รู้หรือไม่? น้ำเย็นทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง

HEALTHY LIFESTYLE

รู้หรือไม่? น้ำเย็นทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง

21 ม.ค. 2022

รู้หรือไม่? น้ำเย็นทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง

     อากาศร้อนๆ อย่างนี้ จะไม่ให้ดื่มน้ำเย็นได้อย่างไร? คนไทยชอบมากกับการดื่มน้ำเย็น ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบน้ำเปล่า น้ำอัดลม ไอศกรีม ที่สำคัญชอบใส่น้ำแข็ง เสริมให้เย็นเร็วขึ้น

      น้ำเย็นไม่ได้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ถ้าเรารู้ว่าน้ำเย็นมีผลเสียกับร่างกาย อาจจะไม่อยากดื่ม สังเกตุได้จากคนอายุมาก จะชอบดื่มน้ำอุ่นมากกว่าน้ำเย็น เพราะอะไรเราไปหาคำตอบกันค่ะ

      เมื่อเราดื่มน้ำเย็นจัดในเวลาอันรวดเร็ว อาจทำให้เกิดอาการ Brain freeze หรืออาการเย็นจี๊ดขึ้นสมอง ปวดศีรษะไปชั่วขณะได้ (คนที่เป็นโรคไมเกรนจะมีโอกาสเกิดอาการนี้ง่ายกว่าคนปกติ) โดยเป็นกระบวนการของสมองที่สั่งการส่งเลือดมาไหลเวียนที่หลอดเลือดบริเวณที่เย็นจัดอย่างเฉียบพลัน เพื่อทำให้หลอดเลือดบริเวณนั้นอุ่นขึ้น และขยายหลอดเลือดให้ใหญ่ขึ้น จนไปกระตุ้นประสาทส่วนที่รับรู้ถึงความเจ็บปวดไปด้วย จึงเกิดเป็นอาการปวดศีรษะโดยฉับพลันนั่นเอง แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ อาการนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที และไม่ส่งผลระยะยาวต่อร่างกายใดๆ ทั้งสิ้น

      แต่หากจะพูดถึงอันตรายต่อร่างกายในระยะยาว ในแพทย์แผนจีนพบว่า การดื่มน้ำเย็นเป็นประจำ ทำให้ไต กระเพาะปัสสาวะ ม้าม กระเพาะอาหาร ทำงานหนัก และขาดสมดุลค่ะ

 การดื่มน้ำเย็นเป็นประจำในผู้สูงอายุ  อาจจะทำให้ 

  • ปัสสาวะบ่อยขึ้น 

เพราะแพทย์แผนจีนจะกล่าวถึง ความเย็นกระทบไตหยาง ทำให้ปัสสาวะบ่อยและอั้นปัสสาวะไว้ได้ไม่นาน ปัสสาวะจะเยอะกว่าคนปกติ

  • ปวดหลัง ปวดเอวบ่อยๆ

เมื่อไตหยางอ่อนแอ ไตตั้งอยู่บริเวณเอว จะทำให้เมื่อยหลังเมื่อยเอวตลอดเวลา เข่าอ่อน ขาไม่มีเรียวแรง 

  • ปวดเมื่อยตามร่างกาย โดยเฉพาะตามข้อต่างๆ เช่น เข่า ศอก ข้อนิ้ว 

เพราะความเย็นในน้ำเย็นทำให้กระเพาะอาหาร และม้ามอ่อนแอ ม้ามคุมกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย ถ้าหากม้ามอ่อนแอลง

จะมีอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ แนะนำให้ประคบร้อน ทำให้กล้ามเนื้ออุ่นขึ้นจะช่วยลดปวดได้ค่ะ 

  • ท้องอืด ท้องเฟ้อ ย่อยอาหารได้ช้าลง 

ไขมันในอาหารจับตัวเป็นไข กระเพาะอาหารทำงานหนักขึ้น ใช้เวลาย่อยนานขึ้น ในแพทย์แผนจีนจะพูดถึงเรื่องม้ามและกระเพาะอาหาร

มีความอ่อนแอลง ทำให้การย่อยได้ช้า เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย 


      หลักแพทย์แผนจีน การดื่มน้ำเย็น จะทำให้พลังหยางในร่างกายลดลง จะทำให้หนาวง่าย ปัสสาวะบ่อย มือเท้าเย็นด้วยนะคะ แนะนำให้หลีกเลี่ยง ไม่ควรดื่มมากเกินไป ควรดื่มน้ำอุ่น หรือน้ำอุณหภูมิห้องแทนการดื่มน้ำเย็นจัด และควรรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ ควบคุมอาหารจำพวกแป้ง และน้ำตาลให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อปรับการทำงานของอวัยวะภายใน ช่วยให้ ไต ม้าม กระเพาะ แข็งแรงยิ่งขึ้น เมื่ออวัยวะในร่างกายแข็งแรงจะช่วยให้เราสู้กับโรคที่เข้ามาโจมตีเราได้ค่ะ

 

ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ  Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็ม

Collector by รุ่งโนรี ’Girl Music & Travel Lover

 

related HEALTHY LIFESTYLE

ความคิดผิดๆ เกี่ยวกับการนอน

10 พ.ค. 2022

ความคิดผิดๆ เกี่ยวกับการนอน

วันนี้มีเคล็ดลับการนอนเพื่อสุขภาพดีดีจากศาสตร์แพทย์แผนจีนมาฝากค่ะเพราะช่วงเวลานอนเป็นช่วงเวลาสุดมหัศจรรย์ที่ร่างกายเราใช้ปรับสมดุลหลังจากเผชิญการทำงานหนักและอารมณ์ที่หลากหลายมาทั้งวันถ้านอนดี นอนได้มีคุณภาพ ก็ถือเป็นการรีเซ็ตในแต่ละวัน และเป็นการดูแลสุขภาพที่ดีเยี่ยมเลยค่ะแต่ยังมีความเข้าใจผิดๆ เรื่องการนอนอยู่มากส่วนใหญ่เข้าใจผิดเรื่องอะไรกันบ้าง ตามไปดูกันค่ะ 1.ดื่มเหล้าหรือของมึนเมาแล้วทำให้นอนหลับ สำหรับบางคนอาจเชื่อว่า เมื่อเราดื่มจนเมามายแล้ว จะช่วยให้หลับได้ง่ายเพราะเมื่อร่างกายดูดซึมแอลกอฮอล์ อาจรู้สึกมึนหัวง่วงนอนแต่ในความเป็นจริง พอตื่นนอนก็จะรู้สึกปวดหัว และไม่กระปรี้กระเปร่า นอกจากนี้ตับซึ่งทำหน้าที่ล้างพิษในร่างกายถ้าแอลกอฮอล์เข้าสู่ตับจำนวนมาก จะทำให้ตับเกิดภาวะอักเสบอาจจะทำให้เป็นโรคตับแข็ง หรือโรคตับอักเสบ คนไข้จะมีอาการหงุดหงิดง่ายอารมณ์แปรปรวน ปวดท้องได้ง่ายอีกด้วยค่ะ 2.นอนวันละ 8 ชั่วโมงยังรู้สึกไม่พอ ความต้องการในการนอนหลับขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ไม่จำเป็นต้องนอนครบ8ชม.ขอให้ตื่นแล้วสดชื่นก็เพียงพอ บางคนนอนไป8 - 10ชม.ตื่นมาก็ยังไม่กระปรี้กระเปร่า ทางแพทย์แผนจีนเรียกว่า "นอนมาก"เกิดจากหลายสาเหตุหลักๆมาจากม้ามอ่อนแอ ทำให้กักเก็บพลังในร่างกายได้น้อยลงไปด้วยเหมือนแบตเตอรี่ที่ใกล้เสื่อมสภาพ ทำให้รู้สึกว่าไม่อยากทำอะไรอยากนอนตลอดเวลา 3.นอนก่อน 5ทุ่ม แต่ยังคิดโน้นคิดนี่ ตื่นเป็นเวลาดีกว่านอนเป็นเวลานะคะบางคนเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ แต่ได้หลับตอนตี2คนที่เป็นโรคนอนไม่หลับแม้เข้านอนเร็ว ก็อาจไม่หลับจนถึงเช้า ซึ่งมาจากปัจจัยหลายสาเหตุ เช่นใจสั่นง่าย ใจร้อนง่าย กังวล เครียด จนทำให้นอนไม่หลับ อันนี้ไม่ไหวนะคะตื่นขึ้นมาก็ไม่สดชื่น ซึ่งแพทย์แผนจีนให้ความสำคัญกับการนอนมากโดยเฉพาะการหลับก่อน5ทุ่มที่ตับต้องดึงเลือดมาเก็บไว้ เพื่อให้ร่างกายพักผ่อนแล้วนอนหลับมากไปกว่านี้ ช่วงเวลานั้นร่างกายของเรายังผลิตสารและฮอร์โมนต่างๆรวมทั้งโกรทฮอร์โมนสำหรับเด็กๆ ที่ช่วยเรื่องการเจริญเติบโต (และทำให้สูง)อีกด้วยค่ะ 4.ออกกำลังกายก่อนนอน บางครั้งความเหน็ดเหนื่อยจากการออกกำลังอาจทำให้เรารู้สึกง่วงจึงคิดว่าการออกกำลังกายก่อนนอนจะช่วยให้หลับง่ายขึ้น ในทางแพทย์แผนจีนเวลานอนหลับนั้นเลือดจะไหลกลับไปและเก็บไว้ที่ตับแต่กลับกันการออกกำลังกายเลือดจะออกมาหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อและผิวหนังทำให้ร่างกายเกิดอุณหภูมิที่สูงขึ้น อาจจะทำให้นอนไม่หลับนะคะ 5.วันทำงานนอนไม่อิ่ม มานอนชดเฉยในวันหยุด ในวันหยุดหลายคนอาจจะนอนถึงเที่ยงแล้วค่อยตื่นการนอนชดเชยในหลักแพทย์แผนจีนนั้นไม่มีนะคะเพราะตื่นมาอาจจะเหนื่อยกว่าเดิม และก็ปวดตามเนื้อตามตัวแนะนำให้ตื่นเป็นเวลาแม้ในวันหยุดก็ตาม เพราะช่วงเวลากลางวันพลังหยางมากส่วนช่วงเวลากลางคืนพลังหยินมาก พลังหยินใช้เวลานอน พลังหยางใช้เวลาตื่นการนอนในช่วงเวลาที่พลังหยางมากจึงทำให้เมื่อเราตื่นเที่ยง จึงไม่กระปรี้กระเปร่าเหมือนตอนตื่นเช้านั่นเองค่ะ นอนน้อยก็ไม่ดี นอนมากไปก็ไม่ดี นอนพักผ่อนให้เพียงพอน่าจะดีที่สุด แต่ถ้าใครนอนไม่หลับ Green Wave อยู่เป็นเพื่อนคุณตลอด 24 ชั่วโมงนะคะ ^^ ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

ตดเหม็นไม่ใช่เรื่องน่าอาย อาจจะมีอันตรายกับลำไส้

13 ม.ค. 2023

ตดเหม็นไม่ใช่เรื่องน่าอาย อาจจะมีอันตรายกับลำไส้

ตดเหม็นอันตรายไหมการผายลม หรือ การตด ฟังดูแล้วเป็นเรื่องน่าอาย และน่าขบขันไม่น้อย แต่มันก็เป็นเพียงกระบวนการทางธรรมชาติของร่างกาย ในการขับไล่ลมหรือแก๊สผ่านลำไส้ใหญ่เท่านั้นค่ะ ทุกครั้งที่เรากินอาหาร ดื่มเครื่องดื่ม หรือแม้กระทั่งพูดคุยทั่วไป เรากลืนอากาศเข้าไปด้วย การตดในชีวิตประจำวันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่หลายคนก็ยังคงมีข้อข้องใจว่า ตดบ่อยแค่ไหนเรียกว่าปกติ? ตดดัง และเหม็นเป็นสัญญาณอันตรายเกี่ยวกับสุขภาพหรือไม่? บทความนี้จะช่วยไขข้อข้องใจเกี่ยวกับปัญหาการผายลมเหล่านี้เองค่ะตดบ่อยแค่ไหน เรียกว่าปกติ? โดยปกติแล้ว ผู้ที่มีร่างกายอุดมสมบูรณ์และแข็งแรงดี จะตดประมาณ 14 - 23 ครั้งต่อวัน เมื่อใช้เกณฑ์นี้เป็นตัววัดแล้ว การผายลมที่มากกว่า 23 ครั้งภายในหนึ่งวันถือว่าผิดปกติค่ะ โดยความผิดปกตินี้อาจเกิดจากการรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดแก๊สในร่างกายมากเกินไป เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว ชีส กระหล่ำปลี หัวหอม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำอัดลม หรืออาจเกิดจากภาวะความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งภายในร่างกายการผายลมบ่อยมากเกินไปนั้น เป็นสัญญาณที่บ่งบอกสุขภาพภายในได้เป็นอย่างดี ซึ่งภาวะหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการผายลมมีด้วยกันดังนี้ค่ะ• โรคมะเร็งลำไส้• โรคลำไส้แปรปรวน• ระบบดูดซึมอาหารทำงานผิดปกติ• การแพ้อาหารที่มีส่วนประกอบของแลคโตส (lactose) เช่น นมวัวและโยเกิร์ต• ภาวะที่เกี่ยวของกับกระเพาอาหาร เช่น การที่อาหารเป็นพิษ เราควรหมั่นนับจำนวนครั้งที่เราผายลมในแต่ละวัน เพื่อสังเกตการทำงานที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหารและลำไส้ หากมีการผายลมที่บ่อยครั้งเกินไปติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สได้ง่าย แต่หากยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง และหาทางแก้ไขอย่างเร็วที่สุดนะคะตดดังและตดเหม็น อันตรายหรือไม่?การผายลมที่มีเสียงดัง เกิดจากการที่แก๊สถูกขับออกมาด้วยแรงดันอากาศหรือแรงเบ่งที่สูงมาก หรืออาจเกิดจากการที่แก๊สต้องแทรกตัวผ่านกล้ามเนื้อหูรูดที่บีบตัวแน่น เสียงที่มาพร้อมกับการผายลมจึงไม่ได้บ่งบอกถึงความผิดปกติอะไร ส่วนกลิ่นตดนั้น ขึ้นอยู่กับอาหารที่เรารับประทานเข้าไป ส่วนใหญ่แล้วอาหารจำพวกโปรตีนจะก่อให้เกิดแก๊สที่มีกลิ่นเหม็นมาก เช่น อาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ ไข่ ชีส และนม รวมไปถึงถั่วชนิดต่างๆด้วย อีกทั้งแก๊สเหล่านี้ต้องเดินทางผ่านลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นศูนย์รวมของอาหาร และกากอาหารที่ถูกย่อยสลายแล้ว จึงมีกลิ่นเหม็นเป็นธรรมดาและไม่ถือว่าเป็นสัญญาณของความผิดปกติของสุขภาพแต่อย่างใด ในแพทย์แผนจีนการที่ตดบ่อย และมีกลิ่นเหม็นมากๆนั้น คืออาการของลำไส้ กระเพาะอาหาร ม้ามทำงานไม่ดี กลิ่นเหม็นยิ่งมาก มักจะมาจากความร้อนชื้น การที่จะลดความร้อนชื้นได้นั้น เราไม่ควรรับประทานเนื้อสัตว์เยอะ ไม่รับประทานอาหารที่มีฤทธิ์เผ็ดร้อน พยายามดื่มน้ำมากๆ ก็อาจจะช่วยลดอาการตดเหม็นได้ค่ะ ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

ปวดหัว มือชา ปวดไหล่ โรคยอดฮิตของวัยทำงาน

09 พ.ย. 2022

ปวดหัว มือชา ปวดไหล่ โรคยอดฮิตของวัยทำงาน

สมัยนี้วัยทำงาน จะนั่งอยู่แต่ออฟฟิศทั้งวัน ทำงานหนัก แล้วก็ได้โรคกลับมาโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว สุดท้ายก็นำเงินที่เก็บไว้ เสียไปกับค่ารักษาโรค วันนี้เราจะมาแนะนำโรคกระดูกต้นคอทับเส้นประสาท ว่ามีอาการยังไง ต้องรักษาอย่างไร และควรปฏิบัติตัวอย่างไรให้เหมาะสมค่ะ1. ปวดหัว เกิดจากการกดทับเส้นประสาทของกระดูกต้นคอ จะมีการปวดหัวเป็นไมเกรนหนักหัวหรือท้ายทอย หลายคนปวดหัวข้างเดียว ชาที่หัว ยิ่งเวลาที่เครียด จะมีอาการปวดหัวมาก เหมือนจะเอาหัวกระแทกกับผนังบ้าน และมีอาการมึนหัวร่วมอยู่บ่อยๆ ตามหลักแพทย์แผนจีน การอาการปวดหัว หมายถึง พลังเลือดลมขึ้นสู่หัวไม่เพียงพอ หรือที่เรียกว่าชี่ขึ้นหัวไม่ได้ เกิดจากหลอดเลือดที่ต้นคอมีเลือดไหลผ่านได้ไม่สะดวก จะทำให้เกิดอาการมึนหัว หรือปวดหัวได้ โดยเฉพาะเวลาเครียดจัดค่ะ2. มือชา อาการชาจะชาที่แขน หรือปลายนิ้ว ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ข้างใดข้างหนึ่ง ถ้าหากชา 2 ข้างอาจจะต้องนึกถึงว่าตัวเองมีโรคเบาหวานหรือเปล่า หรือว่าเป็นพังพืดทับเส้นประสาทหรือไม่ อาการชามือหรือชานิ้วมือเป็นผลมาจากการทับของเส้นประสาทที่ต้นคอ อาจจะเป็นกระดูกส่วนไหนทับเส้นประสาทเส้นที่เท่าไร อาจจะต้องตรวจด้วย x-ray ในแผนปัจจุบันอาจจะให้ยารักษาปลายเส้นประสาทกับคนไข้ เช่น วิตามินบี 12 เป็นต้น3.กล้ามเนื้อบริเวณไหล่หรือต้นคอแข็ง การที่เรานั่งนานๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมง โดยไม่ขยับเลย อาจจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณต้นคอมีอาการเกร็งเป็นระยะเวลานานๆ อาจะเกิดพังผืด หรือเป็นไตที่บ่าได้ สังเกตุเวลาไปนวด หมอนวดจะบอกว่า คอ บ่า ไหล แข็งมาก นี้แหละค่ะผลของการที่เราไม่ยืดกล้ามเนื้อหรือขยับกล้ามเนื้อบริเวณนั้น ในทางแพทย์แผนจีนเกิดมาจากเลือดลมเดินไม่ดี ตรงบริเวณคอบ่าไหล่ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณบ่าหรือคอแข็ง และคนไข้จะรู้สึกหนักๆ เหมือนแบกอะไรไว้ และไม่สบายบ่าเอามากๆ คิดแล้วเหมือนหนังผีไทย ที่มีคนนั่งอยู่ที่คอ ยังไงยังงั้น น่ากลัวจริงๆค่ะข้อแนะนำดีๆสำหรับคนที่มีอาการข้างต้น1.การนั่งทำงานในออฟฟิศ หรือนั่งทำอะไรนานๆ ให้ลุกขึ้นมาขยับเนื้อขยับตัวเพื่อให้กล้ามเนื้อได้ทำงาน เช่น ทำงาน 40 – 50 นาที ลุกขึ้นมาหมุนบ่า ขยับหัวไหล่ 10 นาที2. เวลาใช้เมาส์ หรือใช้ดินสอเขียนหนังสือนานๆ ให้ขยับมือ และกำมือบ่อยๆ เพราะจะไม่ทำให้เกิดอาการมือชาได้ง่ายๆ3.เวลาอาบน้ำ ให้เปิดน้ำอุ่นๆ ฝักบัวพ่นน้ำไปบริเวณบ่า เพื่อให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีขึ้น และขับความเย็นออกจากร่างกายได้อีกด้วยค่ะ4.ไม่ควรนั่งอยู่ใต้แอร์เย็น หรือแอร์เย็นพัดลงหัว อาจจะทำให้ปวดหัวได้นะคะ5.สามารถดื่มน้ำขิงอุ่นๆทุกเช้า เพื่ออุ่นกระเพาะ และไล่ลมเย็นที่พัดเข้ามาในตัวเรา6.การฝังเข็ม และการครอบแก้ว สามารถช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณต้นคอที่ตึงคลายลงได้ค่ะการครอบแก้วจะช่วยดึงพิษเย็นที่อยู่ในร่างกาย สังเกตได้ว่าจุดไหนปวด จุดนั้นจะดำเป็นพิเศษการฝังเข็ม ช่วยกระตุ้นจุดที่ปวดใต้ผิวหนังชั้นลึก ทำให้คลายตัวได้ดี เลือกวิธีรักษาที่เหมาะกับตัวเอง แต่ถ้าไม่แน่ใจปรึกษากับคุณหมอ เพื่อสุขภาพที่ดีของเรานะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

8 อาการ ร่างกายฟ้องว่าคุณกำลัง “ทำงานหนัก”

19 ธ.ค. 2023

8 อาการ ร่างกายฟ้องว่าคุณกำลัง “ทำงานหนัก”

1.ปวดตาและตาแห้งคนที่ทำงานหนักมักจะมีอารมณ์เครียด ทำให้ตับเสียสมดุล ดวงตาเป็นประตูแห่งตับ เมื่อตับร้อน จะทำให้ปวดตา ตาร้อน และตาแห้งได้นะคะ แพทย์แผนจีนแนะนำให้เอาผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนแล้วประคบไว้บริเวณดวงตาประมาณ 30 นาทีค่ะ2.เจ็บคอ เสียงแหบการทำงานหนักจะทำให้ใจร้อน เร่งรีบ แล้วร่างกายจะร้อนตามหัวใจไปด้วย คนที่ทำงานหนักมักจะเจ็บคอ หรือเป็นแผลในปากได้ง่าย อันนี้แพทย์แผนจีนแนะนำให้ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งนะคะ จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้ค่ะ3.ปวดหัว มึนหัวความเครียด ทำให้ตับขาดสมดุล เมื่อตับขาดสมดุลก็จะเกิดความร้อนที่ตับ ความร้อนมีลักษณะที่พุ่งขึ้น ทำให้รู้สึกปวดหัวหรือมึนหัวได้ง่าย แพทย์แผนจีนแนะนำให้ใช้นิ้วมือนวดด้วยตัวเองบริเวณระหว่างหัวคิ้ว ท้ายทอย และขมับสัก 30 นาที จะช่วยผ่อนคลายอาการปวดหัวได้ แต่ถ้ามีโอกาสลองไปฝังเข็มดูนะคะ จะทำให้หัวโล่งโปร่งสบายทีเดียว4.กล้ามเนื้อบริเวณไหล่แข็งกว่าปกติอาการนี้เป็นผลจากการนั่งท่าเดียวนานๆ ทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่ดี และเกิดการเกร็งบริเวณไหล่ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นแข็งกว่าปกติ แพทย์แผนจีนแนะนำให้นวด หรือไม่ก็ลองจัดกระดูก ฝังเข็มค่ะ5.รับประทานอาหารมากกว่าปกติภาวะเครียดจะทำให้เรารับประทานอาหารมากเป็นพิเศษ ตามหลักแผนจีนนั้นเมื่อม้ามอ่อนแอจะทำให้ไฟในกระเพาะมากขึ้น ไฟมากก็เผาพลาญแรง พลอยให้กินอาหารไม่อิ่ม และอยากกินเรื่อยๆ ข้อนี้อาจต้องใช้ยาทานเข้าช่วยปรับสมดุลในร่างกายค่ะ6.ความจำลดลงการทำงานหนักจะเผาพลาญพลังของร่างกาย โดยส่วนใหญ่แล้วพลังนี้จะมาจากไต พลังไตเป็นพลังที่หล่อเลี้ยงสมอง หากพลังไตโดนใช้ไปหมด พลังไตก็จะขึ้นไม่ถึงสมอง ทำให้ความจำเราลดลง แพทย์แผนจีนแนะนำให้นั่งสมาธิค่ะ ช่วยได้จริงๆ7.หงุดหงิดง่ายหงุดหงิดง่ายอันนี้ปกติค่ะ ใครทำงานหนักแล้วไม่หงุดหงิด นับถือจริงๆ ความหงุดหงิดเกิดมาจากความเครียดที่สะสม อาการนี้ตามหลักแพทย์แผนจีนเรียกว่า 'พลังตับติดขัด' แบบว่ามันแน่นอก ต้องยกออก เป็นบ่อยกับคนที่เครียด วิธีแก้อาจจะต้องปล่อยวาง หรือกินยาปรับสมดุล ลดไฟในตับค่ะ8.ร่างกายรู้สึกเหนื่อยง่ายเหนื่อยง่ายมาจากสาเหตุที่ร่างกายทำงานหนัก ใช้พลังจนหมด ในทางแพทย์แผนจีน เมื่อพูดว่าพลัง ก็คือ'ชี่' เมื่อพลังชี่อ่อนแอ หรือใช้จนหมดก็เหมือนแบตเตอรี่ที่เหลือไฟแค่ขีดเดียว รอเวลาชาร์ต ซึ่งแพทย์แผนจีนแนะนำให้ดื่มชา หรือซุปที่มีส่วนผสมของโสมอเมริกา เพราะสรรพคุณเป็นยาบำรุงพลังและหยิน หรือว่าทานยาปรับสมดุลก็ได้เช่นกันค่ะ มีกันกี่อาการคะ ลองสังเกตตัวเอง หาเวลาพักผ่อน หรือจะเปิด GREEN WAVE ฟังไปด้วยตอนทำงาน ช่วยผ่อนคลายไปในตัวนะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

album

0
0.8
1