เรื่องเล่าจากคุณเเรก 'บ้านฝรั่ง' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเเรก 'บ้านฝรั่ง' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

31 ส.ค. 2024

    ‘คุณแรก’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘บ้านฝรั่ง’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย!

    คุณแรกเล่าว่าตนทำรายการผีท้องถิ่นในจังหวัดนครราชสีมา วันหนึ่ง มีข้อความของแฟนรายการเด้งขึ้นมาว่าต้องการให้คุณแรกพูดถึง ‘บ้านมอญโคราช’ แต่คุณแรกรู้สึกว่าเรื่องนี้คนพูดถึงเยอะแล้ว คุณแรกจึงบอกแฟนรายการคนนั้นไปว่า

    “มีอีกหนึ่งเรื่องเกี่ยวกับบ้านที่เฮี้ยนในโคราช ที่ไม่ใช่บ้านมอญ อยากฟังไหม”

    แฟนรายการคนนั้นก็สนใจอยากฟัง คุณแรกจึงเล่าว่า..

    เรื่องนี้เล่าย้อนไปในสมัยที่คุณแรกเล่นดนตรีในโรงแรม 5 ดาวที่โคราช เป็นช่วงยุค 90 เป็นช่วงที่รายการผีขยับจากหน้าจอวิทยุมาเป็นหน้าจอโทรศัพท์ ทำให้คุณแรกที่ชอบรายการแนวนี้ก็ตื่นเต้นเป็นพิเศษ พอช่วงเบรคของการเล่นดนตรี คุนแรกก็ลงมาพัก ในขณะที่นั่งพักคุณแรกและเพื่อนในวงก็นั่งคุยกันเกี่ยวกับรายการผี คุณแรกจึงเปิดประเด็นว่า

    “หลังจากเงินออกของอาทิตย์นี้ เราทุกคนมาลงขันกัน แล้วในวงดนตรีถ้าใครใจถึง ไปล่าท้าผีกัน”

    โดยจะให้ไปนอนสักที่ ซึ่ง ณ ตอนนั้นคุณแรกก็ยังไม่มีสถานที่ในหัวว่าจะเป็นที่ไหน คุณแรกจึงถามต่อว่ามีใครใจถึงไหม ปรากฏว่า ‘พี่บิ๊ก’ มือกลองที่เป็นคนตัวใหญ่ผมยาวก็พูดขึ้นมาว่า

    “พี่ไม่กลัวหรอก พี่ไปเอง คนละ 500  ใช่ไหม”

    ในจังหวะที่ทุกคนพูดคุยกันอยู่ก็มีคุณลุงคนหนึ่งเดินผ่านไปเข้าห้องน้ำ และเหมือนคุณลุงคนนี้จะได้ยินเรื่องที่คุยกัน เมื่อคุณลุงออกจากห้องน้ำและกำลังจะเดินกลับไปคุณลุงก็ได้แวะพูดคุยกับกลุ่มของคุณแรก ว่า

    “หาบ้านลองของอยู่หรอ ลุงรับดูแลบ้านหลังหนึ่งอยู่ บ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่ได้เกินสามวัน”

    คุณแรกและเพื่อน ๆ จึงขอให้คุณลุงเล่ารายละเอียดให้ฟัง คุณลุงจึงเล่าว่า..

    บ้านหลังนี้เป็นบ้านของสามีภรรยา โดยสามีเป็นฝรั่ง ส่วนภรรยาเป็นคนไทย ตัวสามีฝรั่งเป็นทหารมาก่อน พอเกษียณก็มาใช้ชีวิตบั้นปลายที่ประเทศไทย ส่วนฝ่ายภรรยาก็เป็นหญิงม้ายที่ทำงานที่พัทยาและได้เจอกับสามีคนนี้ และทางสามีก็ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะส่งเงินมาให้เพื่อไปซื้อบ้านซื้อที่ดินในโคราชและตกลงจะแต่งงานแล้วจดทะเบียนอยู่ด้วยกัน เมื่อสามีเกษียณก็ให้ภรรยาลาออกจากงานที่พัทยามาเป็นแม่บ้านที่โคราชเพื่อจะอยู่ด้วยกัน ประเทศของฝั่งสามีนั้นมีเงินบำนาญให้ทุกเดือน ตัวสามีเองจึงมีเงินก้อนอยู่จำนวนหนึ่ง จึงเป็นคนมีเงิน เมื่อย้ายมาอยู่โคราช ก็เริ่มไปเที่ยวกลางคืน เริ่มมีเพื่อนเยอะ และได้ไปติดเด็กเอ็นในสถานที่บันเทิงแห่งหนึ่ง สามีเมาทุกวัน ไม่กลับบ้าน และเปย์เด็กเอ็น จนภรรยาเริ่มสงสัยว่าทำไมสามีหายไป โดยส่วนตัวภรรยานั้นมีความคาดหวังกับเรื่องครอบครัวสูงเพราะเคยผิดหวังกับเรื่องนี้มาแล้ว ภรรยาจึงจ้างนักสืบเอกชนจนได้รู้ว่าสามีของตนนั้นติดเด็กเอ็น ภรรยาจึงเก็บความแค้นไว้ในใจ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจนมาถึงวันครบรอบแต่งงาน ภรรยาก็ได้บอกสามีว่า

    “วันนี้ไม่ต้องไปเที่ยวนะ เราจะฉลองกันที่บ้าน”

    เมื่อกินข้าวเสร็จ ภรรยาก็ได้เอาเค้กมาเซอร์ไพรซ์ให้เป่าเค้กวันครบรอบแต่งงาน ในขณะที่สามีกำลังก้มลงไปเป่าเค้กนั้น ทางด้านภรรยาก็เอาปืนสั้นที่เหน็บหลังออกมาและยิงไปที่หัวของสามี จากนั้นก็ยิงตัวเองตายตาม ทางด้านญาติจึงรีโนเวทบ้านและปล่อยเช่า แต่คนที่มาเช่าส่วนมากก็อยู่ไม่นานและพากันคืนบ้านกันหมด

    เมื่อคุณลุงเล่าจบ คุณแรกก็รู้สึกสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ คุณแรกจึงเพิ่มกติกาพิเศษคือให้พี่บิ๊กถอดพระห้ามมีพระติดตัวตอนที่ไปบ้านหลังนั้น โดยให้เข้าไปนอนหลังเลิกงาน เมื่อฟ้าสางก็มารับเงินได้เลย

    พอถึงวันนัด พี่บิ๊กก็ดื่มเบียร์ก่อนไปจะได้หลับสบาย เมื่อพี่บิ๊กไปถึงบ้านหลังนั้นคุณลุงก็บอกว่าไม่สามารถเปิดไฟให้ได้เพราะตอนนี้ไม่มีใครเช่า ถ้าเปิดไฟอาจจะเกิดปัญหากับตัวคุณลุงได้ เมื่อพี่บิ๊กเข้าไปก็จะมีห้องนอนอยู่ห้องเดียวซึ่งเป็นห้องของสามีภรรยาคู่นี้และต้องนอนที่นี่

    พี่บิ๊กที่ดื่มเบียร์มาก็ได้เคลิ้มหลับไป แต่พอผ่านไปสักพักก็รู้สึกว่าตัวเองโดนกระตุกขาจึงลืมตาตื่นขึ้นมาแต่ก็ไม่เห็นมีอะไร เห็นแค่แสงไปผ่าน ๆ จากข้างนอก พี่บิ๊กจึงหลับต่อ แต่มันก็เริ่มหนักขึ้นคือโดนดึงผม กระฉากผมเหมือนต้องการให้ลงจากเตียง พี่บิ๊กก็รู้สึกเจ็บและโมโห จึงลุกขึ้นมามองแต่ก็ไม่เห็นอะไร จากนั้นก็ล้มตัวลงไปนอนอีกรอบ ซึ่งรอบนี้โดนถีบจนตกเตียง พี่บิ๊กลุกขึ้นมามองหาว่าใครทำ ก็เห็นเป็นผู้หญิงใส่ชุดนอนเปื้อนเลือดผมยาวหยักศกนั่งยิ้มให้!

    พี่บิ๊กเห็นแบบนั้นก็ตกใจรีบวิ่งลงไปที่ประตูรั้วเหล็ก แต่ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าถ้าออกไปตอนนี้จะไม่ได้เงิน จึงกลับมานั่งบนโซฟาเพื่อตั้งสติ แล้วก็ขึ้นไปนอนต่ออีกรอบ โดยท่าทางคือนอนหงาย แต่สิ่งที่เห็นเมื่อครู่ก็ทำให้หายง่วง จึงหยิบบุหรี่ขึ้นมาตั้งใจจะสูบ พอสูบเสร็จ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาบังคับหน้าให้หันไป พี่บิ๊กก็พยายามหันสู้แต่มันหนักมาก พอเหลือบตาไปมองว่าคืออะไร สิ่งนั้นคือเท้าของฝรั่งตัวใหญ่ นั่งอยู่บนหัวเตียงและเอาเท้ามายันหน้าไว้ และก้มลงมามองพร้อมพูดว่า

    “Don’t smoke”

    ในระหว่างที่พี่บิ๊กโดนเหยียบหน้าอยู่ ก็เห็นผู้หญิงเดินมาจากประตูมาที่ข้าง ๆ เตียงและเอาปืนมายิงฝรั่งที่กำลังเหยียบหัวอยู่จนล้มลงมาบนเตียง และผู้หญิงคนนั้นก็เอาปืนมายิงตัวเอง เหมือนกำลังทำภาพเดจาวูให้เห็นอีกครั้ง พี่บิ๊กสติหลุดกระโดดออกจากระเบียงวิ่งหนีสุดชีวิต

    เมื่อถึงตอนเช้า ทุกคนก็โทรหาพี่บิ๊กแต่พี่บิ๊กก็ไม่พูดอะไรและบอกว่าค่อยเจอกันตอนทำงาน เมื่อถึงที่ทำงาน พี่บิ๊กก็เล่าทุกอย่างที่เห็นให้ฟัง และหลังจากเรื่องนี้พี่บิ๊กที่บอกว่าเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผีกลับกลายเป็นว่าเวลาที่คุณแรกและเพื่อน ๆ คุยเรื่องผี พี่บิ๊กจะเดินหนีตลอด..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณนิว ‘ห้องหมายเลข 4’ I อังคารคลุมโปง X ครูตรีมีเรื่องเล่า [ 21 พ.ค. 2567]

25 พ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณนิว ‘ห้องหมายเลข 4’ I อังคารคลุมโปง X ครูตรีมีเรื่องเล่า [ 21 พ.ค. 2567]

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ สัปดาห์นี้ (21 พฤษภาคม 2567) ‘คุณนิว’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มาเล่าให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ ฟังจนขนหัวลุกกับเรื่องที่มีชื่อว่า ห้องหมายเลข 4’ จะชวนหลอนจนขนหัวลุกขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย ! เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงของ ‘คุณนิว (นามสมมติ) โดยคุณนิวเริ่มเล่าว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว ซึ่งคุณนิวได้ตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้ว่า ‘ก่อนอายุ 30 จะต้องนั่งรถไฟไปเที่ยวเชียงใหม่คนเดียวให้ได้’ ในตอนนั้นเอง คุณนิวมีอายุ 29 ปีพอดี คุณนิวจึงรู้สึกว่า ‘อีกแค่ปีเดียว ไม่ได้แล้ว ยังไงก็ต้องไปให้ได้’ จากนั้นคุณนิวก็ลาพักร้อนทั้งหมด 10 วัน และเริ่มออกเดินทาง เมื่อรถไฟจอดที่สถานีเชียงใหม่ คุณนิวจึงเช่ารถมอเตอร์ไซค์เพื่อใช้เป็นพาหนะเดินทาง โดยสองวันแรก คุณนิวได้เข้าพักในตัวเมืองเชียงใหม่ สถานการณ์ทุกอย่างปกติดี จนกระทั่งวันที่สาม คุณนิวได้เข้าพักที่ม่อนแจ่ม ซึ่งการเดินทางของคุณนิวในครั้งนี้ ไม่ได้มีแบบแผนการเดินทาง ทั้งการจองที่พักผ่านแอพฯ ทั้งไม่ทราบระยะทางการเดินทาง ไม่รู้แม้กระทั่งว่าที่พักที่จองไปอยู่ใกล้แหล่งท่องบริเวณไหน สามารถขับมอเตอร์ไซค์ไปได้หรือไม่ แต่คุณนิวก็สามารถพาตัวเองมาถึงที่พักจนได้ เมื่อไปถึง ก็เจอกับพนักงานต้อนรับ ประโยคแรกคุณนิวก็ถามเลยว่า “พี่ครับ… ที่นี่มีผมจองคนเดียวเลยเหรอ ?” เพราะคุณนิวสังเกตเห็นว่า บริเวณรอบ ๆ ไม่มีผู้คนหรือนักท่องเที่ยวคนอื่นอยู่เลย พนักงานต้อนรับจึงตอบกลับว่า “อ๋อ มีอีก 2-3 กรุ๊ปเลย ไม่ต้องกังวลไป แต่น้องมาถึงคนแรก พี่ให้น้องเลือกห้องก่อนได้เลยนะ มีห้อง 1-7 จะเอาห้องไหนล่ะ ?” ซึ่งคุณนิวจึงได้เลือกห้องหมายเลข 4 ตอนนั้นคุณนิวไม่รู้ตัวเลยว่า ทำไมตนถึงเลือกห้องหมายเลข 4 เพราะปกติแล้วคุณนิวถือความเชื่อแบบคนจีนที่ถือว่าเลข 4 เป็นเลขอัปมงคล เนื่องจากออกเสียงว่า ‘ซี่’ (死) เป็นคำที่พ้องกับคำที่มีความหมายว่า ‘ตาย’ คุณนิวจึงคิดว่า ‘ตอนนั้นดวงตัวเองน่าจะพาให้เจอเรื่องอะไรแบบนี้’ หรืออาจจะคิดว่าเลือก 4 เพราะจะได้บ้านพักอยู่ตรงกลาง เวลาที่มีกรุ๊ปทัวร์มา คุณนิวจะได้ไปร่วมสังสรรค์ได้ หลังจากนั้น คุณนิวก็เข้าสำรวจห้องพัก ซึ่งบ้านพักของคุณนิวจะเป็นห้องแนวโฮมสเตย์บรรยากาศดี เมื่อสำรวจเสร็จสิ้นเรียบร้อย คุณนิวก็ไปอาบน้ำเพื่อผ่อนคลาย พร้อมกับเปิดลำโพงบลูทูธฟังเพลงไปด้วย แต่ในระหว่างการอาบน้ำ แอพฯ ได้สุ่มเปิดเพลง ‘ฟ้อนเหนือร่วมสมัย’ ซึ่งตอนแรกคุณนิวก็คิดว่า ‘เดี๋ยวเนื้อเพลงก็คงขึ้น’ แต่จนกระทั่งคุณนิวอาบน้ำเสร็จ เนื้อเพลงก็ไม่ขึ้นสักที จนออกมาพบว่า ‘เป็นเพลงที่มีแต่ทำนอง…’ ซึ่งคุณนิวจึงเอาเรื่องราวนี้ไปโพสต์ใน Facebook ส่วนตัว เพื่อนของคุณนิวต่างเข้ามาคอมเม้นต์ในเชิงหยอกล้อว่า “คุณนิวต้องโดนผีหลอกแน่” หรือ “คืนนี้ต้องโดนแน่” เพราะเพื่อนของคุณนิวรู้ดีว่า คุณนิวเป็นคนที่ชอบเที่ยวคนเดียว และก็เป็นคนที่มีเซ้นส์แรงชอบเจอเรื่องลี้ลับ ด้วยความที่คุณนิวเป็นคนไม่กลัวผี จึงถ่ายรูปคานในห้อง ที่มีลักษณะเป็นคานไม้พาดยาว มีพื้นที่ว่างจนสามารถยื่นหัวจากข้างนอกโซนห้องนอน ชะโงกเข้ามามองในห้องน้ำได้เลย แล้วพิมพ์ตอบว่า “ลองนึกภาพตามนะ ถ้าเขาใส่ชุดเหนือ แล้วมานั่งห้อยขาบนคานจะเป็นยังไง ?” ตกเย็นในระหว่างที่คุณนิวกำลังนั่งรออาหารมาส่ง ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บภาพบรรยากาศรอบที่พัก ซึ่งในระหว่างนั้นก็มีเสียงสวดมนต์ สวดทำวัตรเย็น หรือสวดศพอะไรสักอย่างดังอยู่ตลอด คุณนิวไม่ทราบเลยว่า บริเวณนั้นมีวัดอยู่ตรงไหน ด้วยความที่คุณนิวเป็นคนปากไวจึงพูดขึ้นมาว่า “โอ๊ย… ดีจริง ๆ เลย บรรยากาศดี มีเสียงดนตรีสวดด้วย” หลังจากที่คุณนิวดื่มด่ำกับบรรยากาศ เวลาประมาณเที่ยงคืน คุณนิวก็ได้กลับเข้าห้องพัก เพื่อที่จะนอนพักผ่อน ในระหว่างที่คุณนิวกำลังจะหลับ คุณนิวก็สัมผัสได้ว่า ‘มีคนกำลังจ้อง มองมาที่ตนอยู่’ ซึ่งตอนนั้นคุณนิวรู้สึกระแวงจนนอนไม่หลับและอึดอัดมาก ก่อนที่สมองจะคิดอะไรไปมากกว่านี้ คุณนิวจึงตัดสินใจลืมตาขึ้นมา สายตามองทะลุความมืดตรงขึ้นไปด้านบนคาน เห็นรูปร่างอะไรบางอย่างที่มืดกว่าบรรยากาศ ลักษณะนั่งห้อยขาอยู่ด้านบนคาน คุณนิวจึงรีบหลับตาลงทันที คิดในใจว่า ‘ถ้าลืมตาอีกครั้ง แล้วเขากระโจนลงมาทับที่ตัวเราจะทำยังไง ?’ จากนั้นก็ค่อย ๆ ตั้งสติ ลืมตามองอีกครั้ง… กลับไม่เจออะไร หันหน้าหนีมองไปทางห้องน้ำ ก็รู้สึกได้ว่า ตรงบริเวณคานมีคนชะโงกหน้ามามองอยู่! ซึ่งคุณนิวไม่สามารถหนีไปไหนได้เลย เพราะไม่คุ้นเส้นทาง และคุณนิวไม่สามารถขับมอเตอร์ไซค์เข้าเมืองตอนตี 1 ได้ สิ่งเดียวที่คุณนิวทำได้คือ ลุกขึ้นไปเปิดไฟ เพื่อให้ห้องสว่าง แต่ก็ยังไม่สามารถนอนหลับต่อได้ … จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น คุณนิวจึงตัดสินใจเก็บกระเป๋า เตรียมตัว Check out c9jก่อนที่จะออกจากห้อง คุณนิวเดินไปที่ระเบียงหลังห้องเพื่อเช็คความเรียบร้อย ก็เข้าใจได้ทันทีเลยว่า “ทำไมตัวเองถึงโดนหลอก” เพราะเมื่อเปิดประตูระเบียงทางด้านออกไป พบว่า ‘ประตูห้องหมายเลข 4’ ได้ตรงกับเมรุเผาศพของวัด ซึ่งบริเวณที่คุณนิวรับประทานอาหารเมื่อวาน เป็นตีนเขาติดกับทางเข้าวัด ซึ่งระหว่างทางที่คุณนิวเดินทางมาถึงโฮมสเตย์แห่งนี้ คุณนิวไม่เห็นเลยว่ามีวัดอยู่ในบริเวณนี้ และอยู่ใกล้ขนาดนี้ หลังจากเกิดเรื่องราวทั้งหมด คุณนิวก็มานั่งเรียบเรียงสถานการณ์ ได้ข้อสรุปว่า การที่เขามาหา น่าจะเป็นเพราะคุณนิวไปปากดีใส่ไว้ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมด น่าจะเกิดขึ้นจากความปากดีล้วน ๆ ซึ่งในทุกเหตุการณ์ คุณนิวก็เป็นคนกำกับบทให้เขา ทั้งการที่คุณพูดว่า “ถ้าเขาใส่ชุดเหนือ แล้วมานั่งห้อยขาบนคาน” ทั้งเสียงสวดคล้ายเสียง “สวดศพ” ซึ่งทำให้คุณนิวเจอเรื่องราวที่ตรงกับที่ตัวเองพูดไว้ทุกอย่าง …(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เที่ยวบ้านผีสิงแต่ไม่น่ากลัว สุดท้ายเดินไปเจอบ้านผีสิงของจริง วิ่งหนีจนไข้หัวโกร๋น!!

13 เม.ย. 2024

เที่ยวบ้านผีสิงแต่ไม่น่ากลัว สุดท้ายเดินไปเจอบ้านผีสิงของจริง วิ่งหนีจนไข้หัวโกร๋น!!

เรื่องนี้ ‘คุณแรก ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องราวประสบการณ์วัยเด็กของคุณตาท่านหนึ่ง เกี่ยวกับการไปเที่ยวบ้านผีสิงงานวัด แต่ไม่น่ากลัว จนไปเจอบ้านผีสิงหลังวัด เจ้าของเห็นว่าดึกแล้วจึงให้เข้าฟรี แต่กลับเจอเรื่องราวต่าง ๆ จนจับไข้หัวโกร๋น เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย คุณแรกเล่าว่าเป็นเรื่องที่ตนเองได้ฟังมาตอนไปล่าท้าผีในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของคุณตาท่านหนึ่ง (นามสมมติว่า เพิ่ม) ได้เล่าให้คุณแรกฟังว่า ต้องย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่คุณตายังเป็นเด็ก อายุประมาณ 12 – 13 ปี ได้ไปเที่ยวงานวัดประจำปี ซึ่งสมัยนั้นก็เป็นที่ตั้งหน้าตั้งตารอของเด็ก ๆ มากเพราะจัดครั้งใหญ่แค่ปีละครั้ง ก่อนที่คุณแรกจะเริ่มเล่า ขอแทนคุณตาเพิ่มว่า ‘เด็กชายเพิ่ม’ เริ่มเรื่องต้องย้อนกลับไปเมื่อสมัยก่อน กลุ่มเพื่อน ๆ ของเด็กชายเพิ่ม ต่างตั้งหน้าตั้งตารอเพื่อที่จะไปเที่ยวงานวัดประจำปีที่จัดใกล้บ้าน ซึ่งเด็กทั่วไปที่ไปเที่ยวงานวัดก็จะเก็บบ้านผีสิงไว้เป็นไฮไลต์สุดท้ายของงาน ทางด้านผู้ปกครองก็จะจับจองพื้นที่ปูเสื่อรอที่หน้าโรงลิเกแล้วก็จะให้เงินเด็ก ๆ ไปเที่ยวเล่นในงานตามอัธยาศัย ส่วนเด็กชายเพิ่มก็จะไปเที่ยวเล่นเครื่องเล่นกับกลุ่มเพื่อนและก็เก็บไฮไลต์สุดท้ายไว้เป็นการเข้าบ้านผีสิง เด็ก ๆ ต่างความคาดหวังว่าบ้านผีสิงงานวัดต้องน่ากลัวและจะต้องตื่นเต้นมาก ๆ แน่นอน หลังจากที่เล่นเครื่องเล่นพอใจแล้ว เด็กชายเพิ่มกับเพื่อน ๆ จ่ายค่าเข้าบ้านผีสิงและเข้าไปจนกระทั่งออกมา แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะบ้านผีสิงไม่น่ากลัว ข้างในเต็มไปด้วยหุ่นผีปลอม หุ่นผีกระสือก็เป็นการชักลอกให้ตกใจ เด็ก ๆ กลุ่มนี้จึงเดินบ่นกันว่า “ปีนี้ไม่น่ากลัว” และก็มีหนึ่งคนในกลุ่มชวนให้ไปเข้าห้องน้ำ ก่อนที่จะไปที่หน้าโรงลิเก เด็ก ๆ ก็เดินไปบริเวณข้างหลังวัด ขณะที่กำลังเดินไปห้องน้ำ ก็ได้เดินผ่านสามเณรรูปหนึ่ง เป็นเด็กจ้ำม่ำน่ารักเดินสวนมา ทางด้านเด็กชายเพิ่มก็ได้ถามเณรว่า “คุณเณร ๆ ห้องน้ำไปทางไหนครับ” เณรก็ตอบว่า “เดินตรงไป เลี้ยวซ้ายนะ เดี๋ยวก็เจอห้องน้ำ” เพื่อนในกลุ่มก็ถามเณรอีกว่า “คุณเณรครับ ยังไม่จำวัดเหรอ มันดึกแล้วนะ” เณรก็ตอบว่า “เสียงดังเณรนอนไม่หลับ เลยมาเดินมาดูหน้างาน ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง” พอถามเสร็จก็แยกย้ายกับสามเณรไปคนละทาง ซึ่งห้องน้ำจะอยู่ข้างหลังวัดติดกับโกศกระดูกและถัดไปก็จะเป็นป่า พอกลุ่มเด็ก ๆ เข้าห้องน้ำเสร็จก็เดินออกมา เพื่อนในกลุ่มก็หันไปเห็นแสงไฟสว่างที่ถัดออกไปไม่ไกลมากนัก เพื่อนจึงสะกิดให้เพื่อนในกลุ่มดู “เฮ้ย! ดูนั้นดิ” เพื่อนในกลุ่มทั้งหมดก็หันไปดูพร้อมกัน ปรากฏว่าเป็นโต๊ะไม้ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ มีตะเกียงเจ้าพายุวางอยู่บนโต๊ะ แล้วมีคุณลุงแก่ ๆ คนหนึ่ง นั่งอยู่บนโต๊ะพร้อมกับป้ายที่ทำจากกระดาษลัง เขียนด้วยหมึกง่าย ๆ ว่า “บ้านผีสิง” เพื่อน ๆ ทั้งหมดก็แปลกใจ ด้วยความสงสัยเด็กกลุ่มนี้ก็เดินไปที่โต๊ะ แล้วก็ถามกับลุงว่า “อ้าวลุง ตรงนี้มีบ้านผีสิงอีกหรอ” ลุงก็ตอบว่า “ใช่ ลุงมาทุกปีแหละ มาช่วยงานวัด แต่ลุงไม่ได้ไปตั้งที่หน้างานหรอกเพราะว่าลุงไม่มีตังจ่ายค่าที่ หลวงพ่อก็ให้มาตั้งที่ตรงนี้โดยที่ไม่เอาเงิน แต่ลุงก็กำลังจะเก็บแล้ว มันดึก มันเงียบ คงไม่มีคนมาแล้วแหละ” เด็กชายเพิ่มจึงถามคุณลุงไปว่า “แล้วลุงมาตั้งตรงนี้มันมีใครมาเที่ยวด้วยหรอ ไม่เห็นมีผ้าล้อม ไม่เห็นมีเขตรั้วอะไรเลย มันโล่งไปหมด” ลุงก็ตอบว่า “โอ้ย...ของลุงสบาย ๆ เดินตรงไปก็มีผี สนุก ๆ” ทางด้านกลุ่มเพื่อน ๆ ของเด็กชายเพิ่มก็บอกว่า “พวกผมเหลือเงินไม่เยอะ เพราะซื้อขนมกับเล่นเครื่องเล่นที่หน้างานมาแล้ว” คุณลุงก็บอกว่า “ไม่เป็นไร จะเก็บกลับบ้านแล้ว ให้เข้าฟรีแล้วกัน เดินตรงไปเลยนะ” เพื่อน ๆ ก็ดีใจกันว่าจะได้เข้าบ้านผีสิงอีกครั้งโดยไม่ต้องเสียเงิน ซึ่งบ้านผีสิงแบบนี้ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะตั้งอยู่หลังวัดเงียบ ๆ ไม่มีคน แล้วเด็ก ๆ ทั้งหมดก็เดินไปตามทางที่คุณลุงบอก เดินตรงไปเรื่อย ๆ ขณะที่กำลังเดินเข้าไปด้านหลังวัด ก็เจอโต๊ะอีกตัวตั้งอยู่ มีตะเกียงตั้งอยู่เหมือนกัน แต่ครั้งนี้เห็นเป็นคุณน้าอีกคน เด็ก ๆ ก็เดินตามแสงไฟที่ เจอคุณน้ากำลังนั่งปั้นน้ำตาลปั่นอยู่ เด็ก ๆ ก็เข้าไปถามทางว่า “น้า ๆ บ้านผีสิงเห็นคุณลุงเขาชี้มาทางนี้ ไปทางไหน” คุณน้าก็ตอบว่า “เนี้ย เดินตรงไปอีกหน่อยก็ถึงแล้วแหละ แต่ว่าซื้อน้ำตาลไหมละ น้าปั้นอร่อยนะ ปั้นน้ำตาลสวยด้วย” เด็ก ๆ ก็มองหน้ากัน แล้วพูดว่า “มีเงินไม่เยอะนะ อาจจะไม่พอ” คุณน้าก็ตอบว่า “ไม่เป็นไร ซื้อตัวหนึ่ง น้าแถมให้อีก 2 ตัว” เด็ก ๆ ก็ให้คุณน้าปั้น 3 ตัวละครในไซอิ๋ว มีพระถังซัมจั๋ง ตือโป๊ยก่ายและซึงหงอคง คุณน้าก็เริ่มปั้นแบบชำนาญ ปั้นเร็วและสวยมาก เด็ก ๆ ต่างตกตะลึงในฝีมือการปั้นน้ำตาลของคุณน้า พอปั้นมาถึงตัวสุดท้ายเป็นพระถังซัมจั๋ง คุณน้าที่ปั้นส่วนของตัวเสร็จและกำลังจะปั้นส่วนหัว แต่คุณน้าก็ทำให้พวกเด็ก ๆ ตกใจเพราะแทนที่คุณน้าจะปั้นส่วนหัวเป็นกลม ๆ คุณน้ากลับใช้มือลวงเข้าไปควักลูกตาของตัวเองมาเสียบเป็นหัวพระถังซัมจั๋ง เด็ก ๆ ทุกคนตกใจ พากันวิ่งหนี วิ่งตรงไปข้างหลังที่เป็นเขตป่าและมีโกศกระดูก! จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียก “โยมพี่ ๆ อย่าวิ่ง” เด็ก ๆ ทุกคนก็หยุดและมองหาต้นเสียงว่าดังมาจากทางไหน ซึ่งต้นเสียงได้ยินมาจากบนต้นไม้ เด็ก ๆ ก็แหงนมองขึ้นไปบนต้นไม้ ปรากฏเป็นเณรจ้ำม่ำน่ารักรูปนั้นที่บอกทางไปห้องน้ำ เด็ก ๆ ก็ถามเณรว่า “เณรไปทำอะไรอยู่บนนั้น ลงมา ๆ ก่อน ผีหลอก ๆ” เณรก็ตอบสวนมาว่า “ไม่มีผีหรอกโยมพี่” เด็ก ๆ ก็ยังช่วยกันตะโกนบอกให้เณรลงมาก่อน เพราะอยากอาศัยบารมีผ้าเหลืองของเณรคุ้มกันผี เณรก็บอกว่า “เดี๋ยวลงไป” พอเณรพูดยังไม่ขาดคำ ก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ ซึ่งต้นไม้สูงมาก เด็ก ๆ ตกใจว่าทำไมเณรไม่ปีนลงมา แล้วเณรก็พูดกับเด็ก ๆ ว่า “เณรคงไปกับพวกโยมพี่ไม่ได้หรอก ดูขาเณรสิ” ปรากฏว่าขาของเณรกระดูกส้นออกมา ขาบิด เพราะตกลงมาจากที่สูง แต่ว่าเณรกลับไม่มีอาการเจ็บเลย และเณรก็ยังมองหน้าเด็ก ๆ แล้วก็หัวเราะ เด็ก ๆ ก็ตกใจแล้วก็วิ่งหนีอีก เพราะเริ่มไม่มั่นใจว่าเณรรูปนี้ใช่คนหรือเปล่า แต่ก็ได้ยินเสียงเณรตะโกนไล่หลังมาว่า “โยมพี่อย่าวิ่ง หมาวัดมันดุ” เด็ก ๆ ทั้งหมดแค่หันมามองแล้ววิ่งกันต่อ ปรากฏว่าได้ยินเสียงหมาเห่าและหมาก็กำลังวิ่งออกมาจากมุมมืดที่โกศเก็บกระดูก เป็นหมาดำขนาดใหญ่ เขี้ยวน่ากลัว กำลังวิ่งไล่เด็ก ๆ แต่พอหันไปดูกลับเป็นซากหมาเน่าที่เน่าไปครึ่งตัว ขาหลังห้อย ใช้ขาหน้าวิ่งแต่วิ่งไล่เด็ก ๆ เร็วมาก ทำให้เด็ก ๆ ตัดสินใจวิ่งไปที่หน้าโรงลิเก เด็กทุกคนก็วิ่งไปหาผู้ปกครองของตัวเอง ส่วนเด็กชายเพิ่มวิ่งไปหาแม่แล้วไปบอกแม่ว่า “เจอผีหลอก” แต่แม่ก็ไม่สนใจห่วงดูลิเกที่กำลังสนุก เลยหันดุเด็กชายเพิ่มว่า “อย่าเสียงดัง” ด้วยความที่เด็กชายเพิ่มยังตกใจอยู่ พอมาเจอแม่ดุอีกก็เลยนั่งลงหอบเพราะวิ่งมาจากหลังวัด สายตาก็เริ่มมองไปที่โรงลิเกที่กำลังเป็นฉากที่นางเอกเป็นองค์หญิงออกมาร่ายรำ ร้องลิเก และจะมีพี่เลี้ยงตามมานั่งพับเพียบอยู่ข้างล่าง แต่สิ่งที่ผิดปกติคือ พี่เลี้ยงหันมาจ้องตาเด็กชายเพิ่มแบบไม่กะพริบตา เด็กชายเพิ่มก็จ้องกลับ ปรากฏว่าพี่เลี้ยงที่อยู่บนโรงลิเกค่อย ๆ คลานเข่าลงมา แล้วกระโดดลงมาจากโรงลิเก ด้วยท่าทางการคลาน 4 ขา ด้วยความเร็วผ่านคนที่ดูลิเกจำนวนมาก มาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กชายเพิ่มแล้วก็ยิ้มจ่อหน้า และดวงตาก็ค่อย ๆ ถลนออกมา ยิ้มปากกว้างจนเด็กชายเพิ่มเขย่าแขนแม่แล้วบอกแม่ว่า “แม่! ผีหลอกอยู่ต่อหน้าเลย” แม่ก็ยิ่งดุง้างมือจะตีเด็กชายเพิ่ม “ไปเลยนะ กลับบ้านไปเลยนะ แม่จะดูลิเกอย่ามากวน” เด็กชายเพิ่มก็วิ่งกลับบ้าน เวลาผ่านไปจนตอนเช้า เด็ก ๆ กลุ่มนี้ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ เพราะทุกคนเป็นไข้ ไม่สบาย ผู้ปกครองของเด็กทุกคนก็พาไปหาเจ้าอาวาสวัด ไปอาบน้ำมนต์ ไปขอของดีกับหลวงตา ผูกสายสิญจน์ แล้วก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เจอเมื่อคืนให้หลวงตาฟัง หลวงตาก็ถามว่า “ยังเจอกันอยู่หรอ” หลวงตาจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังคือ คุณลุงที่มาทำบ้านผีสิงคืออดีตสัปเหร่อ ที่เสียชีวิตไปนานแล้ว ชื่อ ‘ตาพุฒิ’ เสียไปตั้งแต่เจ้าอาวาสยังเป็นพระผู้ช่วย ส่วนคนที่ปั้นน้ำตาลปั้นเขามาทุกปี ตั้งโต๊ะปั้นน้ำตาลข้าง ๆ เวทีรำวง แล้วเกิดเหตุการณ์ที่มีวัยรุ่นแย่งนางรำกันและโยนระเบิด ทำให้โดนลูกหลงเสียชีวิต ส่วนเณรคือ เณรบวชภาคฤดูร้อน ด้วยความซนของเด็ก ไปเล่นน้ำที่สระท้ายวัดกับเด็กวัด ทำให้จมน้ำเสียชีวิต(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ขาไปเบาะยังว่าง พอลืมตาขึ้นมาดันเจอลุงแปลกหน้านั่งอยู่ข้าง ๆ ซะได้! แถมลุงยังบอกอีกว่า “เห็นใช่มั้ย ถ้าเห็นจะเล่าให้ฟัง” จากนั้นก็วาร์ปไปเหตุการณ์ที่รถตู้เกิดอุบัติเหตุ รู้ตัวอีกทีก็มีแหวนปริศนาอยู่ในมือแล้ว

16 มิ.ย. 2023

ขาไปเบาะยังว่าง พอลืมตาขึ้นมาดันเจอลุงแปลกหน้านั่งอยู่ข้าง ๆ ซะได้! แถมลุงยังบอกอีกว่า “เห็นใช่มั้ย ถ้าเห็นจะเล่าให้ฟัง” จากนั้นก็วาร์ปไปเหตุการณ์ที่รถตู้เกิดอุบัติเหตุ รู้ตัวอีกทีก็มีแหวนปริศนาอยู่ในมือแล้ว

‘อังคารคลุมโปง X’ (13 มิถุนายน 2566) ได้แขกรับเชิญสุดพิเศษที่เล่าเรื่องหลอนได้ถึงพริกถึงขิงอย่าง ‘คุณตั้น The Shock’ พร้อมกับเรื่องที่ชวนขนหัวลุกของรถตู้ ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ คิ้วขมวดตลอดทั้งเรื่อง! แต่จะหลอนชวนปริศนาแค่ไหน แท็กชวนเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย!เรื่องนี้เกิดขึ้นกับ ‘คุณเอ’ (นามสมมุติ) ปัจจุบันเป็นสต๊าฟงานอีเวนต์จึงได้รู้จักกับคุณตั้น แล้ววันนั้นก็ต้องนั่งรถตู้ไปพร้อมกับคุณตั้นพอดี คุณตั้นจึงบอกคุณเอไปว่า “เอนั่งข้างหน้าต่างแล้วกัน พี่รู้ว่าเอชอบนั่งริมหน้าต่าง แล้วพี่จะนั่งเบาะกลางเอง” แต่คุณเอกลับปฏิเสธเสียงแข็งว่า “ไม่เอาพี่ เราเว้นที่นั่งเบาะกลางไว้ดีกว่า ผมจะนั่งริมหน้าต่าง ส่วนพี่นั่งริมประตูละกัน” ด้วยความสงสัยคุณตั้นก็ถามไปว่า “ทำไมล่ะ?” คุณเอก็บอกว่า “เดี๋ยวขึ้นรถแล้ว ผมจะเล่าให้ฟัง” หลังจากนั้น คุณเอก็เริ่มเล่า..ย้อนกลับไปตอนที่คุณเอยังเป็นนักดนตรีแบคอัพ มีงานเดินสายเล่นดนตรีแทบทุกคืน คืนหนึ่ง คุณเอต้องเดินทางไปเล่นดนตรีที่ภาคอีสาน โดยการนั่งรถตู้ไปพร้อมกับนักดนตรีแบคอัพวงเดียวกัน แต่รถตู้ของน้าคนขับคู่ใจดันเสีย จึงต้องใช้รถตู้คันอื่นโดยสารไปแทน เมื่อรถมาถึง นักดนตรีก็แยกย้ายกันขึ้นไปนั่ง แบ่งเป็นแถวละ 1 คน ส่วนเบาะที่ยังว่างก็ใช้วางอุปกรณ์ดนตรีแทน คุณเอเลือกที่นั่งริมหน้าต่างแถวหลังคนขับ เมื่อจัดแจงที่นั่งกันเรียบร้อย รถตู้ก็ออกเดินทางตามกำหนดเดินทางออกไปได้สักพัก คุณเอก็เริ่มเคลิ้มหลับ แต่เพราะนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ทำให้หัวมักจะชนกับหน้าต่างบ่อย ๆ และจะรู้สึกตัวเป็นพัก ๆ กระทั่งเวลา 2 ทุ่ม หัวคุณเอชนเข้ากับหน้าต่างจนสะดุ้งตื่นอีกครั้ง ข้างทางเป็นต้นไม้ มีแสงไฟสลัวจากเสาไฟถนนเป็นระยะ คุณเอเหลือบหางตาไปทางด้านขวามือ เห็นเป็นหน้าผู้ชายในกระจก! คุณเอตกใจสะดุ้งแล้วขยี้ตา มองไปอีกที สิ่งนั้นก็หายไป! คุณเอคิดว่าคงเป็นเงาของตัวเอง ไม่ก็คิดมากไปเองเพราะยังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ จึงไม่ได้คิดอะไรมากและกำลังจะหลับต่อ สักพักก็มีเสียงดังก้องในหูว่า “ตื่น.. มีของจะฝาก” คุณเอลืมตาขึ้นมาและมองไปที่กระจกอีกครั้ง ก็เห็นเป็นหน้าผู้ชายคนหนึ่งสะท้อนอยู่ คุณเอพยายามตั้งสติและมองว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เป็นเพื่อนจากข้างหลังที่ย้ายมานั่งข้าง ๆ กันหรือเปล่า ระหว่างที่คิดนั้น คุณเอก็พยายามหลบสายตาผู้ชายในกระจก แล้วเบี่ยงหน้าทางซ้าย ปรากฏว่าสิ่งที่คุณเอเห็นคือ เบาะกลางด้านซ้ายมือของคุณเอ มีผู้ชายแปลกหน้านั่งอยู่!คุณเอคิดในใจว่า “มึงใครวะ” หลังจากสติเริ่มเข้าที่ ก็เริ่มประมวลภาพข้างหน้า ลุงคนนี้ใส่เสื้อลายสก็อต มีย่ามสะพายคาด นั่งมองไปข้างหน้า แล้วพูดว่า “เห็นใช่มั้ย?” คุณเอและคิดในใจว่า “ก็คนน่ะ ก็เห็นสิ” แต่ไม่ได้ตอบอะไรไป ลุงคนนั้นถามอีกครั้งด้วยเสียงที่หนักแน่นขึ้นว่า “เห็นใช่มั้ย?” จากนั้นก็หันหน้ามา ทำให้เห็นว่าหน้าอีกฝั่งเละไปทั้งแถบ! ตอนนั้นคุณเอคิดว่าต้องตะโกนแล้ว แต่พอกำลังจะอ้าปาก มือของลุงคนนั้นก็มาตบที่ต้นขาของคุณเอดังป๊าบ! แล้วพูดว่า “ไม่ต้องร้อง ไม่ต้องกลัว” คุณเอสับสนในหัว ไม่รู้จะทำยังไงต่อ และคิดว่าทางที่ดีที่สุดคือหลับดีกว่า! หลังจากนั้นก็หันหน้ากลับมานั่งตรงเพื่อที่จะหลับต่อ แต่ความรู้สึกที่ต้นขายังสัมผัสได้ว่ามือของลุงคนนั้นยังจับอยู่ที่ขา จากนั้นก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า “ถ้าเห็น จะเล่าให้ฟัง..”เวลาผ่านไปสักพัก คุณเอไม่รู้สึกถึงสัมผัสที่ต้นขาแล้ว และคิดว่าคงไม่มีอะไร จึงลืมตาขึ้น แต่ก็พบว่าสภาพแวดล้อมในรถมันไม่เหมือนเดิม! รอบข้างกลายเป็นเวลากลางวัน คนขับรถตู้ก็ไม่ใช่คนเดิม คนในรถก็ไม่ใช่เพื่อน ทางด้านซ้ายกลายเป็นลุงคนนั้นนั่งอยู่ตรงเบาะกลาง ถัดไปเป็นผู้หญิง และที่นั่งในรถตู้คันนี้ก็เต็มไปด้วยผู้โดยสารเต็มคัน คล้ายกับรถตู้คันนี้เป็นรถตู้โดยสารข้ามจังหวัด! คุณเอมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพยายามมองว่าลุงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กำลังจะสื่อสารอะไรกับคุณเอกันแน่ ภาพที่เห็นคือ คุณลุงหยิบรูปถ่ายออกมาจากย่าม เป็นรูปถ่ายผู้หญิงใส่ชุดรับปริญญา คุณลุงอมยิ้มให้กับรูปถ่าย แล้วก็หยิบแหวนขึ้นมา คุณเอยังไม่เข้าใจความหมายของภาพตรงหน้า สักพักก็มีเสียง “เอี๊ยดดดดดด!” จากนั้นก็รู้สึกได้ว่ากำลังอยู่ในรถที่เสียการทรงตัว “โคร้มมม!” รถตู้หยุดแน่นิ่ง ภาพตัดมาที่คุณเอกำลังยืนมองดูรถตู้คันนั้นอยู่ข้างทาง เสียงร้องโอดครวญจากคนในรถ และมีหลายคนพยายามตะเกียกตะกายออกมา คุณเอคิดในใจว่าอยากจะเข้าไปช่วย แต่กลายเป็นว่าคุณเอจับแขนใครไม่ได้เลย เหมือนกับตัวเองเป็นอากาศธาตุ จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า มีลุงคนนึงที่นั่งมาด้วยกัน ตอนนี้ลุงคนนั้นอยู่ไหน คุณเอขึ้นไปยืนบนรถตู้ที่นอนตะแคงอยู่แล้วมองผ่านกระจกรถที่แตก ก็เห็นว่าคุณลุงยังอยู่ตรงนั้น เศษกระจกบาดใบหน้าจนเละ และมีเสียงหายใจบวกกับกระอักเลือดอยู่ แทนที่คุณลุงจะตะเกียกตะกายเพื่อออกจากรถ กลายเป็นคุณลุงยื่นมือส่งแหวนให้คุณเอกำไว้ในมือ! หลังจากนั้นก็เหมือนอาการวาร์ป คุณเอรู้สึกตัวอีกทีบนรถตู้คันเดิมที่นั่งมา คุณเอหันไปมองข้าง ๆ ก็ไม่เจอคุณลุงคนนั้นแล้ว เมื่อพยายามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ก็รู้สึกว่ามือของตัวเองกำลังกำอะไรบางอย่างไว้ พอคลายมือก็พบว่ามันคือแหวน! คุณเอทั้งตกใจทั้งมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง เพราะคิดว่าคงไม่มีใครเชื่อ อีกครึ่งชั่วโมงจะถึงร้านที่จะต้องไปเล่นดนตรีแล้ว จึงเก็บแหวนใส่กระเป๋า จากนั้นก็ไปทำงาน จนลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปจนกระทั่งถึงเวลาเล่นดนตรี ทุกคนก็กำลังสนุกสนานไปกับบรรยากาศในร้าน มีแว๊บนึงที่คุณเอนึกขึ้นได้ว่า “แหวนยังอยู่มั้ยวะ?” แล้วก็ล้วงมือเข้าไปในกางเกงเพื่อเช็คแหวน จังหวะนั้นก็เห็นผู้หญิงคนนึงยืนอยู่หน้าเวทีกำลังสนุกสนาน คุณเอรู้สึกคุ้นหน้าเธออย่างบอกไม่ถูก หรือเธอจะสวยจนเตะตา แต่ก็ไม่ใช่สเปกขนาดนั้น คุณเอรู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่ไหนสักที่ หลังจากนั้นก็เล่นดนตรีต่อจนจบ เป็นเวลาตีหนึ่งกว่า ๆ ได้ วงของคุณเอไม่ได้มีงานต่อ ที่ร้านจึงจองโต๊ะไว้ให้นั่งสังสรรค์ต่อ ระหว่างนั้นเรื่องแหวนและผู้หญิงคนนั้นก็ยังติดอยู่ในใจคุณเออยู่ กระทั่งคนในวงเอ่ยทัก เพราะคุณเอดูไม่ร่าเริง แต่คุณเอก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง จากนั้นก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนนั้น จึงคิดในใจว่า “หรือผู้หญิงคนนี้ จะเป็นคนที่อยู่ในรูป” และคิดว่าจะเอาแหวนไปให้เธอดู อาจจะคลายปมปริศนาที่สงสัยอยู่ก็เป็นได้จากนั้น คุณเอก็เดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น ท่ามกลางเพื่อน ๆ ในวงที่ส่งเสียงแซวตามหลัง เมื่อมาถึงที่โต๊ะ คุณเอก็ถามผู้หญิงคนนั้นว่า “น้องครับ พี่ขอเวลาสักครู่ได้มั้ย?” ด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกจริงจัง จากนั้นก็หยิบแหวนขึ้นมา แล้วพูดว่า “น้องเคยเห็นแหวนวงนี้มั้ย?” แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มร้องไห้อย่างไร้สาเหตุ แล้วก็วิ่งออกจากร้านไป! เพื่อนผู้หญิงในโต๊ะก็เริ่มโวยวาย คิดว่าคุณเอเป็นคนไม่ดี แต่คุณเอก็รีบปฏิเสธว่าตนยังไม่ได้ทำอะไร จากนั้นก็วิ่งตามออกไป พอออกไปข้างนอกก็เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นร้องไห้อยู่ตรงทางเท้า เพื่อนก็เข้าไปปลอบ เธอร้องไห้อยู่สักพักใหญ่ หลังจากเธอเริ่มได้สติ คุณเอก็เริ่มเข้าไปคุยด้วยว่า “น้อง.. มันเกิดเรื่องอะไรกับพี่ไม่รู้ แต่มันมีแหวนวงนี้มาอยู่ที่พี่ น้องรู้มั้ยว่ามันคืออะไร?” จากนั้นเธอก็เริ่มตั้งสติ และบอกว่า “แหวนวงนี้ เป็นของพ่อหนู คือตอนนั้นหนูเรียนจบปริญญาตรี แล้วก็ถ่ายรูปใส่ชุดรับปริญญาส่งไปให้พ่อดู พ่อหนูไปทำงานที่กรุงเทพ ส่งเงินให้หนูเรียนมหาลัยที่ต่างจังหวัด แล้วพ่อก็บอกว่าพ่อจะกลับไปงานรับปริญญา แล้วก็จะมีของขวัญไปให้ด้วย” แล้วเธอก็เปิดรูปที่พ่อส่งมาให้ในไลน์ เห็นเป็นคุณพ่อถ่ายรูปเซลฟี่คู่กับแหวนส่งมาให้ แต่ระหว่างที่คุณพ่อเดินทางกลับ รถตู้ที่นั่งมาประสบอุบัติเหตุ และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ แต่เจ้าหน้าที่ค้นหาแหวนยังไงก็ไม่เจอ นั่นทำให้คุณเอพอจะเข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ มากขึ้น จากนั้นก็มอบแหวนคืนน้องผู้หญิงไปแต่สิ่งที่ยังติดค้างในใจคือ “แล้วเราเกี่ยวอะไรด้วยวะ?” คุณเอจึงไปหาน้าคนขับรถตู้เพื่อถามถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แต่น้าคนขับรถก็ไม่รู้เรื่องอะไร เพราะรถตู้คันนี้ก็เช่ามาอีกทีเหมือนกัน จึงโทรกลับไปหาเจ้าของรถตู้ ได้เรื่องว่ารถตู้คันนี้พึ่งซ่อมเสร็จ กำลังใหม่เอี่ยม แถมยังให้เช่าราคาถูกอีกด้วย นั่นจึงทำให้รู้ว่ารถตู้คันนี้คือต้นเรื่องราวทั้งหมด เป็นรถคันที่เกิดอุบัติเหตุนั่นเอง!สุดท้ายแล้วคุณตั้นได้มานั่งวิเคราะห์กับคุณเอว่า หรือจริง ๆ แล้ว แหวนวงนี้ มันอยู่ในรถตั้งแต่แรก แต่ไม่มีใครหาเจอ แล้วคุณเออาจจะไปสัมผัสโดนแหวน ทำให้คุณพ่อสามารถสื่อสารกับคุณเอได้ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้คุณเอมีความคิดว่า ถ้ารักใคร จะไม่ให้คนนั้นนั่งเบาะกลาง.. แล้วคุณล่ะ ชอบนั่งตรงไหน แต่เพื่อความปลอดภัยอย่าลืมรัดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งด้วยนะ ด้วยความหวังดีจาก อังคารคลุมโปง X(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก นนท์ อินทนนท์ ’คืนสยองวันรับน้อง‘ I อังคารคลุมโปง X นนท์ อินทนนท์ [ 9 ก.ค. 2567]

13 ก.ค. 2024

เรื่องเล่าจาก นนท์ อินทนนท์ ’คืนสยองวันรับน้อง‘ I อังคารคลุมโปง X นนท์ อินทนนท์ [ 9 ก.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณนนท์ อินทนนท์‘ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 กรกฎาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ‘ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ’คืนสยองวันรับน้อง‘ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! คุณนนท์เล่าว่า ตนเป็นรุ่นพี่ที่ไปดูรุ่นน้องในค่ายรับน้อง 3 วัน 2 คืน จึงจองรีสอร์ทกับเพื่อน ซึ่งเป็นรีสอร์ทกลางนา ในห้องน้ำมีต้นไม้ใหญ่อยู่กลางห้อง ส่วนห้องนอนรวมกันประมาณ 7 คน เเละสุนัขของเพื่อนอีก 1 ตัว หลังจากเหนื่อยจากการรับน้องจึงแยกย้ายกันไปอาบน้ำเเล้วมาเข้านอน คืนนั้นมีเพื่อนคนหนึ่งตื่นมาเวลาประมาณตี 2 เเล้วก็สังเกตเห็นใครบางคนกำลังแสดงอะไรบางอย่างอยู่ในห้อง แล้วสุนัขก็เห่าเเล้วมองไปทางเดียวกันกับที่เพื่อน จนคุณนนท์ตื่นเเล้วมองไปที่สุนัข เเต่ก็ไม่เห็นอะไร เพื่อนถามคุณนนท์ว่า “มึง มึงไม่เห็นหรอ เขารำใหญ่เลย” ตนจึงตอบไปว่า “ใครรำ ใครจะรำตอนนี้ บ้าปะเนี่ย” เพื่อนจึงบอกให้คุณนนท์ตั้งสติ เเล้วคุณนนท์ก็เห็นเป็นร่างหนึ่งนั่งอยู่ตรงที่วางทีวี หัวของร่างนั้นติดอยู่ตรงพัดลมที่กำลังส่าย คุณนนท์เเละเพื่อนรู้สึกช็อคจึงสวดมนต์กับเพื่อน สักพักร่างนั้นก็หายไป..! วันต่อมา คุณนนท์ได้คุยกับเพื่อนว่าอยากให้ย้ายออกจากรีสอร์ท เเล้วจากนั้นตนก็เล่าเรื่องที่เจอเมื่อคืนให้เพื่อนฟัง เมื่อเล่าเสร็จก็มีเพื่อนคนหนึ่งพูดท้าทายว่า “จะรำได้ขนาดไหน เดี๋ยวมารอดูสิว่าการรำกับการนอนของกูอันไหนจะพังกว่ากัน” เเต่คุณนนท์รู้สึกไม่สบายใจจึงบอกให้เพื่อนขอโทษขอขมากับคำพูดที่ได้พูดลบหลู่ไป คืนนั้นเวลาตี 3 ขณะที่ทุกคนนอนอยู่ ก็มีกลิ่นน้ำอบลอยเข้ามาในห้อง ทำให้ทุกคนในห้องตื่น สักพักทุกคนก็ได้ยินเสียงดนตรีขึ้น ทุกคนจึงหลับตากอดกัน เเล้วก็มีลมแรงมาก ๆ พัดเข้ามาในห้อง! คุณนนท์รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ดี จึงทำสัญญาณบอกเพื่อนว่า ออกไปเถอะ เเล้วก็รีบเก็บของไปนอนที่อื่น วันต่อมา คุณนนท์ได้ไปพูดคุยกับเจ้าของรีสอร์ทว่า “หนูนอนไม่ได้เลย” เขาก็ตอบกลับว่า “ห้องนั้นเคยมีเด็กที่เป็นนางรำมานอน เเล้วเหมือนโรคประจำตัวเขากำเริบ เเล้วก็ชัก” คุณนนท์จึงคิดว่าสิ่งที่ตนเเละเพื่อน ๆ เจอนั้น คงเป็นวิญญาณของเด็กที่เป็นนางรำนั่นเอง…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1