ก็งานเสร็จแล้ว จะนั่งต่อเพื่อ ?? สาวออฟฟิศสุดกลุ้ม ถึงเวลาเลิกงานแล้ว แต่หัวหน้าชอบยื้อเวลาให้อยู่ต่อ ทั้งๆที่ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว สงสัยจัง ทำไมจะกลับตรงเวลา ถึงเป็นเรื่องยากขนาดนี้ !! พี่ๆในแผนกก็เจอเหมือนกันหมด

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

ก็งานเสร็จแล้ว จะนั่งต่อเพื่อ ?? สาวออฟฟิศสุดกลุ้ม ถึงเวลาเลิกงานแล้ว แต่หัวหน้าชอบยื้อเวลาให้อยู่ต่อ ทั้งๆที่ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว สงสัยจัง ทำไมจะกลับตรงเวลา ถึงเป็นเรื่องยากขนาดนี้ !! พี่ๆในแผนกก็เจอเหมือนกันหมด

27 มิ.ย. 2023

                “คุณมน (นามสมมติ)” อายุ 25 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [21 มิ.ย. 66] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาเวลาการเลิกงาน

                โดย “คุณมน (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ได้ 2 เดือนกว่าแล้ว ที่นี่ไม่ใช่บริษัทใหญ่ ตอนแรกหนูคุยกับเขา เขาบอกเข้างาน 09.30 น. เลิกงาน 18.30 น. แล้วเขาก็พูดทิ้งท้ายว่า แต่กลับสักทุ่มครึ่งก็ดีนะ หนูก็เอ๊ะ! แต่ตอนนั้นหนูอยากออกจากงานเก่าเต็มที แล้วเขาก็ให้เงินเดือนหนูเยอะเกินความคาดหมาย หนูก็เลยตัดสินใจทำงานที่นี่ พอเข้ามาทำงานจริงๆแล้ว ในช่วงเดือนแรกๆหนูก็กลับบ้านตรงเวลาอยู่ เพราะหนูเป็นคนกลับบ้านตรงเวลามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่หนูงงว่าทำไมในออฟฟิศไม่มีใครกลับเลย

                หนูก็เลยค่อยๆตะล่อมถามคนในออฟฟิศว่า เอ้อ...ทำไมไม่มีใครกลับเลย เขาก็เล่าให้หนูฟังว่าเจ้านายเขาไม่ค่อยอยากให้กลับตรงเวลา เขาจะดึงให้ทำงาน บางคนไม่ได้มีอะไรทำ แต่เขาก็ดึงเพื่อให้อยู่ด้วยกันแล้วเขาก็จะบอกว่าเดี๋ยวซื้อข้าวให้กิน พอช่วงหลังๆมาหนูก็ไม่ได้กลับตรงเวลา เพราะว่าจะมีงานให้บ้าง ที่หนูกลับดึกที่สุดตอนนี้ประมาณ 2 ทุ่ม – 2 ทุ่มครึ่ง ซึ่งเป็นการที่หนูกลับเอง คือไม่ไหวแล้ว อยากกลับแล้ว ก็ลาเขาแล้วก็ออกไปเลย ไม่ได้รอเขาตอบกลับอะไร วันที่อยู่ดึกๆกลับช้าหนูก็ไม่ได้โอที แต่มีคนเคยบอกว่าถ้าเกิดวันไหนทำถึง 4 ทุ่ม หนูก็จะได้โอที 200 บาท

                ส่วนเรื่องอื่นๆ หนูเคยถามว่าลาพักร้อนมีกี่วัน เขาก็ตอบหนูไม่ชัดเจน แล้วเขาก็บอกว่าแต่ต้องทำงานให้ครบปีก่อนนะ ถึงจะได้วันลาพักร้อน แต่เขาก็ไม่บอกจำนวนวัน บรรยากาศในการทำงานมันเป็นสภาวะที่อึดอัด ทุกคนทำงานเหมือนอยู่ในสถานปฏิบัติธรรม เงียบมาก เจ้านายก็นั่งอยู่ในห้องทำงาน แต่พอเจ้านายเดินออกจากห้องทำงาน ทุกคนก็เฮฮาหัวเราะ หนูก็เลยคิดว่าทำไมบรรยากาศมันแตกต่างจังเลย หนูเคยทำที่อื่นมาก่อน แต่ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย และล่าสุดที่เจอมา คือ มีเพื่อนคนนึงเขาป่วยหนักหลายวัน เจ้านายก็เลยให้เรียกรถมายกคอมไปให้ทำที่บ้านเลย

                การกลับบ้านของเจ้านายแต่ละวันก็แล้วแต่เขาเลย บางวันเขากลับเร็วก็เร็ว บางวันเขากลับดึกก็ดึก วันไหนที่เขากลับเร็วก็เหมือนเป็น Lucky ของพนักงานที่จะได้กลับเร็ว แต่ก็จะมีอีกกรณีนึงที่คนเก่าเขาเล่ามา คือ บางตำแหน่งที่เขาต้องคุยกับลูกค้า แล้วลูกค้าโทรมาให้ทำงานให้ตอนดึกๆ เจ้านายก็จะโทรมาบอกให้อยู่ทำงานก่อน ทำงานให้เสร็จ บางคนเลิกเที่ยงคืน ตี 1 ก็มี ส่วนค่าตอบแทน ที่นี่เขาให้เงินเดือนสูง คนอื่นๆก็ได้เงินเดือนสูงเหมือนกัน ได้โบนัสดี แต่เจ้านายคนนี้เขาก็ดี แค่เรื่องเวลาที่รู้สึกไม่ค่อยโอเค...

                “คุณมน (นามสมมติ)” อยากถามพี่ๆ ดีเจว่า ควรจะออกจากที่ทำงานนี้เลยมั้ย หรือ ทำต่อไป เพราะเราอยากได้ประสบการณ์

                “ดีเจเผือก” ก็ได้ให้คำแนะนำว่า ‘เมื่อ15 ปีที่แล้ว ผมก็เคยทำงานออฟฟิศมาก่อน แต่ของผมเป็นออฟฟิศค่อนข้างใหญ่แบบ WorldWide ตอนนั้นก็สัมผัสได้ว่ามันเป็นวัฒนธรรมของงานในสายงานนี้ เมื่อคุณเสร็จงานประจำในช่วงเวลาปกติแล้ว หลังจากนั้นคุณสามารถทำอะไรต่อได้อีกเยอะเลย คุณสามารถทำงานเพื่อส่งประกวด เพื่อแคมเปญต่อๆไป ผมเลิกงานช้าสุดก็ตี 3 - 4 ไปเลย เน้นงานเสร็จไม่ได้เน้นเวลาการทำงาน

                ก่อนที่จะเลือกช้อยส์ 1 หรือช้อยส์ 2 ต้องถามตัวเองก่อนว่า มนมีทางเลือกหรือเปล่า? มีตัวเลือกอื่นที่จะทำให้มนย้ายและเงินเดือนเพิ่มขึ้น ได้งานที่รับผิดชอบที่สนุกสนานมากขึ้น หน้าที่การงานเติบโตขึ้นก็ย้าย แต่ถ้ารู้สึกว่าตัวเลือกนี้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด จากเงินเดือนที่เขาให้มาค่อนข้างสูงและจากที่ฟังมนเล่ามา เขาไม่ได้ดูเป็นคนเลวร้ายอะไร แค่เขาอาจจะขี้เหงา และเป็นหัวหน้าที่บ้างาน บางครั้งหัวหน้าที่บ้างานมักจะเอาความเป็นตัวเองใส่มาให้ลูกน้องด้วย

                แต่ถ้าไม่มีทางเลือก การที่อยู่เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ มนอาจจะได้เจออะไรที่เลวร้ายกว่า 2 เดือนแรกอีก เดี๋ยวอยู่ต่อไป มีถึงตี 1 – 2 วันที่ต้องปิดงานเพื่อจะต้องส่ง นั่นแหละต้องเจออีกแน่ ถ้าไม่มีทางเลือกก็อยู่ต่อไป มีทางเลือกเมื่อไหร่ก็บายบ๊าย เงินเดือนเพิ่มขึ้น ธรรมชาติของงานแบบนี้ย้ายกันบ่อยอยู่แล้ว ยิ่งย้าย มีผลงานเป็นที่พิสูจน์ ยิ่งอัพเงินเดือนเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นพี่เมื่อ 15 ปีที่แล้วพี่ยังคงทำ...’

                ‘ดีเจเติ้ล’ ให้คำแนะนำว่า ‘มนต้องถามตัวเองว่าเป็นคนประเภทไหน แน่นอนมันจะมีคนที่สู้เพื่องาน จะเหนื่อยเท่าไร จะไม่สบายยังไง แต่ถ้าทำงานแล้วงานมันดี มันทำให้เราเจริญเติบโตก้าวหน้ายอมเสียสละ ถ้าเอาแค่ปัญหาที่อยู่แล้วไม่มีงานทำ ก็อาจจะลองถามคนอื่นว่ามีอะไรให้ช่วย เพราะว่างานที่หนูทำอยู่มันไม่ใช่งานที่ทำแล้วจบ มันสามารถทำอย่างอื่นเพื่อเพิ่มสกิล ทักษะอื่นๆได้ ถ้าหนูอยากหาประสบการณ์ คือ มันอยู่ที่ทัศนคติของหนูในการทำงานว่าจะทำให้มันดีกับตัวเองได้หรือเปล่า หรือแค่มานั่งว่างๆเพื่อรอให้คนอื่นกลับ แล้วฉันจะกลับ อันนี้พี่ว่ามันไม่มีประโยชน์

                เอาจริงๆ มันควรต้องแก้ที่ตัวหัวหน้า ที่จะให้เขารู้ว่า เวลาในการทำงานมันไม่ได้เท่ากับประสิทธิภาพในการทำงานนะ มันไม่ได้เสมอไปว่า ถ้าทำงานดึกๆ มันจะได้งานที่ดี แต่ถ้าเขาเป็นแบบนี้ เราไปเปลี่ยนเขาไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเราไปเป็นลูกน้องเขา ตอนนี้มันก็มีแค่มนที่ต้องปรับ อยู่แบบนี้ให้ได้ โดยที่อยู่ยังไงให้ดีกับตัวเรา เหมือนที่พี่ถามมนตั้งแต่แรกว่ามนเป็นคนประเภทไหน มันแล้วแต่เลยว่าเราอยากเห็นชีวิตเราเป็นแบบไหน เราเลือกเป็นแบบไหน ซึ่งมันไม่มีถูก ไม่มีผิด มันแล้วแต่ว่าเราแฮปปี้หรือไม่แฮปปี้เท่านั้นเอง ตอนนี้มนต้องถามตัวเองว่ามนแฮปปี้มั้ยที่เป็นแบบนี้ แต่ก็ต้องดูองค์ประกอบอื่นๆด้วยว่า ถ้ามนออก ที่อื่นจะยังไง จะรับเข้าทำงานมั้ย ตอนนี้เงื่อนไขชีวิตเป็นยังไง หรือถ้าทนได้ แล้วไม่มีอะไรทำก็หาอะไรทำได้ ถ้างานมันยังดี เจ้านายดี ติดแค่เวลาการทำงานที่ชอบให้อยู่ดึก ลองชั่งน้ำหนักดูแล้วถ้าข้อดีมันมีเยอะกว่าก็อยู่ต่อ...

                ‘ดีเจต้นหอม’ ให้คำแนะนำว่า ‘ถ้าพี่เป็นเจ้านายแล้วลูกน้องกลับก่อนคนอื่น พี่จะเช็คว่างานเขาเสร็จหรือยัง เพราะฉะนั้นมันจะฟ้องด้วยผลงาน ถ้าเกิดงานหมดมันเสร็จแล้ว มันก็สามารถกลับได้ เราก็เคยไปบอกเขาว่ากลับก่อนนะคะ เขาก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร พี่ว่าเราอาจจะยังไม่ต้องคิดอะไรไปก่อนก็ได้ คือ ถ้ามนทำงานแล้วคุณภาพมันไม่ได้ลดลง มนกลับได้! เจ้านายไม่ไล่ออกหรอก ถ้าคุณภาพการทำงานของมนดี ทำงานเกินเงินเดือน ถึงเวลาเราทำงาน เราทำเต็มที่ วัดกันที่คุณภาพ

                แต่ถ้าวันไหนที่เขามีเคสเร่งด่วนหน่อย เราก็มีน้ำใจในการช่วยเหลือเขา คนละครึ่งทาง มันก็คือการเอื้ออาทรต่อกัน ถามว่าจะอยู่ต่อหรือพอแค่นี้ เอามวลความสุขของเราว่าการที่เราอยู่ที่นี่เรารู้สึกมีความสุขมั้ย บางทีมันไม่ใช่เรื่องหัวหน้า ไม่ใช่เรื่องเวลาอย่างเดียวหรอก เพื่อนร่วมงาน องค์ประกอบทุกอย่าง เราอยู่แล้วเราโอเคมั้ย แล้วเงินมันจำเป็นมั้ยที่ต้องได้เท่านี้ มันมีปัจจัยให้มนตัดสินใจได้อีกเยอะ 2 เดือนยังตัดสินใจอะไรไม่ได้ ให้เวลากว่านี้หน่อย...

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หนูทำงานเป็นผู้ช่วย เผลอไปมีอะไรกับหัวหน้าที่ทริปต่างจังหวัด มารู้ทีหลังว่า...

03 มี.ค. 2023

หนูทำงานเป็นผู้ช่วย เผลอไปมีอะไรกับหัวหน้าที่ทริปต่างจังหวัด มารู้ทีหลังว่า...

“คุณหวาน (นามสมมุติ)” สายที่สามในรายการพุธทอล์คพุธโทรเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (01/03/2023) ได้โทรเข้ามาปรึกษาดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาความสัมพันธ์กับหัวหน้าโดย “คุณหวาน (นามสมมุติ)” ได้ปรึกษาว่า ‘เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว หัวหน้าต้องการคนช่วยงาน เขาก็เลือกหนูกับเพื่อนอีกคนนึงให้ไปช่วยงานเขา เป็นงานจิปาถะ ทั้งเอกสาร เตรียมของ หรือไปออกต่างจังหวัด ในช่วงแรกๆยังไม่มีอะไร จนกระทั่งหัวหน้าได้ย้ายไปอีกที่นึง เขาก็ขอให้หนูกับเพื่อนคนนี้ไปช่วยอีก แต่เพื่อนได้ทุนจากที่ทำงานไปศึกษางานที่ต่างประเทศ ก็เหลือหนูคนเดียว ซึ่งเวลาไปดูงานที่ต่างจังหวัด หนูก็ดูแลหัวหน้ามาตลอด ไม่ได้คิดอะไรมาก เวลาเขาจะเอาของ จะดื่ม จะกินอะไร หนูคอยเทคแคร์ ดูแลให้หมด เป็นคล้ายๆเลขาแต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่าง ปกติจะมีเพื่อนอีกคนช่วยกัน แต่พอเหลือหนูคนเดียว หนูก็ต้องทำทุกอย่างวันนึงไปดูงานที่ต่างจังหวัดกับหัวหน้า แล้วเขาก็ดื่มแอลกอฮอล์ แบบกรึ่มๆเมาๆ หนูก็กลัวเขาจะขึ้นห้องไม่ไหวก็เลยพาขึ้นไปส่ง แต่ในช่วงที่พาเขาขึ้นไปส่ง หนูก็ดันเกิดซัมติง ไปมีอะไรกับเขา ซึ่งส่วนตัวเราชอบบุคลิก ชอบการทำงานของเขาอยู่แล้ว เขาก็บอกหนูว่าเขาดีใจ เขาชอบที่มีหนูไปคอยดูแลเขา มันก็เลยเผลอถลำลึกลงไป โดยที่รู้อยู่แล้วทั้งใจว่าเขามีครอบครัวแล้ว และมันก็เป็นแบบนี้มาตลอดทุกทริป หรือแม้แต่ไม่มีทริป เวลาเข้าไปช่วยงาน เขาก็จะมากอดหนูตลอด เป็นแบบนี้มาเกือบปี...จนกระทั่งเพื่อนคนเดิมกลับมา หัวหน้าก็เอาเพื่อนมาช่วยงานเหมือนเดิม มันก็จะกลายเป็นเซ็ทเดิมที่เคยช่วยเขา ซึ่งหนูก็ไม่ได้อะไร เพราะหัวหน้าก็ยังไลน์คุยกับหนูปกติ แต่มีอยู่วันนึงต้องไปออกทริปต่างจังหวัดอีก หนูกับเพื่อนก็ไปด้วย แต่หนูเริ่มมีเซ้นส์ รู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไป คุยกับหนูน้อยลง แล้วสุดท้ายก็เจอแจ็คพอตไปรู้ว่าเขาก็ไปมีอะไรกับเพื่อนคนนี้เหมือนกัน พอรู้หนูก็ช็อคไปเลย กินไม่ได้ ทำงานไม่ได้ จนเป็นโรคซึมเศร้าเพราะเรื่องนี้เลย และยังมีสภาพแวดล้อมอีก ยอมรับว่าเพื่อนร่วมงานเป็นคนค่อนข้างเก่งในสายตาหนู เขาเป็นคนละเอียด ทำงานเร็ว ตอบโจทย์หัวหน้าได้ดีมาก มันก็เลยมากดดันความรู้สึกว่าหนูทำงานไม่ดีหรอ ทำไมเขาถึงไปกับอีกคนนึงสภาพหนูไม่ไหว น้ำหนักจาก 40-50 เหลือ 40 กิโล ภายใน 2 อาทิตย์ ก็เลยไปปรึกษาคุณหมอและกินยา หมอก็บอกว่าต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อมนะ ถ้าไม่เปลี่ยน โอกาสแย่มีมากกว่านี้ หนูก็เลยไปบอกหัวหน้า ขอกลับไปทำงานที่เดิม ตอนแรกเขาก็จะไม่ยอมปล่อย เหมือนเขาจะรู้สึกผิดว่าทำให้หนูเป็นแบบนี้ แต่สำหรับหนูไม่ได้แล้ว อยู่ไม่ได้ ถ้าอยู่ต่อคือหนักกว่าเดิมแน่นอน และหนูก็ยืนยันว่ายังไงก็ขอกลับ เขาก็โอเค ยอม แต่พอเรากลับมาที่เดิม เขาก็หายไปเลยสักพักนึง หนูก็ไม่พยายามติดต่อด้วยประมาณเกือบเดิมกว่าๆ อยู่ๆเขาก็ทักมาว่าเป็นไงบ้าง ดีขึ้นมั้ย แค่เขาทักมาใจมันก็ไปหมดเลย ยอมตั้งแต่หน้าประตู โหยหาเขา อยากเจอ อยากคุย อยากกอดเขาทุกอย่างเลย แล้วมันก็กลับมาวนลูปเดิม เขาก็คอยไลน์มาคุย มานู้นมานี่ จนถึงขั้นกลับมามีอะไรกันอีก และล่าสุดประมาณสองอาทิตย์ที่แล้ว ไม่รู้เป็นเพราะมีสติขึ้นหรือเปล่า ไปได้ยินประโยคนึงของซีรีส์คลับฟรายเดย์ ที่ผู้หญิงบอกว่า พอแล้ว ไม่เอาแล้ว มันไม่มีความสุข หนูก็เลยกลับมานั่งคิดว่าที่เป็นอยู่มันมีความสุขหรอวะ นั่งรอเขามาคุย มาหา ในขณะที่เขาก็ไม่ได้รอหนู ไม่ได้มาสนใจหนูตลอด แต่ใจหนูมุ่งแต่กับเขา มีงานทำก็จริงแต่พอทำเสร็จปุ๊บก็มานั่งไถไลน์ดูว่าเขาทักอะไรมาหรือยัง ตอนนี้ก็เลยสับสนกับตัวเองว่าจะเอายังไงดี จะตัดความสัมพันธ์แบบนี้ยังไง บางทีพอคิดได้ มันก็มาโทษตัวเองอีกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราควรรัก เพราะเขาก็มีครอบครัวแล้ว ต่อให้รักกันจริงมันก็เป็นไปไม่ได้ ซึ่งหนูควรจะทำยังไงกับความสัมพันธ์แบบนี้ดี?'3 ดีเจ ก็ให้คำปรึกษาว่า 'ยังไงก็ควรตัดขาด หรือ Block หัวหน้าคนนี้ไปเลย ถ้าทุกคนบอกให้หวานหยุด บอกให้หวานออกมาจากจุดที่ยืนอยู่ แต่ถ้าใจหวานยังไม่ออกก็จะอยู่ตรงนั้นต่อไป ถ้าจำเป็นต้องตอบทางไลน์ ก็คุยเฉพาะเรื่องงาน แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้อยู่ร่วมกันกับหัวหน้าไม่ได้แล้ว เหมือนกับแพ้ตั้งแต่หน้าประตูแล้วอยากให้หวานคิดดีๆว่าตัวเองทั้งน้ำหนักลด ทั้งเป็นซึมเศร้ากับแฟนของคนอื่น มันไม่ได้คุ้มค่าอะไรกับชีวิตของหวานเลย หัวหน้าคนนี้คือไม่ได้มีข้อดีอะไรเลย มีครอบครัวอยู่แล้ว แต่ก็กล้ามีอะไรกับเพื่อนร่วมงาน มีอะไรกับเราอีก เค้ามีแค่คำหวาน ประตูก็มีทางออกอยู่แล้ว หวานเองก็รู้ว่าทางออกมันควรออกทางไหน แต่ก็ยังอยากอยู่ในวงกลมนี้ ทั้งๆที่มันเจ็บปวดวันนี้แค่ยังไม่ตื่นมายอมรับความจริง ความจริงรอเราอยู่แล้ว ตื่นเมื่อไหร่ รับเมื่อไหร่ มันยังยืนอยู่ที่เดิมเสมอ รักตัวเองให้เยอะๆ พ่อแม่เลี้ยงเรามาไม่ได้เลี้ยงมาเพื่อเสียน้ำตาให้คนอื่น ขนาดหวานรู้ว่าหัวหน้ามีอะไรกับเพื่อนร่วมงานยังเจ็บขนาดนี้ แล้วภรรยาของเค้าถ้ารู้เรื่องนี้ว่ามีอะไรกับผู้หญิงอีกหลายคน จะเจ็บแค่ไหน ออกมาได้แล้ว ออกมาใช้ชีวิตและหาความสุขให้กับตัวเองท้ายที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ต่อหรือย้ายงานไปที่ไหนแล้ว ถ้าใจหวานยังรัก และหลงหัวหน้าอยู่ ตัวไกลแค่ไหน ก็มีความเสี่ยงอยู่ดี ณ ตอนนี้ หวานยังอ่อนแอเกินไปที่จะปล่อยให้ตัวเองทำตามหัวใจของตัวเอง โดยที่ไม่สนความถูกต้องหรือสิ่งที่หวานรู้ดีอยู่แล้วว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ เพราะหวานก็รู้ดีอยู่แล้วว่าหัวหน้าก็มีครอบครัว เพราะฉะนั้นจะต้องทำให้ตัวเองเข้มแข็ง ต้องมองตัวเองในกระจก ข้างในตัวเองต้องบอบช้ำแค่ไหน แล้วบอกตัวเองว่า เราจะไม่กลับไปเป็นคนนั้นอีก ไม่ได้ทำเพื่อใครเลย สุดท้ายก็ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น...'เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูสู้ไม่ไหวแล้ว... 15 ปีที่แล้วเคยคบแฟนคนนึง เวลาเราสองคน ทะเลาะกัน เขาจะชอบพูดว่า “ถ้าเลิกกัน ต้องมีคนใดคนนึงตาย” หนูเลยตอบไปว่า “หนูยังไม่อยากตาย ถ้าพี่จะตายเชิญตายไปก่อนเลย” หลังจากนั้น 3 วัน เขาฆ่าตัวตายจริงๆ นับจากวันที่เสียชีวิต ผ่านมาแล้ว 9 ปี...

02 มิ.ย. 2023

หนูสู้ไม่ไหวแล้ว... 15 ปีที่แล้วเคยคบแฟนคนนึง เวลาเราสองคน ทะเลาะกัน เขาจะชอบพูดว่า “ถ้าเลิกกัน ต้องมีคนใดคนนึงตาย” หนูเลยตอบไปว่า “หนูยังไม่อยากตาย ถ้าพี่จะตายเชิญตายไปก่อนเลย” หลังจากนั้น 3 วัน เขาฆ่าตัวตายจริงๆ นับจากวันที่เสียชีวิต ผ่านมาแล้ว 9 ปี...

“คุณบี (นามสมมติ)”อายุ 30 ปี สายแรกในรายการพุธทอล์ค พุธโทรเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [31 พ.ค. 66] ได้โทรเข้ามาปรึกษาดีเจเผือก - ดีเจเฟี๊ยต – ดีเจต้นหอมเกี่ยวกับปัญหาที่โทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้แฟนฆ่าตัวตาย โดย “คุณบี (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูคบกับแฟนคนนี้มา 15 ปีแล้ว เขาเป็นแฟนคนแรกของหนูด้วย คบกันมานานมาก เมื่อก่อนหนูเป็นคนที่พูดจาไม่ค่อยดี พูดตรงๆ คบกับเขามาสักพักนึง ในช่วงมหาลัยหนูจะติดเที่ยว ติดเพื่อน แล้วก็จะทะเลาะกันบ่อยมาก พอทะเลาะกัน เขาก็พูดมาคำนึงว่า ถ้าเกิดจะเลิกกัน จะต้องมีคนใดคนนึงตาย ด้วยความที่เราเป็นคนปากไม่ดีอยู่แล้ว ก็เลยพูดออกไปว่า หนูยังไม่อยากตาย หนูยังอยากใช้ชีวิต ยังไม่พร้อมที่จะตายตอนนี้ ถ้าพี่อยากตาย พี่ไปตายก่อนเลย พอหลังจากนั้น 3 วัน หนูเพิ่งมารู้จากเพื่อนของเขาว่า เขาฆ่าตัวตายจริงๆ จากนั้นหนูก็ช็อคมาหลายปี รักษาซึมเศร้ามาตลอด หลังจากที่เขาตาย ทั้ง พ่อแม่ และญาติเขาก็จะทักมา โทรมา ด่าหนูตลอด บอกว่า หนูเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกเขาตาย หนูก็รู้สึกผิดมาตลอด จนคิดว่าถ้าหนูเป็นฝ่ายไปแทนได้ หนูก็จะไป หลังจากนั้นหนูก็อยากใช้ชีวิต ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ จนไปเจอกับผู้ชายอีกคนนึงที่ดีมาก เขามาขอหนูแต่งงาน แต่กลับกลายเป็นหนูไม่กล้า หนูรู้สึกจมอยู่ตรงนี้นานมาก ก้าวออกไปไม่ได้ ไม่ได้ตอบรับไป หนูฟังรายการมาตลอด หนูรู้สึกว่าอยากจะคุยกับคนนอกบ้าง อยากฟังความคิดเห็น บางครั้งหนูยังคิดที่จะไม่อยากมีชีวิตอยู่เลย เพราะคำพูดที่หนูเคยพูดออกไป มันวนกลับมาในหัวหนูตลอดเลย หนูมีปรึกษาแพทย์ รักษาตามอาการ เขาก็พูดว่า เราต้องปล่อยวาง แต่หนูพยายามแล้วก็ไม่สามารถทำได้ ณ วันนั้นหนูไม่คิดว่าพี่เขาจะตายจริงๆ หนูพูดไปอย่างงั้น หนูพยายามอธิบายทางญาติฝั่งเขาแล้ว แต่เขาไม่ฟังเลย เขาพูดแค่ว่าหนูเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกเขาตาย เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการสูญเสีย หนูรู้สึกว่าเหมือนบางครั้งหนูก็ดีขึ้น บางครั้งหนูก็รู้สึกแย่ลงมากๆ ยิ่งหนูพยายามหนีจากครอบครัวเขาเท่าไหร่ เหมือนครอบครัวเขาพยายามตอบย้ำตลอดว่าหนูเป็นคนผิด พี่เขาจะพูดเสมอว่า ถ้าเลิกกัน จะต้องมีคนใดคนนึงตายไป พูดตลอด จนหนูถึงพูดคำนั้นไปว่ายังไม่พร้อมที่จะตายจริงๆ ตอนนี้รู้ไม่อยากฟังคำตอกย้ำใดๆแล้ว หนูอยากจะเดินไปข้างหน้าจริงๆ หนูตัดการติดต่อ พยายามหนีมาตลอด เปลี่ยนเบอร์ เปลี่ยนเฟซบุ๊กมาเป็นสิบๆรอบ แต่หนูยังไม่เคยสู้กลับใดๆกับญาติฝั่งนั้น มีครั้งนึงที่แม่เค้าเอาสเปรย์มาฉีดที่รถหนู เขียนว่า มึงทำให้ลูกกูต้องตาย ทำถึงขั้นนั้นเลย แต่หนูไม่ได้แจ้งความอะไรเลย แต่หนูก็รู้ว่าเป็นฝีมือของแม่เค้า ปัจจุบันเขายังมาระราน ตามมาที่ทำงาน จนหนูลาออกจากงานเลย หนูแค่อยากจะบอกว่าหนูไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เลย เรื่องมันเป็นไปแล้ว หนูกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้เลย หนูควรจะทำยังไง ควรจะใช้ชีวิตยังไง? หนูจะต้องอยู่ต่อไปยังไง? เหมือนหนูต้องอยู่กับอดีตไปตลอดเวลา ตอนแรกหนูคิดว่าหนูกลัวเรื่องราวในอดีต แต่หนูคิดว่าหนูทำใจได้ระดับนึงแล้ว แต่ปัจจุบันนี้คิดว่าหนูกลัวครอบครัวของเขามากกว่า นับตั้งแต่วันที่เขาเสียญาติเค้าก็จะทักแชทมาด่า แอดเฟสมาด่าตลอด เพื่อนหนูก็แนะนำให้ด่ากลับไปเลย แต่หนูไม่กล้า พอได้ยินเสียงเขา หนูก็จะรีบกดวางสายไปเลย ตอนนี้หนูควรไปแจ้งความไหมคะ?’ สำหรับความคิดเห็นของ “ดีเจต้นหอม” แนะนำว่า ควรไปแจ้งความเพราะตอนนี้เราเป็นฝ่ายโดนระราน รังควานมาตลอด ทั้งฉีดสเปรย์รถ ทั้งตามไปที่ทำงาน เราควรไปแจ้งความไว้ “ดีเจเฟี๊ยต” เสริมว่า ควรจะหาคนที่คุยด้วยได้ มีอะไรก็ปรึกษาเขา เช่น เพื่อน หรือ นักจิตวิทยา เพราะถ้าไม่มีใครที่คอยช่วยคิด จะกลายเป็นเราที่อยู่คนเดียว จมอยู่กับเรื่องนั้นๆ อย่ากลัวว่าเราจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนรึเปล่า? ถ้าท้ายที่สุดถ้าเขาเดือนร้อน เขาก็แค่จะไม่ช่วย แต่ถ้าคนที่เราสนิทและไว้ใจ เราขอเขา แล้วเขาช่วย มันจะเป็นการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันมันแน่นขึ้น ชีวิตเราควรที่จะ Connect กับคนอื่น อยากจะให้ปรับตรงนี้ เพราะชีวิตควรจะมีใครสักคนที่คอยรับฟังเรา “คุณบี (นามสมมติ)” ได้เล่าต่อว่า “หนูอยากรู้ว่าหนูควรจะสู้กับเขาไหม? แล้วควรจะสู้กับเขายังไง? หนูรู้สึกยอมไม่ไหวแล้ว หนูเปลี่ยนโซเชียลมีเดียมาเยอะแล้ว เปลี่ยนงานมาเป็นสิบงานแล้ว หนูรู้สึกไม่ไหวแล้วจริงๆ” ด้าน “ดีเจเผือก” ให้ความเห็นว่า ถ้าตอนนี้มีคนใหม่ที่เข้ามาแล้ว เขาควรจะเป็นคนที่มาช่วยซัพพอร์ตเราเรื่องนี้ ช่วยเหลือเรา ลองเปิดใจคุยกับเขาดูไหม? เหมือนเขาจะเป็นหลัก คอยเป็นเซฟโซนให้เรา มันก็จะทำให้เราผ่านเรื่องนี้ไปด้วย โดยที่ไม่เก็บเรื่องนี้ไว้เพียงลำพังแบบที่ผ่านมา นอกจากนี้ “ดีเจเฟี๊ยต” ยังกล่าวเสริมว่า ดีเจเฟี๊ยตมองเรื่องนี้แบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 ก้อนด้วยกัน อย่างแรกคือเรื่อง ‘สาเหตุการตายของเขา’ มีความรู้สึกว่าการที่คนเราจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเองนั้น มักจะมีสาเหตุหลายๆอย่างประกอบกันด้วย บางทีเขาอาจจะมีภาวะซึมเศร้าร่วมอยู่ด้วย ถ้าเปรียบเทียบให้เห็น การที่เราใช้คำคำเดียวด่าคนอื่นๆ แต่ละคนก็จะมีปฏิกิริยาตอบรับไม่เหมือนกันเลย เผอิญว่าส่วนผสมของบีที่มีตอนนั้น กับส่วนผสมของเขาที่มีตอนนั้น มันบังเอิญเหมาะกันพอดี ถ้าถามพี่ว่าสาเหตุเดียวเลยมั้ยที่ทำให้เขาฆ่าตัวตาย คือ บี พี่ว่ายังไม่ใช่ สำหรับข้อที่สองคือ ‘การระรานของครอบครัวเขา’ ถ้าแรกๆ พี่พอเข้าใจว่าเป็นการสูญเสีย คือปกติแล้วมันจะมีระดับของการสูญเสีย หนึ่ง สอง สาม สี่ แต่ผ่านมาแล้ว เขายังไม่ผ่านตรงนั้นมาได้เลย รู้สึกว่าครอบครัวเขาก็ยังไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ ถ้ามองในมุมนี้ บ้านเขาก็ค่อนข้างน่าสงสารทั้งบ้าน เพราะเขาไม่สามารถก้าวต่อไปได้เลย เลยเลือกที่จะเอาเราเป็นสาเหตุว่าทำให้ลูกเขาตาย ณ วันนั้น บีไม่ได้ถือมีดบังคับเขาว่า ต้องตายสิ ตายเลย บีก็ไม่ได้ทำ ดังนั้นมันก็ค่อนข้างไม่แฟร์สำหรับบีเลย ถ้าผ่านมาขนาดนี้แล้วยังโทษเรา ขอกล่าวเสริมว่าการที่ใครไม่สมหวังในความรัก ไม่ควรจะจดชีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตาย เพราะมันส่งผลต่อคนอื่นไปหมด กระทบกันไปหมด เพราะฉะนั้นในส่วนที่ครอบครัวเขามาระรานเรา ให้เราคิดว่าเรากำลังรับมือกับคนที่อยู่ในสภาวะไม่ปกติ ควรสงสารเขาด้วยซ้ำ คิดว่าอาจจะต้องไปบำบัดกันทั้งครอบครัวด้วย สำหรับข้อที่สาม คือประเด็นที่บี “โทษตัวเองว่าไม่ดีพอ เลยทำให้ไม่กล้าเริ่มต้นใหม่กับใคร” ผิดไม่ผิดอยากไร อยากให้ดูที่เจตนา คราวหน้าอยากจะให้บีทบทวนตัวเองในเรื่องของท่าทีในการแสดงออก สุดท้ายก็อยากจะมองว่า หยุดที่จะหนีได้แล้ว อย่างน้อยไปแจ้งความไว้สำหรับกรณีที่ เขามาทำให้ข้าวของเราเสียหาย หรือ เกิดคดีความ การแจ้งความไว้ก็อาจจะมาช่วยตรงนี้ได้ อยากจะให้บีมองว่าที่ผ่านมา เราเป็นฝ่ายเสียหายมาเยอะแล้ว เราควรป้องกันตัวเองไว้ก่อน สิ่งสำคัญคือ ให้อภัยตัวเองด้วย คนนั้นในอดีต กับเราในปัจจุบันที่อายุเท่านี้แล้ว เราคือคนละคนกันแล้ว ณ วันนี้ เรียนรู้ และ เติบโตไปได้แล้ว ก่อนวางสาย “คุณบี (นามสมมติ)” ได้บอกว่า หนูจะสู้นะคะ และถ้าหนูทำได้หนูจะติดต่อทีมงานมา หนูจะสู้ต่อไป ขอบคุณมากๆเลยนะคะ...เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

เจอแฟนแบบนี้ทำไง? สาวกลุ้มใจโทรปรึกษา คบกับแฟน มีอะไรพูดกันได้ทุกเรื่อง แต่พอบอกว่าเราทำงานเซลล์มา 5 ปี ได้เงินเดือนมากกว่าแฟน เขารู้สึกนอยด์ เทคแคร์เราน้อยลง พร้อมให้เหตุผลว่า 'เราไม่สมควรจะได้รับเงินเดือนเท่านี้'

26 พ.ค. 2023

เจอแฟนแบบนี้ทำไง? สาวกลุ้มใจโทรปรึกษา คบกับแฟน มีอะไรพูดกันได้ทุกเรื่อง แต่พอบอกว่าเราทำงานเซลล์มา 5 ปี ได้เงินเดือนมากกว่าแฟน เขารู้สึกนอยด์ เทคแคร์เราน้อยลง พร้อมให้เหตุผลว่า 'เราไม่สมควรจะได้รับเงินเดือนเท่านี้'

“คุณแซน (นามสมมติ)” อายุ 28 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (24 พ.ค. 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาเงินเดือน โดย “คุณแซน (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูกับแฟนอายุเท่ากัน เป็นรุ่นเดียวกันเลย คบกันมาประมาณ 1 ปีกว่าๆ ตั้งแต่คบกันมาก็รักกันดี ไม่ได้มีการทะเลาะรุนแรง มีงอนบ้าง มีปัญหา เราก็พยายามปรับกันมาได้ตลอด ถึงขั้นมีแพลนที่จะใช้ชีวิตร่วมกันด้วย แต่มันจะมีอยู่ 1 ปัญหาในความสัมพันธ์ที่มันบั่นทอนจิตใจ และยังหาทางแก้ไขกันไม่ได้ จนมาถึงทุกวันนี้ต้องบอกก่อนว่า ตัวหนูเองทำงานเป็นเซลล์ ประสบการณ์ในอาชีพนี้ก็เกือบๆ 5 ปี ซึ่งรายได้เซลล์มันค่อนข้างจะสูง ส่วนแฟนทำงานคนละบริษัทกัน แต่งานที่เขาทำจะเป็นงานประเภท back office ซึ่งรายได้ก็จะน้อยกว่าหนูค่อนข้างเยอะ ประมาณ 30% 40%ช่วงที่คบกันแรกๆ เราก็เปิดใจคุยกันทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องรายได้ด้วย แบบเราบอกหมดเลยว่าเราทำงานอะไร รายได้เท่าไร หลังจากที่เขารับรู้เรื่องรายได้ของเรา การกระทำของเขาก็เปลี่ยนไปจนเรารู้สึกได้ มันไม่เชิงเป็นปัญหาที่ทะเลาะกัน แต่เหมือนเขาเคยเล่นกับเรา เคยมุ้งมิ้งกับเรา เคยหวานกับเรา ทุกอย่างมันน้อยลงหมดเลยจนเรารู้สึกได้เราก็เลยถามเขาว่าเป็นอะไร เขาก็บอกว่าเขารักหนูเหมือนเดิมนะ แต่ในหัวเขามีเรื่องรายได้หนูอยู่ตลอดเวลา จนทำให้เขาแสดงออกกับเราน้อยลง ด้วยเหตุผลที่ว่าเขามองว่าทำไมงานเซลล์กับงาน back office รายได้มันถึงต่างกันขนาดนี้ เพราะในขณะที่เขาทำงานหนักมากๆ เขาเลยรู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับเขาเลย รวมถึงเขามองว่าหนูไม่สมควรที่จะได้รับเงินเดือนมากขนาดนี้หนูพยายามอธิบายเหตุผลในอาชีพของเซลล์แล้ว และอธิบายว่าพาร์ทงาน การใช้สกิล ความเครียดอะไรมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว กว่าหนูจะได้เงินเดือนเท่านี้ หนูก็สะสมประสบการณ์ ใช้ความพยายามมาเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้รู้สึกยินดีกับสิ่งที่หนูได้รับเลย ทุกครั้งที่คุยเรื่องนี้ มันก็จบตรงที่ว่าเขาจะมองว่าหนูไม่สมควรได้รับมันอยู่ดี หนูก็เคยถามเขาว่าหนูจะทำยังไงกับความคิดนี้ของเขา เขาก็บอกว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงมีความคิดแบบนี้ แต่ถ้าความคิดนี้ของเขาหายไปได้ มันก็อาจจะเป็นในวันที่เขาจะยอมรับหนูก็ต่อเมื่อหนูทำอะไรที่เขาเห็นว่าหนูสมควรได้รับเงินเดือนเท่านี้ หรือวันหนึ่งที่เขามีรายได้มากกว่าหนู เขาก็อาจจะล้มเลิกความคิดนี้ไปก็ได้หนูรู้สึกบั่นทอนจิตใจมากที่เขาคิดแบบนี้ เพราะเราก็มีแพลนที่จะใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว แต่หนูยังไม่สามารถเปลี่ยนความคิดนี้เขาได้ มันก็เลยกระทบความสัมพันธ์ของเรา ซึ่งหนูคิดว่าเรื่องที่ทำให้เขาคิดแบบนี้ อาจจะเป็นเรื่องภาษาอังกฤษ เพราะหนูไม่ค่อยแข็งแรง และจะมีเขาซัพพอร์ตในเรื่องนี้ แต่ในส่วนเรื่องการใช้ชีวิต เราจะค่อนข้างที่จะช่วยเหลือ ซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน ไม่ได้มีปัญหาตรงนี้หนูอยากถามพี่ๆว่า การที่หนูพูดเรื่องเงินเดือนไป หนูผิดมากมั้ย? เพราะมันเซนซิทีฟ และอีกคำถามคือ หนูควรจะพูดหรือทำยังไงที่จะเปลี่ยนความคิดเขาได้บ้าง…3 ดีเจก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ในวันที่เราจะเป็นคู่ชีวิตกัน มันควรจะส่งเสริมกัน มันไม่ควรกดอีกฝ่ายให้ต่ำ อยู่ด้วยกันมันไม่ควรเป็นจ่าฝูง แซนกำลังเจอคนที่ทัศคติแย่มาก และมันลามไปทุกเรื่องเลยนะ ถ้าวันนึงมีลูกขึ้นมา แล้วจะสอนเขายังไงแนะนำประโยคที่ทำให้เขาเปลี่ยน คือ พวกพี่ๆจะพูดว่า ถ้าเธอยังมีความคิดอย่างนี้อยู่ เธอก็ไม่สมควรมาเป็นแฟนเรา แค่นี้เลย เพราะมันไม่มองเห็นมุมไหนที่เราจะไปแก้ไขชุดตระกระความคิดนี้ของเขาได้ เราสมควรจะมีเงินเดือนตามความสามารถเรา และมีแฟนที่ยินดีกับเราในเรื่องนี้พี่แนะนำอีก 1 ทางเลือก บอกเขาไปว่า ไม่มีแฟนคนไหนหรอกนะที่เขาจะกดอีกคนให้ตกต่ำ พี่ควรจะดีใจที่หนูพัฒนาตัวเองได้ขนาดนี้ ถ้าพี่คิดว่าพี่ต่ำกว่าหนู พี่ต้องพัฒนาตัวเอง อย่ามาพูดกับหนูแบบนี้อีก พี่ไปหาคนใหม่ที่เงินเดือนต่ำกว่าหนู เราต้องพูดในสิ่งที่เราต้องการ และลองดูว่าเราพูดขนาดนี้ เขาจะรู้สึกตัวมั้ย ถ้าเขาไม่รู้สึกตัว แนะนำให้แซนเปลี่ยนแฟน…เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ผู้หญิงไร้ศีลธรรม กับ ผู้ชายที่ไม่รู้จักพอ... หนูคบแฟนมา 20 ปี ผู้หญิงคนนี้เข้ามาในรูปแบบเพื่อนของแฟน สนับสนุนทุกเรื่อง ให้คำปรึกษาทุกอย่าง จนเรารู้สึกว่าทำไมเพื่อนเขาคนนี้ดีจัง... สุดท้าย ผู้หญิงโทรมาสารภาพ ‘ขออยู่ในสถานะเมียน้อย’ ได้ไหม?

18 เม.ย. 2023

ผู้หญิงไร้ศีลธรรม กับ ผู้ชายที่ไม่รู้จักพอ... หนูคบแฟนมา 20 ปี ผู้หญิงคนนี้เข้ามาในรูปแบบเพื่อนของแฟน สนับสนุนทุกเรื่อง ให้คำปรึกษาทุกอย่าง จนเรารู้สึกว่าทำไมเพื่อนเขาคนนี้ดีจัง... สุดท้าย ผู้หญิงโทรมาสารภาพ ‘ขออยู่ในสถานะเมียน้อย’ ได้ไหม?

“คุณหนู (นามสมมุติ)” อายุ 39 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (12 เม.ย. 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษาดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหามือที่สามของแฟน โดย “คุณหนู (นามสมมุติ)” ได้เล่าว่า ‘เราคบกับแฟนมา 20 ปีแล้ว และมีลูกด้วยกัน จนเรามาจับได้ว่าแฟนเรามีคนอื่น ซึ่งก่อนหน้านี้แฟนเป็นคนเจ้าชู้มาตลอด แต่ด้วยความที่มีลูกแล้ว เราก็ไม่ได้ตาม ไม่อะไรแล้ว ลูกก็เริ่มโตแล้ว สนใจลูกมากกว่า เพราะเราคิดว่าเขาจะปรับตัวให้ดีขึ้นได้ จนวันหนึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งโทรมาหาเรา เขาเป็นเพื่อนเก่าสมัยเรียนของแฟน เขาเข้ามาหาแฟนในรูปแบบเพื่อน คอยให้คำปรึกษา ให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน หรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ จนเราคิดว่าเขาเป็นคนดี เป็นเพื่อนที่ดี แล้วเขาก็ร้องไห้ สารภาพกับเราว่า เขาขอเป็นแบบนี้ได้ไหม ขออยู่ในสถานะเมียน้อยได้ไหม? เขาบอกว่าเขาช่วยแฟนเราทุกอย่าง เขาไม่ต้องการอะไรจากเราเลย ไม่ต้องการจะแย่ง แต่ขออยู่ในสถานะนี้ได้มั้ย ขอแค่ให้มาหาบ้าง โทรหาบ้าง ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน เราก็เลยถามเขาว่า ทำไมเกินเลยกันถึงขั้นนี้เลย เขาบอกไม่รู้เหมือนกัน เขารักไปแล้ว ไม่สามารถออกห่างหรือเลิกได้แล้ว ต้องท้าวความก่อนว่าผู้หญิงคนนี้เขาเคยผ่านการมีสามีมาแล้ว มีลูกติด 1 คน แล้วเขาก็มีหน้าที่การงานที่ดี หน้าตาดี มีฐานะที่ดี เราก็เลยถามเขาไปว่าเขาก็มีทุกอย่างแล้ว แต่ทำไมถึงยอมมาอยู่ในสถานะเมียน้อย ทำไมถึงไม่ยอมไปหาผู้ชายที่ดีกว่านี้ ผู้ชายที่ยังไม่มีครอบครัว เขาบอกก็รักไปแล้ว เราก็เลยถามว่านานแค่ไหนแล้ว เขาพูดกลับมาแบบกวนๆใส่เราว่า ก็น่าจะรู้นะว่านานแค่ไหนแล้ว เราก็เลยเอะใจว่าเขามาขอร้องอ้อนวอนเป็นเมียน้อย หรือเขามาเยาะเย้ยเรา แบบอยากให้เรารู้ว่าเขามีตัวตน หลังจากวางสายผู้หญิงคนนี้เราก็ไปเคลียร์กับแฟนเลย ตอนแรกแฟนเราก็ยังไม่ยอมรับ จนเราต้องจี้จุด พูดชื่อผู้หญิงคนนี้ขึ้นมา เขาก็ร้องไห้แล้วสารภาพกับเราว่าเขามีปัญหาเรื่องธุรกิจ การงานของเขา เขาบอกเขาโพสต์เฟซบุ๊ก แล้วผู้หญิงคนนี้ก็เข้ามาทักถาม ให้คำปรึกษา เขาก็ไปคุยกันส่วนตัวเพราะเราไม่รู้ เราไม่เคยเช็คโทรศัพย์ของแฟนเลย เพราะเราเชื่อใจและไว้ใจเขา แฟนเราบอกว่าพยายามจะเลิกกับผู้หญิงคนนี้หลายรอบแล้ว แต่ผู้หญิงไม่ยอมเลิก บอกจะฆ่าตัวตายบ้าง แล้วแฟนเราก็พูดกับเราขึ้นมาคำนึงว่าแล้วลูกเขาล่ะ? แฟนบอกผู้หญิงคนนี้กำลังท้องอยู่ ซึ่งเขาบอกว่าท้องกับสามีเราจริง แต่ตอนนี้เขาแท้งไปแล้ว หลังจากเขายอมรับสารภาพ เราก็โทรไปเคลียร์กับผู้หญิงคนนี้เลย เราด่าด้วยความโมโหว่ามายุ่งกับแฟนเราทำไม เขาก็พูดใส่เราขึ้นมาว่า แล้วเวลาเขาไล่ทำไมไม่ไปอ่ะ อยู่ทำไม? เหมือนกับว่าแฟนเราไปเล่าให้เขาฟังหลายครั้งแล้ว แต่เราไม่ไปเอง เราก็เลยโทรประชุมสายหาแฟนเราเลย ถามว่าเขาพูดแบบนี้จริงไหม แฟนบอกพูดจริง แต่คือจริงๆเขาไม่เคยไล่เราเลย ต่อให้ทะเลาะกันยังไงก็ไม่เคยไล่ สรุปคือแฟนเราไปเล่าเรื่องทุกอย่างในส่วนของเราให้ผู้หญิงคนนี้ฟังหมด ให้เขามาดูถูกเรา ไม่ว่าจะเรื่องไล่เราออกจากบ้าน ทุบตีเรา หรือแม้กระทั่งเราไม่มีบ้าน ไม่มีเงิน เพราะทุกวันนี้เราเป็นแม่บ้าน มีงานแต่ไม่ได้มีเงินเยอะ หลักๆคือใช้เงินของแฟน และเขาก็ต้องมาคอยดูแลเรา ดูแลลูกเรา เขาบอกเขาเหนื่อย เขาไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น ผู้หญิงคนนี้ก็เลยโอบอุ้มเขาไป’ ตอนนี้เราเลิกกันมาได้ 3 – 4 เดือนแล้ว คำถามวันนี้คือ ‘อยากถามพี่ๆว่า ผู้ชายสมัยนี้เขารักความสบาย ไปกับผู้หญิงที่มีเงินได้โดยทิ้งผู้หญิงที่ลำบากมาด้วยกัน 20 ปี มันง่ายขนาดนี้เลยหรอ?’ 3 ดีเจจึงให้คำแนะนำ “คุณหนู (นามสมมุติ)” ว่า เท่าที่ดูไม่น่าจะเกี่ยวแค่เรื่องเงิน ไม่งั้นถ้ามีอะไรกันน่าจะป้องกันไปแล้ว แฟนเราน่าจะมีเรื่องของความรักมาแล้ว และระยะเวลา 20 ปีที่คบกัน มันอาจจะเป็นคู่ชีวิต อาจจะไม่หวือหวาเท่าคนใหม่ที่เข้ามา แต่สิ่งสำคัญคือมองผู้ชายของเราดีกว่า ทำไมไม่ปกป้องความรู้สึก ปกป้องครอบครัวเราเลย ถือว่าความรับผิดชอบเขาต่ำมาก หยุดถามคำถามได้แล้วว่า 20 ปี ทำไปเขาถึงไม่นึกถึงเลย ต่อให้ 20 ปี 30 ปี เขาก็ไป ถ้าเขาจะไปกับอีกคน ได้คำตอบมามันก็เท่านั้น จงใช้ชีวิตที่เหลือโดยการเอาลูกเป็นที่ตั้ง เป็นกำลังใจในการก้าวเดินต่อไป บอกตัวเองว่า เขาเลือกทิ้งเราไปจากชีวิตแล้ว แล้วถ้าวันนึง ถ้าเขาจะกลับมา เราควรค่าที่จะเอาเขากลับมาไหม อย่าเสียดายกับคำว่า พ่อ หรือ ผัว นับจากนี้ ปล่อยให้เขาไปใช้ชีวิตของเรา แล้วเรามีความสุขกับลูกต่อไป ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรในอดีตอีกแล้ว... จริงๆ ไม่ใช่แค่ผู้ชาย ไม่ว่าใคร คนเราถ้ามันจะเลิกกัน คนมันจะไป ยังไงก็ไป ต่อให้ทำดีแค่ไหน นานแค่ไหนเขาก็ทำได้ ถ้ามองจริงๆ มันแทบไม่มีอะไรซับซ้อน ถ้าคนมันไม่รักกันแล้ว เขาก็จะทิ้งเราไป ซึ่งถ้าคนมันจะอยู่ยังไงเขาก็จะอยู่ แต่สิ่งที่ยากคือ การทำความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว หลายครั้งที่เรามักจะไม่เรียนรู้ความเจ็บปวด แต่เรามักจะไปอาลัยอาวรณ์เขามากกว่า แล้วเรื่องที่เค้าเอาเราไปพูดเสียๆหายๆ ปกติคนเราเวลาพูดอะไรออกไปก็จะไม่พูดให้ตัวเองดูเสียๆหายๆอยู่แล้ว ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คือ ง่าย ในหลายๆคู่ทำยิ่งกว่านี้อีก บางคนที่เห็นในข่าวฆ่าเมียเพื่อไปหาอีกคนก็ยังมี มันมีผู้ชายแบบนี้อยู่แล้ว ซึ่งผู้ชายคนนี้ก็กำลังทำอยู่เขาจะทำอะไรก็ได้เลยที่เขาอยากทำ เพื่อที่จะไปอยู่กับอีกคน ถ้าเรามองจากมุมข้างนอกเข้าไป เขาจะพูดถึงหนูยังไง เขาจะทำอะไร หนูก็โอเคกับเขา หนูเราเขา แต่ในขณะที่เขาไม่ได้รู้สึกเท่ากับหนู วันนี้ที่หนูออกมาแล้ว นับเป็นความโชคดีแล้ว แล้วเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว หนูจะพบเจอกับความสุข เราก็ทำหน้าที่แม่ที่ดีของเราต่อไป แล้วก็มูฟออนให้ได้ และถ้านับจากการวางหูที่โทรเข้ามาในรายการ เลิกถามคำถามนี้ได้แล้วว่า ทำไมทำไม โฟกัสไปที่ปัจจุบันแล้วเดินไปข้างหน้าต่อเลย...เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1