ตัดสินใจแบบนี้ถูกไหม? หนุ่มโทรปรึกษา 3 ดีเจในรายการ... ล่าสุด มูลนิธิผู้ยากไร้ ติดต่อมาบอกว่า พี่สาวต่างพ่อที่ไม่ได้เจอกัน มาเป็น 10 ปี เป็นมะเร็งตับ ป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เขาอยากให้ไปเคลียร์กันก่อนถึงวาระสุดท้าย แต่ผมจะยังไม่บอกแม่...

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

ตัดสินใจแบบนี้ถูกไหม? หนุ่มโทรปรึกษา 3 ดีเจในรายการ... ล่าสุด มูลนิธิผู้ยากไร้ ติดต่อมาบอกว่า พี่สาวต่างพ่อที่ไม่ได้เจอกัน มาเป็น 10 ปี เป็นมะเร็งตับ ป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เขาอยากให้ไปเคลียร์กันก่อนถึงวาระสุดท้าย แต่ผมจะยังไม่บอกแม่...

11 ส.ค. 2023

        ตัดสินใจแบบนี้ถูกไหม? หนุ่มโทรปรึกษา 3 ดีเจในรายการ...

ล่าสุด มูลนิธิผู้ยากไร้ ติดต่อมาบอกว่า พี่สาวต่างพ่อที่ไม่ได้เจอกัน

มาเป็น 10 ปี เป็นมะเร็งตับ ป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ 

เขาอยากให้ไปเคลียร์กันก่อนถึงวาระสุดท้าย แต่ผมจะยังไม่บอกแม่

เพราะกลัวแม่จะเครียด ผมควรทำยังไง จะบอกหรือไม่บอกแม่ดี?

         “คุณเค (นามสมมุติ)” อายุ 36 ปี สายที่สามของรายการ “พุธทอล์ค พุธโทร” เมื่อคืนวันพุธที่ผ่าน (2 ส.ค.66) ได้โทรเข้ามาปรึกษาพี่ๆดีเจ ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาชีวิตว่าคิดถูกไหมที่ไม่ได้บอกแม่ว่าพี่สาวป่วยติดเตียง

        โดย “คุณเค (นามสมมุติ)” อายุ 36 ปี เล่าว่า ‘ผมมีพี่สาวต่างพ่อที่ไม่ได้เจอกันมา 10 ปีแล้ว จนมีมูลนิธิผู้ยากไร้ได้ติดต่อมาหาผม แล้วบอกว่าพี่สาวเป็นผู้ป่วยติดเตียงและมองไม่เห็น ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิก็แจ้งกลับมาว่าพี่สาวผมเป็นมะเร็งตับอยู่ในระยะสุดท้าย ไม่สามารถที่จะรักษาได้เเเล้ว

        ซึ่งพี่สาวคนนี้เป็นพี่สาวคนละพ่อกัน ก่อนหน้านี้แม่กับพี่สาวก็เจอกัน พี่สาวเป็นคนมาหา ปกติแม่ไม่เคยมีการพูดถึงพี่สาวเลย นอกจากจะหลุดพูดมาจริงๆ แต่นานๆที เขาจะหลุดมาสักครั้งสองครั้ง ทางพี่สาวก็ไม่มีญาตินอกจากลูกของเขาที่อยู่สถานกำพร้า

        ผมได้เจอกันครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะเป็นแบบนี้ก็ปี 2550 ล่าสุดผมก็ไปเยี่ยมเขามาแต่ตอนนั้นเขาพึ่งได้รับยานอนหลับไป ได้เจอตอนเขานอนหลับอยู่ก็เลยไม่ได้คุยกัน สำหรับสติของพี่สาวการรับรู้ไม่ได้ 100% เดี๋ยวผมจะลองหาเวลาไปเจอเขาในช่วงที่เขาไม่ได้หลับ อาจจะลองพูดคุยดูถ้าเขาพอที่จะพูดคุยได้

        ณ ตอนนี้ทางมูลนิธิเหมือนเขาอยากให้ไปเคลียร์กันก่อนจะถึงวาระสุดท้าย แต่ทีนี้ผมตัดสินใจว่า จะยังไม่บอกคุณแม่จนกว่าไฟนอลหรือแย่สุดคือตอนเขาไม่อยู่เเล้ว ใจผมคือ...ไม่อยากบอกแม่ เลยตัดสินใจที่จะไม่บอก ผมประเมินสภาพจิตใจของแม่น่าจะรับไม่ไหว เพราะเขาก็อายุเยอะ เดี๋ยจะมีรักษาดวงตาด้วย แล้วแม่ก็เป็นคนที่ชอบคิดมาก ย้ำคิดย้ำทำ ช่วงนี้ก็ใกล้ผ่าตัดผม ผมก็กลัวว่าแม่จะเครียด

        ผมอยากปรึกษาพี่ๆดีเจว่า ‘ถ้าผมตัดสินใจในวันนี้มันโอเคไหมหรือว่ามันมีทางอื่นที่พวกพี่ๆคิดว่ามันดีกว่านี้มั้ย?’

        ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าเป็นหอมจะแกล้งๆถามแม่แบบสมมติเหตุการณ์ ถามว่า พี่คนนี้เป็นไงบ้าง แม่ได้ติดต่อมั้ย แม่คิดถึงมั้ย? แล้วถ้าเขาไม่อยู่แม่จะว่าไง ค่อยๆประเมินไป ถ้าเเม่บอกว่าถ้าเขาจะไปก็อยากเจอนะ ก็ต้องทำให้ตามนั้น เพราะว่ามันก็เป็นสิทธิของคุณแม่เหมือนกันที่จะได้บอกลาลูกสาวของเขา เเต่ถ้าเเม่คิดว่าก็ไม่ได้เจอกันแล้ว ไม่สนใจมันจะตายก็ชั่งมันอะไรแบบนี้ เราก็ไม่ต้องบอก เคน่าจะรู้ว่าจะแกล้งถามยังไงเพราะเเม่ของเค เคน่าจะรู้ดีสุด’

        ทางด้าน “ดีเจเติ้ล” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าระหว่างรู้กับไม่รู้ คุณแม่จะเจ็บปวดอันไหนมากกว่ากัน ณ ตอนนี้ทำไมเราถึงไปคิดแทนเขา ในมุมที่ถ้าเขามีอะไรกันจริงๆนะ ถ้าคุณแม่ได้กลับเพื่อไปอโหสิกรรมมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้อววิตกกังวล การที่เขาจะได้รู้ว่าลูกสาวเขากำลังจะเสียชีวิตแล้วเขาอยากจะมีอะไรที่พูดกัน พี่คิดว่าการที่หลานเอาเบอร์คุณเคให้ทางเจ้าหน้าที่แล้วบอกว่าจะให้เคลียร์ใจกัน มันก็น่าจะมาจากฝั่งพี่สาวว่าเขาอยากจะเจอคุณแม่ของเขานะ เข้าใจในความหวังดีของคุณเค แต่สำหรับคุณแม่มันจะโอเคไหม ถ้าสุดท้ายเขารู้ว่าลูกจะเสียชีวิตเเล้ว เขาอยากจะไปส่งเเล้วการที่คุณเคไปตัดตรงนี้ออกบางทีอาจจะไม่ใช่ในสิ่งที่เขาต้องการ’

        ส่วน “ดีเจเผือก” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘รู้สึกว่าพี่สาวคุณเคชีวิตเขาน่าสงสาร ทั้งโรคภัยหรือแม้กระทั่งญาติใกล้ชิดก็ไม่มี ผมเคารพการตัดสินใจของคุณเคอยู่ในระดับหนึ่ง อยากให้ลองทบทวนดูอีกสักที อย่างน้อยคุณเคไปอยู่กับเขาในวาระสุดท้ายในสถานะลูกพี่ลูกน้องก็ยังดีกว่าปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวนะ ไม่ช้าหรือเร็วคุณแม่ก็อาจจะรู้เรื่องนี้ คุณเคลองคิดดูว่าเวลาไหนที่เหมาะกับการบอก อย่าปล่อยให้พี่สาวโดดเดี่ยวไปมากกว่านี้เลย’

        สุดท้ายนี้...พี่ๆดีเจยังบอกอีกว่า ‘พี่สาวเขายังมีแม่อยู่นะ เขาเป็นสายเลือดเดียวกัน แม่คุณเคมีคุณเค แต่พี่สาวไม่มีใครเลยนะ เขาอาจจะเหลือแม่แค่คนเดียว เเล้วก็เป็นกำลังใจให้กับคุณเคและขอให้ทุกการตัดสินใจส่งผลดีกับคุณเคด้วย’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หรือเราต้องเป็นฝ่ายยอม? สาวโทรปรึกษา 3 ดีเจในรายการ คบกับแฟนชาวอินเดียได้ 6 เดือน แฟนมาบอกว่า “ต้องกลับบ้านไปแต่งงาน” เป็นวัฒนธรรม ประเพณีที่บ้านเขาทำมานานแล้ว ขอกลับไปอยู่ 3 เดือน จะต่อวีซ่าแล้วกลับมาอยู่ด้วยกันอีก 4 ปี ตอนนี้สับสนไปหมด ควรรอไหม?

01 ก.ย. 2023

หรือเราต้องเป็นฝ่ายยอม? สาวโทรปรึกษา 3 ดีเจในรายการ คบกับแฟนชาวอินเดียได้ 6 เดือน แฟนมาบอกว่า “ต้องกลับบ้านไปแต่งงาน” เป็นวัฒนธรรม ประเพณีที่บ้านเขาทำมานานแล้ว ขอกลับไปอยู่ 3 เดือน จะต่อวีซ่าแล้วกลับมาอยู่ด้วยกันอีก 4 ปี ตอนนี้สับสนไปหมด ควรรอไหม?

หรือเราต้องเป็นฝ่ายยอม? สาวโทรปรึกษา 3 ดีเจในรายการคบกับแฟนชาวอินเดียได้ 6 เดือน แฟนมาบอกว่า “ต้องกลับบ้านไปแต่งงาน”เป็นวัฒนธรรม ประเพณีที่บ้านเขาทำมานานแล้ว ขอกลับไปอยู่ 3 เดือนจะต่อวีซ่าแล้วกลับมาอยู่ด้วยกันอีก 4 ปี ตอนนี้สับสนไปหมด ควรรอไหม?ใจจริงไม่อยากเลิก แต่ก็ทนเห็นเขาอยู่กินกับผู้หญิงอีกคนไม่ไหว... “คุณบี (นามสมมติ)” อายุ 24 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [30 ส.ค. 66] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจไตเติ้ล - ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาคบกับแฟนต่างชาติแต่แฟนต้องกลับไปแต่งงานกับคนที่พ่อแม่เลือกให้ โดย “คุณบี (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูคบกับผู้ชายอินเดียมาได้ 6 เดือน ตั้งแต่คบกันมาราบรื่นดี ไม่เคยมีเรื่องอะไรกันเลย จนล่าสุดเมื่อ 3 วันที่แล้วเขามาบอกกับหนูว่า เขามีความจำเป็น ต้องกลับบ้านที่ประเทศอินเดีย เพื่อไปแต่งงานกับคนที่พ่อ-แม่เขาหาไว้ให้ หนูก็ช็อกและถามเขาว่า ทำไมต้องกลับไปแต่ง หรือ คุณมีภรรยาอยู่ที่นู้นใช่มั้ย? ทำไมคุณไม่บอกฉัน เขาบอกว่า เขามาไทย เขาไม่มีใครเลย เขาโสด 100% แต่ที่เขาต้องกลับไป มันเป็นเพราะประเพณีทางบ้านเขา มันยังมีการคุมถุงชนอยู่ เขาบอกว่าเขามีความจำเป็นต้องกลับไปแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ เขาบอกว่า เขาไม่ทำไม่ได้ เพราะมันเป็นหน้าที่ที่ลูกต้องตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ตอนนี้เขาทำงานอยู่ที่ประเทศไทย เขาบอกว่าเขาจะต้องกลับไปแต่งงานอีก 3 เดือนข้างหน้า และก็อยู่ที่นั่นอีก 3 เดือน แล้วเขาก็จะต่อวีซ่ากลับมาอยู่ที่ประเทศไทยอีก 4 ปี หนูก็ถามเขาว่า แล้วฉันล่ะ? เขาบอกว่าคนที่พ่อกับแม่เลือกให้ เขาไม่ได้รักเลย คนที่เขาเลือกก็คือหนู แต่เขาต้องทำเพราะมันเป็นหน้าที่ หนูไม่โอเคเลย การที่เห็นแฟนไปแต่งงานกับคนอื่นมันไม่โอเคอยู่แล้ว หนูไม่ยอมหรือเรียกร้อง ทำอะไรไม่ได้เลย แล้วหนูก็ไปเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมบ้านเขาไม่ได้เลย ก่อนที่หนูจะตกลงคบ หนูก็ไม่ได้เช็คหรือถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่บ้านเขาเลย และเขาก็ไม่เคยเล่าให้ฟังเลยว่าบ้านเขามีวัฒนธรรมแบบนี้ เขาบอกว่าถ้าเกิดเขามาเล่าให้หนูฟัง เขาก็กลัวหนูรับไม่ได้และกลัวเสียหนูไป หนูก็มีคิดอยากแต่งงานกับเขาแล้ว แต่เขาเคยบอกว่า วัฒนธรรมทางบ้านเขา ผู้ชายอินเดียถ้าเกิดจะมีภรรยาแรกที่แต่งงานกันต้องมีเชื้อสายอินเดียเท่านั้น! ตอนแรกหนูก็ไม่ยอมและตัดบทเขาไปว่า ฉันจะเลิกกับคุณ ทีนี้เขาก็ไม่ยอมเลิกกับหนู หนูดูออกเลยว่าเขารักหนูมากๆจริงๆ เขาไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้นเลย เขาไม่ได้เลือกคนนั้น เขาไม่ได้ไปเจอ ไปคุย เขามาเจอหนูก่อน เขารักหนูก่อน แต่เขาต้องทำเพราะมันเป็นหน้าที่ หนูรู้สึกเสียใจมากที่อีก 3 เดือนข้างหน้าต้องเห็นเขาแต่งงานกัน หนูอยากถามพี่ๆดีเจว่า หนูต้องทำยังไงดี? ต้องอยู่แบบนี้ไป ต้องยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ยอมรับทางบ้านเขา เอาจริงๆ หนูไม่ได้อยากเลิกเลย... งานนี้ทั้ง 3 ดีเจให้คำปรึกษา “คุณบี (นามสมมติ)” ว่า ‘เขามีหน้าที่ต้องไปแต่งงาน แต่หน้าที่ของเขามันดันกระทบเรา ให้เรากลายเป็นเมียน้อยไปปริยาย ต้องถามบีว่าสมัครใจอยู่ในตำแหน่งนี้หรือเปล่า... ความรักมันเป็นเรื่องของคนสองคน พวกพี่คงไปตัดสินใจอะไรแทนไม่ได้ ถ้าบีแฮปปี้กับตำแหน่งนี้ก็สามารถอยู่ได้ แต่ถ้ารับสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้ พี่มองว่าบีกับแฟนอยู่กันแค่ 6 เดือนเอง ช่วง 6 เดือนมันยังเป็นความหวือหวา เป็นช่วงที่อินเลิฟกันอยู่ เราอาจจะยังไม่เห็นข้อเสียของกันและกันเลย มันเป็นช่วงที่เราต่างเอาใจกัน ความเป็นตัวเองยังไม่ออกมาหมดเลย ถ้ารับประเพณีบ้านเขาไม่ได้ แนะนำให้บีเปลี่ยนบ้าน เปลี่ยนไปประเทศอื่นเลย แต่ถ้าจะรักคนนี้จริงๆ ก็ต้องเข้าใจเขาว่าประเพณีมันเป็นแบบนั้น ถ้าบ้านเขาต้องการให้เขาแต่งงาน บีก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว มันไม่มีทางที่เขาจะมาอยู่กับเราได้ตลอดไป บีต้องยอมรับความจริงให้ได้ และถึงตอนนั้นบีจะเห็นว่ามันไปรอดกันยาก ไม่มีใครอยากไปเป็นเมียน้อยใคร เมื่อเราเห็นอยู่แล้วว่าเรื่องนี้ไม่จบแน่ แต่มันต้องใช้เวลา ยิ่งเราตัดใจได้เร็ว มูฟออนได้เร็ว ปัญหานี้ก็จะจบเร็ว พี่ไม่อยากให้เคสของบีมันเรื้อรัง ต่อให้เคลียร์กันได้ในรูปแบบการใช้ชีวิต มันก็ยังไม่ใช่ชีวิตที่บีต้องการหรอก บางทีเราเจอคนที่ถูกใจ แต่มันผิดเวลา จังหวะการเจอกันมันเป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นถ้ามูฟออนได้ก็จะดีมาก...เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ผิดหรอครับที่ผม Move on จากความเศร้าได้ไว... คุณพ่อเพิ่งเสียชีวิต ผมร้องไห้หนักชั่วโมงเดียว แล้วบอกตัวเองเดินหน้าต่อ แต่ญาติไปบอกแม่ว่า "ถ้าร้องแค่นี้แสดงว่าไม่รักพ่อเลย หวังแค่สมบัติพ่อรึเปล่า?"

01 เม.ย. 2024

ผิดหรอครับที่ผม Move on จากความเศร้าได้ไว... คุณพ่อเพิ่งเสียชีวิต ผมร้องไห้หนักชั่วโมงเดียว แล้วบอกตัวเองเดินหน้าต่อ แต่ญาติไปบอกแม่ว่า "ถ้าร้องแค่นี้แสดงว่าไม่รักพ่อเลย หวังแค่สมบัติพ่อรึเปล่า?"

ผิดหรอครับที่ผม Move on จากความเศร้าได้ไว... คุณพ่อเพิ่งเสียชีวิต ผมร้องไห้หนักชั่วโมงเดียวแล้วบอกตัวเองเดินหน้าต่อ แต่ญาติไปบอกแม่ว่า "ถ้าร้องแค่นี้แสดงว่าไม่รักพ่อเลย หวังแค่สมบัติพ่อรึเปล่า?"คุณแม่ก็ฟังคำพวกเขา ตอนนี้ทุกคนในบ้านยังเสียใจร้องไห้ไม่หยุด ผมจะทำยังไงดี “คุณมิน(นามสมมติ)” อายุ 29 ปี สายที่ 4 ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [27 มี.ค. 67] ได้โทรมาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล และ ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับมูฟออนจากการเสียคุณพ่อเร็วเกินไป จนที่บ้านคิดว่าไม่เสียใจเลยหรอ... โดย “คุณมิน(นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ผมมูฟออนไวจากการเสียคุณพ่อ ผมผิดหรือเปล่า? คือคุณพ่อของผมเสียชีวิตเมื่อปีที่แล้ว และผมสนิทกับพ่อมาก พ่อผมเสียชีวิตที่กรุงเทพแต่ผมนั่งรถขนศพคุณพ่อ มาทำพิธีที่บ้านเกิดของพ่อ ที่บ้านก็เตรียมไว้เรียบร้อยและจัดการทุกอย่าง หลังจากเอาศพของพ่อไปไว้ที่วัด ผมก็กลับมาที่บ้าน พอมาที่บ้านก็เห็นบรรยากาศและนึกถึงพ่อว่า... ต่อไปนี้บ้านที่พ่อสร้างจะไม่มีพ่อตลอดไปแล้วนะ ผมก็ร้องไห้ชั่วโมงเดียว แล้วก็จบนั่นคือการร้องไห้ครั้งเดียวตอนที่ผมสูญเสียคุณพ่อ ผมก็ไปช่วยงานศพปกติ แต่อยู่ๆก็มีญาติของแม่บอกว่าไม่คิดจะร้องไห้ให้พ่อหน่อยหรอ? ผมก็บอกว่าผมร้องไปแล้ว ผมทำใจได้แล้ว จะร้องทำไมเยอะแยะ เขาก็พูดกับมาว่า ถ้าร้องแค่นี้แสดงว่าไม่รักพ่อจริงนะ ส่วนแม่ผมก็ร้องไห้เหมือนขาดสติก็มีญาติคนนี้แหละที่คอยปลอบเขา คอยให้กำลังใจ ผมเป็นคนที่ปลอบคนไม่เก่ง เพราะผมเป็นคนที่สนิทกับพ่อและมูฟออนไวไม่ยึดติดอะไรมาก น้าเค้าก็บอกว่าเนี้ยไม่รักพ่อจริงนี่น่า ถ้ารักจริงก็ต้องร้องไห้มากกว่านี้สิ อย่างนี้ก็ดูออกว่าไม่รัก หวังสมบัติ เขาก็ไปบอกแม่ผม ซึ่งแม่ก็สนิทกับเขาอยู่แล้ว แม่ผมก็เชื่อเขา แม่ผมก็มาต่อว่าผมด้วยทำนองเดียวกันว่าทำไมถึงไม่ร้องไห้เลย ระหว่างช่วงงานศพเวลากลางวันผมก็มีการเข้ายิมปั้นหุ่น เพราะนอกจากงานประจำผมรับงานนายแบบด้วย ผมมีถ่ายงานช่วงก่อนสงกรานต์ที่ต้องใช้รูปร่างเลยไปเข้าฟิตเนส เขาเลยบอกว่า เนี่ยช่วงงานศพพ่ออยู่ยังมีอารมณ์ไปเล่นฟิตเนส เข้ายิมอีกหรอ? พอหลังจากจบงานศพจากพระสวดเสร็จ ผมก็กลับมาที่บ้าน และผมเป็นคนที่ชอบเต้นตามเทรน ผมก็เต้นอยู่ในห้องของผมในจังหวะเดียวกัน แม่เปิดประตูมาเจอและบอกว่าทำไมอารมณ์ดีในช่วงงานศพพ่อ แต่ผมก็เต้นในห้องของผมไม่ได้ไปเต้นในวัดผมก็รู้กาลเทศะ แค่บรรยากาศในบ้านก็อึมครึมพอแล้ว เพราะว่าทุกคนก็มานอนกันอยู่ที่บ้านและมีแต่เสียงร้องไห้ แล้วผมเป็นคนเดียวที่มูฟออนอยู่คนเดียวในบ้าน ผมก็ฟังเพลง เต้นของผมอยู่คนเดียวในบ้าน ผมก็โดนด่า แต่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่รักพ่อนะ ถ้าพ่อยังอยู่พ่อก็คงโอเคกับการที่ผมทำอย่างนี้ด้วยซ้ำ แต่ในมุมมองของคนอื่นเขาอาจจะไม่โอเค แล้วแม่ก็จะเชื่อคำพูดของญาติ ๆ มาก ตอนนี้ก็เหลือผมที่ Work form home อยู่ที่บ้านกับแม่แค่ 2 คน แม่ก็เอาแต่โทษผมว่าผมไม่รักพ่อ ผมก็พูดกับแม่แบบจริงใจสุด ๆ แล้วว่าที่ผมไม่เศร้าไม่ใช่ว่าผมไม่รักนะ ผมอยากกลับ กทม. มากเลยแต่ผมก็เป็นห่วงแม่ อยากถามพี่ๆดีเจว่า ผมจะ Work form home ต่อดีไหม? หรือจะหนีความ toxic ไปเลย ซึ่ง “ดีเจเผือก” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าถามว่าพี่รู้สึกยังไงถ้าสมมุติพี่เป็นญาตินั่งอยู่ตรงนั้น เรื่องร้องไห้ตัดไปเลยเพราะมันไม่เกี่ยวการร้องไห้ไม่ได้แสดงรักหรือไม่รัก การร้องไห้คือการแสดงออกของอารมณ์ ณ ตอนนั้น บวกกับใครที่สามารถควบคุมและกลั้น คนบางคนที่เขาไม่ร้องเขาอาจจะกลั้นมันอยู่มือเค้าอาจจะกำ แทบจะจิกเข้าไปในเนื้อแต่แค่ว่าน้ำตาเขาไม่ได้อยากให้ไหลออกมาด้วยหลากหลายสาเหตุ เพราะฉะนั้นอย่าเอาการที่ว่าร้องไห้เยอะหรือร้องไห้น้อยมาวัดว่ารักหรือไม่รัก ถ้ามีญาติมาคุยกับพี่แบบนี้พี่ด่า อันนี้พี่มองว่ามันไม่เกี่ยว แต่พี่มาสะดุ้งนิดนึงตอนเต้นอันนี้พี่ตกใจพี่พูดตรง ๆ แต่พี่ก็จะแค่ตกใจที่เต้นพี่ก็คงจะไม่ไปผูกกับเรื่องที่ว่าไอ้นี่ไม่รักพ่อถึงเต้น อย่างมากพี่ก็จะคิดแค่ว่า อ๋อ มันทำใจได้เร็ว เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าเวลานี้แล้วเอายังไงต่อ ก็ถ้าที่บ้านเขาอยู่กันได้แล้วเราก็สามารถ Work form home ได้ก็อยู่ดูอีกสักหน่อย ให้เขาค่อย ๆ ทำใจกันได้ เพราะถ้าคนใดคนหนึ่งในครอบครัวเสียชีวิตบรรยากาศความเศร้ามันก็ตลบอบอวลอบอยู่ในนั้นสักพักนึง แต่สุดท้ายแล้วทุกชีวิตมันก็จะค่อย ๆ เดินต่อตามความจำเป็นของแต่ละคน บางคนชีวิตเขาไม่ต้องมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบมากหรือไม่ได้มีสิ่งที่จะต้องลุกขึ้นและเดินต่อ เขาก็สามารถปล่อยให้มันจมอยู่กับความเศร้าได้เต็มที่ แต่สำหรับคนที่พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงาน มันก็ต้องตื่นก็ต้องหยุดร้องไห้ เพราะฉะนั้นเราก็คงไม่ตัดสินว่าใครจะร้องมากร้องน้อย ชีวิตแล้วสุดท้ายจะ ช้าหรือเร็วมันก็ต้องเดินต่อ และถ้ามินถามว่ามินจะต้องอยู่ต่อไหมก็กลับมาที่พี่พูดเมื่อกี้ แล้วชีวิตมินจำเป็นที่จะต้องเดินต่อหรือยัง งานการมันต้องลุยเลยไหม ถ้ามีก็ไปทำแต่ถ้ามันยังอยู่ดูแลกันได้ใช้เวลาตรงนี้ได้ ก็ลองอยู่อีกสักหน่อย สุดท้ายชีวิตมันก็ต้องเดิน’ ซึ่ง “ดีเจเติ้ล” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่แยกก่อนนะเรื่องร้องไห้ พี่ว่าหลายคนเป็นบางทีเจอเรื่องเศร้าแล้วมันไม่ร้อง พี่เองก็เป็นพี่เสียน้ำตาให้เรื่องที่ตัวเองมีความสุข แต่คนตายหรืออะไรอย่างเงี้ยไม่ร้อง ไม่รู้ว่าเป็นอะไรแต่ว่าพี่เป็นนิสัยอย่างเงี้ย ซึ่งพี่ว่าหลาย ๆ คนเป็น บางทีเราอาจจะรู้สึกเสียใจข้างในแต่แค่ว่ามันไม่ร้องออกมา อีกเรื่องหนึ่งเท่าที่พี่ฟังมินมาพี่ว่ามินเป็นคนสุขนิยมจริง ๆ หมายถึงว่าพร้อมที่จะบล็อกเรื่องที่ไม่สบายใจได้เลย แล้วก็มีความสุขกับตัวเองได้เลย กับอีกแบบนึงมินเป็นคนที่ ถ้าบรรยากาศรอบข้างมันทำให้มินไม่มีความสุข มันจะทำอะไรบางอย่างเพื่อที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกว่า ไม่อยากเป็นแบบนั้นมันก็เลยเกิดอาการเต้นออกมาถ้าให้เราวิเคราะห์ แต่ไม่ว่าอย่างไรพี่รู้สึกว่าเหมือนมินจะลืมนึกถึงความรู้สึกคนรอบข้างไปหน่อยในกรณีนี้ สำหรับพี่นะคือมินรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าคนรอบข้างบ้านมินเขาเป็นแบบนี้กันหมด เหมือนเขาต้องการให้เราอยู่ฝั่งเดียวกับเขา ด้วยการแสดงออกหรืออะไรก็ได้ พี่ไม่ได้หมายความว่าให้มินไปร้องห่มร้องไห้กับเขานะ แต่พี่รู้สึกว่าถ้าบางอย่างทำได้เช่นเรารู้อยู่แล้วว่าเขาจับตามองเราแล้วการเต้นของมินอาจจะรู้ว่าเค้าจะเห็นเราก็ต้องห้ามตัวเอง ซึ่งมินต้องนึกถึงแม่ด้วยว่าตอนนี้เขาเศร้าอยู่ เราอ่ะไม่อยากเศร้าอยากมูฟออนนั่นมันไม่ผิด แต่ ณ ตอนนี้เขายังไปไหนไม่ได้ ณ ตอนนี้เขายังไม่มีใคร เพราะฉะนั้นมินอาจจะต้องบังคับตัวเองอยู่เป็นเพื่อนเขาก่อนนะตอนนี้ ในฐานะลูก ที่จะทำให้แม่ได้ พี่รู้สึกว่าถ้ามินแบบไม่เอาแล้วว่ะไม่อยากเศร้าแล้ว พี่ว่าอันนี้มันก็สนใจแต่เรื่องเราเกินไป มันก็ต้องฝืนใจตัวเองแหละพี่รู้ว่ามินไม่อยากเศร้าอยู่ในบ้านหลังนี้ แต่ทำยังไงได้ถ้าแม่ที่เขารักเราแล้วเขายังเศร้าอยู่ เราก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนเขาก่อน แล้วรอเวลาที่เขาดีขึ้นเราก็กลับมา ใช้ชีวิตของเราได้’ ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘เป็นคนหนึ่งที่เห็นด้วยว่าตอนนี้ควรอยู่ดูใจแม่ เพราะบรรยากาศในบ้านตอนนี้แม่เขาดูเจ็บมากถ้าเราทิ้งไปอีกคนนึงแม่ก็ไม่เหลือใคร อยากให้มินมองภาพรวมของบ้านมากกว่าเรื่องราวของตัวเอง การมูฟออนได้เป็นสิ่งที่ไม่ได้ดูแย่อะไรเลยเพียงแต่ว่าบรรยากาศในบ้านเราต้องไม่สวนทางกับเขา เราอาจจะต้องสำรวมสักนิดนึงแต่การที่เราไม่ร้องไห้มันไม่ผิดเลยแล้วญาติคือผิด ส่วนมินพี่ว่าอยู่ที่นั่นก็ปั้นหุ่นได้นะ จะเข้ายิมหรือเล่นฟิตเนสไปได้เลย เพราะว่าเราต้องทำงานแล้วเมษาเรามีงานเราก็กลับไปทำงานเท่านั้นเอง แต่พี่ว่าเวลานี้เราไม่ควรทิ้งคุณแม่ เพราะว่าสภาพจิตใจเขาแย่ถ้าเราไม่ดูเขาก็ไม่มีใครดูเขา แล้วสภาพจิตใจเขาตอนนี้คือแกว่งมาก เหมือนลอยอยู่กลางน้ำ มินอาจจะต้องทำอะไรที่ไม่ขัดหูขัดตาเพิ่ม เราบอกตัวเองเลยว่าเรามีหน้าที่เป็นยารักษาเขา เพราะฉะนั้นอะไรที่เป็นพิษต่อเขามินเลี่ยงแค่ช่วงนี้ที่เขาจะหนัก อดทนหน่อยเพราะตอนนี้เราคือที่พึ่ง เวลานี้เขาต้องการเราก็มีมินนั่นแหละที่ต้องอยู่ตรงนี้กับเขา’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

คุณพ่อ ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แต่สุดท้ายปฏิเสธการรักษาเพราะ … ไปใช้สิทธิประกันสังคม ครั้งแรกได้ยินพยาบาลบ่นใส่ “เบื่อตาแก่คนนี้จัง” ครั้งที่สอง ขอให้พาไปห้องน้ำหน่อยได้ไหม? พยาบาลบอก “ตายในห้องน้ำมาหลายคนแล้ว” จนครั้งนี้ เศร้าที่สุดคือ พ่อบอก...

21 ส.ค. 2023

คุณพ่อ ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แต่สุดท้ายปฏิเสธการรักษาเพราะ … ไปใช้สิทธิประกันสังคม ครั้งแรกได้ยินพยาบาลบ่นใส่ “เบื่อตาแก่คนนี้จัง” ครั้งที่สอง ขอให้พาไปห้องน้ำหน่อยได้ไหม? พยาบาลบอก “ตายในห้องน้ำมาหลายคนแล้ว” จนครั้งนี้ เศร้าที่สุดคือ พ่อบอก...

คุณพ่อ ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แต่สุดท้ายปฏิเสธการรักษาเพราะ…ไปใช้สิทธิประกันสังคม ครั้งแรกได้ยินพยาบาลบ่นใส่ “เบื่อตาแก่คนนี้จัง”ครั้งที่สอง ขอให้พาไปห้องน้ำหน่อยได้ไหม? พยาบาลบอก “ตายในห้องน้ำมาหลายคนแล้ว”จนครั้งนี้ เศร้าที่สุดคือ พ่อบอก เปลี่ยนผ้าอ้อมให้หน่อยนะครับ เจ้าหน้าที่บอก...“คนนี้ก็จะตาย คนนั้นก็จะเปลี่ยนผ้าอ้อม มาดูกันว่าใครจะตายก่อนกัน” “คุณปีใหม่ (นามสมมติ)” อายุ 25 ปี สายแรกในรายการพุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา(16ส.ค. 66)ได้โทรเข้ามาปรึกษาดีเจเผือก -ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอมเกี่ยวกับปัญหาคุณพ่อเจอคำพูดที่ทำร้ายจิตใจจากบุคลากรทางการแพทย์จนไม่มีใจอยากรักษา โดย “คุณปีใหม่ (นามสมมติ)” เล่าว่า `พ่อป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย รักษาอยู่ที่โรงพยาบาลรัฐในตัวจังหวัดแห่งหนึ่ง หลังจากที่เข้าคีโมครบหกครั้งแล้ว พ่อมีสภาวะแทรกซ้อน ก็คือเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พ่อมีอาการปวดขาข้างขวาขึ้นมา แล้วทีนี้คุณหมอจะนัดพบทุกๆ 3 เดือน เพื่อตรวจเลือด แต่แกมีอาการปวดขาแล้วไม่ยอมไปหาหมอเลย ด้วยทางบ้านหนูก็ไม่ได้มีรถยนต์ ไม่ได้มีรถส่วนตัว เวลาที่จะไปหาหมอแต่ละทีจะลำบาก ก็ต้องไปรถโดยสารแทน แกเลยรอให้ถึงกำหนดนัดก่อน ถึงจะไปโรงพยาบาล แล้วกำหนดนัดอีกครั้งก็คือ กันยายนเลย แต่ด้วยอาการของแก มันปวดมาก จนนอนไม่ได้ ทานข้าวไม่ได้เป็นระยะเกือบเดือนเลย จนถึงสัปดาห์ที่แล้ว ก็เลยตัดสินใจจะเรียกรถฉุกเฉิน คือจะต้องไปหาหมอแล้วแกรอไม่ไหวแล้ว พอไปถึงโรงพยาบาล คุณหมอตรวจอาการเบื้องต้นและด้วยพ่อมีโรคประจำตัว คุณหมอบอกว่า “จะต้องให้คุณหมอที่เป็นเจ้าของไข้มาดูอาการ และค่อยทำเรื่องส่งไปรักษากระดูก” คือต้องรอก่อน พอคุณหมอเจ้าของไข้มาถึงก็ให้พ่อนอนรอดูอาการที่ห้องรวมคนไข้ เบื้องต้นหนูได้แจ้งหมอไว้แล้วว่า พ่อไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้นะ เพราะคุณพ่อเดินไม่ได้จากอาการปวดขา เวลาที่แกปวดขาก็จะปวดตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาจนถึงเอว รวมไปถึงอวัยวะเพศและมีอาการร้อนมาจากข้างใน และด้วยตำแหน่งเตียงของพ่อจะอยู่ห่างจากห้องน้ำประมาณ 10 เมตร คืออยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้อง หนูก็เลยขอคุณหมออยู่เฝ้าพ่อได้ไหม คุณหมอแจ้งกลับมาว่า ตามปกติแล้วจะไม่ให้ญาติอยู่เฝ้า หนูกับแม่คุยกันว่าไม่เป็นไรถ้าหมอไม่ให้เฝ้า จะให้พ่อใส่แพมเพิสแทน ซึ่งแกไม่เคยใส่แพมเพิสมาก่อน คืนแรกที่ใส่แพมเพิสแกหนูคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร จนวันต่อมาหนูเลิกงานรีบไปหาพ่อเลย สิ่งที่หนูเจอคือ คุณพ่อมีอาการหน้าซีด ตัวสั่นเหมือนตกใจอยู่ตลอดเวลา หนูคิดว่าเป็นอาการจากที่แกไม่ได้กินข้าว หรือปวดขามากจนไม่ได้นอนหรือเปล่า ก็เลยถาม “พ่อวันนี้ปวดขาไหม” แกตอบไม่ค่อยปวดเท่าไหร่ แล้วก็เงียบไป ซึ่งปกติพ่อจะเป็นคนชอบชวนคุย เวลาถามกลายเป็นคนถามคำตอบคำ ซึ่งตามปกติเวลาเยี่ยมของโรงพยาบาลรัฐ เขาจะแบ่งเป็น 3 ช่วง เริ่มจาก 6 โมงเช้า - 8 โมง และช่วงเที่ยง – บ่ายโมง ช่วงสุดท้าย 5 โมง – 1 ทุ่ม พอใกล้หมดเวลาเยี่ยม พ่อก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าแชทไลน์กลุ่ม แล้วพิมพ์เล่าถึงเหตุการณ์แรกที่แกเจอว่า เมื่อคืนพ่อโดนพยาบาลดุ เพราะแกจะให้พยาบาลช่วยเปลี่ยนแพมเพิสให้ ด้วยความที่แกไม่เคยใส่แพมเพิสมาก่อน อาจจะมีอาการร้อนหรือปัสสาวะเต็มแล้ว แกเรียกพยาบาล 2-3 ครั้ง โดยแต่ละครั้งก็เว้นระยะประมาณ 30 นาที พยาบาลก็รับรู้ ฟังที่พ่อพูดแล้วก็เดินหนีไป จนประมาณตี 3 - 4 คุณพ่อก็ถามอีกครั้งว่า “เปลี่ยนแพมเพิสให้หน่อยได้ไหมครับ มันเต็ม” พยาบาลก็ตอบกลับด้วยภาษาอีสาน แปลออกมาก็ความหมายประมาณ ฉันเบื่อตาแก่คนนี้จัง... เหตุการณ์ที่สอง ต่อเนื่องจากที่พยาบาลไม่ยอมเปลี่ยนแพมเพิสให้ แกก็พยายามที่จะลุกไปเข้าห้องน้ำเอง แต่ด้วยความที่แกไม่มีไม้เท้า ทำให้ขณะที่พยายามลุกก็เกิดเสียงดังที่เตียงขึ้น ทำให้พยาบาลหันมาเห็น แล้วถามว่า “ทำอะไร” พ่อก็บอกว่า“จะไปเข้าห้องน้ำครับ พาไปเข้าห้องน้ำได้ไหม” พยาบาลพูดประมาณว่า “ตายมาหลายคนแล้วนะอยู่ในห้องน้ำ” หนูคิดว่าเหมือนพยาบาลจะสื่อว่าเดี๋ยวลื่นอะไรประมาณนี้ จนเหตุการณ์ที่สามที่พ่อเจอคือ เตียงข้างๆเป็นผู้สูงอายุใกล้จะเสียชีวิตแล้ว พยาบาลก็มารุมดูกันที่เตียงแล้วมีคนยืนข้าง ๆเตียงของพ่อ พ่อก็เลยกระซิบบอก “คุณหมอครับ ผมรบกวนเปลี่ยนแพมเพิสให้หน่อยได้ไหม” ซึ่งคนที่ยืนอยู่เป็นบุรุษพยาบาล ตอบกลับพ่อว่า “เอ้า! คนนึงก็จะตาย อีกคนก็จะเปลี่ยนแพมเพิส มาดูกันว่าใครจะตายก่อนกัน” หลังจากนั้นพ่อโทรหาหนู แกขอกลับบ้าน หนูก็ถามแกเป็นอะไรหรือเปล่า เป็นเพราะเหตุการณ์ที่พิมพ์มาใช่ไหม หนูก็บอกแกไม่เป็นไรนะหนูจะคุยกับคุณหมอให้ว่าขอย้ายได้ไหม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เจอคุณหมอ พ่อเซ็นปฏิเสธ การรักษาเองทั้งหมด พอกลับบ้านมา พ่อเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน แกจะพูดเรื่องที่แกเจอย้ำๆ ซ้ำๆ ประมาณว่า พ่อจู้จี้เกินไปหรอ พ่อไปเป็นภาระให้เขาหรือเปล่า หรือเขาคิดว่าพ่อเป็นโรคจิตหรือเปล่า? หลังจากนั้นหนูก็โทรไปร้องเรียนกับทางโรงพยาบาล เขาก็แจ้งมาว่าตอนนี้พ่อมีอาการน่าเป็นห่วงนะ ยังไม่ได้ทำการรักษาอะไรเลย พ่อเซ็นยกเลิกทั้งหมดก่อน หนูบอกเหตุผลที่พ่อยกเลิกการรักษาว่าพ่อเจออะไรบ้าง ทางโรงพยาบาลก็บอก ถ้างั้นจะย้ายตึกให้ ญาติต้องดูแลคนไข้เอง แต่ตอนนี้พ่อไม่อยากรักษาแล้ว แกบอกว่า “ถ้าเกิดพ่อจะตาย ก็อย่าเอาพ่อไปที่นี่อีก” หนูอยากขอคำแนะนำวิธีหรือคำพูดยังไงดี ไม่ให้พ่อโทษแต่ตัวเอง... ซึ่ง “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘พูดไปเลยว่าพยาบาลคนนั้นคงเครียด อาจจะมีเรื่องเยอะแยะมากมาย คนอื่นๆก็โดนแบบนี้เหมือนกัน พ่อไม่ต้องไปสนใจ พูดให้พ่อรับรู้ว่าสิ่งนี้มันไม่ได้เกิดจากพ่อ แต่มันเป็นเพราะตัวของพยาบาลคนนั้น เป็นเรื่องที่เราบังเอิญไปเจอคนแบบนี้ ทางด้าน “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘เอาชื่อไป complain กับทางโรงพยาบาล ให้เขาได้รับรู้ว่าบุคคลนี้เป็นปัญหาของแผนกนั้นอยู่ แล้วพยายามบอกคุณพ่อว่า มันไม่ได้เป็นปัญหาที่พ่อ แต่มันเป็นปัญหาที่คน ลองยกตัวอย่างคนที่เขาดีๆ สุดท้ายไม่ใช่ความผิดของพ่อเลย อาการ ร่างกายที่จะดีขึ้นก็คือ จิตใจต้องดีขึ้นก่อน ถ้าจิตใจเราแข็งแรงเดี๋ยวอย่างอื่นก็จะตามมาครับ สุดท้าย “ดีเจต้นหอม” ให้คำปรึกษาว่า ‘หนูอยากให้คุณพ่อรักษาตัวเอง ไม่ใช่เพื่อใครเลย แต่เพื่อครอบครัวของเรา เพื่อคนที่เรารัก กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเกิดพ่อห่อเหี่ยว คนในบ้านก็จะห่อเหี่ยวตามนะ ขอให้พ่อกลับไปรักษาเราจะได้อยู่กับลูกหลานไปนาน ๆ ส่วนเรื่องพยาบาล พ่อไม่ผิดเลย ยายนั่นมันร้ายเอง คนอย่างยายนั่นต้องเจอคนแบบหนู...’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หัวหน้างานมีลูกมีเมียแล้ว แต่มาขอเลี้ยงดูเรา แบบไม่หวังผลอะไร เราปฏิเสธไปแล้ว แต่เขาก็โอนมาให้ทีละ 1000 2000 5000 ตอนนี้อึดอัด ไม่อยากออกงานเพราะงานดี เงินก็ดี เสียดายงานนี้ จะทำยังไงดี?

12 ธ.ค. 2023

หัวหน้างานมีลูกมีเมียแล้ว แต่มาขอเลี้ยงดูเรา แบบไม่หวังผลอะไร เราปฏิเสธไปแล้ว แต่เขาก็โอนมาให้ทีละ 1000 2000 5000 ตอนนี้อึดอัด ไม่อยากออกงานเพราะงานดี เงินก็ดี เสียดายงานนี้ จะทำยังไงดี?

“คุณเอ (นามสมมติ)” อายุ 23 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (6 ธ.ค 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจต้นหอม – ดีเจเติ้ล – ดีเจอั๋น กับปัญหาพี่ที่ทำงานอยากขอเลี้ยงดูเรา ทั้งๆ ที่เขาก็มีลูกมีเมียแล้ว โดย “คุณเอ (นามสมมติ)” เริ่มเล่าว่า ‘เป็นเรื่องที่พี่หัวหน้าที่ทำงาน เขาอายุห่างกับหนูเกือบ 20 ปี เขามาขอดูแลเรา ทั้งๆที่เขามีลูกมีเมียอยู่แล้ว แล้วหนูก็ไม่ได้อยากออกจากงาน เขามาพูดว่า “เขาอยากดูแล เขาไม่อยากได้อะไรจากเรา ขอแค่ดูแล” แต่พอมันเยอะขึ้นๆ หนูก็รู้สึกอึดอัด ก็เลยบอกเขาไปว่า “ไม่ต้องดูแลก็ได้ค่ะ แค่ถามไถ่กันอย่างนี้ก็พอ” แต่มันจะมีช่วงที่เขาให้คนมาถามเวลาเราคุยโทรศัพท์ ว่าเราคุยกับใคร? คุยกับผู้หญิงหรือผู้ชาย ช่วงแรกๆ ที่หนูมาทำงาน เขาก็จะซื้อน้ำ ซื้ออะไรมาให้ “หนูก็ไม่เป็นไรค่ะ เกรงใจ” แต่พี่เขาก็บอกว่า “ไม่เป็นไร พี่แค่อยากช่วย เห็นเราเป็นรุ่นน้อง” แต่มันเริ่มข้ามเส้นเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว เขาฟอลไอจีมา ไม่รู้ว่าหามาจากไหน หลังจากนั้นเขาก็เริ่มมาชวนเราไปทานข้าว ซื้อของราคาแพงให้เรา บางทีก็โอนเงินมาให้ ครั้งละ 1,000 บ้าง 2000 บ้าง มากสุด คือ 5000 บาท เขาบอกว่า “เขาแค่อยากให้ เขาไม่ได้ต้องการอะไร” หนูก็รู้สึกแปลกๆ เพราะมันมีด้วยหรอที่ให้แล้วไม่ต้องการอะไร เขาก็มีลูกมีเมียอยู่แล้ว และหนูเองก็มีคนคุยอยู่เหมือนกัน หลังจากนั้น 2 เดือนต่อมาเขาก็มาบอกว่า “ขอคุยในฐานะอื่นได้ไหม” หนูก็บอกเขาไปว่า “พอดีมีคนคุยแล้ว แล้วก็ไม่ได้คิดจะชอบเขา” เหมือนมันจะดีขึ้น แต่สักพักเขาก็มาชวนไปทานข้าว ส่งสติกเกอร์ ส่งไลน์ ส่งเพลงมาให้ บางทีหนูก็รำคาญแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาเป็นรุ่นพี่ เป็นหัวหน้างานเรา เคยปฏิเสธไปแล้ว แต่เขาก็ตึงๆ ใส่เรา บรรยากาศมันก็จะตึงๆ บางทีก็เลยยอมไปกับเขาด้วย แล้วเขายังเคยทักไปหาคนคุยเราว่าคุยกับเราจริงไหม? เขาบอกว่าเขาต้องการความชัดเจน แต่งานนี้เงินดี แล้วงานก็ดีมาก ก็เลยไม่อยากจะออก หนูอยากจะปรึกษาว่าควรจะทำยังไง หรือหาคำพูดยังไง หรือว่าควรบอกภรรยาเขาเลยดีไหม?’ โดย “ดีเจต้นหอม” ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่กำลังเป็นห่วงความปลอดภัย มันปลอดภัยแค่ไหนถ้าเราทำงานอยู่กับเขา 2 คน ถ้าเกิดเขาใช้กำลังกับเรา ถ้าแนะนำตอนนี้คือปฏิเสธให้เด็ดขาด สิ่งที่เขาทำให้อึดอัด แล้วเขาน่าจะเริ่มเข้ามาได้ไม่นาน ฉะนั้นเขาน่าจะไม่ได้มีความหวังอะไรมาก การไม่ไปกินข้าวกับเขาสองต่อสองเป็นการดับความหวัง เพราะการไปกินข้าวกับเขามันเป็นการให้เขามีความหวัง แล้วเขารู้ว่าเราเป็นคนใจอ่อน แล้วของทุกอย่างไม่ต้องรับ เราต้องไม่รับของเขาเพื่อทำให้เขารู้ในความชัดเจน ต่อให้เขาจะไล่หนูออกหรือว่าต้องหางานใหม่ พี่ว่าก็หางานใหม่ถ้าเขาจะไล่เราออกด้วยเหตุผลแค่นี้ ถ้าเขาให้เงินมาก็บอกไปว่าขอไม่รับ หนูรู้สึกอึดอัดหนูขอไม่รับดีกว่าหนูจะสบายใจกว่า การรับผลประโยชน์จากเขามันแปลว่าเรายอมรับนิดนึงแล้วต้องชัดเจน สำหรับพี่ถ้ายังเสียดายงานนี้ ก็ตีตัวออกห่างแสดงความชัดเจนเลย ผู้ชายคนนี้น่ากลัวมาก เราพูดไปเลยว่า “พี่คะ สิ่งที่พี่กำลังทำอยู่หนูอยากให้หยุดเพราะหนูอยากมาที่นี่เพื่อทำงาน แล้วหนูรู้สึกอึดอัด แล้วหนูก็รู้จักกับครอบครัวพี่ ถ้าพี่จะถามหาความชัดเจนระหว่างเราหนูขอปฏิเสธตรงนี้เลย ว่าหนูไม่ได้คิดอะไร สิ่งที่พี่ทำอยู่มันทำให้หนูรู้สึกไม่สบายใจ” ชัดเจนไปเลยต่อให้เราไม่มีแฟนเขาก็ไม่มีสิทธิ์มาทำอะไรกับเราแบบนี้’ ต่อมา “ดีเจอั๋น” ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าหนูจะบอกภรรยาเขาหนูเตรียมหางานใหม่ ซึ่งถ้าหนูคิดว่าจะหางานใหม่อยู่แล้วก็ไม่ต้องไปบอกภรรยาอยู่ดี พี่ว่าไม่จำเป็นต้องไปถึงขั้นนั้น ถ้าเขาจะให้เงินเรา เราก็บอกไปว่า “ถ้าพี่เห็นหนูทำงานดี พี่ให้เป็นโบนัสเลยตอนปลายปี” จริงๆ นี่คือคุกคามอย่างชัดเจน และคุกคามโดยเอาหน้าที่การงานมากดทำให้เราอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถปฏิเสธ แล้วก็เราพูดไปเลยว่า “แล้วถ้าบังเอิญหนูทำอะไรให้พี่เข้าใจผิดไปว่าหนูมีใจ หนูขออภัยด้วยค่ะ แล้วสิ่งสุดท้ายที่หนูจะทำในชีวิต คือการยุ่งกับคนมีเจ้าของแล้ว เพราะมันเป็นบาปค่ะ” แต่พี่ว่ายังไงเราควรหางานอื่นสำรองไว้’ และสุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘หนูเริ่มต้นงานอื่นได้ พี่ว่าสิ่งที่เขาทำมันเกินไปแล้ว พื้นที่ส่วนตัวของเรา มันคุกคามแล้วก็ยิ่งเขาชัดเจนว่าขอดูแลเราพี่ว่าเขาไม่ได้หวังดีกับเรา ไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นได้ขนาดไหน ถ้าเขายังขนาดนี้ ทั้งที่เขามีลูกมีเมียอยู่แล้ว พี่ว่าหนูไปทำงานที่อื่นสำหรับพี่ แล้วยืนยันไปว่าหนูไม่มีอะไรมากกว่าการทำงานเลย น้องเอต้องคิดดีๆ พี่ว่าอย่าละเลยต้องระวัง’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1