[REVIEW] Lightyear ต้นกำเนิดของเล่นใน Toy Story ผจญภัยอวกาศจัดเต็ม | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] Lightyear ต้นกำเนิดของเล่นใน Toy Story ผจญภัยอวกาศจัดเต็ม | GOSSIP GUN

15 มิ.ย. 2022

เชื่อว่าใครหลายๆคน คิดถึงการดูหนังพิกซาร์ในโรงภาพยนตร์ เป็นเวลานานเกือบปีครึ่งแล้ว ที่คอหนังไม่ได้ดูแอนิเมชั่นจากค่ายนี้บนจอใหญ่ๆ หลังจาก Soul (ที่เข้าโรงในไทยแต่อเมริกาไปสตรีมมิ่ง) หนังพิกซาร์สุดประทับใจซัมเมอร์ก่อนอย่าง Luca และหนังแพนด้าแดง Turning Red ต่างถูกดิสนีย์ข้ามการฉายโรงไปลงใน Disney+ เลย จนในที่สุดดิสนีย์พร้อมส่งหนังพิกซาร์ครองโรงอีกครั้ง และคงไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่า Lightyear หนังที่แยกออกจากมา Toy Story แอนิเมชั่นเปิดตำนานค่ายพิกซาร์ ที่สร้างมายาวนานถึง 4 ภาค ล่าสุดมาพร้อมกับไอเดียที่น่าสนใจ กับการเล่าต้นกำเนิดของตัวละครที่แฟนๆรัก อย่าง บัซ ไลท์เยียร์ แน่นอนว่ามันเป็นเพียงของเล่น ที่ของเล่นชิ้นนี้สร้างมาจากหนังดัง และนี่คือหนังเรื่องดังกล่าว...

หนังเล่าถึง บัซ ไลท์เยียร์ นักบินอวกาศฝีมือเก่งกาจที่ตกอยู่ในอันตราย หลังยานของเขาตกบนดาวเคราะห์ที่ห่างไกลจากโลก บัซจึงพยายามทำทุกทางเพื่อกลับโลก แต่การซ่อมยานและทดลองของเขา กลับพาเขาเดินทางสู่อนาคต ที่ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปหมด ผู้คนที่เขารู้จักค่อยๆจากไป นอกจากอันตรายที่เขาและทีมต้องเผชิญจากสิ่งมีชีวิตสุดประหลาดบนดาวแล้ว ยังต้องเจอกับฝูงหุ่นยนต์ลึกลับ ที่บุกมาโจมตี โดยมีเป้าหมายเดียวคือ การจับตัว บัซ ไลท์เยียร์ไป โดยหนังฉบับนี้ได้ คริส อีแวนส์ พระเอก Captain America มาให้เสียงแทน ทิม อัลเลน ที่พากย์เป็นบัซ ของเล่นในหนัง Toy Story

แม้จะเป็นหนังภาคแยกจาก Toy Story แต่ Mood & Tone ค่อนข้างต่างจากหนังชุดดังกล่าวพอสมควร เพราะหนังเลือกจะเล่าเป็นแนวแอ็กชันไซไฟแบบเต็มตัว เหมือนเราดูหนังอวกาศผจญภัยแบบ Star Wars, The Martian (แต่แน่นอนว่ายังมีความคอเมดี้แทรกอยู่ตลอดเวลา เพราะก็ยังคงเป็นการ์ตูนดิสนีย์) หรือหลายคนอาจนึกไปถึง Top Gun : Maverick ในแบบดิสนีย์ ดังนั้น อารมณ์ของ Lightyear เลยจะไปใกล้เคียงกับหนังอย่าง The Incredibles และ Cars เสียมากกว่า ที่มีฉากแอ็กชันค่อนข้างเยอะ แทรกด้วยอารมณ์ขัน และมีซีนประทับใจอยู่พอสมควร สิ่งที่ค่อนข้างเซอร์ไพรสคือ Lightyear มีฉากให้ผู้ชมชวนน้ำตารื้นอยู่เหมือนกัน แถมมาตั้งแต่ฉากแรกๆด้วย แม้ว่าหนังจะไม่ได้ไปสุดในแบบ Up ซีนแรกๆ หรือ Toy Story 3 ฉากท้ายๆ แต่ก็บีบหัวใจเราได้เหมือนกัน

นอกจากตัวละครบัซที่หนัง Lightyear พาผู้ชมไปทำความรู้จักเขาเพิ่มเติมและสำรวจมุมต่างๆของเขาแล้ว ไฮไลต์ที่แทบจะขโมยทุกซีนเลยก็ว่าได้ คือ ซ็อกซ์ เจ้าแมวหุ่นยนต์ ที่สร้างอารมณ์ขัน และมีอะไรเซอร์ไพรสผู้ชมได้ตลอดเวลา ใครจะไปคิดว่า บัซ ไลท์เยียร์ สุดเท่ก็กลายเป็นทาสแมวได้เหมือนกัน ท้ายที่สุดแล้ว Lightyear ก็ถือเป็นหนังซัมเมอร์ดูสนุกหนึ่งเรื่อง จัดอยู่ในกลุ่มหนังพิกซาร์ที่สร้างความบันเทิงเป็นหลัก แม้มันจะไม่ได้ลึกซึ้งในประเด็นแบบ Inside Out หรือ Soul แต่มันก็สนุกครบรส และมีคุณสมบัติมากพอ ที่จะเอนเตอร์เทนผู้ชมทุกวัยได้

ปล.หนังเรื่องนี้ มีฉากแถมในช่วง End-Credit และหลังเครดิต รวมทั้งสิ้นถึง 3 ฉากด้วยกัน เรียกว่าแถมแบบจุกๆเอาชนะหนังมาร์เวลกันไปเลย นั่งรอดูกันได้ ขำๆเพลินๆ

(ให้ 7.5 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) 

ภาพ : Walt Disney Studios Thailand

ชมตัวอย่าง Lightyear เข้าฉาย 16 มิถุนายนนี้ในโรงภาพยนตร์


related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Inside Out 2’ ภาคต่อที่ทั้งเติบโตและลึกซึ้งขึ้น แต่คงไอเดียสุดล้ำเช่นเคย

12 มิ.ย. 2024

[REVIEW] ‘Inside Out 2’ ภาคต่อที่ทั้งเติบโตและลึกซึ้งขึ้น แต่คงไอเดียสุดล้ำเช่นเคย

คุ้มค่าแก่การรอคอยนาน 9 ปีเต็ม สำหรับภาคต่อของแอนิเมชั่นสุดประทับใจที่มาพร้อมไอเดียสุดล้ำอย่าง ‘Inside Out’ ของค่ายพิกซาร์ แอนิเมชั่น ที่ย้อนกลับไปเมื่อปี 2015 สร้างปรากฏการณ์ทั้งกวาดเงินมากถึง 850 ล้านเหรียญฯ จากทั่วโลก กวาดคะแนนบวกจากนักวิจารณ์มากถึง 98% และปิดท้ายด้วยการคว้ารางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยมมาได้สำเร็จ และขึ้นแท่นหนึ่งในหนังแอนิเมชั่นในดวงใจคนดูไปเต็ม ๆด้วยพล็อตสุดครีเอท ที่เล่าถึงเหล่าอารมณ์ในหัวของ ไรลี่ย์ เด็กสาวไฮสคูลที่กำลังว้าวุ่นกับการเติบโต โดยในหัวของเธอมีอารมณ์ต่าง ๆ เป็นตัวขับเคลื่อน นำโดย จอย ตัวละครสุดอารมณ์ดี แน่นอนว่ากว่าที่ ‘Inside Out’ ภาคแรกจะเกิดขึ้นได้ ใช้เวลาพัฒนาโปรเจกต์อยู่นาน ขั้นตอนสำหรับภาคต่อก็เช่นกัน ทำให้หนังถูกทิ้งช่วงนานถึง 9 ปีเต็ม โดยพิกซาร์มอบหมายหน้าที่ผู้กำกับภาคนี้ให้ เคลซี มานน์ หัวเรือใหญ่ของทีมครีเอทีฟพิกซาร์ ที่มีส่วนร่วมในหนังของค่ายยุคหลัง ๆ อย่าง Soul, Luca และ Elemental มาทำหน้าที่กำกับเป็นครั้งแรก ที่ดูเหมือนจะรับไม้ต่อมาได้อย่างยอดเยี่ยมเสียด้วยสำหรับใน ‘Inside Out 2’ ยังคงเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ ไรลี่ย์ เด็กสาวไฮสคูลที่กำลังต้องเผชิญหน้ากับจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เมื่อเธอกำลังต้องขึ้นสู่ชั้นเรียนใหม่ ต้องพบกับเพื่อนใหม่ ๆ และความฝันในการเข้าทีมเป็นนักกีฬาฮอกกี้ ทำให้การเข้าค่ายในช่วงไม่กี่วันจากนี้ เป็นช่วงเวลาสำคัญ สิ่งที่เกิดขึ้นในหัวของไรลี่ย์ นอกจาก 5 อารมณ์เดิมจากภาคแรกแล้ว คือการเข้ามาของ 4 อารมณ์ใหม่ ที่นำทีมโดย ว้าวุ่น อารมณ์ที่เริ่มเกิดขึ้น เมื่อมนุษย์เติบโตขึ้น พวกเขากำลังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง เมื่อมนุษย์เริ่มมีอารมณ์ดีที่น้อยลง และเริ่มมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น จอยและแก๊งอารมณ์เดิมจะรับมืออย่างไรกับสิ่งนี้ พวกเธอจะสามารถควบคุมไรลี่ย์ให้หน้าด้านไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการได้หรือไม่ ต้องมาติดตามกันแน่นอนว่าหนังภาคนี้ เติบโตในเนื้อหามากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับตัวละครไรลีย์ที่มีอายุมากขึ้น ดังนั้นประเด็นต่าง ๆ ของหนัง จึงเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ของมนุษย์ การก้าวขึ้นเป็นผู้ใหญ่ มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ในพาร์ทนี้ของหนังถือว่า สามารถถ่ายทอดความซับซ้อนด้านอารมณ์ของคนเรา ออกมาได้อย่างน่าสนใจ ยังคงมีความลึกซึ้งทางด้านเนื้อหา ตามแบบฉบับที่ Inside Out นั้นควรจะเป็น และมีความเข้าใจมนุษย์มากขึ้นยิ่งกว่าภาคแรก ทำให้เนื้อหาในภาคนี้ น่าจะทัชใจผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้นด้วย ไม่ได้เพียงแค่สร้างความบันเทิง สำหรับผู้ชมที่เป็นเด็ก ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของหนังดิสนีย์เท่านั้นอย่างไรก็ตาม แม้ตัว Message ของหนังจะโตขึ้นก็ตาม แต่ ‘ Inside Out 2’ ยังคงรักษามาตรฐานความบันเทิงแบบดิสนีย์ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะเหล่ามุกที่สร้างสรรค์ขึ้นจากครีเอทีฟไอเดีย ภาคนี้ถือว่าไม่เสียเวลารอคอยจริง ๆ ยิ่งการสร้างตัวละครใหม่ ยิ่งน่าสนใจไม่แพ้กับ 5 ตัวละครแรก ทุกตัวยังคงมีเอกลักษณ์ในแบบของมัน และเป็นที่จดจำ นอกจากนี้ยังมีเหล่าตัวละครที่อาจจะไม่ใช่ทั้งมนุษย์ และไม่ใช่ทั้งอารมณ์ แต่มาขโมยซีนแบบเต็ม ๆ (แต่พวกเขาคืออะไรนั้น ไม่สามารถสปอยล์ได้ตรงนี้) นอกจากนี้หนังยังสามารถรักษาพาร์ทของการเป็นหนังผจญภัยได้อย่างสนุกสนาน กับการเดินทางของ จอย และแก๊งอารมณ์ออริจินัลของพวกเธอ ที่ต้องออกเดินทางด้วยภารกิจบางอย่าง หนังสร้างสรรค์มุมต่าง ๆ ในหัวของไรลีย์ ได้เหมือนสวนสนุก เหมือนจำลองดิสนีย์แลนด์ ในเวอร์ชั่นสมองไรลีย์ออกมาได้อย่างน่าติดตาม ยิ่งเสริมให้ ‘Inside Out 2’ ครบถ้วนในทุกแง่มุมทั้งความสนุก ความลึกซึ้ง และความประทับใจของธีมเรื่องโดยรวม ‘Inside Out 2’ ถือเป็นโจทย์ยากสำหรับพิกซาร์อยู่ไม่น้อย เพราะว่าภาคแรกสร้างมาตรฐานไว้สูงมาก แต่ผลลัพภ์ที่ออกมา ก็ถือว่าน่าพอใจมาก คุ้มค่าแก่การรอคอยสำหรับแฟนหนังพิกซาร์ ซึ่งหลายโปรเจกต์ที่ผ่านมา ทางค่ายไม่สามารถรักษามาตรฐานที่ทัดเทียมภาคแรกไว้ได้สำหรับภาคต่อ แต่สำหรับเรื่องนี้ถือว่าทำได้ เป็นการกลับคู่ระดับความพีกของพิกซาร์อีกครั้ง และน่าจะส่งให้ ‘Inside Out 2’ เป็นความสำเร็จเรื่องแรก ๆ ของซัมเมอร์นี้ในอเมริกาได้อย่างไม่ยาก หลังจากที่ตลอดเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีแต่หนังที่ทำรายได้น่าผิดหวัง และเพิ่งมามีหนังที่ทำเงินเหนือความคาดหมายคือ ‘Bad Boys : Ride or Die’ ในสัปดาห์ก่อน แอนิเมชั่นจากพิกซาร์เรื่องนี้ น่าจะมีปลุกผี Box Office ในอเมริกาได้ต่ออีกเรื่องภาพ : Walt Disney Studios

[REVIEW] Jurassic World Dominion บทสรุปจูราสสิคที่โคตรลุ้นและจัดเต็มทีมนักแสดง | GOSSIP GUN

08 มิ.ย. 2022

[REVIEW] Jurassic World Dominion บทสรุปจูราสสิคที่โคตรลุ้นและจัดเต็มทีมนักแสดง | GOSSIP GUN

เดินทางมาถึงภาคที่6แล้วสำหรับหนังไดโนเสาร์ในตำนานอย่างJurassic Parkซึ่งภาคใหม่นี้อย่างJurassic World : Dominionถือเป็นการปิดไตรภาคสำหรับหนังชุดเวิร์ลด้วย หลังจากที่กลับมาชุบชีวิตให้แฟรนไชส์จูราสสิคกลับมาโลดแล่นบนจอหนังอีกครั้ง สำหรับหนังภาคนี้ ได้ โควิน ทราเวอโรว์ ผู้กำกับจากภาคดังกล่าว กลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง ซึ่งไฮไลต์สำหรับภาคนี้ ซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นJurassic All Starก็ว่าได้ คือการกลับมาของ3นักแสดงนำต้นฉบับ คือ แซม นีลล์,ลอร่า เดิร์น และ เจฟฟ์ โกลด์บลัม แม้บางคนจะกลับมาโผล่ในภาคต่อบ้าง แต่ไม่เคยมาครบทีมเลย ดังนั้นนี่คือครั้งแรกในรอบ29ปี ที่พวกเขารวมตัวกัน และได้มาผนึกกำลังกับสองคนนักแสดงนำในหนังชุดใหม่อย่าง คริส แพรตต์ และไบรซ ดัลลัส ฮาเวิร์ด!เรื่องราวในหนังภาคนี้ เกิดขึ้นหลังจากภาคFallen Kingdomเมื่อโลกกลายเป็นแหล่งที่อยู่ที่ผสมผสานกันของ มนุษย์ และไดโนเสาร์ พวกมันกระจายอยู่ทั่วโลก ทั้งในป่า ไม่เว้นแม้แต่ในเมือง แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ย่อมส่งผลร้ายต่อระบบนิเวศน์ และที่สำคัญส่งผลเสียต่อมนุษย์ เมื่อพวกเราไม่ใช่นักล่าระดับบนสุดอีกต่อไป!ในภาคนี้ โอเว่นและแคลร์(รับบทโดย คริส แพรตต์ และไบรซ ดัลลัส ฮาเวิร์ด)ต้องออกช่วยเหลือ เมซี่ ลูกเลี้ยงของพวกเขาที่ถูกองค์กรร้ายที่บังหน้าด้วยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์จับตัวไป ในขณะเดียวกับโลกก็กำลังเผชิญกับเหตุแมลงยักษ์ทำลายพืชผักของชาวไร่ จึงเป็นหน้าที่ของ ดร.อลัน และดร.เอลลี่(รับบทโดย แซม นีลล์ และลอร่า เดิร์น)ที่ต้องสืบที่มา และพวกเขาเชื่อว่า มันเกี่ยวข้องกับองค์กรนี้เช่นเดียวกัน!ใครที่เป็นแฟนของหนังชุดJurassic ParkและJurassic Worldยังไงก็ไม่ควรพลาดอยู่แล้ว เพราะนอกจากจะเป็นภาคบทสรุปเรื่องราวทั้งหมด ยังเป็นครั้งแรกที่รวมนักแสดงในแฟรนไชส์ไว้ได้เยอะขนาดนี้ ซึ่งทำให้หนังได้บรรยากาศเก่าๆกลับมาเยอะพอสมควร ยิ่งแฟนๆที่โตมากับหนังภาคแรกอย่างJurassic Parkการกลับมาเจอ3นักแสดงทีมออริจินัล เหมือนการได้กลับมาเจอเพื่อนเก่าในงานรียูเนียน และพวกเขาทั้ง3ก็ยังคงมีเคมีบนจอที่ดี และเข้ากับทีมนักแสดงชุดเวิร์ล อย่างทั้ง คริส แพรตต์ และ ไบรซ์ ดัลลัส ฮาเวิร์ด อีกด้วยจุดเด่นมากๆของJurassic World Dominionคือฉากแอ็กชัน หลังจากหนังใช้เวลาปูเรื่องในองก์แรกนานพอสมควร เมื่อเริ่มเข้าสู่โหมดแอ็กชันไล่ล่าแล้ว ก็สนุกแบบหยุดไม่ได้เลย ให้อารมณ์เหมือนขึ้นเครื่องเล่นในสวนสนุก ที่พอมันเริ่มแล้วก็ลุ้นตื่นเต้นกันแบบนันสต็อป เริ่มตั้งแต่ฉากไล่ล่าในมอลต้า ยาวไปจนถึงฉากต่างๆในป่าขนาดใหญ่ ที่ได้ฟีลเหมือนหนังJurassicภาคก่อนๆ ความน่าสนใจคือ ภาคนี้ เราจะได้เห็นฉากแอ็กชันระหว่างคนกับไดโนเสาร์ ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายสุดเท่าที่หนังเคยมีมา เริ่มตั้งแต่ใจกลางเมือง ไปจนถึงในห้องทดลอง กลางป่า บนฟ้า หรือแม้แต่บนพื้นน้ำแข็งที่หนาวเหน็บ ซึ่งแต่ละฉากทำออกมาได้ลุ้นจิกเบาะมาก แม้ว่าดูเหมือนหนังจะได้แรงบันดาลใจมาจากหนังแอ็กชันที่หลากหลายทั้ง หลายครั้งที่รู้สึกเหมือนดูFast Furious, Jason Bourne, James Bondหรือแม้แต่Mission: Impossibleอยู่ปัญหาใหญ่ๆของJurassic World Dominionคือพล็อตและบทสนทนา หนังเรื่องนี้จะเจ๋งมากถ้าตัดบทพูดออกไปให้หมด หนังค่อนข้างเสียเวลาในการปูเรื่อง และเต็มไปด้วยฉากสนทนาที่ไม่จำเป็น หลายฉากที่จำเป็นบทพูดก็ประหลาด ให้ความรู้สึกอิหยังวะค่อนข้างมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะบทของตัวละคร3นักแสดงต้นฉบับ ที่หลายครั้งดูตลก ความเท่ในแบบที่พวกเขาเป็นในภาคแรกถูกลดทอนลงไป ด้วยบทพูดที่ดูไม่Make Senseเลย รวมไปถึงตัวโครงเรื่องหลัก ที่ปูมาตั้งแต่แรกอย่างเข้มข้นถึงความขัดแย้งและปัญหา ในการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับไดโนเสาร์ แต่ท้ายที่สุดหนังกลับหาทางออกอย่างง่ายดายจนเกินไปอย่างไรก็ตาม แม้Jurassic World Dominionจะมีจุดบกพร่องเรื่องบทอย่างเด่นชัด แต่ภาพรวมก็ยังถือว่า นี่คือหนังฟอร์มยักษ์ที่ดูสนุกเอามากๆ และมีความตื่นตาด้วยสเกลของงานโปรดักชั่นที่ดูยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดูในระบบIMAXยิ่งเสริมความอลังการของหนังเข้าไปอีก(ในระบบIMAXจะมีการฉายสลับทั้งในระบบปกติ และ3D)นอกจากนี้แม้ว่าบทจะไม่ส่งซักเท่าไหร่ แต่พลังดาราของนักแสดงนำ รวมถึงเสน่ห์ของพวกเขาก็ยังน่าดึงดูดมากพอ ที่จะทำให้ผู้ชมทั้งลุ้นและทั้งรักพวกเขาได้อย่างไม่ยาก ในฐานะหนังปิดท้ายตระกูลJurassic Parkซึ่งไม่รู้ว่าอนาคตจะมีการชุบชีวิตกลับมาสานต่ออีกหรือไม่ นี่คือภาคจบที่ยังไงก็ไม่ควรพลาดอยู่ดี(ให้7คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ภาพ : UIP Thailandชมตัวอย่างJurassic World Dominionวันนี้ทุกโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Faces of Annes แอน’ ใครคือแอนตัวจริง หนังชวนฉงน ชวนสะพรึงแห่งปี | GOSSIP GUN

12 ต.ค. 2022

[REVIEW] ‘Faces of Annes แอน’ ใครคือแอนตัวจริง หนังชวนฉงน ชวนสะพรึงแห่งปี | GOSSIP GUN

ฮือฮาตั้งแต่เปิดตัวไปแล้วสำหรับภาพยนตร์ไทยน่าจับตามองแห่งปีอย่างFaces of Anneหรือชื่อไทยสั้นๆ ว่า"แอน"ด้วยทีมนักแสดงสุดหวือหวา เพราะน่าจะเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่รวมนักแสดงหญิงวัยรุ่นน่าจับตามองไว้เยอะที่สุดขนาดนี้ ทั้งที่เปิดเผยออกมาแล้วถึง10คน ตามรายชื่อบนใบปิด ประกอบด้วย ออกแบบ ชุติมณฑน์,อิ้งค์ วรันธร,วี วิโอเลต,มินนี่ ภัณฑิรา,ก้อย อรัชพร,ปันปัน สุทัตตา,เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ,มิวสิค แพรวา,อุ้ม อิษยา และ นานา ศวรรยา ยังไม่รวมที่ยังไม่ได้โปรโมตอีก ซึ่งความพีกยิ่งกว่าคือคอนเซปต์ของหนัง เพราะนักแสดงทั้งหมดที่เอ่ยนามมานี้ ต่างเล่นเป็นตัวละครที่ ชื่อว่า แอน พวกเขารับบทเป็นหญิงสาวที่ตื่นขึ้นมาในห้องหนึ่ง ในชุดสีเหลืองเหมือนกัน ทุกคนต่างถูกคุมขังไว้ในสถานที่แห่งนี้ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่อันตรายกำลังจะมาถึง หลังจากการปรากฏตัวขึ้น ของ ปีศาจกวาง ที่ออกไล่ฆ่าพวกเธออย่างอำมหิต ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอจะมีชีวิตรอดหรือไม่ แล้วทำไมทุกคนถึงชื่อแอน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในที่แห่งนี้ ต้องไปหาคำตอบกันในหนังสิ่งที่ดึงดูดกลุ่มคนดูหนังมากที่สุด นอกจากลิสต์รายชื่อนางเอกรุ่นใหม่ และพล็อตสุดแปลกแล้ว คือ ชื่อของผู้กำกับ อย่าง คงเดช จาตุรันต์รัศมี เจ้าของผลงานเกรดเออย่าง เฉิ่ม,ตั้งวง, Snapแค่ได้คิดถึง และล่าสุดอย่างWhere We Belongที่ตรงนั้นมีฉันหรือเปล่า(นอกจากนี้ คงเดช ยังเขียนบทให้กับหนังรักคุณภาพล้นอย่างThe Letterจดหมายรัก และMe..Myselfขอให้รักจงเจริญ อีกด้วย)ด้วยงานกำกับที่คุมคนดูอยู่หมัดมาโดยตลอด และไม่ว่าเขาจะเล่าเรื่องอะไร มักแฝงประเด็นสถานการณ์บ้านเมืองไว้เสมอ โดยเฉพาะ3เรื่องล่าสุดที่ เอ่ยถึงทั้งอย่างตรงไปตรงมา และในนัยยะแฝง เฉกเช่น ผลงานล่าสุดอย่างFaces of Annesแม้ตัวหนังเองจะทำท่าเป็นPsychological Thrillerหรือหนังทริลเลอร์จิตวิทยา ที่มีกลิ่นของหนังสยอง และหนังไล่เชือด แต่ในเส้นเรื่องที่ลึกกว่านั้น เชื่อว่าผู้กำกับได้แฝงอะไรบางอย่างไว้อย่างแน่นอน เพราะระหว่างทางมีอะไรให้คิดไปทางนั้นอยู่ไม่น้อยโดยรวมบรรยากาศของFaces of Annesทั้งชวนสะพรึง ชวนสยอง และชวนฉงนไปพร้อมๆกัน ในพาร์ทที่ทำให้รู้สึกสะพรึงนั้น หนังสามารถทำได้ตั้งแต่วินาทีแรกๆ ที่คุมคนดูอยู่ แม้จะเคลื่อนตัวไปช้าในระดับหนึ่ง แต่ด้วยอารมณ์ของหนังทำให้ผู้ชมติดอยู่กับสถานการณ์นั้นได้ตลอด นำมาสู่จังหวะที่หนังชวนสยอง เมื่อFaces of Annesเพิ่มดีกรีความระทึกขึ้น นับตั้งแต่ตัวละคร"ปีศาจกวาง"โผล่ออกมา ไล่ฆ่าพวกเธอ แม้เหล่าแอนจะพยายามหนีแต่ก็ไม่มีทางออก นำไปสู่พาร์ทชวนฉงน การดูหนังเรื่องนี้เหมือนการต่อจิกซอว์อยู่ไม่น้อย เมื่อคนดูค่อยๆปะติดปะต่อเรื่องราว คนสร้างก็ค่อยๆเผยโครงสร้างพล็อตออกมา เผยความจริงบางอย่าง ทำให้หนังน่าติดตาม และชวนให้อยากรู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในหนังเรื่องนี้?แน่นอนว่าFaces of Annesไม่ใช่หนังสยองขวัญที่เล่าเรื่องชั้นเดียว นอกจากการไขปริศนาที่เกิดขึ้นในเส้นเรื่องหลักแล้ว การมองหนังด้วยแว่นตาที่ต่างออกไป ทำให้เห็นอะไรบางอย่างมากขึ้น โดยเฉพาะแว่นตาของการเมือง ซึ่งปรากฏในหนังคงเดชอยู่บ่อยครั้ง ในเรื่องนี้ก็แฝงไว้ซึ่งสัญญะเช่นกัน(ต่อจากนี้ไม่ได้สปอยล์เรื่องนะครับ)เริ่มจากตัวละครแอน และปีศาจกวาง ที่เปรียบเปรยถึง คน หรือ กลุ่มคนบางกลุ่ม สามารถสังเกตได้ด้วย สิ่งที่พวกเธอเผชิญ เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ ในขณะที่ปีศาจกวางนั้น สามารถสังเกตได้จาก การเลือกให้ตัวละครนี้ สวมหัวกวาง สัตว์ที่ดูสง่างามแต่กลับมาไล่ฆ่าคน อาวุธที่กวางใช้ เพลงที่ถูกเปิดทุกครั้งที่ปีศาจตนนี้ปรากฏตัว พร้อมด้วยรายละเอียดยิบย่อยอีกมากมาย หลายจังหวะถ้าดูหนังด้วยแว่นตาแบบดูเอาบันเทิงอาจจะไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่ถ้ามองอีกแบบ อาจจะเจอคำตอบ สิ่งที่แฝงไว้ในหนังเรื่องนี้ โดย นอกจากในแง่การปกครองที่ถูกเล่าผ่านFaces of Annesแล้ว หนังยังเล่าถึงสังคมคนรุ่นใหม่ในยุคสมัยปัจจุบันอย่างตรงไปตรงมา การใช้ชีวิตในสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การถูกครอบงำโดยSocial Mediaลามไปถึงปัญหาด้านจิตเวช ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่วัยรุ่นยุคนี้ต้องเผชิญ ในสภาวะสังคมที่ไม่ปกตินี้ไฮไลต์ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ คือเหล่าทีมนักแสดงหญิงรุ่นใหม่มากฝีมือที่ตบเท้าเข้ามาแสดงในFaces of Anneอย่างน่าตื่นตา โดยรวมหนังค่อนข้างบาลานซ์Screen Timeของนักแสดงแต่ละคนได้ค่อนข้างดี แน่นอนว่า เวลาปรากฏบนจอไม่เท่ากัน แต่ทุกคนต่างมีโมเมนต์เป็นของตัวเอง มีจังหวะที่ปล่อยของกันพอสมควร ถ้าจะให้เลือกไปเลยว่าใครคือMVPแทบจะเลือกได้ยากมาก เพราะทุกตัวละครต่างมีความสำคัญ ต่างมีอะไรบางอย่างที่ไม่ง่ายนักในการแสดง ความสนุกของผู้ชมคือการลุ้นว่า ใครจะโผล่มาเมื่อไหร่ นักแสดงที่เราชอบจะปรากฏตัวช่วงนี้ ประโยชน์ของการที่หนังมีดาราเยอะ มันก็สนุกในแบบนี้แฝงไปด้วยโดยรวมFaces of Annesคือหนังชวนขยี้สมองแห่งปี หากจะเข้าไปดูเพื่อความบันเทิง อาจจะได้ความเครียดกลับมาแทน เพราะหนังท้าทายผู้ชม กระตุ้นให้ชวนคิดต่อตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในแง่เส้นเรื่องปกติ รวมถึงเส้นประเด็นที่แฝงเอาไว้ ทั้งหมดนี้ถูกคุมด้วยบรรยากาศชวนสะพรึงตลอดทั้งเรื่อง แม้จะมีบางจุดที่จังหวะการเล่าค่อนข้างช้า แต่หนังก็สามารถตรึงเราไว้ได้เสมอ และด้วยแคสระดับดรีมทีมแบบนี้ ไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะได้ดูหนังไทยที่แปลกใหม่ น่าสนใจ น่าลิ้มลองในแบบที่Faces of Annesนำเสนอ ถ้ามีโอกาส นี่คือหนังไทยอีกเรื่อง ที่อยากให้ลองชมภาพ : M Picturesชมตัวอย่าง แอนFaces of Anneเข้าฉาย13ตุลาคมในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Beast’ (สัตว์-ร้าย) 90 นาทีสุดระทึก หนีตายสิงโตกลางป่าลึก | GOSSIP GUN

25 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘Beast’ (สัตว์-ร้าย) 90 นาทีสุดระทึก หนีตายสิงโตกลางป่าลึก | GOSSIP GUN

ถ้าหนังอย่าง Crawl และ The Shallow ทำให้คุณลุ้นจนเหนื่อย ต้องไม่มองข้ามหนังเรื่อง Beast (ชื่อไทย สัตว์-ร้าย) ที่เปลี่ยนจาก จระเข้และฉลาม เป็น สิงโตคลั่ง และเปลี่ยนโลเคชั่น จากในน้ำ มาสู่บนบก กลางทุ่งหญ้าอันกว้างขวางในทวีปแอฟริกา หนังเล่าถึง ดร.เนต (รับบทโดย ไอดริส เอลบ้า จาก The Suicide Squad และ Thor) พ่อหม้ายมาดๆ เขาคือคุณหมอที่เพิ่งสูญเสียอดีตภรรยาไป และเพื่อสานสัมพันธ์กับลูกๆอีกครั้ง เขาจึงตัดสินใจพา แมร์และนอร่าห์ ลูกสาวสองคนของเขา ไปเที่ยวในแอฟริกาใต้ ไปเยี่ยมบ้านเกิดคุณแม่ของพวกเธอ แต่ในขณะที่พวกเขากำลังแล่นรถเยี่ยมชมในเขตอุทยานที่ปราศจากผู้คน ฝันร้ายก็ค่อยๆคลานเข้ามาเพื่อตะครุบพวกเขา เมื่อพวกเขาเจอศพของชาวเผ่าตายเป็นเบือ และต่างมีรอยกัดของสัตว์ใหญ่ที่แสนดุร้าย ไม่นานก็พวกเขาก็ได้เผชิญหน้ากับ สิงโตที่คลั่งผิดปกติ ท่ามกลางสถานที่อันเวิ้งว้าง พวกเขามีเพียงแค่รถคันเล็กๆ ที่ทำให้ปลอดภัยจากสัตว์ร้าย พวกเขาจะเอาชีวิตรอดไปได้อย่างไร เมื่อไม่มีแม้แต่สัญญาณมือถือในการขอความช่วยเหลือ ไร้ซึ่งอาหารและน้ำดื่มที่ใกล้จะหมด ความตายค่อยๆคืบคลานเข้ามาทุกวินาทีBeast ถือว่าเป็นหนังโปรแกรมส่งท้ายซัมเมอร์ของค่ายยูนิเวอร์แซล ที่ฟอร์มหนังอาจจะไม่ได้ใหญ่นัก หรือชวนหวือหวาเท่ากับหนังระทึกขวัญเรื่องอื่นๆ แต่อยากจะบอกทุกท่านว่าอย่าได้มองข้ามหนังเรื่องนี้เชียว ถ้าคุณชื่นชอบหนังระทึกที่จะทำให้ตลอดทั้ง 90 นาทีของหนัง ลุ้นแบบไม่ได้พัก Beast สามารถทำให้ผู้ชมตื่นเต้นได้ในระดับเดียวกับหนังที่เอ่ยชื่อไปอย่างCrawl และ The Shallow จากสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร หนังค่อยๆสร้างข้อจำกัดให้กับตัวละครเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความหวังดูจะริบหรี่ลงเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน Beast ก็ไม่ยั้งมือที่จะทำให้สิงโตคลั่งในเรื่อง ดุร้ายอย่างสมชื่อจริงๆ หลายจังหวะที่สิงโตโผล่ออกมา ทำให้เราตกใจหรือหลอนไม่แพ้กับหนังผีเลยทีเดียว และความดุร้ายของมัน ทำให้ฉากสิงโตโจมตีมนุษย์ ดูอำมหิตสมจริง รุนแรงในระดับบางทีต้องเบือนหน้าหนีเลยทีเดียวองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ Beast กลายเป็นหนังที่ดูสนุกเกินคาด คือความสมจริงในแง่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโลเคชั่นในการถ่ายทำที่ทีมงานบินกันไปถ่ายถึงแอฟริกาใต้จริงๆ ตัวของสิงโตเอง แม้ว่าจะมั่นใจว่าเป็นการใช้ คอมพิวเตอร์กราฟฟิกในการสร้างขึ้นมา แต่ก็ดูสมจริง ไม่ได้รู้สึกขัดหรือสะดุดตาเลยแม้แต่น้อย ไฮไลต์สำคัญคือการเคลื่อนกล้อง ที่ถ้าลองสังเกตุดูหลายๆฉากใช้การถ่ายทำแบบ Long Take และเคลื่อนกล้องอย่างพริ้วไหวตามตัวละครไปจากด้านหลัง เพิ่มระดับความตื่นเต้นให้กับผู้ชมเข้าไปอีก หลายฉากไม่ได้ตัดสลับไปมาจนงง แต่แช่ภาพให้เห็นแบบเต็มๆ แต่จุดปัญหาที่อาจจะทำให้ผู้ชมไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจน คือความดื้อของสองตัวละคร แมร์และนอร่าห์ ที่แอบดื้อขัดคำสั่งคุณพ่อ จนทำให้ผู้ชมก่นด่าอยู่ในใจ อย่างไรก็ตาม คาดว่าผู้กำกับคงจะรู้ว่า คนดูรำคาญแน่ๆ เลยให้ตัวละครในหนังด่านำไปก่อนแล้ว เลยพอจะให้อภัยความชวนหงุดหงิดของสองตัวละครนี้ไปได้โดยรวม Beast ถือเป็นหนังแอ็กชันเขย่าขวัญฟอร์มปานกลางส่งท้ายซัมเมอร์ที่ไม่อยากให้คอหนังระทึกมองข้ามเลยจริงๆ จากตอนแรกที่ผู้เขียน ดูโปสเตอร์ ดูตัวอย่างแล้ว ไม่ได้สะกิดต่อมความอยากดูเท่าไรนัก ปรากฏว่าพอเข้าไปชมในโรงภาพยนตร์จริงๆ สนุกเกินคาดไปมาก คำว่าลุ้นจนเหนื่อยมีอยู่จริงในหนังเรีื่องนี้ อีกส่วนที่ทำให้หนังดูสมจริงยิ่งขึ้นคือ การแสดงของ ไอดริส เอลบ้า และการสร้างตัวละครพระเอก ที่หนังไม่พยายามจะให้เขาเก่งเกินจริงไปมาก เขาเป็นเพียงแค่คุณหมอที่ไร้ทักษะในการต่อสู้ ทำให้หลายฉากออกมาดูทุลักทุเล เพิ่มระดับความลุ้นขึ้นไปอีก เพราะผู้ชมทราบดีว่า ตัวละครมนุษย์ในหนังเป็นรองสิงโตคลั่ง ถ้ามีโอกาส แนะนำให้ชม Beast ในโรงภาพยนตร์ ได้อรรถรส มากกว่ารอดูในระบบสตรีมมิ่งอย่างแน่นอนชมตัวอย่าง Beast สัตว์-ร้าย วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

album

0
0.8
1