[REVIEW] “The Batman” นี่คือหนังอาชญากรรมชั้นเลิศในคราบซูเปอร์ฮีโร่ | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “The Batman” นี่คือหนังอาชญากรรมชั้นเลิศในคราบซูเปอร์ฮีโร่ | GOSSIP GUN

04 มี.ค. 2022

ไม่ใช่งานง่ายที่จะต้องทำหนังแบทแมนต่อจากความสำเร็จของไตรภาค The Dark Knight ที่ คริสโตเฟอร์ โนแลน สร้างมาตรฐานไว้สูงลิบ อันที่จริงโปรเจกต์หนังเดี่ยวของแบทแมน เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ สมัย เบ็น แอฟเฟล็ค สวมบทบาทใน Batman V Superman แล้ว แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริงเสียที จนกระทั่งโปรเจกต์ถูกส่งต่อให้กับ แมตต์ รีฟส์ แห่ง Dawn of Planet of the Apes และ Cloverfield ซึ่งเขามองแบทแมนในทิศทางที่ต่างจากเดิม บรู๊ซ เวย์น ในฉบับของเขายังไม่ใช่แบทแมนที่เต็มตัวนัก และเพิ่งเข้าสู่โลกแห่งอาชญากรรมในเมืองก็อตแธม โดยหนังเรื่องนี้จะเป็นฐานะแบบ Stand Alone คือไม่เกี่ยวโยงกับตัวละครอื่นๆในจักรวาล DC เลย แบทแมนฉบับนี้จะเล่าถึงเขาในด้านของชายที่ผ่านโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ และทำให้กลายเป็นคนสันโดษ จะไม่ได้เห็นบรู๊ซอยู่ในแมนชั่นสุดหรู แต่กลับเป็นคฤหาสน์ที่สุดโทรม

รีฟส์เลือก โรเบิร์ต แพททินสัน มารับบท บรู๊ซ เวย์น ในวัย 30 ต้นๆ เขาเพิ่งกลายเป็นแบทแมนได้เพียง 2 ปีเท่านั้น ดังนั้นอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆจะยังไม่ค่อยมีเท่าไหร่ แม้แต่มุมเพลย์บอยของเขาก็ถูกตัดออกจากหนังฉบับนี้ เหตุการณ์ในหนัง The Batman เริ่มต้นขึ้น เมื่อผู้สมัครนายกเทศมนตรีแห่งมหานครก็อตแธมถูกฆาตกรรม ตามด้วยศพของผู้มีอำนาจอีกมากมาย ชายที่ก่อเหตุทิ้งคำใบ้ปริศนา พร้อมเอ่ยนามตัวเองว่า "เดอะริดเลอร์" (รับบทโดย พอล ดาโน) แบทแมนจึงต้องแท็กทีมกับ สารวัตรกอร์ดอน (รับบทโดย เจฟฟรี่ย์ ไรท์) ออกสืบสวนเกี่ยวกับคดี และฉีกหน้ากากของ เดอะริดเลอร์ ว่าเขาคือใครกันแน่ และเหตุการณ์ทั้งหมด โยงทำให้แบทแมนได้เจอกับ เซลิน่า ไคล์ (แคทวูเมน ที่รับบทโดย โซอี้ คราวิสต์) และเพนกวิน (ที่รับบทโดย โคลิน ฟาร์เรล ที่เมคอัพจนแทบจำไม่ได้)

การทำหนังเดี่ยวของ The Batman เลี่ยงไม่ได้ที่มันจะถูกนำไปเทียบกับหนังระดับตำนานอย่าง The Dark Knight อาจกล่าวได้ว่า นี่คือหนังแบทแมนที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เรื่องนั้น แต่ฉบับใหม่นี้ก็มาพร้อมกับโทนและทิศทางที่แตกต่าง มีส่วนผสมของความเป็นหนัง ฟิล์มนัวร์-อาชญากรรม ในแบบ Se7en หรือ Zodiac ของ เดวิด ฟินเชอร์ มีกลิ่นอายของหนังแก็งสเตอร์จากช่วงยุค 90s จนถึงบางจุดมีกลิ่นของหนังเขย่าขวัญนิดๆ (โดยเฉพาะฉากเปิด) ทำให้ Mood & Tone ฉีกจากหนังของโนแลนไปอีก เป็น The Batman ในแบบของตัวเอง มีความดาร์กในอีกสไตล์ แม้มันจะคล้ายกับงานของ ฟินเชอร์ก็ตาม ซึ่งรีฟส์น่าจะได้รับแรงบันดาลใจอยู่ไม่น้อย เพราะเขาเองก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขายึดโทนหนังจากเพลงของ Nirvana (และเอาเพลงมาใส่ในหนังด้วย)

ไฮไลต์สำคัญของ The Batman คือทีมนักแสดงที่แต่ละคนท็อปฟอร์มในฉบับของตัวเอง โรเบิร์ต แพททินสัน ในยามที่ใส่หน้ากากเป็นแบทแมนเต็มตัว เขาดูดุดัน ดูน่าค้นหา ดูลึกลับ น่าสนใจมากๆ น่าสนใจจนเมื่อเป็น บรู๊ซ เวย์น ยามที่ถอนหน้ากาก ดูไม่น่าดึงดูดเท่าไหร่นัก ดูเป็น บรู๊ซ เวย์น ที่คาแรคเตอร์เบาไปนิด ในขณะที่ โซอี้ คราวิสต์ ทำได้ดีเกินคาดกับบท เซเลน่า ตั้งแต่ซีนแรกที่เธอปรากฏตัว ดูเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์ สวยจิกกล้องแทบทุกซีนจริงๆ และเคมีของเธอและแพททินสัน เข้ากันอย่างมาก แต่ที่เซอร์ไพรสสุด คือ พอล ดาโน ในบทเดอะริดเลอร์ ที่ซับซ้อน และน่าสะพรึงอย่างถึงขีดสุด ในขณะที่ เดอะเพนกวิน ของ โคลิน ฟาร์เรลล์ ดูเป็นมาเฟียที่ตอนแรกเหมือนจะไม่มีอะไร แต่หนังค่อยๆสร้างสตอรี่ให้กับตัวละครมากขึ้นเมื่อดำเนินไป อย่างไรก็ตาม เมคอัพของตัวละครเขา แอบเบี่ยงเบนความสนใจ จากการแสดงของ ฟาร์เรลล์ ไปพอสมควร

The Batman มาพร้อมกับงานสร้างที่ประณีตขั้นสุด โดยเฉพาะการออกแบบงานสร้างเมืองก็อตแธม ที่เวอร์ชั่นนี้ดูโสมมและแฝงด้วยความเลวร้ายในทุกมุม ยิ่งสร้างบรรยากาศความฉ้อฉลเสริมกับพล็อตเรื่องที่คอรัปชันแฝงอยู่ในทุกระดับของเมืองได้อย่างดี บวกกับดนตรีประกอบสุดบีบอารมณ์ ทุกซีนที่เพลงธีมของ เดอะแบทแมน ถูกบรรเลงในหนังมันบีบหัวใจอยู่ไม่น้อย ยิ่งถ้าได้ดูในโรงที่เสียงกระหึ่ม กลายเป็นว่า ดนตรีประกอบ แทบจะไม่ถูกกลบหายไปเลย เป็นอีกหนึ่งพระเอกที่ชูหนัง และชูความเป็นแบทแมนให้เด่นชัดและหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ

ปัญหาหลักสำหรับ The Batman ฉบับนี้คือความยาวที่อีกเพียงไม่กี่นาทีจะแตะหลัก 3 ชั่วโมง และจังหวะการเล่าเรื่องที่ค่อยเป็นค่อยไป ดั่งหนังสืบสวนที่เน้นบรรยากาศที่คลุมเครือหม่นหมอง ฉากแอ็กชันของหนังก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่อย่างไรก็ตาม The Batman สามารถตรึงผู้ชมให้อยู่กับหนังได้ทุกขณะ แทบจะไม่มีฉากไหนที่ไม่จำเป็นเลย มันเหมือนชิ้นส่วนของจิกซอว์ที่ค่อยๆต่อแล้วเผยให้เห็นภาพที่ใหญ่ของเรื่องราวได้ ดังนั้น เข้าห้องน้ำให้พร้อมก่อนไปชม แล้วคุณจะได้สัมผัส The Batman ในฉบับที่ไม่ซ้ำกับเวอร์ชันไหนๆอย่างแน่นอน


(ให้ 9 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน)

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “House of Gucci” มหากาพย์เลือดข้นคนกุชชี การแสดงฟาดหนัก | GOSSIP GUN

19 ม.ค. 2022

[REVIEW] “House of Gucci” มหากาพย์เลือดข้นคนกุชชี การแสดงฟาดหนัก | GOSSIP GUN

นี่คือหนังอาชญากรรมกึ่งชีวประวัติที่เต็มไปด้วยแง่มุมที่ดึงดูดผู้ชม เริ่มจากพล็อตที่โคตรหวือหวา สร้างจากคดีจริงเบื้องลึกตระกูลดังแห่งแวดวงแฟชั่นอย่าง กุชชี แบรนด์เนมชื่อก้องโลก เรื่องราวความรัก การแย่งชิงอำนาจ นำไปสู่โศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครคาดคิด ซึ่งประเด็นเหล่านี้ ดึงดูดผู้กำกับชั้นครู อย่าง ริดลีย์ สก็อตต์(จากAlienและGladiator)ให้สนใจอยากสร้างเป็นหนังนานนับทศวรรษแล้ว แต่กว่าจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ก็คือไม่นานมานี้ และตัวเลือกของริดลีย์สำหรับบทนำนี่เอง ที่ทำให้หน้าหนังของHouse of Gucciอิมแพคยิ่งกว่าหนังดรามาเรื่องไหนๆ เพราะเขาเลือก เลดี้ กาก้า ที่ปังสุดๆ จากบทนำครั้งแรกในA Star is Bornมารับบทนำเป็นครั้งที่2แล้วแวดล้อมด้วยนักแสดงเบอร์เทพ ระดับ อัล ปาชิโน,เจเรมี่ ไอรอนส์,อดัม ไดรเวอร์ และจาเรด เลโต้ และรายหลังนี่เองที่สร้างความปังขั้นสุด ด้วยการแปลงโฉมเพื่อแสดงในหนัง จนแทบจะไม่มีใครจำได้!ในHouse of Gucciหนังพาผู้ชมย้อนกลับไปสมัยปลายยุค70sเล่าถึง แพทริเซีย(รับบทโดย เลดี้ กาก้า)หญิงสาวธรรมดาๆที่ฝันไกลอยากไต่เต้าเป็นมหาเศรษฐี จนกระทั่งเธอได้รู้จัก มัวริซิโอ้(รับบทโดย อดัม ไดรเวอร์ จากStar Wars : The Force Awakens)ทายาทตระกูลกุชชี่ ซึ่งตอนแรกเจ้าตัวแทนจะไม่สนใจธุรกิจของครอบครัว แต่ความรักของทั้งสองกลับขัดใจ โรดอฟโฟ(รับบทโดย เจเรมี่ ไอรอนส์)พ่อของเขา ทำให้มัวริซิโอ้ เริ่มไปสนิทกับคุณลุง(ซึ่งรับบทโดย อัล ปาชิโน)อีกหนึ่งหุ้นส่วนสำคัญของ กุชชี่แทน และเขานี่เองที่พยายามผลักดันและเชื้อเชิญให้ มัวริซิโอ้กลับมาสานต่อธุรกิจให้ครอบครัว ซึ่งแพทริเซียก็เห็นด้วยตามนั้น เพราะลูกชายแท้ๆของลุง(รับบทโดย จาเรด เลโต้ ที่แปลงโฉมอย่างหนัก)ไร้พรสวรรค์เกินกว่าจะทำงานด้านแฟชั่นได้ แม้ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ซึ่งทั้งหมดเริ่มค่อยๆนำไปสู่ปมบาดหมางในครอบครัว ความทะเยอทะยานของแพทริเซียค่อยๆล้ำเส้น เกินกว่าใครจะคาดเดาไฮไลต์ที่ทำให้ผู้ชมเพลิดเพลินมากที่สุดกับHouse of Gucciคือการฟาดฟันกันของเหล่านักแสดงที่เล่นดีกันแบบยกแผง ไม่มีใครดร็อปกว่าใครเลยจริงๆ ใจจริงเป็นห่วง เลดี้ กาก้า มากที่สุด เพราะเธออยู่ท่ามกลางนักแสดงฝีมือฉกาจทั้งหมด แต่เธอก็สวมบท แพทริเซีย แบบสุดพลังเช่นกัน แม้ว่าหลายฉากอาจจะดูแสดงล้นไปนิดๆ แต่อินเนอร์สำหรับบทนี้มาเต็ม แทบจะเกินร้อยทำให้เธอไม่ได้จมหายไปกับหนัง แถมยังแสดงความรู้สึกของตัวละครออกมาได้มีพลังสุดๆ และที่สำคัญคือเคมีของเธอกับ อดัม ไดรเวอร์ เจ้าของบทสามี ที่แน่นอนว่ารายหลังไร้ข้อกังขาเรื่องฝีมือไปนานแล้ว แต่ยิ่งดูจะยิ่งสัมผัสได้ว่าสองตัวละครนี้ มันไปด้วยกันได้ดีมากๆจริงๆแต่ที่บียอนด์ยิ่งกว่า คือสามนักแสดงที่เหลือ อัล ปาชิโน กับ เจเรมี ไอรอนส์ คือไร้ข้อกังขา ทั้งสองแสดงพลังออกมาไม่แพ้หนังเรื่องไหนๆ ยิ่งอยู่ด้วยกันพลังยิ่งเพียบ แผ่รังสีจนสุด แต่สิ่งบียอนด์ในบียอนด์ ขโมยซีนไปจนหมดต้องยกให้ จาเรด เลโต้ ที่ดูกี่ฉากก็ไม่ชินและไม่เชื่อว่านี่คือเขา เพราะไม่เหมือน จาเรด เลโต้ที่ีเคยเห็นเลย เขากลายเป็นตัวละครนั้นได้แบบเต็มตัว เหลือเพียงแววตาที่เราคุ้นว่านี่คือจาเรดเท่านั้น ยิ่งฉากที่เขาเข้ากับ อัล ปาชิโน ซึ่งแสดงเป็นพ่อ ยิ่งเป็นฉากที่ละสายตาจากจอไม่ได้จริงๆ เคมีระหว่างพ่อลูกที่ทั้งรักทั้งเกลียดกันคู่นี้ มันสุด ซีนเหล่านี้คือสมบัติอันล้ำค่าของฮอลลีวู้ดมากๆแน่นอนว่าตัวพล็อตที่เลือกมาเล่า มันมีความเข้มข้นน่าติดตามอยู่แล้ว ปมขัดแย้งในครอบครัวที่นำไปสู่คดีอาชญากรรมมันสนุกมันชวนดึงดูดให้ลุ้นตาม แต่ปัญหาหลักของHouse of Gucciน่าจะเกิดจากจังหวะในการเล่าของ ริดลีย์ สก็อตต์ ที่ในเรื่องนี้เขาตัดสินใจเล่าตามลำดับเวลา และจังหวะค่อนข้างออกไปทางเรื่อยๆเรียงๆไปนิด ด้วยความยาวถึง2.40ชม.กลายเป็นว่าหนังยาวเกินความจำเป็น และแทบจะไม่ได้มี จุดฮุกให้ผู้ชมรู้สึกลุ้นตามเท่าไหร่นัก กลายเป็นนักแสดงแผดฝีมือขั้นสุด แต่ตัวการตัดต่อและเล่าเรื่อง กลับไม่ค่อยได้บิลด์ตามการแสดงเท่าไหร่ จึงน่าเสียดายพอสมควร(ให้7.5คะแนน จากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] 'Thor : Love and Thunder' โรแมนติกสมชื่อ สู่บทใหม่ของเทพเจ้าสายฟ้า | GOSSIP GUN

06 ก.ค. 2022

[REVIEW] 'Thor : Love and Thunder' โรแมนติกสมชื่อ สู่บทใหม่ของเทพเจ้าสายฟ้า | GOSSIP GUN

ในขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นอย่างIron ManและCaptain Americaประกาศจบการศึกษากันไปแล้ว ด้วยการมีหนังเดี่ยวคนละ3ภาค แต่Thorกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่คนแรกในจักรวาลมาร์เวล ที่มีหนังของตัวเองเป็นภาคที่4ได้ ด้วยหลายๆปัจจัย ทั้งในแง่ของตัวละครที่ยังสามารถเล่าในแง่มุมต่างๆได้อีกเพียบ ความเป็นเทพ การเดินทางข้ามจักรวาล ทำให้เรื่องราวของThorถูกเปิดกว้างยิ่งกว่า รวมถึงปมที่เกี่ยวกับตัวละครแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจน ฟอสเตอร์ อดีตแฟนสาวของเขา ที่ถูกทิ้งไปดื้อๆหลังจบภาค2ทำให้นี่อาจจะเป็นโอกาสที่จะมาสานต่อเรื่องราวให้สมบูรณ์ รวมถึงความสำเร็จของหนังภาคก่อนอย่างThor : Ragnarokที่ผู้กำกับ ไทก้า ไวติติ เข้ามาปรับMood Toneทำให้หนังสนุกขึ้นและฉูดฉาดขึ้น จึงน่าเสียดายที่หนังของThorจะจบแค่ไตรภาคแรกเท่านั้น ทั้งๆที่มันยังมีโอกาสไปต่อได้นำมาสู่Thor : Love and Thunderที่หยิบเรื่องราวของธอร์(รับบทโดย คริส เฮมเวิร์ธ)มาเล่าต่อหลังจากเหตุการณ์ในAvengers : Endgameเมื่อเขาได้ออกเดินทางไปทั่วจักรวาลพร้อมกับเหล่าGuardians of the Galaxyเพื่อช่วยเหลือใครก็ตามที่เดือดร้อน จนกระทั่งพวกเขาได้พบกับGorr The God Butcher (รับบทโดย คริสเตียน เบล)ชายที่คลั่งแค้น จนสาบานว่าเขาจะสังหารเหล่าทวยเทพให้หมดสิ้น เป้าหมายต่อไปของกอร์ คือนิวแอสการ์ด บ้านหลังใหม่ของชาวแอสการ์ดที่ตั้งอยู่บนโลกมนุษย์ ธอร์จึงต้องเดินทางกลับมาที่โลกอีกครั้งเพื่อปกป้องอดีตชาวเมืองของเขา และการกลับมาในครั้งนี้ทำให้เขาได้พบกับ เจน(รับบทโดย นาตาลี พอร์ตแมน อีกครั้ง)อดีตคนรักที่ตอนนี้เธอได้กลายเป็น ไมตี้ธอร์ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กลายเป็นหญิงพลังเทพแบบเดียวกับที่ธอร์เป็น และเมื่อแฟนเก่ามาอยู่ใกล้ๆกันแบบนี้ ความรู้สึกในอดีตของธอร์ จึงถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง!แน่นอนว่า เมื่อ ไทก้า ไวติติ กลับมานั่งแท่นผู้กำกับในภาคนี้ ภาพรวมของThor : Love and Thunderจึงมีบรรยากาศและสีสันใกล้เคียงกับThor : Ragnarokโดยเฉพาะอารมณ์ขันที่ถูกใส่เข้ามาเยอะยิ่งกว่าเดิม และการออกแบบงานสร้างที่ฉูดฉาดมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ละทิ้งความดราม่าที่หนักหน่วง การลงลึกไปสำรวจความรู้สึกของ ธอร์ หลังจากจบEndgameที่ดูเหมือนเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร้ทิศทางและเป้าหมายพอสมควร ในหนังภาคนี้ ธอร์จะได้สำรวจความรู้สึกตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความรัก ที่เขาเก็บมันไว้ในส่วนลึกนานถึง8ปี และในภาคนี้เขาก็ได้จะค้นหาเป้าหมายใหม่ในการใช้ชีวิต ซึ่งนั่นทำให้หนังในภาคนี้ อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ สำหรับไตรภาคต่อไปของThorก็เป็นอันได้ไฮไลต์ที่สำคัญมากๆสำหรับThor : Love and Thunderคือการกลับมาอีกครั้งของ นาตาลี พอร์ตแมน หลังจากไม่ปรากฏตัวในหนังภาคก่อนLove and Thunderทำให้เส้นเรื่อง ความสัมพันธ์ของ ธอร์และเจน สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น หลายประเด็นที่ถูกทิ้งไว้และยังไม่เคยเล่า ถูกหยิบมาเล่าให้คอมพลีต ยิ่งฉากโรแมนติกของ ธอร์และเจน ในภาคนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกว่ามันมีอารมณ์บางอย่างที่ขาดหายไปในThorภาคก่อน และกลับมาอยู่ในภาคนี้อีกครั้ง นอกจากนี้การปรากฏตัวของ ไมตี้ธอร์ ทำให้เส้นเรื่องของThor : Love and Thunderมีสีสันมากยิ่งขึ้น และทำให้เราได้เห็นอีกมุมของธอร์ หลังจากที่ภาคก่อน เน้นไปที่ประเด็นด้านครอบครัว ในภาคนี้ก็จะโฟกัสที่ความรักเป็นหลักอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ถือว่าเป็นหมัดเด็ดสำหรับThor : Love and Thunderคือการเข้าร่วมจักรวาลมาร์เวล ของ คริสเตียน เบล อดีตพระเอกแบทแมน ที่พลิกมารับบทร้ายแบบสุดขั้ว การแสดงของเบลทำให้ตัวละคร กอร์ เต็มไปด้วยความสยดสยอง ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวชวนขนลุก และบางซีนน่ากลัวยิ่งกว่าผีปรากฏตัวในหนังสยองขวัญเสียอีก แต่ในขณะเดียวกัน เบลก็ใส่มิติ ความลึกของตัวละครเข้าไป กอร์ มีที่มาที่ไป ก็น่าเห็นใจอย่างมาก อะไรที่เปลี่ยนให้เขากลายเป็นปีศาจที่เต็มไปด้วยความแค้น นี่ไม่ใช่ตัวร้าย ที่คลั่งอำนาจ แต่กลับคลั่งแค้นด้วยความไร้เมตตาที่เขาได้รับ เบลเล่นดีจนกระทั่งอยากให้ กอร์ เป็นตัวร้ายใหญ่ในจักรวาลมาร์เวลเลยด้วยซ้ำปัญหาสำคัญของThor : Love and Thunderคือความกลมกล่อมของหนัง แน่นอนว่าไทก้าใส่สีสันมากมายเข้ามา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ในแบบที่แฟนๆมาร์เวลจำนวนไม่น้อยชอบมาก แต่ในภาคนี้เขาไม่สามารถบาลานซ์มันได้ดีเท่าRagnarokอาทิ จังหวะการปล่อยมุก ซึ่งในภาคก่อนค่อนข้างแม่นยำและได้ผลมาก แต่ในภาคนี้ กลับขำบ้างแป้กบ้าง บางจังหวะก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ดูเหมือนจะเน้นตลกไปเรื่อย จนความจริงจังในหนังแอบหายไปพอสมควร เมื่อหนังเดินทางมาถึงจุดที่ต้องซีเรียส อารมณ์ร่วมเลยไปไม่ถึงเท่าไหร่นัก เพราะเขาทำให้ตัวละครดูไม่จริงจังกับเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญ ทำให้แม้หนังจะออกมาสนุกสนาน บันเทิงระหว่างดู แต่น้ำหนักของเส้นเรื่องกลับเบาอย่างน่าเสียดายท้ายที่สุดThor : Love and Thunderก็ยังคงเป็นหนังป็อปคอร์นฟอร์มยักษ์กลางซัมเมอร์ ที่ยังคงดูสนุกและสร้างความบันเทิงได้เช่นเดิม แม้มันจะไม่ได้ลงตัวเท่างานชิ้นก่อนของ ไทก้า แต่เอกลักษณ์ในแบบของเขาก็ถูกใส่มาอย่างไม่ยั้งมือ รวมถึงหนังตอบโจทย์เรื่อง แฟนเซอร์วิส ได้แบบเต็มๆ โดยThor : Love and Thunderเหมือนเป็นจุดเชื่อมสำคัญของThorยุคก่อนEndgameและยุคหลังจากนี้ บางปมที่ยังไม่ถูกเล่า ก็มาคลี่คลายในภาคนี้(โดยเฉพาะเรื่องเจน)ในขณะเดียวกันหนังก็ผูกปมใหม่ ให้สำหรับThorในอนาคต ทำให้แฟนๆของมาร์เวลได้เห็นภาพกว้างๆว่า เส้นทางของเทพเจ้าสายฟ้าคนนี้ ในจักรวาลมาร์เวลนั้น ยังอีกยาวไกล...(ให้7.5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ชมตัวอย่างThor : Love and Thunderวันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Beast’ (สัตว์-ร้าย) 90 นาทีสุดระทึก หนีตายสิงโตกลางป่าลึก | GOSSIP GUN

25 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘Beast’ (สัตว์-ร้าย) 90 นาทีสุดระทึก หนีตายสิงโตกลางป่าลึก | GOSSIP GUN

ถ้าหนังอย่าง Crawl และ The Shallow ทำให้คุณลุ้นจนเหนื่อย ต้องไม่มองข้ามหนังเรื่อง Beast (ชื่อไทย สัตว์-ร้าย) ที่เปลี่ยนจาก จระเข้และฉลาม เป็น สิงโตคลั่ง และเปลี่ยนโลเคชั่น จากในน้ำ มาสู่บนบก กลางทุ่งหญ้าอันกว้างขวางในทวีปแอฟริกา หนังเล่าถึง ดร.เนต (รับบทโดย ไอดริส เอลบ้า จาก The Suicide Squad และ Thor) พ่อหม้ายมาดๆ เขาคือคุณหมอที่เพิ่งสูญเสียอดีตภรรยาไป และเพื่อสานสัมพันธ์กับลูกๆอีกครั้ง เขาจึงตัดสินใจพา แมร์และนอร่าห์ ลูกสาวสองคนของเขา ไปเที่ยวในแอฟริกาใต้ ไปเยี่ยมบ้านเกิดคุณแม่ของพวกเธอ แต่ในขณะที่พวกเขากำลังแล่นรถเยี่ยมชมในเขตอุทยานที่ปราศจากผู้คน ฝันร้ายก็ค่อยๆคลานเข้ามาเพื่อตะครุบพวกเขา เมื่อพวกเขาเจอศพของชาวเผ่าตายเป็นเบือ และต่างมีรอยกัดของสัตว์ใหญ่ที่แสนดุร้าย ไม่นานก็พวกเขาก็ได้เผชิญหน้ากับ สิงโตที่คลั่งผิดปกติ ท่ามกลางสถานที่อันเวิ้งว้าง พวกเขามีเพียงแค่รถคันเล็กๆ ที่ทำให้ปลอดภัยจากสัตว์ร้าย พวกเขาจะเอาชีวิตรอดไปได้อย่างไร เมื่อไม่มีแม้แต่สัญญาณมือถือในการขอความช่วยเหลือ ไร้ซึ่งอาหารและน้ำดื่มที่ใกล้จะหมด ความตายค่อยๆคืบคลานเข้ามาทุกวินาทีBeast ถือว่าเป็นหนังโปรแกรมส่งท้ายซัมเมอร์ของค่ายยูนิเวอร์แซล ที่ฟอร์มหนังอาจจะไม่ได้ใหญ่นัก หรือชวนหวือหวาเท่ากับหนังระทึกขวัญเรื่องอื่นๆ แต่อยากจะบอกทุกท่านว่าอย่าได้มองข้ามหนังเรื่องนี้เชียว ถ้าคุณชื่นชอบหนังระทึกที่จะทำให้ตลอดทั้ง 90 นาทีของหนัง ลุ้นแบบไม่ได้พัก Beast สามารถทำให้ผู้ชมตื่นเต้นได้ในระดับเดียวกับหนังที่เอ่ยชื่อไปอย่างCrawl และ The Shallow จากสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร หนังค่อยๆสร้างข้อจำกัดให้กับตัวละครเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความหวังดูจะริบหรี่ลงเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน Beast ก็ไม่ยั้งมือที่จะทำให้สิงโตคลั่งในเรื่อง ดุร้ายอย่างสมชื่อจริงๆ หลายจังหวะที่สิงโตโผล่ออกมา ทำให้เราตกใจหรือหลอนไม่แพ้กับหนังผีเลยทีเดียว และความดุร้ายของมัน ทำให้ฉากสิงโตโจมตีมนุษย์ ดูอำมหิตสมจริง รุนแรงในระดับบางทีต้องเบือนหน้าหนีเลยทีเดียวองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ Beast กลายเป็นหนังที่ดูสนุกเกินคาด คือความสมจริงในแง่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโลเคชั่นในการถ่ายทำที่ทีมงานบินกันไปถ่ายถึงแอฟริกาใต้จริงๆ ตัวของสิงโตเอง แม้ว่าจะมั่นใจว่าเป็นการใช้ คอมพิวเตอร์กราฟฟิกในการสร้างขึ้นมา แต่ก็ดูสมจริง ไม่ได้รู้สึกขัดหรือสะดุดตาเลยแม้แต่น้อย ไฮไลต์สำคัญคือการเคลื่อนกล้อง ที่ถ้าลองสังเกตุดูหลายๆฉากใช้การถ่ายทำแบบ Long Take และเคลื่อนกล้องอย่างพริ้วไหวตามตัวละครไปจากด้านหลัง เพิ่มระดับความตื่นเต้นให้กับผู้ชมเข้าไปอีก หลายฉากไม่ได้ตัดสลับไปมาจนงง แต่แช่ภาพให้เห็นแบบเต็มๆ แต่จุดปัญหาที่อาจจะทำให้ผู้ชมไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจน คือความดื้อของสองตัวละคร แมร์และนอร่าห์ ที่แอบดื้อขัดคำสั่งคุณพ่อ จนทำให้ผู้ชมก่นด่าอยู่ในใจ อย่างไรก็ตาม คาดว่าผู้กำกับคงจะรู้ว่า คนดูรำคาญแน่ๆ เลยให้ตัวละครในหนังด่านำไปก่อนแล้ว เลยพอจะให้อภัยความชวนหงุดหงิดของสองตัวละครนี้ไปได้โดยรวม Beast ถือเป็นหนังแอ็กชันเขย่าขวัญฟอร์มปานกลางส่งท้ายซัมเมอร์ที่ไม่อยากให้คอหนังระทึกมองข้ามเลยจริงๆ จากตอนแรกที่ผู้เขียน ดูโปสเตอร์ ดูตัวอย่างแล้ว ไม่ได้สะกิดต่อมความอยากดูเท่าไรนัก ปรากฏว่าพอเข้าไปชมในโรงภาพยนตร์จริงๆ สนุกเกินคาดไปมาก คำว่าลุ้นจนเหนื่อยมีอยู่จริงในหนังเรีื่องนี้ อีกส่วนที่ทำให้หนังดูสมจริงยิ่งขึ้นคือ การแสดงของ ไอดริส เอลบ้า และการสร้างตัวละครพระเอก ที่หนังไม่พยายามจะให้เขาเก่งเกินจริงไปมาก เขาเป็นเพียงแค่คุณหมอที่ไร้ทักษะในการต่อสู้ ทำให้หลายฉากออกมาดูทุลักทุเล เพิ่มระดับความลุ้นขึ้นไปอีก เพราะผู้ชมทราบดีว่า ตัวละครมนุษย์ในหนังเป็นรองสิงโตคลั่ง ถ้ามีโอกาส แนะนำให้ชม Beast ในโรงภาพยนตร์ ได้อรรถรส มากกว่ารอดูในระบบสตรีมมิ่งอย่างแน่นอนชมตัวอย่าง Beast สัตว์-ร้าย วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] “The Unbearable Weight of Massive Talent” ป่วนเกินต้านและกินใจเกินคาด คนรักหนังต้องดู! | GOSSIP GUN

18 พ.ค. 2022

[REVIEW] “The Unbearable Weight of Massive Talent” ป่วนเกินต้านและกินใจเกินคาด คนรักหนังต้องดู! | GOSSIP GUN

นี่คือหนังตลกไอเดียสุดล้ำที่ให้ดาราฮอลลีวูดเล่นเป็นตัวเอง นี่คือจดหมายรักที่คนรักหนังเขียนเพื่อบอกรักการมีอยู่ของศิลปะภาพยนตร์ นี่คือหนังแอ็กชันวายป่วงที่ใครๆก็สามารถเอ็นจอยกับมันได้The Unbearable Weight of Massive Talentคือหนังที่มีองค์ประกอบหลายอย่างเพื่อผู้ชมต่างกลุ่มกันไป มันเริ่มต้นด้วยไอเดียสุดแหวก ที่ได้นักแสดงระดับตำนานอย่าง"นิโคลัส เคจ"มาเล่นเป็นตัวเอง ซึ่งไอเดียที่ว่านี้ มันก็ปรากฏในหนังฮอลลีวูดบ้าง(อาทิ จูเลีย โรเบิร์ต เล่นเป็นตัวเองแบบแว้บๆ ใน Ocean's Twelve)แต่ไม่เคยมีเรื่องไหน เอามาขยายใหญ่ใส่มุกไม่ยั้งแบบเรื่องนี้ จนสามารถเรียกได้ว่า"เคจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว"และหนังก็สร้างความไฮป์ด้วยการฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลหนังSXSWและกวาดคคะแนน100%ในเว็บมะเขือเน่า(แม้ตอนหลังคะแนนจะลดลงนิดหน่อยก็ตาม) แม้จะแสดงเป็นตัวเอง แต่"นิโคลัส เคจ"ก็ให้สัมภาษณ์ว่า นิค เคจ ฉบับในหนังไม่ได้เหมือนตัวจริงหนัก ในหนังเขาคือดาราที่สิ้นหวังกับอาชีพนักแสดง เพราะตกอับขีดสุด แต่ในชีวิตจริงเขายังคงรักและอินเลิฟกับการแสดงหนัง และด้วย นิคเคจในเรื่องมีหนี้สินมากมาย แถมไม่มีงานใหม่เข้ามา ผู้จัดการเลยเสนองานสุดแปลกให้เขา ด้วยการไปร่วมงานวันเกิดเสี่ยใหญ่ไฮโซ ซึ่งเป็นแฟนเบอร์หนึ่งของ นิคเคจ ด้วยค่าตัวสุดแพง1ล้านเหรียญฯ แน่นอนว่า นิคเคจไม่มีทางเลือกนอกจากบินไปสเปนเพื่อร่วมงานดังกล่าว แต่แล้วทริปสุดชิลล์ก็กลายเป็นภารกิจสุดอันตราย เมื่อซีเอไอ บังคับให้ นิคเคจ ต้องเป็นสายลับให้พวกเขา เนื่องจากเสี่ยใหญ่คนนี้ดันเป็นพ่อค้าอาวุธระดับโลกที่หน่วยงานต่างๆ ต้องการตัว พี่เคจเลยต้องงัดสกิลสายลับจากหนังต่างๆ มาเพื่อปฏิบัติการลับสุดป่วนนี้! ความสนุกที่สุดของMassive Talentคือการรวมฮิต"นิค เคจ"เพราะมันเป็นเรื่องของนักแสดงที่ต้องไปเจอกับแฟนคลับ ดังนั้นผลงานเก่าๆของเขา ก็จะถูกกล่าวถึง พูดถึง นำมาแซว นำมาขยี้ เต็มไปหมด ไล่ตั้งแต่หนังยุค80sอย่างMoonstruckต่อเนื่องด้วยหนังบล็อกบัสเตอร์ยุค90sถึงต้น2000sอย่างเซ็ตThe Rock, Face/Off, Con Airมาจนถึงผลงานยุคหลังๆที่กลายเป็นหนังคัลต์อย่างMandyทั้งหมดถูกแทรกไว้อย่างแพรวพราว ราวกับจักรวาลมาร์เวลฉบับ นิค เคจ หนังเต็มไปด้วยEaster-Eggมากมาย หนังบางเรื่องถูกกล่าวถึง หนังบางเรื่องถูกถ่ายทอดเลียนแบบ หรือบางเรื่องก็โผล่มาแว้บๆเป็นสิ่งของประกอบฉาก ใครที่เป็นแฟน นิคเคจ ก็ต้องจับตาดูให้ดี เพราะไม่รู้ว่าเรื่องไหนจะโผล่มาตอนไหนบ้าง แต่สิ่งที่เซอร์ไพรสและทำให้Massive Talentเป็นมากกว่าหนังแอ็กชันคอเมดี้ทั่วไป คือ ความหลงใหลในศาสตร์ภาพยนตร์ ที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเต็มเปี่ยมผ่านตัวละคร ฮาวี่(รับบทโดย เพโดร ปาสคาล)เสี่ยใหญ่ที่นอกจากจะเป็นแฟนคลับเคจแล้ว เขาคือ คนรักหนังอย่างเต็มตัว บทสนทนาระหว่างเขากับเคจ เวลาคุยกันเรื่องหนังที่อะไรที่อิ่มเอมใจมาก ผู้ชมจะสัมผัสได้ถึงPassionที่มีอันเต็มเปี่ยมของฮาวี่ จะสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของโลกภาพยนตร์ ที่มันอิมแพ็คต่อคนๆ หนึ่งมากแค่ไหน ซึ่งผู้ชมที่เป็นคนรักหนัง คงรู้สึกเช่นเดียวกับฮาวี่ ในฐานะคนคอเดียวกัน กลุ่มคนที่ตกหลุมรักเสน่ห์ของหนังเช่นกัน คงไม่เกินจริงนัก นี่จะกล่าวว่านี่คือการ"คัมแบ็ค"อย่างแท้จริงของ นิโคลัส เคจ ด้วยปัญหาหนี้สินในชีวิตจริง ทำให้ระยะหลังเขาตัดสินใจรับเล่นหนังจำนวนมาก ซึ่งมักสลับกันไประหว่างหนังเกรดบีรีวิวแย่ กับหนังอินดี้ที่โดนใจนักวิจารณ์ แต่สำหรับMassive Talentมันคือหนังสตูดิโอที่ครบถ้วนในแง่ต่างๆ รวมถึงเฉลิมฉลองเส้นทางในวงการภาพยนตร์ของ นิคเคจ ด้วย ดูเหมือนเขาจะสนุกอย่างแท้จริงในการรับบทนี้ และพลังความสนุกก็ส่งออกมาเต็มๆ ในขณะที่ เพโดร ปาสคาล เกือบจะขโมยซีนในบทฮาวี่ เชื่อว่าผู้ชมจำนวนไม่น้อยจะตกหลุมรักเขาในเรื่องนี้ เพราะพลังบวกที่ส่งออกมา มันเยอะมากๆ และเคมีระหว่าง นิคเคจ กับเพโดร ก็เข้ากันได้อย่างลงตัว อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะกังขาว่า แล้วถ้าไม่ใช่แฟนคลับ นิโคลัส เคจ หรือไม่ใช่คนที่ดูหนังแบบจริงจัง จะสามารถเอ็นจอยกับMassive Talentได้หรือไม่ คำตอบคือ นี่คือหนังบันเทิงมากๆ เรื่องหนึ่ง ที่คุณสามารถสนุกกับเส้นเรื่องได้ โดยไม่ต้องสนใจEaster-Eggเพราะโครงหลักของมัน ก็ยึดกับภารกิจสายลับจำเป็น ของดาราตกอับ ที่ต้องมาไล่จับอาชญากรที่ดันเป็นแฟนคลับของเขา แค่พล็อตก็ชวนชุลมุนและเอื้อให้เกิดฉากสนุกๆมากมายแล้ว ซึ่งMassive Talentก็ใช้ประโยชน์ตรงนี้ได้อย่างเต็มที่ ดีไม่ดี ดูเสร็จคุณอาจจะไล่ย้อนหาหนังเก่าๆ ของ นิคเคจ มาดูเพิ่มก็ได้(ให้8คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

album

0
0.8
1