‘ตั้ม The Shock’ ได้นำเรื่องราวความหลอนจากรุ่นน้องคนสนิท ที่มีบางสิ่งบางอย่างตามกลับมาจากการไปกางเต็นท์ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เพียงเพราะรุ่นพี่ในกลุ่มพูดว่า “เออจะกลับก็กลับ” จนทำให้ทั้ง ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ต่างขนลุกไปพร้อม ๆ กันในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (11 กุมภาพันธ์ 2568) ถ้าพร้อมแล้วก็ไปอ่านกันเลย!

‘ตั้ม The Shock’ ได้เล่าว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นในกลุ่ม Biker (กลุ่มของผู้ที่หลงใหลการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์) ของรุ่นน้องคุณตั้ม ในกลุ่มนี้จะมีรุ่นพี่อยู่คนหนึ่งชื่อว่า ‘พี่เอก’ และมีเพื่อนอีกคนที่ชื่อว่า ‘พี่ทัช’ ลักษณะนิสัยของ
พี่ทัชนั้นเป็นคนที่ไม่ค่อยกลัวอะไร เรียกได้ว่าเป็นผู้ชายโผงผาง
ทั้งคู่ได้มีการตกลงกันว่าจะขับรถมอเตอร์ไซค์ไปที่จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยไปทั้งหมด 2 คัน 3 คน เพราะพี่เอกพาแฟนสาวไปด้วย ส่วนพี่ทัชไปคนเดียว พอทั้งคู่ขับมอเตอร์ไซค์ไปถึงก็เป็นเวลาเย็นแล้ว จึงตัดสินใจที่จะกางเต็นท์ที่จุดชมวิว ช่วงนั้นเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว ทำให้บรรยากาศดีมาก ทั้งหมดจึงทานอาหารและนั่งเสพบรรยากาศกันสักพักก่อนที่แยกย้ายกันไปพักผ่อนตอนเวลาประมาณ 5 ทุ่ม
ในคืนแรกทุกอย่างก็ดูผ่านไปได้ด้วยดี เช้าวันต่อมา พี่เอกและแฟนตื่นนอนก่อน เวลาประมาณ 8 โมงเช้า แฟนของพี่เอกก็ได้บอกกับพี่เอกว่า
“พี่เอก ไปดูพี่ทัชหน่อยทำไมเขายังไม่ตื่น เป็นอะไรรึป่าว”
พี่เอกจึงตัดสินใจที่จะเดินไปที่เต็นท์ของพี่ทัช และพยายามเรียกเพื่อปลุก แต่เรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา ทำให้พี่เอกเดินกลับมาบอกกับแฟนว่า
“ให้ทัชนอนไปก่อน”
จากนั้น ทั้งคู่ก็ไปหาอะไรทานในตอนเช้า เวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง พี่ทัชก็ได้ตื่นขึ้น แต่สภาพกลับเหมือนคนที่นอนไม่พอ และพี่ทัชก็พูดขึ้นว่า
“เดี๋ยวเก็บของเสร็จ ขอคุยอะไรด้วยหน่อยนะ”
หลังจากที่ทำธุระทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะออกเดินทางพี่ทัชก็ได้เล่าว่า..
เมื่อคืนหลังจากที่แยกย้ายกันเข้านอน พี่ทัชได้ฝันว่า มีผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนไบเกอร์ทั่วไปได้เดินเข้ามาหาพี่ทัชและพี่เอก เพื่อพูดคุยถามไถ่ว่าเดินทางมาจากที่ไหนกัน พี่ทัชจึงตอบไปว่ามาจาก จังหวัดนนทบุรี หลังจากที่คุยกันได้สักพักผู้ชายคนนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า
‘อ่อ ถ้าจะกลับกันเมื่อไหร่ก็บอกด้วยนะครับ เดียวผมจะได้กลับด้วย’
พอสิ้นประโยคนั้น ผ่านไปได้ไม่นานทุกคนก็ได้แยกย้ายกันไปเข้านอน แต่ในขณะที่กำลังจะนอน พี่ทัชได้รู้สึกเหมือนมีใครบางคนเดินวนเวียนอยู่ที่บริเวณรอบ ๆ เต็นท์ และพูดประโยควนไปวนมาว่า
‘ผมกลับด้วยนะพี่ พรุ่งนี้ผมขอกลับด้วยได้ไหม’
จนตัวของพี่ทัชเริ่มรำคาญจึงได้ตอบไปว่า
‘เออ ๆ จะกลับก็กลับ ก็กลับด้วยกันเลย ไปนอน ๆ ไป ๆ’
หลังจากพี่ทัชตอบไปอย่างนั้น เสียงก็ได้เงียบไป ทำให้พี่ทัชสามารถนอนหลับได้
หลังจากเล่าความฝันจบ ทั้งสามก็ออกเดินทางอย่างเป็นทางการ
ในระหว่างทางลงเขา ทั้งคู่ก็ได้มีการจอดรถเพื่อถ่ายรูปเป็นระยะ ซึ่งช่วงที่ทั้งคู่ได้ไปเที่ยวเป็นช่วงปลายฝน ต้นหนาว จึงมีหมอกเป็นจำนวนมาก ภาพที่ถ่ายได้ออกมาก็สวยงามเหมือนกับขับมอเตอร์ไซค์ฝ่าออกมาจากหมอกหรืออุโมงค์ลม พอทั้งคู่ขับจนมาถึงด้านล่าง สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือหมอกที่ปกติควรมีอยู่แค่บริเวณเขา แต่กลับเหมือนหมอกกำลังไล่ตามรถมอเตอร์ไซค์ของพี่เอกและพี่ทัชลงมา แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรและคิดว่าคงเป็นในเรื่องของสภาพอากาศ
จนกระทั่งแวะกินอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อย พี่เอกสังเกตเห็นพี่ทัชทำท่าทางแปลก ๆ เหมือนพี่ทัชพยายามที่จะดูอะไรบางอย่างในโทรศัพท์ จนพี่เอกเกิดความสงสัยและได้เข้าไปถามว่า
“เห้ย พี่ดูอะไรอยู่อ่ะ ดู GPS หรอ”

แต่สิ่งที่พี่ทัชกำลังดูอยู่ไม่ใช่แผนที่ กลับเป็นรูปภาพที่ถ่ายไว้ด้านบน และสิ่งที่พี่เอกและพี่ทัชเห็นคือรูปถ่ายนั้นเหมือนมีเงาที่ลักษณะคล้ายกับใบหน้าคนปรากฎอยู่บริเวณด้านหลังของหมวกกันน็อค ซึ่งมันชัดเจนถึงขนาดว่าดูออกว่าเป็นหน้าคน!
หลังจากที่ดูรูปนั้นเสร็จ พี่ทัชที่เป็นคนที่ไม่ได้กลัวในเรื่องแบบนี้จึงไม่ได้คิดอะไร แต่กลับกัน พี่เอกเป็นคนที่ค่อนข้างซีเรียส จึงได้เดินไปที่มอเตอร์ไซค์ของตน และยกมือไหว้บอกว่า
“ใครก็ตามที่ตามมา ก็ขอให้ลงแค่ตรงนี้และไม่ต้องตามกลับไป เรามากันแค่ 3 คนก็ขอให้กลับแค่ 3 คน”
หลังจากที่พูดจบ พี่เอกก็นำสร้อยพระมาใส่ให้กับแฟน แต่พอพี่ทัชได้ยินแบบนั้น พี่ทัชก็ได้พูดขึ้นว่า
“ถ้าเอกไม่ให้กลับ ใครที่ตามมาก็มากลับกับพี่นี่”
หลังจากนั้น ทั้งสามก็ได้เดินทางออกจากร้านอาหารเป็นเวลาบ่าย 3 จนขับเข้ามาเกือบถึงกรุงเทพเป็นเวลา 6 โมงเย็น สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ หมอกที่ไม่ควรจะมีอยู่กลับยังตามรถมอเตอร์ไซค์ทั้ง 2 คันมาเรื่อย ๆ
พอขับไปได้สักพักพี่เอกก็ได้เห็นว่าพี่ทัชขับรถอยู่ดี ๆ ก็เบรกแล้วก็ขับต่อ เป็นอย่างนี้หลายต่อหลายครั้ง พี่เอกตัดสินใจขับไปด้านข้างของพี่ทัชแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พี่ทัชกลับตอบมาว่าไม่ได้มีอะไร ซึ่งพี่เอกก็รับรู้ได้ว่าเสียงของพี่ทัชแปลกไป พี่เอกจึงขับนำไปด้านหน้าก่อน แล้วให้พี่ทัชขับตาม แต่พี่เอกก็ยังสงสัยอยู่ว่าเมื่อสักครู่นี้เกิดอะไรขึ้น
ผ่านไปได้สักพัก พี่เอกก็เห็นว่าด้านหน้าของเขามีหมอกลงทำให้มองเห็นทุกอย่างได้ยากมาก จึงตัดสินใจเปิดหมวกกันน็อคขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าของคนที่เห็นในรูปถ่ายพุ่งผ่านไปทางด้านข้าง จนทำให้ต้องกำเบรคของมอเตอร์ไซค์ เหตุการณ์นี้ทำให้พี่เอกตัดสินใจชะลอความเร็วลง แต่ผ่านไปได้สักพักพี่เอกก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ขับมาด้วยความเร็ว แล้วค่อย ๆ เข้ามาข้าง ๆ ของตัวรถแล้วเร่งเครื่องใส่ ในตอนแรกพี่เอกคิดว่าอาจจะเป็นพี่ทัชแต่พอมองดี ๆ ก็ไม่ใช่ แล้วมอเตอร์ไซค์คันนั้นก็ได้ขับนำไป พี่เอกจึงตัดสินใจที่จะขับตามแต่แล้วมอเตอร์คันนั้นก็หยุดรถแล้วเลี้ยวซ้ายไปที่ทางแยก
พี่เอกหยุดรถเพื่อที่จะรอพี่ทัชขับตามมา แล้วก็ได้ถามพี่ทัชว่า
“จะเอายังไงกับมอเตอร์ไซค์คันนั้นดี”
เพราะนิสัยปกติของพี่ทัชมีความโผงผาง แต่วันนั้นพี่ทัชกลับบอกว่า
“ไม่ต้องตาม ปล่อย ๆ ไป”

จากนั้น ก็พากันกลับเข้าสู่เส้นทางเดิมเพื่อกลับบ้าน แต่แผนที่กลับไม่สามารถที่จะระบุตำแหน่งได้ชัดเจน พี่เอกและพี่ทัชจึงตัดสินใจที่จะเลี้ยวไปด้านซ้ายที่มอเตอร์ไซค์คันนั้นขับเข้าไป พอขับไปได้สักระยะ พี่เอกก็ได้รู้สึกว่าเส้นทางที่ขับเข้ามาค่อย ๆ เปลี่ยนไป บรรยากาศเริ่มมืดลง จึงหยุดรถอีกครั้งเพื่อที่จะพยายามเปิดแผนที่ใหม่อีกรอบ
ในตอนที่พี่เอกหยุดรถ พี่ทัชก็ได้เข้ามาถามว่า ทำไมถึงหยุดรถตรงนี้ เพราะจุดที่รถจอดอยู่เป็นบริเวณของหน้าวัดพอดี พอสังเกตเห็นดังนั้น ก็เริ่มได้ยินเสียงบางอย่าง เป็นเสียงดนตรีไทยที่ใช้บรรเลงในงานศพ หลังจากนั้นพี่ทัชก็คิดว่าควรจะแวะพักก่อนเพื่อเข้าห้องน้ำทำธุระ จึงขับเข้าไปในวัด ในระหว่างทางที่ขับเข้าไป พี่เอกก็ได้สังเกตุเห็นซากของรถมอเตอร์ไซค์ที่เหมือนกับว่าเคยเห็นมาก่อน พอสังเกตไปเรื่อย ๆ จึงได้รู้ว่ามอเตอร์ไซค์ที่เห็นอยู่คือ มอเตอร์ไซค์คันเดียวกันกับที่เจอเมื่อสักครู่ จากนั้นพี่เอกก็จอดรถ จุดตรงนั้นก็เป็นบริเวณที่อยู่ใกล้กับศาลาที่ทำพิธีศพ ได้มีน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาถามพี่เอกว่า
“อ้าวพี่ เป็นเพื่อนกับน้องคนที่เสียหรอ”
และด้วยความที่กำลังตกใจอยู่ พี่เอกก็ได้เดินตามเข้าไปด้านในศาลาด้วยความงุนงง และได้เห็นรูปถ่ายหน้าโลงศพนั้นว่าเป็นคนที่มีลักษณะเหมือนกับคนที่พี่ทัชได้เล่าว่าเจอในความฝัน หลังจากที่พี่ทัชกลับมาจากห้องน้ำ พี่เอกก็ได้เล่าทุกอย่างให้ฟังจนทำให้พี่ทัชตกใจจนเข่าทรุดกับพื้น และได้เข้าไปไหว้เพื่อที่จะขอขมาต่อสิ่งที่พูดหรือได้กระทำไปทั้งหมด..
(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)
รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่