[REVIEW] ‘SMILE’ เมื่อรอยยิ้มฆ่าคนตาย หนังสยองสุดตึงเครียด | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘SMILE’ เมื่อรอยยิ้มฆ่าคนตาย หนังสยองสุดตึงเครียด | GOSSIP GUN

27 ก.ย. 2022

จุดเริ่มต้นของหนังสยองขวัญแห่งปีอย่าง Smile เกิดขึ้นจากหนังสั้น Laura Hasn't Slept ของ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ ที่คอนเซปต์เจ๋งและสยดสยอง จนถูกใจผู้บริหารของค่ายพาราเมาต์ พิคเจอร์ หนังจึงถูกหยิบมาพัฒนาเป็นหนังใหญ่ โดย ปาร์กเกอร์ ฟินน์ กลับมาสานต่อความหลอนจากหนังสั้นของเขาเอง รับหน้าที่เป็นผู้กำกับหนังใหญ่ครั้งแรก สำหรับ Smile ฉบับยาว เล่าถึง ดร.โรส (รับบทโดย โซซี เบคอน จากซีรีส์ 13 Reasons Why) จิตแพทย์หญิงที่เพิ่งเผชิญเหตุการณ์สุดสยอง เมื่อคนไข้ของเธอฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตา ก่อนตายคนไข้คนนี้คลั่งและบอกว่า มีสิ่งลึกลับที่มีรอยยิ้มไล่ตาม ดร.โรส ยิ่งสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงเริ่มสืบและพบว่า มีคนตายจากรอยยิ้มในลักษณะเดียวกันกว่า 20 คนแล้ว และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ ดูเหมือนว่าคำสาปสุดอาถรรพ์นี้กำลังไล่ตามเธอเช่นกัน !

สิ่งที่ทำให้ Smile มีเอกลักษณ์และแตกต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นๆ คือ คอนเซปต์ ที่หยิบรอยยิ้มมาทำให้กลายเป็นความหลอน แม้เราอาจจะเห็นรอยยิ้มแบบหลอนๆในหนังมากมาย (อาทิ Joker และ Stephen King's It) แต่มันไม่เคยถูกหยิบมาเป็นแกนหลักของเรื่องอย่างจริงจัง บวกกับเส้นเรื่องในสไตล์การแก้คำสาป แบบเดียวกับ The Ring ที่ดูเหมือนจะไม่ได้เห็นกันมาสักพักใหญ่แล้ว ทำให้ Smile มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย และหนังยังมีกลิ่นอายแบบ It Follows หนังเขย่าขวัญที่ทำให้คนยืนนิ่งๆดูน่ากลัวได้ เรื่องนี้มีสไตล์คล้ายๆกัน แต่เพิ่มรอยยิ้มเข้าไป ทำให้ระหว่างดูหนัง แม้แต่คนที่ยืนยิ้มนิ่งๆ ยังชวนขนลุกได้ หนังทำให้เราผวาในแบบที่ไม่คาดคิดได้จริงๆ

นอกจากจะเป็นหนังสยองขวัญ อันที่จริงแล้ว Smile มีความเป็นหนังจิตวิทยาที่ชัดเจนมาก เพราะหนังเล่นกับตัวละครหลักคือ ดร.โรส ซึ่งเป็นจิตแพทย์ แต่อันที่จริงแล้วเธอเองก็เคยเผชิญปัญหาทางจิตมาก่อน และยิ่งมาเจอกับเหตุการณ์หลอนที่หาทางออกไม่ได้แบบนี้ ยิ่งทำให้เธอสติแตกไปกันใหญ่ ความเก่งกาจของหนัง คือการทำให้ผู้ชมตึงเครียด และเหมือนจะประสาทแดกแบบนางเอกได้เหมือนกัน เมื่อหนังยิ่งดำเนินไป ข้อแม้ต่างๆของหนัง ปมคำสาปจากรอยยิ้ม มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ การผูกปมของหนังมันเลยยิ่งแน่นขึ้นไปอีก นั่นทำให้ Smile กลายเป็นหนังสยองขวัญที่บีบหัวใจของคุณช้าๆ แต่เมื่อถึงจุดพีกแล้ว มันยิ่งบีบหัวใจขั้นสุด

ในส่วนของงานโปรดักชันส่งเสริมความสยองของหนังได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเสียงประกอบ ที่หลอนจับใจ การเคลื่อนกล้องที่หลายครั้งเลือกใช้ภาพกลับหัว สไตล์การตัดต่อ การเชื่อมโยงแต่ละฉาก หลายครั้งที่โฉ่งฉ่าง ทำให้ผู้ชมกระตุกได้เหมือนกัน และการบิลด์ผู้ชมด้วยความสยองในแบบ Jump Scare หนังใช้วิธีนี้ค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่กระนั้นต้องชื่นชมผู้กำกับ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ ที่ให้ฉากหลอกเหล่านี้ ดูมีรสนิยม เป็นการหลอกให้เราตกใจ แบบที่น่าสนใจ ไม่ได้ให้สิ่งลึกลับโผล่มาทื่อๆ อย่างไร้ที่มาที่ไปแต่อย่างใด โดยรวม Smile จึงกลายเป็นหนังสยองขวัญอีกเรื่องของปี 2022 ที่ทำได้ดีเกินคาดจริงๆ ใครที่อยากสัมผัสความหลอน ความตึงเครียด ลองชมหนังเรื่องนี้กันดู 29 กันยายนนี้ในโรงภาพยนตร์

ชมตัวอย่าง Smile ยิ้มสยอง สัปดาห์นี้ทุกโรงภาพยนตร์

ภาพ : UIP Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘ขุนพันธ์ ๓’ ปิดไตรภาคแบบจัดใหญ่ หนังฮีโร่แบบไทยๆที่ไม่ธรรมดา| GOSSIP GUN

02 มี.ค. 2023

[REVIEW] ‘ขุนพันธ์ ๓’ ปิดไตรภาคแบบจัดใหญ่ หนังฮีโร่แบบไทยๆที่ไม่ธรรมดา| GOSSIP GUN

จะว่าไปแล้วในระยะหลัง การสร้างหนังไทยให้เป็นแฟรนไชส์ใหญ่ก็ดูจะลดลงเรื่อยๆ ยิ่งช่วงโควิด-19 ที่ระบาดหนักทำให้หนังไทยฟอร์มใหญ่ๆ หายไปจากการเข้าฉายในโรงมานานพอสมควร การกลับมาของหนังตระกูล 'ขุนพันธ์' ที่เดินทางมาถึงภาคที่3 แล้ว ดูจะเป็นการปักธงรบครั้งสำคัญ ที่ประกาศกร้าวว่า หนังไทยพร้อมที่จะคัมแบ็คแล้ว ด้วยฟอร์มที่จัดใหญ่จัดเต็มยิ่งกว่าสองภาคที่ผ่านมา ทุ่มทุนสร้างเนรมิตฉากแอ็กชันสุดอลังการ การันตีความเอพิคด้วยความยาวที่เฉียดๆ 2 ชั่วโมง 40 นาที ทำให้ 'ขุนพันธ์ ๓' เป็นหนังไทยโปรแกรมใหญ่ ที่มาเพื่อเติบเต็มอุตสาหกรรมหนังไทยอีกครั้ง และผลลัพธ์ที่ออกมา ดูเหมือนว่านี่ีคือความพยายามที่ไม่เสียเปล่า เพราะคำวิจารณ์ล็อตแรก ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือหนังที่โคตรสนุก นี่คือหนังแอ็กชันของคนไทยที่ดูแล้วอยากลุกขึ้นปรบมือให้จริงๆอนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม กลับมาสวมบท ขุนพันธ์ ตำรวจยอดมือปราบที่วิชาอาคมแกร่งกล้าอีกครั้ง แต่เมื่อทุกสิ่งไม่จีรัง ทุกอย่างต่างมีอายุ มีเวลาเสื่อมของมัน ทำให้วิชาคงกระพันของเขาเริ่มอ่อนล้าลง โดยเหตุนี้ทำให้เขาตัดสินใจของย้ายตัวเองกลับไปยังบ้านเกิด เพื่อดูแลเมียและลูกในท้องของเธอ แต่แล้วกลับมีภารกิจใหญ่ ที่ทางกรมตำรวจต้องขอความช่วยเหลือจากขุนพันธ์อีกครั้ง เมื่อโจรผู้ร้ายในเชิ้ตดำ นำทีมโดย เสือมเหศวร และเสือดำ (รับบทโดย มาริโอ้ เมาเร่อ และโตโน่ ภาคิน)ออกปล้นสดมภ์ พร้อมกับลักพาตัว นักการเมืองคนสำคัญไป ขุนพันธ์จึงต้องนำทีมตำรวจรุ่นใหม่ บุกไปกลางป่าลึก เพื่อไล่ล่ากลุ่มโจรแก๊งนี้ ที่มีวิชาอาคมแกร่งกล้าไม่แพ้กัน กลายเป็นศึกใหญ่ที่ต่างเดิมพันด้วยชีวิต ท่ามกลางสถานการณ์อันเปราะบางทางการเมืองถ้าให้เทียบกับหนังไตรภาคฟอร์มใหญ่ของฮอลลีวูด อย่าง Spider-Man ก็อาจจะขนานนามว่าภาคนี้ว่าเป็นภาค No Way Home ของไตรภาคขุนพันธ์ก็ว่าได้ ด้วยความเล่นใหญ่ทั้งในด้านพล็อตและสเกลหนังมากกว่าภาคก่อนๆ รวมถึงมีการรวมตัวละครในจักรวาลขุนพันธ์มากกว่าภาคไหนๆ จนได้บรรยากาศความหึกเหิมในสไตล์นั้น โดยรวมถือว่าภาคนี้ค่อนข้างจัดใหญ่จัดเต็มมาก เริ่มตั้งแต่การเล่าเรื่อง ผู้ชมจะสัมผัสได้ตั้งแต่แรกว่าหนังภาคนี้ มีความเอพิกอย่างแน่นอน และเมื่อหนังเริ่มออกสตาร์ทกับฉากแอ็กชัน ผู้ชมจะได้เห็นฉากบู๊ที่ค่อยๆไต่ระดับความใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ไต่ระดับความตู้มต้ามมากขึ้นเรื่อยๆ และมีอะไรที่แปลกตามากขึ้นเรื่อยๆ ในแบบที่เราไม่คาดคิด หรือไม่เคยเห็นมาก่อนในหนังตระกูลขุนพันธ์ความสนุกของการดู ขุนพันธ์ ๓ คือการได้เห็นการผสมผสานหนังหลากหลายสไตล์อยู่ในหนังเรื่องนี้ แม้ว่ามันจะเริ่มต้นจากการเป็นหนังแนวตำรวจจับผู้ร้าย แต่ด้วยอภินิหารที่ตัวละครมี ความแฟนตาซีที่ไต่ระดับมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลายครั้งได้ฟีลเหมือนดูหนังซูเปอร์ฮีโร่ในแบบไทยๆ และด้วยฉากหลังที่เป็นบรรยากาศย้อนยุค ตัวร้ายที่มาในรูปแบบกองโจร ทำให้หนังมีกลิ่นอายแบบหนังแก๊งสเตอร์สุดเท่ อัดแน่นอยู่ในหนังเช่นกัน และหลังจากลองชิมลางใส่กลิ่นอายความเหนือธรรมชาติเข้ามาในสองภาคแรก ดูเหมือนว่าภาคนี้จะเร่งเกียร์เข้าสู่โหมดแฟนตาซีแบบจัดเต็ม เรียกว่าเทกระจาดของที่อยากใส่มาก็ว่าได้ หลายซีนชวนให้นึกถึงหนังแนวสัตว์สยอง หลายซีนพาผู้ชมเหมือนไปดูหนังผีดิบ และอีกหลายซีนที่เข้าขั้นหนังสยองขวัญสุดผวา แต่ทั้งหมดที่เล่ามา ไม่ได้มีตรงไหนที่รู้สึกว่ามันเกิน หรือหลุดพวกไปจากหนังเลย ยิ่งทำให้จักรวาลของ ขุนพันธ์ ใหญ่โตขึ้น และเป็นการเปิดทางสู่แฟรนไชส์ที่ใหญ่ขึ้นอีกหลังจากนี้อีกจุดที่แอบโดนใจมากๆในหนังภาคนี้ คือการให้ฉากหลังของเรื่องราว เป็นบ้านเมืองในยุคที่ทรราชย์ปกครอง เต็มไปด้วยคอร์รัปชั่นและการใช้อำนาจในทางที่ผิด กรมตำรวจเต็มไปด้วยเรื่องฉาวโฉ่ มีเพียงขุนพันธ์ ที่อาจเป็นความหวังเดียวของชาวบ้าน ในขณะที่กลุ่มปัญหาชนคนรุ่นใหม่ที่ต่อต้านรัฐบาล กลับต้องหนีตายไปเข้าป่า กลายเป็นผู้ต้องหาจากหมายจับของรัฐ ไม่น่าเชื่อว่าภาพเหตุการณ์เหล่านั้น ที่เป็นฉากหลังของหนัง ขุนพันธ์ ๓ กลับคล้ายคลึงกับยุคปัจจุบันอย่างไม่น่าเชื่อ สะท้อนถึงการย่ำอยู่กับที่ บรรยากาศการเมืองการปกครองที่แทบจะไม่เดินหน้าไปไหน นอกจากฉากแอ็กชันที่จัดใหญ่จัดเต็ม พล็อตหนังสุดเข้มข้นแล้ว แบ็คกราวน์เรื่องเหล่านี้นี่แหละ ที่ทำให้ ขุนพันธ์ ๓ เป็นหนังย้อนยุคที่ไม่ตกยุคเลยสักนิด มีคุณค่าในตัวมัน ทั้งในแง่ของงานสร้าง การก้าวหน้าของหนังไทย และคุณค่าในแง่สังคม ที่สะท้อนอะไรหลายๆอย่าง ให้ผู้ชมได้เห็น ได้ฉุกคิดกันขุนพันธ์ ๓ เข้าฉาย 1 มีนาคมนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Sahamongkolfilm International Co.,Ltd

[REVIEW] ‘Ant-Man and The Wasp : Quantumania’ เปิดเฟสใหม่อย่างตื่นตา พร้อมกับวายร้ายที่โคตรสะพรึง| GOSSIP GUN

21 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘Ant-Man and The Wasp : Quantumania’ เปิดเฟสใหม่อย่างตื่นตา พร้อมกับวายร้ายที่โคตรสะพรึง| GOSSIP GUN

หลังจากเหล่าอเวนเจอร์สสามารถโค่นทานอสไปได้ในหนัง Avengers ภาคล่าสุด เป็นการปิดหนัง MCU ในพาร์ทของ The Infinity Saga ไปได้อย่างสวยงาม ถึงเวลาแล้วที่แฟนๆและคอหนัง จะได้ทำความรู้จักตัวร้ายหลักประจำเส้นเรื่องใหม่อย่างThe Multiverse Saga นั่นก็คือ แคงผู้พิชิต ที่จะปรากฏตัวเป็นครั้งแรกใน Ant-Man and The Wasp : Quantumania ซึ่งนอกจากหนังจะทำหน้าที่ปิดไตรภาคของ แอนท์-แมน เองแล้ว ยังถือว่าเป็นหนังเรื่องแรกใน MCU เฟส 5 อีกด้วย ที่นอกจากจะสำรวจพหุจักรวาลให้ลึกขึ้น หนังยังทำหน้าที่ปูไปยังปมใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในจักรวาลนี้ ซึ่งจะถูกปิดท้ายด้วยหนัง Avengers : The Kang Dynasty และ Avengers : Secret Wars ที่จะออกฉายใน 2-3 ปีข้างหน้าเรื่องราวใน Ant-Man and The Wasp : Quantumania เริ่มต้นขึ้น เมื่อแคสซี่ ลูกสาวของ สก็อตต์ แลง ที่ประดิษฐ์เครื่องมือในการส่งสัญญาณเพื่อติดต่อกับในมิติควอนตั้มขึ้น โดยที่เธอไม่รู้เลยว่า นั่นคือจุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งใหม่ จากสิ่งประดิษฐ์นี้ ทำให้ สก็อตต์, โฮป, แคสซี่, ดร.แฮงค์ และเจเน็ต ถูกดูดเข้าไปในมิติควอนตั้ม ซึ่งสร้างความหวาดผวาอย่างมากให้กับ เจเน็ต เพราะเธอเคยถูกขังอยู่ในมิตินี้ นานกว่า 30 ปีกว่าจะออกไปได้ และเธอรู้ดีว่า อันตรายอะไรที่กำลังคืบคลานมาหาพวกเขา ทั้ง 5 จึงต้องทำทุกทางเพื่อหาทางออกไปจากที่นั่นให้เร็วที่สุด พร้อมกับหยุดยั้งบุคคลอันตราย ที่พยายามทำทุกทางเพื่อออกไปจากมิตินี้เช่นกัน..หากเทียบกับหนังในตระกูล Ant-Man ทั้งสองภาคก่อนหน้านี้ Ant-Man and The Wasp : Quantumania ถือเป็นภาคที่ดูจะมีMood Tone ที่แตกต่างจากเดิมค่อนข้างมาก แม้ว่ายังคงมีอารมณ์ขัน และโครงเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวอยู่ แต่เพราะเหตุการณ์ในเกือบทั้งเรื่อง เกิดขึ้นในมิติควอนตัม งานภาพของภาคนี้ จึงดูแตกต่างจากภาคก่อนๆไปอย่างสิ้นเชิง ดูคล้ายหนังอย่าง Doctor Strange ภาคล่าสุด ซึ่งถือว่าเป็นหนังที่มีบทบาทสำคัญใน The Multiverse Saga เช่นเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกัน แม้ว่างานโปรดักชั่นของ Ant-Man and The Wasp : Quantumania จะดูยิ่งใหญ่กว่าภาคก่อนๆ แต่ด้วยความยาวเพียง 2 ชั่วโมง ทำให้หนังอาจจะดูไม่ยิ่งใหญ่เท่า Doctor Strange In The Multiverse of Madness หรือBlack Panther : Wakanda Forever แต่กระนั้น มันก็มีข้อดีอย่างชัดเจน คือหนังสั้น ทำให้ค่อนข้างกระชับ และเดินเรื่องฉับไว หนังแทบจะไม่เสียเวลาตรงไหนที่ไม่จำเป็นกับเรื่องเลยจุดที่โดดเด่นมากๆของหนังภาคนี้ กลับไม่ใช่ครอบครัวของ แอนท์-แมน แต่เป็นการปรากฏตัวของ แคงผู้พิชิตเสียมากกว่า ซึ่งการแสดงของ โจนาธาน เมเจอร์ส นั้น ชวนขนลุกและน่าเกรงขามมากๆ ตั้งแต่สีหน้า ท่าทาง หรือแม้แต่น้ำเสียงที่ดูแสนจะเลือดเย็น ตั้งแต่วินาทีที่แคงปรากฏตัวบนจอ ดูเหมือนหนังจะถูกขโมยไปเป็นหนังของเขาเลยทีเดียว และตลอดเวลาที่ดู ผู้ชมสามารถสัมผัสได้ทันทีว่า นี่ไม่ใช่ตัวร้ายธรรมดาทั่วไป นี่เป็นตัวร้ายที่บางทีอาจจะเก่งเกินกว่าที่ แอนท์-แมน จะสามารถโค่นได้ Ant-Man and The Wasp : Quantumania จึงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมในฐานะหนังเปิดเฟส 5 ของจักรวาลมาร์เวล ซึ่งดูแล้ว ความสามารถของแคง และเจตนารมณ์อันน่าสะพรึงนั้น สามารถเป็นแกนหลักให้กับ The Multiverse Saga ได้อย่างสบายๆในส่วนของครอบครัวแอนท์-แมน เอง ภาคนี้ก็ยังคงยึดในความรักและความผูกพันอย่างชัดเจน ยังคงตอกย้ำภาพลักษณ์ของหนัง Ant-Man ที่ดูจะเป็นหนังครอบครัวมากกว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ตัวอื่นๆใน MCU แต่ตัวละครที่โดดเด่นในภาคนี้มากที่สุด ต้องยกให้บท เจเน็ท ที่ มิเชลล์ ไฟเฟอร์ แสดงไว้ได้อย่างชวนขนลุก เนื่องจากตัวละครของเธอ เคยถูกขังอยู่ในมิติควอนตัมมาแล้ว ทำให้เจเน็ท ขยับขึ้นมามีบทบาทสำคัญในหนังภาคนี้ และนั่นเปิดโอกาสให้นักแสดงรุ่นใหญ่ได้โชว์ฝีมือการแสดงได้อย่างเต็มที่ กับบทที่มีมิติและความซับซ้อนทางอารมณ์มากขึ้น แต่ไฮไลต์สำคัญสำหรับใครที่เติบโตมาในยุค 90s คือการที่ตัวละครของ มิเชลล์ ไฟเฟอร์, ไมเคิล ดักกลาส และสมาชิกใหม่ของภาคนี้อย่าง บิล เมอร์เร่ย์ ปรากฏตัวพร้อมกัน เป็นฉากที่ชวนย้อนระลึกความหลังได้อย่างดี ถึงความยิ่งใหญ่ในยุคสมัยนั้นโดยรวมแล้ว Ant-Man and The Wasp : Quantumania สามารถจัดเข้ากลุ่มหนังใน MCU ที่สามารถดูได้เพลินๆ ความสนุกอยู่ในระดับปานกลาง อาจจะไม่ได้เข้มข้นหรือบีบอารมณ์ผู้ชมเท่าหลายๆเรื่อง แต่กระนั้น หนังเรื่องนี้ต้องถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการก้าวต่อของ จักรวาลมาร์เวลเฟสใหม่ ทำให้หนังดูเหมือนจะทำหน้าที่เป็นหนังเปิดเฟสใหม่ มากกว่าหนังปิดไตรภาคของเส้นเรื่อง Ant-Man เอง สำหรับแฟนของมาร์เวลเอง น่าจะมีหลายจุดในหนังที่ทำให้ร้องว้าว นับตั้งแต่การปรากฏตัวของแคง ไปจนถึงฉากแถมระหว่างและหลังจบ End-Credit ที่ในเรื่องนี้มีแถมให้ถึง 2 ฉาก และต่างเป็นซีนที่สำคัญ เพื่อก้าวสู่สเต็ปต่อไปของจักรวาลมาร์เวลชมตัวอย่าง Ant-Man and The Wasp : Quantumania วันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘The Menu’ หนังเขย่าขวัญเสิร์ฟเมนูสยอง ระทึก ร้ายกาจ คาดเดาไม่ได้ | GOSSIP GUN

18 พ.ย. 2022

[REVIEW] ‘The Menu’ หนังเขย่าขวัญเสิร์ฟเมนูสยอง ระทึก ร้ายกาจ คาดเดาไม่ได้ | GOSSIP GUN

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณเดินทางไปยังภัตตาคารสุดหรู เพื่อรับประทานอาหารแบบ Fine Dining แต่แล้ว เมื่อดินเนอร์เริ่มเสิร์ฟ ทุกอย่างรอบตัวคุณค่อยๆผิดปกติ และสถานการณ์เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ จนนี่อาจจะเป็นดินเนอร์มื้อสุดท้ายของคุณ นี่คือพล็อตคร่าวๆของ The Menu หนังเขย่าขวัญตลกร้าย ซึ่งนอกจากเรื่องราวอันแสนจะยั่วยวนให้แฟนหนังไปชมในโรงภาพยนตร์แล้ว หนังยังมีไฮไลต์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นชื่อชั้นของ 3 นักแสดงนำอย่าง อันยา เทย์เลอร์-จอย, นิโคลัส โฮลต์ และ เรล์ฟ ไฟนส์ และเครดิตของทีมโปรดิวเซอร์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ อดัม แมคเคย์ และวิลล์ ฟาร์เรล ที่สร้างหนังตลกแสบสันอย่าง Don't Look Up และซีรีส์สุดร้ายกาจอย่าง Succession มาแล้ว ส่วนผู้กำกับ มาร์ก มายลอด ก็เคยกำกับหลายเอพพิโซดของSuccession ดังนั้น ถ้าใครเคยดูซีรีส์มา ก็น่าจะพอเดาอารมณ์ออก ว่าหนังจะแสบได้ถึงขนาดไหนThe Menu เล่าถึงคู่รัก มาร์โก และเทย์เลอร์ (รับบทโดย อันยา เทย์เลอร์-จอย จาก The Queen's Gambit และ นิโคลัส โฮลต์ จาก X-Men) ที่เดินทางไปยังเกาะส่วนตัว เพื่อรับประทานอาหารเย็นที่ ฮอว์ธอร์น ห้องอาหารสุดหรู ที่ราคาต่อคอร์สแพงลิบ พวกเขาเดินทางไปพร้อมกับแขกดินเนอร์มื้อเดียวกันอีกจำนวนหนึ่งที่ดูเหมือนแต่ละคน ล้วนแต่จะเป็นบุคคลระดับวีไอพี เมื่อเดินทางมาถึงทุกคนก็ได้พบกับ จูเลี่ยน สโลวิก (รับบทโดย เรล์ฟ ไฟนส์ จาก Harry Potter) เชฟชื่อดัง หัวหน้าเชฟประจำห้องอาหารแห่งนี้ ซึ่งเขาค่อยๆเสิร์ฟอาหารแต่ละจาน ที่เต็มไปด้วยไอเดียและแนวคิดสุดแปลก ก่อนที่เหล่าแขกจะค่อยๆรู้ตัวว่า ทุกอย่างกำลังผิดปกติ นี่อาจจะไม่ใช่การรับประทานไฟน์ไดนิ่งทั่วไป แต่มีอะไรชวนขนลุกแฝงอยู่ในนั้นระหว่างที่ผู้ชมได้ดูหนัง The Menu ก็เหมือนกับผู้ชมได้เข้าไปนั่งอยู่ในห้องอาหารเดียวกับตัวละคร มันเริ่มต้นจากการเป็นหนังที่ดูเหมือนหนังทั่วไป ไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาด จนกระทั่งอาหารจานต่างๆค่อยๆเสิร์ฟ ผู้ชมจะได้เริ่มสัมผัสถึงความผิดปกติอะไรบางอย่าง บรรยากาศความไม่น่าไว้วางใจค่อยๆครอบคลุมไปทั่วในหนังเรื่องนี้ ระดับความเป็นหนังเขย่าขวัญค่อยๆเพิ่มขึ้น เจือปมด้วยรสชาติแบบหนังตลกร้าย เสียดสีสังคมในแง่มุมต่างๆ แฝงด้วยความคิด เหมือนกับตัวละครที่กำลังขบคิดไอเดียที่แฝงอยู่ในอาหารแต่ละคอร์ส ผู้ชมก็ขบคิดไปเช่นกันว่า หนังจะสื่อสารถึงอะไร The Menu จึงเป็นหนังที่มีส่วนผสมค่อนข้างเฉพาะตัว รวมความเป็นหนังตลกร้ายกับเขย่าขวัญไว้ด้วยกันอย่างน่าลิ้มลอง ช่วงแรกอาจจะใช้เวลานานในการปูเรื่องราว แต่เมื่อเรื่องดำเนินไป หนังก็ค่อยๆไต่ระดับความระทึกเพิ่มขึ้นนอกจากพล็อตที่เดาทางได้ยาก บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจ The Menu ขับเคลื่อนไปได้ดี ด้วยทีมนักแสดงที่ชวนดึงดูด ไฮไลต์หลักของหนีไม่พ้น อันยา เทย์เลอร์-จอย และ เรล์ฟ ไฟนส์ หลายฉากที่เพียงแค่ทั้งสองเผชิญหน้ากัน ก็ชวนขนลุกไม่ไหวแล้ว สำหรับอันยาที่แจ้งเกิดมาจากหนังสยองขวัญชุดใหญ่ทั้ง The Witch, Split หรือแม้แต่หนังล่าสุดอย่าง Last Night In Soho การที่ได้เห็นเธอรับเล่นหนัง Horror/Thriller อย่างต่อเนื่อง เป็นอะไรที่ถูกใจแฟนๆมาก เธอมีเสน่ห์มากเป็นพิเศษเมื่อแสดงนำในหนังแนวนี้ และชวนให้ผู้ชมได้เอาใจช่วยอยู่เสมอ ในขณะที่ เรล์ฟ ไฟนส์ ชวนขนลุกกับบทชวนสยองเสมอมา ไล่มาตั้งแต่ Schindler's List มาจนถึงหนังอย่าง Red Dragon บทโวลเดอมอร์ในจักรวาล Harry Potter มาจนถึงบทในหนังเรื่องนี้แค่เขาแสดงสีหน้าก็น่ากลัวไม่ไหวแล้ว ยิ่งเสริมให้เรื่องชวนระทึกขึ้นไปอีกโดยรวม The Menu เป็นหนังที่รสชาติแปลกน่าลอง เหมาะสำหรับคนที่ชอบตลกแบบร้ายกาจ หนังมีประเด็นเสียดสีชนชั้นที่น่าสนใจ หลายฉากฮาอย่างเจ็บแสบ ในขณะที่สายเขย่าขวัญ แม้ว่าหนังจะไม่ได้น่ากลัวอะไรมากนัก แต่ก็อบอวลด้วยบรรยากาศชวนขนลุก ให้ตึงเครียดได้จริงๆ ผู้ชมจะได้สนุกกับการคาดเดาว่า เมนูต่อไปเชฟจะเสิร์ฟอะไร คาดเดาว่าแต่ละตัวละครซ่อนปมอะไรไว้ และหนังจะพาเราไปสู่จุดไหน ถือว่าเป็นหนังสยองแสบๆเรื่องหนึ่ง ที่ไม่อยากให้พลาดชมตัวอย่าง The Menu เมนูสยอง สัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Major Group

[REVIEW] ‘Project Wolf Hunting’ ภารกิจเรือคลั่งขนนักโทษ โหดอำมหิตระดับ 20+ | GOSSIP GUN

03 พ.ย. 2022

[REVIEW] ‘Project Wolf Hunting’ ภารกิจเรือคลั่งขนนักโทษ โหดอำมหิตระดับ 20+ | GOSSIP GUN

แรกเริ่มเดิมที เมื่อได้ยินข่าวของ Project Wolf Hunting หลังจากดูพล็อต ดูนักแสดง ก็นึกไปว่ามันคงเป็นหนังแหกคุกอีกหนึ่งเรื่อง เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่เกิดเหตุไปเป็นบนเรือ แต่เมื่อล่าสุดที่ สหมงคลฟิล์ม ประกาศว่า หนังคว้าเรต ฉ20 ในประเทศไทย (ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าชมเด็ดขาด) ดีกรีความน่าดูจึงพุ่งพรวด มันเป็นการการันตีทางอ้อมว่า หนังจะต้องเต็มไปด้วยฉากเอ็กซ์ตรีม โหดระดับสิบกระโหลก จนกระทั่งกองเซ็นเซอร์ในบ้านเราไม่ยอมให้เยาวชนเข้าไปดูอย่างแน่นอน แม้หนังดูจะโหดเลือดสาด แต่ภาพรวมของหนังก็น่าจะออกมาเป็นที่พอใจของแฟนๆและนักวิจารณ์ การันตีจากคะแนนรีวิว Rotten Tomatoes ที่มีนักวิจารณ์ชอบมากถึง 85% ในขณะที่คะแนน Audience Score จากฝั่งคนดู ก็สูงถึง 88% เช่นกัน เรียกว่าน่าจะสะใจทั้งสายหนังและสายบันเทิงอย่างแน่นอนProject Wolf Hunting เล่าถึงภารกิจโหดในการขนนักโทษจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ มายังเมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ โดยใช้วิธีล่องมาบนเรือขนส่งสินค้าขนาดยักษ์ที่ใช้เวลาแล่นมาราว 2-3 วัน โดยการขนนักโทษคราวนี้ถือเป็นภารกิจหิน เพราะเต็มไปด้วยนักโทษระดับอันตรายขั้นสุด ไม่ว่าจะเป็นฆาตกรโรคจิต หรือนักโทษคดีข่มขืน จึงต้องใช้ตำรวจคุมภารกิจมากถึง20 คน หลังจากที่ปฏิบัติการขนนักโทษรอบก่อนหน้านี้เคยผิดพลาดมาแล้ว เมื่อเรือลำนี้แล่นออกจากท่า ดูเหมือนทุกอย่างจะสงบนิ่ง แต่แล้วเหตุการณ์บางอย่างได้เกิดขึ้น นำไปสู่ความโกลาหล และความวิบัติขั้นสุด เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เมื่อทั้งตำรวจและนักโทษ ต้องสวมวิญญาณนักฆ่า เอาตัวรอดจากเดนมนุษย์บนเรือคลั่งลำนี้หลังดูจบก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Project Wolf Hunting ได้รับเรต ฉ20 ในไทย (ไม่ได้สิแปลก) เพราะมันไม่ใช่หนังเรือคลั่งเฉยๆ อาจเรียกได้ว่า โคตรพ่อโคตรแม่คลั่งเลยก็ว่าได้ หนังอัดแน่นด้วยฉากโหดในระดับ 10/10 สำหรับใครที่เป็นคอหนังโหดอยู่แล้ว น่าจะสะใจและถูกใจกับหนังเรื่องนี้ ในขณะที่ใครดูฉากโหดได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อยากให้หลีกเลี่ยง เพราะหนังถือว่าโหดในระดับที่ไม่ปราณีผู้ชมทั่วไป เต็มไปด้วยเลือดนองดั่งคลื่นมหาสมุทร ฉากทุบอวัยวะต่างๆจนเละ หรือหั่นอวัยวะในแบบอำมหิตขั้นสุด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ Project Wolf Hunting โหดแต่ไม่ได้ถึงขั้นดูไม่ได้ แค่หนังโหดแบบโอเว่อร์ ในความเป็นจริง ฉากฆ่าแกงกัน มันไม่ได้โหดหนักขนาดนี้ หรือเลือดออกเยอะขนาดนี้ หนังมีความเกินเบอร์อยู่หน่อย ทำให้ดูเว่อร์เกินจริง และเมื่อหนังไม่ได้สมจริง ความน่ากลัวจึงลดลงไป กลายเป็นโหดแบบหนังการ์ตูนผู้ใหญ่ ความโหดนี้จึงไม่ใช่โหดแบบโหดร้าย แต่เป็นโหดแบบสนุก โหดแบบสะใจมากกว่า หลายซีนเลยเป็นการสนุกกับการทายว่า ฉากต่อไปจะฆ่าแกงกันแบบไหน จะโหดได้ระดับได้มากกว่านี้อีกหรือไม่นอกจากความโหดแบบไม่ยั้งแล้ว สิ่งที่ทำให้ Project Wolf Hunting น่าสนใจ คือพล็อตที่ชวนติดตาม และบรรยากาศดิบเถื่อนที่หนังรักษาไว้ได้ดีตลอดทั้งเรื่อง ในแง่ของพล็อตแม้หนังจะเปิดมา ว่านี่คือภารกิจขนนักโทษกลับเกาหลีผ่านเรือขนส่งขนาดใหญ่ แต่ไส้ในของหนังมันกลับมาอะไรซ่อนกว่านั้น หนังยังมีพล็อตบางอย่างที่เก็บเอาไว้ ตัวละครบางตัวที่ยังไม่เปิดเผย ตรงนี้เองทำให้หนังสนุกมากขึ้น แม้ว่าบางจุดอาจจะดูออกทะเลไปบ้าง (ไม่ใช่ออกทะเลแค่พล็อตหลัก)แต่นี่คือส่วนที่ทำให้หนังคาดเดาไม่ได้ และเพิ่มความโกลาหลเข้าไป ทำให้บางจุดผู้ชมเองก็ไม่รู้จะเชียร์ใครดี บางฉากก็อยากจะเชียร์ตำรวจ แต่ดูไปดูมาก็อยากจะให้นักโทษรอดก็มี ซึ่งทั้งหมดนี่ ดูถ่ายทอดผ่านงานภาพและอารมณ์ของหนังที่ ตรึงบรรยากาศแบบดิบๆไว้ได้ตลอด เป็นหนังเกาหลีอีกเรื่องที่ถึงแม้งานภาพจะโหด แต่ต้องชื่นชมว่า คุมธีมไว้ได้แบบไม่หลุดโทนเลย (แค่ดูจากภาพนิ่งที่ปล่อยออกมา จะเห็นได้ว่าหนังสวยงามในแบบดิบๆได้มากเลยทีเดียว)โดยรวม Project Wolf Hunting ถือเป็นหนังแอ็กชันเอ็กซ์สตรีมที่น่าจะสะใจสายโหดอยู่ไม่น้อย แม้พล็อตตั้งต้นจะดูเหมือนCon Air ในฉบับเปลี่ยนจากเครื่องบินเป็นเรือ แต่ตัวหนังเองพาผู้ชมไปไกลกว่านั้น (ที่แน่ๆมันโหดกว่า Con Air ในแบบคูณสิบไปเลย) นอกจากจะสนุกกับดีกรีความโหดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกหนึ่งความสนุกที่สายเกาหลีน่าจะบันเทิงคือ การลุ้นว่านักแสดงที่เราชื่นชอบ ตัวละครของพวกเขาจะรอดไปจากเรือคลั่งลำนี้หรือไม่ ใครจะตายก่อนตายหลัง และตายด้วยวิธีสุดอำมหิตแบบไหน บางอย่างมันก็บียอนด์ไปไกลกว่าที่คาดคิดอยู่ไม่น้อย เตรียมใจให้พร้อมแล้วออกแล่นไปกับเรือคลั่งลำนี้กันไป โดยก่อนไปชมอย่าลืมเตรียมบัตรประชาชนไปแสดงกันด้วย (ในรอบเปิดตัวหนัง ตรวจบัตรก่อนเข้าชมทุกที่นั่งจริงๆ)Project Wolf Hunting เรือคลั่ง เกมล่าเดนมนุษย์ สัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Major Group

album

0
0.8
1