“โรคงูสวัด” อันตรายกว่าที่คิด แพทย์ย้ำ อายุ 50+ และมีโรคร่วมเสี่ยงปัญหาสุขภาพร้ายแรง

Beauty & Health

“โรคงูสวัด” อันตรายกว่าที่คิด แพทย์ย้ำ อายุ 50+ และมีโรคร่วมเสี่ยงปัญหาสุขภาพร้ายแรง

18 มี.ค. 2025

แพทย์เตือนผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปและมีโรคร่วม เสี่ยงที่จะเป็นโรคงูสวัด ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น ปวดเส้นประสาทอย่างรุนแรงและยาวนาน ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ทั้งการนอน การทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน หากเกิดที่ใบหน้าหรือดวงตา อาจทำให้สูญเสียการมองเห็น หรือเกิดปัญหาทางระบบประสาทได้ ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำการป้องกันโรคและภาวะแทรกซ้อน

นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ สถาบันบำราศนราดูร กล่าวว่า ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป และมีโรคอื่นร่วมด้วยมีความเสี่ยงเป็นโรคงูสวัด อาจส่งผลต่อปัญหาสุขภาพร้ายแรงตามมา โดยเฉพาะอาการปวดเส้นประสาทที่อาจจะรุนแรงและยาวนานหลายเดือนหรือเป็นปี ส่งผลกระทบต่อการนอน การทำงาน ตลอดจนการใช้ชีวิตประจำวัน บางรายอาจเป็นภาวะซึมเศร้า รู้สึกโดดเดี่ยวจากการเก็บตัวจากสังคม นอกจากนี้ โรคงูสวัดยังอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังเกิดเป็นแผลเป็นถาวร หากเกิดที่ใบหน้าหรือดวงตาอาจทำให้สูญเสียการมองเห็น หรือเกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทบนใบหน้าได้ ในบางกรณีอาจนำไปสู่การเป็นโรคเส้นเลือดในสมองหรือกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

 

“ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีโอกาสเป็นโรคงูสวัดมากกว่าผู้ที่มีอายุน้อย เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายจะลดลง อีกประเด็นหนึ่ง คือ ผู้ที่มีอายุมากส่วนใหญ่จะมีโรคร่วมต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคที่จะต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันลดลง เมื่อมี 2 ปัจจัยนี้เข้ามาจึงทำให้ผู้สูงอายุเสี่ยงเป็นโรคงูสวัดมากขึ้น”  นพ. วีรวัฒน์ กล่าว

 

โรคงูสวัดเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับอีสุกอีใส แม้ว่าจะหายจากอีสุกอีใสแล้ว แต่เชื้อไวรัสไม่ได้หายไปยังคงแฝงตัวอยู่ในปมประสาท และสามารถกลับมาแสดงอาการได้อีกครั้งเมื่ออายุมากขึ้น เชื้อไวรัสตัวนี้จะออกมาใหม่ในรูปแบบของโรคงูสวัด โดยอาการจะแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะแรกจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน ควบคู่กับมีตุ่มน้ำใสขึ้นตามร่างกาย ทำให้เกิดแผล และระยะหลังจากแผลหายจะมีอาการปวดตามปลายประสาท โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุเยอะ รวมถึงผู้ที่มีโรคร่วม อาการปวดจะยิ่งรุนแรง และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

 

“แนวทางป้องกันโรคงูสวัด สามารถทำได้โดยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ได้แก่ การออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รักษาสุขอนามัย และการรับวัคซีนป้องกัน ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด 2 ชนิด ได้แก่ วัคซีนชนิดไม่ใช่เชื้อเป็น สามารถใช้ได้ตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปที่มีความเสี่ยงต่อโรคงูสวัดมากกว่าปกติ และวัคซีนชนิดเชื้อเป็นสำหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป การรับวัคซีนจะช่วยลดโอกาสเกิดโรคงูสวัด และหากเป็นโรคงูสวัดก็จะช่วยลดความรุนแรงของอาการและภาวะแทรกซ้อนได้" นพ. วีรวัฒน์ กล่าวสรุป

 

ข้อมูลอ้างอิง

1.       Harpaz, R., et al. (2008). MMWR, 57(RR-5), 1–CE4.

2.       Marra, F., Parhar, K., Huang, B., & Vadlamudi, N. (2020). Open forum infectious diseases, 7(1), ofaa005.

3.       Erskine, N., et al. (2017). PloS one, 12(7), e0181565.

4.       Forbes, H. J., et al (2016). Neurology, 87(1), 94–102.

related Beauty & Health

ปวดออฟฟิศซินโดรมรุนแรง กระดูกสันหลังอาจเสียถาวร

28 เม.ย. 2025

ปวดออฟฟิศซินโดรมรุนแรง กระดูกสันหลังอาจเสียถาวร

โรคยอดฮิตของชาวออฟฟิศก็คงจะเป็นโรคไหนไปไม่ได้ นอกจากออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) ที่เกิดจากการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรือใช้ท่าทางที่ไม่เหมาะสมในการทำงานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจึงส่งผลให้เกิดความผิดปกติของร่างกาย เริ่มจากปวดคอ บ่า ไหล่ลงมาที่หลัง เมื่อปล่อยไว้อาจทำให้กระดูกสันหลังเสื่อม หมองรองกระดูกปลิ้น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท และกระดูกสันหลังเสียหายได้ปวดหลังแบบไหนหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทปวดหลังเรื้อรังมากกว่า 1 – 3 เดือนปวดหลังร้าวลงขา กล้ามเนื้ออ่อนแรง ควบคุมการเดินไม่ได้จากการโดนกดทับเส้นประสาทปวดหลังร่วมกับความผิดปกติทางระบบประสาท เช่น ชา ขาอ่อนแรง ปัสสาวะ อุจจาระผิดปกติ ฯลฯทรงตัวได้ไม่ดี เดินลำบาก ทำกิจวัตรประจำวันไม่ได้เหมือนปกติตรวจวินิจฉัยหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทอย่างไร?เพราะอาการปวดหลังเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ควรตรวจเช็กกับแพทย์เฉพาะทางอย่างละเอียด หากแพทย์สงสัยว่ามีความเสี่ยงรุนแรงเพิ่มขึ้น อาจส่งตรวจ MRI เพื่อตรวจวินิจฉัยและหาแนวทางในการรักษาที่เหมาะสม โดยผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากแพทย์อาจแนะนำให้รับประทานยาและทำกายภาพบำบัด แต่หากผู้ป่วยมีอาการที่ค่อนข้างรุนแรง แพทย์อาจจะต้องแนะนำให้ผ่าตัดวิธีการรักษาหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทการรักษาหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมีหลายวิธี ประกอบด้วยการให้ยาเพื่อบรรเทาอาการ เป็นวิธีการรักษาในระยะแรกเริ่มเมื่อพบว่าเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทการทำกายภาพบำบัดร่วมด้วยในผู้ป่วยที่มีอาการ ช่วยปรับโครงสร้างร่างกายที่มีปัญหาให้กลับมาดีขึ้น รวมถึงการประคบร้อน การอัลตราซาวนด์ เลเซอร์ การช็อกเวฟ การดึงคอดึงหลัง ช่วยให้อาการปวดหรือออฟฟิศซินโดรมลดลง ทั้งนี้ต้องประเมินเพื่อเลือกการรักษาที่เหมาะสมโดยแพทย์เฉพาะทางการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าโพรงไขสันหลัง เพื่อลดอาการปวดการผ่าตัดหมอนรองกระดูกผ่านกล้อง แผลผ่าเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวได้เร็ว โดยแพทย์ผู้ชำนาญการจะตรวจวินิจฉัยและเลือกแนวทางการรักษา รวมถึงเทคนิคการผ่าตัดที่เหมาะกับผู้ป่วยมากที่สุด โดยคำนึงถึงการรักษาที่เน้นการแก้ปัญหาที่สาเหตุเป็นหลักปรับพฤติกรรมก่อนกระดูกสันหลังเสียอย่านั่งนาน ลุกขึ้นยืดเส้นยืนสายให้บ่อยทุก 1 ชั่วโมงยืดกล้ามเนื้อเพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อตึงเกินไปจนปวดปรับท่านั่งให้ถูกต้อง ปรับอุปกรณ์ออฟฟิศให้เหมาะกับร่างกายหลีกเลี่ยงการยกของหนักหลีกเลี่ยงกิจกรรมการก้มหรือแอ่นหลังที่มากเกินไปออกกำลังกายสม่ำเสมอเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อหากปวดจากออฟฟิศซินโดรมที่ไม่รุนแรงเมื่อปรับพฤติกรรมมักดีขึ้นหรือหายได้ในเวลาไม่นานแต่ในกรณีที่อาการแย่ลงและกระทบกับการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธี

โนโรไวรัส (Norovirus) ตัวการท้องเสียระบาดในเจ้าตัวเล็ก

10 ม.ค. 2025

โนโรไวรัส (Norovirus) ตัวการท้องเสียระบาดในเจ้าตัวเล็ก

โนโรไวรัส (Norovirus) เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร ไวรัสชนิดนี้ระบาดได้ง่าย และรวดเร็วแม้ร่างกายได้รับเชื้อในปริมาณเพียงเล็กน้อย ที่สำคัญทนต่อความร้อน และน้ำยาฆ่าเชื้อต่าง ๆ ได้ดี ดังนั้นเมื่อเกิดการปนเปื้อนของโนโรไวรัสในอาหาร และน้ำดื่ม จึงทำให้เกิดอาการท้องเสีย อาเจียน และสามารถติดต่อกันได้ง่าย เนื่องจากใช้เวลาเพียงไม่นานในการแพร่กระจายเชื้อ ไวรัสนี้พบระบาดได้มากในฤดูหนาว ติดต่อได้ง่ายในสภาพอากาศเย็น และทำให้เกิดโรคทั้งในเด็กและผู้ใหญ่อาการที่พบบ่อยหากได้รับเชื้อโนโรไวรัสภายใน 24 – 48 ชั่วโมง ได้แก่ถ่ายเหลวเป็นน้ำปวดท้องคลื่นไส้อาเจียนปวดศีรษะไข้ต่ำปวดเมื่อยตามร่างกายอ่อนเพลียการตรวจและรักษาตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อโนโรไวรัส ทำได้โดยการเก็บตัวอย่างอุจจาระเพื่อส่งตรวจพิเศษกับห้องปฏิบัติการ หากพบว่าติดเชื้อโนโรไวรัส แพทย์จะทำการดูแลรักษาตามอาการเป็นสำคัญ หากเด็กมีภูมิต้านทานที่ดีอาการจะดีขึ้นและหายได้เองภายใน 2 – 3 วันแต่หากเด็กเกิดการขาดน้ำอาจทดแทนด้วยการดื่มน้ำเกลือแร่หรือการให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด รับประทานอาหารอ่อน ๆ หรือให้ยาแก้อาเจียน และยาแก้ปวดท้อง แต่ถ้าเด็กภูมิต้านทานต่ำ มีอาการรุนแรงถึงขั้นถ่ายตลอดเวลาต้องนำส่งโรงพยาบาลทันทีและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะอาจเกิดการช็อก ความดันต่ำ และเสียชีวิตได้การติดต่อของโรครับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโนโรไวรัส พบบ่อยในน้ำดื่ม น้ำแข็ง ผักผลไม้สด หอยนางรม เป็นต้นเด็กจับหรือสัมผัสกับสิ่งของที่มีเชื้อโนโรไวรัสแล้วเอานิ้วเข้าปากสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรงป้องกันระวังติดเชื้อก่อนทานหรือหยิบจับอาหารและหลังเข้าห้องน้ำต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งการล้างมือให้สะอาดต้องล้างด้วยน้ำสบู่ โดยให้น้ำไหลผ่านไม่ต่ำกว่า 15 วินาทีดื่มน้ำที่สะอาด เลือกรับประทานอาหารที่สุก สะอาด สดใหม่เลี่ยงการหยิบจับหรือทำอาหารให้ผู้อื่นใช้ช้อนกลางหากต้องรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่นเพราะเชื้อโนโรไวรัสสามารถติดต่อได้ง่าย และปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน รวมถึงยังไม่มียาที่กำจัดเชื้อไวรัสชนิดนี้โดยเฉพาะ จึงควรดูแลเจ้าตัวเล็กอย่างใกล้ชิดในเรื่องของการรับประทานอาหาร และน้ำดื่มที่สะอาด ที่สำคัญล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง คือสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ห่างไกลจากเชื้อโนโรไวรัสขอขอบคุณข้อมูลจาก Bangkok Hospital โรงพยาบาลกรุงเทพ

ไวรัส RSV ในผู้สูงวัย อันตรายกว่าที่คิด

13 ม.ค. 2025

ไวรัส RSV ในผู้สูงวัย อันตรายกว่าที่คิด

ไวรัส RSV พบในเด็กเป็นส่วนใหญ่ แต่ในผู้สูงวัยก็สามารถติดเชื้อ RSV ได้เช่นกัน หากผู้สูงอายุติดเชื้อ RSV จึงมีความเสี่ยงที่จะพบภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตมากกว่าวัยอื่น การฉีดวัคซีนป้องกัน RSV ในผู้สูงวัยจึงเป็นเรื่องสำคัญไม่ควรละเลยทำไมผู้สูงอายุถึงติดเชื้อ RSVสาเหตุของการติดเชื้อ RSV ในผู้สูงวัยส่วนใหญ่มักมาจากภูมิคุ้มกันที่เสื่อมลงตามธรรมชาติ ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายการมีโรคประจำตัวเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคปอด โรคหอบหืด และโรคหัวใจ เมื่อได้รับเชื้อ RSV เข้าไปสู่ร่างกายมีโอกาสรุนแรงมากขึ้นอาการเมื่อติดเชื้อ RSV ในผู้สูงวัยไข้ ไอแห้ง ไอเรื้อรังคัดจมูก น้ำมูกไหลเหนื่อยง่าย อ่อนแรง เหนื่อยล้าหายใจถี่เบื่ออาหารเพ้อ สับสนการรักษา RSV ในผู้สูงวัยไม่มียารักษาโรค RSV โดยเฉพาะ ต้องใช้การรักษาตามอาการ ในกรณีที่อาการไม่รุนแรงให้กินยาลดไข้ ยาละลายเสมหะ พักผ่อนให้เพียงพอ แต่ถ้าหากมีอาการรุนแรง ต้องรีบไปพบแพทย์ทันทีภาวะแทรกซ้อน หากติดเชื้อ RSV ในผู้สูงวัยหากผู้สูงวัยติดเชื้อ RSV อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้คือ ปอดอักเสบ ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือมีภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้นเราสามารถป้องกัน เชื้อ RSV ได้อย่างไรล้างมือให้สะอาดเลี่ยงสัมผัสตา จมูก ปากด้วยมือที่ไม่สะอาดสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกไปพบเจอคนเยอะ ๆไม่ใช้ของส่วนตัวกับผู้อื่นฉีดวัคซีนป้องกัน RSVออกกำลังกายสม่ำเสมอพักผ่อนให้เพียงพอขอขอบคุณข้อมูลจาก Bangkok Hospital โรงพยาบาลกรุงเทพ

ความแตกต่างของการดื่มชาเขียวแต่ละแบบ

04 มี.ค. 2025

ความแตกต่างของการดื่มชาเขียวแต่ละแบบ

ความแตกต่างของการดื่มชาเขียวแต่ละแบบ ชาเขียวมีหลายประเภท และแต่ละแบบก็มีความแตกต่างทั้งในเรื่องของรสชาติ วิธีการผลิต และประโยชน์ต่อสุขภาพขอบคุณภาพจาก matchazuki1. ชาเขียวญี่ปุ่น vs. ชาเขียวจีน ชาเขียวจีนและชาเขียวญี่ปุ่นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของ กระบวนการผลิต, สี, รสชาติ และวิธีการชง ซึ่งส่งผลต่อประสบการณ์การดื่มชาอย่างมาก1. กระบวนการผลิตชาเขียวญี่ปุ่น ใช้วิธี นึ่งด้วยไอน้ำ ทันทีหลังเก็บเกี่ยว เพื่อหยุดกระบวนการออกซิเดชัน ทำให้ใบชาคงความสดและมีสีเขียวเข้มชาเขียวจีน ใช้วิธี คั่วในกระทะหรืออบแห้ง ทำให้เกิดกลิ่นหอมของการคั่ว และสีของใบชาเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง2. สีของน้ำชาชาเขียวญี่ปุ่น มักให้สีน้ำชา เขียวสดใส เนื่องจากกระบวนการนึ่งช่วยรักษาสารคลอโรฟิลล์ชาเขียวจีน มักให้สีน้ำชา เขียวอมเหลืองหรือทองอ่อนๆ จากกระบวนการคั่ว3. รสชาติและกลิ่นชาเขียวญี่ปุ่น มีรสชาติ สดชื่น อ่อนนุ่ม หวานนิดๆ และมีกลิ่นหญ้าอ่อนๆชาเขียวจีน มีรสชาติ หอมคั่ว กลมกล่อม ฝาดเล็กน้อย และซับซ้อนกว่าชาเขียวญี่ปุ่น4. วิธีการชงชาเขียวญี่ปุ่น มักใช้ น้ำอุณหภูมิต่ำกว่า (ประมาณ 60-80°C) เพื่อไม่ให้รสขมเกินไปชาเขียวจีน สามารถชงด้วย น้ำร้อนกว่า (ประมาณ 80-90°C) โดยนิยมใช้ถ้วยชาแบบจีน (Gaiwan) หรือกาน้ำชา5. ตัวอย่างชาแต่ละประเภทชาเขียวญี่ปุ่น: เซนฉะ (Sencha), มัทฉะ (Matcha), เกียวคุโระ (Gyokuro), โฮจิฉะ (Hojicha)ชาเขียวจีน: หลงจิ่ง (Longjing), ปิหลัวชุน (Biluochun), จู๋เย่ฉิง (Zhuyeqing)2. ชาเขียวมัทฉะ vs. ชาเขียวทั่วไป ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่มีหลายประเภท โดยหนึ่งในความแตกต่างที่สำคัญคือ มัทฉะ (Matcha) และชาเขียวทั่วไป (Loose Leaf Green Tea) ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งใน กระบวนการผลิต, วิธีดื่ม, ปริมาณสารอาหาร และรสชาติ1. กระบวนการผลิตมัทฉะ ทำจากใบชาอ่อนที่ถูกบดเป็นผงละเอียด โดยก่อนเก็บเกี่ยว ต้นชาจะถูกคลุมไว้ประมาณ 3-4 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์และกรดอะมิโน ทำให้ชาได้รสชาติหวานกลมกล่อมและสีเขียวสดใสชาเขียวทั่วไป มักใช้ใบชาทั้งใบและผ่านกระบวนการอบแห้ง ไม่ได้นำมาบด ทำให้สารอาหารบางส่วนละลายออกมาในน้ำเมื่อชง แต่ไม่ได้รับประทานใบชาโดยตรง2. วิธีการดื่มมัทฉะ ถูกนำมาผสมกับน้ำและตีให้เข้ากัน ทำให้ได้เนื้อสัมผัสที่เข้มข้นและได้รับสารอาหารจากใบชาเต็มที่ชาเขียวทั่วไป ชงโดยแช่ใบชาลงในน้ำร้อน จากนั้นกรองใบชาออก ทำให้ได้รับสารอาหารเพียงบางส่วนที่ละลายในน้ำ3. ปริมาณสารอาหารและคาเฟอีนมัทฉะ มีคาเฟอีนสูงกว่าชาเขียวทั่วไป เนื่องจากบริโภคทั้งใบชา จึงให้พลังงานและสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าชาเขียวทั่วไป มีคาเฟอีนต่ำกว่า เพราะเพียงแช่ใบชาในน้ำ ไม่ได้รับใบชาโดยตรง4. รสชาติและกลิ่นมัทฉะ มีรสชาติ เข้มข้น ขมนิดๆ แต่กลมกล่อม พร้อมกลิ่นหอมของชาชาเขียวทั่วไป มีรสชาติ เบากว่า สดชื่นกว่า และอาจมีความหวานอ่อนๆ ขึ้นอยู่กับชนิดของชา3. ชาเขียวร้อน vs. ชาเขียวเย็น (ใส่น้ำแข็ง/ขวดพร้อมดื่ม) ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่สามารถดื่มได้ทั้งแบบ ร้อน และ เย็น แต่หลายคนอาจสงสัยว่าทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร ทั้งในแง่ของ รสชาติ, คุณค่าทางสารอาหาร และผลต่อสุขภาพ1. วิธีการชงและอุณหภูมิชาเขียวร้อน ชงโดยใช้ น้ำร้อน (60-80°C) และดื่มในขณะที่ยังอุ่นอยู่ ทำให้รสชาติของชาเข้มข้นและกลิ่นหอมชัดเจนชาเขียวเย็น อาจมาจากการ ชงร้อนแล้วปล่อยให้เย็น หรือ ชงเย็นโดยใช้น้ำเย็นแช่ใบชา (Cold Brew) ซึ่งให้รสชาติที่นุ่มและสดชื่น2. คุณค่าทางสารอาหารชาเขียวร้อน มี สารต้านอนุมูลอิสระ (เช่น EGCG) สูงกว่า เพราะสารเหล่านี้ละลายในน้ำร้อนง่ายกว่าชาเขียวเย็น โดยเฉพาะชาเขียวขวดหรือชาเย็นที่ขายทั่วไป มักมีน้ำตาลสูง หรืออาจผ่านการแปรรูป ทำให้คุณค่าทางสารอาหารลดลง3. รสชาติและกลิ่นชาเขียวร้อน มีรสชาติที่ เข้มข้น, หอมชัด และอาจมีความขมนิดๆชาเขียวเย็น มีรสชาติที่ อ่อนกว่า, สดชื่น และดื่มง่ายกว่า โดยเฉพาะชาเขียวขวดที่มักมีรสหวานจากการเติมน้ำตาล4. ผลต่อสุขภาพชาเขียวร้อน ช่วย กระตุ้นระบบเผาผลาญ, ลดไขมัน และให้ประโยชน์สูงสุดจากชาชาเขียวเย็น โดยเฉพาะชาเขียวขวดหรือใส่น้ำแข็ง อาจมีน้ำตาลสูง ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เช่น น้ำหนักขึ้น หรือระดับน้ำตาลในเลือดสูงสรุป หากคุณต้องการดื่มชาเขียวเพื่อสุขภาพ ชาเขียวร้อนที่ไม่เติมน้ำตาล คือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะจะคงคุณค่าสารต้านอนุมูลอิสระได้สูงสุด สำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานและสารอาหารที่เข้มข้นขึ้น มัทฉะ คือตัวเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นการบริโภคทั้งใบชา ทำให้ได้รับสารอาหารมากกว่า หากคุณชื่นชอบรสชาติที่หอมคั่วแบบดั้งเดิม ชาเขียวจีน เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ ด้วยกระบวนการคั่วที่ทำให้ได้กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ในขณะที่ ชาเขียวเย็น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสดชื่นและรสชาติที่อ่อนโยนกว่าผู้เขียน : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี