หลังจากกลับมาเมืองไทย คุณแม่ก็เริ่มมีอาการป่วยจนทรุดหนัก! สุดท้ายต้องรีบส่งคุณแม่เดินทางกลับอเมริกาภายใน 7 วัน!

อังคารคลุมโปง RECAP

หลังจากกลับมาเมืองไทย คุณแม่ก็เริ่มมีอาการป่วยจนทรุดหนัก! สุดท้ายต้องรีบส่งคุณแม่เดินทางกลับอเมริกาภายใน 7 วัน!

06 พ.ย. 2023

            รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (31 ตุลาคม 2566) ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ได้ฟังเรื่องราวเจ้ากรรมนายเวรที่ต้องการตามเอาชีวิตคนใกล้ตัวอย่างคุณแม่ที่ชวนให้ทุกคนขนหัวลุก! เรื่องจาก ‘คุณอุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี’ จะเป็นอย่างไรนั้นตามไปอ่านพร้อมกันเลย!

            เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับตัวคุณแม่ของคุณอุ๋มอิ๋มเอง  ซึ่งในทุก ๆ ปี คุณแม่จะกลับจากอเมริกาเพื่อมาเมืองไทยและใช้เวลาอยู่กับครอบครัวเป็นเวลา 3 - 4 เดือน เดิมทีตัวคุณแม่เองเคยมีปัญหาสุขภาพแต่ได้รับการรักษาเรียบร้อยแล้ว ตัวคุณอุ๋มอิ๋มเองก็คิดว่าทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้ว เพราะจากท่าทางของคุณแม่ที่สามารถไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ และใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

            แต่จู่ ๆ มือของคุณแม่ก็เริ่มสั่น และสั่นแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่สามารถควบคุมได้ คุณอุ๋มอิ๋มเริ่มสังเกตเห็นก็เกิดความสงสัยขึ้นว่า คุณแม่เป็นอะไร และตัวคุณแม่เองก็รับรู้ได้ว่าอาการเป็นหนักขึ้นกว่าทุกครั้ง และเริ่มเป็นตั้งแต่ก่อนจะมาถึงเมืองไทยแล้ว  คุณอุ๋มอิ๋มคิดว่าอาการสั่นนั้นเป็นอาการของโรคพาร์กินสันตามวัยของผู้สูงอายุ จากนั้นไม่นานมือของคุณแม่ที่สั่น ๆ ก็เริ่มลามมาสั่นที่ปาก ในตอนนั้น คุณอุ๋มอิ๋มเริ่มรู้สึกว่าอาการมันเริ่มหนักขึ้นจึงถามไปว่า “แม่เป็นอะไร” คำตอบสั้น ๆ ที่ได้จากคุณแม่คือ “แม่ป่วย” เพียงเท่านั้น และไม่ได้อธิบายต่อว่าป่วยเป็นอะไร คุณอุ๋มอิ๋มจึงรีบนำแม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลในทันที

            หลังจากได้รับการตรวจคุณหมอก็ได้อธิบายว่า ผู้สูงอายุจะมีเส้นปลายประสาทและเป็นเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ ซึ่งมีบางส่วนที่เลือดไม่ไปเลี้ยงปลายเส้นประสาทเล็ก ๆ เหล่านั้น ส่งผลให้คุณแม่เกิดอาการสั่นดังกล่าว และอาการเหล่านี้ก็ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างเช่น เพิ่มการออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอและไม่เครียด หลังจากรู้สาเหตุ คุณแม่ก็ได้เปลี่ยนพฤติกรรมทุกอย่างและดูเหมือนว่าอาการของคุณแม่จะดีขึ้น

            แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่คุณแม่กำลังจะลุกขึ้นจากโซฟา แต่ดันล้มขาพับลงไปอยู่ที่พื้น หลังจากนั้นก็ต้องใช้สามง่ามในการพยุงตัวเดิน เพราะไม่สามารถเดินเองได้ ถึงขั้นต้องมีแม่บ้านคอยดูแล พยุงไปเข้าห้องน้ำ ด้วยความที่อาการของคุณแม่เริ่มหนักขึ้นทุกที คุณอุ๋มอิ๋มเองก็ถามย้ำว่า “ทำไมแม่ถึงไม่ไปหาหมอ?” คุณแม่ตอบกลับว่า “หมอก็บอกแล้วว่ารักษาไม่ได้ แล้วจะไปหาทำไม” แต่คุณอุ๋มอิ๋มทนเห็นแม่ต้องทรมาณแบบนี้ไม่ได้ จึงตัดสินที่จะพาคุณแม่ไปหาหมออีกครั้ง

            ในขณะนั้นคุณอุ๋มอิ๋มก็ได้รับสายจากพี่ชาย โทรเข้ามาเล่าว่าเมื่อคืนนี้เขาอยู่ที่บ้านเก่าของตระกูลคุณแม่ ได้เจอกับผู้หญิงแก่ หน้าห้อย ตาตี่ แววตาล่อกแลกมองซ้ายทีขวาที สวมเสื้อลายดอกสีแดง กางกางขายาวสีดำ เดินเข้ามาในบ้าน จังหวะนั้นคุณอุ๋มอิ๋มถามกลับไปทันทีว่า “ผู้หญิงแก่ ๆ ที่เห็นเนี่ยเป็นคน หรือไม่ใช่คน” ปลายสายตอบกลับมาเพียงคำสั้น ๆ ว่า “ก็ไม่ใช่คนอยู่แล้ว” ผู้หญิงแก่คนนี้เดินขึ้นมาจนถึงชั้นสามแล้วตะโกนส่งเสียงรีบร้อนลนลานว่า “เห็นไหม ว่ามัณฑนาอยู่ไหน เห็นไหม เห็นไหม มัณฑนาอยู่ไหน” ซึ่ง มัณฑนานั้น คือชื่อจริงของคุณแม่ พี่ชายเริ่มสัมผัสได้ว่าผู้หญิงแก่ตนนี้ไม่ใช้วิญญาณปกติ ต้องมีอะไรเป็นแน่ จึงตอบกลับไปว่า “ไม่มี ไม่มีหรอกคนนี้เค้าไม่อยู่แล้ว หายไปแล้ว” วิญญาณหญิงแก่ตนนี้ไม่เชื่อ “จะหายไปได้ยังไง เค้าบอกว่าอยู่บ้านนี้” พี่ชายจึงพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงแข็ง แบบไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น “ไม่มี ออกไป! ถ้าไม่ออกไปจะไล่และจะเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว!!” ด้วยความโมโหวิญญาณหญิงแก่ทำท่าทางฉุนเฉียวไม่พอใจและหายไปในทันที

            คุณอุ๋มอิ๋มคิดว่าคงจะจบลงเท่านี้ จึงพุดคุยให้คุณแม่สบายใจว่า “ไม่เป็นอะไร เพราะยังไงที่บ้านก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยดูแลเต็มไปหมดอยู่แล้ว ยังไงคุณแม่ก็ต้องปลอดภัย” แต่แล้วอาการของคุณแม่ก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ จากมือสั่น ปากสั่น เดินไม่ได้ จนมาถึงปากของคุณแม่เริ่มแข็ง ขยับไม่ได้ จนทำให้คุณแม่ไม่สามารถพูดได้ วินาทีนั้นตัวคุณอุ๋มอิ๋มร้องไห้ออกมาด้วยความสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่ จึงคิดได้เพียงว่าต้องไปจุดธูปถามอากงเท่านั้น แม้รู้ว่าตามหลักแล้วจะไม่สามารถถามเรื่องราวของคนในครอบครัวได้ แต่ในครั้งนี้เกิดขึ้นกับคุณแม่ คุณอุ๋มอิ๋มทนไม่ไม่ไหวจริง ๆ จึงขอร้องให้อากงช่วยบอกว่าเกิดอะไรขึ้น คำแรกที่ได้ยินจากอากงคือ “เจ้ากรรมนายเวร” คุณอุ๋มอิ๋มรีบถามทันทีว่าเหตุการณ์แบบนี้ต้องทำอย่างไรคุณแม่ถึงจะหาย คุณอุ๋มอิ๋มร้องไห้ไปพร้อมกับขอร้องให้อากงช่วยเพราะไม่อยากให้คุณแม่ต้องทรมานเช่นนี้ อากงบอกมาเพียงว่า “อาร่างต้องมีสติก่อนนะ ไปทำทุกอย่างที่เป็นวิทยาศาสตร์ ไปหาหมอ เอาผลทุกอย่างออกมา”

            เช้าวันรุ่งขึ้น คุณอุ๋มอิ๋มรีบพาคุณแม่ไปโรงพยาบาลทันที เพื่อทำทุกอย่างตามที่อากงบอกไว้แต่สุดท้ายผลออกมาก็เป็นดังเดิมคือเลือดไม่ไปเลี้ยงยังเส้นปลายประสาท คุณอุ๋มอิ๋มรู้สึกว่าตนเองทำทุกอย่างแล้ว จึงกลับไปหาอากงอีกครั้ง แล้วบอกกับท่านว่าทุกอย่างที่ทำนั้น มันไม่มีอะไรที่จะรักษาคุณแม่ได้เลย มีเพียงแค่ต้องให้เวลาช่วยเยียวยาทุกอย่างให้ดีขึ้นเท่านั้น อากงได้พูดกลับมาอีกครั้ง “ให้เค้ากลับบ้าน (อเมริกา) ต้องกลับเท่านั้น และต้องกลับภายใน 7 วันนี้เท่านั้น” ด้วยอาการต่าง ๆ ที่คุณแม่กำลังเผชิญอยู่ทำให้การเดินทางเป็นไปได้ยาก คุณอุ๋มอิ๋มจึงหลุดปากพูดออกมาด้วยอารมณ์น้อยใจว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทำให้คุณแม่เดินได้” อากงรับปากตกลงตามคำขอจะช่วยกันวิญญาณหญิงแก่ให้ได้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ในช่วง 7 วันนี้จนกว่าคุณแม่จะขึ้นเครื่องเดินทางกลับไป

            หลังจากวันนั้นที่ได้คุยกับอากงจบลง สิ่งที่คุณอุ๋มอิ๋มเห็นคือ มีผู้หญิงแก่ กำลังยืนอยู่ที่หน้าบ้าน โดยมีลักษณะเดียวกันกับที่พี่ชายโทรมาเล่าให้ฟัง ซึ่งเชื่อว่ามายืนอยู่นานแล้ว และรู้ว่าคุณแม่ของคุณอุ๋มอิ๋มก็อยู่ในบ้านหลังนี้ และในทุกครั้งที่คุณแม่ออกจากบ้าน วิญญาณตนนี้จะคอยมาเกาะตามไปทุกที่เพื่อให้อาการของคุณแม่แย่ลง เมื่อคุณอุ๋มอิ๋มเริ่มรับรู้ถึงสาเหตุก็ได้อุทิศบุญภาวนาให้ ปรากฏว่าวิญญาณตนนี้พยายามสื่อออกมาว่า “อั๊วไม่รับ ทุกครั้งมันทำให้อั๊ว อั๊วก็ไม่รับ ยังไงอั๊วก็จะเอามันไปด้วย”

            เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว คุณอุ๋มอิ๋มก็ไม่ได้ต่อรองอะไรกับวิญญาณตนนั้น คิดเพียงแค่ว่าจะหาทุกวิธีที่เคยทำได้ผลมาใช้ในการต่อชีวิตคนคนนึง ตามวิธีการของคุณอุ๋มอิ๋มก็ได้เตรียมผ้าไตร 3 ชุดเพื่อนำไปถวายพระบวชใหม่ ปรากฏว่าคุณแม่มีอาการดีขึ้น เริ่มพูดได้อย่างช้า ๆ ถึงแม้จะไม่ได้ดีขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่จะพาคุณแม่ไปส่งขึ้นเครื่องกลับต่างประเทศให้ได้ตามคำที่อากงเคยกล่าวไว้ว่าเป็นทางรอดเดียวที่จะช่วยคุณแม่ได้

            วิญญาณผู้หญิงแก่ได้หายไปถึง  2 วันก่อนที่คุณแม่จะเดินทาง โดยไม่ปรากฎตัวให้เห็นเหมือนในทุกครั้ง คุณอุ๋มอิ๋มเองก็ภาวนาว่าวิญญาณคงจะไม่ตามไปถึงที่อเมริกา ในระหว่างเดินทางทุกอย่างก็ปกติดี เมื่อคุณแม่เดินทางไปถึงอเมริกา คุณอุ๋มอิ๋มได้ติดต่อขอร้องให้คุณลุง (แฟนใหม่ของคุณแม่) ช่วยสวดบทสวดเกาะกำแพงแก้วเพื่อสื่อว่าไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาและไม่อนุญาตให้ใครตามมา พร้อมกับบอกกล่าวไปถึงอาป๋ากวนอูและอากงว่าคุณแม่ได้เดินทางกลับไปที่อเมริกาแล้ว หลังจากนั้นคุณแม่ได้เข้ารับการรักษา แต่สิ่งที่ได้รับจากการตรวจของคุณหมอคือ “คุณไม่เป็นอะไรเลยนะ” และอาการของคุณแม่ก็ดีขึ้นจริง ๆ สามารถยกแขนได้ และเริ่มลุกขึ้นเดินได้อย่างช้า ๆ ปากหายสั่นสามารถพูดคุยได้ตามปกติ วินาทีที่คุณอุ๋มอิ๋มทราบว่าคุณแม่อาการดีขึ้นถึงขั้นไม่เชื่อ จึงขอให้คุณลุงพาไปตรวจซ้ำที่โรงพยาบาลอื่นอีกครั้ง แต่ผลปรากฏเช่นเดิมว่าคุณแม่ปกติดีทุกอย่าง แม้จะมีผลว่าคุณแม่มีปัญหาที่เส้นประสาท แต่อาการของคุณแม่แตกต่างไปจากตอนที่อยู่เมืองไทยอย่างน่าเหลือเชื่อ

            คุณอุ๋มอิ๋มได้สื่อถึงอากงอีกครั้งเพื่อที่จะถามว่าต้องทำอย่างไรต่อไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ และอากงได้ชี้ทางให้คุณอุ๋มอิ๋มในฐานะที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันว่า ต้องทำบุญส่งไปให้ถึงวิญญาณผู้หญิงแก่โดยภาวนาให้วิญญาณไปสู่ภพภูมิที่ดี อย่าได้มาจองเวรจองกรรมกันอีก จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวิญญาณตนนี้ทำให้คุณแม่ต้องเจ็บป่วย คุณอุ๋มอิ๋มจึงเดินทางทำบุญแก่ผู้ยากไร้ที่ไม่มีกำลังในการรักษาอาการป่วย เพื่อภาวนาส่งบุญนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคุณแม่ หลังจากนั้นเป็นต้นมา วิญญาณผู้หญิงแก่ตนนี้ก็ได้หายไป และไม่ปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย

            หลังจากเหตุการณ์เรื่องเลวร้ายผ่านพ้นไป ตัวคุณอุ๋มอิ๋มได้นั่งสมาธิและเห็นภาพพร้อมกับสัมผัสได้ว่าเจ้ากรรมนายเวรตนนี้ตามมาจากภพภูมิอื่น โดยฝังใจถึงคุณแม่ที่กลับมาภพนี้แล้วได้ดิบได้ดี จนลืมเขา ซึ่งเขาเคยช่วยเหลือคุณแม่มาก่อน จนสุดท้ายเค้าต้องมาป่วยตายกะทันหันด้วยโรคลมชัก จึงเกิดความแค้นต้องการให้คุณแม่เจ็บป่วยเช่นเดียวกันนั่นเอง..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

           

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากปลายฟ้า 'ผีระหว่างทาง' l อังคารคลุมโปง X ปลายฟ้า-มิวสิค [ 11 พ.ย.2568 ]

19 พ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากปลายฟ้า 'ผีระหว่างทาง' l อังคารคลุมโปง X ปลายฟ้า-มิวสิค [ 11 พ.ย.2568 ]

เดินทางไปทำงานที่ต่างจังหวัด ขับไปได้สักพัก Google Map กลับพาเปลี่ยนเส้นทาง บรรยากาศโดยรอบดูวังเวง ตามข้างถนนเต็มไปด้วยศาลที่ถูกทิ้งร้างไว้ และระหว่างที่ขับผ่าน สายตากลับเหลือบไปเห็น เสมือนผู้คนทั้งชายหญิง ยืนสลับซ้ายขวาอยู่เต็มริมถนน เรื่องราวระหว่างการเดินทางของ.. ‘ปลายฟ้า’ ได้เข้ามาเล่าเรื่องราวของตนเอง ที่ต้องออกเดินทางกลางดึก แต่ระหว่างทางกลับเจอสถานการณ์ ที่ทำให้สติแตก และมีอาการหวาดผวา เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X ปลายฟ้า - มิวสิค’ (11 พฤศจิกายน 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ผีระหว่างทาง’ เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในช่วงของปีนี้ ‘ปลายฟ้า’ ต้องมีไปถ่ายทำซีรีส์ที่จังหวัดกาญจนบุรี วันนั้นพี่ชายมานอนด้วย พี่ชายเลยจะสามารถไปส่งได้ แล้วก็รู้สึกว่าวันนั้นนอนไม่หลับ เลยตัดสินใจเดินทางออกไปกองถ่ายเองพร้อมกับครอบครัวในช่วงหลังเที่ยงคืน เมื่อเริ่มออกเดินทาง ปลายฟ้า ก็รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกว่า ‘แถวนี้มันน่ากลัวเนอะ’ ได้แต่คิดในใจแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ จู่ ๆ พี่ชายก็พูดออกมาว่า ‘ที่นี่น่ากลัวเนอะ’ ทำให้ ปลายฟ้าหันตอบไปว่า ‘พูดทำไม’ หลังจากนั้นระหว่างทางได้มีการพูดเล่นกันว่าถ้าเจอแมวลายสลิด จะรับมาเลี้ยงเลย ขับไปได้สักพัก Google Map แจ้งเปลี่ยนเส้นการเดินทาง บริเวณโดยรอบดูเป็นเส้นทางที่เปลี่ยว ปลายฟ้าได้แต่นึกในใจว่าบรรยากาศโดยรอบดูวังเวงแปลก ๆขับมาได้สักพัก เจอเข้ากับศาลที่ทิ้งร้างอยู่เต็มข้างทาง และในระหว่างทางสายตาที่มองไปข้างทางเหลือบไปเห็นเป็นลักษณะเหมือนคนทั้งผู้หญิง และผู้ชาย ยืนสลับกันซ้ายขวา อยู่เต็มถนนทั้ง 2 ฝั่ง ทุกคนบนรถเริ่มสติแตก และมีอาการหวาดกลัว กับภาพตรงหน้าที่เห็น แต่ปลายฟ้า พยายามตั้งสติ และได้หยิบบทสวดมนต์ออกมา สวดไปได้สักพัก ทุกคนบนรถเริ่มสงบลง ขับผ่านโค้งมาตามถนน ทางเปลี่ยวขึ้นกว่าจากตอนแรก ซึ่งบริเวณโดยรอบเป็นพื้นที่เปลี่ยว ที่ไม่ได้มีหมู่บ้านคนอาศัยอยู่ แต่กลับไปพบเจอลูกแมวยืนอยู่กลางถนน แล้วได้จ้องมองมาที่รถ โดยที่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะหลบแต่อย่างใด พี่ชายปลายฟ้าจึงได้หยุดรถลงในทันที แล้วได้ปลดเข็มขัดนิรภัยออก และมีท่าทีว่า จะเปิดประตูรถลงไป แต่ปลายฟ้าต้องรีบตะโกนห้าม เพื่อเรียกสติ จนพี่ชายปลายฟ้าได้สติอีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้มีลักษณะอาการเหมือนคนไม่รู้ตัวซึ่งปัจจุบันก็ไม่สามารถ พิสูจน์ได้ว่าแมวที่พบเจอ เป็นแมวจริง ๆ หรือเป็นสิ่งที่ปลอมแปลงมาให้เราได้เห็น…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

น้องชายตัวดี ปากแจ๋วกับผี! พี่สาวเตือนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ตะโกนด่าไล่ผีออกจากห้อง ถ้าจะหลอกก็หลอกไป กูจะอยู่! เพราะจ่ายเงินค่าห้องไปแล้ว! เงินก็เงินผม ผีไม่ได้ช่วยออกสักหน่อย !?

05 พ.ค. 2024

น้องชายตัวดี ปากแจ๋วกับผี! พี่สาวเตือนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ตะโกนด่าไล่ผีออกจากห้อง ถ้าจะหลอกก็หลอกไป กูจะอยู่! เพราะจ่ายเงินค่าห้องไปแล้ว! เงินก็เงินผม ผีไม่ได้ช่วยออกสักหน่อย !?

เรื่องราวนี้ ‘คุณออโต้’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนจากประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นจริง มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (30 เมษายน 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ไอแผน’ จะหลอนแค่ไหนั้น ไปอ่านกันได้เลย ! เรื่องนี้ ‘คุณออโต้’ (นามสมมติ) ได้นำมาเล่าจากประสบการณ์ตรงของ ‘คุณอีฟ’ โดยคุณออโต้เล่าว่า หากย้อนไปในเมื่อ 10 ปีก่อน คุณอีฟทำงานเป็นทนายความ และมีลูกน้องชื่อ ‘แผน’ เป็นทนายความจบใหม่ โดยทั้งคู่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน คุณแผนได้ไปรับทำคดีชุด ซึ่งคดีชุดเป็นคดีที่รวมคดีของภาคอีสานทั้งหมด พอได้รับทราบคดีแล้วก็ชวนพี่สาวของตัวเองไปช่วยทำเอกสารด้วย และขอให้คุณอีฟหยุดงาน 2 เดือน ในสมัยนั้นการทำคดี ต้องรับงานเหมือนกับ Salesmen ตลอดระยะเวลา 1 เดือน ทนายความต้องรับคดีอย่างน้อย 80 คดีขึ้นไป ต้องใช้เวลา 38 ชั่วโมง ในการทำคดีและส่งเรื่องขึ้นศาล อีกทั้งสมัยนั้นระบบยังไม่เปิดให้ส่งออนไลน์ ต้องไปทำเรื่องแจ้งที่ศาลประจำจังหวัด ซึ่งการรับทำคดีเยอะ ๆ เช่นนี้ก็ทำให้เกิดอาการเครียดสะสม เขาทั้งคู่แทบที่จะไม่ได้พักผ่อน เมื่อทำคดีของจังหวัดหนึ่งเสร็จก็ต้องขับรถไปทำคดีของอีกจังหวัด ขณะที่กำลังขับรถเปลี่ยนจังหวัดนั้นเอง คุณแผนก็เริ่มที่จะง่วง จึงบอกกับพี่สาวว่า “ถ้าขับรถไป แล้วเจอรีสอร์ต หรือที่พักข้างทางก็ให้แวะพักเลย ขับต่อไปไม่ไหวแล้ว กลัวหลับใน เกิดอุบัติเหตุแน่” ช่วงเวลาประมาณสองทุ่ม แอปก็แจ้งเตือนว่า อีก 50 กิโลเมตรจะถึงตัวเมือง แต่คุณอีฟกับคุณแผนก็เจอกับรีสอร์ตข้างทางเข้าเสียก่อน จึงเลี้ยวรถเข้าไปทันที รีสอร์ตมีลักษณะเหมือนบ้านสวน มีการแบ่งกั้นบ้านเป็นหลังยาวเข้าไป ด้วยความที่คุณอีฟมีเซ้นส์บางอย่าง และเป็นคนที่ชอบเสพเรื่องผี จึงคาดการณ์ว่า การพบเจอเหตุการณ์แบบนี้ มันน่าจะต้องมีอะไรบางอย่าง จึงบอกคุณแผนว่า “เราไปพักกันในตัวจังหวัดไหม?” เพราะในความรู้สึกของคุณอีฟ การพักในชานเมืองมันไม่ปลอดภัย แต่คุณแผนก็บอกว่า “เราพักตรงนี้แหละ เพราะผมไม่ไหวแล้ว เราต้องรวบรวมเอกสาร เพื่อคดีในวันพรุ่งนี้อีก” คุณอีฟก็เลยอยู่ในสถานะต้องจำยอม หลังจากนั้น ทั้งคู่จึงเข้าไปติดต่อกับพนักงาน แต่กลับพบลุงวัยกลางคนที่คาดเดาว่า ลุงน่าจะเป็นคนดูแลห้องพัก ลุงบอกว่า “มีห้องพักว่างอยู่เป็น 10 ห้อง อยากพักห้องไหนเลือกได้เลย” คุณอีฟสะกิดคุณแผนว่า “เปลี่ยนที่พักกันไหม ?” ซึ่งคุณแผนก็ยังยืนยันว่าจะพักที่นี่ ด้วยเรื่องของราคาห้องพักที่ประหยัด เพียง 450 บาท ทั้งคู่ก็ได้เข้าพักเลือกเป็นห้องริมสุดจากด้านใน ระหว่างที่กำลังขนของเข้าพัก คุณลุงก็พูดขึ้นว่า “ลุงสแตนบาย อยู่นี่ 24 ชั่วโมงนะ ถ้าเกิดเหตุอะไรหรืออยากจะเปลี่ยนห้อง ลุงอยู่ตรงนี้นะ” ตอนนั้นคุณอีฟกับคุณแผน ก็คิดเพียงว่า อาจจะเป็นไฟเสีย หรือ ห้องน้ำน้ำไม่ไหล พอจอดรถที่หน้าห้องเรียบร้อย คุณอีฟที่เป็นคนมีเซ้นส์ก็สัมผัสอะไรบางอย่างได้ เพียงแค่เปิดประตูห้องเข้าไป ก็ได้กลิ่นเหม็นอับ มีลมปะทะหน้า จากนั้นก็จัดเต็มทุกสิ่งตาม Step ของเรื่องผี คุณอีฟจึงบอกกับคุณแผนว่า “เฮ้ยแผน ! เรากลับตอนนี้ยังทันนะ” แต่คุณแผนก็ยังรั้นตอบว่า “ไม่กลับ!! ที่นี่ราคาห้อง 450 เอง ประหยัดกระเป๋าดี ผมน่ะไม่กลัวผี ! พี่เป็นพี่สาวผมก็ต้องไม่กลัวเหมือนกัน!” ด้วยความที่คุณอีฟเป็นพี่สาวที่แสนดี ก็ไม่อยากจะเถียงต่อด้วย บอกน้องชายไปว่า “เออ ก็แล้วแต่ละกัน !” จากนั้นคุณอีฟจึงเดินเข้าไปสำรวจในห้อง ภาพที่คุณอีฟเห็น คือ ภาพของเตียงนอนกลางห้องที่มีลักษณะก่ออิฐปูนขึ้นมาเป็นฐาน คุณอีฟสัมผัสได้ในทันทีว่า มันมีลักษณะคล้ายกับ ‘เมรุเผาศพ’ หรือที่เรียกว่า ‘เตาเผากลางแจ้ง’ เมื่อเดินไปสำรวจจุดอื่น พบว่าห้องดูเหมือนไม่ได้ใช้งานมานาน และที่พีคสุด ๆ คือ ‘โต๊ะเครื่องแป้ง’ ที่ทางรีสอร์ตน่าจะทำขึ้นเอง เหมือนเป็นไอเดียเฉพาะ สร้างจากอิฐและปูนที่ก่อขึ้นมา และมีกระจกติดไว้ด้านบน ลักษณะคล้ายกับโกศเก็บกระดูก ตอนนั้นคุณอีฟก็ทำได้เพียงแค่บ่นตามประสา หลังจากนั้นคุณอีฟก็เข้าไปอาบน้ำ ฝักบัวก็ไม่มี มีเพียงแต่ขันตักน้ำ ซึ่งน้ำก็เหม็นอีก คุณอีฟจึงตัดสินใจว่าจะไม่อาบน้ำ เลือกที่จะเอาน้ำเปล่ามาล้างหน้าแทน หลังจากที่ทำภารกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย คุณแผนเสียสละให้คุณอีฟนอนบนเตียง และตัวคุณแผนเองก็นอนบนฟูกข้างขวาของเตียง โดยที่ที่คุณแผนนอนจะนอนติดกับ ‘โต๊ะเครื่องแป้ง’ ที่มีลักษณะคล้ายกับโกศเก็บกระดูก ก่อนนอนคุณแผนก็บอกกับคุณอีฟว่า “พี่อีฟนอนก่อนเลยนะ เพราะผมกรนดัง” ไม่นานเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ในขณะที่คุณอีฟกำลังเคลิ้มหลับ จู่ ๆ คุณแผนก็ตะโกนขึ้นมาว่า “ดูผู้หญิงคนนั้นดิ ! เขามาทำอะไร !?” คุณอีฟเลยถามกลับไปว่า “ใครแผน !?” คุณแผนจึงตอบว่า “ผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ !? มายืนรำอยู่ที่หน้าผมเนี่ย !” ตอนนั้นคุณอีฟที่กำลังมึนงงจากการกึ่งหลับกึ่งตื่น คิดว่าน้องชายกำลังแกล้งตนอยู่ เพราะเมื่อหันมองในห้องกลับไม่พบอะไร คุณอีฟก็เลยว่ากลับไป “นี่แผนหลอกพี่หรอ !?” คุณแผนตอบกลับแทบจะทันทีว่า “ผมไม่ได้หลอกพี่ ไม่เชื่อพี่ก็ดูดิ เขากำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง ! กำลังตั้งท่ารำอยู่” คุณอีฟที่มองไม่เห็นอะไร จึงคิดในใจว่า “อะไรวะเนี่ย” คุณแผนก็บอกต่อว่า “ช่างเถอะพี่ ให้มันรำไปเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราต้องตื่นเช้า นอนเถอะ !” คุณอีฟที่กำลังสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ไม่สามารถนอนหลับอีกต่อไป นอนมองซ้ายมองขวา ถามย้ำกับน้องชายว่า “แผน ! แผนเห็นจริง ๆ หรอ !?” น้องชายก็ทำท่าทางเอามือจุ๊ปาก แล้วบอกว่า “พี่อีฟ… เบา ๆ เดี๋ยวมันรู้ว่าเราเห็นมัน…” สักพักคุณแผนก็เอาเท้าขึ้นมาก่ายด้านบนเตียง แล้วก็บอกกับพี่สาวว่า “พี่ช่วยเอาเท้ามาพาดผมหน่อย อย่างน้อยผมจะได้รู้สึกว่าผมมีเพื่อน” คุณอีฟบอกว่า “ทำไมไม่ขึ้นมานอนด้วยกันเลย” คุณแผนก็บอกว่า “ไม่เป็นไรพี่” คุณอีฟก็ไม่อยากคิดมากอะไร ทำตามอย่างที่น้องบอก สัมผัสแรกคุณอีฟรู้สึกได้เลยว่า ตัวของคุณแผนเย็นมาก ! นอนไปได้สักพัก คุณอีฟก็เริ่มรู้สึกแปลกขึ้น เพราะคุณแผนไม่มีการขยับเท้า ไม่มีการพลิกตัว หรือขยับร่างกายเลย ด้วยความสงสัยเลยตะโกนถามไปว่า “แผน ! เท้าเอ็งอยู่ไหน !?” คุณแผนก็ตอบว่า “อ๋อ… ผมชักกลับมาแล้วพี่” พร้อมกับยกเท้าโชว์ขึ้นมาให้พี่สาวดู แต่ตอนนั้นคุณอีฟยังรู้สึกว่า เท้าของคุณอีฟยังแตะเท้าของคุณแผนอยู่ แต่เมื่อรู้ว่ามันไม่ใช่เท้าของคุณแผน คุณอีฟจึงสะดุ้งตัวขึ้นมานั่งบนเตียง! ภาพที่คุณอีฟคือ เท้าของตนแตะอยู่ที่มือของผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ปลายเตียง พอเห็นอย่างนั้น คุณอีฟก็ชักเท้ากลับทันที ตะโกนถามน้องชายว่า “แผน ! นั่นใคร !?” ทันทีหลังพูดจบ คุณแผนก็พลิกตัวกลับมาด่าว่า “มึงเป็นใครเนี่ย !? มึงมาหลอกพวกกูทำไม มึงจะหลอกมึงหลอกไปเลยนะ ยังไงกูก็จะนอน เพราะกูจ่ายเงินค่าห้องไปแล้ว ! มีกูมีพี่สาวกู กูจะไม่ไปไหน !”ด้วยความที่คุณอีฟกำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เลยตะโกนถามน้องชายว่า “แผน ! กลับไหม !?” คุณแผนก็ยังเถียงต่อว่า “พี่ ! เราเสียเงินตั้ง 450 ! เราต้องได้นอน ! เขาเป็นใครก็ไม่รู้จะมาไล่เราออกได้ยังไง พี่ต้องนอนเชื่อผม !” คุณอีฟที่ทนไม่ไหวแล้ว จึงคว้ากุญแจรถวิ่งหนีออกมา คิดว่าจะขับรถไปสงบสติอารมณ์ แต่อีกใจก็เป็นห่วงน้องชาย จึงเลือกที่จะนอนที่รถดีกว่า แต่ก็กลัวผีอีก จึงเดินไปหาลุงที่เป็นที่พึ่งสุดท้าย แต่ลุงกับไม่มีท่าทีตกใจ หันหน้ากลับมายิ้มให้เท่านั้น ก่อนที่จะถามขึ้นว่า “เจอแล้วหรอ…” คุณอีฟถามลุงว่า “ลุงรู้หรอ ว่าพวกหนูเจออะไร” ลุงก็ตอบกลับว่า “แหม๊ แค่ 450 ! มันมีอยู่แล้ว…” คุณอีฟก็คิดในใจว่า “ควรจะโกรธน้องชายตัวดี หรือโกรธลุงดี !” ลุงยังบอกอีกว่า “ลุงก็นั่งรอให้เอง มาเปลี่ยนห้องอยู่เนี่ย ก็ไม่เห็นออกมาสักที นึกว่าอยู่กันได้” ลุงก็ยิ้มบอกอีกว่า “ลุงพูดไม่ได้ ลุงแค่มาดูแลให้เฉย ๆ” คุณอีฟถามต่อว่า “ถ้าหนูย้ายห้องอื่น เขาจะตามมาด้วยไหม” ลุงตอบว่า “เขาเป็นเจ้าของเขาไปไหนก็ได้” แล้วคุณอีฟก็เผลอหลับที่รถไป… หลังจากนั้น คุณอีฟสะดุ้งตื่นมาตอนตี 5:45 รวบรวมความกล้า เดินกลับไปที่ห้องเพื่อตามน้องชาย เมื่อเจอพี่สาว คุณแผนก็ถามทันทีว่า “พี่ทิ้งผมทำไม !” คุณอีฟจึงตอบว่า “พี่ไม่อยากนอนร่วมห้องกับผีหรอกนะ” ก่อนที่จะพากันเก็บของ คุณอีฟก็ถามน้องชายต่อว่า “ผีที่เห็นล่าสุดอยู่ตรงไหน?” คุณแผนตอบว่า “อ๋อ มันเข้าห้องน้ำอยู่พี่ ผมเลยไม่อาบน้ำ กลัวมันมองพิกาจูผม” ก่อนที่ทั้งคู่จะออกมาอาบน้ำที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง คุณอีฟก็ถามต่ออีกว่า “แล้วเมื่อคืนอยู่ยังไง” คุณแผนก็ตอบว่า “ผมก็บอกมัน ถ้าอยากจะรำก็รำไป ผมต้องทำงานเช้า ผมจะนอน แล้วผมก็หลับไปเลย…”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณบิ๊ก สุโขทัย ‘คุณภานุมาศ’ l อังคารคลุมโปง X เจน The Ghost [ 17 มิ.ย.2568 ]

21 มิ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณบิ๊ก สุโขทัย ‘คุณภานุมาศ’ l อังคารคลุมโปง X เจน The Ghost [ 17 มิ.ย.2568 ]

เรื่องราวนี้ ‘คุณบิ๊ก สุโขทัย’ ได้นำเรื่องราวสุดลึกลับ มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 มิถุนายน 2568) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘คุณภานุมาศ’ เรื่องราวจะลึกลับ น่าตื่นเต้นอย่างไรนั้น ไปติดตามได้เลย! ‘คุณบิ๊ก’ ได้เล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วย่านใจกลางรัชดา คุณบิ๊กจะทำหน้าที่เป็นคนที่คอยดูแลเจ้าหน้าที่ อย่าง ลุง ๆ และพี่ ๆ รปภ. วันนั้นคุณบิ๊กได้ไปนั่งคุยกับพี่รปภ.ที่ชั้น 18 คุยไปคุยมาพี่รปภ.ก็ได้ขออนุญาตลงไปซื้อข้าว ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 3 – 4 ทุ่ม คุณบิ๊กจึงจำเป็นต้องนั่งประจำจุดนั้นให้แทนก่อน แต่แล้ว ก็ดันมีสัญญาณเตือนดังมาจากหน้าลิฟต์ชั้น 19 ดังลงมาถึงชั้น 18 คุณบิ๊กจึงได้เจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ลักษณะเหมือนวัยรุ่น พึ่งจบใหม่ ใส่กางเกงยีนส์ขาด เสื้อเอวลอย หันมายิ้มให้และพูดคุยด้วยปกติว่า “พี่มาทำใหม่หรอคะ” คุณบิ๊กจึงได้ตอบกลับไปว่า “ครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” จากนั้นน้องผู้หญิงก็ยิ้มให้ และกดลิฟต์ลงไปที่ชั้นสอง ตัวคุณบิ๊กเองเล่าต่ออีกว่า เขารู้สึกแปลกตรงที่น้องอยู่ชั้น 19 จะกดมาที่ชั้น 18 ทำไม ทำไมถึงไม่กดจากชั้น 19 ไปที่ชั้น 2 ทีเดียวตั้งแต่แรก ทำไมถึงมาแวะก่อน แต่ตอนนั้นไม่ได้เอะใจหรือสงสัยอะไร หลังจากนั้นทุกวัน ช่วงเวลาประมาณ 4 – 5 โมง คุณบิ๊กก็ได้เจอกับน้องเขาทุกวัน จนอยู่มาวันหนึ่งคุณบิ๊กเล่าว่า ก่อนจะเกิดเหตุขึ้น น้องเขาได้ยื่นน้ำเปล่ามาให้หนึ่งขวด และพูดกับคุณบิ๊กว่า “เอาไปทานค่ะ’’ คุณบิ๊กจึงตอบขอบคุณไป กระทั่งคืนวันศุกร์ ปกติเลิกงานคุณบิ๊กจะออกกะทุกตี 1 ซึ่งโดยปกติแล้วคุณบิ๊กจะใช้ยานพาหนะคือ รถจักรยานยนต์ วันนั้นคุณบิ๊กได้ขับรถบนถนนเส้นรัชดา-ลาดพร้าวตามปกติ แต่จู่ ๆ ดันมีลุงคนหนึ่งขับรถมาบีบแตร์ใส่ซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น เหมือนไปขับรถปาดหน้าหรืออะไรใส่เขา คุณบิ๊กจึงได้แต่คิดในใจว่า ‘อะไรวะ ลุงเป็นอะไร เมาหรือเปล่า’ แต่คุณบิ๊กไม่อยากจอดรถ เพราะวันนั้นฝนดันตก น้ำท่วมหนักมาก ถ้าหากเอาขาลงพื้นจะทำให้เท้าเปียกได้ จึงไม่อยากเอาขาโดนน้ำ แต่แล้วด้วยความที่ตัวของคุณบิ๊กเองเป็นคนคนใจร้อน รอไม่ได้ จึงได้ทำการดับเครื่องรถจักรยานยนต์ของตน และจอดรอ ลุงคนนั้นจึงลดกระจกลงและได้พูดออกมาอย่างโมโหว่า “ไอ่หนุ่ม เอ็งเล่นอะไรกันเนี่ย ให้แฟนไปยืนที่ท้ายเบาะรถ แล้วกระโดดมาเนี่ย เกือบเฉี่ยวหน้ารถลุง” หลังจากลุงพูดจบ คุณบิ๊กกลับไม่ได้รู้สึกอะไร อาจเพราะน้ำท่วมด้วยจึงไม่ได้รู้สึกถึงการสั่นสะเทือน จากนั้นลุงเขาก็พูดออกมาอีกว่า “มาชี้หน้ากูแล้วหัวเราะอีก มึงเล่นอะไรกันหรือทะเลาะกันหรือยังไง?” คุณบิ๊กกำลังจะเอ่ยปากตอบ แต่ลุงกลับปิดกระจกใส่และขับรถออกไปอย่างโมโห ลุงเหยียบคันเร่งจนทำให้ล้อรถของลุงปาดน้ำบนถนนมาทางที่คุณบิ๊กอยู่ จนทำให้คุณบิ๊กโกรธจนเลือดแทบจะขึ้นหน้า และได้แต่สงสัยในเรื่องที่ลุงคนนั้นพูดมา ซึ่งปกติแล้ว คุณบิ๊กมักจะไปจอดรถที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งเป็นประจำ และจะได้เจอกับพี่คนหนึ่ง อายุประมาณ 40 กว่า เขาทำอาชีพขายลูกชิ้นทอด เป็นร้านที่คุณบิ๊กมักจะไปจอดแวะซื้อตลอด วันนั้นไม่รู้อะไรดลใจให้คุณบิ๊กพูดคุยกับเขา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดอยากจะคุย “พี่ พี่เคยเจอผีบ้างไหม?” พี่เขาจึงตอบกลับคุณบิ๊กมาว่า “โอโห ช่างถามได้เหมาะเจาะจริง ๆ เลย” และได้พูดต่ออีกว่า “น้องลองหันไปด้านหลังสิ” คุณบิ๊กจึงได้หันไปตามที่พี่เขาบอกและถามออกไปอีกว่า“ทำไมหรอพี่” พี่เขาจึงตอบกลับมาว่า “นั่นแหละ เห็นเสาไฟฟ้านั่นไหม มีน้องพนักงานออฟฟิศประสบอุบัติเหตุ” คุณบิ๊กเล่าว่าตนเองได้ไปสืบข่าวเพิ่มเติมมาว่าน้องเขาโดนพวกโรคจิตขับรถตาม ขณะที่เขากำลังจะขับรถหนี แต่ดันคุมสติตัวเองไม่ได้ จึงทำให้รถเสียหลักล้ม หัวฟาดกับฝาท่อที่เป็นเหล็กกลม ๆ น้องเขาจึงเสียชีวิตที่นั่น แต่ตัวคุณบิ๊กเองยังไม่ได้ปักใจเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับน้องผู้หญิงที่เจอบนตึก แต่พึ่งเริ่มมาปักใจตอนพี่เขามาทักต่อจากเมื่อกี้ว่า “พี่ว่าพี่เคยเห็นน้องคนที่เสียชีวิตไปคนนี้ซ้อนท้ายน้องเมื่อวานนะ แต่พี่ไม่กล้าทัก พี่คิดว่าพี่ตาฝาด แต่พี่จำลักษณะน้องเขาได้” หลังจากนั้นทั้งคุณบิ๊กและพี่เขาจึงได้ช่วยกันนึกถึงลักษณะของน้องผู้หญิงคนนั้น จนมั่นใจว่าใช่คนเดียวกันกับคนที่เจอบนตึก ด้วยความที่คุณบิ๊กอยากรู้เรื่องราวของน้องเขาว่าเป็นอย่างไร จึงได้ไปสืบกับแม่บ้านที่ตึก และเขาก็ได้บอกว่า “อ๋อ น้องคนนี้ชื่อนุ๊ก ชื่อจริงชื่อ ‘ภานุมาศ’ น้องเขาเป็นเด็กจบใหม่ น่าจะมีเชื่อสายมอญ และเป็นคนจังหวัดกาญจนบุรี” และได้บอกต่ออีกว่า “แต่ที่บ้านน้องเขามาเรียนเชิญดวงวิญญาณให้กลับบ้านไปแล้วนะ น้องเขายังอยู่อีกหรอ” หลังจากได้ยินข้อมูลทั้งหมด คุณบิ๊กก็ไม่ได้บอกหรือพูดอะไรกลับไป กระทั่งมาถึงวันเสาร์ โดยปกติแล้วคุณบิ๊กจะทำอาชีพเสริม คือการขายพระเครื่อง ซึ่งตลอดเวลาที่ขายมา ตั้งแต่คุณบิ๊กเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพ วัน ๆ หนึ่ง ขายได้ไม่เกิน 500 บาทต่อวัน แต่วันนั้นกลับขายดีมาก เกือบ 1,500 บาท ขายดีถึงขั้นที่ว่าลูกค้าหยิบและซื้อไปแบบไม่มีคำถามเลย ทำให้คุณบิ๊กรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก และกลับมาจนจะถึงที่พัก ทว่าระหว่างทางก่อนจะถึงที่พักอีกเพียงนิดเดียว ดันมีกลุ่มวัยรุ่นขับรถเล่นหยอกล้อกันไปมา และคืนนั้นฝนตกทำให้ถนนลื่นมาก ตัวคุณบิ๊กเองที่ขับรถอยู่ท้ายรถของกลุ่มเด็กวัยรุ่นพวกนั้น เขาดันเบรกซ้ายกะทันหัน ทำให้รถเสียหลัก ทำให้ตัวและหัวฝั่งซ้ายของคุณบิ๊กล้มไปอยู่ใต้รถเมล์ ทำให้คุณบิ๊กได้แผลตรงที่ปลายนิ้ว และตาตุ่มด้านซ้ายยังได้แผลถลอกจนเห็นถึงเนื้อกระดูกอีกด้วย เหตุการณ์นี้รถของคุณบิ๊กทั้งดับและล้อไม่หมุน แต่คุณบิ๊กเล่าว่าจู่ ๆ กลับรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างมากระตุกเครื่องรถแล้วสตาร์ทขึ้นมา และได้ลากตัวของคุณบิ๊กจากเลนขวาไปที่เลนซ้าย ดึงตัวเข้าไปอีกฝั่งหนึ่ง หากไม่ได้ถูกลากเข้าไปข้างทางคงถึงแก่ชีวิตอย่างแน่นอน และด้วยความที่คุณบิ๊กถูกรถทับไปข้างนึง จึงทำให้ไม่รู้สึก ไม่มีความชาไปเลย จากนั้นก็มีพี่คนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “แล้วแฟนน้องหล่ะ?” ตอนนั้นตัวคุณบิ๊กจึงรู้สึกอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบ 10 นาที เริ่มรู้สึกว่าร่างกายตัวเองดีขึ้นมานิดหน่อยแล้ว จึงค่อย ๆ ขับคลำทางมาเรื่อย ๆ จนมาถึงที่พัก หลังจากนั้นก็ไปล้างหน้า เอาน้ำลูบตัว เพราะเหนื่อยมาก ไม่อยากอาบน้ำ และได้เข้านอน แต่ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กลับรู้สึกเหมือนมีคนมาจับขา จับแขน มีลมคล้ายกับลมหายใจมารดใบหน้ารดต้นคอ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองอยู่คนเดียว คุณบิ๊กได้เล่าทิ้งท้ายต่ออีกว่า ตนเองปักใจเชื่อว่าน้องผู้หญิงคนนั้นเป็นคนมาช่วยให้รอดชีวิต และเชื่อว่าตั้งแต่เจอน้องชีวิตของตนเองก็ดีขึ้นมาก ๆ อย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปตั้งแคมป์กับเพื่อน งานนี้โดนหลอกตลอดทั้งคืน!

28 เม.ย. 2023

ไปตั้งแคมป์กับเพื่อน งานนี้โดนหลอกตลอดทั้งคืน!

สายตั้งแคมป์รับรองมีขนหัวลุก เพราะสายจาก ‘คุณชิ’ ที่โทรเข้ามาในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (28 มีนาคม 2566) ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเคเบิ้ล’ ฟัง ถึงการพบเจอเจ้าถิ่น.. ถ้าเป็นคนคงจะดีกว่านี้ แต่นี่กลับเป็นสิ่งลี้ลับที่เกินจะคาดเดา! คุณชิเล่าว่า ตัวเองเป็นสายแคมป์ปิ้งและวางแพลนกับเพื่อน ๆ ว่าจะไปเที่ยวจังหวัดทางภาคเหนือกัน ซึ่งตนเองนั้นชอบไปแคมป์ปิ้งในป่าลึกหรือพื้นที่ที่ยังไม่เปิดให้เที่ยว และจะให้คนในพื้นที่เป็นคนนำทาง การไปแคมป์ปิ้งในครั้งนี้ คุณชิและผู้ร่วมเดินทางอีกประมาณ 10 คน ได้ไปยังดอยแห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นภูเขาที่มีความสวยงามและยังเป็นจุดชมวิวซากุระของเมืองไทยอีกด้วย แต่จุดที่คุณชิจะตั้งแคมป์เป็นยอดดอยอีกด้านหนึ่งของภูเขา ซึ่งต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง ซึ่งวันที่คุณชิติดต่อกับคนในพื้นที่ให้มาช่วยนำทาง เขาดันติดธุระ จึงให้ลูกชายของเขาที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ขึ้นมาช่วยนำทางให้แทน เมื่อคณะเดินทางของคุณชิมาถึงจุดตั้งแคมป์จุดแรกซึ่งเป็นยอดดอยที่มองเห็นความสวยงามของทัศนียภาพได้ 360 องศา มีเจดีย์สองยอดซึ่งเป็นจุดชมวิวชื่อดังของภาคเหนือตั้งอยู่บนยอดดอยฝั่งตรงข้าม ด้านซ้ายเป็นทางเดินที่ชิดริมขอบหน้าผาซึ่งเป็นไหล่เขาลงไป ส่วนด้านขวามือเป็นเหมือนดงป่าไม้ทึบ ทั้งหมดจึงตกลงกันว่าจะตั้งแคมป์กันที่ตรงนี้ ถึงแม้ว่าจะมีพื้นที่ไม่ได้กว้างขวางมากมายเท่าไหร่นัก คณะเดินทางเริ่มผูกเต็นท์จับจองที่นอนของตัวเอง โดยเต็นท์สามหลังแรกผูกเรียงกันตรงทางเดินและหันหัวที่นอนไปทางด้านหน้าผา ส่วนที่เหลืออีกสี่เต็นท์จะผูกติดกันตรงกลางเป็นระนาบไปตามแนวของดงป่าทึบ ซึ่งในทริปนี้ มีน้องคนหนึ่งขอผูกเปลนอนกับต้นไม้ใหญ่ ซึ่ง ณ ตอนนั้นน้องที่เป็นคนนำทางก็ขอตัวกลับลงไปยังหมู่บ้านทันทีโดยไม่ได้อยู่ค้างคืนด้วย ในช่วงเย็นหลังจากที่ทุกคนจัดของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว จู่ ๆ น้องผู้หญิงคนหนึ่งในคณะมีอาการแปลก ๆ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายกับพื้นพร้อมกับร้องไห้ คุณชิเห็นดังนั้นจึงคิดว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่ และด้วยความที่เป็นสายมูเตลูจึงนำสร้อยพระเวสสุวรรณของตัวเองนำไปคล้องคอให้กับน้องคนนั้น หลังจากนั้นน้องคนนั้นก็หายจากอาการดิ้นแต่ก็ยังคงร้องไห้อยู่ คุณชิจึงนึกถึงน้ำมนต์ แต่ในตอนนั้นไม่มีใครมีน้ำมนต์ติดตัวมาเลย จึงนำน้ำขวดเทใส่แก้วพร้มอกับสวดคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า แล้วให้น้องคนนั้นจิบน้ำ เมื่อจิบน้ำไปสักพัก น้องก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองและได้เล่าว่าระหว่างที่กำลังผูกเต็นท์ที่หันหน้าไปทางด้านหน้าผา เขาได้ยินเสียงเด็กเรียกชื่อเขา และเผลอขานรับ หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย คุณชิเล่าต่ออีกว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ตนเองจึงนึกย้อนไปว่าก่อนที่จะขึ้นมาบนยอดดอยนี้ คุณชิได้รับข้อมูลมาว่ามีศาลแห่งหนึ่ง ลักษณะเป็นพระธาตุ ที่ชาวบ้านสักการะอยู่บนยอดดอยนี้ด้วย จึงคิดว่าต้องไปไหว้สักการะขอเจ้าที่เจ้าทางก่อน ซึ่งระยะทางระหว่างแคมป์และศาลนั้นอยู่ที่ 300 เมตร แต่คณะเดินทางกลับใช้เวลาเกือบถึงครึ่งชั่วโมงในการไปศาล ราวกับว่ายิ่งเดินเท่าไหร่ยิ่งไปไม่ถึงสักที คุณชิจึงตั้งจิตอธิษฐานว่าลูกช้างกับคณะเดินทางนี้ เราเข้ามาในพื้นที่เพื่อมาพักผ่อนไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้ามาทำลายธรรมชาติ ดังนั้นด้วยเจตนานี้จึงขอให้ลูกช้างและคณะได้เดินทางไปสักการะด้วยเถิด ต่อมาหลังจากนั้นทั้ง 10 คนเดินไปได้อีกสักระยะหนึ่ง ใช้เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้นก็เจอกับศาลที่ว่า เมื่อสักการะบอกเจ้าที่เจ้าทางเรียบร้อยแล้วมีลมวูบหนึ่งพัดมาเป็นลมเย็น ๆ คุณชิจึงคิดว่านี่ถือเป็นการตอบรับในทางที่ดี เมื่อทั้งคณะกลับมายังจุดตั้งแคมป์ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้ม จึงได้ตระเตรียมทำอาหารเย็นกัน โดยคุณชิเชื่อว่าทุกคนที่เดินป่าย่อมมีความเชื่อ ว่าอาหารที่เป็นคำแรก หรืออาหารที่พึ่งปรุงใหม่ จะต้องแบ่งมาส่วนหนึ่งเพื่อบวงสรวงหรือเซ่นไหว้ให้กับเจ้าที่เจ้าทาง ในขณะที่ทุกคนกำลังกินชาบูและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน คุณชิจึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาและได้ทักท้วงทุกคนไป ซึ่งปรากฏว่าทุกคนต่างพากันลืมหมด คุณชิจึงได้นำอาหารที่ปรุงใหม่ตักใส่ถ้วยเพื่อเตรียมนำไปเซ่นไหว้ แต่ดันพลาดนำน้ำชาบูที่อยู่ในหม้อกลางที่ทุกคนกินไปแล้ว ตักราดลงไปในถ้วยด้วย แล้วนำไปตั้งอยู่บนทางเดินที่เป็นทางสามแพร่ง ซึ่งเจตนาของคุณชิในตอนนั้นคือไม่ได้ต้องการลบหลู่แต่อย่างใด และในวันนั้นก็เป็นคืนเดือนหงาย แต่ปรากฏว่าหลังจากที่เซ่นไหว้อาหารเรียบร้อยแล้วทั้งป่ากลับเงียบสนิทไม่มีแม้แต่เสียงลมหรือแมลงเลย คืนนั้นจึงไม่มีใครกล้าดื่มสิ่งของมึนเมาหรือสังสรรค์ใด ๆ ต่อ ทุกคนตัดสินใจเข้านอนประมาณ 3 - 4 ทุ่มท่ามกลางอากาศบนยอดดอยที่เย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ คุณชิไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปนานแค่ไหน รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียง “ฮืออ…ชิ นอนด้วย..หนาวว~ ขอเข้าไปด้วย” ซึ่งเสียงเย็น ๆ น่าขนลุกนั้นดังมาจากปลายเท้าของคุณชิที่หันประตูเต็นท์ไปทางดงไม้ทึบ ซึ่งปกติแล้วเวลาไปตั้งแคมป์ ทุกคนจะไม่ให้ไฟตรงกลางมอด แต่คืนนั้นไฟกลับมอดลงเร็วมาก และจังหวะที่เสียงนั้นใกล้เข้ามา คุณชิจึงเปิดไฟภายในเต็นท์โดยมีน้องที่นอนข้าง ๆ กำมือคุณชิแน่นอย่างหวาดระแวง และเมื่อคุณชิได้ส่องไฟไปยังปลายเต็นท์ ปรากฏว่าตรงผ้าใบที่ประตูเต็นท์เหมือนมีคนแนบหน้าเข้ามา! ด้วยความที่ลักษณะเต็นท์มันถูกกางให้ตึง จึงเห็นว่าเป็นลักษณะหน้าคน! ทั้งสองคนเห็นดังนั้นถึงกับนอนตัวแข็งกันเลยทีเดียว แต่ยิ่งไปกว่านั้นซิปที่ประตูเต็นท์มันกลับถูกรูดขึ้นมาด้วย!! ซี้บบบบบ…เสียงซิปที่ถูกรูดดังก้องในโสตประสาทของคนที่อยู่ในเต็นท์ และภาพที่เห็นตรงหน้าคือคนที่โผล่เข้ามา.. กลับกลายเป็นน้องคนที่ผูกเปลนอน!! คุณชิถึงกับโล่งใจเพราะกลัวจนแทบจิตหลุด สุดท้ายแล้วจึงได้ข้อสรุปว่าด้วยความที่ตอนนั้นอากาศข้างนอกค่อนข้างที่จะหนาวมาก จนทำให้น้องคนนั้นปากสั่นจนพูดไม่เป็นคำ ทำให้คุณชิได้ยินเสียงอันน่าสะพรึงแบบนั้น หลังจากนั้นทั้งสามคนจึงนอนเบียดกันเพื่อแบ่งปันไออุ่นภายในเต็นท์ แต่แล้ว.. ก็เหมือนมีลมแรงพัดขึ้นมากระทบกับผ้าใบของเต็นท์จนสั่นกระพือเสียงดังพรึ่บๆๆ คุณชิกลัวว่ากระทบเสียงดังขนาดนี้ผ้าใบเต็นท์จะขาด แต่พอเปิดเต็นท์ออกมาดู ปรากฏว่าไม่มีลมเลย ข้างนอกอากาศนิ่งมาก แล้วเสียงที่คุณชิได้ยินเมื่อสักครู่มันคืออะไร? จากนั้น จังหวะที่คุณชิหันมายังจุดตรงกลางแคมป์ ก็ได้เห็นน้องร่วมทริปคนหนึ่งนั่งกอดตัวเองพร้อมกับคลุมผ้าห่มอยู่เงียบ ๆ ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาตี4 แล้วจึงถามน้องคนนั้นว่าทำไมยังไม่เข้าไปนอน แต่น้องกลับตอบมาเพียงคำเดียวว่า “ผมนอนไม่ได้พี่” คุณชิกับน้องร่วมเต็นท์อีกสองคนจึงมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อาจจะเกี่ยวข้องกับเต็นท์ของน้องที่นอนหันหัวไปทางหน้าผาหรือเปล่า จึงมารวมตัวกันผิงไฟ เพราะไหนๆก็จะเช้าแล้ว ต่อมาอีกสักพักกลุ่มน้องผู้หญิงจากอีกเต็นท์หนึ่งก็พากันเดินออกมา คุณชิเห็นว่าท่าทีแปลกๆ จึงเปิดประเด็นด้วยคำถามที่ว่า “มีใครอยากจะเล่าอะไรไหม” น้องผู้ชายคนแรกที่ออกมานั่งตรงกลางแคมป์ได้เล่าว่า “ได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่บนหัวเต็นท์” แต่หัวเต็นท์ตรงนั้นอีกประมาณ 2 เมตรเป็นหน้าผา จึงคิดว่าคนในคณะไม่น่าจะไปเดินตรงนั้นได้ แถมยังมีการเขย่าเต็นท์ด้วย ส่วนน้องผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งก็เล่าว่าได้ยินเสียงของน้องคนที่ผูกเปลมาเรียกให้ไปส่งเข้าห้องน้ำ ซึ่งในขนะนั้นน้องคนที่ผูกเปลได้เข้ามานอนในเต็นท์คุณชิเรียบร้อยแล้ว แถมน้องคนที่ผูกเปลก็เป็นผู้ชายด้วย จะมาเรียกน้องผู้หญิงให้ไปส่งเข้าห้องน้ำได้อย่างไร นอกเหนือจากนั้นแล้ว น้องผู้หญิงอีกคนก็ได้ยินเสียงคนผิวปากเบา ๆ เป็นเพลงแว่วมาจากข้างหลังดงไม้ทึบ ทุกคนสัมผัสได้ถึงสิ่งลี้ลับรอบตัวและทนไม่ไหว จึงพากันออกจากเต็นท์ คุณชิที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจึงตัดสินใจเดินไปยังจุดที่เอาอาหารไปเซ่นไหว้ ปรากฏว่ามันถูกคว่ำอยู่และมีอาหารกระจัดกระจาย เหมือนมีใครมารุมทึ้งรุมกินกันอย่างตะกละตะกลาม เมื่อแสงแดดรำไรในเวลา 6 โมงเช้า ทุกคนจึงรีบเก็บเต็นท์กันเร็วกว่าปกติเพื่อจะเดินทางกลับลงไปยังตีนภูเขา ระหว่างเก็บเต็นท์คุณชิก็ได้เจอกับคำตอบของเหตุการณ์ทั้งหมดว่า “หลังดงไม้ทึบที่ไปตั้งเต็นท์รายล้อมไปด้วยหลุมศพ” ที่มีป้ายเขียนด้วยภาษาอะไรสักอย่างไว้ รวมไปถึงเข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กวัยรุ่นคนที่นำทางถึงรีบส่งพวกเขาแล้วรีบกลับลงไปทันที หลังจากนั้น ทุกคนก็เดินกลับลงมาอย่างปลอดภัย และพากันไปยังจุดจอดรถซึ่งเป็นวัดที่อยู่ตีนเขา พร้อมกับได้พบหลวงพ่อที่ประจำอยู่ ณ วัดแห่งนี้ ท่านทักขึ้นมาทันทีว่า “เมื่อคืนไปทำอะไรกันมา ขึ้นไปตั้งแคมป์ข้างบนแล้วลืมให้อาหารเซ่นไหว้เขาใช่ไหม” ทั้งคณะได้ยินดังนั้นถึงกับสะดุ้งตกใจ คุณชิจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระท่านฟัง หลวงพ่อจึงบอกว่า “การที่เราได้ยินเสียงต่าง ๆ แสดงว่าเขาอยากให้รู้ว่าที่พื้นที่ตรงนั้นเป็นที่ของเขา” และน้องคนที่โดนเขย่าเต็นท์ก็สารภาพว่าตัวเองได้ปัสสาวะข้าง ๆ เต็นท์ ซึ่งน่าจะเป็นบริเวณหลุมศพของเขาพอดี เขาเลยไม่พอใจ หลังจากนั้นทุกคนก็ได้ทำบุญและถวายสังฆทานให้ แต่โดยทั่วไปเท่าที่คุณชิจำได้ เวลาที่พระท่านให้พรท่านจะเอาตาลปัตรบังหน้าเสมอ แต่ครั้งนี้จังหวะที่พระท่านสวดในครั้งสุดท้าย ท่านกลับยกตาลปัตรออกมาแล้วทำท่าพัดออกไปด้านหน้าหนึ่งทีแรง ๆ และพูดกับทางคณะว่า “กลับกรุงเทพได้แล้วนะไม่มีอะไรตามแล้ว” ทุกคนได้ยินดังนั้นต่างขนลุกไปตาม ๆ กัน เรื่องนี้ทำให้คุณชิระแวงเป็นอย่างมาก จึงต้องตรวจเช็คด้านสายมูเตลู หรือทุกความเชื่อว่าจะไม่มีสิ่งไหนตามมาให้แน่ชัด และยังต้องเช็คความเป็นมาของสถานที่ ที่จะไปให้ถี่ถ้วนทุกครั้งจะได้ไม่พบเจอกับเหตุการณ์หลอนทั้งแคมป์แบบนี้อีก(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1