แนะนำการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio) ลดไขมันกระตุ้นหัวใจ

Beauty & Health

แนะนำการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio) ลดไขมันกระตุ้นหัวใจ

29 ส.ค. 2025

     การออกกำลังกายมีหลากหลายรูปแบบที่สามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพร่างกาย แต่ในวันนี้เราจะมาพูดถึงการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio) ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบการออกกำลังกายลดไขมันที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการลดไขมันและกระตุ้นการทำงานของหัวใจ การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของระบบหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยลดไขมันสะสมในร่างกาย ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและสุขภาพดีขึ้นในระยะยาว แม้ว่าเราจะได้ยินคำว่า “คาร์ดิโอ” บ่อยครั้งในวงการออกกำลังกาย แต่หลายคนก็ยังไม่ทราบถึงความหมายและประโยชน์ที่แท้จริงของการออกกำลังกายประเภทนี้ วันนี้ Chill on กินเที่ยว จะพาคุณไปรู้จักกับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอให้มากขึ้น รวมถึงประเภทต่าง ๆ ของคาร์ดิโอที่คุณสามารถเลือกทำได้ตามความต้องการของร่างกาย

ปัญหาเหนื่อยง่าย จากการออกกำลังกายน้อย

     หลายคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ มักจะพบปัญหาการเหนื่อยง่าย หรือหายใจถี่เมื่อทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรง เช่น การเดินเร็ว หรือการขึ้นบันได หากไม่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ร่างกายอาจจะไม่สามารถปรับตัวกับความต้องการของระบบหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างเต็มที่ ทำให้มีอาการเหนื่อยง่าย ซึ่งเป็นสัญญาณของการที่หัวใจและหลอดเลือดทำงานไม่เต็มที่ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio) สามารถช่วยปรับสมดุลของร่างกาย ปรับปรุงการทำงานของระบบหัวใจและเพิ่มความทนทานให้กับร่างกาย
 

การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio) คืออะไร

     การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio) คือการออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างต่อเนื่อง เช่น การวิ่ง, เดินเร็ว, ปั่นจักรยาน หรือการว่ายน้ำ ซึ่งช่วยให้หัวใจทำงานหนักขึ้นและกระตุ้นระบบการไหลเวียนเลือดให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น การออกกำลังกายประเภทนี้จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการลดไขมันในร่างกายการออกกำลังกายคาร์ดิโอจะช่วยให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

คาร์ดิโอ มีกี่ประเภท

     การออกกำลังกายคาร์ดิโอมีหลายประเภท ซึ่งสามารถเลือกทำได้ตามความชอบและความเหมาะสมของร่างกาย โดยแต่ละประเภทจะมีการใช้ความหนักเบาของการออกกำลังกายที่แตกต่างกันไป ประเภทของคาร์ดิโอที่คุณสามารถเลือกทำได้ มีดังนี้

          1. คาร์ดิโอประเภท LISS (Low Intensity Steady State)     

     LISS เป็นการคาร์ดิโอที่ใช้การออกแรงในระดับต่ำ ไม่มีการกระแทกมากนัก โดยจะออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ใช้เวลาประมาณ 45-60 นาทีต่อครั้ง หรือ 200-300 นาทีต่อสัปดาห์ โดยรักษาระดับการเต้นของหัวใจให้อยู่ในระดับคงที่ประมาณ 50-65% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด การคาร์ดิโอแบบ LISS เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นออกกำลังกาย หรือผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก และไม่ชอบการออกกำลังกายหนักๆ เช่น การเดินเร็ว การปั่นจักรยานเบา ๆ หรือการว่ายน้ำ เป็นต้น โดยจะช่วยเสริมการทำงานของระบบหัวใจและปอด ช่วยในการเผาผลาญไขมัน และลดความเสี่ยงของอาการบาดเจ็บจากการออกกำลัง

          2. กายคาร์ดิโอประเภท MISS (Moderate Intensity Steady State) 

     MISS คือการออกกำลังกายที่มีระดับความเข้มข้นปานกลาง โดยรักษาอัตราการเต้นของหัวใจให้อยู่ที่ 60-70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด การออกกำลังกายประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและไม่มีโรคประจำตัว เช่น การวิ่งจ็อกกิ้ง การเต้นแอโรบิก หรือการปั่นจักรยานด้วยความเร็วปานกลาง ผู้ที่ออกกำลังกายประเภทนี้มักจะออกกำลังกายเป็นระยะเวลาประมาณ 30-45 นาทีต่อครั้ง หรือประมาณ 150 นาทีต่อสัปดาห์ การคาร์ดิโอประเภท MISS ช่วยเสริมความแข็งแรงของระบบหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มความทนทานของร่างกาย และช่วยลดไขมันสะสมในร่างกายได้ดี

          3. คาร์ดิโอประเภท HIIT (High Intensity Interval Training)     

     HIIT คือการออกกำลังกายที่มีการใช้แรงในระดับสูงในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ โดยจะทำการออกกำลังกายอย่างหนักในช่วงเวลา 20-30 วินาที ตามด้วยการพักผ่อนหรือการออกกำลังกายที่มีความหนักเบาต่ำในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะกลับไปออกกำลังกายอย่างหนักอีกครั้ง ซึ่งการออกกำลังกายแบบ HIIT จะทำให้การเต้นของหัวใจสูงถึง 90% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด

คาร์ดิโอดีต่อระบบการไหลเวียนเลือด และหัวใจอย่างไร

     การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio) ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดและสุขภาพหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเราออกกำลังกายคาร์ดิโอ ร่างกายจะมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อให้เลือดไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อและอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายมากขึ้น การทำเช่นนี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือด ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น การออกกำลังกายคาร์ดิโอยังช่วยลดความดันโลหิต และลดระดับไขมันในเลือด ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดได้ การออกกำลังกายคาร์ดิโอจึงเป็นการป้องกันการเกิดโรคเรื้อรังที่อาจเกิดจากการที่ร่างกายขาดการเคลื่อนไหวหรือไม่ออกกำลังกายเป็นระยะเวลานาน

ข้อควรระวังในการออกกำลังกายคาร์ดิโอ

     แม้ว่าการออกกำลังกายคาร์ดิโอจะเป็นการออกกำลังกายที่ดี แต่ก็มีข้อควรระวังบางประการที่ควรพิจารณาก่อนเริ่มต้นออกกำลังกายคาร์ดิโอ

  • ไม่ควรออกกำลังกายหนักเกินไป – สำหรับผู้ที่เริ่มต้นการออกกำลังกายคาร์ดิโอ ควรเริ่มต้นด้วยการออกกำลังกายเบา ๆ ก่อน และค่อย ๆ เพิ่มระดับความเข้มข้นของการออกกำลังกายเมื่อร่างกายเริ่มปรับตัว
  • ให้ร่างกายพักผ่อนเพียงพอ – ควรให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเพียงพอระหว่างวัน เพราะการออกกำลังกายหนักติดต่อกันหลายวันโดยไม่มีการพักผ่อน อาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้
  • ระมัดระวังเรื่องอุปกรณ์ – หากออกกำลังกายคาร์ดิโอที่ต้องใช้อุปกรณ์ เช่น การปั่นจักรยานหรือการวิ่ง ควรตรวจสอบอุปกรณ์ให้พร้อมใช้งาน และมั่นใจว่าอุปกรณ์นั้นเหมาะสมกับสภาพร่างกายของเรา

สรุป

     การออกกำลังกายคาร์ดิโอเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการปรับปรุงสุขภาพหัวใจ ลดไขมันในร่างกาย และเพิ่มความทนทานของร่างกาย คุณสามารถเลือกทำการออกกำลังกายคาร์ดิโอในรูปแบบที่เหมาะสมกับตัวเองได้ เช่น การวิ่ง การเดินเร็ว หรือการปั่นจักรยาน ทั้งนี้เพื่อให้การออกกำลังกายคาร์ดิโอมีประสิทธิภาพมากที่สุด ควรทำอย่างสม่ำเสมอ และคำนึงถึงการพักผ่อนให้เพียงพอหากคุณสนใจเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย และเคล็ดลับสุขภาพต่างๆ สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ Atime ที่มีบทความดี ๆ และข้อมูลที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะหน้า Chill On กินเที่ยว ที่รวบรวมเรื่องกินเที่ยวและสุขภาพไว้ให้คุณได้อ่านและค้นพบความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ

จัดทำโดย : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี

related Beauty & Health

กระแสชาเขียวฟีเวอร์จนขาดตลาด นอกจากอร่อยแล้วมีประโยชน์ยังไง

12 ก.ย. 2025

กระแสชาเขียวฟีเวอร์จนขาดตลาด นอกจากอร่อยแล้วมีประโยชน์ยังไง

ในช่วงปี 2025 ที่ผ่านมา หนึ่งในกระแสที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายคงหนีไม่พ้นชาเขียว ที่กลับมาเป็นกระแสฟีเวอร์อีกครั้ง ด้วยความฮิตจากเมนูใหม่ ๆ ของร้านแฟรนไชส์เครื่องดื่มชื่อดัง การรีวิวบนโซเชียลมีเดีย และเทรนด์สุขภาพที่กลับมาครองใจคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานที่เริ่มใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จากร้านกาแฟธรรมดาไปจนถึงคาเฟ่เฉพาะทาง หลายร้านถึงกับต้องขึ้นป้าย "ชาเขียวหมดชั่วคราว" เนื่องจากออร์เดอร์ที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด ขณะเดียวกันชาเขียวก็ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องดื่มหอมอร่อยเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยคุณประโยชน์ที่หลายคนอาจยังไม่รู้ วันนี้ Chill On กินเที่ยวจะพาไปทำความรู้จักกับชาเขียวในมิติต่าง ๆ ทั้งรสชาติ เกรด ประโยชน์ เมนูน่าสนใจ รวมถึงคาเฟ่เด็ด ๆ ที่ต้องลองสักครั้งชาเขียว มีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย เราควรกินชาเขียวแบบไหนดี เพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุด เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย เพราะชาเขียวไม่ได้มีดีแค่กลิ่นหอมและรสชาติละมุน แต่ยังเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และคุณค่าทางโภชนาการที่ดีต่อร่างกาย โดยเฉพาะชาเขียวแบบไม่ใส่น้ำตาล หรือที่เรียกกันว่าชาเขียวแท้ ประโยชน์ของชาเขียวมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด - สารโพลีฟีนอลในชาเขียวช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL และป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดกระตุ้นระบบเผาผลาญ - คาเฟอีนและแคทิชินในชาเขียวช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนักลดความเสี่ยงมะเร็ง - สารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวอาจช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิดดีต่อสุขภาพฟันและลมหายใจ - สาร EGCG ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก ทำให้ลมหายใจสดชื่น และลดการเกิดฟันผุช่วยคลายเครียดและเพิ่มสมาธิ - ธีอะนีน (Theanine) ซึ่งพบได้ในชาเขียว มีคุณสมบัติช่วยให้สมองผ่อนคลายแต่ยังคงตื่นตัวประเภทรสชาติ(โทน)ของชาเขียว มีแบบไหนบ้างโทนสาหร่าย - เป็นชาเขียวมัทฉะ ที่มีความโดดเด่นในกลิ่นของสาหร่าย และกลิ่นหญ้าโทนถั่ว - เป็นชาเขียวมัทฉะ ที่ค่อนข้างได้รับความนิยม เนื่องจากมีกลิ่นหอมคล้ายถั่ว โดดเด่นในด้านความหอมละมุนชาเขียวมีกี่เกรด 1. Ceremonial Grade (เกรดพิธีการ) - ชาเขียวระดับสูงสุดที่ใช้ในพิธีชงชาของญี่ปุ่น เป็นมัทฉะที่ทำจากยอดอ่อนของใบชาเท่านั้น ผ่านกระบวนการบดด้วยหินแบบดั้งเดิม ทำให้ได้เนื้อผงที่ละเอียดพิเศษจนแทบละลายได้เองในน้ำร้อน รสชาติหอมละมุน ไม่ขม ไม่ฝาด 2. Premium Grade (เกรดพรีเมียม) - เกรดนี้จัดอยู่ในระดับสูงรองจากเกรดพิธีการ แต่ยังคงใช้ใบชาคุณภาพดี ผสมยอดใบอ่อน และมีกระบวนการผลิตที่รักษาคุณลักษณะของมัทฉะไว้ได้ดี มักนิยมใช้ในชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่นทั่วไป มีสีเขียวสดแต่น้อยกว่าเกรดพิธีการ มีกลิ่นหญ้าอ่อน ๆ แบบธรรมชาติ 3. Culinary Grade (เกรดทำอาหาร) - เกรดนี้ถือเป็นชาเขียวสำหรับการปรุงอาหาร นิยมใช้ทำขนม เบเกอรี่ หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมอื่น ๆ เพิ่มเติม เพราะมีรสเข้มที่ไม่โดนกลบง่าย ราคาไม่สูงมาก รสขมฝาด และอาจมีกลิ่นแรงแนะนำเมนูชาเขียวที่น่าสนใจ ทำเองได้ สำหรับผู้ที่อยากสนุกกับการดื่มชาเขียวแบบ DIY ที่บ้าน ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์บาริสต้าหรือวัตถุดิบหรูหราแต่อย่างใด เพราะมีเมนูชาเขียวหลากหลายแบบที่ทำง่าย ใช้วัตถุดิบไม่มาก และยังได้รสชาติอร่อยไม่แพ้ร้านคาเฟ่ดัง แถมยังสามารถปรับสูตรได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะหวานมาก หวานน้อย หรือเพิ่มความครีมมี่ด้วยนมชนิดต่าง ๆ สำหรับเมนูชาเขียวแบบทำเองที่คัดมาแล้วว่าอร่อย สดชื่น และสุขภาพดี มีดังนี้ 1. ชาเขียวเย็นสูตรน้ำผึ้งมะนาว - เมนูนี้เหมาะมากสำหรับหน้าร้อน หรือวันที่คุณต้องการความสดชื่นแบบไม่หวานจัด โดยใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาลให้ได้ความหวานจากธรรมชาติ วิธีทำ: ผสมผงชาเขียว 1 ช้อนชากับน้ำร้อนประมาณ 100 มล. คนให้ละลาย กรองเอาแต่น้ำเพื่อให้ได้รสชาติใสสะอาด จากนั้นเติมน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนชา และน้ำมะนาวเล็กน้อย คนให้เข้ากัน ใส่น้ำแข็ง ดื่มทันที หรือจะแช่เย็นไว้ก่อนก็ดี ดื่มแล้วสดชื่น คลายร้อนได้ดีเยี่ยม 2. มัทฉะลาเต้เย็น -เมนูยอดนิยมที่พบได้ในทุกคาเฟ่ แต่รู้ไหมว่าคุณสามารถทำเองที่บ้านได้แบบง่าย ๆ ด้วยวัตถุดิบเพียงไม่กี่อย่าง และยังเลือกปรับสูตรให้เป็นแนวสุขภาพมากขึ้นด้วย วิธีทำ: ผสมผงมัทฉะ 1 ช้อนชากับน้ำร้อนเล็กน้อย (ประมาณ 50 มล.) คนให้ละลาย จากนั้นเติมนมสดหรือนมอัลมอนด์ประมาณ 150-200 มล. ใส่น้ำแข็ง และเติมไซรัปหรือน้ำเชื่อมเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหวานตามชอบ หากต้องการให้เข้มข้นกว่านี้ อาจใช้ครีมเทียมหรือวิปครีมเป็นท็อปปิ้งก็ได้ 3. สมูทตี้ชาเขียวกล้วยหอม - เมนูสายสุขภาพที่ได้ทั้งพลังงานดี ๆ และรสชาติหอมมันกลมกล่อมจากกล้วยหอมและชาเขียว เหมาะสำหรับเป็นมื้อเช้าหรือดื่มหลังออกกำลังกาย วิธีทำ: นำกล้วยหอมแช่แข็ง 1 ลูก ผงชาเขียว 1 ช้อนชา นมสดหรือโยเกิร์ต ½ ถ้วย และน้ำแข็งเล็กน้อย ใส่ลงในเครื่องปั่น ปั่นจนเนียนละเอียด เสิร์ฟใส่แก้ว สามารถเพิ่มเมล็ดเจียหรือข้าวโอ๊ตบดเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหารได้อีกด้วย 4. พุดดิ้งชาเขียว - ของหวานที่ทำง่ายแต่ดูดี เหมาะทั้งทำกินเองในครอบครัวหรือเสิร์ฟในมื้อพิเศษ โดยใช้ผงเจลาตินช่วยให้เนื้อขนมจับตัวแต่ยังคงความนุ่มนวล วิธีทำ: ละลายผงเจลาตินประมาณ 1 ช้อนชาในน้ำอุ่น ผสมกับนมสด 1 ถ้วย ผงชาเขียว 1 ช้อนชา และน้ำตาลเล็กน้อย จากนั้นคนให้เข้ากัน ตั้งไฟอ่อนให้พอร้อนแต่ไม่เดือด เทใส่ถ้วยหรือพิมพ์ที่เตรียมไว้ พักให้เย็นแล้วแช่ตู้เย็นประมาณ 2 ชั่วโมงจนเซตตัว เสิร์ฟพร้อมวิปครีม หรือถั่วแดงกวนก็อร่อยไม่แพ้กันคาเฟ่ชาเขียวที่ได้รับความนิยมชาหน้าผา - คาเฟ่ชาเขียวที่กำลังเป็นกระแสจากเขาใหญ่ ซึ่งตอนนี้มาเปิดสาขาที่กรุงเทพ ฯ แล้ว มีเมนูชาเขียวและไอศกรีมให้เลือกหลากหลายแบบKyo Roll En - ร้านขนมหวานที่หลายคนคุ้นเคย เนื่องจากตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้า มีเมนูชาเขียวมากมาย โดยเฉพาะเค้กโรลชาเขียวFuku Matcha - ร้านชาที่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้ม กินแล้วตาสว่างไปถึงเช้า แน่นอนว่าเมนูชาเขียวก็เข้มข้นถึงใจ ดื่มแล้วลืมไม่ลง จนอยากไปซ้ำPeace Oriental Teahouse - ร้านโปรดในดวงใจของใครหลายคน ด้วยเมนูชาเขียวมัทฉะเข้มข้นหลากหลายแบบMini Oriental speedbar - ร้านมัทฉะเครือเดียวกันกับ Peace Oriental speedbar ที่สำคัญคือ ทุกเมนูในร้านราคา 65 บาทเท่านั้นSeven Suns - ร้านชาเขียวมัทฉะที่แอดชอบมากที่สุด รสชาติเข้มข้น แต่ก็มีความกลมกล่อม หอมหวาน สาวกชาเขียวต้องได้ลองกันสักครั้งหนึ่งในชีวิตสรุป จากกระแสชาเขียวที่ฟีเวอร์จนขาดตลาด ทำให้เห็นได้ชัดว่าเครื่องดื่มชนิดนี้ไม่ได้เป็นเพียงแฟชั่นชั่วคราว แต่เป็นเทรนด์ที่ผสมผสานระหว่างความอร่อย ความสุข และสุขภาพได้อย่างลงตัว การตัดสินใจว่าจะกินชาเขียวแบบไหนดี จึงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแต่ละคน ไม่ว่าจะเพื่อสุขภาพ ความผ่อนคลาย หรือความเพลิดเพลิน การรู้จักประโยชน์ของชาเขียว ประเภท เกรด และวิธีการดื่มที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณได้รับคุณค่าจากเครื่องดื่มแก้วโปรดอย่างเต็มที่ และหากคุณยังไม่เคยลองทำเมนูชาเขียวเองที่บ้าน นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะเริ่มต้น เพราะชาเขียวไม่ใช่แค่เครื่องดื่มธรรมดา แต่คือไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่รักสุขภาพอย่างแท้จริง สามารถอ่านบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ Chill on กินเที่ยวจัดทำโดย : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี และ บาลี บัญชานิตยกาล

Overnight oat อาหารยอดฮิตสำหรับคนคุมอาหาร มีสูตรการทำอย่างไร

10 ก.ย. 2025

Overnight oat อาหารยอดฮิตสำหรับคนคุมอาหาร มีสูตรการทำอย่างไร

วันนี้ Chill on กินเที่ยว จะมาพูดถึงเทรนด์รักสุขภาพมาแรงอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน อาหารแนวคลีน หรืออาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน กำลังกลายเป็นทางเลือกอันดับต้น ๆ ของผู้คนทุกเพศทุกวัย และหนึ่งในเมนูที่ติดเทรนด์มากที่สุดในช่วงที่ผ่านมาคือ Overnight Oat อาหารเช้าสุดเฮลธ์ตี้ที่กลายเป็นขวัญใจของสายคลีน คนลดน้ำหนัก และผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพไปพร้อมกับความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันด้วยความที่สามารถเตรียมไว้ล่วงหน้าได้โดยไม่ต้องใช้ไฟ ไม่ต้องเสียเวลาปรุงตอนเช้า และยังดัดแปลงรสชาติได้หลากหลายตามใจชอบ ทำให้ Overnight Oat กลายเป็น “อาหารเช้ายุคใหม่” สำหรับคนยุคใหม่ที่อยากเริ่มต้นวันดี ๆ ด้วยอาหารที่ทั้งอร่อยและมีคุณประโยชน์ครบถ้วนOvernight Oat คืออะไร Overnight Oat คือเมนูข้าวโอ๊ตที่ไม่ต้องต้ม แต่ใช้วิธีแช่ในของเหลว เช่น นมสด นมพืช หรือน้ำเปล่าผสมโยเกิร์ต ทิ้งไว้ในตู้เย็นข้ามคืน โดยข้าวโอ๊ตจะค่อย ๆ ซึมซับของเหลวจนกลายเป็นเนื้อเนียนนุ่มพร้อมรับประทานในตอนเช้า รูปแบบของ Overnight Oat แตกต่างจากโจ๊กหรือโอ๊ตต้มทั่วไป เพราะไม่ผ่านความร้อน ทำให้คงคุณค่าสารอาหารไว้ได้เต็มที่ อีกทั้งยังสามารถเติมผลไม้สด ถั่ว เมล็ดเจีย น้ำผึ้ง หรือเครื่องเทศต่าง ๆ เพื่อเสริมรสชาติและประโยชน์เพิ่มเติม จุดเด่นอีกประการคือความพกพาสะดวก และเหมาะสำหรับคนยุคเร่งรีบ เพียงแค่เตรียมไว้ในภาชนะที่มีฝาปิด แล้วแช่ไว้ในตู้เย็น เมื่อเช้าถึงก็สามารถหยิบขึ้นมากินได้ทันที ไม่ว่าจะทานบนรถหรือพกไปทานที่ทำงานก็สามารถทำได้ ที่สำคัญคือไม่มีกลิ่นรบกวนคนรอบข้าง เนื่องจากส่วนผสมมีเพียงแค่ข้าวโอ๊ต นม โยเกิร์ต ผลไม้ และเมล็ดเจียเท่านั้นส่วนประกอบและวิธีการทำ Overnight Oat แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของ Overnight Oat จะดูเหมือนซับซ้อน แต่จริง ๆ แล้วเมนูนี้ทำได้ง่ายมาก และดัดแปลงได้ตามวัตถุดิบในตู้เย็นของคุณ เราสามารถเริ่มต้นจาก Overnight Oats สูตรพื้นฐาน ดังนี้ 1. ส่วนประกอบหลัก (สูตรมาตรฐาน)ข้าวโอ๊ตชนิด Rolled Oats (ไม่ใช่ quick oats) ½ ถ้วย หรือตามความต้องการนม (นมสด, นมอัลมอนด์, นมถั่วเหลือง ฯลฯ) ½ - 1 ถ้วยโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 2-3 ช้อนโต๊ะ (ไม่ใส่ก็ได้ หรือเลือกใช้เป็นกรีกโยเกิร์ต)เมล็ดเจีย / เมล็ดแฟลกซ์ 1 ช้อนชาน้ำผึ้ง / อินทผลัมบด / กล้วยสุกบด (ใช้เพิ่มความหวานจากธรรมชาติ) 2. วิธีทําเมนู Overnight Oatเทข้าวโอ๊ตลงในภาชนะ เช่น ขวดแก้วหรือกล่องมีฝาปิดเติมนมและโยเกิร์ต คนให้เข้ากันใส่เมล็ดเจียและส่วนผสมที่ให้รสหวานตามชอบปิดฝาแล้วนำไปแช่เย็นข้ามคืน (อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง)ตอนเช้าสามารถใส่ผลไม้สด ถั่ว หรือ topping อื่น ๆ ก่อนเสิร์ฟได้* หากต้องการเปลี่ยนรสชาติ ให้เติมผงโกโก้ ผงอบเชย กลิ่นวานิลลา หรือผลไม้แช่แข็งลงไปก่อนแช่เย็น เพื่อให้อาหารมีรสชาติที่น่าสนใจมากขึ้นประโยชน์ของการทาน Overnight Oat นอกจากความอร่อยและสะดวกสบายแล้ว Overnight Oat ยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ที่เหมาะกับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ และคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น - ข้าวโอ๊ตมีใยอาหารสูง โดยเฉพาะ “เบต้ากลูแคน” ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล และกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร ทำให้ขับถ่ายได้ดีขึ้นควบคุมน้ำหนักและคอเลสเตอรอล - ใยอาหารที่อยู่ในข้าวโอ๊ตช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน ลดการกินจุกจิกในระหว่างวัน และช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือดลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง - หลายการศึกษาระบุว่าการบริโภคข้าวโอ๊ตเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิตสูงเป็นมิตรกับผู้แพ้แลคโตส - สามารถปรับเปลี่ยนสูตรโดยใช้ “นมพืช” แทนได้ เช่น นมอัลมอนด์ หรือนมข้าวโอ๊ต ซึ่งยังคงให้รสชาติเข้มข้นเหมือนเดิมประหยัดเวลาและพลังงาน - เหมาะกับคนที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ เพราะไม่ต้องปรุง ไม่ต้องล้างหม้อ และไม่ต้องรอร้อน ทานได้ทันทีที่ตื่น หากพูดถึง Overnight Oats ประโยชน์นั้นมีมากมาย นี่คือเมนูที่ไม่เพียงแต่อร่อยและอยู่ท้อง แต่ยังสนับสนุนให้เรารักษาสุขภาพอย่างยั่งยืนในระยะยาวแนะนำเมนูอื่น ๆ ที่น่าสนใจจากข้าวโอ๊ต แม้ว่า Overnight Oat จะเป็นเมนูยอดฮิต แต่จริง ๆ แล้วข้าวโอ๊ตยังสามารถนำไปดัดแปลงเป็นเมนูอื่น ๆ ได้อีกมากมาย ทั้งคาวและหวาน เช่นOatmeal ต้มร้อน - เมนูนี้เป็นอาหารเช้าแบบคลาสสิกที่เราคุ้นเคยกันดี เพียงแค่นำข้าวโอ๊ตไปต้มกับน้ำหรือนมจนได้ความข้นและเนื้อสัมผัสที่นุ่มนวล ก็สามารถเติมความอร่อยเพิ่มเติมด้วยผลไม้สดอย่างกล้วยหอมหั่นบาง เบอร์รี หรือผลไม้แห้ง และหากต้องการรับประทานในแบบคาว ก็อาจเพิ่มไข่ต้ม ไข่ดาว หรือแม้แต่เนื้อไก่ฉีกเล็กน้อย พร้อมโรยพริกไทยดำเพื่อตัดรสก็อร่อยได้ในอีกสไตล์คุกกี้ข้าวโอ๊ต - เมนูนี้ใช้ข้าวโอ๊ตแทนแป้งขัดขาว ทำให้ลดคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวได้ดี พร้อมทั้งเพิ่มใยอาหารที่ช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหารและทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น ส่วนผสมหลักที่นิยมใช้มีทั้งกล้วยสุกบดที่ช่วยให้เนื้อคุกกี้นุ่มและให้ความหวานจากธรรมชาติโดยไม่ต้องพึ่งน้ำตาล ลูกเกดหรือดาร์กช็อกโกแลตชิ้นเล็กที่ช่วยเติมรสสัมผัส และกลิ่นหอมของผงอบเชยที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแพนเค้กข้าวโอ๊ต - แพนเค้กข้าวโอ๊ตก็เป็นอีกทางเลือกที่ตอบโจทย์ เพราะสามารถใช้ข้าวโอ๊ตบดละเอียดแทนแป้ง ทำให้ได้แพนเค้กที่ไฟเบอร์แน่น โปรตีนสูง และมีรสสัมผัสที่เหนียวนุ่มไม่แพ้แป้งธรรมดา สูตรพื้นฐานเพียงแค่ผสมไข่ไก่และกล้วยหอมบดเข้ากับข้าวโอ๊ต เติมผงฟูเล็กน้อยให้แพนเค้กฟูสวย เมื่อสุกก็สามารถทานได้ทันทีข้าวโอ๊ตปั่น (Oat Smoothie) - เหมาะมากกับเช้าที่เร่งรีบหรือวันที่ไม่มีเวลาทำอาหาร เพียงแค่ใส่ข้าวโอ๊ตลงในเครื่องปั่นร่วมกับนมหรือโยเกิร์ต และผลไม้ที่ชอบ เช่น กล้วยหอม สตรอว์เบอร์รี่ หรือเบอร์รีรวม เติมน้ำแข็งเล็กน้อย แล้วปั่นให้เข้ากัน ก็จะได้สมูทตี้ที่เนื้อข้นและนุ่มลื่นจากข้าวโอ๊ต แถมยังอยู่ท้องได้นานโดยไม่ต้องเพิ่มแป้งหรือน้ำตาลสรุป Overnight Oat คือเมนูอาหารเพื่อสุขภาพที่ลงตัวที่สุดสำหรับคนยุคใหม่ ที่ต้องการเริ่มต้นเช้าวันใหม่อย่างมีคุณภาพและไม่ยุ่งยาก ด้วยคุณค่าทางอาหารที่ครบถ้วน ความสะดวกสบายในการเตรียม และรสชาติที่ปรับได้ตามใจ ทำให้เมนูนี้กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งในหมู่คนลดน้ำหนักและผู้รักสุขภาพ หากคุณสนใจบทความด้านอาหารคลีนไลฟ์สไตล์ หรือท่องเที่ยวผสมสุขภาพ สามารถเลือกอ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ Chill on กินเที่ยว บนเว็บไซต์ Atime ที่รวบรวมเรื่องราวน่าสนใจหลากหลายแนวในแบบที่อ่านง่ายและได้แรงบันดาลใจในทุกบทความจัดทำโดย : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี

ออกกำลังกายเวทเทรนนิ่ง เพิ่มกล้ามเนื้อ กระตุ้นระบบเผาผลาญ

02 ก.ย. 2025

ออกกำลังกายเวทเทรนนิ่ง เพิ่มกล้ามเนื้อ กระตุ้นระบบเผาผลาญ

หากพูดถึงการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง มีความเข้าใจผิดมากมายเกี่ยวกับการออกกำลังกายประเภทนี้ ด้วยคำนิยามที่เป็นการออกกำลังกายเพื่อสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ แต่หลายคนมักจะพูดด้วยคำว่าออกกำลังกายเพิ่มกล้าม ทำให้ตัวใหญ่ ตัวบวม หรือกล้ามใหญ่ จนผู้หญิงหลายคนอาจกลัวการออกกำลังกายประเภทนี้ แต่ความจริงแล้วการออกกำลังการเวทเทรนนิ่ง หากเลือกออกอย่างถูกต้องและพอดี ก็จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงไปพร้อม ๆ กับรูปร่างที่สวยงามมากขึ้น วันนี้ Chill on กินเที่ยว จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการออกกำลังกายประเภทนี้ให้ละเอียดมากขึ้น และไขข้อเข้าใจผิดที่หลายคนยังไม่รู้ให้ถูกต้องการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง คืออะไร ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คอนเทนต์หรือเทรนด์เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและรูปร่างได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สังเกตง่าย ๆ ได้จากโซเชียลมีเดีย โดยหนึ่งในวิธีการออกกำลังกายที่ได้รับความสนใจจากทั้งผู้หญิงและผู้ชายทุกช่วงวัยก็คือ การเวทเทรนนิ่ง”หรือการฝึกกล้ามเนื้อด้วยแรงต้าน ซึ่งหลายคนอาจจะเคยได้ยินคำนี้อยู่บ่อย ๆ แต่ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเวทเทรนนิ่ง คือ อะไร และมีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย เวทเทรนนิ่ง (Weight Training) คือ การออกกำลังกายที่เน้นการใช้น้ำหนัก ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักตัวหรืออุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เช่น ดัมเบล บาร์เบล หรือเครื่องออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มแรงต้านให้กล้ามเนื้อทำงานหนักขึ้น การออกแรงซ้ำ ๆ และสม่ำเสมอจะช่วยกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อ รวมถึงกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากรูปร่างที่ดูดีขึ้นแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมอีกด้วยเวทเทรนนิ่ง ช่วยเรื่องอะไรบ้าง การออกกำลังกายเวทเทรนนิ่ง ไม่ได้มีข้อดีแค่การทำให้รูปร่างผอมเพรียวหรือทำให้เห็นกล้ามเนื้อได้ชัดเจนเพียงเท่านั้น แต่การเวทเทรนนิ่งยังมีประโยชน์อีกหลายประการ ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต เช่นเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ: เมื่อเราอายุมากขึ้น มวลกล้ามเนื้อจะค่อย ๆ ลดลง การทำเวทเทรนนิ่งเป็นประจำจะช่วยชะลอการสูญเสียกล้ามเนื้อ และยังสามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ นอกจากนี้การไม่มีกล้ามเนื้อยังส่งผลเสียต่อความแข็งแรงของกระดูก เมื่อแก่ตัวขึ้นอาจทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงเท่าที่ควรกระตุ้นระบบเผาผลาญ: กล้ามเนื้อมีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญพลังงาน การมีกล้ามเนื้อที่มากขึ้นจะทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น แม้ในช่วงเวลาที่ไม่ได้ออกกำลังกายก็ตาม สำหรับใครที่มีปัญหาด้านการเผาผลาญหรือกินน้อยแต่ยังอ้วน สามารถเลือกใช้วิธีออกกำลังกายเวทเทรนนิ่งเพื่อเพิ่มอัตราการเผาผลาญได้เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก: การฝึกเวทเป็นประจำจะช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อกระดูก ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน ควรฝึกการออกกำลังกายให้เป็นนิสัยตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อลดปัญหาสุขภาพเมื่ออายุมากขึ้นช่วยควบคุมน้ำหนัก: การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อช่วยให้การควบคุมน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้น อีกทั้งยังทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้นลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง: เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ฯลฯเพิ่มความมั่นใจในรูปร่าง: เมื่อรูปร่างกระชับ ดูดีขึ้น ย่อมส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเองและภาพลักษณ์ในสังคมเวทเทรนนิ่งจำเป็นต้องมีอุปกรณ์เสมอไปหรือไม่ คำถามยอดฮิตของคนที่เริ่มต้นออกกำลังกายแรก ๆ คือ การออกกำลังกายจำเป็นต้องมีอุปกรณ์หรือไม่, เวทเทรนนิ่งไม่มีอุปกรณ์สามารถทำได้ เพราะการออกกำลังกายเวทเทรนนิ่งไม่ได้หมายถึงการใช้อุปกรณ์เป็นตัวช่วยเสมอไป การออกกำลังกายเวทเทรนนิ่งไม่มีอุปกรณ์ เรียกกันว่า Bodyweight คือการเอาน้ำหนักตัวมาเป็นแรงต้าน ตัวอย่างของ Bodyweight เช่นSquat เพื่อฝึกต้นขาและก้นPush-up เพื่อฝึกกล้ามเนื้ออก แขน และไหล่Plank สำหรับเสริมความแข็งแรงของแกนกลางลำตัวLunges สำหรับเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของขาแนะนำตารางการออกกำลังกายให้ Balance ระหว่าง Cardio and Weight Trainingข้อควรระวังในการออกกำลังกาย แม้ว่าการเวทเทรนนิ่งจะมีประโยชน์มากมาย แต่หากทำผิดวิธี ก็อาจก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บหรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้ จึงควรระมัดระวังดังนี้อย่าฝืนมากเกินไป: สำหรับผู้เริ่มต้นออกกำลังในช่วงแรก ควรเริ่มใช้ดัมเบลน้ำหนักเบา หรือเลือกจำนวนครั้งที่พอเหมาะแล้วค่อย ๆ ไต่ระดับเพิ่มขึ้นทีละน้อย อย่าหักโหมเพราะอาจทำให้กล้ามเนื้ออักเสบหรือเกิดการบาดเจ็บวอร์มอัพก่อนและหลังเสมอ: การอุ่นร่างกายช่วยให้กล้ามเนื้อและข้อต่อเตรียมพร้อม ลดโอกาสการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายศึกษาท่าทางที่ถูกต้อง: ท่าทางที่ผิดอาจทำให้เกิดแรงกดที่ไม่เหมาะสม เช่น อาการปวดหลังจากการ Squat ผิดวิธีฟังร่างกายตัวเอง: หากรู้สึกเจ็บ หรือไม่สบาย ควรหยุดทันที ไม่ควรอย่าฝืนออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้ร่างกายบาดเจ็บเรื้อรังพักผ่อนและรับประทานอาหารให้เหมาะสม: ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตีน เนื่องจากกล้ามเนื้อต้องการโปรตีนและการพักผ่อนที่เพียงพอ เพื่อการฟื้นตัวและเจริญเติบโตสรุป เวทเทรนนิ่ง ไม่ใช่แค่การออกกำลังกายสำหรับนักเพาะกาย แต่เป็นหนึ่งในวิธีดูแลสุขภาพที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะต้องการรูปร่างที่ดี เสริมสร้างกล้ามเนื้อ หรือกระตุ้นระบบเผาผลาญ การออกกำลังกายเวทเทรนนิ่ง คือทางเลือกที่ตอบโจทย์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อผสมผสานกับคาร์ดิโออย่างสมดุล จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ฟิต และดูดีจากภายในสู่ภายนอก ที่สำคัญคือ ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เสมอไป ผู้เริ่มต้นสามารถเริ่มจากการเวทเทรนนิ่งไม่มีอุปกรณ์ได้เลย และเมื่อร่างกายแข็งแรงขึ้น ค่อยขยับไปใช้อุปกรณ์เพิ่มเติมตามความเหมาะสม การดูแลสุขภาพไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็สามารถมีสุขภาพดี และรูปร่างที่แข็งแรงได้ไม่ยากเลย ติดตามอ่านบทความดี ๆ เพิ่มเติมหรืออ่านบทความเกี่ยวกับการคาร์ดิโอได้ที่ Chill on กินเที่ยวจัดทำโดย : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี

ความแตกต่างของการดื่มชาเขียวแต่ละแบบ

04 มี.ค. 2025

ความแตกต่างของการดื่มชาเขียวแต่ละแบบ

ความแตกต่างของการดื่มชาเขียวแต่ละแบบ ชาเขียวมีหลายประเภท และแต่ละแบบก็มีความแตกต่างทั้งในเรื่องของรสชาติ วิธีการผลิต และประโยชน์ต่อสุขภาพขอบคุณภาพจาก matchazuki1. ชาเขียวญี่ปุ่น vs. ชาเขียวจีน ชาเขียวจีนและชาเขียวญี่ปุ่นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของ กระบวนการผลิต, สี, รสชาติ และวิธีการชง ซึ่งส่งผลต่อประสบการณ์การดื่มชาอย่างมาก1. กระบวนการผลิตชาเขียวญี่ปุ่น ใช้วิธี นึ่งด้วยไอน้ำ ทันทีหลังเก็บเกี่ยว เพื่อหยุดกระบวนการออกซิเดชัน ทำให้ใบชาคงความสดและมีสีเขียวเข้มชาเขียวจีน ใช้วิธี คั่วในกระทะหรืออบแห้ง ทำให้เกิดกลิ่นหอมของการคั่ว และสีของใบชาเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง2. สีของน้ำชาชาเขียวญี่ปุ่น มักให้สีน้ำชา เขียวสดใส เนื่องจากกระบวนการนึ่งช่วยรักษาสารคลอโรฟิลล์ชาเขียวจีน มักให้สีน้ำชา เขียวอมเหลืองหรือทองอ่อนๆ จากกระบวนการคั่ว3. รสชาติและกลิ่นชาเขียวญี่ปุ่น มีรสชาติ สดชื่น อ่อนนุ่ม หวานนิดๆ และมีกลิ่นหญ้าอ่อนๆชาเขียวจีน มีรสชาติ หอมคั่ว กลมกล่อม ฝาดเล็กน้อย และซับซ้อนกว่าชาเขียวญี่ปุ่น4. วิธีการชงชาเขียวญี่ปุ่น มักใช้ น้ำอุณหภูมิต่ำกว่า (ประมาณ 60-80°C) เพื่อไม่ให้รสขมเกินไปชาเขียวจีน สามารถชงด้วย น้ำร้อนกว่า (ประมาณ 80-90°C) โดยนิยมใช้ถ้วยชาแบบจีน (Gaiwan) หรือกาน้ำชา5. ตัวอย่างชาแต่ละประเภทชาเขียวญี่ปุ่น: เซนฉะ (Sencha), มัทฉะ (Matcha), เกียวคุโระ (Gyokuro), โฮจิฉะ (Hojicha)ชาเขียวจีน: หลงจิ่ง (Longjing), ปิหลัวชุน (Biluochun), จู๋เย่ฉิง (Zhuyeqing)2. ชาเขียวมัทฉะ vs. ชาเขียวทั่วไป ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่มีหลายประเภท โดยหนึ่งในความแตกต่างที่สำคัญคือ มัทฉะ (Matcha) และชาเขียวทั่วไป (Loose Leaf Green Tea) ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งใน กระบวนการผลิต, วิธีดื่ม, ปริมาณสารอาหาร และรสชาติ1. กระบวนการผลิตมัทฉะ ทำจากใบชาอ่อนที่ถูกบดเป็นผงละเอียด โดยก่อนเก็บเกี่ยว ต้นชาจะถูกคลุมไว้ประมาณ 3-4 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์และกรดอะมิโน ทำให้ชาได้รสชาติหวานกลมกล่อมและสีเขียวสดใสชาเขียวทั่วไป มักใช้ใบชาทั้งใบและผ่านกระบวนการอบแห้ง ไม่ได้นำมาบด ทำให้สารอาหารบางส่วนละลายออกมาในน้ำเมื่อชง แต่ไม่ได้รับประทานใบชาโดยตรง2. วิธีการดื่มมัทฉะ ถูกนำมาผสมกับน้ำและตีให้เข้ากัน ทำให้ได้เนื้อสัมผัสที่เข้มข้นและได้รับสารอาหารจากใบชาเต็มที่ชาเขียวทั่วไป ชงโดยแช่ใบชาลงในน้ำร้อน จากนั้นกรองใบชาออก ทำให้ได้รับสารอาหารเพียงบางส่วนที่ละลายในน้ำ3. ปริมาณสารอาหารและคาเฟอีนมัทฉะ มีคาเฟอีนสูงกว่าชาเขียวทั่วไป เนื่องจากบริโภคทั้งใบชา จึงให้พลังงานและสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าชาเขียวทั่วไป มีคาเฟอีนต่ำกว่า เพราะเพียงแช่ใบชาในน้ำ ไม่ได้รับใบชาโดยตรง4. รสชาติและกลิ่นมัทฉะ มีรสชาติ เข้มข้น ขมนิดๆ แต่กลมกล่อม พร้อมกลิ่นหอมของชาชาเขียวทั่วไป มีรสชาติ เบากว่า สดชื่นกว่า และอาจมีความหวานอ่อนๆ ขึ้นอยู่กับชนิดของชา3. ชาเขียวร้อน vs. ชาเขียวเย็น (ใส่น้ำแข็ง/ขวดพร้อมดื่ม) ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่สามารถดื่มได้ทั้งแบบ ร้อน และ เย็น แต่หลายคนอาจสงสัยว่าทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร ทั้งในแง่ของ รสชาติ, คุณค่าทางสารอาหาร และผลต่อสุขภาพ1. วิธีการชงและอุณหภูมิชาเขียวร้อน ชงโดยใช้ น้ำร้อน (60-80°C) และดื่มในขณะที่ยังอุ่นอยู่ ทำให้รสชาติของชาเข้มข้นและกลิ่นหอมชัดเจนชาเขียวเย็น อาจมาจากการ ชงร้อนแล้วปล่อยให้เย็น หรือ ชงเย็นโดยใช้น้ำเย็นแช่ใบชา (Cold Brew) ซึ่งให้รสชาติที่นุ่มและสดชื่น2. คุณค่าทางสารอาหารชาเขียวร้อน มี สารต้านอนุมูลอิสระ (เช่น EGCG) สูงกว่า เพราะสารเหล่านี้ละลายในน้ำร้อนง่ายกว่าชาเขียวเย็น โดยเฉพาะชาเขียวขวดหรือชาเย็นที่ขายทั่วไป มักมีน้ำตาลสูง หรืออาจผ่านการแปรรูป ทำให้คุณค่าทางสารอาหารลดลง3. รสชาติและกลิ่นชาเขียวร้อน มีรสชาติที่ เข้มข้น, หอมชัด และอาจมีความขมนิดๆชาเขียวเย็น มีรสชาติที่ อ่อนกว่า, สดชื่น และดื่มง่ายกว่า โดยเฉพาะชาเขียวขวดที่มักมีรสหวานจากการเติมน้ำตาล4. ผลต่อสุขภาพชาเขียวร้อน ช่วย กระตุ้นระบบเผาผลาญ, ลดไขมัน และให้ประโยชน์สูงสุดจากชาชาเขียวเย็น โดยเฉพาะชาเขียวขวดหรือใส่น้ำแข็ง อาจมีน้ำตาลสูง ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เช่น น้ำหนักขึ้น หรือระดับน้ำตาลในเลือดสูงสรุป หากคุณต้องการดื่มชาเขียวเพื่อสุขภาพ ชาเขียวร้อนที่ไม่เติมน้ำตาล คือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะจะคงคุณค่าสารต้านอนุมูลอิสระได้สูงสุด สำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานและสารอาหารที่เข้มข้นขึ้น มัทฉะ คือตัวเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นการบริโภคทั้งใบชา ทำให้ได้รับสารอาหารมากกว่า หากคุณชื่นชอบรสชาติที่หอมคั่วแบบดั้งเดิม ชาเขียวจีน เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ ด้วยกระบวนการคั่วที่ทำให้ได้กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ในขณะที่ ชาเขียวเย็น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสดชื่นและรสชาติที่อ่อนโยนกว่าผู้เขียน : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี