เรื่องเล่าจากคุณเเรก 'บ้านฝรั่ง' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเเรก 'บ้านฝรั่ง' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

31 ส.ค. 2024

    ‘คุณแรก’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘บ้านฝรั่ง’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย!

    คุณแรกเล่าว่าตนทำรายการผีท้องถิ่นในจังหวัดนครราชสีมา วันหนึ่ง มีข้อความของแฟนรายการเด้งขึ้นมาว่าต้องการให้คุณแรกพูดถึง ‘บ้านมอญโคราช’ แต่คุณแรกรู้สึกว่าเรื่องนี้คนพูดถึงเยอะแล้ว คุณแรกจึงบอกแฟนรายการคนนั้นไปว่า

    “มีอีกหนึ่งเรื่องเกี่ยวกับบ้านที่เฮี้ยนในโคราช ที่ไม่ใช่บ้านมอญ อยากฟังไหม”

    แฟนรายการคนนั้นก็สนใจอยากฟัง คุณแรกจึงเล่าว่า..

    เรื่องนี้เล่าย้อนไปในสมัยที่คุณแรกเล่นดนตรีในโรงแรม 5 ดาวที่โคราช เป็นช่วงยุค 90 เป็นช่วงที่รายการผีขยับจากหน้าจอวิทยุมาเป็นหน้าจอโทรศัพท์ ทำให้คุณแรกที่ชอบรายการแนวนี้ก็ตื่นเต้นเป็นพิเศษ พอช่วงเบรคของการเล่นดนตรี คุนแรกก็ลงมาพัก ในขณะที่นั่งพักคุณแรกและเพื่อนในวงก็นั่งคุยกันเกี่ยวกับรายการผี คุณแรกจึงเปิดประเด็นว่า

    “หลังจากเงินออกของอาทิตย์นี้ เราทุกคนมาลงขันกัน แล้วในวงดนตรีถ้าใครใจถึง ไปล่าท้าผีกัน”

    โดยจะให้ไปนอนสักที่ ซึ่ง ณ ตอนนั้นคุณแรกก็ยังไม่มีสถานที่ในหัวว่าจะเป็นที่ไหน คุณแรกจึงถามต่อว่ามีใครใจถึงไหม ปรากฏว่า ‘พี่บิ๊ก’ มือกลองที่เป็นคนตัวใหญ่ผมยาวก็พูดขึ้นมาว่า

    “พี่ไม่กลัวหรอก พี่ไปเอง คนละ 500  ใช่ไหม”

    ในจังหวะที่ทุกคนพูดคุยกันอยู่ก็มีคุณลุงคนหนึ่งเดินผ่านไปเข้าห้องน้ำ และเหมือนคุณลุงคนนี้จะได้ยินเรื่องที่คุยกัน เมื่อคุณลุงออกจากห้องน้ำและกำลังจะเดินกลับไปคุณลุงก็ได้แวะพูดคุยกับกลุ่มของคุณแรก ว่า

    “หาบ้านลองของอยู่หรอ ลุงรับดูแลบ้านหลังหนึ่งอยู่ บ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่ได้เกินสามวัน”

    คุณแรกและเพื่อน ๆ จึงขอให้คุณลุงเล่ารายละเอียดให้ฟัง คุณลุงจึงเล่าว่า..

    บ้านหลังนี้เป็นบ้านของสามีภรรยา โดยสามีเป็นฝรั่ง ส่วนภรรยาเป็นคนไทย ตัวสามีฝรั่งเป็นทหารมาก่อน พอเกษียณก็มาใช้ชีวิตบั้นปลายที่ประเทศไทย ส่วนฝ่ายภรรยาก็เป็นหญิงม้ายที่ทำงานที่พัทยาและได้เจอกับสามีคนนี้ และทางสามีก็ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะส่งเงินมาให้เพื่อไปซื้อบ้านซื้อที่ดินในโคราชและตกลงจะแต่งงานแล้วจดทะเบียนอยู่ด้วยกัน เมื่อสามีเกษียณก็ให้ภรรยาลาออกจากงานที่พัทยามาเป็นแม่บ้านที่โคราชเพื่อจะอยู่ด้วยกัน ประเทศของฝั่งสามีนั้นมีเงินบำนาญให้ทุกเดือน ตัวสามีเองจึงมีเงินก้อนอยู่จำนวนหนึ่ง จึงเป็นคนมีเงิน เมื่อย้ายมาอยู่โคราช ก็เริ่มไปเที่ยวกลางคืน เริ่มมีเพื่อนเยอะ และได้ไปติดเด็กเอ็นในสถานที่บันเทิงแห่งหนึ่ง สามีเมาทุกวัน ไม่กลับบ้าน และเปย์เด็กเอ็น จนภรรยาเริ่มสงสัยว่าทำไมสามีหายไป โดยส่วนตัวภรรยานั้นมีความคาดหวังกับเรื่องครอบครัวสูงเพราะเคยผิดหวังกับเรื่องนี้มาแล้ว ภรรยาจึงจ้างนักสืบเอกชนจนได้รู้ว่าสามีของตนนั้นติดเด็กเอ็น ภรรยาจึงเก็บความแค้นไว้ในใจ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจนมาถึงวันครบรอบแต่งงาน ภรรยาก็ได้บอกสามีว่า

    “วันนี้ไม่ต้องไปเที่ยวนะ เราจะฉลองกันที่บ้าน”

    เมื่อกินข้าวเสร็จ ภรรยาก็ได้เอาเค้กมาเซอร์ไพรซ์ให้เป่าเค้กวันครบรอบแต่งงาน ในขณะที่สามีกำลังก้มลงไปเป่าเค้กนั้น ทางด้านภรรยาก็เอาปืนสั้นที่เหน็บหลังออกมาและยิงไปที่หัวของสามี จากนั้นก็ยิงตัวเองตายตาม ทางด้านญาติจึงรีโนเวทบ้านและปล่อยเช่า แต่คนที่มาเช่าส่วนมากก็อยู่ไม่นานและพากันคืนบ้านกันหมด

    เมื่อคุณลุงเล่าจบ คุณแรกก็รู้สึกสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ คุณแรกจึงเพิ่มกติกาพิเศษคือให้พี่บิ๊กถอดพระห้ามมีพระติดตัวตอนที่ไปบ้านหลังนั้น โดยให้เข้าไปนอนหลังเลิกงาน เมื่อฟ้าสางก็มารับเงินได้เลย

    พอถึงวันนัด พี่บิ๊กก็ดื่มเบียร์ก่อนไปจะได้หลับสบาย เมื่อพี่บิ๊กไปถึงบ้านหลังนั้นคุณลุงก็บอกว่าไม่สามารถเปิดไฟให้ได้เพราะตอนนี้ไม่มีใครเช่า ถ้าเปิดไฟอาจจะเกิดปัญหากับตัวคุณลุงได้ เมื่อพี่บิ๊กเข้าไปก็จะมีห้องนอนอยู่ห้องเดียวซึ่งเป็นห้องของสามีภรรยาคู่นี้และต้องนอนที่นี่

    พี่บิ๊กที่ดื่มเบียร์มาก็ได้เคลิ้มหลับไป แต่พอผ่านไปสักพักก็รู้สึกว่าตัวเองโดนกระตุกขาจึงลืมตาตื่นขึ้นมาแต่ก็ไม่เห็นมีอะไร เห็นแค่แสงไปผ่าน ๆ จากข้างนอก พี่บิ๊กจึงหลับต่อ แต่มันก็เริ่มหนักขึ้นคือโดนดึงผม กระฉากผมเหมือนต้องการให้ลงจากเตียง พี่บิ๊กก็รู้สึกเจ็บและโมโห จึงลุกขึ้นมามองแต่ก็ไม่เห็นอะไร จากนั้นก็ล้มตัวลงไปนอนอีกรอบ ซึ่งรอบนี้โดนถีบจนตกเตียง พี่บิ๊กลุกขึ้นมามองหาว่าใครทำ ก็เห็นเป็นผู้หญิงใส่ชุดนอนเปื้อนเลือดผมยาวหยักศกนั่งยิ้มให้!

    พี่บิ๊กเห็นแบบนั้นก็ตกใจรีบวิ่งลงไปที่ประตูรั้วเหล็ก แต่ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าถ้าออกไปตอนนี้จะไม่ได้เงิน จึงกลับมานั่งบนโซฟาเพื่อตั้งสติ แล้วก็ขึ้นไปนอนต่ออีกรอบ โดยท่าทางคือนอนหงาย แต่สิ่งที่เห็นเมื่อครู่ก็ทำให้หายง่วง จึงหยิบบุหรี่ขึ้นมาตั้งใจจะสูบ พอสูบเสร็จ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาบังคับหน้าให้หันไป พี่บิ๊กก็พยายามหันสู้แต่มันหนักมาก พอเหลือบตาไปมองว่าคืออะไร สิ่งนั้นคือเท้าของฝรั่งตัวใหญ่ นั่งอยู่บนหัวเตียงและเอาเท้ามายันหน้าไว้ และก้มลงมามองพร้อมพูดว่า

    “Don’t smoke”

    ในระหว่างที่พี่บิ๊กโดนเหยียบหน้าอยู่ ก็เห็นผู้หญิงเดินมาจากประตูมาที่ข้าง ๆ เตียงและเอาปืนมายิงฝรั่งที่กำลังเหยียบหัวอยู่จนล้มลงมาบนเตียง และผู้หญิงคนนั้นก็เอาปืนมายิงตัวเอง เหมือนกำลังทำภาพเดจาวูให้เห็นอีกครั้ง พี่บิ๊กสติหลุดกระโดดออกจากระเบียงวิ่งหนีสุดชีวิต

    เมื่อถึงตอนเช้า ทุกคนก็โทรหาพี่บิ๊กแต่พี่บิ๊กก็ไม่พูดอะไรและบอกว่าค่อยเจอกันตอนทำงาน เมื่อถึงที่ทำงาน พี่บิ๊กก็เล่าทุกอย่างที่เห็นให้ฟัง และหลังจากเรื่องนี้พี่บิ๊กที่บอกว่าเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผีกลับกลายเป็นว่าเวลาที่คุณแรกและเพื่อน ๆ คุยเรื่องผี พี่บิ๊กจะเดินหนีตลอด..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณขวัญ ‘ศูนย์รวมวิญญาณ’ I อังคารคลุมโปง X เอฟ พงศ์พิทักษ์ [ 14 พ.ค. 2567]

20 พ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณขวัญ ‘ศูนย์รวมวิญญาณ’ I อังคารคลุมโปง X เอฟ พงศ์พิทักษ์ [ 14 พ.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณขวัญ’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (14 พฤษภาคม 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ศูนย์รวมวิญญาณ’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณขวัญเริ่มเล่าว่า คุณขวัญทำอาชีพเป็นหมอดู ซึ่งคุณขวัญมีลูกดวงอยู่คนหนึ่ง เคยปรึกษาปัญหากันอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ลูกดวงอยากปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับคุณแม่ โดยคุณแม่มักจะมีอาการปวดเมื่อยไปทั่วร่างกาย ตั้งแต่ขาไล่จนมาถึงศีรษะ ซึ่งจะเป็นหนักในช่วงวันพระและวันโกนของทุก ๆ เดือน ลูกดวงเองจึงสัมผัสได้ว่า ‘น่าจะมีบางอย่างผิดปกติ..’ ลูกดวงคนนี้ อาศัยอยู่ในภาคอีสาน จึงมีความเชื่อเรื่องวิญญาณค่อนข้างมาก หลังจากนั้น คุณแม่ก็ได้ไปปรึกษากับ ‘หมอธรรม’ บุคคลที่มีคนให้ความนับถือทางด้านคาถาอาคมทางพุทธเวทย์และไสยเวทย์ เป็นหมอธรรมแถวบ้านท่านหนึ่ง หมอธรรมจึงทำพิธีสื่อวิญญาณ อ้างว่าดวงวิญญาณที่สื่อด้วยเป็น ‘วิญญาณของเจ้าที่’ ซึ่งดวงวิญญาณเกิดความไม่พอใจในตัวของคุณแม่ สาเหตุเป็นเพราะว่า คุณแม่ทำบุญให้น้อย ดวงวิญญาณยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ อีกทั้งต้องการให้คุณแม่รับขันธ์ และกลับมาทำพิธีขอขมาคุณพ่อ เพราะเจ้าที่ท่านไม่พอใจคุณแม่ที่ชอบบ่นชอบดุคุณพ่อ แถมยังกำชับว่า คุณแม่ต้องเซ่นไหว้ อาหารคาวหวาน และเหล้าในพื้นที่บริเวณบ้าน คุณแม่จึงตั้งข้อสงสัยว่า “การทำแบบนี้เป็นการเลี้ยงผีหรือเปล่า?” ทำให้คุณแม่ไม่ได้ทำตามที่คุณหมอธรรมแนะนำมา หลังจากนั้นลูกดวงก็ส่งโทรศัพท์ให้คุณแม่คุยกับคุณขวัญ สิ้นเสียงคำว่า “ฮัลโหล” สิ่งที่คุณขวัญเห็น คือ บ้านไม้เก่า ๆ หนึ่งหลังที่ใต้ถุนบ้านยกขึ้นสูง แล้วก็ยังเห็นดวงวิญญาณของผู้ชายดวงหนึ่ง มีลักษณะสูงค่อนไปทางผอม หน้าคม ผิวสีดำแดง มีท่าทางคล้ายกับคนของเมา คุณขวัญจึงบอกภาพที่เห็นให้กับคุณแม่ฟัง คุณแม่ก็ไม่ได้มีท่าทีใดตอบกลับมา คุณขวัญจึงถามคุณแม่ไปว่า “ปกติคุณพ่อดื่มเหล้าไหมคะ.. แล้วช่วงนี้คุณพ่อมีอาการแปลกออกไปหรือเปล่า ?” หลังจากที่คุณขวัญถามไป คุณแม่จึงยอมเล่าว่า “โดยปกติแล้วคุณพ่อเป็นคนดื่มเหล้า และชอบสังสรรค์กับเพื่อน แต่ช่วงหลังมานี้ คุณพ่อดื่มหนักมากจนเกินไป ตกเย็นมาเป็นอันต้องดื่ม จนบางครั้งคุณพ่อก็นั่งดื่มคนเดียวที่หน้าบ้าน แต่ที่น่าแปลกคือ คุณพ่อมีท่าทีเหมือนกำลังนั่งคุยอยู่กับใครบางคน ทั้งที่จริงแล้วคุณพ่อนั่งอยู่คนเดียว จนกระทั่งคืนหนึ่ง เวลาประมาณเที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง คุณพ่อได้ลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปกินเหล้าที่หน้าบ้าน ซึ่งครั้งนี้คุณพ่อได้ลุกขึ้นเต้น ร้องรำทำเพลงและมีท่าทีที่สนุกสนาน ทั้งที่ปกติแล้วคุณพ่อไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน พอคุณแม่ตื่นมาเห็นก็ตกใจ ถามคุณพ่อว่า “แกเป็นอะไร ?” เมื่อคุณพ่อเห็นคุณแม่ก็ไม่พูดอะไร และรีบขับรถออกไปทันที กลับมาอีกทีคือช่วงเช้า” คุณขวัญจึงเรียบเรียงข้อมูลที่ได้รับมาบอกกับคุณแม่ไปว่า “คุณแม่คะ นั่นไม่ใช่คุณพ่อ แต่เป็นวิญญาณของผู้ชายคนนี้ที่กำลังแฝงคุณพ่ออยู่ แล้วสิ่งที่คุณหมอธรรมบอกกับคุณแม่ว่าเป็นเจ้าที่ แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย เป็นดวงวิญญาณของผู้ชายคนนี้ที่ยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ” ขวัญจึงถามคุณแม่ต่อว่า “คุณพ่ออยากกินก้อยบ้างไหม ? เพราะดวงวิญญาณนี้ จู่ ๆ ก็พูดขึ้นว่าก้อย” คุณแม่จึงตอบว่า “ใช่ ปกติคุณพ่อไม่เคยกินก้อยเลย แต่พอหลังจากเกิดเหตุการณ์แปลก ๆ คุณพ่อก็เลยเริ่มอยากกินก้อยขึ้นมา” ขวัญจึงบอกคุณว่า “ตอนนี้โดนผีหลอกของจริงแล้วละค่ะ” หลังจากนั้นคุณแม่ก็เล่าต่อว่า “ลักษณะบ้านที่ขวัญเห็น เคยเป็นบ้านที่อยู่ติดกับคุณแม่มาก่อน ซึ่งเจ้าของบ้านหลังนั้น มีพฤติกรรมติดเหล้ามาก ก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ” และในระหว่างที่ขวัญคุยกับคุณแม่อยู่ คุณขวัญก็มักจะได้ยินเสียงคนคุยกันแทรกบทสนทนาอยู่เสมอ คุณขวัญจึงบอกกับคุณแม่ว่า “คุณแม่ขวัญว่าไม่ได้มีแค่นี้แน่เลย คุณแม่ได้เจออะไรที่มันเยอะกว่านี้ไหม ?” คุณแม่จึงเล่าว่า “เคยมีเหตุการณ์ที่ลูกสะใภ้นอนอยู่ในห้อง แล้วก็เห็นวิญญาณของผู้หญิงตนหนึ่ง ชะโงกหน้าออกมามองตรงมาที่เตียงนอน และในช่วงเวลากลางคืน มักจะได้ยินเสียงคนเดินอยู่ในบริเวณบ้านเป็นประจำ” ซึ่งคุณแม่ทำอาชีพ ‘รับเหมาก่อสร้าง’ ทำให้มีคนงานเข้าออกอยู่เสมอ คนงานคนหนึ่งเคยมาเล่าให้ฟังว่า ช่วงเย็นหลังจากทำงาน ตนผูกเปลนอนเล่นใต้ต้นไม้ ช่วงที่กำลังจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงคนคุยเล่นกันเสียงดังสนุกสนาน แต่พอลืมตาตื่นขึ้นมา กลับไม่ได้ยินเสียงหรือเจอใครเลย นอกจากนี้ คุณแม่เองก็เคยเจอผีภายในบริเวณบ้าน พร้อมเล่าว่า “ตอนนั้นคุณแม่ออกมาตามคุณพ่อไปทานข้าว เมื่อเดินเข้าไปในห้อง กลับเห็นดวงวิญญาณสีดำสนิท ปีนอยู่ข้างกำแพง และกระโดดลอยออกนอกหน้าต่างไป” ซึ่งมักมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง คุณแม่เล่าต่ออีกว่า “คุณแม่มักได้ยินเสียง วี๊ด.. เบา ๆ บริเวณหลังบ้าน” และในระหว่างที่คุณแม่กำลังเล่าอยู่ ขวัญก็ได้เห็นภาพลักษณะคล้าย ‘เปรต’ อยู่บริเวณหลังบ้าน จึงถามคุณแม่ว่า “คุณแม่เคยเจอเปรตบ้างไหมคะ ?” คุณแม่ก็ตกใจถามว่า “รู้ได้ยังไง เพราะมีคนงานเคยเจอจริง ๆ ซึ่งเป็นช่วงเย็นหลังจากทำงาน คนงานคนนั้นกำลังนอนเล่นอยู่บริเวณหลังบ้าน เขาก็เห็นร่างสูงใหญ่ เดินข้ามกำแพงบ้านมาแล้วก็มาหยุดมองมาทางเขา ทำให้ไม่มีคนงานกล้านอนในบริเวณบ้านอีกเลย” ซึ่งเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้นภายในบ้านเยอะขึ้น และเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ โดยคุณแม่เล่าต่อว่า “วันนั้นเป็นช่วงที่คุณแม่กำลังทำกับข้าว มีลมลูกใหญ่ปะทะเข้ามาที่บ้าน ทำให้ประตูและหน้าต่างที่เปิดอยู่ ปิดเสียงดัง ปัง ! ปัง ! ปัง ! ไปทีละบาน ตอนนั้นคุณแม่ก็ไม่อยู่แล้ว รีบหอบข้าวหอบลูกไปอยู่กับพระอาจารย์ที่วัด” ซึ่งคุณแม่ต้องทนกับเหตุการณ์ประหลาดแบบนี้มาตลอด 4 ปีเต็ม โดยที่ทุกคนในบ้านก็เจอเช่นเดียวกัน ส่วนคุณพ่อก็เคยไปทำงานที่ต่างประเทศ คุณแม่เล่าว่า “คุณพ่อเคยเจอวิญญาณของผู้หญิงตนหนึ่ง นั่งหวีผมตรงสวยอยู่ที่หน้ากระจก ซึ่งคุณพ่อมักจะเจอดวงวิญญาณของผู้หญิงคนนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่คุณพ่อสัมผัสได้ว่าวิญญาณของผู้หญิงคนนี้มาดี เพราะเมื่อคุณพ่อฝันถึง ก็มักที่จะมีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้น เช่น ถูกลอตเตอรี่อยู่เสมอ” หลังจากนั้นคุณขวัญกับคุณแม่รวมถึงลูกดวง ก็ได้นัดมาเจอกันที่บ้านของคุณแม่ และทันทีที่ขวัญ ก้าวขาลงจากรถ ขวัญก็สัมผัสได้ทันทีว่า มีดวงวิญญาณเร่ร่อนมากมายอยู่ทุกจุด ทุกพื้นที่ในบริเวณบ้าน คุณขวัญจึงอธิบายกับคุณแม่ว่า “สาเหตุน่าจะเกิดจากการที่บริเวณบ้านของคุณแม่ เข้าออกได้ง่ายเกินไป สำหรับวิญญาณและสัมภเวสี” ขวัญจึงทำพิธีเชิญดวงวิญญาณออก หลังจากเสร็จพิธี ในระหว่างที่ขวัญกำลังจะแยกย้ายกลับ ลูกดวงก็ได้ถามว่า “ดวงวิญญาณผู้หญิงที่ตามติดคุณพ่อ คุณขวัญได้เชิญหรือจัดการอะไรไหม ?” ขวัญจึงตอบว่า “เรียบร้อยค่ะ” ลูกดวงยังแซวอีกว่า “สงสัยคุณพ่อจะถูกลอตเตอรี่น้อยลงแน่เลย” เช้าวันรุ่งขึ้นก็มีสายโทรศัพท์จากลูกดวงโทรเข้ามาเล่าว่า “ฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็นดวงวิญญาณที่ตามติดคุณพ่อ มายืนเคาะกระจกหน้าต่าง พร้อมโวยวายว่า เปิดบ้าน! เข้าบ้านไม่ได้! มีท่าทีกังวลรีบร้อน เหมือนคล้ายว่ากำลังจะหนีอะไรบางอย่าง” ขวัญจึงบอกว่า “น่าจะเกิดจากการที่เราคุยเล่นกัน แล้วดวงวิญญาณสำคัญตนว่าเจ้าของบ้านอยากให้อยู่ ก็เลยมีการเข้าฝัน เพื่อให้เจ้าของบ้านอนุญาตให้เขาอยู่” ท้ายที่สุดแล้ว ขวัญก็มานั่งคิดว่า “วันนั้นที่ขวัญไปบ้านของคุณแม่ ขวัญเจอดวงวิญญาณถึง 8-9 ตน สาเหตุคงเป็นเพราะพื้นที่บริเวณด้านหลังบ้านเป็นป่ารกร้าง และด้านหน้าบ้านไม่เคยปิดประตูเลย ซึ่งนับตั้งแต่คุณแม่เริ่มสร้างบ้านหลังนี้ คุณแม่ก็ไม่เคยตีกรอบพื้นที่บ้าน วันนั้นนอกเหนือจากการที่ขวัญทำพิธีเชิญดวงวิญญาณออก ขวัญก็ทำพิธีแบ่งเขตบ้านด้วย” ซึ่งเหตุการณ์ดูดวงในครั้งนี้ กลายเป็นสถิติใหม่.. ที่คุณขวัญพบเจอกับดวงวิญญาณมากที่สุดในชีวิต(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเต้ย ผีเหรียญ 'แอพหลอนสื่อวิญญาณ' I อังคารคลุมโปง X ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม [ 5 พ.ย. 2567 ]

10 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเต้ย ผีเหรียญ 'แอพหลอนสื่อวิญญาณ' I อังคารคลุมโปง X ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม [ 5 พ.ย. 2567 ]

หากคุณเป็นทาสแมว อาจจะต้องเสียน้ำตาให้กับเรื่องของ ‘คุณเต้ย ผีเหรียญ’ ที่ได้โทรเข้ามาเล่าเรื่อง ‘แอปหลอนสื่อวิญญาณ’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 พฤศจิกายน 2567) ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ มีทั้งรอยยิ้มและความหลอน จะเป็นอย่างไรไปอ่านกันเลย! ‘คุณเต้ย ผีเหรียญ’ เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของรุ่นน้องที่ชื่อว่า ‘คุณลูกนัท’ มีอาชีพเป็นหมอ จะขอเรียกว่า ‘หมอนัท’ ตอนนั้นหมอนัทได้ทุนเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น จึงได้ทำการเช่าบ้านพักอาศัยอยู่กับแฟนคนญี่ปุ่นที่ชื่อว่า ‘คุณเกนจิ’ โดยหมอนัทเลือกเช่าบ้านบริเวณใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัย บ้านหลังนั้นเป็นบ้านเช่าของ ‘คุณยายริกะ’ ซึ่งคุณยายริกะปลูกบ้าน 2 หลังไว้ติดกันเพื่อปล่อยเช่า หมอนัทสนิทกับคุณยายริกะมาก เนื่องจากหมอนัทกับคุณเกนจิเป็นทาสแมว และคุณยายริกะเองก็เลี้ยงแมวเยอะมาก แต่จะมีอยู่หนึ่งตัวเป็นตัวแสบประจำบ้าน ชื่อว่า ‘ชิโร่’ เป็นแมวเปอร์เซียอ้วนปุกปุย หน้ามึน ขนสีขาว ชิโร่มักจะชอบปีนข้ามมาที่บ้านหมอนัทเป็นประจำ ทำให้ทุก ๆ วัน คุณยายริกะต้องมาตามชิโร่กลับบ้าน วันหนึ่ง หลังจากที่หมอนัทเรียนเสร็จ หมอนัทได้รับข่าวร้ายว่า แมวที่บ้านของคุณยายริกะเสียชีวิตทั้งหมดอย่างไม่ทราบสาเหตุ เหลือแต่ชิโร่แมวตัวแสบเพียงตัวเดียว เนื่องจากชิโร่ชอบแอบไปอยู่ที่บ้านของหมอนัท คุณยายริกะนั้นไม่มีญาติทำให้ผูกพันกับแมวมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คุณยายริกะรู้สึกเสียใจมาก ทั้งยังมีอายุค่อนข้างมากแล้ว จึงทำให้คุณยายริกะเริ่มมีอาการป่วย จากนั้นไม่นาน คุณยายริกะก็เสียชีวิตลง.. หลังคุณยายเสียชีวิตประมาณหนึ่งอาทิตย์ เจ้าเหมียวชิโร่ก็ไม่มีเจ้าของเลี้ยงดู ตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่นแล้ว เหล่าแมวจรจัดจะต้องถูกการุณยฆาต คุณเกนจิจึงตัดสินใจรับเลี้ยงเจ้าชิโร่ต่อ ส่วนเรื่องบ้านเช่านั้น ทางบริษัทที่คุณยายริกะทำประกันไว้ ก็ได้ทำการยึดบ้านหลังนั้นคืน ทำให้ทั้งคู่ต้องไปหาที่พักใหม่ ด้วยความโชคดีที่ทั้งคู่ได้ที่พักใหม่ใกล้ ๆ กับย่านเดิม จึงไม่ต้องปรับตัวมากและก็ได้นำเจ้าชิโร่ไปอยู่บ้านหลังใหม่ด้วย หลังจากวันแรกที่ย้ายเข้าบ้านใหม่ เจ้าชิโร่ได้หายออกจากบ้านไป ทั้งคู่พยายามเดินออกตามหา จนสุดท้ายมาเจอเจ้าชิโร่นอนอยู่หน้าบ้านของคุณยายริกะ ซึ่งบ้านของคุณยายริกะกำลังถูกปรับให้เป็นร้านอาหาร เมื่อทั้งคู่เห็นเจ้าชิโร่ยิ่งทำให้สงสารมากกว่าเดิมเป็นพิเศษ เนื่องจากเจ้าชิโร่เสียคุณยายริกะไปและกลัวว่าเจ้าชิโร่จะเกิดอันตรายหากเดินไปเดินมาอย่างอิสระ จึงตัดสินใจขังเจ้าชิโร่ให้อยู่ในบ้าน เป็นการเลี้ยงระบบปิด กลายเป็นว่าเจ้าชิโร่ไม่ยอมกินข้าว หมอนัทกลัวว่าน้องจะป่วย จึงพาชิโร่ไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อให้เพื่อนที่เป็นสัตวแพทย์ช่วยตรวจให้ พอตรวจดูจึงรู้ว่าชิโร่มีอาการซึมเศร้า สัตวแพทย์จึงแนะนำให้หมอนัทพาเจ้าชิโร่นั่งรถเข็นออกไปเที่ยวเล่นเพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย อาการของชิโร่จึงจะดีขึ้น แต่หมอนัทกลับรู้สึกว่าเหมือนยังติดอะไรบางอย่างอยู่ จึงลองปรึกษากับเพื่อนว่า “จะทำยังไงดี ที่จะได้สื่อสารกับชิโร่ ให้ชิโร่กลับมาแอคทีฟได้เหมือนเดิม” เพื่อนก็แนะนำแอปพลิเคชันที่ช่วยแปลภาษาแมวมาให้ หลังจากกลับมา หมอนัทก็เลยลองใช้ ทำให้รู้ว่ามันสามารถบอกหมอนัทได้เลยว่า ‘ชิโร่หิวข้าว’ / ‘ชิโร่อยากเข้าห้องน้ำ’ ซึ่งมันทำให้หมอนัทสนิทกับเจ้าชิโร่มากขึ้น แต่ด้วยความที่เป็นหมอจึงมีความคิดว่าข้อความที่เกิดขึ้นคือการรวบรวมข้อมูลเสียงแปลออกมาเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะแปลได้ตรงกับความต้องการของชิโร่จริง ๆ ได้ เย็นวันหนึ่ง หลังจากที่กลับจากมหาวิทยาลัย หมอนัทเห็นเจ้าชิโร่นั่งเหม่อมองออกนอกหน้าต่างตลอดเวลา เรียกก็ไม่หันมา จึงเปิดแอปแล้วถามชิโร่ว่า “ชิโร่ เป็นอะไร” ชิโร่ก็ร้อง “เหมียว เหมียว” แอปพลิเคชันแปลภาษาก็แปลออกมาว่า “อยากออกไปนั่งรถเล่น” หมอนัทตัดสินใจอุ้มเจ้าชิโร่ใส่รถเข็นออกไปเที่ยวเล่น บริเวณสวนสาธารณะใกล้ ๆ บ้าน พอชิโร่ได้ออกไปนอกบ้านทำให้ชิโร่อาการดีขึ้น สดใสขึ้น พออยู่ไปสักพักหมอนัทก็บอกกับชิโร่ว่า “วันนี้กลับบ้านกันดีกว่า เดี๋ยวจะเย็นแล้ว” พอกำลังจะกลับ ชิโร่ก็ชะเง้อคอร้องขึ้นเหมือนกับต้องการทำอะไรบางอย่างอย่าง หมอนัทเปิดแอปพลิเคชันแปลภาษา ก็แปลออกมาว่า “ไม่อยากกลับ” หมอนัทเริ่มรู้สึกประหลาดใจกับข้อความเสียงที่ตอบกลับมา หมอนัทจึงตอบกลับชิโร่ไปว่า “เย็นแล้ว กลับเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พามาใหม่ก็ได้น้า” ชิโร่ก็ร้องออกมา และแสดงท่าทางที่ดูจะไม่พอใจ แอปก็แปลออกมาว่า “ไม่ ไม่ ไม่!!!” สิ่งที่เกิดขึ้นคือหมอนัทเริ่มรู้สึกขนลุกกับความแปลกจากข้อความเสียงที่เกิดขึ้น จึงอยากลองพิสูจน์ดู หมอนัทจึงถามไปว่า “แล้วอยากไปไหน พาหมอไปเลย” ชิโร่ก็ร้องออกมาอีก แอปก็แปลออกมา เป็นการบอกเส้นทางว่า ให้ตรงไป เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หมอนัทเดินตามไปเรื่อย ๆ ตอนแรกก็รู้สึกสนุก แต่พอหมอนัทเดินไปเรื่อย ๆ ระยะทางเริ่มไกลจากบ้านและเป็นทางที่ไม่คุ้นชิน หมอนัทกำลังจะวนกลับ แต่เจ้าชิโร่ก็วิ่งพล่านในรถเข็นแล้วร้องออกมา แอปก็แปลว่า “อย่า ใกล้ถึงแล้ว” หมอนัทพาชิโร่เดินต่อไปเรื่อย ๆ จนเสียงร้องสุดท้ายแอปก็แปลว่า “ถึงแล้ว” กลายเป็นว่าสถานที่ที่ชิโร่พามานั้น ทำให้หมอนัทขนลุกทั้งตัว เพราะมันพามาหยุดเดินตรงหน้าสุสาน หมอนัทพยายามตั้งสติอยู่สักพัก คิดว่ามันคงเป็นเรื่องบังเอิญ หมอนัทจอดรถเข็นของชิโร่และบอกกับชิโร่ว่า “รออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวไปซื้อน้ำ” หมอนัทเดินไปซื้อน้ำที่ตู้กดน้ำใกล้ ๆ ระหว่างที่กดน้ำก็ได้ยินเสียงร้องเหมือนชิโร่กำลังคุยกับใครบางคนอยู่ ท่าทางของชิโร่มองเข้าไปในสุสาน พอกดน้ำเสร็จก็เดินกลับไป จนถึงระยะที่แอปพลิเคชันเริ่มกลับมาทำงาน แอปก็แปลขึ้นมาว่า “คิดถึงนะยาย.. กลับด้วยกันเถอะ ไม่อยากอยู่บ้านนี้คนเดียวอีกแล้ว” หมอนัทขนลุกรีบตาลีตาเหลือกปิดแอปพลิเคชันทันที และรีบเข็นรถพาชิโร่กลับบ้าน พอกลับถึงบ้าน ชิโร่ก็กระโดดลงจากรถเข็น จากนั้นก็เดินเข้าไปนอน น้องเงียบ ไม่ร้อง ไม่กินข้าว ไม่กินน้ำ หมอนัทเริ่มสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่รอคุณเกนจิกลับมา จนคุณเกนจิกลับมาถึงบ้าน หมอนัทก็เล่าเหตุการณ์ที่เจอมาให้ฟัง คุณเกนจิทำหน้าเครียดและถามถึงลักษณะสุสานที่ชิโร่พาไป เมื่อทราบลักษณะสุสาน คุณเกนจิก็พูดด้วยเสียงสั่น ๆ ว่า “สุสานที่ชิโร่พาไป รู้ไหมว่ามันคือสุสานที่ฝังคุณยายริกะ” หมอนัทไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน เนื่องจากหมอนัทไม่ได้ไปงานศพของคุณยายริกะ สักพักก็ได้ยินเสียงร้องของเจ้าชิโร่ เหมือนกำลังร้องขู่อะไรบางอย่างก่อนที่จะวิ่งเข้ามาตะกุยขาของทั้งคู่ จากนั้นก็วิ่งไปตะกุยประตูบ้าน เดินร้องทั่วบ้าน เกนจิถามชิโร่ไปว่า “ชิโร่จะเอาอะไร ชิโร่เป็นอะไรลูก” อยู่ ๆ แอปพลิเคชันแปลภาษาในโทรศัพท์ของหมอนัทที่วางอยู่บนโต๊ะกลับเปิดขึ้นเอง แล้วก็แปลเสียงออกมาว่า “เปิดประตู ยายมาแล้ว!!!” หมอนัทได้ยินก็รีบปิดแอปพลิเคชันและลบทิ้งทันที คุณเกนจิก็พยายามจะจับชิโร่แต่ก็จับไม่ได้ วินาทีนั้นหมอนัทยกมือไว้ท่วมหัว คิดในใจบอกยายริกะว่า “ไม่ต้องห่วงน้องนะ พวกเราสองคนจะดูแลชิโร่เท่าที่จะทำได้ จนถึงวาระสุดท้ายของน้องไม่ต้องห่วง” พอสิ้นความคิดของหมอนัท เจ้าชิโร่ก็เลิกดิ้นแล้วก็ค่อย ๆ เดินกลับห้องไป.. เช้าวันถัดมา หมอนัทได้เตรียมอาหารให้ชิโร่ แต่กลับพบว่า เจ้าชิโร่ตัวแสบได้กลับดาวแมวไปแล้ว คุณเกนจิจึงนำร่างของเจ้าชิโร่ไปฝังไว้ข้าง ๆ กับหลุมศพของคุณยายริกะ..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปตั้งแคมป์กับเพื่อน งานนี้โดนหลอกตลอดทั้งคืน!

28 เม.ย. 2023

ไปตั้งแคมป์กับเพื่อน งานนี้โดนหลอกตลอดทั้งคืน!

สายตั้งแคมป์รับรองมีขนหัวลุก เพราะสายจาก ‘คุณชิ’ ที่โทรเข้ามาในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (28 มีนาคม 2566) ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเคเบิ้ล’ ฟัง ถึงการพบเจอเจ้าถิ่น.. ถ้าเป็นคนคงจะดีกว่านี้ แต่นี่กลับเป็นสิ่งลี้ลับที่เกินจะคาดเดา! คุณชิเล่าว่า ตัวเองเป็นสายแคมป์ปิ้งและวางแพลนกับเพื่อน ๆ ว่าจะไปเที่ยวจังหวัดทางภาคเหนือกัน ซึ่งตนเองนั้นชอบไปแคมป์ปิ้งในป่าลึกหรือพื้นที่ที่ยังไม่เปิดให้เที่ยว และจะให้คนในพื้นที่เป็นคนนำทาง การไปแคมป์ปิ้งในครั้งนี้ คุณชิและผู้ร่วมเดินทางอีกประมาณ 10 คน ได้ไปยังดอยแห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นภูเขาที่มีความสวยงามและยังเป็นจุดชมวิวซากุระของเมืองไทยอีกด้วย แต่จุดที่คุณชิจะตั้งแคมป์เป็นยอดดอยอีกด้านหนึ่งของภูเขา ซึ่งต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง ซึ่งวันที่คุณชิติดต่อกับคนในพื้นที่ให้มาช่วยนำทาง เขาดันติดธุระ จึงให้ลูกชายของเขาที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ขึ้นมาช่วยนำทางให้แทน เมื่อคณะเดินทางของคุณชิมาถึงจุดตั้งแคมป์จุดแรกซึ่งเป็นยอดดอยที่มองเห็นความสวยงามของทัศนียภาพได้ 360 องศา มีเจดีย์สองยอดซึ่งเป็นจุดชมวิวชื่อดังของภาคเหนือตั้งอยู่บนยอดดอยฝั่งตรงข้าม ด้านซ้ายเป็นทางเดินที่ชิดริมขอบหน้าผาซึ่งเป็นไหล่เขาลงไป ส่วนด้านขวามือเป็นเหมือนดงป่าไม้ทึบ ทั้งหมดจึงตกลงกันว่าจะตั้งแคมป์กันที่ตรงนี้ ถึงแม้ว่าจะมีพื้นที่ไม่ได้กว้างขวางมากมายเท่าไหร่นัก คณะเดินทางเริ่มผูกเต็นท์จับจองที่นอนของตัวเอง โดยเต็นท์สามหลังแรกผูกเรียงกันตรงทางเดินและหันหัวที่นอนไปทางด้านหน้าผา ส่วนที่เหลืออีกสี่เต็นท์จะผูกติดกันตรงกลางเป็นระนาบไปตามแนวของดงป่าทึบ ซึ่งในทริปนี้ มีน้องคนหนึ่งขอผูกเปลนอนกับต้นไม้ใหญ่ ซึ่ง ณ ตอนนั้นน้องที่เป็นคนนำทางก็ขอตัวกลับลงไปยังหมู่บ้านทันทีโดยไม่ได้อยู่ค้างคืนด้วย ในช่วงเย็นหลังจากที่ทุกคนจัดของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว จู่ ๆ น้องผู้หญิงคนหนึ่งในคณะมีอาการแปลก ๆ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายกับพื้นพร้อมกับร้องไห้ คุณชิเห็นดังนั้นจึงคิดว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่ และด้วยความที่เป็นสายมูเตลูจึงนำสร้อยพระเวสสุวรรณของตัวเองนำไปคล้องคอให้กับน้องคนนั้น หลังจากนั้นน้องคนนั้นก็หายจากอาการดิ้นแต่ก็ยังคงร้องไห้อยู่ คุณชิจึงนึกถึงน้ำมนต์ แต่ในตอนนั้นไม่มีใครมีน้ำมนต์ติดตัวมาเลย จึงนำน้ำขวดเทใส่แก้วพร้มอกับสวดคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า แล้วให้น้องคนนั้นจิบน้ำ เมื่อจิบน้ำไปสักพัก น้องก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองและได้เล่าว่าระหว่างที่กำลังผูกเต็นท์ที่หันหน้าไปทางด้านหน้าผา เขาได้ยินเสียงเด็กเรียกชื่อเขา และเผลอขานรับ หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย คุณชิเล่าต่ออีกว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ตนเองจึงนึกย้อนไปว่าก่อนที่จะขึ้นมาบนยอดดอยนี้ คุณชิได้รับข้อมูลมาว่ามีศาลแห่งหนึ่ง ลักษณะเป็นพระธาตุ ที่ชาวบ้านสักการะอยู่บนยอดดอยนี้ด้วย จึงคิดว่าต้องไปไหว้สักการะขอเจ้าที่เจ้าทางก่อน ซึ่งระยะทางระหว่างแคมป์และศาลนั้นอยู่ที่ 300 เมตร แต่คณะเดินทางกลับใช้เวลาเกือบถึงครึ่งชั่วโมงในการไปศาล ราวกับว่ายิ่งเดินเท่าไหร่ยิ่งไปไม่ถึงสักที คุณชิจึงตั้งจิตอธิษฐานว่าลูกช้างกับคณะเดินทางนี้ เราเข้ามาในพื้นที่เพื่อมาพักผ่อนไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้ามาทำลายธรรมชาติ ดังนั้นด้วยเจตนานี้จึงขอให้ลูกช้างและคณะได้เดินทางไปสักการะด้วยเถิด ต่อมาหลังจากนั้นทั้ง 10 คนเดินไปได้อีกสักระยะหนึ่ง ใช้เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้นก็เจอกับศาลที่ว่า เมื่อสักการะบอกเจ้าที่เจ้าทางเรียบร้อยแล้วมีลมวูบหนึ่งพัดมาเป็นลมเย็น ๆ คุณชิจึงคิดว่านี่ถือเป็นการตอบรับในทางที่ดี เมื่อทั้งคณะกลับมายังจุดตั้งแคมป์ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้ม จึงได้ตระเตรียมทำอาหารเย็นกัน โดยคุณชิเชื่อว่าทุกคนที่เดินป่าย่อมมีความเชื่อ ว่าอาหารที่เป็นคำแรก หรืออาหารที่พึ่งปรุงใหม่ จะต้องแบ่งมาส่วนหนึ่งเพื่อบวงสรวงหรือเซ่นไหว้ให้กับเจ้าที่เจ้าทาง ในขณะที่ทุกคนกำลังกินชาบูและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน คุณชิจึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาและได้ทักท้วงทุกคนไป ซึ่งปรากฏว่าทุกคนต่างพากันลืมหมด คุณชิจึงได้นำอาหารที่ปรุงใหม่ตักใส่ถ้วยเพื่อเตรียมนำไปเซ่นไหว้ แต่ดันพลาดนำน้ำชาบูที่อยู่ในหม้อกลางที่ทุกคนกินไปแล้ว ตักราดลงไปในถ้วยด้วย แล้วนำไปตั้งอยู่บนทางเดินที่เป็นทางสามแพร่ง ซึ่งเจตนาของคุณชิในตอนนั้นคือไม่ได้ต้องการลบหลู่แต่อย่างใด และในวันนั้นก็เป็นคืนเดือนหงาย แต่ปรากฏว่าหลังจากที่เซ่นไหว้อาหารเรียบร้อยแล้วทั้งป่ากลับเงียบสนิทไม่มีแม้แต่เสียงลมหรือแมลงเลย คืนนั้นจึงไม่มีใครกล้าดื่มสิ่งของมึนเมาหรือสังสรรค์ใด ๆ ต่อ ทุกคนตัดสินใจเข้านอนประมาณ 3 - 4 ทุ่มท่ามกลางอากาศบนยอดดอยที่เย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ คุณชิไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปนานแค่ไหน รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียง “ฮืออ…ชิ นอนด้วย..หนาวว~ ขอเข้าไปด้วย” ซึ่งเสียงเย็น ๆ น่าขนลุกนั้นดังมาจากปลายเท้าของคุณชิที่หันประตูเต็นท์ไปทางดงไม้ทึบ ซึ่งปกติแล้วเวลาไปตั้งแคมป์ ทุกคนจะไม่ให้ไฟตรงกลางมอด แต่คืนนั้นไฟกลับมอดลงเร็วมาก และจังหวะที่เสียงนั้นใกล้เข้ามา คุณชิจึงเปิดไฟภายในเต็นท์โดยมีน้องที่นอนข้าง ๆ กำมือคุณชิแน่นอย่างหวาดระแวง และเมื่อคุณชิได้ส่องไฟไปยังปลายเต็นท์ ปรากฏว่าตรงผ้าใบที่ประตูเต็นท์เหมือนมีคนแนบหน้าเข้ามา! ด้วยความที่ลักษณะเต็นท์มันถูกกางให้ตึง จึงเห็นว่าเป็นลักษณะหน้าคน! ทั้งสองคนเห็นดังนั้นถึงกับนอนตัวแข็งกันเลยทีเดียว แต่ยิ่งไปกว่านั้นซิปที่ประตูเต็นท์มันกลับถูกรูดขึ้นมาด้วย!! ซี้บบบบบ…เสียงซิปที่ถูกรูดดังก้องในโสตประสาทของคนที่อยู่ในเต็นท์ และภาพที่เห็นตรงหน้าคือคนที่โผล่เข้ามา.. กลับกลายเป็นน้องคนที่ผูกเปลนอน!! คุณชิถึงกับโล่งใจเพราะกลัวจนแทบจิตหลุด สุดท้ายแล้วจึงได้ข้อสรุปว่าด้วยความที่ตอนนั้นอากาศข้างนอกค่อนข้างที่จะหนาวมาก จนทำให้น้องคนนั้นปากสั่นจนพูดไม่เป็นคำ ทำให้คุณชิได้ยินเสียงอันน่าสะพรึงแบบนั้น หลังจากนั้นทั้งสามคนจึงนอนเบียดกันเพื่อแบ่งปันไออุ่นภายในเต็นท์ แต่แล้ว.. ก็เหมือนมีลมแรงพัดขึ้นมากระทบกับผ้าใบของเต็นท์จนสั่นกระพือเสียงดังพรึ่บๆๆ คุณชิกลัวว่ากระทบเสียงดังขนาดนี้ผ้าใบเต็นท์จะขาด แต่พอเปิดเต็นท์ออกมาดู ปรากฏว่าไม่มีลมเลย ข้างนอกอากาศนิ่งมาก แล้วเสียงที่คุณชิได้ยินเมื่อสักครู่มันคืออะไร? จากนั้น จังหวะที่คุณชิหันมายังจุดตรงกลางแคมป์ ก็ได้เห็นน้องร่วมทริปคนหนึ่งนั่งกอดตัวเองพร้อมกับคลุมผ้าห่มอยู่เงียบ ๆ ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาตี4 แล้วจึงถามน้องคนนั้นว่าทำไมยังไม่เข้าไปนอน แต่น้องกลับตอบมาเพียงคำเดียวว่า “ผมนอนไม่ได้พี่” คุณชิกับน้องร่วมเต็นท์อีกสองคนจึงมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อาจจะเกี่ยวข้องกับเต็นท์ของน้องที่นอนหันหัวไปทางหน้าผาหรือเปล่า จึงมารวมตัวกันผิงไฟ เพราะไหนๆก็จะเช้าแล้ว ต่อมาอีกสักพักกลุ่มน้องผู้หญิงจากอีกเต็นท์หนึ่งก็พากันเดินออกมา คุณชิเห็นว่าท่าทีแปลกๆ จึงเปิดประเด็นด้วยคำถามที่ว่า “มีใครอยากจะเล่าอะไรไหม” น้องผู้ชายคนแรกที่ออกมานั่งตรงกลางแคมป์ได้เล่าว่า “ได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่บนหัวเต็นท์” แต่หัวเต็นท์ตรงนั้นอีกประมาณ 2 เมตรเป็นหน้าผา จึงคิดว่าคนในคณะไม่น่าจะไปเดินตรงนั้นได้ แถมยังมีการเขย่าเต็นท์ด้วย ส่วนน้องผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งก็เล่าว่าได้ยินเสียงของน้องคนที่ผูกเปลมาเรียกให้ไปส่งเข้าห้องน้ำ ซึ่งในขนะนั้นน้องคนที่ผูกเปลได้เข้ามานอนในเต็นท์คุณชิเรียบร้อยแล้ว แถมน้องคนที่ผูกเปลก็เป็นผู้ชายด้วย จะมาเรียกน้องผู้หญิงให้ไปส่งเข้าห้องน้ำได้อย่างไร นอกเหนือจากนั้นแล้ว น้องผู้หญิงอีกคนก็ได้ยินเสียงคนผิวปากเบา ๆ เป็นเพลงแว่วมาจากข้างหลังดงไม้ทึบ ทุกคนสัมผัสได้ถึงสิ่งลี้ลับรอบตัวและทนไม่ไหว จึงพากันออกจากเต็นท์ คุณชิที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจึงตัดสินใจเดินไปยังจุดที่เอาอาหารไปเซ่นไหว้ ปรากฏว่ามันถูกคว่ำอยู่และมีอาหารกระจัดกระจาย เหมือนมีใครมารุมทึ้งรุมกินกันอย่างตะกละตะกลาม เมื่อแสงแดดรำไรในเวลา 6 โมงเช้า ทุกคนจึงรีบเก็บเต็นท์กันเร็วกว่าปกติเพื่อจะเดินทางกลับลงไปยังตีนภูเขา ระหว่างเก็บเต็นท์คุณชิก็ได้เจอกับคำตอบของเหตุการณ์ทั้งหมดว่า “หลังดงไม้ทึบที่ไปตั้งเต็นท์รายล้อมไปด้วยหลุมศพ” ที่มีป้ายเขียนด้วยภาษาอะไรสักอย่างไว้ รวมไปถึงเข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กวัยรุ่นคนที่นำทางถึงรีบส่งพวกเขาแล้วรีบกลับลงไปทันที หลังจากนั้น ทุกคนก็เดินกลับลงมาอย่างปลอดภัย และพากันไปยังจุดจอดรถซึ่งเป็นวัดที่อยู่ตีนเขา พร้อมกับได้พบหลวงพ่อที่ประจำอยู่ ณ วัดแห่งนี้ ท่านทักขึ้นมาทันทีว่า “เมื่อคืนไปทำอะไรกันมา ขึ้นไปตั้งแคมป์ข้างบนแล้วลืมให้อาหารเซ่นไหว้เขาใช่ไหม” ทั้งคณะได้ยินดังนั้นถึงกับสะดุ้งตกใจ คุณชิจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระท่านฟัง หลวงพ่อจึงบอกว่า “การที่เราได้ยินเสียงต่าง ๆ แสดงว่าเขาอยากให้รู้ว่าที่พื้นที่ตรงนั้นเป็นที่ของเขา” และน้องคนที่โดนเขย่าเต็นท์ก็สารภาพว่าตัวเองได้ปัสสาวะข้าง ๆ เต็นท์ ซึ่งน่าจะเป็นบริเวณหลุมศพของเขาพอดี เขาเลยไม่พอใจ หลังจากนั้นทุกคนก็ได้ทำบุญและถวายสังฆทานให้ แต่โดยทั่วไปเท่าที่คุณชิจำได้ เวลาที่พระท่านให้พรท่านจะเอาตาลปัตรบังหน้าเสมอ แต่ครั้งนี้จังหวะที่พระท่านสวดในครั้งสุดท้าย ท่านกลับยกตาลปัตรออกมาแล้วทำท่าพัดออกไปด้านหน้าหนึ่งทีแรง ๆ และพูดกับทางคณะว่า “กลับกรุงเทพได้แล้วนะไม่มีอะไรตามแล้ว” ทุกคนได้ยินดังนั้นต่างขนลุกไปตาม ๆ กัน เรื่องนี้ทำให้คุณชิระแวงเป็นอย่างมาก จึงต้องตรวจเช็คด้านสายมูเตลู หรือทุกความเชื่อว่าจะไม่มีสิ่งไหนตามมาให้แน่ชัด และยังต้องเช็คความเป็นมาของสถานที่ ที่จะไปให้ถี่ถ้วนทุกครั้งจะได้ไม่พบเจอกับเหตุการณ์หลอนทั้งแคมป์แบบนี้อีก(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

ก่อนบวช 7 วันต้องไปอยู่วัด ตกดึกนอนไม่หลับเลยไปนั่งใต้ต้นฉำฉา เมื่อกดวิดีโอคอลกับเพื่อน 3 คน ทุกคนทักเหมือนกันหมดว่ามีใครอยู่ด้วย! อยากพิสูจน์จึงเปิดแฟลชสาดขึ้นด้านบนต้นไม้ แทบช็อกกับภาพที่เห็น มีผีที่นั่งห้อยขาอยู่เต็มไปหมด!

25 พ.ค. 2023

ก่อนบวช 7 วันต้องไปอยู่วัด ตกดึกนอนไม่หลับเลยไปนั่งใต้ต้นฉำฉา เมื่อกดวิดีโอคอลกับเพื่อน 3 คน ทุกคนทักเหมือนกันหมดว่ามีใครอยู่ด้วย! อยากพิสูจน์จึงเปิดแฟลชสาดขึ้นด้านบนต้นไม้ แทบช็อกกับภาพที่เห็น มีผีที่นั่งห้อยขาอยู่เต็มไปหมด!

‘คุณอาร์ท’ สายจากทางบ้าน ได้โทรเข้ามาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (16 พฤษภาคม 2566) ว่าได้เจอเรื่องหลอนขณะที่กำลังจะบวช ให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟัง เรื่องราวของคุณอาร์ทจะเป็นอย่างไร.. ไปติดตามอ่านกันได้เลย! คุณอาร์ทเล่าว่า ตนเองนั้นกำลังจะเตรียมตัวบวชพระ สถานที่คือวัดเดิมที่เคยมาบวชเณรมาก่อน โดยต่างจังหวัดนั้นมีธรรมเนียมว่า ใครจะบวชต้องเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ออกไปไหนเพราะเป็นบุญใหญ่ คุณอาร์ทจึงต้องไปเป็นฆราวาสที่วัด 7 วัน 2 วันก่อนที่จะถึงวันบวช คุณอาร์ทก็ทำกิจวัตรประจำวันตามปกติในช่วงกลางวัน พอ 5 โมงเย็น คุณอาร์ทก็เห็นว่าหน้าเมรุมันเลอะเทอะ เพราะไม่มีใครไปทำความสะอาดเลย คุณอาร์ทจึงตัดสินใจว่าเดี๋ยวจะไปกวาดทำความสะอาดสักหน่อย และด้วยความที่คุณอาร์ทเวลาจะทำอะไรชอบฟังเพลงไปด้วย ขณะที่กวาดเลยนำหูฟังขึ้นมาฟังเพลงในยูทูป เมื่อวิดีโอจบลงมันก็จะหยุดอัตโนมัติเอง คุณอาร์ทก็เห็นว่าใกล้จะกวาดเสร็จแล้ว จึงเสียบหูฟังคาหูอย่างนั้นโดยที่ไม่ได้กดเล่นเพลง.. สักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงคนกลุ่มใหญ่พูดคุยเสียงดัง แต่จับใจความไม่ได้ คุณอาร์ทจึงถอดหูฟังออก พอมองซ้ายขวาก็ไม่เห็นใคร จึงคิดว่าน่าจะเป็นคนที่บ้านอยู่ติดกับวัดแล้วมานั่งล้อมวงคุยกัน คุณอาร์ทกดเล่นเพลงอีกครั้งหนึ่งจนมันหยุดอัตโนมัติอีกครั้ง เป็นเวลาที่กวาดเสร็จพอดีจึงถอดหูฟังออก จังหวะที่ถอดหูฟังนั้นก็ได้ยินเสียงแว่วเข้ามาในหูชัดเจนว่า “เค้ามาบวชใหม่หรอ” คุณอาร์ทนึกในใจว่า “ใครมาพูดวะ” และมองไปที่กุฎิหลวงตา ก็คิดว่าหลวงตาน่าจะคุยกับคนที่มาเยี่ยม แล้วก็น่าจะถามว่ามีเด็กมาบวชใหม่หรอ เพราะปกติแล้วไม่ค่อยมีวัยรุ่นเข้ามาในวัดสักเท่าไหร่ คุณอาร์ทก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ แต่พอสังเกตดี ๆ ก็พบว่าในตอนนั้นมีแค่คุณอาร์ทและหลวงตาเท่านั้นที่อยู่ในบริเวณวัด คุณอาจก็พยายามคิดในแง่ดีตามหลักวิทยาศาสตร์ว่าน่าจะเป็นเสียงแว่วที่ลอยมาจากที่อื่น เพราะบริเวณวัดตรงนั้นก็ค่อนข้างที่จะเป็นพื้นที่โล่ง เมื่อกวาดเสร็จเรียบร้อยแล้วคุณอาร์ทจึงไปนั่งคุยกับหลวงตาที่นอนอยู่ในกุฎิ และถามว่าพรุ่งนี้มีบิณฑบาตหรือไม่ หลวงตาก็บอกว่า “มี ให้ตื่นมาตอนตีสี่นะ” คุณอาร์ทรับทราบดังนั้นแล้วจึงขอตัวไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน จนกระทั่งเวลา 2 ทุ่มครึ่ง คุณอาร์ทก็อธิบายเพิ่มว่า กุฎิข้างล่างมีลักษณะเป็นปูน ส่วนข้างบนยังสร้างไม่เสร็จ ระหว่างที่กำลังนอนอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่รอบกุฎิ จึงคิดว่าเป็นสุนัขเพราะสุนัขที่วัดชอบขึ้นมานอนข้างบน พอจะนอนต่อ คุณอาร์ทก็นอนไม่หลับ เวลาล่วงเลยมาจนถึงตี 2 จึงลุกมากินน้ำและคิดว่าไหน ๆ ก็นอนไม่หลับแล้ว งั้นไม่นอนเลยก็แล้วกัน เพราะอีก 2 ชั่วโมงก็ต้องตื่นแล้ว เมื่อมองออกไปข้างนอก ก็เห็นว่าอากาศดีมากเพราะช่วงค่ำมีฝนตก จึงเดินออกไปนั่งสูดอากาศอยู่ที่กลางวัด โดยไปนั่งที่โต๊ะไม้หินอ่อนใต้ต้นฉำฉาต้นใหญ่ และไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี จึงกดโทรวิดีโอคอลหาเพื่อน ๆ เมื่อคุยกันไปได้สักพักหนึ่งเพื่อนก็ทักขึ้นมาว่า “อาร์ท มึงเอาใครมานอนที่วัดด้วยรึเปล่าวะ” คุณอาร์ทจึงตอบไปว่า “เฮ้ย กูมานอนคนเดียว ที่วัดเค้าไม่ให้เอาใครเข้ามาด้วย” เพื่อนก็เลยถามต่อว่า “มึงอย่ามาหลอกกู แล้วใครยืนอยู่ข้างหลังมึงอ่ะ” คุณอาร์ทก็บอกไปว่า “มึงอย่ามาตลก กูไม่เล่นนะนี่ในวัดในวา” เพื่อนก็พูดอีกว่า “เอ้า อาร์ทคนเดิมหายไปไหนละวะ คนที่ชอบท้าทายอ่ะ แหมจะบวชซะหน่อยทำเป็นคนดีหรอ” และเพื่อนก็ยังพูดไม่หยุดว่า “น่ะมาอีกคนแล้วน่ะ เอาเพื่อนแถวบ้านเข้ามานอนในวัดด้วยหรอ” จากนั้นก็กดตัดสายไปเลย คุณอาร์ทนึกว่าเพื่อนแกล้ง จึงโทรไปอีกหลาย ๆ รอบ แต่เพื่อนคนนี้ก็กดตัดสายตลอด และส่งเป็นข้อความว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า เข้าไปที่บ้านมึงเดี๋ยวเล่าให้ฟัง” คุณอาร์ทจึงตัดสินใจโทรไปหาเพื่อนคนที่สอง ซึ่งเพื่อนคนนี้ก็ทักเหมือนเพื่อนคนแรกเลยว่า “มึงเอาใครมานอนด้วยเนี่ย มึงไปให้เค้ายืนอยู่ข้างหลังทำไมน่ะ เดี๋ยวก็โดนยุงกัดตายหรอก” คนอาร์ทจึงพูดไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “มึงอย่ามาพูดบ้า ๆ อย่างนี้นะ ในวัดในวากลางค่ำกลางคืน กูกลัวจริง ๆ นะ” จากนั้นเพื่อนคนนั้นก็กดวางสายไป ด้วยความที่เริ่มกลัว คุณอาร์ทจึงโทรหาเพื่อนอีกคนให้อยู่เป็นเพื่อน แต่เพื่อนคนที่สามก็พูดทำนองเดียวกันเหมือนกับเพื่อนสองคนแรก คุณอาร์ทได้ยินอย่างนั้น ก็กดตัดสายไป เมื่อหันไปมองรอบ ๆ ก็ไม่เห็นมีใคร แต่จู่ ๆ ก็มีความคิดหนึ่งแว๊บเข้ามาในหัวว่า “กูนั่งอยู่ใต้ต้นไม้นี่หว่า” จากนั้นก็เปิดแฟลชโทรศัพท์แล้วฉายขึ้นไปบนต้นไม้ทันที ปรากฏว่าสิ่งที่คุณอาร์ทเห็นคือ คนนั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งไม้อยู่ประมาณสี่ห้าคนแกว่งขาเล่นไปมา! มองลงมายังคุณอาร์ทตาแข็งแทบไม่กระพริบ และมีเสียงคนแก่พูดว่า “มาบวชใหม่หรอ ขอบุญมั่งดิ” คุณอาร์ทถึงกับช็อคไปชั่วครู่ แล้วก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องกลัวไม่ได้มาทำอะไร” สิ้นเสียงนั้นคุณอาร์ทถึงกับต้องวิ่งหน้าตั้งไปยังกุฏิหลวงตา ตะโกนเรียกหลวงตาว่า “ผีหลอก! ผีหลอก!” อยู่อย่างนั้น แต่หลวงตาก็ไม่ยอมตื่น ทำให้คุณอาร์ทต้องนั่งหน้ากุฏิหลวงตาจนเช้า และเมื่อได้เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้กับหลวงตาฟัง หลวงตาก็บอกว่าเป็นปกติอยู่แล้วที่พระใหม่จะมีคนมาขอส่วนบุญ แล้ววันวันบวชก็มาถึง เมื่อใกล้เสร็จพิธี คุณอาร์ทกำลังจะก้มลงกราบที่หน้าพระพุทธรูป ซึ่งหน้าต่างของอุโบสถก็ตรงกับกิ่งของต้นฉำฉาพอดี คุณอาร์ทจึงหันไปมองแล้วก็เห็นเป็นวิญญาณกลุ่มเดิมมาในรูปร่างที่ดูเป็นคนปกติ ใส่ชุดทำบุญ แต่ไม่ใส่รองเท้า และนั่งพนมมืออยู่บนกิ่งต้นไม้นั้น พร้อมกับหันมาทางคุณอาร์ทด้วยสีหน้าที่ดูอิ่มอกอิ่มใจ จังหวะนั้นคุณอาร์ทถึงกับขนลุกขึ้นมาทันที แต่ด้วยความที่เป็นพระเต็มตัวแล้วคุณอาร์ทจึงไม่ได้กลัวมากเท่าไหร่ และได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล แผ่เมตตาไปให้กับวิญญาณเหล่านั้น เมื่อก้มกราบจนครบ 3 ครั้งแล้ว เงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็ไม่เห็นวิญญาณเหล่านั้นแล้ว! ต่อมาคุณอาร์ทก็ได้ออกไปหาเพื่อน ๆ ที่นอกวัดและสอบถามถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า “มึงเจอกับอะไร ให้เล่ามาตรง ๆ ได้เลย” เพื่อนคนแรกก็เล่าว่า “เห็นคนมาจับไหล่มึง และชะโงกหน้ามายิ้มข้าง ๆ แก้มมึงแล้วก็เดินออกไป และคนที่สองก็เดินเข้ามายิ้มให้กล้อง แล้วก็เดินออกไปอีก” เพื่อนคนที่สองก็เล่าเสริมว่าเขาเห็นเป็นเด็กวิ่งเล่นกันอยู่ด้านหลัง แล้วก็มีผู้ใหญ่คนหนึ่งมีผ้าขาวม้าพาดเอวเดินเข้ามามองที่กล้อง แล้วก็ลุกออกไป และสุดท้ายเพื่อนคนที่สามก็เล่าว่าเห็นเป็นผู้ชายสองคน เดินกันมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ เดินผ่านกล้องไปสักพัก ก็เดินย้อนกลับมาและชะโงกหน้าเข้ามาในกล้องจนหน้าแทบจะติดกับคุณอาร์ท! และพอถึงวันสึก คุณอาร์ทยังฝันอีกด้วยว่าตัวเองนั้นได้ไปกวาดใบไม้ตรงเมรุ แล้วมีคนเดินมาพูดด้วยว่า “จะสึกแล้วหรอ ทำไมรีบสึกไวจัง น่าจะอยู่ให้นาน ๆ กว่านี้ เนี่ยตัวจะจับสีผ้าเหลืองอยู่แล้วน่ะ” (ความหมายคือถ้าบวชนาน สีตัวก็จะเข้ากับผ้าเหลืองอยู่แล้ว ทำไมถึงรีบสึก) ซึ่งในฝันคุณอาร์ทก็ได้แต่ยืนยิ้มให้ ไม่ได้พูดอะไรต่อแล้วก็ได้สะดุ้งตื่นขึ้นมา หลังจากผ่านเรื่องราวทั้งหมดมาได้ก็ทำให้คุณอาร์ทที่เมื่อก่อนเคยเป็นคนที่เกเร ชอบท้าทาย ก็กลายเป็นคนที่เรียบร้อย อยู่ในร่องในรอยมากยิ่งขึ้น(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1