เรื่องเล่าจากออมนาเบลล์ ‘วินาทีชู้หนีตาย’ l อังคารคลุมโปง X ออมนาเบลล์ [ 20 พ.ค.2568 ]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากออมนาเบลล์ ‘วินาทีชู้หนีตาย’ l อังคารคลุมโปง X ออมนาเบลล์ [ 20 พ.ค.2568 ]

27 พ.ค. 2025

       ‘ออมนาเบลล์’ ได้มาเล่าเรื่องของ ‘วัฒน์’ เด็กหนุ่มที่แอบคบหากับพี่สาวในหอพักเดียวกัน แต่กลับถูกแฟนของเธอจับได้ จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์สุดสยอง ที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 พฤษภาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในตอนที่มีชื่อว่า ‘วินาทีชู้หนีตาย’

       ออมนาเบลล์ เล่าว่า ‘วัฒน์’ เป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ทำให้เขาต้องหาหอพัก จนได้มาอยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งทั้งคู่พักอยู่ที่ชั้น 3

       วันหนึ่งขณะกลับห้อง เขาก็ได้เจอผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งดูหน้าตาดี อายุห่างจากเขาประมาณ 10-15 ปี เธอกำลังแบกกระสอบใบใหญ่อยู่ที่ชั้นล่าง วัฒน์ซึ่งเป็นคนเจ้าชู้อยู่แล้ว ก็ไม่รอช้า รีบเข้าไปช่วยถือของ และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่เขาได้รู้จักกับ ‘พี่มาลี’

       พี่มาลีทำงานรับซ่อมเสื้อผ้า จึงต้องแบกกระสอบผ้าใบใหญ่ขึ้นลงทุกวัน พี่มาลีบอกว่าเธอมีแฟนอยู่แล้ว แต่แฟนไม่ค่อยมาหา เมื่อเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเดือน ความสนิทก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น จนในที่สุดความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มลึกซึ้ง

       วันหนึ่งวัฒน์รู้มาว่าแฟนของพี่มาลีได้มาหาเธอ และในคืนนั้นเอง ขณะที่วัฒน์กำลังหลับ ก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันดังมากจากชั้นบน เสียงนั้นทำให้เขาสะดุ้งตื่น และเมื่อออกไปหน้าห้อง ก็พบว่าคนในหอออกมายืนดูเต็มทางเดิน เสียงนั้นมาจากชั้น 5 ซึ่งวัฒน์มั่นใจว่าเป็นห้องของพี่มาลีแน่นอน เขาตัดสินใจโทรแจ้งตำรวจเพื่อให้สถานการณ์สงบลง เมื่อตำรวจมาถึง เสียงทะเลาะก็เงียบไป

       วันต่อมา วัฒน์ขึ้นไปเคาะประตูห้องเรียกพี่มาลีด้วยความเป็นห่วง ประตูก็เปิดออกอย่างช้า ๆ คนที่เปิดประตูกลับไม่ใช่พี่มาลี.. แต่เป็นแฟนของเธอแทน ชายคนนั้นมองหน้าวัฒน์แล้วพูดว่า

       "มาหาเมียพี่เหรอ?"

       วัฒน์ตอบด้วยความประหม่าว่า "ครับ... ผมเป็นห่วงพี่เขา"

       แฟนพี่มาลีจึงชวนวัฒน์เข้าไปในห้อง แม้ใจจะหวั่นกลัว แต่วัฒน์ก็จำใจยอมเดินเข้าไป ชายคนนั้นนั่งลงข้าง ๆ แล้วถามวัฒน์ว่า "เมียพี่สวยมั้ย?" ตามมาด้วย "แล้วชอบเมียพี่รึเปล่า?"

       แต่ละคำถามทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดกว่าเดิม วัฒน์จึงรีบปฏิเสธ หลังจากนั้น แฟนพี่มาลีก็ลุกไปที่เตียง แล้วขอให้วัฒน์ช่วยยกของ เขาจึงเดินไปช่วย และพบว่าใต้ฟูกมี "กระสอบใบใหญ่" ที่คุ้นตา เขารู้ทันทีว่าเป็นกระสอบที่พี่มาลีแบกประจำ

       "อยากเห็นเมียพี่มั้ย?" แฟนของพี่มาลีถามวัฒน์

       วัฒน์ค่อย ๆ เปิดกระสอบ แล้วก็พบว่า พี่มาลีนอนขดตัวอยู่ในนั้น!

       วัฒน์ตกใจสุดขีด แล้วรีบวิ่งไปที่ประตูหวังหนีออกไป แต่ชายคนนั้นเข้ามาขวางไว้ พร้อมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วโชว์ภาพถ่ายคู่ของวัฒน์กับพี่มาลี ก่อนที่สถานการณ์จะแย่ไปมากกว่านี้ วัฒน์รีบขอโทษ และหาทางเอาตัวรอดวิธีอื่น คิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจกระโดดลงจากระเบียง หลังจากกระโดดลงไป เขาลงมานอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น ขณะที่กำลังพยายามขยับตัว ตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนนั่งอยู่ข้าง ๆ นั่นคือแฟนพี่มาลีที่ตามมาพร้อมพูดว่า "เมียพี่สวยป้ะ?"

       หลังจากนั้นวัฒน์ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เมื่อฟื้นขึ้นมา เขารีบแจ้งตำรวจให้ไปตรวจสอบที่ห้องของพี่มาลี

       เมื่อตำรวจไปถึง ก็พบว่า ศพของพี่มาลีอยู่ในห้องจริง ๆ และแฟนของเธอเองก็นอนเสียชีวิตอยู่ในห้องน้ำเช่นกัน

       เมื่อตำรวจไปถึง ก็พบว่า ศพของพี่มาลีอยู่ในห้องจริง ๆ และแฟนของเธอเองก็นอนเสียชีวิตอยู่ในห้องน้ำ โดยมีน้ำยาล้างห้องน้ำวางอยู่ใกล้ ๆ การชันสูตรพบว่าเวลาการเสียชีวิตของทั้งคู่ใกล้เคียงกัน โดยแฟนของพี่มาลีเป็นคนทำร้ายเธอจนเสียชีวิต สุดท้ายก็จบชีวิตตัวเองเพื่อหนีความผิด นั่นหมายความว่า.. สิ่งที่วัฒน์เจอในวันนั้น ไม่ใช่คนอย่างแน่นอน

 (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณคิงส์ 'มะม่วงกวน' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [21 ม.ค. 2568]

25 ม.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณคิงส์ 'มะม่วงกวน' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [21 ม.ค. 2568]

เรื่องราวความเฮี้ยนนี้ มาจาก ‘คุณคิงส์’ สายแรกจากรายการ ‘อังคารคลุมโปง’ (21 มกราคม 2568) กับเรื่องราวของ ‘ป้านวล’ คนสวยประจำหมู่บ้าน ที่สำคัญคือทำมะม่วงกวนได้อร่อยที่หนึ่ง แต่แล้วกลับต้องพบจุดจบที่น่าเศร้า ที่ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถึงกับอ้าปากค้าง กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘มะม่วงกวน’ คุณคิงส์เล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 45 – 50 ปีก่อน เป็นเรื่องราวที่เล่าต่อกันมาจาก ‘คุณยายน้อย’ (คุณยายของคุณคิง) ตอนนั้น คุณยายอายุประมาณ 10 ขวบกว่า คุณยายได้เล่าว่าท่านรู้จักกับ ‘ป้านวล’ ซึ่งป้านวลเป็นคนที่มีหน้าตาสวย กิริยามารยาทดี และที่สำคัญคือทำอาหารเก่งและทำขนมอร่อยมาก สิ่งที่ป้านวลทำอร่อยมากที่สุดคือ ‘มะม่วงกวน’ เพราะว่ารอบ ๆ ตัวบ้านของป้านวลจะมีต้นมะม่วงที่ปลูกไว้เยอะมาก พอมะม่วงสุก ป้านวลก็จะนำมากวน เพื่อถนอมอาหารไว้ ป้านวลทำมะม่วงกวนอร่อยมาก รสชาติเลื่องลือ เรียกได้ว่าถ้าอยากกินมะม่วงกวนก็ต้องมาซื้อที่บ้านของป้านวลเท่านั้น นอกจากเสน่ห์ปลายจวักแล้ว ป้านวลก็ยังเป็นคนสวย ทำให้มีผู้ชายเข้าหาเยอะ จนในที่สุด ป้านวลก็ตัดสินใจเลือกแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง เวลาผ่านไปจนกระทั่งป้านวลตั้งท้องลูกคนแรก หลังจากมีลูกคนแรก ป้านวลก็เริ่มทะเลาะกับสามีบ่อยครั้ง ชาวบ้านเริ่มได้ยินเสียงทะเลาะกัน และเห็นป้านวลเดินออกมาร้องไห้ที่ใต้ต้นมะม่วงเป็นประจำ บางครั้งยายน้อยก็เดินเข้าไปคุยกับป้านวลอยู่เรื่อย ๆ เพื่อปลอบใจ ป้านวลเล่าว่าแกทะเลาะกับสามีแกบ่อยเลยไม่สบายใจและเครียด ยายน้อยจึงได้พูดปลอบใจว่า เพราะป้านวลท้องหรือเปล่าจึงได้มีอารมณ์ฉุนเฉียว หลังจากปลอบใจเสร็จ ยายน้อยก็คิดว่าไม่มีอะไรแล้ว จึงกลับไปที่บ้านของตนเอง จนกระทั่งรุ่งเช้าเวลาประมาณตี 5 แม่ของยายน้อยได้มาปลุกให้ยายน้อยตื่นและให้เดินตามมา แต่สมัยก่อนนั้นไฟฟ้ายังไม่ได้มีความสว่างมาก ทำให้ต้องใช้ไฟฉายและตะเกียงในการเดินทาง แม่ของยายน้อยได้พายายน้อยทั้งเดินและกึ่งวิ่งไปที่บ้านของป้านวลและตะโกนเรียกหา แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา จึงได้เดินหารอบ ๆ ตัวบ้านและให้สามีของป้านวลช่วยหาด้วย สาเหตุที่ทำให้ต้องมาตามหาป้านวลเป็นเพราะสามีของป้านวลได้วิ่งมาบอกว่าป้านวลหายออกไปจากบ้าน แต่หารอบบ้านเท่าไหร่ก็ไม่เจอเสียที จึงลองเดินไปหาแถวสวนมะม่วงของป้านวล เพราะยายน้อยบอกว่าป้านวลชอบไปแถวนั้น พอเดินไปถึงที่ต้นมะม่วงที่ป้านวลชอบไป ก็ได้ใช้ไฟฉายเพื่อส่องดูรอบ ๆ ยายน้อยเกิดรู้สึกสะกิดใจจึงได้ฉายไปที่ด้านบนของต้นมะม่วง ก็เห็นร่างของป้านวลห้อยอยู่ด้านบน! ป้านวลได้ผูกคอที่ด้านบนของต้นมะม่วงซึ่งเป็นต้นมะม่วงที่ป้านวลรักมากที่สุด เมื่อเห็นดังนั้น สามีป้านวลก็รีบปีนขึ้นไปเพื่อนำร่างของป้านวลลงมา แต่ก็ไม่ทัน ป้านวลกับลูกในท้องได้เสียชีวิตแล้ว.. หลังจากเหตุการณ์นั้นชาวบ้านต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องเฮี้ยนแน่ หลังจากประกอบพิธีศพของป้านวลเสร็จเรียบร้อย ความเฮี้ยนก็ได้เริ่มต้นขึ้น.. สาเหตุเป็นเพราะต้นมะม่วงของป้านวลออกลูกดกและมีรสชาติอร่อยจึงได้เป็นที่หมายตาของใครหลายคน ทำให้มีคนไปแอบเก็บมะม่วงของป้านวล บางคนก็ได้เจอป้านวลนั่งแกว่งขาเล่นอยู่บนกิ่งไม้ บางคนก็ได้ยินเสียงคนโยนมะม่วงลงมาแต่กลับไม่เห็นคน บางคนก็จะเห็นป้านวลยืนรออยู่ และก็โดนป้านวลไล่ไม่ให้ไปเก็บมะม่วง และเนื่องจากต้นมะม่วงต้นนี้อยู่ใกล้กับถนนที่มีผู้คนใช้เดินทาง บางคนก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนขย่มกิ่งของต้นมะม่วงอีกด้วย เรื่องราวนี้ผ่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีกลุ่มวัยรุ่นที่มีความคึกคะนองได้ท้าทายว่า ‘คืนนี้จะไปเก็บมะม่วงของป้านวล’ วัยรุ่นผู้ชายจึงได้นัดรวมตัวกัน 3-4 คน ในเวลา 4 – 5 ทุ่ม เพื่อไปเก็บมะม่วง ก็ไปเก็บกันปกติไม่ได้มีอะไร บางลูกก็อยู่บนต้น บางลูกก็ร่วงตามพื้น เหล่าวัยรุ่นเก็บจนได้เกือบเต็มตะกร้าและจะเดินทางกลับ ในตอนที่กำลังหันหลัง กลุ่มวัยรุ่นก็ได้ยินเสียงพูดว่า “เดี๋ยวสิ มะม่วงที่เอาไปน่ะ มันยังสุกไม่เต็มที่ ถ้าจะเอาไปกวนนะมันต้องสุกเละ ๆ นะ ถึงจะอร่อยรสดี” เมื่อวัยรุ่นหันกลับมา ก็ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนและยื่นมะม่วงมาให้ พร้อมทั้งพูดว่า “ต้องลูกแบบนี้ สุกแบบนี้ ถึงจะกวนอร่อย” เหล่าวัยรุ่นจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อจะหยิบมะม่วงลูกนั้นมา และด้วยความที่ไม่ได้รู้จักกับป้านวลมากเท่าไหร่จึงไม่ได้รู้ถึงน้ำเสียงและรูปลักษณ์ของป้านวล ระหว่างที่เดินเข้าไปหยิบมะม่วง แสงไฟก็ได้สะท้อนและเห็นหน้าของผู้หญิงคนนั้น ที่มีหน้าเละและตาถลนออกมา ป้านวลได้พูดขึ้นว่า “ต้องเละ ๆ แบบนี้สิ ถึงจะกวนอร่อย” เมื่อเหล่าวัยรุ่นเห็นเช่นนั้น ก็ได้โยนทุกอย่างและวิ่งหนีตะโกนดังไปทั่วหมู่บ้าน จนเป็นไข้หัวโกร๋นกันห หลังจากเหตุการณ์นั้น แม่ของยายน้อยก็เริ่มรู้สึกกังวลใจ จึงได้หาคนเพื่อมาอัญเชิญดวงวิญญาณของป้านวลให้ไปสู่สุขคติ จึงได้ขอหมอผีมาทำพิธีให้ดวงวิญญาณสงบ แต่หมอผีคนนั้นก็ได้พูดว่า “เป็นแบบนี้เอาไม่อยู่หรอก” เพราะในตอนที่ทำพิธีต้นมะม่วงสั่นไหวเหมือนโดนลมพายุ แต่กลับสั่นอยู่ต้นเดียวคือต้นที่ป้านวลผูกคอ นอกจากนี้ หมอผีคนนี้ยังได้ยินเหมือนมีคนตะโกนว่า “อย่ามายุ่งเรื่องของกู!” จนหมอผีห้ามไม่ให้มายุ่งกับพื้นที่ตรงนี้ หลายเดือนผ่านไป เรื่องราวของป้านวลก็ค่อย ๆ จางหายไปเพราะไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง จนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่ยายน้อยและเพื่อนได้ไปเดินเล่นบริเวณนั้น ยายน้อยได้ยินเสียงคนเรียกและพูดว่า “น้อย.. ป้าฝากไปบอกแม่ ให้ทำบุญให้หน่อย” ยายน้อยรู้สึกขนลุกตั้งและมองที่มาของเสียงแต่ก็ไม่เจอใครอยู่บริเวณนั้น จึงรีบวิ่งกลับบ้านและบอกคุณแม่ เช้าวันรุ่งขึ้น ก็ได้นิมนต์พระมา และพระท่านได้บอกว่า “โยม ได้ทำบุญหรืออุทิศอะไรให้เขาไปเต็มที่หรือยัง” ซึ่งแม่ของยายน้อยยังไม่ได้ทำเพราะปกติจะเก็บร่างไว้ประมาณ 1 ปี แล้วค่อยนำมาเผา หลวงพ่อท่านจึงบอกให้ทำบุญบ่อย ๆ หลังจากพระท่านพูดเสร็จ ต้นมะม่วงก็ได้สั่นไหว เหมือนเป็นสัญญาณบางอย่าง จากนั้น แม่ก็ได้ทำบุญให้ป้านวล หลังจากนั้น คืนหนึ่ง ยายน้อยก็ได้ยินเสียงบางคนเดินขึ้นมาบนตัวบ้านและหยุดที่หน้าห้องของยายน้อยและพูดว่า “น้อย ฉันไปก่อนนะ ฝากบอกแม่ฉันด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง” หลังจากสิ้นประโยค เสียงทุกอย่างก็เงียบไป ยายน้อยจำได้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงของป้านวล หลังจากเหตุการณ์นี้ก็ไม่มีใครเจอเหตุการณ์แปลก ๆ อะไรอีกเลย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากส้ม มัลนิการ์ ‘ฉี่ทับที่ผี’ l อังคารคลุมโปง X ส้ม มัลนิการ์ [ 12 ส.ค.2568 ]

20 ส.ค. 2025

เรื่องเล่าจากส้ม มัลนิการ์ ‘ฉี่ทับที่ผี’ l อังคารคลุมโปง X ส้ม มัลนิการ์ [ 12 ส.ค.2568 ]

เรื่องนี้ถูกถ่ายทอดโดย ‘ส้ม มัลนิการ์’ ที่มาเล่าเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่ไปตกปลาบนเขา แล้วปัสสาวะโดยที่ไม่ขอเจ้าที่เจ้าทางจนมีอันเป็นไป! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 สิงหาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ฉี่ทับที่ผี’ เรื่องราวนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณฟ้า’ (นามสมมติ) เธอเพิ่งสูญเสียสามีไป จึงติดต่อให้รายการช่วยเหลือ โดยสามีของเธอชื่อว่า ‘คุณเอก’ (นามสมมติ) วันหนึ่งคุณเอกได้ขึ้นไปตกปลาที่บึงร้างบนเขา แล้วเกิดปวดปัสสาวะ จึงไปปัสสาวะที่โขดหินริมน้ำก้อนหนึ่ง ซึ่งฟ้าเองก็ตกใจและเตือนสามีให้ไหว้เจ้าที่ก่อน เอกได้ยินก็ยกมือไหว้ส่ง ๆ เพราะส่วนตัวเอกไม่ได้เชื่อเรื่องนี้ หลังจากนั้นเวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน เอกก็มีอาการป่วยและตรวจพบว่าเป็นโรคลูคีเมีย ซึ่งทั้งตระกูลไม่เคยมีใครเป็น ดังนั้นไม่ใช่กรรมพันธุ์แต่อย่างใด จากนั้นก็เข้ารับการรักษาตามอาการ ส่วนทางด้านฟ้าก็ฝันว่ามีวิญญาณผีผู้หญิงตัวเปียกน้ำใส่ชุดขาวมาบอกให้นำกระทงเซ่นไหว้ขึ้นไปไหว้ เขาไม่ได้มาขอร้องแต่เป็นการมาสั่งว่าต้องขึ้นไปไหว้ ฟ้ารู้สึกกลัวจึงไปบอกเอก แต่กลับได้คำตอบว่า “ไร้สาระ” ขณะนั้นเอง ครอบครัวของเอกก็มาได้ยิน ด้วยความเป็นพ่อเป็นแม่หากมีวิธีใดที่ทำให้ลูกดีขึ้นก็จะทำ ในที่สุดวันนั้นก็พากันขึ้นไปบนเขา พ่อกับแม่ได้นำกระทงไปวางไว้บริเวณหนึ่งใกล้ ๆ กับจุดที่เอกปัสสาวะ หลังจากกลับมาในระยะเวลาไม่ถึงเดือน โรคลูคีเมียของเอกก็หายเป็นปลิดทิ้ง ทุกคนสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะตามหลักวิทยาศาสตร์ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะหายขาด ทุกคนต่างก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติจนกระทั่งผ่านไปประมาณ 3 เดือน เอกกลับมามีอาการอีกครั้ง และครั้งนี้อาการหนักกว่าเดิม นอกจากนี้ฟ้าก็ฝันเห็นวิญญาณผีผู้หญิงคนเดิมอีกครั้ง เขามาบอกว่าให้ขึ้นไปไหว้อีกครั้ง แต่คราวนี้เอกไม่เชื่อและเลือกที่จะไม่กลับไปไหว้เพราะรู้สึกว่าตัวเองถูกใช้เป็นข้อต่อรอง เขารู้ตัวว่าอาการป่วยครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องวิทยาศาสตร์แน่ ๆ หลังจากนั้นไม่นาน เอกก็เสียชีวิตลงด้วยการกระอักเลือด เลือดออกทางรูทวาร ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่มีอาการทรุดหรือผิดปกติ แต่เรื่องราวยังไม่จบ เพราะวิญญาณผีผู้หญิงตนนี้ก็มาเข้าฝันฟ้าอีกครั้งแล้วบอกว่า ‘จะเอาไปอยู่ด้วยอีกคน’ ด้วยความกลัวจึงติดต่อคุณส้มให้ไปช่วยสื่อสารให้ เมื่อคุณส้มไปถึงพื้นที่ก็เจอกับดวงวิญญาณดวงนี้ ในคืนนั้นคุณส้มและทีมงานลงพื้นที่ถึง 3 โลเคชันโลเคชันที่ 1 บ้านของฟ้า คุณส้มได้ทำการสื่อสารและสืบเรื่องราวประวัติทุกอย่างเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ แต่สุดท้ายข้อมูลก็ไม่เกี่ยวกับเอกเลย มีเพียงวิญญาณหญิงชุดขาวที่พยายามจะสื่อสารอยู่ตลอดเวลา จึงตัดสินใจเปลี่ยนโลเคชันโลเคชันที่ 2 บ้านของเอก คุณส้มได้สื่อสารและพยายามพูดคุยกับพ่อแม่ แต่พวกท่านยังคงมีอาการเสียใจจากการสูญเสียลูก พูดรู้เรื่องแต่ช้า ส่วนดวงวิญญาณของเอกก็สัมผัสได้ว่าไม่ได้อยู่บริเวณในบ้าน แต่จะอยู่หน้าบ้านในสภาพนั่งยองและมีวิญญาณหญิงชุดขาวจิกหัวอยู่ เหมือนเป็นทาส เหตุการณ์นี้ทำให้ฉุดคิดได้ว่ามันแปลกและต้องมีอะไรบนเขาแน่ ๆ จึงเปลี่ยนโลเคชันอีกครั้งสุดท้าย โลเคชันที่ 3 เขาบริเวณที่ตกปลา การไปสถานที่นี้มีพ่อแม่ของเอกขับรถขึ้นไปด้วยตัวเอง เมื่อไปถึงก็จะพบกับโขดหิน 2 ก้อน บนโขดหินฝั่งซ้ายมีวิญญาณผู้ชายนั่งชันขาข้างขวา หันหน้ามามองทีมงานด้วยสายตาเหม่อลอย เมื่อพูดลักษณะออกมา ฟ้าและครอบครัวก็ค่อนข้างมั่นใจว่านั่นคือ ‘วิญญาณของเอก’ แน่นอน เมื่อนำรูปมาเทียบก็ยืนยันได้ว่าคนเดียวกัน ซึ่งที่สำคัญหินก้อนนั้นคือบริเวณที่เอกได้ไปปัสสาวะไว้นั่นเอง คืนนั้นท่ามกลางความมืดแต่ภาพข้างหน้ายังชัดเจนเหมือนมีแสงไฟสาดส่องไป จนทำให้คุณส้มต้องกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ คุณพ่อคุณแม่เมื่อทราบว่าลูกยังคงวนเวียนอยู่ที่นี่ แถมโดนกดกักขังไว้ให้เป็นเบี้ยล่างและบริวารอีก จึงร้องไห้สะอื้นออกมา การช่วยเหลือในครั้งนี้ลำพังแค่คุณส้มคงไม่สามารถช่วยได้ จึงมีคุณโอมาช่วยเพิ่ม จากนั้นก็เริ่มทำพิธีทางเต๋า เพื่อเชิญดวงวิญญาณกลับบ้าน โดยการสร้างม่านกำบังไม่ให้วิญญาณผู้หญิงติดตามมา ขณะที่กำลังทำพิธีกรรมก็มีอภินิหารเกิดลำแสงส่องสว่างขึ้นมาบนน้ำคล้ายเงาจันทร์แม้คืนนั้นจะไม่มีพระจันทร็ตาม ทุกคนเห็นจึงเริ่มถอยห่างพร้อมจุดธูปคนละดอกให้พ่อแม่เรียกชื่อลูกและเดินกลับไปที่รถ ห้ามหันมามองเด็ดขาด ตลอดการเดินแม่เรียกลูกตลอดทาง “ไปอยู่กับแม่นะ”, “กลับมาหาแม่นะลูก” พร้อมเสียงสะอื้นจนจะขาดใจ กว่าวิญญาณของเอกจะหลุดพ้นมาได้ก็โดนวิญญาณหญิงชุดขาวฉุดรั้งไว้ เกิดการต่อสู้กับวิชาของคุณโอพอสมควร เมื่อดวงวิญญาณออกมาได้ บรรยากาศตรงนั้นกลับเกิดฝนปรอย ๆ เหมือนน้ำมนต์ พร้อมกับดวงจันทร์ที่ออกจากเงาเมฆพอดี ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าดวงวิญญาณได้ออกมาแล้ว เอกนั่งบนหลังคารถกระบะลงมาจากเขาพร้อมกับทุกคน เมื่อมาถึงบ้าน รถยังไม่ทันจอดสนิท สุนัขตัวโปรดที่ดุจนต้องล่ามโซ่ไว้กลับทำเสียงอ้อนด้วยความคิดถึง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สุนัขตัวนี้เป็นทุกครั้งเมื่อเห็นเอกกลับบ้าน ทำให้มั่นใจว่าวิญญาณของเอกกลับถึงบ้านแล้วจริง ๆ เมื่อเข้าไปในบ้าน คุณโอได้ทำพิธีเชิญดวงวิญญาณให้สถิตไว้ในรูปและทำตามพิธีกรรมต่อไป ในขณะที่วิญญาณของเอกออกมาได้แล้ว แต่วิญญาณหญิงชุดขาวก็ยังคงอยู่ที่เดิม คุณส้มจึงสัมผัสได้ถึงความอาฆาตแค้นของเขาเพราะรู้สึกเหมือนเขาพยายามที่จะจัดการเรา เช่น เข้าฝัน หรือทำให้กลัวจนหลอน ดวงวิญญาณดวงนี้คือคนงานที่ถูกฆาตกรรมแล้วโดนผลักตกลงไปในน้ำ ทำให้จิตสุดท้ายก่อนตายมีแรงอาฆาตสูงจึงคิดจะเอาชีวิตคนไปอยู่ด้วยตลอด สุดท้ายคุณส้มทำการสวดมนต์ แผ่เมตตา บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกวันเพื่อบรรเทาความรุนแรง เมื่อไหร่ที่ไปทริปทำบุญก็กรวดน้ำให้ตลอด..เขียน: กัญญาพร จันทร์ลอยเรียบเรียง: วันทนีย์ ไชยชาติภาพ: กิตติพงษ์ นาคทอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

ได้ดีเพราะเซ่นสัมภเวสี! เฮงจริง! ปังจริง! แต่...

06 ต.ค. 2023

ได้ดีเพราะเซ่นสัมภเวสี! เฮงจริง! ปังจริง! แต่...

เตรียมตัวรับความหลอน ชวนขนลุกกันได้เลย! เพราะสายจาก ‘คุณจอย’ ได้โทรมาเล่าประสบการณ์หลอนจากต่างแดน จนทำให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถึงกับอ้าปากค้าง! เรื่องราวจะหลอนแค่ไหน ตามไปฟังกันได้กับรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 ตุลาคม 2566) แต่ถ้าอยากจะอ่านเอง ก็ปิดไฟแล้วแท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย! เรื่องนี้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงของคุณจอย ย้อนกลับไปก่อนที่จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 คุณจอยมีโอกาสได้ไปทำงานร้องเพลงที่ประเทศมาเลเซีย ส่วนตัวคุณจอยนั้นไม่ได้เป็นสายมู แต่เห็นเพื่อนเริ่มเฮง ๆ ปัง ๆ ในขณะที่ตัวเองกลับไม่มียอด (รายได้) เหมือนคนอื่น ๆ เลย จึงเกิดความสงสัยว่าเขาทำยังไงกัน วันหนึ่ง มีเพื่อนที่ร้องเพลงด้วยกันมาชวนว่า “วันพระใหญ่เนี่ย เราไปมูกันนะ เดี๋ยวพาไปไหว้อากงที่ตั้งอยู่หลังร้าน” ของที่ใช้ไหว้คือ ‘ไก่ทั้งตัวกับเบียร์ดำ’ ซึ่งว่ากันว่าเป็นของที่อากงชอบ ในทุกวันพระเพื่อน ๆ ก็จะเตรียมของเพื่อไหว้อากงเป็นประจำ คุณจอยมีเพื่อนที่นอนในห้องพักเดียวกัน 3 คน มีเพื่อนคนนึงที่จะลงไปทานข้าวด้วยกัน ซึ่งก็เป็นประจำทุกครั้งหลังทานข้าวเสร็จ เพื่อนจะขอสั่งกลับอีกหนึ่งกล่อง ในตอนนั้นคุณจอยคิดว่าเพื่อนคงจะเก็บเอาไว้ทานทีหลัง แต่ไม่ใช่ สิ่งที่เห็นคือ เพื่อนคนนั้นกลับไปร้านที่ทำงานร้องเพลง เพื่อไปเอาธูปมาหนึ่งดอก แล้วหันมาพูดกับคุณจอยว่า “มานี่ เดี๋ยวกูพาไปทำอะไร มึงอยากปังใช่ไหม” จากนั้นเขาก็พาเดินไปที่หลังร้านแล้วจุดธูปปักไปที่กล่องข้าว แต่สิ่งที่กำลังไหว้ไม่ใช่อากงอย่างที่คุณจอยคิดในตอนแรก กลายเป็นการไหว้สัมภเวสีแทน! คุณจอยเองก็ไม่ได้คิดอะไร คิดเพียงว่าลองดูไม่เสียหาย เมื่อเตรียมทุกอย่างครบแล้ว เพื่อนคุณจอยก็เริ่มพาทำพิธีไหว้ “มึงอธิฐานนะว่า วันนี้ขอให้ได้ยอดเยอะ ๆ นะ ถ้าได้แล้วเดี๋ยวจะได้กินแบบนี้ทุกวัน” เพื่อนคุณจอยเล่าว่า เขาทำแบบนี้มาโดยตลอด และตั้งแต่เริ่มไหว้ชีวิตก็ดี ได้ยอดเยอะขึ้นมาโดยตลอด ตัวคุณจอยก็คิดว่าลองดูไม่เสียหาย ซึ่งในการไหว้ก็จะมีข้อห้ามกันว่า ‘ห้ามนำหมูมาไหว้โดยเด็ดขาด’ วันแรกที่คุณจอยไหว้ ปรากฎว่าได้ยอดขึ้นจริง ๆ ตอนนั้นคุณจอยเองก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะปกติต้องทำงานเหนื่อยมาก ๆ กว่าจะได้แต่ละบาท แต่หลังจากที่ไปไหว้สัมภเวสี ในคืนนั้นก็ทำงานโดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยและยังมีคนให้พวงมาลัยให้ดอกไม้มากกว่าทุก ๆ คืนด้วย ทำให้หลังจากนั้น เพื่อนและคุณจอยก็พากันไหว้แบบนี้ทุกวันก่อนเริ่มงาน ไม่นาน ก็มีเหตุที่ทำให้เพื่อนคนสนิทคนนั้นต้องเลิกทำงาน และกลับบ้านเกิดไป ทำให้คุณจอยต้องไปไหว้เพียงคนเดียว แม้ยอดรายได้ของคุณจอยจะขึ้น ๆ ลง ๆ ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่จะได้ยอดดีเป็นส่วนใหญ่ วันหนึ่ง มีคนเข้ามาทำงานใหม่ ให้นามสมมุตว่า ‘พี่ส้ม’ และเริ่มสนิทสนมกับคุณจอย คุณจอยจึงตัดสินใจแนะนำว่าตัวคุณจอยทำอะไรเพื่อให้มียอดดี ในตอนแรกพี่ส้มก็ไม่รู้ว่าคุณจอยทำอะไร คิดเพียงว่าไหว้อากงตามปกติที่ทุกคนไหว้กัน แต่พอพี่ส้มรู้ว่าสิ่งที่คุณจอยทำคือการซื้อข้าวไปวางไว้ให้สัมภเวสีแล้วอธิฐาน พี่ส้มก็รีบตอบกลับคุณจอยทันทีว่า “พี่ไม่เอา พี่ไม่ทำ” ตัวคุณจอยก็ยืนยันกลับไปว่าการที่ทำแบบนี้มันได้ผลจริง เพราะคุณจอยสัมผัสเองกลับตัวมาแล้ว แต่พี่ส้มก็บอกว่า “สัมภเวสีนะจอย มันน่ากลัวไหม แล้วถ้าเกิดเราทำอะไรไม่ถูกใจเขา หรือถ้าเขาอยากได้อะไรที่มากกว่านั้น เราจะทำยังไง” หลังจากประโยคนี้จบลง คุณจอยก็เริ่มคิดและเกิดความสับสนขึ้นกับตัวเอง เพราะสิ่งที่ได้รับกลับมาก็เป็นสิ่งที่คุณจอยต้องการจริง ๆ และเพื่อนที่พามาไหว้ก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นที่ไม่ดีกับเขาเลย พี่ส้มที่เป็นสายธรรมมะ ชอบเข้าวัดทำบุญ เคยบวชเป็นพราหมณ์มาก่อน จึงแนะนำให้คุณจอยอธิษฐานว่านี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นำอาหารมาไหว้ คุณจอยจึงตัดสินใจที่จะเชื่อและอธิฐานในใจว่า “ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะให้แล้วนะ ต่อไปถ้าจะช่วยเหลือกันก็ช่วย แต่ถ้าไม่ได้กินแล้ว แล้วจะไม่ช่วยเหลือก็ไม่เป็นไร” จนเวลาผ่านไปได้ประมาณ 3 วัน เริ่มมีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้น คุณจอยรู้สึกว่าได้ยินเสียงเท้า เดินตามหลังขณะที่กำลังก้าวขึ้นบันได แต่เมื่อหยุดและหันหลังกลับไปดูสิ่งที่เห็นคือความว่างเปล่า และเสียงเท้าที่ได้ยินนั้นก็เงียบหายไป วันถัดมาคุณจอยก็ได้ยินเสียงเท้าตามหลังแบบเดิมขึ้นซ้ำอีก แต่ในครั้งนี้เสียงเท้านั้นเริ่มดังขึ้นใกล้ตัวคุณจอยเข้ามาทุกที คุณจอยตัดสินใจหันหลังกลับไปดู แต่ก็ไม่เจออะไรและเสียงก็หายเงียบไปเช่นเดิม คุณจอยเริ่มรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเดิมทีคุณจอยได้ยินเสียงแปลก ๆ อยู่บ่อยครั้ง และสิ่งที่เจอเป็นเพียงแค่เสียงไม่ได้มีอะไรน่ากลัว ต่อมาคืนหนึ่งคุณจอยขึ้นมานอนที่ห้องคนเดียว ตัวคุณจอยเองคิดว่าเพื่อน ๆ คงไปสังสรรค์กันและช่วงเช้าจะกลับเข้ามาที่ห้องตามปกติ บรรยากาศในห้องนอนของคุณจอยเป็นห้องที่เมื่อปิดไฟและปิดประตู ภายในห้องจะมืดสนิท เพราะในห้องไม่มีหน้าต่าง มีเพียงแสงส่องผ่านช่องเล็ก ๆ จากประตูเข้ามาในห้องเพียงเท่านั้น ในขณะที่คุณจอยกำลังล้มตัวนอนและหลับตา จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนอยู่บนห้อง คุณจอยลืมตาขึ้นมาดู ในใจคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนร่วมห้องกลับมาแล้ว แต่พอลืมตาขึ้นมา ทุกอย่างมืดสนิท และเสียงนั้นก็หายไป! คุณจอยหลับตาอีกครั้งเพื่อที่จะนอนต่อ แต่เมื่อหลับตาได้ไม่นาน ก็มีเสียงลมหายใจเบา ๆ เป่ามาที่หูข้างซ้าย คุณจอยตัดสินใจที่จะลืมตาขึ้นมาดูทันที ปรากฏว่าคุณจอยไม่สามารถขยับตัวได้เลย! ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนโดนผีอำ คุณจอยพยายามกรอกตาไปมองยังฝั่งที่ได้ยินเสียง ภาพที่เห็นจะเบลอ ๆ เนื่องจากในห้องมืดมีเพียงแสงไฟสลัว เห็นเป็นผู้หญิงผมประบ่า ค่อย ๆ อ้าปากขึ้นเรื่อย ๆ จนปากเปิดกว้างไปถึงจมูก ทำให้เห็นเพียงตากับปากเท่านั้น! ทำท่าทางเหมือนตุ๊กตาล้มลุก โดยค่อย ๆ เอนตัวล้มมาที่ตัวคุณจอยที่นอนอยู่บนเตียง และค่อย ๆ เอนตัวออก และโน้มตัวล้มมาที่คุณจอย และเอนตัวออกอีกครั้ง ล้ม ๆ ลุก ๆ พร้อมกับเสียงลมหายใจเบา ๆ อยู่ได้สักพักนึง เสียงลมหายใจนั้นก็กลายเป็นเสียงกรีดร้องแหลมปี๊ดขึ้นมา!!! ตอนนั้นคุณจอยทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากนอนท่อนบทสวดมนต์ภายในใจและร้องไห้ ตัวแข็งทื่อ แต่ผู้หญิงผมประบ่าก็ยังไม่หยุดง่าย ๆ ยังคงล้มลุกและส่งเสียงกรีดร้องดังขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มมีน้ำอะไรสักอย่างไหลออกมาจากปากกว้าง ๆ ของผู้หญิงคนนั้น โดยคุณจอยสัมผัสได้เลยว่าขณะที่ผู้หญิงคนนั้นโน้มตัวลงมา น้ำจากปากก็ไหลมาโดนตัวคุณจอยจนเนื้อตัวและเสื้อผ้าเปียกไปหมด! เวลาผ่านไป ท่าทีของผู้หญิงคนนั้นยังคงทำพฤติกรรมล้มลุก เดิม ๆ ซ้ำ ๆ ใส่คุณจอยโดยไม่เกรงกลัวบทสวดมนต์อะไรทั้งสิ้น คุณจอยเริ่มรู้สึกไม่ไหว เพราะสวดมนต์ก็ช่วยไม่ได้ ในตอนนั้นเหลือเพียงความคิดเดียวคือการนึกถึงบุพการี “พ่อจ๋า แม่จ๋าช่วยด้วย” สักพักคุณจอยรู้สึกหลุดพ้นเริ่มขยับตัวได้ และร่างผู้หญิงคนนั้นก็หายไปทันที คุณจอยรีบลุกขึ้นไปเปิดไฟ สิ่งที่เห็นเหลือเพียงน้ำอะไรไม่รู้เปียกเต็มตัวคุณจอยไปหมด! ในความคิดคุณจอยคิดว่าอาจจะเป็นเหงื่อจากตัวคุณจอยเอง แต่มันก็เปียกเพียงแค่ฝั่งซ้าย ฝั่งที่ร่างผู้หญิงคนนั้นอยู่เพียงฝั่งเดียว หลังจากนั้นคุณจอยเปิดประตูออกไปและไปนั่งบริเวณห้องครัวด้านนอก ตัวคุณจอยเองก็ไม่รู้ทำไมต้องนั่งอยู่เฉย ๆที่ตรงนั้น รู้เพียงว่านอนไม่ได้และทำอะไรไม่ได้เลยสักพักคุณจอยตัดสินใจเดินไปหาพี่ส้ม และก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง เมื่อเล่าจบพี่ส้มก็พูดขึ้นมาทันที “พี่ว่าแล้ว เพราะเราไม่ได้ให้เขาหรือเปล่า” ตัวคุณจอยก็เพิ่งเอะใจคิดได้ว่า คืนที่บอกว่าจะเลิกให้ข้าวให้น้ำ ทางสัมภเวสีเขารับรู้และพอใจหรือไม่พอใจแค่ไหนก็ไม่รู้ และด้วยความที่คุณจอยคอยเลี้ยงให้ข้าวให้น้ำเป็นเวลานาน จนเหลือเวลาทำงานอีกเพียงสองอาทิตย์สุดท้ายเท่านั้นก่อนที่จะต้องเดินทางกลับบ้าน แต่จู่ ๆ ก็มาหยุดให้ข้าวให้น้ำทำให้เจอกับเหตุการณ์หลอนในคืนนั้นเกิดขึ้น หลังจากนั้น คุณจอยตัดสินใจไปไหว้ขออากงหลังร้าน เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยดูแลปกป้องดูแลคนทั้งตึก และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนในร้านก็นับถือและไหว้ ทำให้คุณจอยจากคนที่ไม่เคยไปไหว้ ก็ไหว้ ขออากงทุกวัน โดยเฉพาะวันพระใหญ่ยิ่งห้ามลืมไหว้เด็ดขาด โดยคุณจอยจะไหว้ขอให้ช่วย อย่าให้มีสิ่งไม่ดีมาถึงตัวอีกเลย หลังจากหันมาไหว้อากงก็ยังได้ยินเสียงคนเดินตาม หรือเสียงของตกหล่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แรง ๆ แบบคืนนั้นอีกเลย...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

วัยรุ่นม.3 รวมตัวกันไปเที่ยวทะเล ได้ที่พักทาวน์เฮ้าส์ติดกันสองหลัง เจอเหตุการณ์แปลก ๆ ชวนเสียว ทั้งเสียงกรี๊ด เสียงเดิน จนผวานอนไม่ได้!

08 ธ.ค. 2023

วัยรุ่นม.3 รวมตัวกันไปเที่ยวทะเล ได้ที่พักทาวน์เฮ้าส์ติดกันสองหลัง เจอเหตุการณ์แปลก ๆ ชวนเสียว ทั้งเสียงกรี๊ด เสียงเดิน จนผวานอนไม่ได้!

ไปเที่ยวประจำปีกับเพื่อน ๆ ตามปกติ แต่กลับเจอดีจากสถานที่ที่ไปพัก เรื่องนี้ ‘พี่แจ๊ค’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 ธันวาคม 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ม.3 เทอม1’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันได้เลย! พี่แจ็ค The Ghost Radio บอกว่า ‘คุณเอิร์ท’ นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง โดยต้องเล่าย้อนกลับไปสมัย Hi5 คุณเอิร์ทกับกลุ่มเพื่อนมักจะมีการนัดไปเที่ยวประจำปี กลุ่มนี้สนิทกันมาตั้งแต่ ม.1 เทอมหนึ่ง จนขึ้น ม.2 เทอมหนึ่ง ก็มีการรวมตัวนัดคุย และเก็บเงินรายอาทิตย์ไว้ไปเที่ยวกัน เมื่อเก็บเงินครบจึงไปเที่ยวทะเลด้วยกัน พอมารอบนี้ ม.2 เทอมสอง ก็ไปเที่ยวกันอีก แต่รอบนี้ไปเที่ยวป่าเที่ยวเขา พอขึ้น ม.3 เทอมหนึ่ง ทุกคนก็รวมตัวกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไปเที่ยวทะเล เพราะว่าอยากกลับไปที่พักเดิมที่เคยไปในรอบแรก จึงรวมตัวกันได้ 14 คน เหมารถตู้กันไป และสมัยนั้นยังต้องโทรไปจองโรงแรม เพราะยังไม่แอปพลิเคชันอำนวยความสะดวกสบาย เมื่อไปถึงที่พักในจังหวัดเพชรบุรี ปรากฎว่าเข้าพักไม่ได้ เพราะแขกที่พักก่อนหน้านั้นขออยู่ต่ออีกหนึ่งคืน คุณเอิร์ทกับเพื่อนก็รู้สึกเคว้งจึงไปนั่งปรึกษากันอยู่ริมทะเล งานนี้นอกจากจะมีวัยรุ่น 14 คนแล้ว ยังมีคุณ ‘แม่ของคุณเอิร์ท’ ไปด้วย ระหว่างที่นั่งปรึกษากันอยู่นั้น ก็มีวินมอเตอไซค์ขับผ่านมา แล้วถามว่า “นั่งทำอะไรกัน ได้ที่พักกันหรือยังหนุ่ม ๆ ?” เด็ก ๆ จึงบอกไปว่าต้องการที่พัก และโจทย์คือต้องอยู่ด้วยกันทั้ง 14 คน ทางวินมอเตอไซค์จึงขับรถนำรถตู้พาไปดูโรงแรม พอไปถึงที่แรกเป็นบ้านสองหลังติดกัน นอนได้ 14 คน แต่ไม่มีแอร์จึงขอผ่านไปก่อน อีกที่ เป็นบ้านสองหลังเหมือนกันแต่ไม่ตอบโจทย์ เพราะมีหลังอื่นขั้นตรงกลาง กระทั่งมาที่สุดท้าย เป็นบ้านสองหลังติดกัน มีแอร์ ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นทาวน์เฮ้าส์สองหลัง สองชั้น รวมสองหลังมีประมาณ 4 ห้องนอน รวมห้องโถงอีก ทุกคนโอเค ทางคุณแม่ของคุณเอิร์ทจึงไปติดต่อกับเจ้าของที่พักให้ บ้านทั้งสองหลังจะแบ่งเป็นสายเล่นเกมอยู่หลังที่หนึ่ง ส่วนหลังที่สองมีแม่ของคุณเอิร์ทอยู่ด้วย แล้วก็มีคุณเอิร์ท รวมถึงเพื่อน ๆ อีกประมาณนึง ระหว่างที่ขนของเข้าบ้านหลังแรกอยู่ คุณเอิร์ทก็หันมามองบ้านหลังที่สอง เห็นเพื่อนคนหนึ่งกำลังไขประตูแต่ไขไม่ออก คุณเอิร์ทจึงไปช่วยเพื่อน และนำกุญแจไปไขแทน สรุปก็คือไขไม่ออกจริง ๆ เหมือนติดอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน คุณเอิร์ททั้งทุบกลอน ทั้งไข ทั้งเขย่าประตู ด้วยความที่เป็นวัยรุ่นอารมณ์ร้อนเลยพูดกับประตูไปว่า “ถ้ามึงไม่เปิด ถ้าเปิดไม่ออก กูจะพังแล้วนะ” สิ้นเสียงคุณเอิร์ท ก็มีเสียงลูกบิดกลอนประตูดังก๊อก! แล้วประตูก็เปิดดังเอี๊ยดดดด! ณ ตอนนั้นคุณเอิร์ทกับเพื่อนยืนมองหน้ากัน แต่ก็คิดว่ามันคงเป็นจังหวะที่ทุบแล้วมันหลุดมาพอดี ในระหว่างที่ขนของเข้าบ้านหลังแรกคุณเอิร์ทรู้สึกว่าร้อน แต่ก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติเพราะยังไม่ได้เปิดแอร์ แต่พอเป็นบ้านหลังที่สอง เขากลับรู้สึกเย็นเหมือนเปิดแอร์ทิ้งไว้ ขออธิบายภายในบ้านเพิ่มเติมว่า จากประตูที่คุณเอิร์ทยืนอยู่ มองไปข้างหลังจะเป็นเหมือนกับประตูที่ออกไปข้างนอก เป็นลานซักล้างและข้างประตูมีบานเกร็ด คุณเอิร์ทบอกว่าจังหวะที่ประตูเปิดเข้าไป คุณเอิร์ทมองไปที่บานเกร็ดเห็นเป็นเหมือนผ้าขาว ๆ พลิ้ว ๆ เหมือนคนตากผ้าไว้ จึงคิดว่าแขกคนเก่าอาจจะลืม คุณเอิร์ทจึงเดินไปเปิดประตูหลังบ้าน พอเปิดประตูเสร็จ สิ่งที่คุณเอิร์ทเห็นเป็นผ้าสีขาวกลับไม่มี! คุณเอิร์ทคิดว่าตัวเองตาฝาด จึงยืนนิ่ง ๆ อยู่สักพักนึง แล้วก็สะดุ้งเพราะเพื่อนทั้งหมดวิ่งกรูขึ้นไปข้างบนเสียงดังเฮฮาโวกเวกโวยวาย ความสนุกของเพื่อน ๆ ก็แผ่กลบบรรยากาศอันน่าสยองนี้ไป.. นอกจากบ้านที่คุณเอิร์ทมาพักแล้ว ฝั่งตรงข้ามก็มีอีกหลัง ซึ่งเป็นของพี่ ๆ น้อง ๆ ชาว LGBTQ พอพวกเขาเห็นกลุ่มคุณเอิร์ธที่เป็นวัยรุ่น จึงแซวข้ามไปข้ามมา สนุกสนานกันไป มีบางเวลาที่บ้านหลังแรกเล่นเกมกันไม่ออกไปไหน ส่วนหลังที่สอง คุณเอิร์ทกับกลุ่มเพื่อนก็ไปเล่นน้ำ ในระหว่างทางเดินไปเล่นน้ำ จะมีเพื่อนคนหนึ่งของคุณเอิร์ทค่อนข้างหน้าตาดี จึงโดนพี่ ๆ ชาว LGBTQ แซวว่ามีแฟนหรือยังตามประสาทั่วไป ในจังหวะที่คุณเอิร์ทกับเพื่อนเล่นน้ำนั้น ตัดภาพมาที่บ้านหลังแรก มีเพื่อนของคุณเอิร์ทคนหนึ่งนอนอยู่ข้างบน ขณะที่คนอื่นกำลังเล่นเกมกันอยู่ เพื่อนที่นอนอยู่ก็ฝันเห็นเป็นผู้หญิงใส่ชุดเดรสสีขาว ถักผมเปียคาดหน้าผาก มายืนมองเพื่อนคนนี้อยู่ที่ปลายเตียง แล้วเขาก็สะดุ้งตื่น จากนั้นก็นำเรื่องนี้มาเล่าให้กับเพื่อน ๆ ที่เล่นเกมอยู่ฟัง เพื่อน ๆ ก็บอกว่าสงสัยเห็นสาวที่ร้านสะดวกซื้อแล้วคิดมาก แล้วเรื่องนี้ก็ผ่านไป ตัดภาพที่ฝั่งของคุณเอิร์ท หลังจากเล่นน้ำกันเสร็จ เพื่อนคนหนึ่งชื่อ ‘คุณปาร์ค’ ก็เดินไปบ้านหลังที่สอง ซึ่งบ้านหลังนี้ก็มีเพื่อนบางส่วน และมีคุณแม่ของคุณเอิร์ทอยู่ คุณปาร์คไปเคาะประตูบ้านเพื่อที่จะอาบน้ำ ปรากฏว่ายืนเคาะอยู่ครึ่งชั่วโมง ก็ไม่มีใครมาเปิด จนกระทั่งเพื่อนออกมาเปิดประตู เพื่อนก็งงว่า “ทำไมไม่เคาะประตูทำไมถึงไม่เรียก มายืนค้างหน้าประตูทำไม” คุณปาร์คจึงตอบไปว่า “เรียกตั้งนานแล้ว ทั้งเคาะ ทั้งตะโกนเรียก แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน” จากนั้นก็เข้าไปอาบน้ำตามปกติ ขณะที่คุณปาร์คกำลังอาบน้ำ เขาสังเกตเห็นว่าตรงท่อระบายน้ำมีเส้นผมของผู้หญิง เขาคิดว่ามันเป็นของแขกคนก่อน พออาบน้ำเสร็จก็มานอนที่เตียง แล้วก็เคลิ้มหลับ คุณปาร์คก็ฝันเห็นผู้หญิงผมยาวใส่ชุดเดรสสีขาว ทรงผมถักเปียคาดหน้าผาก ยืนอยู่ที่ปลายเตียง แล้วค่อย ๆ เดินมาหาคุณปาร์ค ค่อย ๆ คุกเข่าคลานขึ้นมาบนเตียง แล้วก็เอามือมาจับที่แขนของคุณปาร์ค แต่ว่าจังหวะที่มือจับ คุณปาร์คสะดุ้งตื่น เพราะเพื่อนมาสะกิดพอดี คุณปาร์คไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ได้แต่เก็บไว้ในใจ ตัดภาพมาที่ข้างล่าง ขณะนี้เป็นเวลาช่วงเย็น ตัวคุณแม่นั่งอยู่ข้างล่าง ส่วนคุณเอิร์ทไปปั่นจักรยานกับเพื่อน คุณแม่จึงโทรสั่งอาหารที่ดีลไว้กับที่พักให้มาส่ง เมื่ออาหารมาส่ง คุณแม่ก็บอกว่าเข้ามาได้เลย แต่คนส่งอาหารก็ยืนอ้ำอึ้งอยู่หน้าประตูไม่ยอมเข้ามา จนกระทั่งคุณแม่ต้องให้เพื่อนคนนึงเดินเอาเงินไปให้และไปเอาอาหารเข้ามา หลังจากนั้นแต่ละบ้านก็แยกกันกินข้าว พอกินข้าวเสร็จ กลุ่มเพื่อน ๆ ก็ขึ้นไปข้างบน มีเพื่อนคนหนึ่งจะหาครีมทาตัว ก็ช่วยกันหาครีม ปรากฏว่าหลอดครีมทาตัวที่เขาวางไว้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งมันไปอยู่ใต้เตียง ก็คิดว่าใครมาแกล้ง หรือผีหลอก จากนั้นก็เล่นปิดไฟหลอกผีกันไปมา โครมครามกันอยู่ข้างบน คุณแม่ที่นั่งอยู่ข้างล่างก็ได้ยินเสียงเด็ก ๆ พอเด็ก ๆ เล่นกันเสร็จก็ลงมานั่งดูทีวีกันข้างล่าง ปรากฏว่าตอนที่เด็ก ๆ ทั้งหมดลงมา คุณแม่ที่นั่งอยู่ข้างล่างก็ได้ยินเสียงบนห้องเป็นเสียงกรี๊ด! เสียงปิดประตูปั๊งงงงง! เสียงเดิน เสียงย่ำเท้า คุณแม่จึงถามเด็ก ๆ ว่า “ได้ยินมั้ย?” เด็ก ๆ ตอบว่า “ไม่ได้ยิน” ต้องบอกก่อนว่าคุณแม่ของคุณเอิร์ทเป็นคนมีจิตสัมผัส คุณแม่จึงบอกว่า “มาลองจับตัวแม่” พอทุกคนจับตัวแม่เสร็จปุ๊ป พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ได้ยิน” ตอนแรกเป็นเสียงเหมือนอยู่ไกล ๆ แต่พอไปๆ มา ๆ ก็แน่ใจว่าเสียงอยู่ชั้นสองของบ้าน พอเป็นเสียงกรี๊ด ก็กรี๊ดดังมาก ทุกคนจึงมานั่งกระจุกตัวอยู่กับคุณแม่ จังหวะนั้นคุณเอิร์ทก็เปิดประตูเข้ามาบ้านพอดี พอเห็นเพื่อนตัวเองนั่งเกาะแม่อยู่ คุณแม่ก็บอกว่าให้เงียบ ๆ แล้วถามว่า “เอิร์ทได้ยินมั้ย?” ด้วยความที่คุณเอิร์ทก็มีจิตสัมผัสเหมือนกัน จึงตอบว่า “ได้ยินเป็นเสียงผู้หญิง แต่ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงมาจากทีวี” พอหันไปมองที่ทีวีแต่ทีวีก็ปิดอยู่ คุณเอิร์ทจึงตั้งใจฟัง ปรากฏว่าได้ยินเป็นเสียงกรี๊ดข้างบน จากนั้นก็ปิดประตูแล้วก็วิ่ง คุณแม่จึงหันขึ้นไปข้างบนแล้วบอกว่า “ถ้ามึงไม่หยุด กูจะแช่ง” พอพูดจบ ก็ได้ยินเสียงปิดประตูปั๊งงง! แล้วก็เสียงกรี๊ด แล้วก็เสียงวิ่งดัง ๆ ตอนนั้นทุกคนกลัวมาก คุณแม่จึงบอกว่า “ให้ไปตามเพื่อนหลังแรกมาช่วยขนของที่นี่ แล้วเราไปอยู่หลังแรกกันก่อน” แต่ก็ไม่มีใครกล้าไป คุณเอิร์ทกับคุณปาร์คจึงอาสา พอเปิดประตูออกมาจากบ้านก็เดินผ่านหน้าบ้านชาว LGBTQ ซึ่งตอนนั้นพวกเขากำลังล้างรถกันอยู่ จึงแซวว่า “แหมม..มีแฟนแล้วก็ไม่บอก พาแฟนมาด้วยสวยเชียวนะ” ทั้งคู่ก็ตกใจเพราะไม่ได้มีผู้หญิงคนไหนมาด้วย จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปบ้านหลังแรก บ้านหลังแรกที่นั่งเล่นเกมกันอยู่ก็ตกใจ จึงแซวว่า “โดนผีหลอกมาเหรอ” แล้วก็ขำกัน ส่วนตัวของคุณปาร์คก็วิ่งขึ้นไปนอนคลุมโปงอยู่ข้างบน คุณเอิร์ทจึงตอบเพื่อนไปว่า “ใช่ กูโดนผีหลอก” แล้วก็เล่ารายละเอียดให้เพื่อนฟัง พร้อมบอกให้เพื่อน ๆ ไปช่วยกันเก็บของที่บ้านหลังที่สอง เมื่อไปถึงบ้านหลังที่สอง ก็รีบเก็บของจากข้างล่างขึ้นไปเก็บข้างบน ซึ่งข้างบนจะมีอยู่สองห้อง ห้องซ้ายกับห้องขวา ห้องหนึ่งเปิดประตูเก็บของเรียบร้อย ในตอนนั้นคุณเอิร์ทยืนอยู่ระหว่างทางห้องหนึ่งกับห้องสอง เขาก็ถามเพื่อนว่า “ของเก็บหมดยัง” เพื่อน ๆ จึงตอบไปว่า “เก็บหมดแล้วมั้ง” คุณเอิร์ทจึงหันไปมองห้องสอง แล้วพูดว่า “แล้วห้องนี้เก็บหรือยัง” พอพูดจบ ประตูก็ปิดเข้าหาหน้าดังปั๊งง! ใส่หน้าคุณเอิร์ท ทันใดนั้น ทุกคนที่อยู่บนนั้นก็รีบวิ่งลงมาข้างล่าง วิ่งไปขึ้นรถตู้ แต่คุณแม่ไม่อยู่ ทุกคนจึงรอคุณแม่มา เพราะคุณแม่ไปถามเจ้าของบ้านเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น พอคุณแม่กลับมา ก็ขึ้นรถตู้เรียบร้อย รถก็ขับออกมา ทางด้านบ้านฝั่ง LGBTQ ก็ยังคงแซวอยู่ว่า “กลับแล้วหรอ” แต่ในระหว่างที่รถออกมา คุณเอิร์ทมองไปที่พี่ ๆ กลุ่มนั้น ก็เห็นว่าเขามองรถและมองบ้านสลับกันไปมา แล้ววิ่งหนีเข้าไปในบ้านตัวเอง เหมือนมองประมาณว่า ‘มึงลืมใครไว้ที่บ้านหลังนี้หรือเปล่า’ พอรถตู้ออกมาได้สักพัก ภายในรถก็นั่งคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น คุณแม่บอกว่า “เจ้าของบ้านแทนที่จะตอบ กลับไม่ตอบแล้วทำท่าอึกอัก แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวจะลดราคาให้” จนกระทั่งคุณแม่พูดถึงความผิดปกติของบ้าน คือบ้านสองหลังเหมือนกันทุกอย่าง ยกเว้นตรงบันได บันไดบ้านหลังแรกเป็นบันไดไม้เวลาเดินขึ้นลงจะเห็นเท้าปกติ แต่บ้านหลังที่สองมีปูนถูกก่อขึ้นมาปิดใต้บันไดเอาไว้ จึงถามว่า “ตรงใต้บันไดมีอะไรหรือเปล่า เพราะมันไม่หมือนหลังหนึ่ง” ปรากฏว่าเจ้าของบ้านเล่าว่า “สมัยก่อน มีผู้หญิงผู้ชายเคยมาเช่าอยู่ แต่ทะเลาะกันยังไงก็ไม่รู้ผู้ชายลงมือฆ่าผู้หญิง เอาศพไปไว้ใต้บันได พยายามให้แม่บ้านมาทำความสะอาดแล้ว แต่มันทำความสะอาดไม่ได้ คราบเลือดคราบน้ำหนองมันไม่หาย จึงโบกปูนขึ้นมาปิดเพื่อที่จะไม่ให้มีใครเห็น ก็คิดว่ามันคงจะไม่มีอะไร” หลังจากนั้นระหว่างที่รถแวะจอดกินข้าว เพื่อนของคุณเอิร์ทได้นำไปเล่าให้กับป้า ๆ ที่ทำอาหารฟัง ป้าจึงบอกว่า “ยังไปพักกันอยู่อีกเหรอ ที่นี่ไม่มีใครไปพักนานแล้วนะ” หลังจากนั้นก็ได้แวะวัด ปรากฏว่ามีพระทักว่า “โยมไปเจออะไรกันมา หนักนะเนี่ย” พระท่านก็พรมน้ำมนต์ให้ คุณเอิร์ทจึงติดใจมาตลอดว่าทำไม่ถึงถูกพระทักแบบนี้ และไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตอนนั้นมีคนรู้จักแนะนำให้ไปหาคนทรง คนทรงบอกว่า “เหมือนกับคนนี้ดวงซวยที่ไปเจอไปเห็นอะไร” เขาบอกว่ามีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ชื่อ ‘คุณเย็น’ ตอนที่จะเข้าไปเก็บของจากบ้านที่สองไปบ้านแรก คุณเย็นเปิดประตูเข้าไปแล้วยืนนิ่ง ๆ น้ำตาไหลร้องไห้ คุณเย็นบอกว่าพอเปิดประตูเข้าไป มองผ่านประตูข้างหลังที่มันทะลุไปพื้นที่ซักล้าง ก็เห็นเป็นผู้หญิงคนนั้น ยืนมองเขาผ่านหน้าช่องบานเกร็ด เขาบอกสิ่งที่เขาจำได้ว่าเป็นผู้หญิงคนเดียวกับที่มาเข้าฝัน ซึ่งไม่รู้ว่ามายืนตรงนี้ได้ยังไง เขาก็จึงยืนช็อคอยู่แบบนั้น คนทรงบอกว่า “ที่ไปเจอมาแบบนี้เพราะว่าจิตเราเปิด พอจิตเราเปิดเราจะมองเห็นอะไรอย่างอื่นด้วย” เพื่อนจึงตอบว่า “ใช่” เพราะหลังจากกลับจากไปเที่ยววันนั้น เขาฝันทุกวัน เห็นเป็นผู้ชายจะมาเอาชีวิต ซึ่งผู้ชายคนนี้เป็นใครก็ไม่รู้ พอมาคุยกับคนที่เป็นคนทรงจึงได้รู้ว่าคนนี้คือ เจ้ากรรมนายเวรที่จะมาเอาชีวิตหลังจากที่จิตเปิด สิ่งเดียวที่ทำได้คือไปบวช เพื่อนคนนี้จึงไปบวชเณร หลังจากที่บวชเสร็จก็ใช้ชีวิตตามปกติ จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงที่เจอที่ที่พักนั้นยังอยู่หรือเปล่า..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1