[REVIEW] “The Batman” นี่คือหนังอาชญากรรมชั้นเลิศในคราบซูเปอร์ฮีโร่ | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “The Batman” นี่คือหนังอาชญากรรมชั้นเลิศในคราบซูเปอร์ฮีโร่ | GOSSIP GUN

04 มี.ค. 2022

ไม่ใช่งานง่ายที่จะต้องทำหนังแบทแมนต่อจากความสำเร็จของไตรภาค The Dark Knight ที่ คริสโตเฟอร์ โนแลน สร้างมาตรฐานไว้สูงลิบ อันที่จริงโปรเจกต์หนังเดี่ยวของแบทแมน เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ สมัย เบ็น แอฟเฟล็ค สวมบทบาทใน Batman V Superman แล้ว แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริงเสียที จนกระทั่งโปรเจกต์ถูกส่งต่อให้กับ แมตต์ รีฟส์ แห่ง Dawn of Planet of the Apes และ Cloverfield ซึ่งเขามองแบทแมนในทิศทางที่ต่างจากเดิม บรู๊ซ เวย์น ในฉบับของเขายังไม่ใช่แบทแมนที่เต็มตัวนัก และเพิ่งเข้าสู่โลกแห่งอาชญากรรมในเมืองก็อตแธม โดยหนังเรื่องนี้จะเป็นฐานะแบบ Stand Alone คือไม่เกี่ยวโยงกับตัวละครอื่นๆในจักรวาล DC เลย แบทแมนฉบับนี้จะเล่าถึงเขาในด้านของชายที่ผ่านโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ และทำให้กลายเป็นคนสันโดษ จะไม่ได้เห็นบรู๊ซอยู่ในแมนชั่นสุดหรู แต่กลับเป็นคฤหาสน์ที่สุดโทรม

รีฟส์เลือก โรเบิร์ต แพททินสัน มารับบท บรู๊ซ เวย์น ในวัย 30 ต้นๆ เขาเพิ่งกลายเป็นแบทแมนได้เพียง 2 ปีเท่านั้น ดังนั้นอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆจะยังไม่ค่อยมีเท่าไหร่ แม้แต่มุมเพลย์บอยของเขาก็ถูกตัดออกจากหนังฉบับนี้ เหตุการณ์ในหนัง The Batman เริ่มต้นขึ้น เมื่อผู้สมัครนายกเทศมนตรีแห่งมหานครก็อตแธมถูกฆาตกรรม ตามด้วยศพของผู้มีอำนาจอีกมากมาย ชายที่ก่อเหตุทิ้งคำใบ้ปริศนา พร้อมเอ่ยนามตัวเองว่า "เดอะริดเลอร์" (รับบทโดย พอล ดาโน) แบทแมนจึงต้องแท็กทีมกับ สารวัตรกอร์ดอน (รับบทโดย เจฟฟรี่ย์ ไรท์) ออกสืบสวนเกี่ยวกับคดี และฉีกหน้ากากของ เดอะริดเลอร์ ว่าเขาคือใครกันแน่ และเหตุการณ์ทั้งหมด โยงทำให้แบทแมนได้เจอกับ เซลิน่า ไคล์ (แคทวูเมน ที่รับบทโดย โซอี้ คราวิสต์) และเพนกวิน (ที่รับบทโดย โคลิน ฟาร์เรล ที่เมคอัพจนแทบจำไม่ได้)

การทำหนังเดี่ยวของ The Batman เลี่ยงไม่ได้ที่มันจะถูกนำไปเทียบกับหนังระดับตำนานอย่าง The Dark Knight อาจกล่าวได้ว่า นี่คือหนังแบทแมนที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เรื่องนั้น แต่ฉบับใหม่นี้ก็มาพร้อมกับโทนและทิศทางที่แตกต่าง มีส่วนผสมของความเป็นหนัง ฟิล์มนัวร์-อาชญากรรม ในแบบ Se7en หรือ Zodiac ของ เดวิด ฟินเชอร์ มีกลิ่นอายของหนังแก็งสเตอร์จากช่วงยุค 90s จนถึงบางจุดมีกลิ่นของหนังเขย่าขวัญนิดๆ (โดยเฉพาะฉากเปิด) ทำให้ Mood & Tone ฉีกจากหนังของโนแลนไปอีก เป็น The Batman ในแบบของตัวเอง มีความดาร์กในอีกสไตล์ แม้มันจะคล้ายกับงานของ ฟินเชอร์ก็ตาม ซึ่งรีฟส์น่าจะได้รับแรงบันดาลใจอยู่ไม่น้อย เพราะเขาเองก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขายึดโทนหนังจากเพลงของ Nirvana (และเอาเพลงมาใส่ในหนังด้วย)

ไฮไลต์สำคัญของ The Batman คือทีมนักแสดงที่แต่ละคนท็อปฟอร์มในฉบับของตัวเอง โรเบิร์ต แพททินสัน ในยามที่ใส่หน้ากากเป็นแบทแมนเต็มตัว เขาดูดุดัน ดูน่าค้นหา ดูลึกลับ น่าสนใจมากๆ น่าสนใจจนเมื่อเป็น บรู๊ซ เวย์น ยามที่ถอนหน้ากาก ดูไม่น่าดึงดูดเท่าไหร่นัก ดูเป็น บรู๊ซ เวย์น ที่คาแรคเตอร์เบาไปนิด ในขณะที่ โซอี้ คราวิสต์ ทำได้ดีเกินคาดกับบท เซเลน่า ตั้งแต่ซีนแรกที่เธอปรากฏตัว ดูเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์ สวยจิกกล้องแทบทุกซีนจริงๆ และเคมีของเธอและแพททินสัน เข้ากันอย่างมาก แต่ที่เซอร์ไพรสสุด คือ พอล ดาโน ในบทเดอะริดเลอร์ ที่ซับซ้อน และน่าสะพรึงอย่างถึงขีดสุด ในขณะที่ เดอะเพนกวิน ของ โคลิน ฟาร์เรลล์ ดูเป็นมาเฟียที่ตอนแรกเหมือนจะไม่มีอะไร แต่หนังค่อยๆสร้างสตอรี่ให้กับตัวละครมากขึ้นเมื่อดำเนินไป อย่างไรก็ตาม เมคอัพของตัวละครเขา แอบเบี่ยงเบนความสนใจ จากการแสดงของ ฟาร์เรลล์ ไปพอสมควร

The Batman มาพร้อมกับงานสร้างที่ประณีตขั้นสุด โดยเฉพาะการออกแบบงานสร้างเมืองก็อตแธม ที่เวอร์ชั่นนี้ดูโสมมและแฝงด้วยความเลวร้ายในทุกมุม ยิ่งสร้างบรรยากาศความฉ้อฉลเสริมกับพล็อตเรื่องที่คอรัปชันแฝงอยู่ในทุกระดับของเมืองได้อย่างดี บวกกับดนตรีประกอบสุดบีบอารมณ์ ทุกซีนที่เพลงธีมของ เดอะแบทแมน ถูกบรรเลงในหนังมันบีบหัวใจอยู่ไม่น้อย ยิ่งถ้าได้ดูในโรงที่เสียงกระหึ่ม กลายเป็นว่า ดนตรีประกอบ แทบจะไม่ถูกกลบหายไปเลย เป็นอีกหนึ่งพระเอกที่ชูหนัง และชูความเป็นแบทแมนให้เด่นชัดและหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ

ปัญหาหลักสำหรับ The Batman ฉบับนี้คือความยาวที่อีกเพียงไม่กี่นาทีจะแตะหลัก 3 ชั่วโมง และจังหวะการเล่าเรื่องที่ค่อยเป็นค่อยไป ดั่งหนังสืบสวนที่เน้นบรรยากาศที่คลุมเครือหม่นหมอง ฉากแอ็กชันของหนังก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่อย่างไรก็ตาม The Batman สามารถตรึงผู้ชมให้อยู่กับหนังได้ทุกขณะ แทบจะไม่มีฉากไหนที่ไม่จำเป็นเลย มันเหมือนชิ้นส่วนของจิกซอว์ที่ค่อยๆต่อแล้วเผยให้เห็นภาพที่ใหญ่ของเรื่องราวได้ ดังนั้น เข้าห้องน้ำให้พร้อมก่อนไปชม แล้วคุณจะได้สัมผัส The Batman ในฉบับที่ไม่ซ้ำกับเวอร์ชันไหนๆอย่างแน่นอน


(ให้ 9 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน)

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘The Menu’ หนังเขย่าขวัญเสิร์ฟเมนูสยอง ระทึก ร้ายกาจ คาดเดาไม่ได้ | GOSSIP GUN

18 พ.ย. 2022

[REVIEW] ‘The Menu’ หนังเขย่าขวัญเสิร์ฟเมนูสยอง ระทึก ร้ายกาจ คาดเดาไม่ได้ | GOSSIP GUN

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณเดินทางไปยังภัตตาคารสุดหรู เพื่อรับประทานอาหารแบบ Fine Dining แต่แล้ว เมื่อดินเนอร์เริ่มเสิร์ฟ ทุกอย่างรอบตัวคุณค่อยๆผิดปกติ และสถานการณ์เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ จนนี่อาจจะเป็นดินเนอร์มื้อสุดท้ายของคุณ นี่คือพล็อตคร่าวๆของ The Menu หนังเขย่าขวัญตลกร้าย ซึ่งนอกจากเรื่องราวอันแสนจะยั่วยวนให้แฟนหนังไปชมในโรงภาพยนตร์แล้ว หนังยังมีไฮไลต์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นชื่อชั้นของ 3 นักแสดงนำอย่าง อันยา เทย์เลอร์-จอย, นิโคลัส โฮลต์ และ เรล์ฟ ไฟนส์ และเครดิตของทีมโปรดิวเซอร์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ อดัม แมคเคย์ และวิลล์ ฟาร์เรล ที่สร้างหนังตลกแสบสันอย่าง Don't Look Up และซีรีส์สุดร้ายกาจอย่าง Succession มาแล้ว ส่วนผู้กำกับ มาร์ก มายลอด ก็เคยกำกับหลายเอพพิโซดของSuccession ดังนั้น ถ้าใครเคยดูซีรีส์มา ก็น่าจะพอเดาอารมณ์ออก ว่าหนังจะแสบได้ถึงขนาดไหนThe Menu เล่าถึงคู่รัก มาร์โก และเทย์เลอร์ (รับบทโดย อันยา เทย์เลอร์-จอย จาก The Queen's Gambit และ นิโคลัส โฮลต์ จาก X-Men) ที่เดินทางไปยังเกาะส่วนตัว เพื่อรับประทานอาหารเย็นที่ ฮอว์ธอร์น ห้องอาหารสุดหรู ที่ราคาต่อคอร์สแพงลิบ พวกเขาเดินทางไปพร้อมกับแขกดินเนอร์มื้อเดียวกันอีกจำนวนหนึ่งที่ดูเหมือนแต่ละคน ล้วนแต่จะเป็นบุคคลระดับวีไอพี เมื่อเดินทางมาถึงทุกคนก็ได้พบกับ จูเลี่ยน สโลวิก (รับบทโดย เรล์ฟ ไฟนส์ จาก Harry Potter) เชฟชื่อดัง หัวหน้าเชฟประจำห้องอาหารแห่งนี้ ซึ่งเขาค่อยๆเสิร์ฟอาหารแต่ละจาน ที่เต็มไปด้วยไอเดียและแนวคิดสุดแปลก ก่อนที่เหล่าแขกจะค่อยๆรู้ตัวว่า ทุกอย่างกำลังผิดปกติ นี่อาจจะไม่ใช่การรับประทานไฟน์ไดนิ่งทั่วไป แต่มีอะไรชวนขนลุกแฝงอยู่ในนั้นระหว่างที่ผู้ชมได้ดูหนัง The Menu ก็เหมือนกับผู้ชมได้เข้าไปนั่งอยู่ในห้องอาหารเดียวกับตัวละคร มันเริ่มต้นจากการเป็นหนังที่ดูเหมือนหนังทั่วไป ไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาด จนกระทั่งอาหารจานต่างๆค่อยๆเสิร์ฟ ผู้ชมจะได้เริ่มสัมผัสถึงความผิดปกติอะไรบางอย่าง บรรยากาศความไม่น่าไว้วางใจค่อยๆครอบคลุมไปทั่วในหนังเรื่องนี้ ระดับความเป็นหนังเขย่าขวัญค่อยๆเพิ่มขึ้น เจือปมด้วยรสชาติแบบหนังตลกร้าย เสียดสีสังคมในแง่มุมต่างๆ แฝงด้วยความคิด เหมือนกับตัวละครที่กำลังขบคิดไอเดียที่แฝงอยู่ในอาหารแต่ละคอร์ส ผู้ชมก็ขบคิดไปเช่นกันว่า หนังจะสื่อสารถึงอะไร The Menu จึงเป็นหนังที่มีส่วนผสมค่อนข้างเฉพาะตัว รวมความเป็นหนังตลกร้ายกับเขย่าขวัญไว้ด้วยกันอย่างน่าลิ้มลอง ช่วงแรกอาจจะใช้เวลานานในการปูเรื่องราว แต่เมื่อเรื่องดำเนินไป หนังก็ค่อยๆไต่ระดับความระทึกเพิ่มขึ้นนอกจากพล็อตที่เดาทางได้ยาก บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจ The Menu ขับเคลื่อนไปได้ดี ด้วยทีมนักแสดงที่ชวนดึงดูด ไฮไลต์หลักของหนีไม่พ้น อันยา เทย์เลอร์-จอย และ เรล์ฟ ไฟนส์ หลายฉากที่เพียงแค่ทั้งสองเผชิญหน้ากัน ก็ชวนขนลุกไม่ไหวแล้ว สำหรับอันยาที่แจ้งเกิดมาจากหนังสยองขวัญชุดใหญ่ทั้ง The Witch, Split หรือแม้แต่หนังล่าสุดอย่าง Last Night In Soho การที่ได้เห็นเธอรับเล่นหนัง Horror/Thriller อย่างต่อเนื่อง เป็นอะไรที่ถูกใจแฟนๆมาก เธอมีเสน่ห์มากเป็นพิเศษเมื่อแสดงนำในหนังแนวนี้ และชวนให้ผู้ชมได้เอาใจช่วยอยู่เสมอ ในขณะที่ เรล์ฟ ไฟนส์ ชวนขนลุกกับบทชวนสยองเสมอมา ไล่มาตั้งแต่ Schindler's List มาจนถึงหนังอย่าง Red Dragon บทโวลเดอมอร์ในจักรวาล Harry Potter มาจนถึงบทในหนังเรื่องนี้แค่เขาแสดงสีหน้าก็น่ากลัวไม่ไหวแล้ว ยิ่งเสริมให้เรื่องชวนระทึกขึ้นไปอีกโดยรวม The Menu เป็นหนังที่รสชาติแปลกน่าลอง เหมาะสำหรับคนที่ชอบตลกแบบร้ายกาจ หนังมีประเด็นเสียดสีชนชั้นที่น่าสนใจ หลายฉากฮาอย่างเจ็บแสบ ในขณะที่สายเขย่าขวัญ แม้ว่าหนังจะไม่ได้น่ากลัวอะไรมากนัก แต่ก็อบอวลด้วยบรรยากาศชวนขนลุก ให้ตึงเครียดได้จริงๆ ผู้ชมจะได้สนุกกับการคาดเดาว่า เมนูต่อไปเชฟจะเสิร์ฟอะไร คาดเดาว่าแต่ละตัวละครซ่อนปมอะไรไว้ และหนังจะพาเราไปสู่จุดไหน ถือว่าเป็นหนังสยองแสบๆเรื่องหนึ่ง ที่ไม่อยากให้พลาดชมตัวอย่าง The Menu เมนูสยอง สัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Major Group

[REVIEW] ‘Bullet Train’ โหดมันส์ฮาหนังบู๊สายป่วน รถด่วนขบวนนักฆ่า | GOSSIP GUN

11 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘Bullet Train’ โหดมันส์ฮาหนังบู๊สายป่วน รถด่วนขบวนนักฆ่า | GOSSIP GUN

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อภารกิจฉกของง่ายๆ บนรถไฟหัวกระสุน กลายเป็นสนามรบสุดเดือดบนขบวนรถไฟ ที่เต็มไปด้วยนักฆ่าจากรอบโลก นี่คือพล็อตของ Bullet Train ต้นฉบับคือนิยายของญี่ปุ่น ถูกนำมาสร้างเป็นหนังแอ็กชันคอเมดี้สุดชุลมุนโดยผู้กำกับที่เลื่องชื่อสายนี้อย่าง เดวิด ลีทช์ อดีตสตันท์แมน ที่เติบโตมาเป็นผู้กำกับหนังแอ็กชันสายเดือดอย่าง John Wick, Deadpool 2 และล่าสุด Fast Furious : Hobbs Shaw ที่แต่ละเรื่อง ฉากต่อสู้คลั่งของจริง และแฝงด้วยอารมณ์ขันอย่างเจ็บแสบ โดยหนังได้พระเอกตลอดกาลอย่าง แบรด พิตต์ มารับบทนำ ซึ่งถือเป็นการกลับมาเล่นหนังแอ็กชันในรอบหลายปี หลังจาก World War Z, Fury และ Allied ซึ่งมีรายงานว่า พิตต์ แสดงฉากแอ็กชันเองถึง 95% อีกด้วยพิตต์ รับบทอดีตนักฆ่าฝีมือฉกาจ นามแฝงว่า "เลดี้บักส์" หลังจากเข้าบำบัดจิตเพื่อลืมอดีตอันน่าปวดหัว เขาต้องการรับแค่งานเบาๆ ไม่ได้อยากฆ่าคนมากมายอีกต่อไป จึงรับภารกิจง่ายๆ ด้วยการขึ้นไปฉกกระเป๋าใบหนึ่ง บนรถไฟสายด่วนที่มุ่งหน้าจากโตเกียว ไปยังเกียวโต เขาคิดว่างานนี้อย่างหมู เพราะแค่ขึ้นไป หยิบกระเป๋า แล้วลงมา ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่านั้น แต่เขาไม่รู้เลยว่า รถไฟขบวนนี้ เต็มไปด้วยนักฆ่าจากทั่วโลกที่มีภารกิจเดียวกัน แถมยังมีนักฆ่าสายโหดอีก 2 คน ที่คอยเฝ้ากระเป๋าใบนี้อยู่ รถไฟหัวกระสุนขบวนนี้ จึงกลายเป็นสนามประลองสุดเดือด ที่มีผู้รอดตายเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่จะได้กระเป๋าใบนี้ไปครอบครองสิ่งที่ทำให้ Bullet Train บันเทิงขีดสุด คือ ความชุลมุนวุ่นวายของหนัง การที่หนังค่อยๆวางหมากไว้มากมายตอนต้นเรื่อง ปูรายละเอียดตัวละครเอาไว้ ใส่ดีเทลไว้มากมาย แล้วหยิบมายำใหญ่มโหฬารในช่วงท้าย กลายเป็นจุดเด่นที่ชัดเจนมากๆ ได้ฟีลคล้ายการดูหนัง เควนติน ทารันติโน่ อาจจะไม่คมเท่า แต่ก็ดูง่ายกว่า ผสมกับฉากแอ็กชันที่ดุเดือด ตามสไตล์ของ เดวิด ลีทช์ ที่แม้ว่าฉากต่อสู้จะถูกออกแบบมาให้ดุดัน โหดระดับเรต R แต่มันก็แฝงด้วยอารมณ์ขันที่ร้ายกาจตลอดเวลา อาทิ ฉากที่พระเอกต้องต่อสู้กับนักฆ่าอีกคน บนรถไฟขบวนเงียบ กลายเป็นฉากต่อสู้ที่พวกเขาห้ามส่งเสียงอะไรทั้งนั้น ซึ่งในหนังจะมีฉากต่อสู้แปลกๆ ที่ทั้งโหด ทั้งมันส์ และทั้งฮา ประกอบเอาไว้อยู่มากมาย ถ้าจะอธิบายอารมณ์ของหนัง ที่ใกล้เคียงสุดก็น่าจะเป็น Deadpool 2 ของลีทช์นั่นเอง (ซึ่ง แบรด พิตต์ ก็เคยไปรับเชิญในนั้นด้วย)พูดถึงแขกรับเชิญ Bullet Train เป็นหนังอีกเรื่องที่ผู้ชมจะได้เซอร์ไพรสกับกองทัพดารา ทั้งที่หนังหยิบมาโปรโมตและไม่ได้โปรโมต คนที่ชัดเจนสุดคือ แซนดร้า บูลล็อค ที่โผล่มาในบทผู้จ้างงานพระเอก (หนังเผยว่าเธอแสดงตั้งแต่ในตัวอย่างแล้ว)ซึ่งดีลนี้ เกิดจากการที่ พิตต์ และบูลล็อค ตกลงกันว่าจะมาปรากฏตัวในหนังของอีกฝ่าย เราจึงได้เห็น แบรด พิตต์ ไปโผล่ใน The Lost City ที่บูลล็อคแสดงนำเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และได้เห็นบูลล็อค มาปรากฏตัวในเรื่องนี้ นอกจากนี้หนังยังมีนักแสดงรับเชิญอีกหลายคนที่ไม่สามารถสปอยล์ได้ สำหรับตัวของ แบรด พิตต์เอง บทบาทใน Bullet Train ทำให้ผู้ชมได้เห็นเขาในโหมดที่สบายๆ ตลกหน้าตายแบบเดียวกับใน Ocean's Eleven ความชิลล์ของคาแร็คเตอร์เขา ส่งผลให้หนังดูสบายๆไปด้วยเช่นกัน และอีกสองคนที่โดดเด่นจนแทบจะขโมยซีน คือ แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน (จาก Avengers : Age of Ultron) และไบรอัน ไทรี่ เฮนรี่ (จาก Eternals) ในบทสองนักฆ่าฝาแฝดที่ไม่เหมือนกันเลย กับหน้าที่เฝ้ากระเป๋าต้นเรื่อง เป็นสองนักแสดงที่เคมีอารมณ์ขัน เข้ากับพิตต์ได้ดีเหลือเกิน หลายฉากจะเห็นพวกเขารับส่งกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทำให้หนังสมูธมากยิ่งขึ้นจุดปัญหาของ Bullet Train ที่เห็นได้ชัด อาจจะเป็นช่วงองก์แรกที่หนังใช้เวลาในการปูตัวละครค่อนข้างเยอะ บางช่วงก็ย้วยเกินจำเป็น บางซีนก็เล่าไวจัด จนแทบจะตามไม่ทัน ก่อนที่จะมาแม่นจังหวะในช่วงองก์สองและสาม ด้วยความที่ตัวละครเยอะจัด และต้องเล่าที่มาที่ไป เพื่อใช้ประโยชน์ในตอนท้ายเรื่อง หนังเลยต้องใช้เวลาตรงนี้เยอะพอสมควร และอีกจุดที่จริงๆ อาจจะไม่ใช่จุดด้อย แต่เป็นปัญหากับผู้ชมบางส่วน คือการที่หนังใช้มุกตลกหน้าตายค่อนข้างมาก (โดยเฉพาะพระเอก) ถ้าผู้ชมไม่ใช่สายมุกทางนี้ อาจจะไม่เอ็นจอยกับหลายๆซีนของหนังก็เป็นอันได้โดยรวม Bullet Train ถือเป็นหนังแอ็กชันชุลมุนที่เล่าเรื่องได้สนุก ฉากแอ็กชันทำถึง ฉากความวุ่นวายทำได้ดี และตัวละครล้วนสร้างสีสันให้กับหนังได้อย่างมาก แม้จะมีบางจุดที่อาจจะยาวไป และเล่นมุกเฉพาะทางเยอะไปหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นหนังฟอร์มใหญ่ส่งท้ายซัมเมอร์ 2022 ที่ค่อนข้างน่าพอใจเลยทีเดียว ถ้าเคยชอบผลงานชิ้นก่อนๆของ เดวิด ลีทช์ ทั้ง John Wick ภาคแรก, Deadpool ภาคสอง และ Fast Furious ภาคแยก น่าจะเพลิดเพลินกับหนังเรื่องนี้ ท่ามกลางหนังภาคต่อหรือรีเมกมากมาย นานๆจะมีหนังออริจินัลโผล่เข้ามาให้ลิ้มลองในช่วงซัมเมอร์แบบนี้ ก็สามารถลองขึ้นรถไฟขบวนป่วนสายนี้ได้ชมตัวอย่าง Bullet Train วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Sony Pictures Thailand

[REVIEW] ‘Avatar : The Way of Water’ ปรากฏการณ์แห่งโลกภาพยนตร์ ตื่นตาอ้าปากค้าง | GOSSIP GUN

15 ธ.ค. 2022

[REVIEW] ‘Avatar : The Way of Water’ ปรากฏการณ์แห่งโลกภาพยนตร์ ตื่นตาอ้าปากค้าง | GOSSIP GUN

คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะสร้างภาคต่อของหนังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก Avatar ภาคแรกออกฉายเมื่อ 13 ปีก่อน และยังครองตำแหน่งหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของโลก ด้วยรายได้ 2.9 พันล้านเหรียญฯ มันกลายเป็นหนังในดวงใจของใครหลายๆคน มันกลายเป็นหนังที่พลิกโฉมโลกภาพยนตร์ ด้วยเทคโนโลยีการสร้างที่ทันสมัย ดังนั้น เมื่อ เจมส์ คาเมรอน ต้องสร้างภาคต่อให้กับหนังที่ฮิตที่สุดในโลก เขาจึงต้องใช้เวลา และเขาไม่ได้มาแค่เล่นๆ เพราะหนังภาคต่อถูกวางแพลนยาวๆถึงภาค 5 กันเลยทีเดียว (ตอนนี้ถ่ายทำภาค 3 เสร็จแล้ว และถ่ายภาค 4 ไปได้องค์แรก) ดังนั้นผู้ชมจึงต้องรอนานมากกว่าทศวรรษเพื่อกลับสู่แพนโดร่าอีกครั้งAvatar : The Way of Water เล่าเหตุการณ์มากกว่า 10 ปีหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก (ห่างพอๆกับปีฉายหนังทั้งสองภาคนั่นเอง) เมื่อ เจคและเนทีรี ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข พร้อมกับสมาชิกครอบครัวใหม่ ทายาทของพวกเขาถึง 4 คน แต่แล้ว มนุษย์ก็ยังไม่หยุดแผนการณ์ที่จะเข้ายึดครองดาวดวงแห่งนี้ แถมยังขยายเขตอาณานิคมกว้างขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจึงต้องลุกขึ้นสู้ เพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์ และได้พบว่าผู้พันไมล์ ศัตรูจากภาคแรกที่แม้เจคจะสังหารไปแล้ว กลับปรากฏตัวขึ้นในร่างใหม่ (แต่เพราะอะไรต้องไปดูกันในหนัง) โดยไมล์มีเป้าหมายเดียว คือการตามล่าเจค และสังหารเขา นี่คือความแค้นส่วนตัวที่นำไปสู่การไล่ล่าครั้งใหม่ เจคจึงต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องครอบครัว นำไปสู่การผจญภัย การต่อสู้ และสงคราม ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนสิ่งที่ทำให้ เจมส์ คาเมรอน ใช้เวลาเตรียมงานสร้างภาคต่อ Avatar นานกว่าทศวรรษคือการพัฒนาเทคโนโลยี ภาคแรกผู้ชมจะเห็นความสมจริง จากการถ่ายทำแบบเทคนิค Motion-Capture ดังนั้น สีหน้า แววตา การขยับตัวของตัวละครจะเหมือนนักแสดง แต่ภาคนี้ไอเดียเขาล้ำกว่า คือจะถ่าย Motion-Capture แบบในน้ำ ซึ่งไม่มีใครเคยทำมาก่อน เขาจึงต้องทดลองอยู่นาน ซึ่งความพยายามนี้เอง ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะไฮไลต์ที่โดดเด่นจริงๆของ The Way of Water นั้น คือฉากใต้น้ำนี่เอง หนังใช้เวลาถึง 2 ใน 3 ของเรื่องกับฉากเหนือน้ำและใต้น้ำ ทำให้เทคนิคนี้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างคุ้มค่า ภาพที่ปรากฏบนจอดูสวยสะกดสายตามากๆ ทำให้สิ่งที่เห็นแล้วตื่นตะลึงในภาคแรก ถูกอัพเลเวลความน่าตื่นตาขึ้นไปอีก ยิ่งดูในระบบ IMAX 3D ยิ่งเพิ่มอรรถรส เหมือนเราหลุดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งนั้นจริงๆ เหมือนเราลงไปในมหาสมุทรจริงๆก็ว่าได้ (ดีไม่ดี สวยกว่าของจริงด้วย)นอกจากงานสร้างที่สามารถเรียกว่า Visual Stunning สวยงามระดับตื่นตะลึงแล้ว สิ่งที่ทำให้ Avatar ภาคใหม่ตรึงผู้ชมได้ดี คือการไต่ระดับอารมณ์ของหนัง โดยเฉพาะในชั่วโมงสุดท้าย เจมส์ คาเมรอน สามารถเนรมิตฉากไคลแมกซ์สุดยิ่งใหญ่ออกมาได้อย่างไม่ผิดหวัง โดยเฉพาะซีนแอ็กชันในภาคนี้ เล่นใหญ่มาก และทำเอาลุ้นระทึกได้ตลอด แถมดีไซน์มุมกล้องออกมาได้สดใหม่ ทำให้เพิ่มความว้าวขึ้นไปอีก แต่ปัญหาหลักของ Avatar ภาคนี้ กลับเป็นเส้นเรื่อง ที่เหมือนจะยังไม่ได้เดินหน้าไปไหนมากนัก (จนหลายคนแซวว่าหนังรีเมกภาคแรกด้วยซ้ำ) หนังยังคงวนเวียนอยู่กับตัวละครกลุ่มเดิม จากภาคแรกที่เป็นการปกป้องเผ่าพันธุ์และอาณาจักร ภาคนี้ดูเหมือนกับโฟกัสที่ปมแค้นส่วนตัวของตัวละครมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้พลังความหึกเหิม และอารมณ์ร่วมค่อนข้างลดหายไปอยู่บ้าง (แต่ถ้าคิดซะว่าเป็นแผนยาว ที่เขาต้องสร้างถึงภาค 5 ก็พอเข้าใจอยู่ว่าจะเก็บอะไรไว้เล่าอีกเยอะ)โดยรวม Avatar : The Way of Water คือหนังอีกหนึ่งเรื่องที่สามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็น Cinema Experience ผู้ชมจะได้สัมผัสประสบการณ์ในการดูหนังในโรงที่ยอดเยี่ยม แม้ว่าตัวหนังเองอาจจะไม่ได้สดใหม่เท่าภาคแรก แต่มันก็ยกระดับงานสร้างขึ้นไปจากเดิม อรรถรสในการดูหนังเรื่องนี้ จึงอยู่ที่การได้ดูในโรงภาพยนตร์ที่จอใหญ่ๆ และเสียงกระหึ่มจริงๆ นี่คือหนังอีกเรื่องที่ตอกย้ำว่า การดูหนังในโรงมันแตกต่างจากดูที่บ้านอย่างไร เพราะเชื่อเหลือเกินว่า เมื่อหนังถูกลงในระบบสตรีมมิ่งแล้ว ถ้าดูซ้ำ คงไม่ได้อ้าปากค้าง หรีือเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแพนโดร่า เหมือนตอนดูในโรงอีกแล้วชมตัวอย่าง Avatar : The Way of Water วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : 20th Century Studios Thailand

[REVIEW] ‘เธอกับฉันกับฉัน (You and Me and Me)’ หนังแฟนฉันของคนยุคนี้ รักแรกของฝาแฝดสุดประทับใจ| GOSSIP GUN

10 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘เธอกับฉันกับฉัน (You and Me and Me)’ หนังแฟนฉันของคนยุคนี้ รักแรกของฝาแฝดสุดประทับใจ| GOSSIP GUN

ใครที่เคยคิดถึงหนัง Feel Good ดีต่อใจสไตล์ค่ายจีดีเอช (หรือค่ายก่อนหน้านี้) การรอคอยกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว กับผลงานใหม่อย่าง 'เธอกับฉันกับฉัน' ที่จะชวนให้ผู้ชมหวนระทึกถึงความทรงจำในวัยเด็ก และรักแรกในวัยรุ่นของเราอีกครั้ง แต่ความแตกต่างของโปรเจกต์นี้ คือการ ใช้ตัวละครนำเป็นฝาแฝด และพาผู้ชมเข้าสู่โลกของแฝด กับรายละเอียดหลายแง่มุมที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน ผ่านสองผู้กำกับแฝดหญิงอย่าง วรรณแวว และแวววรรณ หงษ์วิวัฒน์ ที่เคยจับงานเบื้องหลังในหลังคาค่ายนี้อยู่นาน ก่อนที่จะได้รับโอกาสในการกำกับหนังใหญ่เรื่องแรก ผ่านการดูแลของ โต้ง บรรจง ผู้กำกับระดับพันล้าน ที่มีผลงานการันตีแน่นเครดิต'เธอกับฉันกับฉัน' พาผู้ชมย้อนกลับไปในยุคสมัย Y2K (ซึ่งอยู่ดีๆก็กลับมาเป็นเทรนด์ ณ เวลานี้) ในปี 1999 ช่วงเวลาที่คนทั้งโลกกำลังหวาดวิตกว่า การก้าวเข้าสู่ยุค 2000 จะเกิดปัญหาด้านคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดภัยพิบัติมากมาย ซึ่งตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุส ว่าโลกอาจถึงจุดสิ้นสุด โดยสองตัวละครหลักของเรื่อง คือ พี่น้องฝาแฝด ยู และ มี (รับบทโดย ใบปอ ธิติยา จิระพรศิลป์ ซึ่งแสดงคนเดียวเป็นสองบทบาทเลย) ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน แชร์หลายๆอย่างด้วยกัน และเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันมาตลอดชีวิต จนกระทั่งพวกเธอได้พบกับ หมาก (รับบทโดย อันโทนี่ บุยเซอเรท์) หนุ่มหล่อลูกครึ่งเพื่อนร่วมโรงเรียน ที่เจอกันตั้งแต่ตอนสอบซ่อม ไปจนถึงช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ที่นครพนม ไม่นานเรื่องราวความรักก็เริ่มเข้ามาในหัวใจของคนทั้งสาม นี่คือรักแรกของสองแฝด กับ หนึ่งหนุ่ม ที่ความสัมพันธ์ค่อยๆ ยุ่งเหยิงและนำไปสู่ การตัดสินใจที่พวกเธอไม่เคยเผชิญมาก่อน'เธอกับฉันกับฉัน' คือหนังที่ค่อยๆพาผู้ชมเข้าสู่โลกของฝาแฝด ที่ทั้งมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป หลายอย่างอาจจะเป็นมุมอินไซด์ที่คนทั่วไปอาจไม่ได้รู้มาก่อน ทำให้เกิิดพล็อตที่ทั้งสนุกสนานและยุ่งเหยิงได้มากมาย จากการที่เธอทั้งสองหน้าเหมือนกัน แทบจะเป็นคนๆเดียวกัน และในขณะเดียวกัน มันก็ถูกเล่าผ่านโครงเรื่องในลักษณะ รักแรก ผสมกับ รักสามเส้า ทำให้นอกจากมุมดีต่อใจแล้ว ผู้ชมสามารถคาดเดาได้เลยว่า จะได้เจอมุมบีบหัวใจอย่างแน่นอน ทำให้หนังนอกจากจะน่าติดตามในปมเรื่องแฝดแล้ว ยังน่าจะทำให้ผู้ชมอินในประเด็นรักแรก หรือรักในวัยเรียนได้อีกด้วยสิ่งที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับ 'เธอกับฉันกับฉัน' ยิ่งขึ้นไปอีก คือการที่หนังเลือกเล่าในบรรยากาศปลายยุค 90s ซึ่งเป็นอีกหนึ่งยุคที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวเพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน กำลังเข้าสู่ยุคออนไลน์ หนังสนุกกับการหยิบ Pop Culture ในยุคนั้นมาเล่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ฉายในปีนั้น เพลงดังที่ถูกปล่อยในช่วงนั้น ร้านอาหารที่เป็นที่นิยมของคนยุคนั้น ไปจนถึงไอเท็มบางอย่างที่บอกยุคสมัยได้อย่างดี สำหรับผู้ชมที่สมัยหนัง แฟนฉัน เข้าฉายแล้วอาจจะเกิดไม่ทัน ไม่ได้อินกับเรื่องแวดล้อมในหนัง อาจจะมาอินกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก สำหรับใครที่อายุราว 30-40 ปี น่าจะเป็นช่วงที่กำลังเติบโต กำลังเสพสื่อ กำลังใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลานั้น หนังทำให้ผู้ชมระลึกถึงความทรงจำในอดีตอันหอมหวานได้อย่างดีอีกด้วยแต่สิ่งที่น่าชื่นชมมากที่สุด ต้องยกให้กับงานสร้าง ที่อาจกล่าวได้ว่า นี่คืองานที่ไม่ง่ายเลยทั้งสำหรับทีมงานและนักแสดง เพราะเมื่อ 'เธอกับฉันกับฉัน' ใช้นักแสดงเพียงคนเดียว เล่นเป็นฝาแฝด ดังนั้นเทคนิคการถ่ายทำหลายๆอย่างจึงถูกหยิบนำมาใช้ ส่วนที่ง่ายหน่อยน่าจะเป็นซีนที่ถ่ายผ่านหลัก ทำให้เห็นตัวละครเพียงคนเดียว แต่สำหรับฉากที่ต้องเห็นทั้งสอง ทั้งถ่ายทำและตัดต่อออกมาได้เนี้ยบมากๆ จนแทบจะไม่มีจุดไหนรู้สึกสะดุดเลย และที่สำคัญต้องชื่นชมน้องใบปออย่างยิ่ง ที่สร้างคาแรคเตอร์ ยูกับมี ออกมาแตกต่างได้อย่างชัดเจน ในช่วงแรกอาจจะต้องตั้งใจดูเพื่อจับความแตกต่างพอสมควร แต่เมื่อหนังดำเนินไป ไม่ใช่แค่ไฝที่ต่าง แต่วิธีการพูด ลักษณะของตัวละครก็สามารถแยกได้ชัด ซึ่งเป็นงานที่ไม่ง่ายเลยสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ ซึ่งต้องปรบมือชื่นชมในจุดนี้โดยรวม 'เธอกับฉันกับฉัน' ถือเป็นหนังไทยที่น่าสนใจและไม่ควรพลาดอีกเรื่อง ด้วยคุณภาพที่กล่าวได้ว่าตามมาตรฐานค่ายจีดีเอช ทั้งในแง่บท งานสร้าง และองค์ประกอบต่างๆ ใครที่เคยคิดถึงหนังอารมณ์ดี หนังแนว Coming-of-Age ที่ทางค่ายเองก็ไม่ได้สร้างหนังแนวนี้มาพักใหญ่ นี่คือการกลับมาที่น่าพอใจ และเชื่อว่า หนังจะสามารถเข้าไปอยู่ในใจของผู้ชมหลายต่อหลายคนได้อย่างแน่นอนชมตัวอย่าง 'เธอกับฉันกับฉัน' วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

album

0
0.8
1