เรื่องเล่าจากแจ็ค The Ghost Radio 'อยากฟังเรื่องผีมั๊ย' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [18 ก.พ. 2568]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากแจ็ค The Ghost Radio 'อยากฟังเรื่องผีมั๊ย' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [18 ก.พ. 2568]

22 ก.พ. 2025

        จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเพื่อนที่ไม่ค่อยได้คุยกัน อยู่ดี ๆ ก็พิมพ์ข้อความมาหากลางดึกว่า อยากฟังเรื่องผีมั๊ย? พอตอบตกลงก็ทำให้ได้รับรู้ถึงเรื่องราวความหลอน! เรื่องนี้ ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio‘ ได้นำมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (18 กุมภาพันธ์ 2568) เมื่อเล่าจบทั้ง ‘ดีเจเเนน’ เเละ ‘ดีเจเจ็ม’ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น่ากลัวมาก ถ้าพร้อมเเล้วก็ไปอ่านกันเลย!

        พี่เเจ็คเล่าว่าเจ้าของเรื่องคือ ‘คุณลมหนาว’ เเฟนคลับจากรายการ The Ghost Radio โดยตัวของคุณลมหนาวในสมัยเรียนก็มีเพื่อนเยอะเเยะมากมาย เเต่พอจบการศึกษาก็ทำให้เเต่ละคนก็ต้องเเยกย้ายกันไป ทำให้ไม่ค่อยได้เจอกันสักเท่าไหร่

        มีอยู่คืนหนึ่ง คุณลมหนาวได้รับข้อความจากเพื่อนที่มีชื่อว่า ‘คุณบี’ ตอนแรกคุณลมหนาวก็ไม่ได้สนใจข้อความนั้น จนมีข้อความที่สองตามมา เเต่คราวนี้เป็นการเรียกชื่อของคุณลมหนาวเเทน จึงเอะใจคิดว่า เพื่อนจะมีธุระด่วน คุณลมหนาวจึงกดเข้าไปอ่านเเละตอบกลับไป ทั้งคู่ได้ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกัน  ในตอนนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว คุณลมหนาวจึงถามว่า ทำไมคุณบีถึงยังไม่นอน คุณบีตอบกลับมาว่า

        ‘พอดีทีวีที่บ้านเสีย’

        คุณลมหนาวก็คิดอยู่ในใจว่าแล้วมันเกี่ยวกันอย่างไร จากนั้นคุณบีก็ได้เงียบหายไปสักพักเเละพิมพ์ข้อความกลับมาอีกครั้งว่า

        ‘อยากฟังเรื่องผีมั๊ย?’

        เเละด้วยความอยากรู้ คุณลมหนาวจึงตอบตกลงไป ไม่นานหลังจากนั้น คุณบี ก็โทรมาเเละเล่าให้คุณลมหนาวฟังว่า..  

        หลังจากที่เรียนจบไปก็ได้เเยกกับเพื่อน ๆ เพื่อไปชีวิตของตัวเอง ซึ่งตัวของคุณบีก็มีคุณยายหนึ่งคน คุณยายเคยให้สัญญากับคุณบีไว้ว่า ถ้าคุณบีเรียนจบก็จะสร้างบ้านให้ 1 หลัง บนที่ดินที่ไปซื้อมาเมื่อ 10 ปีก่อน ปรากฎว่าหลังคุณบีเรียนจบ คุณยายก็สร้างบ้านให้จริง ๆ ในตอนนั้นชีวิตของคุณบีรู้สึกว่าทุกอย่างลงตัวมาก เพราะที่ทำงานก็อยู่ใกล้กับครอบครัว บ้านก็อยู่ใกล้กัน

        แต่เเล้วคืนหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นภายในบ้านของคุณบี ส่วนตัวของคุณบีจะเป็นคนที่ชอบเปิดเสียงฝนเเบบธรรมชาติเพราะช่วยให้นอนหลับได้ เเต่วันนั้น กลับมีเสียงของคนสูงอายุเเละเด็กเเทรกเข้ามาด้วย แม้จะเป็นเสียงที่เบามากจนจับใจความไม่ได้ ทำให้อีกใจก็คิดไปว่าตนนั้นอาจจะหูแว่วไปเอง แต่เสียงที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก คุณบียังคงได้ยินเสียงแทรกเข้ามาแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ บางครั้งก็มีเสียงคนกระแอมแทรกเข้ามา

        พักหลังคุณบีเริ่มนอนไม่ค่อยหลับบ่อยขึ้น จึงเลือกที่จะเปิดทีวีเพื่อใช้กลบเสียงเหล่านั้นไป พอทุกอย่างผ่านไปจนถึงในช่วงที่คุณบีได้หยุดงาน คุณบีจึงทำงานบ้านทุกอย่างให้เสร็จเพื่อที่จะได้นอนพักผ่อน ระหว่างที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น คุณบีก็ได้ยินเสียงกรนของใครบางคน ในตอนเเรกเหมือนต้นเสียงนี้จะอยู่ไกลจากคุณบี เเต่มันก็เริ่มเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนมาหยุดที่ข้างหู ทำให้คุณบีสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เเละพยายามมองหาต้นเสียงภายในห้อง เเต่เสียงนั้นก็เงียบหายไป คุณบีรู้สึกเหมือนว่าเจ้าของเสียงกรนรู้ตัวว่าคุณบีพยายามที่จะมองหา หลังจากเหตุการณ์นั้นทำให้คุณบีเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างเริ่มชัดเจนขึ้น ทั้งเสียงเท้าที่เดินในบ้าน เสียงเด็กวิ่ง เสียงของคนเเก่เเละเด็กคุยกัน

        จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณบีเลิกงานดึกเเล้วกลับมาที่บ้าน ในตอนนั้นคุณบีกำลังจะทำอาหาร เเต่อยู่ ๆ ทีวีที่อยู่บริเวณห้องโถงก็เปิดขึ้นเอง เเละมันก็เร่งเสียงเองจนดังไปทั่วทั้งบ้าน คุณบีตกใจเเละจะเดินเข้าไปปิดทีวี เเต่ก็ต้องหันหลังกลับเพราะชามที่วางไว้อยู่บนเคาเตอร์อยู่ ๆ ก็ตกเเละเเตกทีละใบ คุณบีที่จะรู้อยู่เเล้วว่าบ้านหลังนี้มีอะไรเเปลก ๆ วันนั้นจึงหมดความอดทนเเละตะโกนด่าไปว่า

        “ถ้าพวกมึงจะทำให้กูกลัวเเบบนี้เพราะหวังให้กูทำบุญให้ ตั้งศาลให้ กูไม่ทำหรอกนะ ที่นี่บ้านกู..”

        แต่ยังไม่ทันพูดจบประโยค ไฟในบ้านทุกดวงก็ได้ดับลง เเละมีเสียงของคนเเก่มาพูดจากด้านหลังของคุณบีว่า

        “กูได้ยินมึงนะ”

        คุณบีได้ยินดังนั้นก็ทิ้งทุกอย่างเเละวิ่งหนีขึ้นไปที่ห้องนอนชั้น 2 ผ่านไปได้ประมาณ 2 - 3 นาที ไฟในบ้านก็ได้ติด เเต่หลังจากเจอเหตุการณ์นี้ ก็ทำให้คุณบีเลือกที่จะนอนทันที ไม่ทำอาหารแล้ว

        เเต่ในระหว่างที่กำลังจะเคลิ้มหลับ คุณบีก็ได้ยินเสียงย่ำเท้าดังขึ้นจากชั้นล่างเดินขึ้นมาเเละหยุดที่หน้าประตูของห้องนอน แล้วเสียงก็เงียบไป คุณบีคิดว่าทุกอย่างคงจบเเค่นี้ เเต่เสียงนั้นกลับดังอีกครั้ง กลับกันคราวนี้เสียงนั้นอยู่ในห้องนอนบริเวณรอบเตียงเเทน เสียงเดินสลับกับเสียงเด็กวิ่งไปมารอบ ๆ เตียง เเต่ด้วยความที่คุณบีปิดไฟนอนเเล้วทำให้ไม่มองไม่เห็นอะไรมาก เเต่อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนโดนมนต์สะกดอะไรบางอย่างให้หันไปมองที่ปลายเท้า พอคุณบีหันไปมอง ก็ได้เห็นร่างคนเเก่หลังค่อม ดวงตากลวงโบ๋ยืนยิ้มอยู่ที่บริเวณปลายเท้า! คุณบีไม่สามารถส่งเสียงร้องหรือลุกขึ้นยืนได้จึงพยายามที่จะหันหน้าหนี เเต่พอหันหน้าหนีมาอีกฝั่ง คุณบีก็ได้เห็นเด็กคนหนึ่งยืนเกาะอยู่ที่บริเวณขอบเตียง พอเห็นเเบบนั้นคุณบีก็รู้สึกเหมือนภาพตัดเเละหลับไป

        หลังจากตื่นขึ้นมาในตอนเช้า สิ่งเเรกที่คุณบีทำคือขับรถไปที่บ้านของคุณยาย เเละเล่าเรื่องให้คุณยายฟัง เเต่คุณยายก็บอกว่าไม่รู้เรื่องอะไร เพราะบ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านที่พึ่งสร้างใหม่ คุณยายจึงเเนะนำให้ไปหาพ่อหมอคนหนึ่งที่รู้จัก คุณบีรีบเดินทางไปหาพ่อหมอคนนั้น พอถึง คุณบีก็ได้เล่าทุกอย่างให้พ่อหมอฟัง พ่อหมอจึงตัดสินใจที่จะมอบยันต์ที่ปลุกเสกให้กับคุณบี เพื่อที่จะให้นำกลับไปติดไว้ที่บ้าน เเต่ข้อเเม้ก็คือ คุณบีต้องเเปะยันต์นี้ก่อนที่ตะวันจะตกดิน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 4 โมงเย็นเเล้ว คุณบีรีบขับรถกลับบ้านเเละเเปะยันต์ทันที

        หลังจากเเปะเสร็จ ก็ไปอาบน้ำ และรอดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ กลับกลายเป็นว่าเสียงทุกอย่างเงียบสงัดไม่มีเสียงเดิน ไม่มีเสียงคนคุยกัน คุณบีจึงตัดสินใจที่จะนอนหลับ ถึงเเม้ว่าจะไม่มีเสียงอะไรก็ตาม แต่คุณบีก็ได้เห็นร่างคนแก่ชัดมากยิ่งขึ้น คนเเก่คนนั้นได้ยืนจ้องเเละชี้นิ้วมาทางคุณบี เเละคุณบีก็ไม่สามารถขยับตัวได้ ส่วนเสียงฝีเท้าของเด็กที่วิ่งรอบเตียงเปลี่ยนมาวิ่งบนเตียง ที่หลอนกว่านั้นคือมีแค่ข้อเท้ากับกระพรวนไม่มีตัว! จากนั้นคุณบีก็ได้สลบไป

        เช้าวันถัดมาพอคุณบีตื่นขึ้น ก็รีบขับรถไปที่ตำหนักของพ่อหมออีกครั้งเพื่อที่จะขอให้พ่อหมอช่วย เเต่คราวนี้พ่อบอกว่า

        “กูช่วยไม่ได้เเล้วละ”

        จากนั้นพ่อหมอก็ได้เริ่มเล่าให้ฟังว่า..

        บ้านของคุณบีถูกสร้างบนที่ดินของคนเเก่คนหนึ่งที่เคยอยู่ตรงนั้น เเล้วโดนฟ้าผ่าตาย ทำให้จิตผูกเอาไว้กับที่นั้น ส่วนเด็กคนนั้นเป็นกุมาร ซึ่งตัวของคุณบีเป็นคนไปเรียกเขามาเอง ทำให้คุณบีนึกขึ้นได้ว่า คุณบีเคยไปงานศพของครอบครัว ในตอนที่กำลังจะกลับ คุณบีก็ได้ตะโกนถามญาติผู้ใหญ่ไปว่า

        ‘ใครจะกลับด้วยกันไปเร็ว ขึ้นรถเลย’

        จากเหตุการณ์นี้ทำให้มีวิญญาณตามคุณบีกลับมาด้วย พ่อหมอจึงเเนะนำว่า ให้ไปหาท้าวเวสสุวรรณมาตั้งไว้ในบ้านเเละบอกให้คุณบีทำบุญขึ้นบ้านใหม่ด้วย เพราะตั้งแต่อยู่มา คุณบียังไม่เคยทำบุญบ้าน

        หลังจากคุยกับพ่อหมอเสร็จ คุณบีก็ขับรถกลับมาที่บ้านของคุณยายเเละพูดคุยกันในเรื่องนี้ ซึ่งคุยยายได้ฟังก็ตกใจเพราะไม่รู้ว่าที่ดินที่ตนซื้อ จะมีเจ้าของที่คนเก่าเสียชีวิต หลังจากคุยกันเสร็จคุณยายก็ตัดสินใจว่าจะนำท้าวเวสสุวรรณมาให้คุณบีเเละบอกกับคุณบีให้นอนที่บ้านนี้ก่อน เเล้วในวันรุ่งขึ้นก็ได้นิมนต์หลวงพ่อเพื่อมาทำพิธีทำบุญขึ้นบ้านใหม่

        เมื่อพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้น ในกลางดึกคืนนั้น คุณบีก็ได้ฝันเห็นเด็กคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเเละพูดว่า

        “พ่อ หนูขออยู่ด้วยได้ไหม ไหน ๆ พ่อก็เรียกหนูมาเเล้ว หนูขออยู่ด้วยนะ”

        ซึ่งในความฝันนั้น คุณบีได้ตอบตกลงไป หลังจากสิ้นคำตอบคุณบีก็ได้สะดุ้งตื่นขึ้น หลังจากผ่านคืนนั้นไป บ้านทั้งหลังก็ปกติ เเต่ก็ยังคงมีเสียงวิ่ง เสียงคนเเก่บ้างในบางวัน จนทำให้ทุกวันนี้คุณบีต้องนอนเปิดทีวีทุกคืนตลอดมา..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ไปนอนที่โฮมสเตย์ต่างจังหวัด ป้าเจ้าของที่พักกำชับว่ากลางดึกห้ามออกจากห้องเด็ดขาด!

07 ส.ค. 2023

ไปนอนที่โฮมสเตย์ต่างจังหวัด ป้าเจ้าของที่พักกำชับว่ากลางดึกห้ามออกจากห้องเด็ดขาด!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (25 กรกฎาคม 2566) ที่ผ่านมาอยู่กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เช่นเคย และเป็นอีกครั้งที่ ‘คุณแจ็ค The Ghost Radio’ มาเป็นแขกรับเชิญเสริมอรรถรสให้รายการนี้เฮี้ยนกว่าเดิม! เรื่องราวครั้งนี้เป็นเรื่องของผีเด็กในโฮมเสตย์ แต่ก่อนจะไปอ่าน ขอเตือนไว้ก่อนว่า ถ้าได้ยินเสียงใครเคาะผนังตอนกลางคืนก็อย่าทักเชียว! เจ้าของเรื่องนี้คือ ‘คุณบอล’ ย้อนไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว คุณบอลเป็นบัณฑิตป้ายแดงจากคณะสายการท่องเที่ยว เขาได้มีโอกาสไปฝึกงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้กับบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง มีหน้าที่คอยแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้ลูกค้า อยู่มาวันหนึ่ง ทางบริษัทมีโปรเจ็คให้พนักงานไปหาสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ แล้วนำมาเสนอให้ เจ้านายดู ปรากฎว่าทางบริษัทถูกใจไอเดียของคุณบอล สุดท้ายคุณบอลจึงได้รับโจทย์งานให้ไปตามหาแหล่งท่องเที่ยวภาคเหนือที่น้อยคนจะรู้จักตามแนวทางที่คุณบอลเสนอ ภายในระยะเวลา 7 วัน งานในครั้งนี้คุณบอลได้ทั้งค่ารถ ค่าน้ำมันไม่อั้น แถมเงินใช้สอย 3 หมื่นบาท ทั้งหมดนี้เป็นข้อเสนอที่เด็กจบใหม่ไฟแรงไม่มีทางจะปฏิเสธแน่นอน หลังจากตกปากรับคำแล้ว ก็ชวนเพื่อนที่คณะติดสอยห้อยตามไปด้วย เวลาผ่านไป 5 วัน ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ตอนนั้นคุณบอลนึกถึงจังหวัดน่านขึ้นมา ในอดีตจังหวัดนี้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก การเดินทางก็ค่อนข้างลำบาก คนส่วนใหญ่จึงมองที่นี่เป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น แต่คุณบอลเห็นว่าน่านเป็นจังหวัดที่น่าไปสำรวจทีเดียว เพราะเต็มไปด้วยแหล่งธรรมชาติสวยงามมากมาย คุณบอลและเพื่อนจึงตัดสินใจเดินทางไปที่จังหวัดน่านกันเป็นแห่งสุดท้าย ตลอดทริปนั้น ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน คุณบอลและเพื่อนก็เลือกไปพักที่โฮมสเตย์เพื่อประหยัดเงิน โฮมสเตย์สมัยนั้นเป็นบ้านพักของชาวบ้านที่จัดสรรพื้นที่บางส่วนให้คนนอกเข้าพัก บางแห่งก็อาจจะไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือสิ่งอำนวยความสะดวกให้ เมื่อคุณบอลและเพื่อนมาถึงที่จังหวัดน่าน ก็ติดต่อไปที่ป้าคนหนึ่งชื่อ ‘ป้าพิณ’ เพื่อขอพักหนึ่งคืน กระทั่งถึงตอนเช้าของวันสุดท้าย (วันที่ 7) ในระหว่างที่คุณบอลกับเพื่อนของเขารับประทานอาหารเช้ากันอยู่ ป้าพิณไม่สามารถให้พวกเขาพักอยู่ที่นี่ต่ออีกหนึ่งวันได้เพราะตนมีธุระ จึงพาไปที่บ้านของ ‘ป้าแก้ว’ ที่เป็นโฮมสเตย์เหมือนกันแทน ดังนั้นเมื่อตกดึกคืนที่ 7 คุณบอลและเพื่อน ก็ย้ายไปที่บ้านป้าแก้ว บ้านของป้าแก้วนี้มีลักษณะเหมือนกับบ้านปกติทั่วไป นอกจากนี้ป้าแก้วยังได้ทำอาหารต้อนรับเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย ขณะที่กำลังกินข้าวอยู่ คุณบอลก็ถามป้าแก้วว่าอาศัยอยู่กับใคร ป้าแก้วก็ตอบว่าอยู่กับลูก 2 คน แต่คุณบอลก็ไม่เห็นวี่แววของเด็กคนไหนอยู่แถวนั้นเลย หลังจากรับประทานอาหารมื้อค่ำเสร็จ ป้าแก้วก็บอกว่าจะเตรียมอาหารมื้อดึกเอาไว้ให้ แล้วจะเอาเข้าไปวางไว้ในห้อง ตอนกลางคืนไม่ต้องออกมา หากปวดเบาก็มีกระโถนเตรียมไว้ให้เช่นกัน คุณบอลคิดว่าป้าแก้วอาจจะไม่สะดวกใจที่จะให้คนแปลกหน้ามาเพ่นพ่านไปมาในบ้านตัวเองตอนดึก จึงไม่ได้คิดอะไรมาก ห้องนอนที่ได้นั้น มีลักษณะเป็นไม้ทั้งหลัง ตอนนั้นคุณบอลและเพื่อนกำลังทำงานก่อนเข้านอน ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเคาะผนังไม้มาจากห้องอีกฟาก ปัง ปัง ปัง ! คุณบอลคิดว่าคงจะเป็นลูกของป้าแก้ว เสียงนี้ดังตลอดเวลาจนทนไม่ไหว จึงเดินไปดู แต่พอเปิดห้องออกไป ป้าแก้วก็ปรากฏตนขึ้นยืนขวางทางพวกเขาและบอกว่า “จะไปไหน ออกมาทำไม บอกว่ากลางคืนอย่าออกไง!” เจ้าของบ้านที่ใจดีอ่อนโยนในเย็นวันนั้นกลับกลายร่างเป็นคนดุน่ากลัวในยามค่ำคืน ทำเอาคนทั้งสองไม่กล้าบอกถึงเหตุผลที่แท้จริงของการพยายามออกจากห้องทีเดียว เพื่อนคุณบอลได้แต่ทำเออออห่อหมกแกล้งบอกปวดหนักต้องการเข้าห้องน้ำแล้วให้คุณป้าพาไป และเมื่อกลับมาถึงที่ห้อง ป้าแก้วก็กำชับอย่างหนักแน่นอีกครั้งว่า ห้ามออกจากห้องในยามวิกาลเด็ดขาด แต่เมื่อผ่านไปได้สักพัก ก็มีเสียงดังขึ้นมาอีก คราวนี้มาพร้อมเสียงของเด็ก ปัง ปัง ปัง! “มีใครอยู่ไหม!” และยังมีเสียงของป้าแก้วดังขึ้นมาว่า “ทำเสียงดังทำไม เคาะทำไม กวนพี่เขา พี่เขาทำงานอยู่” แม้เสียงจะฟังแล้วจับใจความไม่ค่อยได้ แต่ก็พอจะรู้ได้ว่าคงจะเป็นเสียงผู้ใหญ่กับเด็กคุยกัน หลังจากที่ทำงานไปได้สักพัก สองหนุ่มเกิดสมาธิหลุดจากการทำงานอีกรอบเพราะเสียงเคาะผนัง คราวนี้คุณบอลลองเอาหูไปทาบกับผนังดู แต่เสียงก็หยุดไปก่อน แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงของเด็กขี้เล่นกระซิบผ่านผนังว่า “ได้ยินหรอ อยากรู้หรอ มาเล่นกันไหม!” คุณบอลตกใจมากกับเสียงที่ได้ยิน เพื่อนคุณบอลพยายามปลอบไม่ให้คิดอะไรมาก เพราะเข้าใจว่าเด็กคงจะขี้เล่นแบบนี้ คุณบอลพยายามนั่งทำงานต่อ แต่หลังจากผ่านไปได้อีกสักพักหนึ่ง เสียงเคาะก็มาอีก ครั้งนี้ไม่ได้มาที่จุดเดิมแต่กระจัดกระจายไปทั่วผนัง! หลายชั่วโมงผ่านไป คุณบอลก็ยังได้ยินเสียงเคาะผนัง ซึ่งมันดังมาตลอดตั้งแต่ครั้งแรกตอนตีหนึ่งจนกระทั่งตอนนี้ตีสามแล้ว และเมื่อเห็นว่ามีรูที่ผนัง คุณบอลกับเพื่อนก็ลองส่องเข้าไปดูยังห้องอีกฟากหนึ่งของผนังดู ห้องที่เห็นค่อนข้างมืด มีแสงริบหรี่จากตะเกียงหรือไม่ก็เทียนไขพอให้ห้องสว่างวูบวาบอยู่บ้าง เมื่อภาพเริ่มชัดเจนขึ้น ก็เห็นเป็นเตียงและเด็กคนหนึ่งนอนอยู่ เด็กคนนี้หันหน้าเข้ากำแพงอีกฝั่งหันหลังให้คุณบอล เขามีหัวที่ค่อนข้างผิดรูปใหญ่โตกว่าปกติมาก ทันใดนั้นเด็กคนนั้นก็ยืนขึ้น แล้วเอาหัวโยกไปมาที่ผนังคล้ายเหมือนจะเล็งเป้า แล้วก็กระแทกหัวไปที่ผนังอย่างจังพร้อมส่งเสียง ปัง ปัง ปัง! พร้อมกับพูดว่า “อยู่ตรงนี้รึเปล่า!” จากนั้นก็เปลี่ยนตำแหน่งผนังซ้ายทีขวาที เมื่อผ่านไปได้สักระยะ เด็กคนนี้ก็กลับมานั่งที่เตียงอีกครั้งและนับ 1...2...3... เขาคลานอย่างเร็วมาส่องที่รูตรงผนัง ตาต่อตากับคุณบอล แล้วพูดว่า “อยู่นี่เอง! อยู่นี่ใช่ไหม!” คุณบอลและเพื่อนผงะออกมาจากผนัง ทั้งสองขวัญหนีดีฝ่อรีบคว้ามือถือตรงดิ่งไปที่ประตูห้องนอน เปิดออกมา แล้วก็เจอกับป้าแก้วยืนรอพวกเขาอยู่ด้านนอกเช่นเคย พร้อมกับพูดว่า “ออกมาทำไม ไม่ต้องออกมา กลับเข้าไปนอน!” เรียกว่าหนีผีปะป้าแก้วจริง ๆ คุณบอลและเพื่อนไม่รู้จะกลัวอะไรก่อนดี ระหว่างผีหรือว่าเสียงตวาดของป้าแก้ว คุณบอลและเพื่อนหมดหนทาง จะให้ออกไปตอนมืดแบบนี้ก็ฟังดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ สุดท้ายจึงจำใจอยู่ต่อในโฮมสเตย์แห่งนี้จนถึงเช้า ฟังเสียง ปัง ปัง ปัง! ของผี มีเพียงผนังไม้เท่านั้นมีกั้นพวกเขาเอาไว้ให้ปลอดภัย คุณบอลและเพื่อนจำไม่ได้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน แต่พอรู้ตัวอีกทีก็ 6 โมงเช้าแล้ว และมีคนมาเคาะที่ประตู ซึ่งก็คือป้าพิณที่มาชวนไปกินข้าว ชายทั้งสองรีบเก็บของแทบไม่ทัน แล้วเดินตามป้าพิณไปขึ้นรถ ระหว่างทางเดินนี้ก็ไม่มีวี่แววของป้าแก้วเลยสักนิด ทั้งคู่เล่าเรื่องประสบการณ์ชวนผวาเมื่อคืนให้ป้าพิณฟัง หลังจากเล่าเสร็จ ป้าพิณก็กล่าวขอโทษ และบอกว่าไม่รู้ว่ามันมีเหตุการณ์แบบนี้ แต่เคยได้ยินมาว่า สมัยก่อนป้าแก้วมีลูกอยู่จริง เด็กคนนี้ค่อนข้างซุกซน ชอบไปเล่นในป่าในสวนอยู่บ่อยครั้ง วันหนึ่ง ลูกของป้าแก้วเข้าไปเล่นในสวนแล้วก็หายตัวไป ไม่มีใครพบเห็นอีกเลย หลายวันผ่านไปป้าแก้วเริ่มใจสลาย แต่แล้ววันดีคืนดีลูกชายก็กลับมา ป้าแก้วเข้าไปกอดลูกด้วยความดีใจถามว่าเขาไปอยู่ไหนมา เด็กคนนี้ก็ได้แต่ตอบว่าไปอยู่กับ “ลุง” มา ส่วนเรื่องอาหารการกิน “ลุง” ก็เป็นคนจัดเตรียมให้ ป้าแก้วไม่ได้คิดอะไรมากเพราะดีใจที่ลูกกลับมา หลังจากเรียกชาวบ้านมารับขวัญเด็กคนนี้แล้ว เขาก็กลับมาอยู่ที่บ้านป้าแก้วตามเดิม แต่เรื่องที่แปลกก็คือ หลังจากกลับมาลูกชายของป้าแก้วก็เอาแต่พูดถึงเรื่อง “ลุง” ขอร้องให้ป้าแก้วพาไปหา “ลุง” อยู่ตลอดเวลา เมื่อป้าแก้วถามว่าลุงคนนี้คือใคร ลูกก็ไม่ตอบ นานวันไป เด็กคนนี้ก็เริ่มอาละวาดเพราะแม่ไม่พาไปหาลุงเสียที สุดท้ายป้าแก้วไม่สามารถต้านทานความต้องการของลูกได้ ต้องยอมพาลูกไปหา “ลุง” ป้าแก้วไปตามทางที่ลูกเป็นคนนำเข้าไปในป่า จนมาหยุดอยู่ตรงศาลพระภูมิไม้เก่า ๆ พอถึงตรงนั้นแล้วลูกของป้าแก้วก็เดินตรงไปที่เครื่องเซ่น แล้วหยิบมากิน! ลูกของป้าแก้วพูดว่า “เนี่ยไง บ้านลุง!” ป้าแก้วรีบห้ามลูก แล้วพากลับบ้านทันที เมื่อมาถึงบ้านก็อาละวาดพยายามจะกลับไปหา “ลุง” อีกให้ได้ ตอนนั้นป้าแก้วก็ต้องออกไปเก็บเห็ดทำสวน จะเอาลูกไปด้วยตลอดเวลาก็ไม่ได้ จึงตัดสินใจขังลูกไว้ในห้องตอนตัวเองไม่อยู่บ้าน วันหนึ่งเมื่อกลับมาจากการทำงาน บ้านก็ดูเงียบผิดสังเกต เมื่อไปดูที่ห้องก็พบลูกนอนตายอยู่! มีลักษณะเหมือนว่าพยายามจะเอามือข่วนไปที่กำแพง และยังมีเลือดอาบเต็มหัว เหมือนเอาหัวโขกไปที่กำแพงอยู่หลายรอบ เสียงที่คุณบอลและเพื่อนได้ยิน คงจะเป็นจิตสุดท้ายของเด็กคนนี้ที่เอาหัวโขกกำแพง เพื่อที่จะพยายามพาตัวเองออกจากห้องนี้ไปให้ได้นั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

สัตวแพทย์สาวต้องย้ายงานมาทำในเมืองเล็ก ในระหว่างที่กำลังหาห้องพัก เธอก็ได้ยินเสียงแทรกเข้ามาในหัวว่า “หอตรงนี้ยังไม่ใช่ที่ของเธอนะ ที่ของเธออยู่ตรงนู้น” จากนั้น เธอก็ได้เจอกับเหตุการณ์ชวนขนหัวลุกแทบไม่เว้นวัน!

26 ต.ค. 2023

สัตวแพทย์สาวต้องย้ายงานมาทำในเมืองเล็ก ในระหว่างที่กำลังหาห้องพัก เธอก็ได้ยินเสียงแทรกเข้ามาในหัวว่า “หอตรงนี้ยังไม่ใช่ที่ของเธอนะ ที่ของเธออยู่ตรงนู้น” จากนั้น เธอก็ได้เจอกับเหตุการณ์ชวนขนหัวลุกแทบไม่เว้นวัน!

เรื่องหลอนในคืนนี้มีชื่อว่า ‘สิ่งลี้ลับในเมืองเล็ก’ จากสายคนฟัง ‘คุณกุ้ง’ บอกเลยว่าทำเอาชาวรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 ตุลาคม 2566) ขนหัวลุก! ไม่เว้นแม้แต่ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ปิดไฟแล้วไปอ่านพร้อมกันเลย! เรื่องราวความน่ากลัวของคุณกุ้งเริ่มจากการที่เธอชอบมูเตลู ย้อนกลับไปเมื่อ ประมาณ 10 กว่าปีก่อน สมัยที่เธอพึ่งจะเรียนจบชั้นมัธยมตอนปลาย และมีการสอบเพื่อเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาแห่งหนึ่ง ในสมัยนั้นคุณกุ้งมีโอกาสได้ไปขอพรไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเมืองเล็กแห่งหนึ่ง โดยขอว่าให้ตอนนั้นได้เรียนต่อสัตวแพทย์ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ หลังจากการสอบเสร็จสิ้น คุณกุ้งก็ถูกคัดเลือกให้เข้ามาศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ในฐานะนักศึกษาสัตวแพทย์ หลังจากเรียนจบก็ได้กลับไปแก้บนตามที่ได้บนบานสานกล่าวกระทั้งในปัจจุบัน คุณกุ้งก็ได้มาทำงานสัตวแพทย์ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจังหวัดบ้านเกิดของคุณกุ้งเอง ไม่นานหลังจากที่ทำงานในจังหวัดเชียงใหม่ คุณกุ้งก็ได้มีโอกาสย้ายที่ทำงานไปทำงานในเมืองเล็ก ๆ ของจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ ซึ่งที่ทำงานใหม่ที่คุณกุ้งมาบรรจุนั้น ไม่มีที่พักรับรองให้เธอจึงจำเป็นต้องหาที่พักเอง ระหว่างที่กำลังการหาที่พักอยู่นั้นปรากฎว่าเธอได้ยินเสียงชายปริศนาแทรกเข้ามาในหัวอยู่ตลอดเวลา “หอตรงนี้ยังไม่ใช่ที่ของเธอนะ ที่ของเธออยู่ตรงนู้น” คุณกุ้งประหลาดใจหลังจากที่ได้ยินเสียงพวกนี้ แต่ด้วยความที่คุณกุ้งเชื่อในสิ่งลี้ลับและเป็นสายมูเตลูอยู่แล้ว จึงเชื่อว่าสถานที่ตรงนี้น่าจะมีอะไรบางอย่างที่อาจจะทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจได้ จึงตัดสินใจว่าจะหาที่ต่อไป ต่อมาไม่นานหลังจากที่คุณกุ้งได้เข้ามาดูหอใหม่ เธอรู้สึกถูกชะตาเป็นอย่างมาก เนื่องจากหอนี้อยู่ใกล้ที่ทำงานกว่าหออื่น ๆ ที่ไปดูมา และด้วยความโชคดีที่พักแห่งนี้ยังมีห้องว่างให้เช่าอยู่ 2 ห้องพอดี เธอจึงตัดสินใจที่จะทำสัญญาเช่า และย้ายเข้ามาอยู่ในหอพักที่ใหม่ทันที หลังจากที่เธอย้ายมาอยู่ที่หอนี้ เธอก็ได้พบเจอกับประสบการณ์ขนหัวลุก ในระหว่างที่นอนหลับสะลึมสะลืออยู่นั้น ก็รู้สึกว่าเธอฝันว่ามีผู้หญิงลักษณะคล้ายกับคนในปี ค.ศ. 1990 กำลังใช้มือโผล่ทะลุผ่านประตูเข้ามาถอดสลักกลอนโซ่ประตูออก แล้วบิดลูกบิดประตูเพื่อเปิดเข้ามาในห้องของเธอ! ไม่นานประตูก็ค่อย ๆ แง้มออกอย่างช้า ๆ และเปิดเข้ามาปรากฎตัวให้เธอเห็นร่างที่มาแค่ส่วนหัวและลำตัว! ไม่มีท่อนล่าง จากนั้นก็แสยะยิ้มให้คุณกุ้งด้วยท่าทีนิ่งเฉย และไม่ได้สื่อสารอะไร คุณกุ้งที่แม้จะสะลึมสะลืออยู่ แต่ก็รับรู้ได้ว่าสิ่งที่เธอได้เห็นนั้นไม่น่าจะใช่คนทั่วไปแน่นอน จึงสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที และได้พบว่าสิ่งที่เธอเจอเมื่อกี้เขาแค่มาเตือนว่าอย่าลืมไปร่วมพิธีตีกลองสะบัดชัยที่กำลังจะจัดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ด้วย เรื่องราวความน่ากลัวในเมืองเล็กแห่งนี้ยังไม่จบ คุณกุ้งเล่าต่อว่าเธอได้มีโอกาสไปเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสายอาชีพงานที่กำลังทำอยู่ ซึ่งจำเป็นต้องเก็บของเพื่อเดินทางไปต่างจังหวัด จึงจัดเตรียมกระเป๋าเดินทางสำหรับเก็บสัมภาระ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จำเป็น หลังจากที่เธอจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยก็เข้านอนตามปกติ ในคืนนั้นก็ได้ฝันว่าเธอได้เดินทางไปในสถานที่หนึ่ง และได้พบกับอาแปะคนหนึ่ง เขาเดินเข้ามาทักเธอว่า “ลื้อ..ลื้อจะเดินทางใช่มั๊ย ไอ้ที่ลื้อจะพกไป อย่าพกไปนะ มันจะระเบิดบนเครื่อง” คุณกุ้งนึกสงสัยว่าอาแปะคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าเธอกำลังจะเดินทาง แต่หลังจากนั้นเธอก็ตื่นขึ้นมา รุ่งขึ้น คุณกุ้งตัดสินใจที่จะหยิบแบตสำรองออกจากกระเป๋าเดินทาง และวางมันไว้ที่พื้นในห้องแทน ไม่นานหลังจากที่เธอกลับมา ก็พบว่าแบตสำรองที่เธอวางไว้บริเวณพื้นนั้นมีสภาพปกติ จึงคิดในใจว่าอาแปะที่มาบอกในฝันเมื่อคืนนั้นคงโกหกเธอ แต่แล้วก็ได้สังเกตว่าแบตสำรองนั้นมันบวมขึ้นผิดปกติ! และก็ได้ยินเสียงไฟฟ้ากำลังช็อต! คุณกุ้งจึงตัดสินใจรีบเอาออกไปให้คนอื่นช่วยนำไปทิ้งทันที และคิดได้ทันทีว่าในสมัยก่อนคุณกุ้งเองก็นับถืออาแปะโรงสี และที่ฝันว่าเจออาแปะในคืนนั้นก็เป็นการมาเตือนให้เธอระวังตัว หลังจากเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองเล็กแห่งนี้ คุณกุ้งก็ได้รู้ความจริงจากคุณพ่อว่าเธอมีเชื้อสายคนที่นี่ ทั้งยังโดนทักจากร่างทรงว่าในอดีตเธอเป็นคนที่นี่ ถึงได้วนเวียนมาใช้ชีวิต ถึงมีหน้าที่การงานในเมืองเล็กแห่งนี้ ซึ่งประสบการณ์หลอน ๆ ที่คุณกุ้งได้เจอทั้งหมดก็ถือเป็นการมาเตือนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองเธออยู่นั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

อยู่ในช่วงดวงตก ปัญหาหลายอย่างรุมเร้า จับพลัดจับพลูได้มาอยู่อะพาร์ตเมนต์ กะจะหนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่ดันทำให้สัมผัสที่ 6 เปิดขึ้นแบบเต็มคาราเบล เพราะห้องที่อยู่นั้นเต็มไปด้วยผีมาตามก่อกวน!

19 พ.ค. 2023

อยู่ในช่วงดวงตก ปัญหาหลายอย่างรุมเร้า จับพลัดจับพลูได้มาอยู่อะพาร์ตเมนต์ กะจะหนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่ดันทำให้สัมผัสที่ 6 เปิดขึ้นแบบเต็มคาราเบล เพราะห้องที่อยู่นั้นเต็มไปด้วยผีมาตามก่อกวน!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (9 พฤษภาคม 2566) ได้มีสายจาก ‘คุณอ้อ’ โทรมาเล่าเรื่องของตัวเองที่ดวงตกจนเจอดี ให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ ฟัง เรื่องราวจะหลอนสักแค่ไหน ไปติดตามกันได้เลย! คุณอ้อเล่าว่า เรื่องในครั้งนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ตอนนั้นอายุประมาณ 37 ปี และมีแพลนจะแต่งงาน แต่คงเป็นช่วงที่ดวงตัวเองตก เพราะมีเหตุการณ์แย่ ๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง ทั้งเลิกกับแฟน สูญเสียบ้านและรถ ไปพร้อมกัน เหลือก็แต่ชีวิตของตัวคุณอ้อเอง และการดวงตกในครั้งนี้ ทำให้เกิดผลกระทบกับตัวคุณอ้ออีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือคุณอ้อมีสัมผัสที่ 6 ทำให้เห็นผีได้ เมื่อออกมาจากบ้านแฟน ก็มาอยู่อะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ สิ่งที่เจอในสัปดาห์แรกคือผีผู้หญิงวัยกลางคนมาหลอกด้วยสภาพหน้าเละครึ่งร่าง ทำให้คุณอ้อนอนไม่ได้ ต้องเปิดไฟและทีวีทิ้งไว้ทั้งคืน คุณอ้อทนไม่ไหวจึงบอกกับผีตนนั้นไปว่า “คุณคะ หนูหนีร้อนมาพึ่งเย็นนะ หนูขอมาอยู่ร่วมกับคุณนะคะ แล้วพรุ่งนี้หนูไปทำบุญให้” พอตื่นเช้ามาสิ่งที่เกิดขึ้นคืออาการปวดไหล่ที่ทรมานมาก ๆ คุณอ้อจึงคิดว่าเดี๋ยวพอทำบุญเสร็จจะไปนอนนวดตัว และเมื่อถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลเรียบร้อย ปรากฏว่าอาการปวดเมื่อยไหล่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง คุณอ้อถึงกับตะลึงในใจอยู่สักพักเพราะเคยเห็นแต่ในทีวีหรือฟังเรื่องเล่าจากคนอื่นไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเองแบบนี้ หลังจากเจอเคสแรกแบบสยองขวัญไป คุณอ้อก็บอกกับผีในห้องนั้นว่า “ฉันขอไม่เห็นนะ เพราะฉันไม่ไหวจริง ๆ ถ้าคุณมาเละ มาแบบน่ากลัว ฉันจะแช่งให้คุณถึงที่สุดเอาให้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด” จนกระทั่งผ่านไป 3 – 4 วัน คุณอ้อก็เจอผีอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นผีผู้หญิงวัยกลางคนที่มาในสภาพสวยดูดี ใส่เสื้อคอบัวสีชมพู ตามที่คุณอ้อได้บอกไว้ว่าขอเจอในสภาพดี แต่คุณอ้อก็คิดในใจว่าเขาจะเอาอะไรอีกนะ เพราะทำบุญให้ไปแล้ว หลังจากนั้นก็ตัดสินใจไปทำบุญให้อีกครั้ง ต่อมาก็ได้เจอผีอีกตนหนึ่ง แถมมาแบบพีคและหลอนที่สุดอีกด้วย! เพราะทุกครั้งที่นอนหงาย คุณอ้อมักจะโดนผีตนนี้อำทำให้หายใจไม่ออก คุณอ้อจึงกลัวการนอนหงายมาก และเปลี่ยนมานอนตะแคงแทน ในครั้งนี้คุณอ้อก็ยังคงเจอเช่นเคยแถมยังเป็นคืนวันโกน ทำให้เห็นชัดเลยทั้งร่าง! ผีตนนั้นเดินมาที่ปลายเตียงก่อนจะเดินเข้ามาข้าง ๆ และจับไหล่ จับคอคุณอ้อแล้วบอกว่า “นอนหงายสิ นอนหงายสิ!” ตอนนั้นคุณอ้ออยากย้ายออกจากอะพาร์ตเมนต์นี้มาก แต่ได้ซื้อบ้านไว้แล้ว และต้องรอให้ครบเก้าเดือนก่อนถึงจะย้ายเข้าไปอยู่ได้ ทำให้ตอนนั้นที่พึ่งเดียวที่มีคือหมอดู และหมอดูก็ทักมาขึ้นมาว่า “ห้องอื่นมีเยอะแยะไม่อยู่เนาะ มาอยู่ชั้นห้า เปิดลิฟต์ออกมาเลี้ยวซ้ายมืดทั้งชั้น แถมเข้าห้องไปมีแต่ผีเต็มไปหมด” คุณอ้อคิดในใจ “แม่นมาก รู้ได้ยังไง” และหมอดูก็แนะนำวิธีแก้ปัญหาโดยให้จุดธูปบอกเขา ว่าเราหนีร้อนมาเพิ่งเย็นขออยู่แบบประนีประนอม ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันนะ และต้องใส่ประคำของพระอาจารย์นอนตลอดด้วย ไม่งั้นมันนอนไม่ได้ ต่อมาคนที่ทำให้คุณอ้อมั่นใจมาก ว่าสิ่งที่เจอมันมีจริง ก็คือเพื่อนของคุณอ้อที่มาเที่ยวห้อง คุณอ้อบอกว่า “ห้องเรามีแบบนี้นะ ถ้าเธอจะนอนให้ใส่ประคำนอน” แต่ตอนนั้นเพื่อนของคุณอ้อพาแฟนมานอนด้วยในตอนที่คุณอ้อไม่อยู่ห้อง ด้วยความที่เพื่อนคนนั้นเป็นคนดวงแข็งจึงไม่เจออะไร แต่แฟนของเพื่อนฝันว่ามีคนมาเคาะห้องเสียงดัง ปังปังปัง! พอไปส่องดูที่ตาแมว ก็เห็นว่าเป็นผู้ชายผมประบ่า เปลือยท่อนบน ใส่กางเกงขาก๊วย ซึ่งเป็นลักษณะแบบเดียวกันที่คุณอ้อเองก็เคยเจอ หลังจากนั้นแฟนของเพื่อนก็เจอผีตนนั้นอีก แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้มาในฝัน เขามาแบบเสียงไล่ดังอยู่ข้างหูว่า “ชิ่ว ออกไป ออกไป!!“ สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้จึงพากันกลับ เมื่อผ่านไปจนครบเก้าเดือน ก็ถึงเวลาที่คุณอ้อต้องย้ายออกจากที่แห่งนี้ แต่ก่อนจะย้ายก็เกิดความสงสัยว่า ในห้องนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงมีผีเยอะขนาดนี้ จึงไปถามคุณป้าที่อยู่ร้านขายของข้างล่างตึกว่า “คุณป้าหนูถามหน่อย ที่นี่มันมีอะไรแปลก ๆ มั้ย” ป้าก็ตอบมาว่า “อ้อมี บางวันนะ เห็นคนเดินเข้ามาเป็นผู้หญิงวัยกลางคน บางวันก็เป็นผู้หญิงแบบสาวสวยหน่อยใส่เสื้อชมพูคอบัว บางวันก็เป็นผู้ชายผมประบ่าใส่กางเกงขาก๊วย ซึ่งป้าก็ยืนยันว่าไม่ใช่คนที่พักอะพาร์ตเมนต์ นี้แน่นอน ซึ่งเดิมทีอะพาร์ตเมนต์นี้เคยมีต้นโพธิ์ต้นใหญ่ที่คนมักจะเอาศาลเก่ามาทิ้ง แล้วเอาผ้าหลากสีมาผูกไว้ แต่เจ้าของที่ตรงนี้เป็นคนนับถือศาสนาคริสต์ ทำให้ตอนสร้างอะพาร์ตเมนต์ต้องตัดต้นโพธิ์ออก และไม่ได้ตั้งศาลพระภูมิใหม่ไว้ เหมือนกับว่าไปรื้อบ้านเขาออก แล้วเขาไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนเลยพากันไปอยู่ในห้องของอะพาร์ตเมนต์นี้แทน” หลังเล่าจบก็เลยย้อนถามคุณอ้อก็มาว่า “ทำไมหรอหนู หนูเจอหรอ” คุณอ้อพยักหน้าบอกว่า “ใช่ เจอครบตามที่ป้าบอกเลย” นอกจากนี้ คุณอ้อเคยมีเคสที่หนักกว่าตอนที่อยู่ในอะพาร์ตเมนต์นี้ คือการโดนผีเข้า ด้วยความที่คุณอ้อได้ไปเจอคนนู้นคนนี้มา และในบ้านของคนนั้นมีคนตายไป แต่วิญญาณสื่อสารกับใครไม่ได้ พอได้มาเจอคุณอ้อที่อยู่ในช่วงดวงตก จึงเข้าสิงร่างแทน ซึ่งคุณอ้อเล่าว่ารู้สึกตัวว่ามีคนมาอยู่ด้วยกัน แต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ภาพที่คนอื่นเห็นตอนนั้นคือ คุณอ้อร้องไห้พลั่งพรูเล่าหลายสิ่งหลายอย่างที่วิญญาณตนนั้นต้องการออกมา และเมื่อจบเหตุการณ์นั้น ทำให้คุณอ้อรู้สึกไม่ดี และเราคิดว่ามันไม่ควรจะมาเกาะติดกับตัวขนาดนี้ ที่สำคัญเลยคือทำให้สุขภาพคุณอ้อแย่ลงไปด้วย ป่วยง่ายขึ้น หรือแม้แต่ป่วยไม่รู้สาเหตุ และหลังจากเหตุการณ์เหล่านั้น คุณอ้อก็กลายเป็นคนที่มีสัมผัสที่ 6 แรงขึ้น ต้องปรับตัวให้อยู่กับสิ่งเหล่านั้นให้ได้ พร้อมกับหันมาพึ่งในเรื่องของการสวดมนต์นั่งสมาธิ เพราะไม่อยากเจอเหมือนเคสที่ผ่าน ๆ มา พร้อมกับบอกข้อคิดแก่คนที่ได้ฟังเรื่องราวของตนว่า “สัมผัสที่ 6 นี้เราไม่สามารถปฏิเสธมันได้ แต่เราเลือกที่จะอยู่ร่วมกับมันได้ และสามารถเป็นประโยชน์ให้กับคนอื่นได้ โดยที่ต้องไม่กระทบเรา” (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเป้ ‘ห้องนี้ห้ามเข้า’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ขวัญ อุษามณี [ 8 ต.ค. 2567]

12 ต.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเป้ ‘ห้องนี้ห้ามเข้า’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ขวัญ อุษามณี [ 8 ต.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง X (8 ตุลาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘คุณเป้‘ ที่ได้มาเล่าเรื่อง ’ห้องนี้ห้ามเข้า’ ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม‘ และแฟนรายการฟัง ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นภายในบ้านที่ต่างประเทศ ทนไม่ไหวจนต้องย้ายออกจากบ้านทันที! เรื่องราวจะเป็นยังไง จะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย! คุณเป้เล่าว่าเป็นเรื่องของน้องที่ต่างประเทศคนหนึ่ง เขาชื่อ ‘อิงอิง’ เป็นคนจีนที่สอนหนังสือชั้นอนุบาลในสิงค์โปร์ ในตอนนั้นคุณอิงอิงกำลังหาที่พักใหม่เนื่องจากที่เดิมไกลจากโรงเรียนมาก ต้องใช้เวลาในการเดินทางไปโรงเรียน 3-4 ชั่วโมง จนได้ไปเจอป้ายติดประกาศตามกำแพงจึงตัดสินใจโทรไป มีคุณลุงแก่ ๆ รับสาย ก็ได้เจรจาพูดคุยกันเกี่ยวกับที่พักเเล้วก็ได้นัดเจอกัน ต่อมาเมื่อถึงเวลาที่นัดประมาณ 6 โมงครึ่ง คุณลุงก็นั่งรออยู่ตรงทางเข้า ลักษณะภายนอกของคุณลุงดูไม่ค่อยเป็นมิตร แต่คุณลุงก็ได้พาคุณอิงอิงเดินเข้าไปเรื่อย ๆ จนไปเจอบ้านชั้นเดี่ยวหลังหนึ่ง เมื่อเดินสำรวจรอบบ้านเเล้วคุณอิงอิงก็ถูกใจบ้านหลังนี้ การเดินทางไปโรงเรียนก็สะดวกเเละไวกว่าที่เก่า คุณลุงเห็นว่าคุณอิงอิงชอบจึงได้พูดคุยเเละบอกกฎของบ้านว่า “ห้องนี้มี 2 ห้องนอนนะ ทางขวามือเป็นห้องเก่าของลุงเอง ซึ่งตอนนี้ไม่ได้อยู่เเล้ว ใครมาถามหาลุงก็บอกไปนะว่าลุงไม่อยู่ ห้ามพาใครมาอยู่ที่บ้านหลังนี้เเละที่สำคัญคือห้องตรงนั้นที่เป็นห้องเก็บของ ห้ามเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามเข้าไปในห้องนี้ ถ้าลุงรู้ไล่ออกจากบ้านทันที ยกเลิกทุกอย่าง ค่าน้ำค่าไฟหนูจ่ายเเค่ค่าน้ำอย่างเดียวนะ ค่าไฟลุงจ่ายเองทั้งหมด“ เมื่อได้ยินดังนั้น คุณอิงอิงก็รู้สึกแปลก ๆ เเต่คุณลุงบอกราคาเช่าที่ถูกมาก ทำเอาตนลบความแปลกนั้นออกไปจากสมองทันที จึงตัดสินใจที่จะเช่าบ้านหลังนี้ เเล้วก็ได้ย้ายของเข้ามาทันที ไม่นานหลังจากนั้น ก็ย้ายของเข้ามา ด้วยความเพลียจากการที่ตนจัดห้องจึงทำให้เผลอหลับไปในช่วงค่ำ ในตอนนั้นก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในห้อง! เเล้วเสียงก็เงียบไป.. วันต่อมา คุณอิงอิงกลับมาจากโรงเรียนก็ทำธุระส่วนตัวเเล้วก็เข้านอน ในช่วงกลางดึกก็ได้ยินเสียงเหมือนเดิมเเต่รอบนี้มีเสียงทุบประตูด้วย! ปึ้งง ปึ้งงง! เเละตนก็ได้ยินว่า “พอแล้วว ไม่ทำแล้ว” เเล้วเสียงนั้นก็เงียบไป ณ ตอนนั้นเองคุณอิงอิงก็คิดว่าอาจจะเป็นเสียงข้างบ้านทะเลาะกัน จนผ่านไปเรื่อย ๆ เหตุการณ์ในบ้านก็เริ่มหนักขึ้น จนตนรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มันแปลก.. คืนหนึ่งในขณะที่ตนนอนอยู่ ก็รู้สึกว่าหนาวผิดปกติจึงจะลุกไปปิดหน้าต่างเเละประตู เมื่อหันไปดูที่หน้าต่างปรากฎว่าหน้าต่างปิดอยู่ จึงลุกไปปิดประตู เเต่ในขณะที่กำลังจะปิดก็มีไอเย็นบางอย่างที่อยู่ภายในบ้านตามพื้น ตนสัมผัสได้จากเท้าเปล่าเเละสงสัยว่ามาจากไหน จึงเดิมตามไอเย็นนั้นไป ปรากฎว่าไอเย็นนั้นที่ตนสัมผัสได้มันมาจากห้องเก็บของ! เเต่ห้องมันล็อคไว้อยู่เเล้วคุณลุงก็สั่งห้ามเข้า ตนไม่อยากยุ่งเพราะกลัวว่าจะโดนไล่ออกจากบ้าน จนเวลาผ่านไป.. ในคืนหนึ่ง คุณอิงอิงก็รู้สึกว่ามีเสียง กึ๊กกึก แกกแกกก! ดังอยู่ข้าง ๆ หู จึงลืมตาเเล้วปรากฎว่า กลายเป็นมือของตัวเองที่กำลังหมุนลูกบิดประห้องเก็บของ! ตนตกใจมากเพราะกำลังนอนอยู่เเล้วฝันละเมอมาห้องนี้ เเต่ในขณะนั้นก็มีเสียงร้องไห้สะอื้นมาจากห้องนี้! จนทำให้เริ่มรู้สึกกลัวเเละก็ได้กลับไปทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ตั้งเเต่คืนแรกที่เจอภายในบ้าน จนทำให้ตนรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มันต้องมีอะไรเเน่นอน ในเช้าวันถัดมา คุณอิงอิงก็ได้เล่าเรื่องสิ่งที่เจอในบ้านหลังนี้ให้เพื่อนที่โรงเรียนฟัง เเต่กลับโดนเพื่อนบอกว่า “มึงฝันละเมอไปเองรึเปล่า?” ตนก็รู้สึกว่าไม่น่ามาเล่าให้เพื่อนฟัง เเต่ก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่เชื่อเรื่องนี้เเละสัมผัสได้ว่าเรื่องที่คุณอิงอิงเล่าเป็นเรื่องจริง จึงได้เเอบเอาสร้อยประคำ 1 เส้นให้ คุณอิงอิงจึงรู้สึกสบายใจที่ได้สร้อยประคำเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เเล้วตนก็ได้บอกว่า “ถ้าคืนนี้มันมีเหตุการณ์เเบบนี้อีกนะ ไม่เอาเเล้ว” จากนั้นก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าลาก วางอยู่ใกล้ตัวเพื่อที่จะได้สามารถย้ายออกทันที เเละตนก็ได้หลับไป.. แล้วในคืนนั้น ตนก็สะดุ้งตื่นกลางดึกเหมือนเดิม เพราะรู้สึกว่าเหมือนใครกำลังคร่อมตนอยู่! เเต่มองไม่เห็นเพราะในห้องมันมืด เเล้วก็มีเสียงเหมือนมีดที่กำลังกรีดตามผนังห้อง! สักพักเสียงนั้นก็หยุดไปเเต่กลับมาแทงบนเตียงนอน เเทงนับไม่ถ้วน! เเล้วก็มีเสียงเข้ามาในห้องว่า “หยุด พอได้เเล้ว ชั้นผิดไปแล้ว ชั้นขอโทษ” ในตอนนั้นคุณอิงอิงตกใจก็กรี๊ดสุดเสียงเพราะกลัว เมื่อได้โอกาสตนจึงคว้ากระเป๋าเเล้วรีบวิ่งออกจากห้องนั้นทันที เเต่ในขณะที่กำลังจะออกจากบ้าน สายตาของตนเห็นสร้อยประคำที่เพื่อนให้ไว้ เเขวนอยู่ตรงหน้าประตู! ตนรู้สึกว่าสร้อยนั้นเป็นของสำคัญจึงรีบไปเอาสร้อยนั้น เเล้วในขณะที่กำลังจะคว้าก็มีรอยแกะสลักเป็นตัวอักษรภาษาจีนว่า ช่วยด้วย! นาทีนั้นตนคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะช่วยใคร จึงรีบคว้าสร้อยนั้นเเล้ววิ่งออกไปจากบ้าน ในตอนนั้นเป็นเวลาประมาณตี 4 กว่า จึงได้ไปนั่งอยู่ตามร้านขายของข้างทางจนเช้า เเล้วได้นั่งรถไปที่โรงเรียน เมื่อถึงโรงเรียนก็รีบโทรหาคุณลุงทันที ในใจตนคิดว่าจะย้ายออกจาก ไม่อยู่เเล้วบ้านหลังนี้ สักพักหนึ่งคุณลุงก็รับสายเเล้วพูดว่า “เออ โอเคตกลง” ทั้ง ๆ ที่คุณอิงอิงยังไม่ได้พูดอะไรเลย เหมือนรู้ว่ากำลังจะพูดอะไร ตนจึงเอาของไปเก็บเเละย้ายพักอยู่กับเพื่อนชั่วคราว ผ่านไปประมาณ 1 เดือน ขณะที่กำลังดื่มกาแฟกับเพื่อนอยู่ในตอนเช้า คุณอิงอิงก็เห็นรูปผู้ชายคนหนึ่งอยู่ตรงปกหนังสือพิมพ์ที่เพื่อนกำลังอ่าน ตนรู้สึกแปลกใจเพราะคุ้นผู้ชายคนนี้มาก ๆ จึงขอยืมหนังสือพิมพ์เพื่อนมา เเล้วคลี่อ่าน เมื่อตนเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นก็ช็อค! ตกใจมาก เพราะเขาคือคุณลุงเจ้าของบ้านที่ตนไปเช่า ข่าวในหนังสือพิมพ์เขาเขียนว่า “เจ้าของบ้านถูกจับข้อหาฆาตกรรมภรรยาตัวเองภายในบ้าน! สาเหตุเกิดจากการหึงหวงภรรยาทะเลาะกันเรื่องชู้สาว ครอบครัวผู้หญิงมีการติดต่อมาอยู่เรื่อย ๆ เเต่ไม่มีการตอบกลับ จึงได้เเจ้งเรื่องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ไปตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้ไปตรวจสอบที่บ้านหลังนี้เเล้วก็ได้พบศพอยู่ในตู้เเช่เย็นภายในห้องเก็บของ! สภาพศพตามร่างกายถูกเเทงพรุนทั้งตัว! ตามใบหน้าถูกกรีดจนจำใบหน้าไม่ได้!” เมื่อคุณอิงอิงอ่านข่าวจบก็ถึงกับช็อค! เพราะไม่คิดว่าตนจะนอนอยู่กับศพเป็นเวลา 1 สัปดาห์เเละก็หายสงสัยเรื่องค่าไฟที่คุณลุงบอกว่าจะจ่ายเอง เป็นเพราะว่าเขาเปิดตู้เเช่เย็นตลอดเพื่อแช่ศพภรรยาตัวเองไว้นั่นเอง!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1