[REVIEW] “The Batman” นี่คือหนังอาชญากรรมชั้นเลิศในคราบซูเปอร์ฮีโร่ | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “The Batman” นี่คือหนังอาชญากรรมชั้นเลิศในคราบซูเปอร์ฮีโร่ | GOSSIP GUN

04 มี.ค. 2022

ไม่ใช่งานง่ายที่จะต้องทำหนังแบทแมนต่อจากความสำเร็จของไตรภาค The Dark Knight ที่ คริสโตเฟอร์ โนแลน สร้างมาตรฐานไว้สูงลิบ อันที่จริงโปรเจกต์หนังเดี่ยวของแบทแมน เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ สมัย เบ็น แอฟเฟล็ค สวมบทบาทใน Batman V Superman แล้ว แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริงเสียที จนกระทั่งโปรเจกต์ถูกส่งต่อให้กับ แมตต์ รีฟส์ แห่ง Dawn of Planet of the Apes และ Cloverfield ซึ่งเขามองแบทแมนในทิศทางที่ต่างจากเดิม บรู๊ซ เวย์น ในฉบับของเขายังไม่ใช่แบทแมนที่เต็มตัวนัก และเพิ่งเข้าสู่โลกแห่งอาชญากรรมในเมืองก็อตแธม โดยหนังเรื่องนี้จะเป็นฐานะแบบ Stand Alone คือไม่เกี่ยวโยงกับตัวละครอื่นๆในจักรวาล DC เลย แบทแมนฉบับนี้จะเล่าถึงเขาในด้านของชายที่ผ่านโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ และทำให้กลายเป็นคนสันโดษ จะไม่ได้เห็นบรู๊ซอยู่ในแมนชั่นสุดหรู แต่กลับเป็นคฤหาสน์ที่สุดโทรม

รีฟส์เลือก โรเบิร์ต แพททินสัน มารับบท บรู๊ซ เวย์น ในวัย 30 ต้นๆ เขาเพิ่งกลายเป็นแบทแมนได้เพียง 2 ปีเท่านั้น ดังนั้นอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆจะยังไม่ค่อยมีเท่าไหร่ แม้แต่มุมเพลย์บอยของเขาก็ถูกตัดออกจากหนังฉบับนี้ เหตุการณ์ในหนัง The Batman เริ่มต้นขึ้น เมื่อผู้สมัครนายกเทศมนตรีแห่งมหานครก็อตแธมถูกฆาตกรรม ตามด้วยศพของผู้มีอำนาจอีกมากมาย ชายที่ก่อเหตุทิ้งคำใบ้ปริศนา พร้อมเอ่ยนามตัวเองว่า "เดอะริดเลอร์" (รับบทโดย พอล ดาโน) แบทแมนจึงต้องแท็กทีมกับ สารวัตรกอร์ดอน (รับบทโดย เจฟฟรี่ย์ ไรท์) ออกสืบสวนเกี่ยวกับคดี และฉีกหน้ากากของ เดอะริดเลอร์ ว่าเขาคือใครกันแน่ และเหตุการณ์ทั้งหมด โยงทำให้แบทแมนได้เจอกับ เซลิน่า ไคล์ (แคทวูเมน ที่รับบทโดย โซอี้ คราวิสต์) และเพนกวิน (ที่รับบทโดย โคลิน ฟาร์เรล ที่เมคอัพจนแทบจำไม่ได้)

การทำหนังเดี่ยวของ The Batman เลี่ยงไม่ได้ที่มันจะถูกนำไปเทียบกับหนังระดับตำนานอย่าง The Dark Knight อาจกล่าวได้ว่า นี่คือหนังแบทแมนที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เรื่องนั้น แต่ฉบับใหม่นี้ก็มาพร้อมกับโทนและทิศทางที่แตกต่าง มีส่วนผสมของความเป็นหนัง ฟิล์มนัวร์-อาชญากรรม ในแบบ Se7en หรือ Zodiac ของ เดวิด ฟินเชอร์ มีกลิ่นอายของหนังแก็งสเตอร์จากช่วงยุค 90s จนถึงบางจุดมีกลิ่นของหนังเขย่าขวัญนิดๆ (โดยเฉพาะฉากเปิด) ทำให้ Mood & Tone ฉีกจากหนังของโนแลนไปอีก เป็น The Batman ในแบบของตัวเอง มีความดาร์กในอีกสไตล์ แม้มันจะคล้ายกับงานของ ฟินเชอร์ก็ตาม ซึ่งรีฟส์น่าจะได้รับแรงบันดาลใจอยู่ไม่น้อย เพราะเขาเองก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขายึดโทนหนังจากเพลงของ Nirvana (และเอาเพลงมาใส่ในหนังด้วย)

ไฮไลต์สำคัญของ The Batman คือทีมนักแสดงที่แต่ละคนท็อปฟอร์มในฉบับของตัวเอง โรเบิร์ต แพททินสัน ในยามที่ใส่หน้ากากเป็นแบทแมนเต็มตัว เขาดูดุดัน ดูน่าค้นหา ดูลึกลับ น่าสนใจมากๆ น่าสนใจจนเมื่อเป็น บรู๊ซ เวย์น ยามที่ถอนหน้ากาก ดูไม่น่าดึงดูดเท่าไหร่นัก ดูเป็น บรู๊ซ เวย์น ที่คาแรคเตอร์เบาไปนิด ในขณะที่ โซอี้ คราวิสต์ ทำได้ดีเกินคาดกับบท เซเลน่า ตั้งแต่ซีนแรกที่เธอปรากฏตัว ดูเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์ สวยจิกกล้องแทบทุกซีนจริงๆ และเคมีของเธอและแพททินสัน เข้ากันอย่างมาก แต่ที่เซอร์ไพรสสุด คือ พอล ดาโน ในบทเดอะริดเลอร์ ที่ซับซ้อน และน่าสะพรึงอย่างถึงขีดสุด ในขณะที่ เดอะเพนกวิน ของ โคลิน ฟาร์เรลล์ ดูเป็นมาเฟียที่ตอนแรกเหมือนจะไม่มีอะไร แต่หนังค่อยๆสร้างสตอรี่ให้กับตัวละครมากขึ้นเมื่อดำเนินไป อย่างไรก็ตาม เมคอัพของตัวละครเขา แอบเบี่ยงเบนความสนใจ จากการแสดงของ ฟาร์เรลล์ ไปพอสมควร

The Batman มาพร้อมกับงานสร้างที่ประณีตขั้นสุด โดยเฉพาะการออกแบบงานสร้างเมืองก็อตแธม ที่เวอร์ชั่นนี้ดูโสมมและแฝงด้วยความเลวร้ายในทุกมุม ยิ่งสร้างบรรยากาศความฉ้อฉลเสริมกับพล็อตเรื่องที่คอรัปชันแฝงอยู่ในทุกระดับของเมืองได้อย่างดี บวกกับดนตรีประกอบสุดบีบอารมณ์ ทุกซีนที่เพลงธีมของ เดอะแบทแมน ถูกบรรเลงในหนังมันบีบหัวใจอยู่ไม่น้อย ยิ่งถ้าได้ดูในโรงที่เสียงกระหึ่ม กลายเป็นว่า ดนตรีประกอบ แทบจะไม่ถูกกลบหายไปเลย เป็นอีกหนึ่งพระเอกที่ชูหนัง และชูความเป็นแบทแมนให้เด่นชัดและหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ

ปัญหาหลักสำหรับ The Batman ฉบับนี้คือความยาวที่อีกเพียงไม่กี่นาทีจะแตะหลัก 3 ชั่วโมง และจังหวะการเล่าเรื่องที่ค่อยเป็นค่อยไป ดั่งหนังสืบสวนที่เน้นบรรยากาศที่คลุมเครือหม่นหมอง ฉากแอ็กชันของหนังก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่อย่างไรก็ตาม The Batman สามารถตรึงผู้ชมให้อยู่กับหนังได้ทุกขณะ แทบจะไม่มีฉากไหนที่ไม่จำเป็นเลย มันเหมือนชิ้นส่วนของจิกซอว์ที่ค่อยๆต่อแล้วเผยให้เห็นภาพที่ใหญ่ของเรื่องราวได้ ดังนั้น เข้าห้องน้ำให้พร้อมก่อนไปชม แล้วคุณจะได้สัมผัส The Batman ในฉบับที่ไม่ซ้ำกับเวอร์ชันไหนๆอย่างแน่นอน


(ให้ 9 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน)

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] 'Emergency Declaration' หายนะเหนือน่านฟ้า สุดบีบอารมณ์และสมจริง ! | GOSSIP GUN

03 ส.ค. 2022

[REVIEW] 'Emergency Declaration' หายนะเหนือน่านฟ้า สุดบีบอารมณ์และสมจริง ! | GOSSIP GUN

สิ้นสุดการรอคอยเสียที สำหรับภาพยนตร์หายนะบนเครื่องบินเรื่องแรกของเกาหลี ที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล ขนทัพนักแสดงแถวหน้าของวงการไว้มากมาย หลังจากไปเปิดตัวในเทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อปีก่อน และได้รับคำชมมากมาย หนังก็ขยับโปรแกรมฉายมาเรื่อยๆ (เนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ โควิดที่เกาหลียังแรงอยู่) จนกระทั่งล่าสุดได้โปรแกรมฉายเสียที นี่คืองานล่าสุดของผู้กำกับ ฮันแจริม (จาก The Face Reader) ที่เขาเผยว่า เขียนบทไว้ตั้งแต่ก่อนโควิดจะเริ่ม แต่ไปๆมาๆพอหนังเริ่มถ่ายทำไปแล้ว โควิดก็มาพอดี ซึ่งมีอะไรหลายอย่างที่ตรงกับในหนังอย่างไม่ได้ตั้งใจ !Emergency Declaration เล่าถึงหายนะที่เกิดขึ้นบนเที่ยวบิน จากกรุงโซล มุ่งหน้าสู่ฮาวาย เมื่อมีผู้โดยสารคนหนึ่งเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้โดยสารทุกคน และเมื่อเหตุการณ์เหนือการควบคุม กัปตันจึงต้องประกาศเหตุฉุกเฉินเพื่อขอลงจอดในสนามบินที่ใกล้ที่สุด แต่ปัญหาใหญ่คือ อันตรายที่อยู่บนเครื่องบิน อาจสร้างหายนะให้กับผู้คนข้างล่างได้เมื่อมันแลนดิ้ง เลยสร้างความกังวลให้กับทุกฝ่าย เพราะหายนะบนเครื่องบิน อาจกลายเป็นหายนะของคนทั้งโลก !นี่คือหนังแอ็กชันระทึกขวัญที่จะทำให้ผู้ชมนั่งไม่ติดเก้าอี้ของจริง หนังใช้เวลาช่วงแรกในการค่อยๆแนะนำแต่ละตัวละครที่สำคัญ ทั้งบนเครื่องบิน เริ่มจากตัวละครของ อีบยองฮอน (จาก Mr.Sunshine) ที่รับบทคุณพ่อที่ต้องพาลูกสาวบินไปฮาวายเพื่อรักษาโรค แต่กลับเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดเสียก่อน โดย คิมนัมกิล (จาก Pandora) รับบทกัปตันที่ต้องทำการตัดสินใจประกาศ Emergency Declaration เพื่อให้เครื่องบินลงจอดฉุกเฉิน ในขณะเดียวกันฝั่งภาคพื้นดิน ก็มีตัวละครของ ซงคังโฮ (จาก Parasite) เป็นตำรวจฝีมือเยี่ยมที่ต้องทำทุกทางเพื่อช่วยภรรยา ซึ่งอยู่บนเครื่องบินไฟลต์นรกเช่นเดียวกัน โดยการตัดสินใจทั้งหมด เกิดขึ้นกับตัวละครของ จอนโดยอน (จาก Untold Scandal) ในบทรัฐมนตรีคมนาคม ที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินนี้หนังใช้เวลาบิลด์เรื่องพอสมควร ทั้งในส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนฟ้า และเหตุการณ์บางอย่างที่เกี่ยวข้องด้านล่าง ทำให้ผู้ชมค่อยๆซึมซับอารมณ์ ค่อยๆบิลด์ความตื่นเต้น จนกระทั่งพีกขั้นสุดในช่วงแรกเมื่อหายนะได้เกิดขึ้น ชั่วโมงแรกของ Emergency Declaration หนังทำได้อย่างเยี่ยมยอดที่ทำให้เราลุ้นในแทบทุกนาที และรู้สึกไม่น่าไว้วางใจตลอดเวลาเมื่อหายนะเกิดขึ้น ลากยาวไปจนถึงช่วงครึ่งหลัง ที่ตรึงอารมณ์ผู้ชมไว้ได้ตลอด ความตื่นเต้นไม่ได้ลดระดับลงเลย แม้บางช่วงจะอารมณ์ดร็อปลงบ้าง เพราะสถานการณ์เหมือนจะเบาบางลง แต่หนังก็กระหน่ำวิกฤตใส่เข้ามาเรื่อยๆ ให้ผู้ชมแทบจะไม่ได้พักกันเลยทีเดียว นอกจากลุ้นในฝากของฉากตื่นเต้นแล้ว ในพาร์ทดราม่าที่เกี่ยวกับตัวละคร และการตัดสินใจ ถือว่าทำได้ดี เมื่อผู้ชมดูหนังไปซักพัก และเริ่มอินกับเรื่อง พอพาร์ทดราม่ามาถึง มันก็ทำงานได้ในจังหวะที่พอเหมาะถ้าจะมีอะไรให้รู้สึกว่าหนังบกพร่องสำหรับ Emergency Declaration ก็น่าจะเป็นเรื่องความยาว ที่ยาวถึง 2.30 ชั่วโมง อาจจะมีบางช่วงที่สามารถตัดออกเพื่อให้หนังกระชับและเข้มข้นกว่านี้ได้ โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่อง ที่มีกลิ่นอายของหนังแนวสืบสวนสอบสวนเข้ามา ทำให้ความรู้สึกลุ้นไปกับตัวละครลดลงไปเล็กน้อย ก่อนที่จะกลับมาบิลด์หนักอีกครั้งในช่วงองก์สุดท้าย และในช่วงท้ายที่หนังค่อนข้างใช้เวลากับบทสรุปที่ค่อนข้างนาน ในแง่ดีมันก็ทอดอารมณ์ให้ผู้ชมยังคงอินกับหนังได้อย่างเต็มอิ่ม แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกว่ามันสามารถย่อให้สั้นลงได้อีกในฐานะหนังหายนะบนเครื่องบินเรื่องแรกของเกาหลี ต้องบอกว่า Emergency Declaration ตั้งมาตรฐานไว้ค่อนข้างสูง หลายฉากทำให้ผู้ชมตรึงอยู่กับที่นั่งด้วยความระทึก ยิ่งฉากที่โปรโมตกัน เรื่องของเครื่องบินที่หมุน 360องศา ซึ่งหนังใช้เครื่องบินจริง มาตัดเป็นท่่อน แล้วหมุนจริง นักแสดงอย่าง อีบยองฮอน ก็นั่งอยู่บนเครื่องที่หมุนจริงด้วย พอมาดูเต็มๆในหนัง ทำให้ภาพที่ออกมาสมจริงมากๆ นอกจากนี้ต้องชื่นชมทีมนักแสดงทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นกลาง รุ่นเล็ก นำทีมโดย ซงคังโฮ, อีบยองฮอน และจอนโดฮยอน ทำได้ดีมากๆเลย โดยเฉพาะ 3 ตัวหลักที่เอ่ยไป มีแง่มุมของตัวละครที่นักแสดงถ่ายทอดออกมาอย่างพอเหมาะ นี่เป็นอีกครั้งที่หนังเกาหลีก้าวไปข้างหน้าอีกสเต็ป และดูเหมือนว่าจะไม่แผ่วลงมาง่ายๆ ใครที่ชอบหนังตื่นเต้น บีบหัวใจ น่าตีตั๋วขึ้นไปคลั่งกันบนเที่ยวบินไฟลต์นี้มากๆปล. หนังเข้าฉายในระบบ 4DX ด้วย และดูเหมือนว่าจะมีหลายฉากที่ออกแบบมาเพื่อระบบนี้ โดยเฉพาะ ยิ่งฉากที่ระทึกที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินทั้งหมด ระบบ 4DX ช่วยเพิ่มอรรถรสได้อย่างมาก จนบางจุดให้อารมณ์คล้ายกับนั่งเครื่องบินจริงๆ ที่กำลังประสบปัญหาเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับหนังหลายๆเรื่องก่อนหน้านี้ที่ฉายในระบบนี้ Emergency Declaration ถือว่ามีเอฟเฟคที่แรงทีเดียว อาจจะไม่ได้ถี่ตลอดเวลา แต่เมื่อไหร่ที่เอฟเฟคมาก ถึงขั้นตอนจับตรงที่กั้นระหว่างเก้าอี้เลยทีเดียวชมตัวอย่าง Emergency Declaration ไฟลต์คลั่ง ฝ่านรกชีวะภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

[REVIEW] ‘Plane’ หนังแอ็กชันสายเดือด เครื่องบินดิ่งบนเกาะนรก| GOSSIP GUN

20 ม.ค. 2023

[REVIEW] ‘Plane’ หนังแอ็กชันสายเดือด เครื่องบินดิ่งบนเกาะนรก| GOSSIP GUN

เจอราร์ด บัตเลอร์ ถือเป็นพระเอกสายบู๊ที่ยังคงแอคทีฟต่อเนื่อง ไม่มีช่วงที่ไม่มีหนังเขาเข้าฉายเลย แต่ในแง่กระแสตอบรับ ก็มีทั้งหนังเจ๋งและหนังเจ๊งสลับกันไป แต่กับผลงานล่าสุดที่ชื่อสั้นๆอย่าง Plane (ชื่อไทย ดิ่งน่านฟ้า เดือดเกาะนรก) ต้องจัดเข้าสู่กลุ่มแรก เพราะหนังสามารถกวาดคะแนนผู้ชม Audience Score ไปได้สูงถึง 94% จากเว็บไซด์ Rotten Tomatoes ในขณะที่คะแนนนักวิจารณ์ก็ปาเข้าไป 75% ถือว่าเยอะมากจริงๆ สำหรับพระเอกสายบู๊คนนี้ เพราะโดยปกติหนังของเขาจะถูกจัดเข้าสู่กลุ่มมะเขือเน่ามากกว่า ทำให้ Plane กลายเป็นหนังแอ็กชันสุดเซอร์ไพรส น่าจะตามองเรื่องแรกของปี 2023แน่นอนว่า Plane ต้องเล่าถึงเครื่องบิน โดยเจอราร์ดรับบทเป็นกัปตันโบรดี้ ที่กำลังขับเครื่องบินไฟลต์ข้ามปีใหม่ จากสิงคโปร์มุ่งหน้าสู่โตเกียว ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติราบรื่นดี จนกระทั่งวิกฤตแรกเขาพบว่า เที่ยวบินนี้จะมีนักโทษคดีฆาตกรรมพร้อมผู้คุมมาร่วมเดินทางไปด้วย วิกฤตที่สอง ในขณะที่เขากำลังบินผ่านเหนือทะเลจีนใต้ ก็เกิดสภาพอาการแปรปรวนขึ้นทำให้เขาต้องนำเครื่องลงในพื้นที่ที่ใกล้ที่สุด และวิกฤตสุดท้าย คือการที่เขาได้ค้นพบว่า เกาะที่พวกเขาแลนดิ้งนั้น อยู่ในฟิลิปปินส์ แต่ถูกควบคุมโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนติดอาวุธ ที่แม้แต่รัฐบาลก็ไม่อยากยุ่ง เขาและเหล่าผู้โดยสาร จึงเสี่ยงที่จะถูกจับเป็นตัวประกัน กัปตันเจอราร์ด จึงต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องคนของเขา ซึ่งนั่นรวมถึงการที่จะต้องร่วมมือกับนักโทษบนเครื่อง ที่เป็นอดีตทหารฝีมือฉกาจภาพรวมนั้น Plane มีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับหนังแอ็กชันในแบบที่ควรจะเป็น พล็อตที่สามารถไต่ระดับความตื่นเต้น รักษาบรรยากาศสุดระทึกได้ตลอดเวลา ฉากแอ็กชันที่ดุเดือดสมจริง ตัวร้ายที่น่าเกรงขาม เริ่มจากฉากใหญ่ฉากแรกคือฉากเครื่องบินที่ต้องเผชิญมรสุมและต้องหาทาลงจอดฉุกเฉินให้ได้ หนังสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริง จนใครที่กลัวการขึ้นเครื่องบิน อาจจะหลอนกับฉากนี้ก็ได้ ต่อด้วยฉากแอ็กชันต่างๆบนเกาะที่เข้มข้นถึงใจ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว มีฉากที่พระเอก เจอราร์ด บัตเลอร์ สู้กับตัวร้ายแบบ Long Take ซึ่งเจ๋งมากๆ ฉากการใช้อาวุธปะทะกันที่โหดแบบไม่เกรงใจใครนอกจากนี้ Plane ยังมีองค์ประกอบอื่นๆที่น่าสนใจ ทำให้หนังสนุกแบบครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ขันที่ใส่เข้ามา มาได้ถูกจังหวะถูกที่ และสามารถเรียกเสียงหัวเราะได้บ่อยมากๆ การออกแบบตัวละครของ เจอราร์ด ให้ไม่ได้เก่งกาจเหนือมนุษย์มากนัก ทำให้หนังยิ่งสมจริง ดูพระเอกสูสี หรืออาจจะอ่อนด้อยกว่าบรรดาตัวร้ายด้วยซ้ำ ยิ่งทำให้ผู้ชมอินกับหนังและเอาใจช่วยตัวละครหลักมากขึ้น รวมถึงการที่หนังเรื่องนี้ แทบจะไม่มีตัวละครที่ชวนขัดใจ หรือบทที่งี่เง่าเลย ยิ่งทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกขัดอะไรกับหนัง สามารถเอ็นจอยไปได้ตลอดจนจบในแบบที่ไม่มีอะไรให้หงุดหงิด (ซึ่งหลายครั้งที่หนังแนวนี้ หรือหนังผี จะมีอะไรให้หงุดหงิดเสมอ)สรุปแล้ว Plane ถือเป็นหนังแอ็กชันฟอร์มกลางๆที่ทำถึง และสนุกแบบครบถ้วนมากๆ ถ้าชอบหนังแอ็กชันในสไตล์แบบยุค80s-90s น่าจะชอบเรื่องนี้ มันมีความโหดเหี้ยมในฉากแอ็กชันแบบเดียวกับ Rambo มันมีอารมณ์บางอย่างที่คล้ายกับหนังอย่าง Con Air และอีกหลายๆเรื่อง ถือเป็น 2 ชั่วโมงที่บันเทิงมากๆ และน่าดูในโรงภาพยนตร์จริงๆPlane เปิดรอบพิเศษหลัง 1 ทุ่มตั้งแต่วันนี้ ฉายจริง 26 มกราคมทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

[REVIEW] “A Man and A Woman จูบนั้นฉันจำไม่ลืม” บีบหัวใจขั้นสุดกับรักที่เป็นไปไม่ได้ | GOSSIP GUN

08 ก.พ. 2022

[REVIEW] “A Man and A Woman จูบนั้นฉันจำไม่ลืม” บีบหัวใจขั้นสุดกับรักที่เป็นไปไม่ได้ | GOSSIP GUN

วาเลนไทน์นี้ อยู่ๆก็มีหนังรักของ กงยู เข้ามาให้ได้ดูกันในโรง อันที่จริงแล้วA Man and A Womanหนังที่ออกฉายในเกาหลีเมื่อหลายปีก่อน แต่คนไทยอาจจะยังไม่ค่อยได้ดูกันในวงกว้าง เนื่องจากตอนนั้นยังไม่มีค่ายหนังใดซื้อสิทธิ์เข้ามาอย่างเป็นทางการ จนกระทั่งล่าสุด มงคลซีนีม่า หยิบหนังมาให้ได้ดูกัน ซึ่งA Man and A Woman (หรือชื่อไทยว่า จูบนั้นฉันจำไม่ลืม)เป็นผลงานของ ลียุนกิ ผู้กำกับจากCome Rain, Come Shineซึ่งในเรื่องนี้เขาได้กลับมาร่วมงานกับนางเอกฝีมือเยี่ยม จอนโดฮยอน ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วในMy Dear Enemyซึ่งผลงานชิ้นใหม่ของทั้งคู่ไม่ธรรมดา เพราะบินไปถ่ายทำกันไกลถึงฟินแลนด์เลยทีเดียวจอนโดฮยอน รับบท ซังมิน คุณแม่ที่ต้องแบกภาระเลี้ยงดูลูกชายที่ป่วยเป็นเด็กพิเศษ ทำให้เขาต้องเข้าโรงเรียนพิเศษที่ฟินแลนด์ ในขณะที่เธอไปส่งลูกเพื่อไปเข้าค่าย ทำให้เจอกับ กีฮง(รับบทโดย กงยู)คุณพ่อที่มีลูกสาวเป็นเด็กพิเศษเช่นกัน ด้วยความเป็นห่วงลูกทำให้ ซังมินกล้าชวนคนแปลกหน้า ขับรถข้ามเมืองไปหาลูกที่แคมป์ แต่พวกเขากลับเจอพายุหิมะ ทำให้ต้องเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง และด้วยบรรยากาศความเหงา ปัญหาชีวิตที่ต่างรุมเร้า ทำให้คนทั้งสองได้สัมผัสไออุ่นรักซึ่งกันและกัน นำไปสู่ความสัมพันธ์ที่เกินเลย และแม้ทั้งสองจะจากกันไป แต่ความทรงจำครั้งนี้ยากที่จะลืมเลือน จนกระทั่งทั้งคู่ได้กลับมายังเกาหลี และได้พบหน้ากันอีกครั้งก่อนดูA Man and A WomanแอบนึกถึงThe Bridge of Madison Countyมาก่อนเลยหลังจากอ่านพล็อตจบ ด้วยความที่หนังฮอลลีวูดเมื่อปี1995ของ คลินต์ อีสต์วูด และเมอรีล สตรีป ขึ้นแท่นหนังรักต้องห้ามที่ตราตรึงใจผู้ชมมานานแสนนาน และด้วยบทสรุปที่เจ็บปวดหัวใจขั้นสุด แต่ถ้าจะถึงขั้นเอามาเทียบกันอาจจะไม่ได้ เพราะหนังสองเรื่องตามมีจังหวะในการเล่าที่ต่างกัน ด้วยความเป็นเกาหลีและฮอลลีวูด แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แทบจะไม่แตกต่างกันเลย คือความบีบหัวใจของหนังทั้งสอง ผู้ชมรู้ตั้งแต่นาทีแรกอยู่แล้ว ว่าความรักของพวกเขาคือความรักต้องห้าม แม้มันจะเกิดในช่วงเวลาที่ทั้งสองอ่อนแอ ต้องการใครสักคน แต่ด้วยภาระและความผูกพันที่มีต่อครอบครัว ทำให้มันเป็นไปไม่ได้A Man and A Womanค่อยๆเล่าเรื่องด้วยการพาเราค่อยๆรู้จักชีวิตของ ซังมิน และกีฮง มากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เราได้เห็นจังหวะความรักของทั้งสอง ที่ค่อยๆเพิ่มขึ้น จนกระทั่งไปถึงระดับคลั่งรัก ผู้ชมก็จะได้เห็นข้อแม้ในชีวิตทั้งสองมากขึ้นเช่นกัน ทั้งภาระเรื่องงาน และที่สำคัญคือครอบครัว คู่ชีวิตของทั้งสองเป็นอย่างไร ทายาทของทั้งคู่เป็นอย่างไร ยิ่งเวลาในหนังดำเนินไป ผู้ชมจะยิ่งปวดใจมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งในฉากที่ทั้งสองตัวละครอินเลิฟขั้นสุด ในเวลาเดียวกันเชื่อว่าผู้ชมก็บีบหัวใจไปพร้อมๆกัน เพราะเราต่างรู้ดี เช่นเดียวกันตัวละครในหนังว่า ท้ายที่สุดมันคือความรักที่ไม่ถูกต้องแน่นอนว่าการแสดงของสองนักแสดงนำคือไฮไลต์สำคัญของหนัง กงยูเรื่องนี้คลั่งรักขั้นสุด(เหมือนเราไม่ค่อยได้เห็นกงยูในโหมดนี้เท่าไหร่นักในยุคหลังๆ)หลายฉากพระเอกอินเลิฟจนผู้ชมแทบจะเขินตามเลยทีเดียว ส่วน จอนโดฮยอน ถ่ายทอดบทบาทผู้หญิงที่แบกภาระอันหนักอึ้งไว้ได้อย่างดี ถ่ายทอดอารมณ์อันซับซ้อน จนผู้ชมสัมผัสได้ถึงทั้งความสุขและความทุกข์ที่เธอต้องเผชิญไปพร้อมๆกัน นอกจากนี้ ฉากไฮไลต์ที่หลายคนกล่าวถึงคือฉากเลิฟซีน ซึ่งกล่าวกันตรงๆว่า ก็ไม่ได้หวือหวาระดับ18+อย่างที่โปรโมต แต่ความร้อนแรงนั้นมาสุด ผู้ชมสัมผัสได้ถึงPassionของสองตัวละคร ฉากของทั้งคู่ร้อนฉ่าจนสามารถแซวได้ว่าหิมะรอบๆตัวแทบจะละลายเลยทีเดียว(ให้8คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] ‘SMILE’ เมื่อรอยยิ้มฆ่าคนตาย หนังสยองสุดตึงเครียด | GOSSIP GUN

27 ก.ย. 2022

[REVIEW] ‘SMILE’ เมื่อรอยยิ้มฆ่าคนตาย หนังสยองสุดตึงเครียด | GOSSIP GUN

จุดเริ่มต้นของหนังสยองขวัญแห่งปีอย่าง Smile เกิดขึ้นจากหนังสั้น Laura Hasn't Slept ของ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ ที่คอนเซปต์เจ๋งและสยดสยอง จนถูกใจผู้บริหารของค่ายพาราเมาต์ พิคเจอร์ หนังจึงถูกหยิบมาพัฒนาเป็นหนังใหญ่ โดย ปาร์กเกอร์ ฟินน์ กลับมาสานต่อความหลอนจากหนังสั้นของเขาเอง รับหน้าที่เป็นผู้กำกับหนังใหญ่ครั้งแรก สำหรับ Smile ฉบับยาว เล่าถึง ดร.โรส (รับบทโดย โซซี เบคอน จากซีรีส์ 13 Reasons Why) จิตแพทย์หญิงที่เพิ่งเผชิญเหตุการณ์สุดสยอง เมื่อคนไข้ของเธอฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตา ก่อนตายคนไข้คนนี้คลั่งและบอกว่า มีสิ่งลึกลับที่มีรอยยิ้มไล่ตาม ดร.โรส ยิ่งสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงเริ่มสืบและพบว่า มีคนตายจากรอยยิ้มในลักษณะเดียวกันกว่า 20 คนแล้ว และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ ดูเหมือนว่าคำสาปสุดอาถรรพ์นี้กำลังไล่ตามเธอเช่นกัน !สิ่งที่ทำให้ Smile มีเอกลักษณ์และแตกต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นๆ คือ คอนเซปต์ ที่หยิบรอยยิ้มมาทำให้กลายเป็นความหลอน แม้เราอาจจะเห็นรอยยิ้มแบบหลอนๆในหนังมากมาย (อาทิ Joker และ Stephen King's It) แต่มันไม่เคยถูกหยิบมาเป็นแกนหลักของเรื่องอย่างจริงจัง บวกกับเส้นเรื่องในสไตล์การแก้คำสาป แบบเดียวกับ The Ring ที่ดูเหมือนจะไม่ได้เห็นกันมาสักพักใหญ่แล้ว ทำให้ Smile มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย และหนังยังมีกลิ่นอายแบบ It Follows หนังเขย่าขวัญที่ทำให้คนยืนนิ่งๆดูน่ากลัวได้ เรื่องนี้มีสไตล์คล้ายๆกัน แต่เพิ่มรอยยิ้มเข้าไป ทำให้ระหว่างดูหนัง แม้แต่คนที่ยืนยิ้มนิ่งๆ ยังชวนขนลุกได้ หนังทำให้เราผวาในแบบที่ไม่คาดคิดได้จริงๆนอกจากจะเป็นหนังสยองขวัญ อันที่จริงแล้ว Smile มีความเป็นหนังจิตวิทยาที่ชัดเจนมาก เพราะหนังเล่นกับตัวละครหลักคือ ดร.โรส ซึ่งเป็นจิตแพทย์ แต่อันที่จริงแล้วเธอเองก็เคยเผชิญปัญหาทางจิตมาก่อน และยิ่งมาเจอกับเหตุการณ์หลอนที่หาทางออกไม่ได้แบบนี้ ยิ่งทำให้เธอสติแตกไปกันใหญ่ ความเก่งกาจของหนัง คือการทำให้ผู้ชมตึงเครียด และเหมือนจะประสาทแดกแบบนางเอกได้เหมือนกัน เมื่อหนังยิ่งดำเนินไป ข้อแม้ต่างๆของหนัง ปมคำสาปจากรอยยิ้ม มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ การผูกปมของหนังมันเลยยิ่งแน่นขึ้นไปอีก นั่นทำให้ Smile กลายเป็นหนังสยองขวัญที่บีบหัวใจของคุณช้าๆ แต่เมื่อถึงจุดพีกแล้ว มันยิ่งบีบหัวใจขั้นสุดในส่วนของงานโปรดักชันส่งเสริมความสยองของหนังได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเสียงประกอบ ที่หลอนจับใจ การเคลื่อนกล้องที่หลายครั้งเลือกใช้ภาพกลับหัว สไตล์การตัดต่อ การเชื่อมโยงแต่ละฉาก หลายครั้งที่โฉ่งฉ่าง ทำให้ผู้ชมกระตุกได้เหมือนกัน และการบิลด์ผู้ชมด้วยความสยองในแบบ Jump Scare หนังใช้วิธีนี้ค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่กระนั้นต้องชื่นชมผู้กำกับ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ ที่ให้ฉากหลอกเหล่านี้ ดูมีรสนิยม เป็นการหลอกให้เราตกใจ แบบที่น่าสนใจ ไม่ได้ให้สิ่งลึกลับโผล่มาทื่อๆ อย่างไร้ที่มาที่ไปแต่อย่างใด โดยรวม Smile จึงกลายเป็นหนังสยองขวัญอีกเรื่องของปี 2022 ที่ทำได้ดีเกินคาดจริงๆ ใครที่อยากสัมผัสความหลอน ความตึงเครียด ลองชมหนังเรื่องนี้กันดู 29 กันยายนนี้ในโรงภาพยนตร์ชมตัวอย่าง Smile ยิ้มสยอง สัปดาห์นี้ทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

album

0
0.8
1