ไอโฟนของผมจับได้ว่ามีเครื่องติดตาม GPS อยู่ในรถ จนเจอว่าแฟนผมแอบติดไว้จริงๆ อาจจะเพราะที่ผ่านมา
ผมเคยเป็นคนเจ้าชู้ แล้วก่อนจะเกิดเรื่อง แฟนเคยโทรถาม ว่าอยู่ไหน? ผมโกหกเขา แต่จริงๆ ผมแค่ไปดื่มไปดริ้งค์
กับน้องที่รู้จักใน IG น้องคนนี้เคยแค่คอลเสียวกันเฉยๆ ผมอยากรู้ว่าผมมีสิทธิ์โกรธไหมที่แฟนมาติดเครื่องติดตาม
แล้วแฟนมีสิทธิ์ทำแบบนี้ไหมครับ?
“คุณเอ (นามสมมติ)” สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [6 ส.ค 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก– ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อม” เกี่ยวกับปัญหาแฟนแอบติดเครื่องติดตามไว้ที่รถของเรา
โดย “คุณเอ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ผมเป็นผู้ชายที่มีแฟนเป็นผู้ชาย คบกันมาเกือบ 10 ปี เกริ่นก่อนว่าเมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ที่แล้ว แฟนผมเขาไป Hang Out นั่งชิลล์กับเพื่อนเขาประมาณ 6 โมงเย็นและโดยปกติจะกลับช่วงเที่ยงคืน-ตีหนึ่งและกลุ่มที่เขาไปจะเป็นแก๊งเกย์ผู้ชายด้วยกัน คือผมไม่เคยเจอหรือพูดคุยกับเพื่อนเขาเป็นการส่วนตัว เขาเป็นเพื่อนกันมานานแล้วแต่พึ่งมาเริ่มสนิทกันช่วงหลัง ๆ แล้วเพื่อนเขาฝั่งนู้นถ้าว่าง ๆ ช่วงวันศุกร์จะชอบมาชวนไปนั่งชิลล์ ไป Common ซึ่งผมก็จะไม่ไปเพราะผมไม่ใช่คนชอบดื่มชอบเที่ยวอยู่แล้ว ช่วงแรก ๆ ตัวของผมเองไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่เพราะผมไม่รู้ว่าเป็นแบบไหนอะไรยังไงเลยให้เขาไป แต่ผมก็มีความรู้สึกไม่ค่อยพอใจ ตรงนี้คือจะเป็นสิ่งที่มันเกิดขึ้นตอนนั้น พอเขาไป ตัวผมเองก็อยู่บ้าน ตอนนั้นผมรู้สึกดาวน์ ๆ นอยด์ ๆ เพราะมันมีหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องที่บ้าน
ตอนนั้นผมเลยชวนน้องคนนึงที่รู้จักใน IG ที่เคยคุยกันในลักษณะของการคอลเสียวแต่เวลาทำอะไรแบบนั้นไม่ได้เปิดหน้าหรือเจอกันมาก่อน จริง ๆ ผมเคยสารภาพเรื่องนี้ไปกับแฟนก่อนหน้านี้แล้วด้วย แต่ว่าวันนั้นผมแค่ชวนน้องออกไปทานข้าวด้วยกันเฉย ๆ ไม่ได้เล่าเรื่องอะไรให้ฟัง และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกัน ตอนนั้นคือผมรู้สึกเหงา อยู่บ้านคนเดียวแค่รู้สึกอยากคุยกับใครบางคนเพราะผมมีปัญหาเรื่องที่บ้านแต่แฟนไม่อยู่ และก็ไม่ได้บอกแฟนเรื่องที่มีปัญหากับที่บ้านคือปล่อยเขาไป Hang Out เลย และผมออกจากบ้านประมาณ 6 โมง ถึงประมาณทุ่มนึง ออกจากร้านและกลับบ้านประมาณ 3 ทุ่มกว่า ๆ
ประเด็นคือว่ามีคนนึง ผมไม่รู้ว่าเป็นใครเจออยู่ร้านอาหาร เหมือนกับว่าเขาเจอผมแล้วไป inbox บอกแฟนผมว่าผมว่ากินข้าวกับคนอื่นที่ร้านอาหารและเขาได้ไปเช็คกล้องในรถเลยเห็นว่าผมไปไหน เวลาอะไรต่าง ๆ ทั้งของผมและของเขามันพอดีกัน ผมไม่ได้ไปทั้งคืน พอกลับมาตอนประมาณเที่ยงคืน-ตีหนึ่ง ผมกลับมานอน เขาไม่ได้กอดผมและหันหลังใส่ ซึ่งอันนี้คือสิ่งที่ผิดปกติ แต่ผมก็ไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น
กระทั่งวันถัดมาผมรู้สึกว่ามันเป็นการคุยกันแบบถามคำตอบคำ ไม่ปกติผมรู้สึกอึดอัด พอตกเย็นมาผมเลยเรียกเขามาคุยว่า “เป็นอะไร ถามจริง ๆ” หลังจากนั้นเขาก็อธิบายให้ผมฟังว่ามันเป็นลักษณะแบบนี้นะและเขาได้ขอบอกเลิกผมไปในวันนั้นเลย ซึ่งผมก็ดีเฟ้นว่า “เฮ้ย ไปกินข้าวกัน ไม่ได้ไปมีอะไรกัน ทำไมการลงโทษอันนี้มันถึงต้องถึงขั้นเทียบเท่ากับการไปมีอะไรกับคนอื่นเลยหรอ” ผมก็พยายามจะอธิบายไป ซึ่งโชคดีที่เขารับฟังผมและให้อภัย ถัดไปประมาณเกือบอาทิตย์ ผมขับรถตามปกติ แต่เหมือนโทรศัพท์ผมมันขึ้นเจอว่ามีอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นเหมือนเครื่องติดตามขึ้นมาที่หน้าจอเป็นชื่อนี้ ผมเลยไปเสิร์ชหาในเว็บไซต์เลยรู้ว่ามันเป็นเครื่องติดตาม จากนั้นผมเลยไปค้นในรถต่อแบบทุกซอกทุกมุมเป็นของชิ้นเล็ก ๆ นูน ๆ แบน ๆ ความกว้างเหมือนกับเหรียญ 10 สองเหรียญ ผมเจออยู่หลังเบาะคนนั่งข้าง ๆ ที่มันจะเป็นที่ใส่เอกสารอยู่ด้านหลังเบาะ ผมจึงรู้ว่าผมถูกติดตามอยู่
ผ่านไปผมเลยเริ่มรู้สึกนอยด์ ๆ เพราะแบบเหมือนเราโดนสะกดรอยตามตลอดเลย ตอนนั้นผมก็คิดว่าเป็นแฟนทำเพราะมันไม่มีใครแล้ว มันรู้สึกนอยด์ เหมือนเวลาเขาถามว่าอยู่ไหน ซึ่งผมก็รู้สึกว่าเขารู้อยู่แล้วจะแกล้งถามอีกทำไม แต่ผมไม่ได้พูดไป จากนั้นผมเริ่มทนไม่ไหว รู้สึกว่าทุก ๆ ครั้งที่ผมคุยกับเขาเหมือนมันมีเส้นบาง ๆ อะไรที่กั้นไม่ให้ผมรู้สึกคุยได้เต็มที่เพราะผมรู้ว่าเขาเหมือนมาจับผิดผม โดยการเอาสิ่งนี้มาตามผม ผมก็รู้สึกอึดอัดไม่ชอบ เลยเปิดใจคุยไปเลยว่า “มันเป็นข้อดีใช่ไหมที่จะต้องรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน โดยที่เดี๋ยวใช้เครื่องนี้ตรวจสอบก็ได้ จะได้ไม่ต้องโทรหากันบ่อยขึ้นใช่ไหม” จากนั้นเขาจึงตอบกลับมาว่า “โอเค งั้นเอาออกไปเลยก็ได้” แต่ว่าจริง ๆ ตอนนี้ผมยังไม่ได้เอาออก ซึ่งคำถามของผมคือว่า ถ้าเอาเอาออกตามที่เขาบอก เขาจะมีความระแวง ความไม่ไว้ใจว่าผมไปไหน ไปจริงหรือเปล่า ยังจะอยู่กับเขาอยู่หรือเปล่าหรือถ้าผมไม่เอาออกเพราะอยากจะให้แฟนรู้สึกสบายใจ แต่เป็นตัวผมเองที่ต้องรู้สึกอึดอัด บางครั้งก็รู้สึกว่ามีคนมารู้ความเคลื่อนไหว มาเช็คสเตตัสของเราตลอดเวลา แต่ว่าด้วยงานของผมมันต้องไปประชุม ใช้รถไปหาลูกค้าบ่อย ๆ บางทีอาจจะแวะนู้นนี่นั่นหลายที่ บางทีผมเกิดตอบไม่ตรงไม่ครบกับที่เครื่องติดตามมันระบุตำแหน่งเอาไว้ มันจะเกิดปัญหาขึ้นในอนาคตอีกไหม?’
โดย “ดีเจอ้อม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘สำหรับพี่ไม่ว่าจะเอาเครื่องติดตามออกหรือเอาไว้เหมือนเดิม เขาก็ยังคงระแวงอยู่เหมือนเดิมเท่ากันเพราะเขามีความลังเลอยู่แล้ว ไม่งั้นเขาคงออกไปตั้งแต่แรก มันเป็นเรื่องของความไว้ใจ ถ้าเขาสบายใจเดี๋ยวเขาก็เอาออก มันอยู่ที่พฤติกรรมของคุณมากกว่า ปัญหาอยู่ที่คุณเอว่า คุณจะทำให้เขาไว้ใจได้อีกหรือเปล่า ซึ่งมันต้องใช้เวลาและสร้างมัน มันเป็น consequence ที่คุณต้องจัดการกับมัน’
ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่อยากให้เอเคลียร์ก่อนว่าสิ่งที่เอทำมันเป็นสิ่งที่ผิดในแง่ของคู่รัก สำหรับพี่การที่เอไปเจอกับน้องคนนั้นพี่มองว่ามันผิดนะเพราะมันไม่ใช่การไปเจอคนปกติแต่ไปเจอเพราะเอเคยวิดีโอคอลเสียวกับเขา ผิดขนาดที่ว่าเขาสามารถเลิกกับเอได้เลยด้วยซ้ำ อีกทั้งเอยังเอาคน ๆ นี้มาเจอกันนอกรอบ ลับหลังเขาอีก อันนี้ผิดแบบผิดมาก ๆ มันคือการนอกใจสำหรับพี่ แฟนทุกคนต้องรู้สึกแล้วเราเป็นแฟนกันมา 10 ปี คิดง่าย ๆ เขาไปกับเพื่อนเกย์เขา เอยังหึงและโกรธเขา นี่เอยังไปกับคนที่ตัวเองเคยคอลแบบนั้นแล้วแฟนดันมารู้เพราะคนอื่นบอกอีก ซึ่งการที่เขางอนและติดเครื่องดักฟังไว้นี่ถือว่าเป็นบุญมาก น้อยกว่าเหตุด้วยซ้ำเพราะฉะนั้นเอต้องรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ๆ แล้วเพราะพี่รู้สึกว่าเราทำขนาดนี้ แฟนเอาแค่นี้ แต่จริง ๆ แล้วเขามีสิทธิ์ทำกับเอได้มากกว่านี้อีกแต่เขาไม่ทำ
ฉะนั้นเอจะเรียกร้องความเป็นธรรมจากเรื่องนี้ได้อย่างไรกับการที่มีเครื่องติดตามที่รถตัวเอง ถ้าเป็นคนทั่วไปที่เขารู้ว่าตัวเองทำผิดและตอนนี้เขากลับใจแล้ว พี่ว่ามันไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเลย มันไม่ใช่ประเด็นที่เอจะต้องกลัวว่าจะตอบไม่ตรง ประเด็นคือเอต้องเลิกทำนิสัยแบบนั้นให้ได้ก่อนเพราะตอนนี้เขาไม่มีทางไว้ใจเอ สำหรับพี่ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งสิ้น จงก้มหน้ายอมรับกรรมนี้ไป อีกอย่างที่พี่จะพูดคือเอต้องทนให้ไหวและต้องถามตัวเองว่ารักคน ๆ นี้ขนาดไหน ถ้ารักเขาแล้วอยากมีเขาอยู่ในชีวิตต่อ เขาจะทำอะไรเอต้องทนให้ไหวเพื่อที่จะได้ไปต่อ ทำให้เขาเชื่อใจเอได้จริง ๆ ว่าจะไม่ออกไปเจอกับใครอีก แต่ถ้าไม่ไหวก็ปล่อยเขาไปเถอะ ถ้าเขาซื่อสัตย์แล้วต้องมาเจอคนแบบนี้ พี่ว่ามันไม่แฟร์กับเขา แต่ขึ้นอยู่กับน้องอีกอยู่ดีนะ’
สุดท้าย “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาเพิ่มว่า ‘เห็นด้วยกับดีเจเติ้ลทุกอย่าง ผมไม่เข้าใจสาเหตุที่จะตอบไม่ตรงคือถ้าคนเราไม่ได้มีอะไรปิดบังคนรัก มันไม่มีโอกาสที่จะตอบไม่ตรง นอกจากวันนึงคุณจะไปประมาณ 75 ที่ ผมไม่เข้าใจเรื่องตอบไม่ตรงจริง ๆ สมองคนเราจะมีวิธีการบอกเจ้าของร่างว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก ไม่เหมือนกัน จริง ๆ คุณเอไม่ได้ผิด ไม่ใช่คนที่จิตใจไม่ดี แต่สมองของคุณเอคำว่าผิดกับถูกมันเป็นอีกแบบนึงที่ไม่ตรงกันกับคนอื่น ๆ รวมถึงแฟนคุณเอด้วย หนึ่ง การที่เราไม่ได้ตกลงว่ามันคือ Open Relationship ผมว่าส่วนใหญ่ไม่ว่าจะไปคุยกับคนอื่นด้วยเหตุผลอะไร ผิดหมด มันจะมีสาเหตุอะไรที่เราต้องไปคุยกับคนอื่น ในขณะที่เรามีแฟนอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปคุย นอกจากเป็นเพื่อนของเรา เราไม่ต้องไปหาใครก็แล้วแต่ใน IG คุย ไม่ว่าจะคุยธรรมดา คุยแบบเต๊าะหรือจะคุยเสียว ผมว่าผิดเท่ากันครับ จะโกหกเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ มันคือการโกหกเหมือนกัน ขนาดเรื่องเล็ก ๆ ยังโกหกกัน เรื่องใหญ่ ๆ คุณจะบอกกันหรอ มันผิดทั้งหมดเลย ค่อย ๆ ทำความเข้าใจว่าคนอื่นเขาคิดยังไง
สำหรับผมแล้วถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น วันดีคืนดีผมไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ผมว่าเหตุการณ์นี้มันจะส่งผลต่อคนที่มีพฤติกรรมแตกต่างกันคนละแบบ ถ้าคนที่มีชีวิตที่ซื่อสัตย์ต่อคนรักเป็นอย่างมาก บริสุทธ์จริง ๆ ไม่ไปไหน เมื่อไหร่ก็ตามที่เราค้นพบว่าเจอเครื่องดักฟังอยู่บนรถเรา สิ่งที่ต้องนอยด์ที่สุดในชีวิตคือเราทำอะไรผิด ถึงทำให้แฟนไม่ไว้ใจวะ คนที่นอยด์สุดไม่ควรเป็นคนที่เอามาติดไว้ แต่เป็นตัวเอง แต่ถ้าเรื่องสนี้มันเกิดขึ้นกับคนที่มันมีมูลความผิดจริง ๆ จะรู้สึกทันทีว่ามาตามมองฉันทำไม มันอึดอัด
คนเรามีเงื่อนไขในการมองคนรักหรือคู่ชีวิตต่างกัน คุณอาจจะมองว่าไม่เห็นผิดอะไรแต่กับคู่ที่เขาซื่อสัตย์จต่อกัน มันแค่ทักไปก็ผิดแล้ว ฉะนั้นผมเข้าข้างแฟนคุณเอเต็มที่และจะขอร้องไม่ให้เอาออกด้วยคือสมมติถ้าผมเป็นคุณเอแล้วพลาดไปครั้งนึงแล้ว แล้วผมคิดว่าผมจะอยู่กับคน ๆ นี้ต่อ ได้โปรดทิ้งเครื่องนี้เอาไว้เพราะมันเป็นสิ่งเดียวแล้วที่จะพิสูจน์ตัวของคุณเอได้ ในเมื่อตัวและคำพูดของคุณเอเองมันไม่สามารถยืนยันความบริสุทธ์ของตัวเองได้ ก็ให้เทคโนโลยีมันช่วยยืนยันแทน’
เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง
ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION
รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin