[REVIEW] ‘Fast & Furious X’ นี่คือ Infinity War ของตระกูลฟาสต์ บิลด์หนักไปสู่บทสรุป| GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Fast & Furious X’ นี่คือ Infinity War ของตระกูลฟาสต์ บิลด์หนักไปสู่บทสรุป| GOSSIP GUN

17 พ.ค. 2023

คงจะไม่เกินจริงนัก ถ้าจะบอกว่าหนังภาคนี้คือ Avengers สำหรับหนังตระกูล Fast & Furious เพราะมันทำหน้าที่เหมือนพยายามโกยทุกสิ่งทุกอย่างนับตั้งแต่ Fast Five ที่ไม่ว่าจะอีเหละเขละขละขนาดไหน ให้กลับมาเข้าที่เข้าทาง แล้วไปด้วยกัน เพื่อบิลด์ไปสู่บทสรุป ก่อนหน้านี้หนัง Fast & Furious ถูกวางโร้ดแมปไว้ให้ภาค 11 เป็นภาคจบ ก่อนที่เมื่อสัปดาห์ก่อน วิน ดีเซล เพิ่งให้สัมภาษณ์แบบไม่มีใครทันตั้งตัวว่า Fast & Furious จะจบที่ภาค 12 ไม่ว่าหลังจากนี้จะเหลืออีกภาคเดียวหรือสองภาค แต่ที่แน่ๆ Fast & Furious X ทำหน้าที่เหมือนบันไดก้าวสู่จุดนั้น ถ้าให้เทียบกับจักรวาลมาร์เวล มันก็ทำหน้าที่เหมือน Avengers : Infinity War นั่นเอง ที่รวมเอาตัวละครในจักรวาลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มาใส่ไว้ด้วยกัน และบิลด์ให้กราฟเส้นเรื่องพุ่งทะยานขึ้นสูงสุด เพื่อให้ผู้ชมกระหายว่าบทสรุปของแฟรนไชส์จะเป็นอย่างไร (ภาคหน้าของฟาสต์ ก็คงเป็น Endgame ดีๆนี่เอง)

ก่อนที่จะเข้าสู่ Fast & Furious X หนังพาผู้ชมย้อนกลับไปยังภาคที่ 5 เพื่อปูแบ็คกราวน์ตัวร้ายหลักของภาคนี้ อย่าง ดันเต้ (รับบทโดย เจสัน โมโมอา จาก Aquaman) เขาคือทายาทของเฮอร์แนน พ่อค้ายาตัวพ่อที่โดน ดอมและไบรอันจัดการให้ภาค5 จากความแค้นที่สั่งสมมานานนับทศวรรษ ดันเต้ จึงกลับมาเพื่อล้างแค้นดอน แต่วิธีที่เจ็บปวดที่สุดนั้น กลับไม่ใช่การฆ่าเขา แต่เป็นการทยอยจัดการคนที่เขารัก บุคคลที่ดอมเรียกว่า "ครอบครัว" และเมื่อยิ่งครอบครัวใหญ่ การปกป้องก็ยิ่งยากขึ้น แน่นอนว่าสมาชิกหลักๆของหนังตระกูลฟาสต์ กลับมาแบบครบทีม รวมถึง 3 ตัวร้ายหลักจากภาค 7-9 ที่กลับมาเป็นพันธมิตรของดอมไปซะแล้ว ทั้ง เจสัน สเตแธมในบท เด็กการ์ด, ชาร์ลีซ เธียรอน ในบทไซเฟอร์ และจอห์น ซีน่าในบท เจค็อบ น้องชายของดอม พร้อมกับสมาชิกใหม่ ซึ่งนอกจาก เจสัน โมโมอาแล้ว ยังมี บรี ลาห์สัน (จาก Captain Marvel) ในบทเทส ลูกสาวของมิสเตอร์โนบอดี้ และนักแสดงระดับตำนาน ริต้า โมเรร่า ในบทคุณย่าของดอม

ดูเหมือน Fast & Furious X จะเป็นหนังตระกูลฟาสต์ที่เข้ารูปเข้ารอยมากที่สุดในหนังตระกูลนี้ระยะหลังๆ สำหรับผู้เขียนเองยกให้เป็นภาคที่ชอบที่สุดนับตั้งแต่ Fast Five ในแง่ของหนังเล่าเรื่องค่อนข้างลงตัว ไม่ได้สะเปะสะปะเท่าภาคก่อนๆ หนังพยายามจะดึงจุดสำคัญในภาคที่ 5-9 มารวมกันเพื่อนำไปสู่ภาค 11 (และอาจจะมี 12) อย่างที่ วิน ดีเซล พยายามให้เป็นบทสรุป หนังทำหน้าที่นั้นได้อย่างดี แม้ว่าจะมีหลายๆอย่างที่ดู "อิหยังวะ" หรือชวนให้ขำขัน แต่มันก็เป็นคาแรคเตอร์ของหนังตระกูลนี้ไปแล้ว แม้บทหนังจะไม่ได้เพอร์เฟคเต็มร้อย แต่หนังก็สามารถบิลด์ความตึงเครียด สร้างอารมณ์ร่วมได้ค่อนข้างดี และเส้นเรื่องเองก็ไม่ได้ยุ่งเหยิงเกินกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ภาคนี้ดูเป็นหนังฟาสต์ที่ "มีสติ" มากกว่าหลายๆภาคพอสมควร

แน่นอนว่าไฮไลต์หลักของตระกูล Fast & Furious คือฉากแอ็กชัน ซึ่งยังคงมันส์ สนุกและเร้าอารมณ์ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นฉากไล่ล่าใหญ่ในอิตาลี หรือฉากบู๊หนักในช่วงท้าย ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัด คือความพยายามที่จะลดระดับความเว่อร์ลงมา หลังจากภาคก่อนๆไปไกลถึงระดับออกนอกโลก จนเกือบจะกลายเป็นหนังแฟนตาซีไปแล้ว ภาคนี้เห็นได้ชัดว่าผู้กำกับพยายามทำฉากแอ็กชันให้สมจริงมากขึ้น แม้จะยังเว่อร์อยู่เมื่อเทียบกับภาคแรกๆ แต่มันก็เป็นความเว่อร์ในระดับที่รับได้ ไม่ได้โม้จนถึงขั้นหัวเราะออกมา เป็นความเว่อร์ที่ไม่ได้ทำให้เส้นเรื่องที่ค่อนข้างตึงเครียด ดูเครียดน้อยลงแต่อย่างใด ดูจะเป็นฉากแอ็กชันที่โม้ในระดับที่ผู้ชมพอจะทำใจได้ว่า มันก็อาจจะเกิดขึ้นจริงก็ได้นะ ซึ่งภาคนี้ทำได้ดี จัดใหญ่จัดเต็มแบบคุ้มค่าตั๋วในการดูในโรงภาพยนตร์อย่างแน่นอน

และอีกหนึ่งไฮไลต์หลักที่สำคัญมากสำหรับ Fast & Furious X คือการปรากฏตัวของ เจสัน โมโมอา ตัวร้ายหลักประจำภาคที่สามารถยกให้เป็น MVP ของหนังเลยก็ว่าได้ เขาคือตัวร้ายที่มีทั้งเสน่ห์ มีทั้งอารมณ์ขัน แต่ก็อัดแน่นด้วยความอำมหิตเช่นเดียวกัน ทำให้ทุกฉากที่เขาปรากฏตัวแทบจะขโมยซีนไปได้ทั้งหมด ยิ่งคาแรคเตอร์ที่เหมือนจะตรงข้ามดอมทุกประการยิ่งทำให้แย่งซีนได้ง่ายมาก ต่างจากตัวร้ายภาคก่อนๆ ทั้ง เจสัน, ชาร์ลีซ หรือแม้แต่ จอห์นในภาคก่อน จะมีบุคลิกค่อนข้างนิ่ง ขรึม ต่างจากตัวละครนี้ ที่แม้จะเอาฮา ดูบ้า แต่ก็โหดของจริง ความเหี้ยมของตัวละครนี้ทำให้ Fast X เข้าสู่โหมดจริงจังได้อย่างเต็มที่ จนอยากจะยกให้บท ดันเต้ ของเจสัน โมโมอา คือตัวร้ายที่ดีที่สุด และอันตรายกับดอมมากที่สุด ในบรรดาหนังตระกูลฟาสต์ทุกภาคเลยด้วยซ้ำ

สำหรับใครที่เริ่มจะเบื่อๆหรือเอือมระอากับหนังตระกูล Fast & Furious ที่ไม่จบไม่สิ้นเสียที อยากให้ลองกลับมาดูภาคนี้ เป็นภาคที่เหมือนพาแฟรนไชส์นี้ กลับสู่จุดพีกสุดอีกครั้ง หลังจากพีกไปมากๆในภาค 5 และภาค 7 ต้องขอบคุณการเข้ามาของผู้กำกับ หลุยส์ เลตเตอเรีย (จาก Now You See Me และ Clash of the Titans) ที่บาลานซ์เรื่องค่อนข้างดี คุมหนังให้ไม่ออกนอกลู่นอกทางเท่าไหร่นัก และเป็นภาคที่หยิบเอบคำว่า "ครอบครัว" ซึ่งเป็นจุดแข็งแรงของตัวละครหลักมาตลบหลังให้กลายเป็นจุดอ่อน นี่คือภาคที่ทั้งสนุก ทั้งเข้มข้น และค่อนข้างลงตัวกว่าหลายๆภาค แม้มันจะยังคงเว่อร์ ยังคงมีบาดแผล ตามสไตล์หนังฟาสต์ แต่ต้องยอมรับว่า Fast X คือภาคที่บันเทิงกว่าหลายๆภาคในระยะหลังจริงๆ ปล. ดูในระบบ IMAX ยิ่งเพิ่มอารมณ์ร่วม ฉากแอ็กชันใหญ่ช่วยบิลด์ความอลังการได้ดีมาก

 

ชมตัวอย่าง Fast & Furious X (เร็ว..แรงทะลุนรก 10) วันนี้ในโรงภาพยนตร์

 

ภาพ : UIP Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ การผจญภัยครั้งสุดท้าย ได้ฟีลหนังสไตล์ยุค 80s | GOSSIP GUN

03 ก.ค. 2023

[REVIEW] ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ การผจญภัยครั้งสุดท้าย ได้ฟีลหนังสไตล์ยุค 80s | GOSSIP GUN

ย้อนกลับไป Indiana Jones เคยได้รับการขนานนามว่า เป็นหนึ่งในหนังผจญภัยที่ยิ่งใหญ่สุดในฮอลลีวูด จากความสำเร็จของไตรภาคหลักในยุค 80s ที่เป็นการผนึกกำลังกันของสามยักษ์ใหญ่ในฮอลลีวูดอย่าง จอร์จ ลูคัส ผู้ให้กำเนิด Star Warsที่เป็นทั้งผู้สร้างและเจ้าของไอเดียหนังชุด Indiana Jones ซึ่งได้ดึงเอาเพื่อนสนิทอย่าง สตีเว่น สปีลเบิร์ก พ่อมดฮอลลีวูดมากำกับหนัง และมอบบทอินเดียน่า โจนส์ ให้กับ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ที่กำลังมาแรงสุดๆในขณะนั้น จากบทฮาน โซโลในหนังระดับบล็อคบัสเตอร์อย่าง Star Wars ก่อนที่จะมีการกลับไปสร้างภาคต่ออีกครั้งในปี 2008 แต่กลับไม่ได้รับคำชมมากเท่า 3 ภาคแรก จนกระทั่งล่าสุด ดิสนีย์ ที่เพิ่งซื้อกิจการลูคัสฟิล์มมาไม่นาน ขอส่งท้ายตำนานอีกครั้งด้วยหนังภาคที่ 5 อย่าง 'Indiana Jones and the Dial of Destiny' โดย แฮร์ริสัน ฟอร์ด กลับมารับบทเป็นการส่งท้าย ด้าน สปีลเบิร์กและลูคัส กลับมานั่งตำแหน่งอำนวยการสร้าง และส่งต่อหน้าที่ผู้กำกับให้ เจมส์ แมนโกลด์ จาก The Wolverine และ Ford V Ferrariสำหรับ The Dial of Destiny พาผู้ชมย้อนกลับไปในปี 1969 ช่วงเวลา 12 ปีหลังจากภาคก่อน เมื่ออินเดียน่า โจนส์ เดินทางมาสู่วัยเกษียณ ชีวิตของเขาหมดความหมายอีกต่อไป เมื่อเขากำลังจะหย่าร้างกับภรรยาหลังสูญเสียลูกชายไปในสงคราม จนกระทั่งได้พบกับ เฮเลน่า (รับบทโดย ฟีบี้ วอลเลอร์ บริดจ์) ลูกสาวบุญธรรม ทายาทของเพื่อนสนิท ที่โผล่มาหาเขาเพราะต้องการรู้เรื่องราวของ สิ่งของโบราณอย่างหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถพาให้ผู้ครอบครองเดินทางย้อนเวลาได้ ซึ่งสมบัติชิ้นนี้ ก็เป็นที่หมายปองของ วอลเลอร์ (รับบทโดย แมดส์ มิคเคลเซ่น) อดีตนาซีศัตรูเก่าของอินเดียน่า ที่ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของโครงการ NASA นำไปสู่การผจญภัยครั้งใหม่เพื่อตามหาสิ่งวิเศษชิ้นนี้ ก่อนที่มันจะตกอยู่ในมือผู้ประสงค์ร้ายIndiana Jones and the Dial of Destiny ถือเป็นหนังภาคส่งท้ายที่ค่อนข้างน่าพอใจ และได้บรรยากาศแบบเก่าๆกลับมาครบ เหมือนหนังพาผู้ชมย้อนเวลากลับไปสมัยปลายยุค 80s ถึงต้นยุค 90s อีกครั้ง เพราะถ้าไม่นับเรื่องของ CGI ที่มีพัฒนาการไปตามยุคสมัย Mood Tone ของหนังมีความคล้ายคลึงกับหนังยุคนั้น เหมือนหนังถูกสร้างและแช่แข็งเอาไว้ ก่อนที่จะนำออกมาฉายตอนนี้ ทำให้บรรยากาศแบบเดิมๆจากหนังไตรภาค กลับมาพอสมควร ใครที่คิดถึงหนังสไตล์นี้น่าจะพึงพอใจ เพราะแทบจะหาไม่ได้แล้วในยุคสมัยนี้ ในมุมหนึ่งมันก็ดูค่อนข้างจะโบราณไปบ้าง แต่ในมุมหนึ่งมันก็มีความ Old School เป็นความคลาสสิคที่นานๆกลับมาดู ก็เป็นรสชาติที่หลายคนคิดถึงองค์ประกอบต่างๆของหนังภาคนี้ ดูจะคล้ายคลึงกับภาคก่อนๆที่ผ่านมา ในด้านของเส้นเรื่องก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่มากนัก เน้นเล่าการผจญภัยของอินเดียน่า โจนส์ ที่ต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆตามลายแทงและหลักฐาน เพื่อตามหาสมบัติก่อนที่ตัวร้ายจะคว้าไป และระหว่างทางก็จะมีฉากแอ็กชันไล่ล่า ที่ก็จะเป็นไปตามเอกลักษณ์ของหนังสไตล์นี้ เนื่องด้วยพล็อตเรื่องจะเกิดขึ้นระหว่างช่วงปี 30s-60s ทำให้ฉากแอ็กชันส่วนใหญ่ก็จะเกิดขึ้นในป่า หรือตัวเมืองที่ค่อนข้างมีความโบราณ แต่การตัดต่อก็ทำออกมาได้ค่อนข้างเร้าอารมณ์ มีผสมกับอารมณ์ขันที่หนังมีอยู่เสมอ บวกกับเพลงธีมของ Indiana Jones ที่ทุกครั้งที่ใส่มา ยิ่งเพิ่มเอกลักษณ์ของหนังมาแบบเต็มๆสำหรับ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ในวัย 80 ปี อาจจะไม่ได้กระฉับกระเฉงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่หนังก็ไม่ได้พยายามจะให้ตัวละครอินเดียน่า โจนส์ในภาคนี้ หนุ่มกว่าวัยแต่อย่างใด หนังได้ใส่คาแรคเตอร์ในแบบวัยเกษียณเข้าไปด้วย มีกลิ่นความเป็นมนุษย์ลุงเบาๆ และช่วงองก์ที่ 3 ของหนังสำหรับภาคนี้ ถือมีบทส่งท้ายสำหรับอินเดียน่า โจนส์ ได้อย่างน่าพอใจ หนังพาผู้ชมไปไกลกว่าที่คาดคิดพอสมควร ยิ่งสำหรับตัวละครที่เป็นนักโบราณคดี การที่หนังพาไปไกลขนาดนั้น ถือว่าไม่ธรรมดา (แต่ขออนุญาตไม่สปอยล์ตรงนี้ เพื่ออรรถรสของผู้ชม) เป็นการปิดฉากสำหรับแฟรนไชส์หนังผจญภัยสุดยิ่งใหญ่ได้อย่างน่าพึงพอใจ ใครที่เป็นแฟนหนังแนวล่าขุมทรัพย์ ตามหาสมบัติก็ไม่ควรพลาดกันชมตัวอย่าง Indiana Jones and the Dial of Destiny วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Walt Disney Studios Thailand

[REVIEW] “Spencer” 3 วันที่หมดรักของเจ้าหญิงไดอาน่า | GOSSIP GUN

18 ม.ค. 2022

[REVIEW] “Spencer” 3 วันที่หมดรักของเจ้าหญิงไดอาน่า | GOSSIP GUN

สมคำร่ำลือจริงๆ สำหรับSpencerของผู้กำกับ พาโบล ลาร์เรน ที่เคยกำกับหนังหญิงโศกอย่างJackieมาแล้ว จากเรื่องนั้นที่เล่าถึงอดีตสุภาพสตรีหมายเลข1ของอเมริกาที่สูญเสียสามีจากเหตุลอบสังหาร มาสู่เจ้าหญิงขวัญใจประชาชนที่หมดรักกับเจ้าชายที่เธอถูกจับคู่ด้วยSpencerคืออีกครั้งที่โลกของภาพยนตร์และซีรีส์ หยิบเอาเรื่องราวของ เจ้าหญิงไดอาน่ามาถ่ายทอด แต่ความแตกต่างของSpencer (ซึ่งเป็นนามสกุลเดิมของไดอาน่า)คือการเลือกเล่าช่วงเวลาระยะสุดท้ายก่อนที่เธอจะแยกทางกับเจ้าฟ้าชายชาร์ล หลังอภิเษกสมรสมานานนับทศวรรษ ช่วงเวลาที่เธออึดอัด ช่วงเวลาที่เธอโศกเศร้า ชีวิตที่เหมือนถูกขังไว้ในกรงทองแน่นอนว่าไฮไลต์สำคัญของ Spencerคือการเลือกให้ คริสเต็น สจ๊วร์ต นางเอกจากTwilightที่ค่อยๆพัฒนาฝีมือเล่นหนังน้อยใหญ่ จนกระทั่งวันนี้เธอพิสูจน์ตนเองในฐานะนักแสดงคุณภาพอย่างเต็มตัว โดยหนังเลือกเล่าเหตุการณ์ที่กินระยะเวลาเพียงแค่3วันเท่านั้น ในช่วงปลายปี1991นับตั้งแต่วันก่อนคริสต์มาส ไปจนถึงBoxing Dayเมื่อเจ้าหญิงไดอาน่าต้องเดินทางไปยัง แซนด์ริมแฮมเฮ้าส์ คฤหาสน์สุดหรูของราชวงศ์ เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสตามประเพณี แต่ทริปนี้สำหรับเธอ เปรียบเสมือนการตกนรก เพราะเธอต้องปฏิบัติกฏระเบียบและขนบต่างๆอย่างเคร่งครัด ท่ามกลางสมาชิกในราชวงศ์ที่เธอรู้สึกแตกต่าง มีเพียงลูกๆของเธออย่าง เจ้าชายวิลเลี่ยมและเจ้าชายแฮร์รี่ ที่ทำให้เธออบอุ่นหัวใจ และเหล่าข้าราชบริพารบางคน ที่เธอสามารถเปิดใจ แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาได้สิ่งที่ยอดเยี่ยมมากๆสำหรับSpencerคือการถ่ายทอดความรู้สึกของเจ้าหญิงไดอาน่า ออกมาให้ผู้ชมสัมผัสได้อย่างเต็มๆ ทั้งความรู้สึกทุกข์ โศกเศร้า อึดอัดกับสภาพแวดล้อม ความรู้สึกที่อยากจะหนีออกไปจากตรงนี้ หลังจากที่ต้องทนทุกข์มาเป็นเวลายาวนาน ทำให้ผู้ชมเข้าใจความรู้สึกของเธอในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนแยกทางกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลได้อย่างดีเยี่ยม สิ่งที่ชอบมากๆ คือการที่หนังพยายามกันตัวละครในราชวงศ์เป็นแค่แบ็คกราวน์เท่านั้น นอกจากลูกๆทั้งสอง สมาชิกคนอื่นๆในราชวงศ์แทบจะไม่มีบทบาทหรือบทสนทนาเลย แต่ไปเน้นที่ไดอาน่า กับผู้ดูแลเครื่องแต่งกายของเธอ ไดอาน่ากับหัวหน้าเชฟประจำวัง หรือไดอาน่ากับหัวหน้าผู้รับใช้ ซึ่งทำให้ได้เห็นแง่มุมความเป็นมนุษย์ ความเป็นคนธรรมดาของเธอได้อย่างดีและทั้งหมดทั้งมวล ศูนย์กลางของหนังที่ทำให้Spencerถ่ายทอดอารมณ์ของไดอาน่าอย่างเต็มเปี่ยม คือการแสดงของ คริสเต็น สจ๊วร์ต ที่ผู้ชมซึมซับความทุกข์และอึดอัดของเธอได้อย่างเต็มร้อย ไม่แน่ใจว่า เจ้าหญิงไดอาน่าตัวจริงในช่วงเวลานั้นเป็นเช่นไร แต่ไม่นานหลังจากชม เราเชื่อว่าเธอคือไดอาน่าอย่างไม่มีข้อสงสัย แน่นอนว่ารูปลักษณ์ภายนอกถูกแต่งจนกลืนไปกับตัวจริง แต่จริต ท่าทางการแสดงออก และอารมณ์ ไม่ว่ามันจะเหมือนจริงขนาดไหน แต่คริสเต็นทำให้เรา"เชื่อ"ว่าเธอคือไดอาน่า และทำให้พวกเรารู้สึกหนักหน่วงไปกับไดอาน่า ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดแล้วอีกหนึ่งจุดสำคัญของSpencerที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ งานภาพของ แคลร์ มาธอน จากPortrait of a Lady on Fireที่ถ่ายทอดทุกฉากในหนังออกมาด้วยภาพสไตล์วินเทจ ดูเก่าๆ ดูฟุ้งๆ เพิ่มความย้อนยุคเข้าไปในหนัง สร้างอารมณ์ร่วม และเพิ่มเสน่ห์ให้Spencerดูเป็นงานศิลปะมากขึ้น ทุกฉากแทบจะสามารถกดหยุดแล้วตัดมาเป็นโปสการ์ดหรือวอลล์เปเปอร์ได้หมดเลย พร้อมด้วยงานดนตรีประกอบจาก จอห์นนี่ กรีนวู้ดจากRadioheadที่ช่วยถ่ายทอดอารมณ์ของเจ้าหญิงไดอาน่าได้อย่างลงตัว(โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ ที่เพลงช่วยเล่าเรื่องได้ดี แต่จะเป็นอย่างไรต้องไปดูเอง)(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] ‘House of the Dragon ’ มหาสงคราม 2 ศตวรรษก่อนศึกชิงบัลลังก์ Game of Thrones | GOSSIP GUN

22 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘House of the Dragon ’ มหาสงคราม 2 ศตวรรษก่อนศึกชิงบัลลังก์ Game of Thrones | GOSSIP GUN

Game of Thronesคือซีรีส์ระดับปรากฏการณ์ของทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมไปยังทุกองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง ความสำเร็จอันท่วมท้นนี้ นำไปสู่การสานต่อเรื่องราวที่HBOไม่ยอมปล่อยให้กระแสความร้อนแรงของซีรีส์หมดไปอย่างง่ายๆ แม้เส้นเรื่องหลักจะอวสานไปแล้วหลังจาก8ซีซั่น แต่แน่นอนว่าเหตุการณ์ในเวสเทอรอส ยังมีให้เล่าขานอีกมากมาย นำมาสู่การสร้างซีรีส์Spin-Off / Prequelที่เล่าเรื่องราว200ปีก่อนที่เหตุการณ์ในGame of Thronesจะเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่นำไปสู่สงครามกลางเมือง และจุดอวสานของตระกูลแทร์แกเรียน และบัลลังก์เหล็กHouse of the Dragonโฟกัสพล็อตหลักที่การสืบทอดบัลลังก์ของราชวงศ์ทาร์แกเรียน ในรัชสมัยของ คิงวิเซอร์ริสที่1ในช่วงเวลาที่ราชินีของเขากำลังให้กำเนิดทายาทคนใหม่ และเขาหวังให้เป็นบุตรเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์คนต่อไป หลังจากที่ประเพณีซึ่งสืบทอดกันมา ไม่นิยมให้ผู้หญิงขึ้นปกครอง แต่แล้วเหตุการณ์กลับไม่ง่ายอย่างที่เขาคาดไว้ รวมถึงการมาของ เจ้าชายเดม่อน น้องชายสุดอำมหิตของเขา ที่ต้องการจะครอบครองบัลลังก์เช่นเดียวกัน ซึ่งสองตัวละครสำคัญที่จะมีบทบาทต่อไป คือ เจ้าหญิงเรเนียน่า ธิดาคนโตของคิงวิเซอร์ริสที่1และเพื่อนสนิทของเธออย่าง เลดี้อลิเซนต์ สองคาแรคเตอร์สำคัญที่จะนำไปสู่Dance of the Dragonหรือสิ่งที่ผู้คนในเรื่องเรียกขาน มหาสงครามที่นำไปสู่จุดสิ้นสุดของราชวงศ์ทาร์แกเรียนความยิ่งใหญ่ของโปรดักชั่น ความเข้มข้นและคาดเดาไม่ได้ของเส้นเรื่อง ความแรงของฉากต่างๆที่ทั้งถึงเลือดถึงเนื้อ และร้อนแรงติดเรตแบบไม่ยั้งมือ เป็นหลายองค์ประกอบที่ทำให้Game of Thronesค่อยๆกวาดผู้ชมให้กลายเป็นแฟนอันเหนียวแน่น จำนวนมหาศาลในช่วงซีซั่นท้ายๆ แต่แล้วบาดแผลสำคัญที่ทำให้แฟนๆเจ็บอยู่ไม่น้อย คือ ผลลัพธ์ของตอนอวสาน ที่อาจจะทำได้ไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับกว่า70กว่าตอนก่อนหน้านี้ สร้างความผิดหวังกลายเป็นปมเจ็บในใจของเหล่าแฟนพันธุ์แท้ การมาถึงของHouse of the Dragonจึงกลายเป็นจุดเสี่ยงสำคัญ ถ้าซีรีส์ภาคนี้ออกมาดีHBOก็จะสามารถดึงความนิยมจากแฟนๆกลับมาได้อีกครั้ง แต่ถ้าภาคนี้ออกมาพินาศ นั่นอาจจะกลายเป็นจุดสิ้นสุดของซีรีส์เอพิกมหากาพย์เรื่องนี้(ไม่ต่างกับจุดสิ้นสุดของตระกูลทาร์แกเรียนในเรื่อง)ข่าวดีคือ หลังจากที่House of the Dragonได้พรีเมียร์ตอนแรกไป ผลลัพธ์ที่ออกมา ดูเหมือนจะเป็นในฝั่งแรกมากกว่าฝั่งหลัง นี่คือซีรีส์ที่ทำให้แฟนๆมีความหวังกับGame of Thronesอีกครั้ง ด้วยการเปิดเรื่องอย่างเข้มข้น ซีรีส์ค่อยๆพาผู้ชมไปรู้จักกับสมาชิกคนสำคัญในตระกูลทาร์แกเรียน และบุคคลต่างๆที่ล้อมรอบคิงวิเซอร์ริส และค่อยๆเผยปมของแต่ละตัวละคร ที่อาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งในอนาคต หลังจากซีรีส์ดำเนินตอนแรกไปไม่ถึงครึ่งทาง ความตึงเครียดก็ค่อยๆสะสมขึ้น ทวิสต์หรือจุดหักมุมที่ผู้ชมอาจจะคาดไม่ถึงก็ค่อยๆถูกใส่เข้ามา นี่คืออารมณ์ในแบบที่แฟนๆของGame of Thronesคุ้นเคย และสัมผัสได้ว่า มันกำลังกลับมาอีกครั้งในHouse of the Dragonนอกจากการผูกปมของซีรีส์ให้แน่นขึ้นเรื่อยๆและเยอะขึ้นเรื่อยๆในตอนที่1แล้ว องค์ประกอบต่างๆที่แฟนๆชอบ ดูเหมือนจะกลับมาแบบครบเครื่อง เริ่มต้นจากงานโปรดักชั่นที่กลิ่นอายความยิ่งใหญ่ ความเอพิก ถูกเผยให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แม้ว่าในตอนแรกอาจจะยังไม่มีฉากสงครามอันยิ่งใหญ่ แต่ฉากแอ็กชันต่างๆ ก็ทำออกมาได้อย่างถึงอารมณ์ และแน่นอนว่า ความโหดเหี้ยม ความรุนแรงก็ถูกใส่มาอย่างไม่ยั้งมือ จนทำเอาหลายฉากที่ผู้ชมอาจจะต้องเบือนหน้าหนีเลยทีเดียว ส่วนฉากความร้อนแรงระดับติดเรต ที่เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของGame of Thronesก็ยังไม่ขาดหายไปในซีรีส์นี้ เรียกว่าเซอร์วิสแฟน แทบจะครบทุกองค์ประกอบที่ต้องการเลยทีเดียวสำหรับในตอนที่1จะโฟกัสที่สองตัวละครสำคัญ พี่น้องตระกูลทาร์แกเรียน อย่าง คิงวิเซอร์ริส ซึ่งถ่ายทอดบทนี้ของ แพดดี้ คอนซิไดน์ นักแสดงชาวอังกฤษ ที่เพียงแต่ตอนแรก ก็ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงมิติต่างๆของตัวละคร ความเป็นมนุษย์ของกษัตริย์คนหนึ่ง ทั้งในแง่มุมของความแข็งแกร่งและความอ่อนแอ ส่วนอีกตัวละครคือ เจ้าชายเดม่อน ที่รับบทโดย แมตต์ สมิธ ที่คอซีรีส์ชาวไทยคุ้นเคยดีจากThe Crownมาในบทที่เข้ากับเขาอย่างถึงที่สุด ชายที่แม้จะดูอำมหิต อันตราย แต่ก็เพราะเขามีปมในใจบางอย่างที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา หลายฉากที่สองตัวละครนี้เข้าฉากด้วยกัน ทั้งสองนักแสดงสร้าวความตึงเครียดให้กับซีนนั้นได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนอีกสองนักแสดงคนสำคัญอย่าง เอ็มม่า ดาร์ซีย์ และ โอลิเวีย คุก ที่รับบทสองเพื่อนสนิทอย่าง เจ้าหญิงเรเนียน่า และเลดี้อลิเซนต์ ในตอนแรก พวกเธอทั้งสองยังไม่ได้แสดง แต่เป็น มิลลี่ อัลคอก และเอมิลี่ แคร์รี่ ที่มารับบทเป็นทั้งสองตัวละครในช่วงวัยรุ่น ก่อนที่จะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ซึ่งจะเล่าถึงในตอนถัดไปในฐานะตอนPilotเอพพิโซด1ของHouse of the Dragonถือว่าทำหน้าที่เรียกแขกได้อย่างน่าพึงพอใจ ไม่ว่าจะเป็นแขกประจำที่เคยชื่นชอบGame of Thronesสิ่งที่พวกเขาต้องการจากซีรีส์เรื่องนี้ ถือว่ากลับมาอย่างน่าพอใจ นอกจากนี้แฟนซีรีส์น่าจะฮือฮากับหลายๆEaster Eggที่ถูกใส่เข้ามา การMentionถึงหลายตระกูลในGame of Thronesการเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งแฟนๆน่าจะสนุกกับตรงนี้ และรอติดตามอย่างต่อเนื่อง ส่วนแขกใหม่ที่ยังไม่เคยดูGame of Thronesมาก่อน อยากแนะนำว่าHouse of the Dragonอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ที่น่าสนใจ ด้วยความเป็นPrequelดังนั้น แม้จะไม่เคยดูGame of Thronesมาก่อนเลยก็ดูรู้เรื่อง ลองมาเริ่มต้นไปพร้อมๆกันHouse of The Dragonในซีซั่นแรกมีความยาว10ตอนจบ โดยตอนใหม่จะพร้อมให้สตรีมทุกๆเช้าวันจันทร์เวลา8โมงเช้า(ตรงกับสองทุ่มคืนวันอาทิตย์ของอเมริกา)เฉพาะในHBO GOเท่านั้นภาพ : GameofThrones

[REVIEW] “The Lost City” หนังผจญภัยที่หัวใจความสนุก คือ เคมีนักแสดง | GOSSIP GUN

19 เม.ย. 2022

[REVIEW] “The Lost City” หนังผจญภัยที่หัวใจความสนุก คือ เคมีนักแสดง | GOSSIP GUN

คงจะไม่เกินจริงถ้าจะกล่าวว่า แซนดร้า บูลล็อค คือขุมทรัพย์ของหนังตลก เธอทำได้ดีและดูเป็นธรรมชาติเสมอในหนังแนวนี้ ที่พิสูจน์ด้วยหนังฮิตจากหลากยุคอย่างWhile You Were Sleeping, Miss Congeniality, The ProposalและOcean's 8แม้เธอจะเวียนไปแสดงหนังแนวอื่นมากมาย แต่ผู้ชมมักเรียกหาบูลล็อคในหนังตลกเสมอ เช่นเดียวกับผลงานล่าสุดThe Lost Cityในยุคที่หนังทำเงินมีแต่หนังรีเมกหรือภาคต่อ หนังออริจินัลที่นำแสดงโดยเธอ กลับสามารถทำเงินทะลุหลัก80ล้านเหรียญฯในอเมริกาไปได้แล้ว ไม่ธรรมดาจริงๆ โดยเรื่องนี้เธอได้จับมือกับ แชนนิ่ง เททั่ม อีกหนึ่งนักแสดงที่คล้ายกับบูลล็อค คือแวะเวียนไปเล่นหนังทุกแนว แต่สไตล์ที่แฟนๆ ตกหลุมรักเขามากๆ คือตลกเช่นกัน พิสูจน์ด้วยรายได้ของ21 Jump StreetและShe's The Manหนังที่แจ้งเกิดเขา แซนดร้า บูลล็อค รับบทลอเร็ตต้า นักเขียนหญิงที่หมดแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือต่อ แม้นิยายแนวประวัติศาสตร์โรแมนซ์ของเธอจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่เธอก็ไม่มีกะจิตกะใจในการเดินทางทัวร์โปรโมตหนังสือ เพราะส่วนหนึ่งเพราะต้องเจอกับ อลัน นายแบบหน้าปกหนังสือของเธอ ที่อินกับตัวละครพระเอกดั่งเขียนมาจากชีวิตเขา แต่แล้วเธอกลับตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เมื่ออบิเกล(รับบทโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์ จากHarry Potter)มหาเศรษฐี จับตัวเธอไป เพราะต้องการตามหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ในเมืองสาบสูญ และทางเดียวที่จะไขปริศนาได้ คือการใช้ทักษะอ่านภาษาโบราณของลอเร็ตตา เมื่อเธอถูกจับตัวไปยังเกาะห่างไกลในมหาสมุทร อลันจึงทำทุกทางเพื่อไปช่วยเธอ เพื่อให้เขาได้เป็นมากกว่านายแบบหน้าปก ได้เป็นพระเอกในชีวิตจริง! The Lost Cityไม่ใช่หนังที่มีความใหม่อะไรมากนัก หนังผจญภัยในป่า ที่มีกลิ่นอายผสมระหว่าง แอ็กชัน โรแมนติก คอเมดี้ มีมาทุกสมัย ที่พีกมากๆ และภาพหนังดูใกล้เคียง ก็คือRomancing The Stoneในปี1984แต่The Lost Cityคือหนังที่มาถูกที่ถูกเวลา หลังจากแซนดร้า บูลล็อค ห่างหายจากหนังตลกไปนานถึง4ปี ส่วน แชนนิ่ง เททั่ม ว่างเว้นจากหนังตลกไปเกือบ5ปี นี่จึงกลายเป็นหนังที่คอหนังตลกต้องการโดยไม่รู้ตัว คุณอาจจะไม่ได้รู้สึกก่อนหน้านี้ว่าอะไรขาดหายไป แต่พอไปดู กลับรู้สึกถึงความสนุกแบบที่คุ้นเคย ที่เหมือนกับว่าไม่ได้ดูมาซักพักใหญ่แล้ว นี่คือโปรเจกต์ที่เหมาะมากกับทั้ง บูลล็อค และ เททั่ม พวกเขาต่างเป็นธรรมชาติมากๆในหนังเรื่องนี้ เช่นเดียวกับเคมีของทั้งคู่ ที่เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ และเป็นสิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนหนังให้สนุกได้จริงๆ โดยรวมThe Lost Cityมีส่วนผสมระหว่างหนังแอ็กชันและตลกที่กำลังดี สถานการณ์แบบตกกระไดพลอยโจนกลางป่าลึกในเกาะที่ห่างไกล ทำให้หนังสร้างสถานการณ์สนุกๆได้มากมาย บวกกับคาแร็คเตอร์ของตัวละครที่ไม่ได้สายบู๊ทั้งคู่อยู่แล้ว หนังใช้ประโยคในการสร้างเหตุการณ์เหมาะๆได้อย่างไม่เสียดายพล็อต นอกจากนี้หนังยังเต็มไปด้วยมุกบ้าบอรายทาง ซึ่งก็ไม่ได้ปล่อยทิ้งขว้าง มีความตลกอยู่ตลอด รวมถึงไฮไลต์พิเศษ นั่นคือ นักแสดงรับเชิญอย่าง แบรด พิตต์ ที่ค่ายหนังไม่อยากเก็บไว้เซอร์ไพรส โปรโมตแบบเต็มแม็กไปเลย ก็แว้บมาสร้างสีสันได้อย่างกำลังดี แต่ก็ไม่ได้ขโมยซีนของพระนางด้วย ปัญหาเล็กน้อยของThe Lost Cityอาจจะเป็นการเลือกให้ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ มารับบทตัวร้ายของเรื่อง ซึ่งมีปัญหาในหลายๆด้าน ประการแรกคือคือผู้ชมจำนวนไม่น้อยไม่สามารถสลัดภาพเขาจากบทแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ได้ เมื่อแรดคลิฟฟ์ ร้ายก็ดูแปลกดีแต่ยังไม่น่าเชื่อเท่าไหร่นัก อีกทั้งอายุที่อาจจะห่างจากทั้ง บูลล็อคและเททั่ม ทำให้เขาดูเป็นตัวร้ายที่ไม่ได้น่าเกรงขามนัก ความกล้ามใหญ่ของเททั่มดูจะเอาชนะได้แบบง่ายๆด้วย ตัวละครนี้เลยดูไม่หนักแน่นพอไปอย่างน่าเสียดาย แต่โดยThe Lost Cityถือเป็นหนังสนุกที่เพลิดเพลินตั้งแต่ต้นจนจบ ที่คอหนังแอ็กชันคอเมดี้น่าจะถูกใจได้ไม่ยาก(ให้8คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

album

0
0.8
1