อ้าว แฟนใหม่เธอหน้าคุ้นๆ!! หนูรู้จักกับผู้ชายคนนึง สนิทกันมานาน จนเพื่อนๆในที่ทำงานก็ยังแซวว่า คู่นี้น่าจะได้เป็นแฟนกัน เราก็กะจะบอกชอบเขาก่อนลาออกจากงาน ปรากฏว่า ยังไม่ทันลาออก เขาไปเปิดตัวกับน้องผู้หญิงร้านข้างๆ

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

อ้าว แฟนใหม่เธอหน้าคุ้นๆ!! หนูรู้จักกับผู้ชายคนนึง สนิทกันมานาน จนเพื่อนๆในที่ทำงานก็ยังแซวว่า คู่นี้น่าจะได้เป็นแฟนกัน เราก็กะจะบอกชอบเขาก่อนลาออกจากงาน ปรากฏว่า ยังไม่ทันลาออก เขาไปเปิดตัวกับน้องผู้หญิงร้านข้างๆ

30 มิ.ย. 2025

อ้าว แฟนใหม่เธอหน้าคุ้นๆ!! หนูรู้จักกับผู้ชายคนนึง สนิทกันมานาน  จนเพื่อนๆในที่ทำงานก็ยังแซวว่า

คู่นี้น่าจะได้เป็นแฟนกัน เราก็กะจะบอกชอบเขาก่อนลาออกจากงาน ปรากฏว่า ยังไม่ทันลาออก

เขาไปเปิดตัวกับน้องผู้หญิงร้านข้างๆ หนูเฮิร์ทมากตอนนี้ ต้องทนเห็นเขาไปกินข้าวกันทุกวัน

มีความสุขกันต่อหน้าหนู ล่าสุดหนูบอกกับผู้ชายคนนี้ไปว่า “หลังจากนี้ชีวิตนี้ไม่ต้องมาเจอกันอีก”

เขาก็เหมือนจะรับรู้แล้ว หนูจะวางตัวยังไงต่อไปดีหลังจากนี้... 

                “คุณแพร (นามสมมติ)” อายุ 29 ปี เป็นสายสุดท้ายในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [25 มิ.ย. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม” เกี่ยวกับปัญหาแอบชอบรุ่นพี่ในที่ทำงาน โดนเล่นกับใจสุดท้ายเปิดตัวกับคนอื่น

                โดย “คุณแพร (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาหนูได้งานใหม่ เป็นงานในห้างสรรพสินค้า หนูเพิ่งขึ้นมาอยู่กรุงเทพได้ไม่นาน เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แล้วได้มาเจอกับพี่คนนึง เขาสุภาพมาก ตรงสเปคเรา คำพูดคำจาจะเรียกเราว่าหนู ตอนแรกไม่ได้คิดอะไรแต่อยู่ไปนาน ๆ ก็เริ่มสนิทกัน ดูแลกันมากขึ้น ถึงขั้นที่สามารถคุยกันเรื่องเซ็กซ์ หรือเรื่องแฟนเก่าได้ คุยกันได้ยิ่งกว่าเพื่อนผู้หญิงอีก มีการเล่นถึงเนื้อถึงตัวกัน เช่น วิ่งไปกอด เกาะแขนในบริบทที่อ้อน ๆ ได้ บางครั้งเหมือนจะปัดป้องแต่ก็ยังเล่นด้วยได้ วันนึงหนูก็ลองแกล้งเขาโดยการบอกว่า ‘สงกรานต์นี้เดี๋ยวไปเล่นน้ำกับผู้ชายดีกว่า นัดผู้ชายเอาไว้’ เขาก็นิ่งไปเลย หนูเลยคิดว่าเขาก็คงชอบเราเหมือนกันมั้ง พี่ผู้จัดการเขาก็ดูออก ทุกคนคิดแบบนี้กันหมดเลยว่าหนูกับพี่เขาต้องชอบกันแน่ ๆ ต้องเป็นแฟนกันแน่ เราก็เล่นกันปกติ หลังจากนั้นหนูก็เฉลยว่าที่พูดไปหนูแกล้งเล่น พี่เขาก็ดูดีใจ แล้ววันนั้นเราเจอลูกค้าแล้วรู้สึกนอย พี่เขาก็ชวนไปกินข้าวเลย เหมือนปลอบใจ

                จนกระทั่งอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาก็บอกกับหนูว่าเขาชอบน้องร้านข้าง ๆ นะ ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาเคยบอกว่าเขาชอบสาวหมวย ตัวเล็ก ซึ่งก็ตรงกับหนูเหมือนกัน สรุปแล้วเมื่อสองวันก่อนเขาชวนน้องร้านข้าง ๆ เข้ามาในร้านของเราและขอคอนแทคกันต่อหน้า ต่อตาหนูเลย หนูยืนอึ้งว่าที่ผ่านมาหนูคิดไปเองหรอ ? ทั้ง ๆ ที่หนูเคยเกริ่นไปแล้วว่าชอบเขานะ หนูก็พยายามทำใจ เขาอาจจะเทสระบบเรา จากที่เล่นกันถึงเนื้อถึงตัว พูดคุยเรื่องเซ็กซ์กัน ก็ไม่ทำอีกเลยเพราะหนูมองว่าเขากำลังจะสานสัมพันธ์กับคนอื่นแล้ว แต่ในใจก็เจ็บ

                วันนี้หนูบอกกับพี่หัวหน้างานว่าปวดท้อง จะขอลาไปหาหมอ กลับมาเขาก็ดูเป็นห่วงเรา หนูนั่งพักอยู่ในห้องก็ไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพที่เขาชวนกันไปกินข้าวอีก จริง ๆ หนูยอมตั้งแต่เขาขอไลน์แล้ว แต่พี่เขาก็ยังพยายามทำตัวเหมือนเดิม แตะเนื้อต้องตัวพูดคุยเหมือนเดิม แต่เราคือทำไม่ได้แล้ว เราไม่โอเค ตอนเย็นหนูก็ถามว่า ‘วันนี้พี่กลับยังไง’ เขาก็ชี้ไปที่ร้านข้าง ๆ แต่หนูเห็นว่าไฟปิดแล้วเลยงง สรุปคือเขาเดินกลับไปรับน้องร้านข้าง ๆ มาต่อหน้าต่อตาหนูอีกแล้ว หนูก็พยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้เสียใจ หนูก็พลั้งปากพูดไปว่า ‘พี่ หลังจากนี้เราไม่ต้องมาเจอกันอีกนะ เราตัดขาดกันไปเลย แพรไม่อยากเจอพี่’ พี่เขาก็ตอบกลับแบบติดตลก แซว ๆ อีก หนูเลยอยากขอคำปรึกษาว่าหนูต้องทำงานที่นี่อีก 5 วันต้องเห็นเขาไปไหนมาไหนด้วยกัน จะต้องจัดการความรู้สึกยังไง กับวันที่ 29 นี้จะมีงานเลี้ยงส่งหนู หนูควรบอกเขาอีกรอบมั๊ยว่าชอบ”

                ซึ่ง “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘นี่คือบทเรียนของการทำที่อะไรตามใจและตามอารมณ์ พูดออกไปด้วยอารมณ์โดยไม่มีการวางแผนคิดหน้าคิดหลังให้ดี “เราไม่ต้องมาเจอกันอีก” เป็นประโยคที่แรงมากทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เป็นอะไรกันเลย เขาคงคิดว่าแพรเป็นอะไร อันนี้เป็นสิ่งที่พลาดมาก ๆ แค่คุยกับเขาน้อยลงพี่ว่าก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ารู้สึกยังไง แพรก็ใช้ชีวิตตามปกติได้เลย เพราะเดี๋ยวก็แยกกันใช้ชีวิตอยู่แล้ว ส่วนวันงานเลี้ยงส่งก็วางตัวดี ๆ เพราะอย่างน้อยเขาก็แสดงให้เราเห็นผ่านการกระทำของเขาแล้วว่าไม่ได้คิดอะไร ขั้นสุดท้ายของการเป็นเพื่อนสนิทแล้วมีคนนึงอยากข้ามขั้นไป เขาก็คงพยายามบอกว่าเราเป็นเพื่อนกันเถอะ ในเมื่อทั้งคู่ชัดเจนกันอยู่แล้ว ก็เป็นเพื่อนกันให้ได้อย่างที่พูดไว้ เด็ดขาดเลยก็ดี ถ้าเขาชวนคุย อยากคุยกับตอบไม่อยากคุยก็ไม่ต้องคุย ขอให้โชคดีกับวันเลี้ยงส่ง และอย่าถือสากับคำพูดของคนเมา’

                ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ทำตัวปกติได้เลยถ้าลาไม่ได้ แต่ถ้าลาได้ก็แนะนำให้ลาแล้วเก็บของไปตั้งตัวที่บริษัทใหม่เลย กับเขาก็ไม่ต้องไปยุ่งอีกแล้ว วันเลี้ยงส่งถ้าเขาไม่ไปก็ไม่ต้องเสียใจด้วย เพราะเราลั่นไปแล้วว่าอย่าเจอกันอีก ต้องทำตามที่พูดไว้ให้ได้ 5 วันที่เหลืออยู่ไปทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าไปที่ใหม่ก็อย่าทำแบบนี้อีก ให้มันจบแค่ตรงนี้’

                สุดท้าย “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ตอนอยู่ด้วยกันก่อนหน้านี้ก็สนุกสนาน แพรเป็นคนสนุก เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจแต่เขาให้สถานะเราได้แค่ “เพื่อน” และเขาวางสถานะนี้มีนานแล้ว เท่าที่พี่ฟังผู้ชายไม่ได้มีใจเลย  แพรคิดไปเองแล้วก็สร้างโมเมนต์เองโดยการทำให้เค้าหึง เขาเงียบก็บอกว่าเขาหึง แถมมีเพื่อนยุยงอีก เรื่องราวเลยไปไกลจนเขาสนิทใจกับแพรและพร้อมที่จะเปิดใจเล่าว่าชอบน้องร้านข้าง ๆ เพราะเขามองว่าแพรคือเพื่อนที่สนิทที่สุด หารู้ไม่ว่าแพรหึง งอน ไปแล้ว แถมแพรก็ทำอะไรที่เป็นผีบ้าออกไป โดยการพูดใส่อารมณ์อีก แพรสำคัญตัวผิดสถานะ อย่าทำอะไรแบบนี้อีก สำหรับพี่ถ้าเขามางานเลี้ยงส่งก็ทำตัวปกติเลยแบบเพื่อนกัน พี่มีให้ 3 ทางเลือก 1.งอนให้ถึงที่สุด ไม่คุยด้วยเลย 2.ทำตัวเหมือนเดิม เหมือนวันนั้นโดนของมาแล้วไม่ได้พูดอะไร 3.บอกตรง ๆ ว่าที่พูดว่าไม่ต้องมาเจอกันแล้ว ยอมรับว่าหึง หนูชอบพี่  แต่จำไว้ว่าการสารภาพว่าชอบเขาอย่าคาดหวังว่าชอบเขากลับ พูดติดตลกไปได้เลย ให้เรื่องนี้เป็นบทเรียน ของบางอย่างต้องรอเมคชัวร์ก่อนจะได้ไม่เจ็บหัวใจ’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หลังจากแม่เสีย หนูกลับบ้านไป อยู่กับ 4 สมาชิกในบ้าน เจอปัญหาทุกคน พ่อมีปัญหาเพื่อนบ้าน ลูกสาวเข้าสู่วัยรุ่นคุยยาก แม่สามีป่วยอัลไซเมอร์ สามีขอเงินใช้อย่างเดียว เจอแบบนี้เหนื่อยมากจะทำยังไงดี?

11 เม.ย. 2025

หลังจากแม่เสีย หนูกลับบ้านไป อยู่กับ 4 สมาชิกในบ้าน เจอปัญหาทุกคน พ่อมีปัญหาเพื่อนบ้าน ลูกสาวเข้าสู่วัยรุ่นคุยยาก แม่สามีป่วยอัลไซเมอร์ สามีขอเงินใช้อย่างเดียว เจอแบบนี้เหนื่อยมากจะทำยังไงดี?

“คุณกวาง (นามสมมติ)” อายุ 40 ปี สายที่หนึ่งในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [9 เม.ย 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม” เกี่ยวกับปัญหาเป็นเดอะแบกของบ้าน ปัญหาครอบครัวรุมเร้า โดย “คุณกวาง (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ตอนนี้รู้สึกว่าบ้านที่เราอยู่มาตลอดมันไม่มีความสุข ไม่อยากอยู่บ้าน อยากออกมา ในบ้านเราอยู่กันหลายคนเป็นครอบครัว เมื่อก่อนเราดูแลคุณแม่ที่ป่วยหนักอยู่หลายปี ไปกลับที่ทำงานร้อยกว่าโลจนท่านเสีย หลังจากที่คุณแม่เสีย ที่บ้านก็จะเหลือ คุณพ่อ สามี ตัวหนู และลูก เราก็เลยรับคุณแม่สามีมาอยู่ด้วย ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นของแต่ละคนมันเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มันค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น ปัญหาที่เล็กที่สุดของเราในบ้านคือ คุณพ่อ หลังจากที่คุณแม่เสีย ท่านก็ไม่ทานข้าวร่วมโต๊ะกับเราอีกเลย ท่านก็จะปลีกตัวออกไปนั่งทานคนเดียวที่ห้องส่วนตัว และท่านจะบังคับให้เรามีทัศนคติเหมือนกับท่านตรงที่ว่า ตอนนี้ท่านอยากมีเรื่องกับเพื่อนบ้านมาก จะร้องเรียนเพื่อนบ้านที่ทำตรงนี้ตรงนั้นไม่ถูก แต่ความคิดเราคือเราไม่ได้อยากมีปัญหากับเพื่อนบ้าน เพราะเขาก็ไม่ได้ทำอะไรแย่มากขนาดนั้น แต่เราก็พูดตามตรงว่า หนูทัศนคติไม่ตรงกับพ่อนะ แต่เขาก็จะตอบว่า ทำไมล่ะ ต้องไปร้องเรียนสิ ต่อมาคือ ลูก ก่อนหน้านี้ลูกของเราเขาก็น่ารักในแบบของเขา แต่พอเขาเข้าสู่วัยรุ่นก็เปลี่ยนแปลงไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ตอนนี้เขาอายุ 12 ปี เขาเริ่มเปลี่ยนตอนอายุ 11 ปี เมื่อก่อนต้องนอนกอดเขาทุกคืน ไม่กอดไม่ได้ ก่อนนอนพ่อแม่ลูกต้องกอดกัน 3 คน ต้องหอมแก้มซ้ายขวา หน้าผาก ทุกคืน พอตอนนี้เขาเข้าช่วงวัยรุ่น เขาก็มีห้องเป็นของตัวเอง ไม่ให้แม่นอนด้วยแล้ว พูดกับเราก็ห้วนไป มันก็มีน้อยใจ ถึงแม้เราเป็นแม่ เราต้องดูแลเขาอยู่แล้ว แต่ลูกอาจจะไม่ใช่กำลังใจสูงสุดของเราในตอนนี้ ต่อมาก็คือ แม่ย่า หรือแม่สามี เขาเป็นอัลไซเมอร์ เขาสร้างปัญหาทุกวัน เขาจะเอาของของเราไปซ่อนบ้าง เขาจะเดินออกจากบ้านจนหายไป แล้วก็ต้องไปตามหา เราเป็นคนดูแลเขาเป็นหลัก สามีก็ช่วยดูแลด้วย แต่เราดูแลทั้งอาหารการกิน เสื้อผ้า เพราะเขาไม่อาบน้ำ ไม่ยอมอาบ เราไม่มีงบประมาณในการจ้างพยาบาล ก็ต้องดูแลกันเอง ล่าสุดเขาจะชอบเอามีด กรรไกร ของมีคมมาห่อด้วยกระดาษทิชชู่ มัดหนังยางแล้วเอาไปซ่อน ซ่อนในห้องนอนของเขาเพราะเราจะมีห้องนอนให้เขาแยก เรื่องที่สุด ๆ ก็คือ ตกใจตอนที่กลับมาจากที่ทำงาน หุงข้าวเสียบหม้อไว้ เปิดฝาหม้อออกมาเจอฟันปลอมอยู่ในหม้อข้าว คือช็อค เพราะเราทำอะไรเขาไม่ได้ ต้องอดทนอย่างเดียว ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านเป็นกวางรับผิดชอบมาหลายปีแล้ว เพราะปัญหาหลักก็คือ สามี เขาเป็นวิศวกร เคยทำงานประจำ เราเคยมีเงินเก็บ ต่อมาพอลูกอายุได้ 5 ขวบ เราก็ส่งลูกไม่ไหวแล้ว ต้องการคนช่วย เพราะเราเลี้ยงลูกเองมา 5 ปี พอเขากลับมาช่วย เขาก็ตั้งบริษัทของเขาเอง สามีทำงานเปิดบริษัทวิศวะ แต่ที่ผ่านมามันก็ล้มลุกคลุกคลาน เงินเก็บที่เอามาลงทุน เขาก็บอกว่าเขาโดนโกง โดนผู้รับเหมาด้วยกันโกง โดนสถาปนิกโกง มันก็ขาดทุนมาเรื่อย ๆ จนตอนนี้เขามาขอร้องเราเพราะไม่มีใครช่วยเหลือเขาแล้ว เขาขอให้เรายืมเงินคนอื่นให้เขา จนตอนนี้ครบ 1 ปีพอดี เป็นจำนวนเงินเกือบ 4 แสนบาท เขาไม่เคยช่วยจ่ายต้นจ่ายดอกเลย มันท้อมากตรงที่เราแบกรับภาระในครอบครัวแล้ว เราต้องมาแบกรับหนี้ตรงนี้ด้วย ยอมรับว่าตอนที่สามีเขามีเงิน เขาอยากได้อะไรเขาก็ซื้อเอง เขาดูแลแม่เขาก็ไม่ได้ขอเงินเรา แต่เงินของเขาไม่เคยถึงเราเลย เขาทำงานอดิเรกของเขาได้หมดเลย คือเลี้ยงปลา นก ไก่ สวยงาม กรงแพงมาก เราบอกเขาว่าถ้าบริษัทมันไปไม่ได้ เธอเปลี่ยนอาชีพไหม ไปเป็นลูกน้องคนอื่นดีไหม ทำอาชีพอื่นที่พอไปได้ไหม แต่เขาขอเวลาไปเรื่อยๆ รู้แต่ว่าลูกน้องเขาได้เงิน ร้านค้าได้เงิน ลูกค้าได้บ้าน ได้ถนน ได้อาคารไป แต่เขาเงินไม่เหลือ เขาไม่ได้มาจุนเจืออะไรมากมาย เขาจ่ายแค่ค่าน้ำดื่ม ค่าแก๊ส จนฟางเส้นสุดท้ายมันเกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เราถามเขาว่า มันครบปีแล้วนะเธอจะคืนเราไหม มันไม่มีทั้งต้นทั้งดอก ไม่มีช่วยเราเลย แล้วเขาก็ตะคอกใส่หน้าเราว่า ก็มันไม่มีจะให้ทำยังไง และเขาก็ไปนอนเลย เราก็ไม่ไหวแล้ว เลยเดินไปบอกลูกว่า แม่ไม่ไหว หนูเข้าใจแม่นะว่าแม่อยู่ในจุดที่ไม่มีความสุขเลย แม่อยู่ที่นี่ไม่ได้ เลยขอเฟดตัวออกมา ไปอยู่คนเดียวที่บ้านพักของที่ทำงาน ลูกก็ร้องไห้และเข้ามากอดบอกว่า เขาเข้าใจ และเขาก็ดีขึ้นเลย พูดกับเราดีขึ้น กอดเราในวันที่เราไม่ไหว วันนี้ก็คือคืนที่ 2 ที่ออกมาอยู่คนเดียว และตอนนี้ก็จะเป็นสามีที่คอยหาอาหารให้ลูก กวางจะให้เงินลูกไว้และให้เขาให้พ่อเขาอีกทีนึง เพราะพ่อเขาก็ไม่มีซัพพอร์ท ตอนนี้มีรายได้พอในการดูแลคนในบ้านได้ มีงานประจำค่อนข้างมั่นคง แต่เราอาจจะไม่มีเงินเก็บเพราะว่าเรามีหนี้ก้อนนี้อยู่ พ่อเราดูแลตัวเองได้ พ่อเป็นข้าราชการ ได้รับบำนาญ จะมีแต่ฝั่งสามีและแม่สามีที่ไม่มีอะไรเลย หลังจากที่เราออกมาจากบ้าน สามีไม่โทรมาเลย มีแต่ส่งไลน์มาขอโทษ และนี่คือครั้งแรกที่เราเฟดตัวออกมาจากครอบครัว และเราบอกคุณพ่อแล้วว่าเราจะย้ายมาอยู่ที่บ้านพัก พ่อก็โอเค บอกว่าไม่เป็นไร ก็จะเป็นสามีที่ดูแลที่บ้าน เพราะว่าเราเทียวไปกลับ วันพฤหัสบดี-วันเสาร์ เราจะไปอยู่ที่บ้าน แต่วันจันทร์-พุธ เราจะกลับมาที่พักของเราตอนนี้ เพื่อที่จะประหยัดน้ำมัน เพราะบ้านเรากับที่ทำงานห่างกัน 50 กว่ากิโล ถ้าถามว่าสบายใจไหม ก็สบายใจ แต่ห่วงพ่อ และก็ห่วงลูก แต่ว่าเรารู้สึกอยู่ตรงนั้นไม่ไหว เลยขอเฟดตัวออกมา เพราะเราไม่อยากเห็นหน้าเขา เขาเหมือนไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย มันเหมือนเราจะไม่ได้เงินคืนแล้วใช่ไหม เคยคิดถึงการหย่า มันเหมือนหมดรักกัน เพราะมันไม่ได้ใส่ใจกัน และปัญหาเรื่องเงิน ถ้าหย่า สามีก็คงไม่น่าจะหย่า เพราะว่าเขาก็ไม่มีที่ไป เขายังเปิดกระเป๋าขอเงินเราอยู่เลย อยากจะปรึกษาพี่ ๆ ดีเจว่า เราจะได้เงินคืนไหม และในสถานการณ์นี้เราควรจะทำยังไง?’ เริ่มที่ “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ในเรื่องของลูก หอมแนะนำได้ เพราะที่บ้านก็มีเด็กวัยรุ่นเหมือนกัน ซึ่งวัยนี้จะค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูง พูดคุยกับแม่ไม่ค่อยดี ที่บ้านหอมเลยใช้วิธีให้เขารู้สึกสงสารแม่ เช่นในกรณีของคุณกวาง ถ้าบอกลูกว่าแม่กำลังเผชิญเรื่องหนัก ๆ ลูกอายุ 12 ปี ก็น่าจะเข้าใจและให้กำลังใจได้ หอมมองว่าเขาเริ่มมีจุดเปลี่ยนที่ดี และยังรักคุณกวางอยู่ ลูกอาจกลายเป็นเซฟโซนที่ดีและเป็นกำลังใจให้คุณกวางได้ ส่วนเรื่องที่คุณกวางตัดสินใจออกมาจากบ้าน หอมว่าโอเคนะ มันเหมือนการบีบบังคับให้สามีลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับปัญหา เพราะการดูแลแม่ที่ป่วยอัลไซเมอร์มันไม่ใช่เรื่องง่าย และเขาจะปล่อยปละละเลยไม่ได้ สำหรับเรื่องเงิน 4 แสน ตอนนี้ถือว่าหายากมาก ควรให้เขาออกไปหาเงินมาช่วยจุนเจือบ้าน อย่างน้อยก็ช่วยครึ่งหนึ่ง เพื่อให้คุณกวางมีกำลังใจในการเดินหน้าต่อ’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่เห็นด้วยที่คุณกวางเลือกออกมา เพราะรู้สึกว่าคุณกวางควรมีพื้นที่สงบให้ตัวเองบ้าง ดูแล้วคุณกวางคือคนที่แบกรับทุกอย่างในบ้าน จนจะไม่ไหวอยู่แล้ว พี่อยากให้มองในภาพรวมว่า ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบทุกชีวิต ถ้าบางเรื่องมันเกินกำลัง ก็ปล่อยได้ แล้วหันไปโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญก่อน ซึ่งตอนนี้คือเรื่องของสามี ถ้าเขาไม่สามารถหาเงินมาดูแลครอบครัวได้ ต้องคุยกันจริงจังว่าเพราะอะไร และถ้าวันนี้คุณกวางไม่สามารถให้เงินเขาได้อีก ก็ควรบอกเขาว่า นี่คือสิ่งที่เขาต้องแก้ไขเอง เช่น ถ้ายังยืมเงินจากคุณกวาง แต่ยังเลี้ยงนก เลี้ยงปลาอยู่ โดยไม่คิดจะขายเพื่อนำเงินมาใช้ แบบนี้ก็ผิด เพราะเขาต้องเผชิญหน้ากับหนี้ 4 แสน และยอมรับว่าใช้ชีวิตแบบเดิมไม่ได้แล้ว ถ้าเขายอมเปลี่ยนแปลง และจริงใจที่จะแก้ปัญหา ก็อาจไปกันต่อได้ แต่คุณกวางต้องชัดเจนว่า จะไม่ยืมเงินให้เขาอีก อย่าคิดว่าเราคือซูเปอร์ฮีโร่ที่จะแบกทุกอย่างได้ โดยที่ตัวเองไม่มีความสุข ทำเท่าที่ไหว ปัญหาไหนที่ไม่ใช่ของเรา ก็ปล่อยให้เจ้าของปัญหาเขาแก้เอง ไม่อย่างนั้น คนที่ไม่มีความสุขในบ้านหลังนี้จะเป็นคุณกวางเอง’ สุดท้าย “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘ก่อนอื่นต้องให้กำลังใจครับ ถ้าเป็นผมเจอสถานการณ์แบบนี้ ก็ไม่รู้จะรับไหวไหม การที่คุณกวางตัดสินใจออกมา ผมเข้าใจและสนับสนุน เพราะมันน่าจะถึงจุดที่ทนไม่ไหวแล้ว การออกมาครั้งนี้ ควรใช้โอกาสนี้เพื่อทบทวนหัวใจตัวเอง ว่ายังอยากมีสามีคนนี้อยู่ในชีวิตหรือเปล่า ถ้าแยกกันอยู่แล้ว ชีวิตดีขึ้นไหม หรือแย่ลง ขณะเดียวกัน อยากให้มองเห็นข้อดีที่ยังเหลืออยู่ เช่น ลูกของคุณกวาง ที่เข้าใจและรักแม่มาก แม้จะอยู่ในวัยที่เริ่มมีโลกส่วนตัว ผมเคยได้ยินมาว่าเด็กช่วง 10-12 ปี จะเป็นวัยที่ห่างจากพ่อแม่ชั่วขณะ แต่ถ้าก่อนหน้านั้นคุณกวางสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกไว้ เขาจะกลับมาเอง และจากสิ่งที่ลูกพูด ผมเชื่อว่าคุณกวางวางรากฐานความรักไว้ดีแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีลูกเป็นที่พึ่ง หากไม่มีใครปรึกษา ก็อาจลองคุยกับลูกได้ สุดท้าย ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือสามี ถึงเวลาต้องคุยกันแบบตรงไปตรงมาแล้วว่า ถ้าเขาไม่เปลี่ยน คุณกวางต้องเลือกว่า ชีวิตแบบไหนที่ดีกว่าสำหรับตัวเอง’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามชมใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

พี่ๆคะ หนูจะทำยังไงต่อไปดี... คุณแม่เหลือเวลาอยู่กับหนูแค่ 6 เดือน ก่อนหน้านี้คุณแม่แอบไปหาหมอเองโดยไม่บอกใครเลย เพิ่งมาบอกหนูว่าเป็น "มะเร็งไขสันหลัง" ระยะที่ 3 ตอนนี้หนูกลัวและเสียใจที่สุดเลยค่ะ

22 ม.ค. 2024

พี่ๆคะ หนูจะทำยังไงต่อไปดี... คุณแม่เหลือเวลาอยู่กับหนูแค่ 6 เดือน ก่อนหน้านี้คุณแม่แอบไปหาหมอเองโดยไม่บอกใครเลย เพิ่งมาบอกหนูว่าเป็น "มะเร็งไขสันหลัง" ระยะที่ 3 ตอนนี้หนูกลัวและเสียใจที่สุดเลยค่ะ

“คุณเอ(นามสมมติ)” อายุ 21 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (17 มค. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจต้นหอม - ดีเจเติ้ล – ดีเจเผือก เกี่ยวกับปัญหาที่พึ่งรู้ว่าคุณแม่เป็นมะเร็ง ซึ่งเหลือเวลาอีกแค่ 6 เดือน โดย ​“คุณเอ(นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘คุณแม่อายุประมาณ 53 ปี เป็นมะเร็งระยะที่ 3 ที่ไขสันหลัง ซึ่งอาการตอนนี้กำลังลุกลามไปยังจุดอื่น ๆ คุณแม่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งแต่ไม่ได้บอกคนในครอบครัว และแอบไปรักษาคนเดียว คุณแม่มีลูก 2 คน หนูอายุ 21 ปี ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ และพี่ชายอายุ 25 ปี ทำงานฟรีแลนซ์ ได้คุยกับพี่ชายพี่ก็ทำใจไม่ได้เหมือนกัน คุณพ่อก็อยู่บ้านเดียวกันแต่ไม่ได้อะไรกับคุณแม่แล้ว แค่ทำหน้าที่พ่อและแม่เฉย ๆ หลังจากที่พ่อรู้ว่าแม่เป็นมะเร็งก็ช็อคเหมือนกัน เขาไม่ได้รักกันแล้ว แต่ก็ยังมีความผูกพันอยู่ ตอนนี้คุณแม่ไม่ได้นอนที่โรงพยาบาลแต่ต้องไปฉีดมุ่งเป้า (คือการฉีดเฉพาะจุด) อยู่เรื่อย ๆ ตอนนี้คุณแม่ก็ใช้ชีวิตได้ปกติ แต่จะปวดตามกระดูก ตามข้อ ซึ่งวันที่คุณแม่มาบอก ตอนนั้นอยู่ ๆ เขาก็พูดว่า แม่เป็นมะเร็งระยะที่สาม แล้วที่เขาบอกว่าอยู่ได้อีก 6 เดือนคือมันห่างจากตอนนั้นแค่ 3 เดือน หนูรู้สึกว่ามันเร็วมาก และช่วงนี้เขาชอบพูดเกี่ยวกับเรื่องเขาตายบ่อย ๆ มันก็ยิ่งทำให้หนูเครียด คุณแม่ก็เครียดมากเพราะเป็นห่วงว่าถ้าเกิดเขาไปแล้วจะอยู่กันยังไง...? ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ให้คำปรึกษาว่า ‘วันนี้คงเป็นการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน สถานการณ์นี้เป็นสถานการณ์ยากลำบาก คือสถานการณ์ของการสูญเสีย แต่ต้องยอมรับว่าไม่ว่าใครทุกคนบนโลก เขาก็ไม่สามารถอยู่กับเราไปได้ตลอด ทีนี้เรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นเรื่องที่บ้านยังไม่ทันเตรียมตัว แล้วพี่ก็ไม่อยากให้คุณแม่เครียด ณ วันนี้ถ้าทุกคนที่บ้านเครียด ตัวคุณแม่เครียด มันก็จะทำให้ช่วงระยะเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ความสุขมันก็ลดน้อยลงไปอีก เราอาจจะต้องเติมพลังบวกให้กันและกัน เหมือนกับก่อนหน้านี้เคยมีข่าวคุณหมอคนหนึ่งที่เป็นมะเร็ง เค้าเองก็รู้ว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน เค้าก็เหมือนเติมพลังบวกให้กับตัวเอง ในการคิดว่ามันจะเป็นการออกเดินทางครั้งใหม่นะ เราอาจจะช่วยคุณแม่ ถ้าคุณแม่เป็นห่วงเรา เราอาจจะต้องทำตัวให้เราดูแข็งแกร่ง เป็นคนเก่ง แม่ไม่ต้องกังวลเลย เสาร์-อาทิตย์นี้อยากทำอะไรก็ทำด้วยกัน ให้รู้สึกว่าวันทุกวันเราสร้างความสุขแบ่งปันความสุขในทุก ๆ วันที่เราเจอกัน และก็เป็นกำลังใจให้กับเอและพี่ชายแล้วก็ครอบครัวทุกคนเลย ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าช่วงเวลามันมีแค่ 6 เดือนตามที่คุณหมอบอก ซึ่งจริง ๆ มันมีปาฏิหาริย์เยอะแยะมากมายว่าถ้ากำลังใจของคนไข้ดี บางทีมันอาจยาวนานกว่านั้น แต่ถ้า 6 เดือนตามนั้นจริง ๆ พี่ก็แค่อยากบอกน้องเอว่า อยากให้ใช้เวลากับท่านให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่เวลามันเดินถอยหลัง ถ้าท่านอยากทำอะไรโดยที่มันไม่ไปขัดขวางการรักษา พี่อยากให้น้องเอใช้เวลาตรงนี้ให้เต็มที่ แล้วก็สิ่งหนึ่งที่พี่ฟังเหมือนท่านยังเป็นห่วง พี่อยากให้น้องเอทำเพื่อให้ท่านได้รู้ว่าถ้าไม่มีท่านอยู่จริง ๆ หนูกับพี่ชายจะอยู่กันได้ดี เพื่อที่ท่านจะไปอย่างไม่มีห่วงอะไร แต่ถ้าน้องเอทำให้ท่านรู้สึกเป็นห่วงด้วยการเสียใจ ไม่มีกำลังใจที่จะทำให้ท่านเห็นรอยยิ้ม พี่ว่าอันนี้ท่านจะยิ่งเป็นห่วง พี่รู้สึกว่าสิ่งหนึ่งที่บางทีคนที่ป่วยเขาไม่อยากเห็น คือคนรอบข้างเป็นทุกข์เพราะมันจะยิ่งทำให้เขาเป็นทุกข์ มันอาจจะต้องฝืน หนูอาจจะร้องไห้ในห้องได้หรือคุยกับพี่แล้วเศร้าใจได้ แต่เวลาอยู่กับท่านอยากให้ส่งพลังบวกให้กันและกัน เพราะเรื่องกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคนป่วย ถ้าทำได้อยากให้เป็นแบบนี้ เพราะท้ายที่สุดท่านจะได้รู้สึกว่าเราอยู่กันได้และมีชีวิตต่อไปได้อย่างดี เขาจะได้ไม่เป็นห่วงเรามาก อย่างสุดท้ายพี่ฝากไว้ละกันเผื่อถ้าเวลามันมาถึง บางทีคนที่ป่วยเป็นโรคแบบนี้ เวลาเชื้อมะเร็งกัดกินแล้วไม่รู้สึกอะไร ถ้าคุณหมอบอกว่าในอีกไม่กี่วันเขาจะไม่รับรู้แล้ว อยากให้น้องเอและคนในครอบครัวไปคุยกับเขาเป็นวาระสุดท้าย เพราะ ณ ตอนนั้นมันเป็นช่วงเวลาที่มีค่ามาก สำหรับผู้ป่วยก่อนที่เขาจะไม่รู้ตัวและสื่อสารอะไรไม่ได้อีกแล้ว อันนี้พี่พูดในกรณีที่ถ้าเวลานั้นมาถึงจริง ๆ เหมือนเราเตรียมให้เขาไปอย่างสงบ เคลียร์ทุกอย่างบอกเขาว่าไม่ต้องห่วง หนูกับพี่กับพ่อจะอยู่กันอย่างมีความสุข แล้วเราจะคิดถึงเค้าด้วยรอยยิ้มทุกครั้งเมื่อที่เค้าจากไปแล้ว ขอเป็นกำลังใจให้น้องเอนะ สุดท้าย “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘จริง ๆ จะไม่พูดถึงว่าเวลาเหลืออีกเท่าไหร่ มันก็เป็นการประมาณการ สำหรับพี่ไม่อยากให้เอามาเป็นประเด็นเท่าไหร่ การที่เราเกิดมาเรารู้ว่ามันต้องมีอายุขัย สิ่งในชีวิตทุกอย่างบนโลกใบนี้มันมีอายุขัยของมัน ณ วันที่เราเกิด เราก็มาพร้อมกับแพ็กเกจคำว่าตายอยู่แล้ว มันอยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วแต่ไม่มีใครอยู่ได้ จริง ๆ มันเป็นสัจธรรมมากเลยเนาะ แต่ว่ามันก็ยากในวัย 21 ปีที่เราจะเข้าใจว่าไม่ว่าช้าหรือเร็วมันก็ต้องจากกันอยู่ดี ทีนี้ความรู้สึกกะทันหันของเอ ถ้าได้คุยกับคนอื่นที่ประสบเหตุกันคนละอย่างกับที่เอเจอ ในหลาย ๆ สายที่เค้าโทรมาว่าคนที่เขารักประสบอุบัติเหตุกะทันหันชนิดที่ว่าเราไม่ได้แม้แต่จะบอกลา ถ้าเค้าเลือกได้บางทีเค้าอาจจะอยากให้เค้ามีเวลาบ้างอย่างที่เอมี อันนี้พี่เปรียบเทียบให้ดูว่าในความที่เราคิดว่าเรากำลังเจอเรื่องราวที่เลวร้าย อย่างน้อยเรายังมีโอกาสทำให้ในทุก ๆ วันที่มันยังมีอยู่ด้วยกัน ย้อนไปในวัย 21 ปี พี่ก็เสียคุณแม่ไปตอนปี 2 ก็ ณ วันนั้นเรายังเป็นวัยรุ่นที่ยังไม่ได้เป็นพ่อคน เรายังไม่เข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีต่อลูกมากพอ เรายังไม่ได้แสดงออก เรายังไม่ใช้โอกาสสุดท้ายในการบอกอะไรที่บางทีเรายังไม่ได้บอก เราก็แค่เขิน ไม่กล้าพูดอย่างที่เติ้ลบอก เพราะเราคิดว่ายังมีเวลา จนเมื่อเค้าไม่รู้ตัว เราถึงรู้ว่าคงไม่ได้บอกแล้ว ซึ่งถ้าเอได้ฟังอยู่ตอนนี้ก็คือ พี่ก็อยากให้เอมีโอกาสที่จะได้บอก บางครั้งเราแค่ไม่กล้าพูดว่ารัก เพราะว่าเราเป็นเด็กวัยรุ่นหรือเขิน ไม่กล้าพูด หรือคำพูดอื่น ๆ ที่เรายังไม่เคยบอก เพราะฉะนั้น ณ วันนี้ เอก็ยังมีเวลาที่จะทำให้ทุกวันที่ยังมีเค้าอยู่มันไม่มีอะไรติดค้าง ซึ่งสุดท้ายไม่ได้แปลว่าเราจะไม่เศร้าหรอก ทุกคนก็เศร้าทั้งนั้น วันสุดท้ายของมนุษย์มันเป็นสิ่งที่ประหลาดนะทุกคนต้องเจอ แต่เรามักจะถือสาว่าเราไม่ควรพูด เพราะมันเท่ากับแช่ง แต่ในความเป็นจริงถ้าเราได้พิจารณามันบ้าง ลองนึกดูบ้างว่าถ้าวันหนึ่งเราไม่มีคนที่อยู่ข้าง ๆ มันจะเป็นยังไง อย่างน้อย ๆ ในวันนั้นเหมือนเราได้ซ้อมรับแรงกระแทกไว้แล้วบ้าง ซึ่งวันนี้เอมีโอกาสละพี่ว่าอยากให้ใช้โอกาสที่เรามีอยู่ตอนนี้บอกหรือคุยกับเค้าไม่ให้มันมีอะไรติดค้าง’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

เจตนายังไงกันแน่? สาวโทรปรึกษา อัดอัดใจมากตอนนี้ คบกับแฟนมา 2 ปีแล้ว แต่แฟนเก่าเค้ายังเข้าออกบ้านแฟน ทุกคนในบ้าน WELCOME ต้อนรับ ทักทายตลอด จนเราเป็นฝ่าย เข้าไปหลบในห้อง เพราะไม่อยากเจอ... ไม่ได้รบกวนกาย แต่มันกวนใจ

02 ต.ค. 2023

เจตนายังไงกันแน่? สาวโทรปรึกษา อัดอัดใจมากตอนนี้ คบกับแฟนมา 2 ปีแล้ว แต่แฟนเก่าเค้ายังเข้าออกบ้านแฟน ทุกคนในบ้าน WELCOME ต้อนรับ ทักทายตลอด จนเราเป็นฝ่าย เข้าไปหลบในห้อง เพราะไม่อยากเจอ... ไม่ได้รบกวนกาย แต่มันกวนใจ

เจตนายังไงกันแน่? สาวโทรปรึกษา อัดอัดใจมากตอนนี้คบกับแฟนมา 2 ปีแล้ว แต่แฟนเก่าเค้ายังเข้าออกบ้านแฟนทุกคนในบ้าน WELCOME ต้อนรับ ทักทายตลอด จนเราเป็นฝ่ายเข้าไปหลบในห้อง เพราะไม่อยากเจอ... ไม่ได้รบกวนกาย แต่มันกวนใจจนเกิดคำถามในหัวว่า ‘จะมาเพื่อ??’ หนูจะรับมือเรื่องนี้ยังไงดี... “คุณโอ (นามสมมุติ)” อายุ 21 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (27 ก.ย. 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก -ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอมเกี่ยวกับปัญหาแฟนเก่ามาที่บ้านแฟนเรา แต่คนในครอบครัวก็ต้อนรับอย่างดี จนเรารู้สึกอึดอัด โดย “คุณโอ (นามสมมุติ)” ได้เริ่มเล่าว่า ‘หนูมีปัญหากับแฟนคนเก่าของแฟนหนู เขายังมาบ้านแฟนหนูอยู่เรื่อย ๆแล้วทางบ้านแฟนก็ยังต้อนรับกันเป็นอย่างดี ปกติหนูไม่ได้อยู่ที่บ้านแฟนทุกวัน ตัวหนูจะไปบ้านแฟนช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ แล้วเวลาที่เขามาก็มักจะเป็นวันที่หนูอยู่ เขาก็จะเดินเปิดประตูเข้ามา ยิ้มร่าเริง ยกมือไหว้ทุกคน แล้วทุกคนในบ้านก็จะถามไถ่เป็นยังไงบ้าง มาได้ยังไง ตัวหนูเองกับเขาก็เคยเห็นหน้ากันแต่ไม่เคยทักหรือคุยกัน ส่วนกับแฟนหนู เขาก็ไม่ทัก ไม่คุยกันเพราะแฟนหนูเค้ารู้ว่าหนูไม่โอเค หนูก็อดคิดไม่ได้มันก็เกิดคำถามอยู่ตลอดว่า ‘มาทำไม’ ส่วนความสัมพันธ์ของหนูกับพ่อแม่แฟนก็ดีนะคะ โอเคเลยเหมือนกับว่าลูกเค้ามีแฟนใหม่แล้ว ก็ต้อนรับหนูที่เป็นแฟนใหม่เป็นอย่างดีเลยเหมือนกัน คือถ้าไม่มีเรื่องแฟนเก่าเกิดขึ้น ก็คือปกติไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย หนูก็พยายามเข้าใจนะว่าในมุมผู้ใหญ่เค้าคงมองว่าเป็นลูกหลานอีกคนนึง หนูขอเล่าย้อนไปตอนที่เค้ายังคบกันคือเค้าคบกันมาประมาณ 3 ปี ตอนที่เค้าคบกันแฟนเก่าก็ย้ายมาอยู่บ้านแฟนหนูถาวร บางทีที่เขามาที่บ้าน แฟนหนูก็จะออกไปบ้าง ไม่ออกบ้าง แต่เวลาออกไปคือไปทำกับข้าว ไม่ได้สนใจ แล้วตัวแฟนหนูก็คุยกับหนูว่า ‘เธอปล่อยให้มันเป็นอากาศไปเลยได้ไหม ไม่ต้องไปสนใจมัน’ แต่หนูพูดตรง ๆนะหนูทำไม่ได้ หนูเป็นแฟนใหม่นะ หนูอยู่ตรงนั้น แล้วหนูเป็นคนที่แสดงสีหน้าชัดเจนมาก พร้อมบวกตลอดเวลา แต่หนูเองก็ไม่ได้อยากทำให้เค้าเสียบรรยากาศกัน พวกน้า ๆ เค้าจะมีนั่งสังสรรค์กัน กลายเป็นว่าต้องมานั่งหยุมหยิมกันเรื่องเด็ก หนูก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ เลยตัดปัญหาที่เวลาเขามาหนูไม่ออกไป นั่งอยู่ในห้องดีกว่า หนูไม่รู้ว่าจะออกไปทำไมด้วย เพราะออกไป เขาก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้น แต่มันก็มีความรู้สึกที่เกิดขึ้นเอง เหมือนหนูรู้สึกว่าหนูเป็นคนนอกหรือเปล่า ระยะเวลาที่เขามาที่บ้านก็เฉลี่ย ๆ ประมาณ 2 เดือนครั้ง แม้เลิกกันไปแล้ว 2 ปีกว่าแล้วนะ อีกอย่างเขาก็เป็นฝ่ายบอกเลิกแฟนหนูด้วย อย่างในช่วงแรก ๆที่เขามาที่บ้านมันมีเหตุให้ต้องมาอย่างงานบวช งานศพ หนูก็รู้ว่าส่วนนี้หนูห้ามเขาไม่ได้เพราะเขาก็เหมือนเป็นคนในครอบครัวนี้ไปแล้ว แต่หลัง ๆเวลาที่เขามาด้วยความที่บ้านนี้ มีเด็ก ๆเยอะด้วยอายุก็ไล่ ๆกัน 17-18 พวกเด็ก ๆกับเขาก็จะเล่นเกมด้วยกันสนิทสนมกันมากกว่าหนู หนูรู้นะว่าเขาก็มีบ้านเขา แต่ว่าไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่ ในบางมุมหนูก็เห็นใจเขา แต่บางมุมมันก็อดคิดไม่ได้ว่า ก็เลิกไปแล้วไง วันนี้หนูเลยอยากปรึกษาว่าหนูต้องทำยังไง หรือหนูควรไปพูดกับเขาตรง ๆเลยไหม “ดีเจต้นหอม” เริ่มให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าเป็นพี่ พี่จะไม่ร้าย เพราะเราดูที่คนของเรา เค้าไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์หรืออะไร คือการที่เขามาบ้านแล้วเราดูแล้วว่าเค้าสนิทกัน แล้วเราก็มาที่หลังด้วย มันมีเหตุการณ์เกิดก่อนที่เราจะมา เราดูแค่คนกลางก็พอ ถ้าคนกลางไม่ไปยุ่ง แปลว่ามันไม่ได้มีอะไรที่ต้องระแวงหรือไม่มีอะไรที่ทำให้เราต้องร้าย แล้วการที่เราจะไปร้ายในบ้านแฟน ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ และพี่ว่าเราต้องไม่เอาตัวเองไปเทียบกับเขาอะ เราไม่ได้อยู่ในจุดที่เราต้องแย่งชิง เพราะว่าคนกลางอยู่กับเรา เขาก็มีคนใหม่ แล้วถ้าสวย ๆเลยเดินเจอกันก็ทัก คือให้รู้ไปเลยว่าเขาไม่ใช่สิ่งที่เราต้องกังวล ไม่ต้องไปหาเรื่อง เพราะรู้สึกว่าเราอาจจะได้เพื่อนเพิ่มก็ได้ ซึ่งเขาอาจจะน่ารักก็ได้นะ เพราะส่วนของเขากับแฟนเรามันจบไปแล้ว แต่เข้าใจมันเป็นที่วัยด้วยว่าเรื่องแบบนี้ไม่ได้ มันมีเงื่อนไข แต่เวลาที่เจอกันแล้วเราต้องหลบ มันรู้สึกอึดอัด ใช้ชีวิตสบาย ๆดีกว่าไม่ต้องหลบเพียงแต่แฟนเราห้ามคุยนะ” ต่อมาที่ “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า “เอาความจริงก็เข้าใจได้ ถ้าคนที่เป็นแฟนเก่า แล้วรู้สึกไม่อยากมีปัญหาเค้าก็จะไม่ปรากฎตัวหรอก แต่ในเมื่อคนเนี่ยไม่ได้คิดแบบนั้น แต่ว่าเขามาแบบบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้มาระราน ที่มาก็เพราะความเคยชิน และยังคิดไม่ได้ว่าเอ้ยเราเป็นแฟนเก่าไม่ควรไปอยู่ในพื้นที่ของแฟนใหม่ ซึ่งพี่รู้สึกว่าถ้าแฟนเราไม่ได้ไปรู้สึกอะไรกับเขา แสดงว่าแฟนเราไม่ได้อะไรจริง ๆแต่โอก็ต้องเข้าใจว่าเขาสนิทกับคนในพื้นที่นั้นมาก่อนหน้าแล้ว ไม่ต้องไปสนใจ ใช้ชีวิตตามปกติไม่ต้องหลบ เขามาในฐานะแขกคนนึง เราอยู่แบบสันติของเรา ยิ่งเราอยู่ตรงนั้นให้รู้ว่ามีเราอยู่นะเขาเห็นเรา อาจจะทำให้เขามาที่บ้านน้อยลงก็ได้นะ เมื่อเราอยู่กับแฟนเรา ถึงวันนั้นสภาวะความที่เขารู้สึกไม่สบายตัว เขาก็คิดได้เอง ” ปิดจบกันที่ “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า “เห็นด้วยกับทั้งสองคนเลย โอฟังพี่เติ้ลพี่หอมแนะนำซ้ำ ๆเลยนะเราเป็นเจ้าถิ่น เจ้าบ้าน นิ่ง สยบความเคลื่อนไหว ให้เอาบารมีความเป็นสะใภ้คนใหม่ ขวัญใจคนใหม่ ผู้ซึ่งน่ารักใจกว้าง ต้อนรับแฟนเก่าอย่างดี จนเขาเกรงใจไปเอง มันต้องอย่างงั้น พี่หอมพูดถูกว่ามันคือชั้นเชิงยิ่งเราดีกับเขามากเท่าไหร่ ในแบบที่ยังรู้สึกได้บาง ๆว่าก็ไม่ได้ชอบสักเท่าไหร่ แล้วเดี๋ยวเขาจะไปเอง แล้วพ่อแม่จะรู้สึกว่าโอมันก็น่ารักเนอะ อย่าไปแบบเป็นตัวร้าย ตื้น ๆเปิดประตูออกมาจ้อง สะบัดหน้าคือชั้นเชิงหนูมันตื้นเขินเกินไป จากนางเอกหนูจะกลายเป็นตัวอิจฉาทันที แล้วเขาจะเป็นนางเอก ตอนนี้มุมนางเอกคือ 2 ปีแล้วแหละคงไม่มีใครคิดอะไรแล้วแหละ โต ๆกันแล้วแหละ เราก็ไปเยี่ยมผู้ใหญ่ได้ เขาอาจจะคิดแบบพี่แอฟ ทักษอรก็ได้นะตอนนี้ด้วยความใสเลย ตัวเขาก็มีแฟนใหม่แล้วด้วย ใครคิดอะไรก็บ้าแล้ว ไปสวัสดีพ่อแม่หน่อยคงไม่อะไรหรอกมั้ง ตอนนี้กลายเป็นโอเป็นตัวอิจฉาเลยนะ แล้วแฟนเราก็ประพฤติตัวดีด้วย ดังนั้นนิ่งไว้ลูก อย่าไปร้ายมากเก็บมันไว้กดความร้ายมันไว้”เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

มันปกติไหมคะ? การที่ HR บริษัทใหม่ที่เราไปสัมภาษณ์ ขอสลิปเงินเดือนที่เก่าเรา เพื่อเทียบดูว่าจริงตามที่เราสัมภาษณ์ไหม พอดีว่าตอนสัมภาษณ์หนูพูดโกหกอัพเงินเดือนตัวเองให้สูงขึ้น เพื่อให้ที่ใหม่ให้สูงกว่า สัมผ่าน 2-3 รอบแล้ว

11 ต.ค. 2024

มันปกติไหมคะ? การที่ HR บริษัทใหม่ที่เราไปสัมภาษณ์ ขอสลิปเงินเดือนที่เก่าเรา เพื่อเทียบดูว่าจริงตามที่เราสัมภาษณ์ไหม พอดีว่าตอนสัมภาษณ์หนูพูดโกหกอัพเงินเดือนตัวเองให้สูงขึ้น เพื่อให้ที่ใหม่ให้สูงกว่า สัมผ่าน 2-3 รอบแล้ว

มันปกติไหมคะ? การที่ HR บริษัทใหม่ที่เราไปสัมภาษณ์ ขอสลิปเงินเดือนที่เก่าเราเพื่อเทียบดูว่าจริงตามที่เราสัมภาษณ์ไหม พอดีว่าตอนสัมภาษณ์หนูพูดโกหกอัพเงินเดือนตัวเองให้สูงขึ้นเพื่อให้ที่ใหม่ให้สูงกว่า สัมผ่าน 2-3 รอบแล้ว สุดท้ายแล้วหนูก็ตัดสินใจทำงานที่เก่า “คุณกิ่ง (นามสมมติ)” อายุ 26 ปี สายที่สองในรายการพุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [8 ต.ค.67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาออฟฟิศ ทำงาน โดย “คุณกิ่ง (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ตอนนี้กิ่งมีงานปัจจุบันทำเกี่ยวกับโปรเจกต์ ควบคู่กับเซลล์ รับลูกค้าด้วย ซึ่งทำงานที่นี่มา 2 ปีกว่าแล้ว ก่อนหน้านี้กิ่งเคยทำ marketing มาก่อน ในตอนที่สัมภาษณ์งานที่นี่ ตอนนั้นกิ่งอายุ 24 ปี และขอฐานเงินเดือนไปก็ได้ตามที่คาดหวังไว้ จนเวลาผ่านไปเราคิดว่าทักษะการทำงานเรามากขึ้น ได้รับลูกค้าหลายเจ้า ได้ประสบการณ์มากขึ้น เลยรู้สึกว่าตัวเราเองเริ่มทำงานเกินเงินเดือนแล้ว ควรได้รับค่าตอบแทนที่มากกว่านี้หน่อย ด้วยงานที่มันเริ่มโหลด และภาระการเดินทางจากบ้านไปที่ทำงานวันละ 70 กิโล ด้วยระบบองค์กรที่บริษัทเราที่มีการปรับเงินเดือนรอบละไม่เกิน 3 – 5 % ในการปรับเงินเดือน มันเล็กน้อยมาก เลยรู้สึกว่าไม่พอสำหรับค่าครองชีพที่เป็นอยู่ จนเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมามี HR บริษัทที่ใหม่ ซึ่งองค์กรนั้นเป็นองค์กรลักษณะเดียวกันกับที่เราทำอยู่ปัจจุบัน เขาโทรมาแล้วบอกว่าเห็น RESUME ของเราในเว็บออนไลน์ เขาแจ้งว่า พวกคุณสมบัติ ประสบการณ์เราดูตรงกับตำแหน่งที่เขาต้องการอยู่ เราก็ตอบตกลงสัมภาษณ์กับทางบริษัทนั้นไป หลังจากนั้นทาง HR คนนั้นเขาก็ขอให้เราอัปเดตเอกสาร RESUME โดยให้ระบุเงินปัจจุบัน แล้วก็เงินเดือนที่คาดหวัง เราก็เอ๊ะนิดนึง ด้วยความที่เราไปสัมภาษณ์มาหลายที่แล้ว สิ่งที่เราเจอมาตลอดคือเขาจะถามแค่เงินเดือนที่เราอยากได้ ไม่เคยเห็นที่ถามเงินเดือนปัจจุบันมาก่อน เราคิดว่ามันมีข้อเสียที่ว่าถ้าเราบอกเงินเดือนจริงเขาไปแล้ว เขาจะกดเงินเดือนที่เราเรียกกับที่ใหม่ไปมั้ย? เราก็กลัวว่าไปทำงานที่ใหม่ เงินก็จะขยับไม่เยอะ ปกติสมัยนี้ถ้าเราย้ายที่ทำงานใหม่ ถ้าไม่ได้มี skill จริงๆ เขาคงไม่ได้ให้มากกว่าที่เดิม แต่ทางบริษัทใหม่เขาเสนอกับเราว่าอยากให้เงินเดือนเรามากกว่าที่เราต้องการ แต่เขาขอเอกสารเงินเดือนเก่าไปรีเช็คก่อน ซึ่งตอนที่เราโกหกเงินเดือนปัจจุบันของเรากับเขาไปตั้งแต่แรกแล้ว สุดท้ายเราก็โทรหา HR คนนั้นว่าเราขอปฏิเสธไป เพราะคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมกับที่ใหม่ ยังอยากอยู่กับที่เก่า ตัวเรายังไม่เหมาะด้วย เลยอยากรู้ว่าถ้าจะไปทำงานที่ใหม่ เราต้องยื่นฐานเงินเดือนที่เก่าด้วยมั้ย?เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1