ้นมา เมื่อมองไปที่ปลายเตียง เขาเห็นเงาร่างหนึ่ง ค่อย ๆ ก้าวลงจากเตียง ก่อนจะจางหายไปต่อหน้าต่อตา ที่น่ากลัวกว่านั้นคือปากของคุณกล้วยมีเลือดซึมออกมา รู้สึกปวดฟันเหมือนถูกกดทับอย่างแรง ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในฝันเป็นเรื่องจริง! แต่ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ในตอนเช้า แฟนของคุณกล้วยที่พักอยู่ที่เดียวกันก็ได้ฝันเหมือนกันและเล่าให้เขาฟังว่า มีคนมานั่งทับที่ตัวและใช้มือมาพยายามกดที่หน้า ซึ่งเป็นลักษณะที่คล้ายกัน แต่ในฝันของแฟนได้ยินเสียงกระซิบข้างหูบอกให้แฟนมาบอกคุณกล้วยว่า “ถ้าอยากอยู่ที่นี่อย่างสบาย ๆ ก็ให้รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวไว้หน่อย” หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไป เขาก็ไม่ได้นำเรื่องที่ฝันไปเล่าให้คนที่ออฟฟิศฟัง แต่ด้วยความที่ตอนนั้นสถานการณ์บางอย่างในออฟฟิศมันหนักกว่าที่เขาจะรับมือได้ เขาจึงตัดสินใจลาออกจากออฟฟิศนั้น หลังจากวันที่คุณกล้วยลาออก เขามีโอกาสได้พบกับรุ่นน้องในทีม ซึ่งเปิดประเด็นคุยด้วยคำถามว่า “พี่กล้วยจำวันที่เรารับขนมจากพี่เมเนเจอร์ทีม A ได้ไหม” ตอนแรกคุณกล้วยไม่ได้เอะใจว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับอะไรเป็นพิเศษ แต่เมื่อน้องเริ่มเล่า เขากลับรู้สึกอยากฟังต่อ น้องบอกว่าอยากเตือนให้คุณกล้วยระวังตัวจากพี่เมเนเจอร์ทีม A เพราะในออฟฟิศมีข่าวลือกันว่า พี่เมเนเจอร์คนนั้นเลี้ยงผี แต่เหตุผลที่น้องไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อน อาจเป็นเพราะกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง น้องเล่าต่อว่า คำว่า ‘เลี้ยงผี’ ในที่นี้ อาจไม่ได้หมายถึงการใช้สิ่งลี้ลับเล่นงานใครโดยตรง แต่เป็นการทำเพื่อ ไม่ให้ใครก้าวขึ้นมาเหนือกว่าเขา และนั่นอาจเป็นสาเหตุว่าทำไม ตำแหน่งของคุณกล้วยถึงมีคนเข้ามาอยู่ได้ไม่นาน เพราะแต่ละคนที่รับตำแหน่งนี้ ก็มักจะต้องลาออกไปด้วยเหตุผลคล้าย ๆ กัน ซึ่งวันที่น้องนำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ก็คือวันที่เขาตัดสินใจลาออกเช่นกัน…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเเรก 'บ้านฝรั่ง' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

31 ส.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเเรก 'บ้านฝรั่ง' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

‘คุณแรก’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘บ้านฝรั่ง’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณแรกเล่าว่าตนทำรายการผีท้องถิ่นในจังหวัดนครราชสีมา วันหนึ่ง มีข้อความของแฟนรายการเด้งขึ้นมาว่าต้องการให้คุณแรกพูดถึง ‘บ้านมอญโคราช’ แต่คุณแรกรู้สึกว่าเรื่องนี้คนพูดถึงเยอะแล้ว คุณแรกจึงบอกแฟนรายการคนนั้นไปว่า “มีอีกหนึ่งเรื่องเกี่ยวกับบ้านที่เฮี้ยนในโคราช ที่ไม่ใช่บ้านมอญ อยากฟังไหม” แฟนรายการคนนั้นก็สนใจอยากฟัง คุณแรกจึงเล่าว่า.. เรื่องนี้เล่าย้อนไปในสมัยที่คุณแรกเล่นดนตรีในโรงแรม 5 ดาวที่โคราช เป็นช่วงยุค 90 เป็นช่วงที่รายการผีขยับจากหน้าจอวิทยุมาเป็นหน้าจอโทรศัพท์ ทำให้คุณแรกที่ชอบรายการแนวนี้ก็ตื่นเต้นเป็นพิเศษ พอช่วงเบรคของการเล่นดนตรี คุนแรกก็ลงมาพัก ในขณะที่นั่งพักคุณแรกและเพื่อนในวงก็นั่งคุยกันเกี่ยวกับรายการผี คุณแรกจึงเปิดประเด็นว่า “หลังจากเงินออกของอาทิตย์นี้ เราทุกคนมาลงขันกัน แล้วในวงดนตรีถ้าใครใจถึง ไปล่าท้าผีกัน” โดยจะให้ไปนอนสักที่ ซึ่ง ณ ตอนนั้นคุณแรกก็ยังไม่มีสถานที่ในหัวว่าจะเป็นที่ไหน คุณแรกจึงถามต่อว่ามีใครใจถึงไหม ปรากฏว่า ‘พี่บิ๊ก’ มือกลองที่เป็นคนตัวใหญ่ผมยาวก็พูดขึ้นมาว่า “พี่ไม่กลัวหรอก พี่ไปเอง คนละ 500 ใช่ไหม” ในจังหวะที่ทุกคนพูดคุยกันอยู่ก็มีคุณลุงคนหนึ่งเดินผ่านไปเข้าห้องน้ำ และเหมือนคุณลุงคนนี้จะได้ยินเรื่องที่คุยกัน เมื่อคุณลุงออกจากห้องน้ำและกำลังจะเดินกลับไปคุณลุงก็ได้แวะพูดคุยกับกลุ่มของคุณแรก ว่า “หาบ้านลองของอยู่หรอ ลุงรับดูแลบ้านหลังหนึ่งอยู่ บ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่ได้เกินสามวัน” คุณแรกและเพื่อน ๆ จึงขอให้คุณลุงเล่ารายละเอียดให้ฟัง คุณลุงจึงเล่าว่า.. บ้านหลังนี้เป็นบ้านของสามีภรรยา โดยสามีเป็นฝรั่ง ส่วนภรรยาเป็นคนไทย ตัวสามีฝรั่งเป็นทหารมาก่อน พอเกษียณก็มาใช้ชีวิตบั้นปลายที่ประเทศไทย ส่วนฝ่ายภรรยาก็เป็นหญิงม้ายที่ทำงานที่พัทยาและได้เจอกับสามีคนนี้ และทางสามีก็ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะส่งเงินมาให้เพื่อไปซื้อบ้านซื้อที่ดินในโคราชและตกลงจะแต่งงานแล้วจดทะเบียนอยู่ด้วยกัน เมื่อสามีเกษียณก็ให้ภรรยาลาออกจากงานที่พัทยามาเป็นแม่บ้านที่โคราชเพื่อจะอยู่ด้วยกัน ประเทศของฝั่งสามีนั้นมีเงินบำนาญให้ทุกเดือน ตัวสามีเองจึงมีเงินก้อนอยู่จำนวนหนึ่ง จึงเป็นคนมีเงิน เมื่อย้ายมาอยู่โคราช ก็เริ่มไปเที่ยวกลางคืน เริ่มมีเพื่อนเยอะ และได้ไปติดเด็กเอ็นในสถานที่บันเทิงแห่งหนึ่ง สามีเมาทุกวัน ไม่กลับบ้าน และเปย์เด็กเอ็น จนภรรยาเริ่มสงสัยว่าทำไมสามีหายไป โดยส่วนตัวภรรยานั้นมีความคาดหวังกับเรื่องครอบครัวสูงเพราะเคยผิดหวังกับเรื่องนี้มาแล้ว ภรรยาจึงจ้างนักสืบเอกชนจนได้รู้ว่าสามีของตนนั้นติดเด็กเอ็น ภรรยาจึงเก็บความแค้นไว้ในใจ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจนมาถึงวันครบรอบแต่งงาน ภรรยาก็ได้บอกสามีว่า “วันนี้ไม่ต้องไปเที่ยวนะ เราจะฉลองกันที่บ้าน” เมื่อกินข้าวเสร็จ ภรรยาก็ได้เอาเค้กมาเซอร์ไพรซ์ให้เป่าเค้กวันครบรอบแต่งงาน ในขณะที่สามีกำลังก้มลงไปเป่าเค้กนั้น ทางด้านภรรยาก็เอาปืนสั้นที่เหน็บหลังออกมาและยิงไปที่หัวของสามี จากนั้นก็ยิงตัวเองตายตาม ทางด้านญาติจึงรีโนเวทบ้านและปล่อยเช่า แต่คนที่มาเช่าส่วนมากก็อยู่ไม่นานและพากันคืนบ้านกันหมด เมื่อคุณลุงเล่าจบ คุณแรกก็รู้สึกสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ คุณแรกจึงเพิ่มกติกาพิเศษคือให้พี่บิ๊กถอดพระห้ามมีพระติดตัวตอนที่ไปบ้านหลังนั้น โดยให้เข้าไปนอนหลังเลิกงาน เมื่อฟ้าสางก็มารับเงินได้เลย พอถึงวันนัด พี่บิ๊กก็ดื่มเบียร์ก่อนไปจะได้หลับสบาย เมื่อพี่บิ๊กไปถึงบ้านหลังนั้นคุณลุงก็บอกว่าไม่สามารถเปิดไฟให้ได้เพราะตอนนี้ไม่มีใครเช่า ถ้าเปิดไฟอาจจะเกิดปัญหากับตัวคุณลุงได้ เมื่อพี่บิ๊กเข้าไปก็จะมีห้องนอนอยู่ห้องเดียวซึ่งเป็นห้องของสามีภรรยาคู่นี้และต้องนอนที่นี่ พี่บิ๊กที่ดื่มเบียร์มาก็ได้เคลิ้มหลับไป แต่พอผ่านไปสักพักก็รู้สึกว่าตัวเองโดนกระตุกขาจึงลืมตาตื่นขึ้นมาแต่ก็ไม่เห็นมีอะไร เห็นแค่แสงไปผ่าน ๆ จากข้างนอก พี่บิ๊กจึงหลับต่อ แต่มันก็เริ่มหนักขึ้นคือโดนดึงผม กระฉากผมเหมือนต้องการให้ลงจากเตียง พี่บิ๊กก็รู้สึกเจ็บและโมโห จึงลุกขึ้นมามองแต่ก็ไม่เห็นอะไร จากนั้นก็ล้มตัวลงไปนอนอีกรอบ ซึ่งรอบนี้โดนถีบจนตกเตียง พี่บิ๊กลุกขึ้นมามองหาว่าใครทำ ก็เห็นเป็นผู้หญิงใส่ชุดนอนเปื้อนเลือดผมยาวหยักศกนั่งยิ้มให้! พี่บิ๊กเห็นแบบนั้นก็ตกใจรีบวิ่งลงไปที่ประตูรั้วเหล็ก แต่ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าถ้าออกไปตอนนี้จะไม่ได้เงิน จึงกลับมานั่งบนโซฟาเพื่อตั้งสติ แล้วก็ขึ้นไปนอนต่ออีกรอบ โดยท่าทางคือนอนหงาย แต่สิ่งที่เห็นเมื่อครู่ก็ทำให้หายง่วง จึงหยิบบุหรี่ขึ้นมาตั้งใจจะสูบ พอสูบเสร็จ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาบังคับหน้าให้หันไป พี่บิ๊กก็พยายามหันสู้แต่มันหนักมาก พอเหลือบตาไปมองว่าคืออะไร สิ่งนั้นคือเท้าของฝรั่งตัวใหญ่ นั่งอยู่บนหัวเตียงและเอาเท้ามายันหน้าไว้ และก้มลงมามองพร้อมพูดว่า “Don’t smoke” ในระหว่างที่พี่บิ๊กโดนเหยียบหน้าอยู่ ก็เห็นผู้หญิงเดินมาจากประตูมาที่ข้าง ๆ เตียงและเอาปืนมายิงฝรั่งที่กำลังเหยียบหัวอยู่จนล้มลงมาบนเตียง และผู้หญิงคนนั้นก็เอาปืนมายิงตัวเอง เหมือนกำลังทำภาพเดจาวูให้เห็นอีกครั้ง พี่บิ๊กสติหลุดกระโดดออกจากระเบียงวิ่งหนีสุดชีวิต เมื่อถึงตอนเช้า ทุกคนก็โทรหาพี่บิ๊กแต่พี่บิ๊กก็ไม่พูดอะไรและบอกว่าค่อยเจอกันตอนทำงาน เมื่อถึงที่ทำงาน พี่บิ๊กก็เล่าทุกอย่างที่เห็นให้ฟัง และหลังจากเรื่องนี้พี่บิ๊กที่บอกว่าเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผีกลับกลายเป็นว่าเวลาที่คุณแรกและเพื่อน ๆ คุยเรื่องผี พี่บิ๊กจะเดินหนีตลอด..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณโดนัท 'พี่สาวสไบเเดง' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 10 ธ.ค. 2567 ]

18 ธ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณโดนัท 'พี่สาวสไบเเดง' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 10 ธ.ค. 2567 ]

‘คุณโดนัท’ สายจากทางบ้านได้นำเรื่อง ‘พี่สาวสไบแดง’ มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (10 ธันวาคม 2567) ฟังกัน มาดูกันว่า ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ จะรู้สึกอย่างไร เรื่องราวจะน่ากลัวขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย! ‘คุณโดนัท’ เล่าว่าเรื่องนี้เป็นประสบการณ์ร่วมกันของคุณโดนัทและเพื่อน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ช่วงที่ทุกคนในบริษัททำงานหนักและจะต้องกลับบ้านดึกเป็นประจำ วันที่เกิดเรื่องขึ้นเป็นช่วงกลางดึก ในห้องออฟฟิศจะมีพนักงานอยู่ทั้งหมด 7 คน ห้องเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส เมื่อเปิดประตูเข้าไปจะเห็นหัวหน้านั่งอยู่ทางซ้ายมือ และตรงกลางมีพนักงาน 4 คนที่นั่งหันหน้าชนกัน 2 คนด้านหลังนั่งหันหน้าออกมาทางประตู วันนั้นเป็นอีกหนึ่งวันที่ต้องทำงานอยู่ที่บริษัทจนดึก ในหน่วยงานจะมีการแบ่งทีมทำงาน โดยมีคน 3 คนทำงานเอกสาร ซึ่งเยอะมาก ๆ ขณะที่พวกเขาทำงานเอกสารกันอยู่ และเอกสารเหล่านี้จะต้องไปยื่นกับทางราชการ ถ้าไปยื่นเลยกำหนดเดดไลน์ จะทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายหลักหมื่น ซึ่งพวกเขาเคยส่งมาแล้วหลายรอบ แต่ไม่ผ่านสักครั้ง จนหัวหน้าได้มีการพูดล้อเล่นลอย ๆ ว่า “ถ้ายื่นเอกสารผ่านสักทีนะ จะซื้อรีเจนซี่ถวายเลย” หลังจากนั้น 2-3 วัน เป็นวันที่คุณโดนัทและเพื่อนกลับก่อน ในห้องทำงานจะเหลืออยู่ 2 คน คนหนึ่งสมมติว่าชื่อ ‘พี่ปอ’ อีกคนชื่อ ‘คุณออ’ คุณอออายุรุ่นเดียวกันกับคุณโดนัท วันนั้นทั้งสองคนอยู่ในห้องด้วยกัน ช่วงเวลาประมาณ 1 – 2 ทุ่ม พี่ปอนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงานคนเดียว ซึ่งหน้าห้องจะเป็นกระจกใสทั้งบาน มีไว้เพื่อเวลาคนมาติดต่อจะเห็นกันได้ง่าย ส่วนคุณออได้ออกจากห้องเพื่อที่จะไปเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน ในขณะที่คุณออเดินกลับมา หางตาเหลือบไปเห็นว่ามีใครบางคนอยู่ในห้อง ซึ่งไม่ใช่พี่ปอแต่เป็นคนอื่น คุณออจึงหันหน้าไปดู และสิ่งที่เห็นคือ ผู้หญิงนั่งอยู่ด้านหลังสุด เป็นเก้าอี้ที่หันมาทางประตู ใส่ชุดไทยสไบสีแดง หน้าสีขาว ปากแดง ใส่ชฎา นั่งระหว่างโต๊ะสองตัวที่อยู่ด้านในสุด นั่งตรงกลาง และมองออกมาทางคุณออ คุณออตกใจมาก จึงรีบเปิดประตูเข้าไปในห้อง และบอกพี่ปอว่า “กลับบ้าน กลับบ้านเดี๋ยวนี้ กลับเลย หยิบกระเป๋ากลับ” พี่ปอก็ทำหน้างง แต่ก็ทำตามสิ่งที่คุณออบอก หยิบของและเดินออกมา ในระหว่างนั้น คุณโดนัทที่อยู่บ้าน ก็เห็นแชทไลน์เด้งขึ้นมา ซึ่งเป็นไลน์จากคุณออ ไลน์มาว่า “พี่โดนัท ผีอีเม้ยกับผีหนูแดงหน้าตาเป็นยังไง” ‘ผีอีเม้ย’ เกิดจากการที่คุณโดนัทเคยทำคลิปวิดีโอในองค์กร ซึ่งคุณโดนัทเล่นเป็นผีอีเม้ย ที่อยู่ในห้องทำงาน จึงเป็นที่จดจำว่าในห้องนี้มีผีอีเม้ย ส่วนผีหนูแดงเป็นสิ่งที่คุณโดนัทพูดเล่น ไม่ได้มีกุมารหรือว่าอะไรอยู่บางครั้งในห้องก็จะมีเสียงกดปากกา เสียงพิมพ์ดีด เสียงกระดาษพลิกหน้าบ่อย ๆ จึงทำให้มีคำเรียกผีหนูแดงขึ้นมา หลังจากนั้นคุณออก็ได้โทรมาหาคุณโดนัท และเล่าเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้น คุณโดนัทก็คิดว่าตัวเองยังไม่เคยเจอ เพราะปกติคุณโดนัทเป็นคนที่เจอผีบ่อยมาก แต่ไม่เคยเจอผีชุดไทยสีแดงนี้ ในห้องยิ่งไม่เคยเจอ คุณโดนัทจึงนึกไม่ออกว่าเป็นอย่างไร และพูดตอบไปว่า “ไม่เคยเจอนะ ไม่น่าใช่หนูแดงแล้วก็ไม่น่าใช่อีเม้ยหรือเปล่า” หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็ย้ายไปคุยกันในไลน์กลุ่มแทน คุณออได้ส่งรูปมาให้ดูเป็นรูปของ ‘นุ่น-วรนุช’ ที่แสดงละคร ใส่ชุดแดง หน้าขาว ปากแดง คุณโดนัทจึงนึกขึ้นได้อย่างหนึ่งคือ คล้ายกับนางรำในศาลหน้าที่ทำงานหรือเปล่า แต่คุณโดนัทก็นึกไม่ออกว่านางรำในศาลหน้าที่งานใส่ชุดสีอะไร จะใช่หรือเปล่า หลังจากนึกขึ้นได้ คุณโดนัทก็พิมพ์ไปในกลุ่มว่า ‘เอ้ะ หรือว่าเป็นนางรำหน้าที่ทำงานของเรา’ ข้างหน้าที่ทำงานของคุณโดนัท จะมีศาลพระพรหมและศาลตายายติดกัน ในศาลพระพรหมจะมีนางรำ ใส่สไบแดงทั้งหมด ด้วยความสงสัยคุณโดนัทจึงเข้าไปเสิร์ช Google ว่า ศาลพร้อมกับชื่อที่ทำงานของคุณโดนัท พอมีรูปศาลขึ้นมา พอคุณโดนัทซูมเข้าไปดู ปรากฏว่านางรำที่อยู่ศาลใส่ชุดสีแดง สไบแดง มีชฎา คุณโดนัทจึงได้บันทึกรูปนี้ แล้วส่งเข้าไปในกลุ่ม คุณออก็พิมพ์ตอบกลับมาว่า ‘ใช่เลย แบบนี้เลย’ วันรุ่งขึ้น คุณออก็ได้นำเรื่องนี้ไปบอกกับหัวหน้า หัวหน้าก็ค่อนข้างตกใจกับสิ่งที่น้องในห้องเจอ สุดท้ายก็ต้องไปซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปถวายอย่างที่บอกไว้จริง ๆ เพราะ คาดว่าเขาน่าจะมาทวงสิ่งที่หัวหน้าเคยพูดไปแบบลอย ๆ เพราะหลังจากที่หัวหน้าพูดไปแบบนั้น ในวันเดดไลน์ตอนที่นำเอาเอกสารไปส่ง เจ้าหน้าที่ที่ตรวจเอกสารนั้น แค่เปิดก็ให้ผ่านไปแบบง่าย ๆ โดยที่ไม่ตรวจ ดังนั้นคุณโดนัทจึงคิดว่าสิ่งนี้เหมือนกับการบนบาน จึงได้ซื้อแอลกอฮอล์มากล่าวไหว้กันในห้อง หลังจากนั้นก็ไม่เจอผู้หญิงใส่ชุดไทยสีแดงอีกเลย...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1