นอนไม่หลับเพราะกลิ่นเหม็นเน่า ตามหาต้นเหตุจนเจอถุงกระดาษปริศนา พอเช็คกล้องวงจรปิดก็พบว่าเป็น ‘ของ’ ที่ลูกค้าลืมไว้ ข้างในมีหม้อดินเผา ตุ๊กตาชายหญิง พร้อมคาถาให้สวด! ซ้ำยังมีเสียงแว่วเข้ามาในหูอีกด้วยว่า “ลองเปิดดูสิ”

อังคารคลุมโปง RECAP

นอนไม่หลับเพราะกลิ่นเหม็นเน่า ตามหาต้นเหตุจนเจอถุงกระดาษปริศนา พอเช็คกล้องวงจรปิดก็พบว่าเป็น ‘ของ’ ที่ลูกค้าลืมไว้ ข้างในมีหม้อดินเผา ตุ๊กตาชายหญิง พร้อมคาถาให้สวด! ซ้ำยังมีเสียงแว่วเข้ามาในหูอีกด้วยว่า “ลองเปิดดูสิ”

15 พ.ค. 2023

       เรื่องหลอนชวนหมาหอนในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (2 พฤษภาคม 2566) มีชื่อเรื่องว่า ‘ลูกค้าคนสุดท้าย’ จาก ‘คุณตาล’ เจ้าของร้านเสริมสวยแห่งหนึ่งย่านรัชดา เรื่องจะหลอนแค่ไหนนั้น.. ไปติดตามอ่านกันเลย!

       คุณตาลเกริ่นเรื่องว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ร้านของเธอเอง ในช่วงดึกคืนหนึ่ง จวนเวลาใกล้ปิดร้านประมาณ 3 – 4 ทุ่ม มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านเพื่อขอให้ทำสีผมให้ แต่คุณตาลก็ปฏิเสธเพราะถึงเวลาที่จะต้องปิดร้านแล้ว “ทำสีผมใช้เวลานานมาก ไว้โอกาสหน้าได้มั้ยคะ? ขอสระผม ม้วนผมให้ก่อนได้มั้ยคะ?” ลูกค้าไม่ติดอะไร และนั่งรอคิวเพราะยังมีคิวก่อนหน้าที่ยังค้างอยู่ กระทั่งถึงคิวของเธอมาถึง เมื่อลูกค้าผู้หญิงคนนั้นทำผมเสร็จสรรพก็ออกจากร้านไป ในเวลา 5 ทุ่มกว่า คุณตาลจึงปิดร้าน

       เวลาล่วงมาจนถึงเที่ยงคืน หลังจากที่คุณตาลทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก็รู้สึกแปลก ๆ เริ่มจากได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบนบ้าน แต่ก็คิดว่าคงเป็นเสียงจากตึกข้าง ๆ ไม่ได้คิดอะไรต่อ จึงเตรียมตัวจะนอนหลับ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตู เป็นเสียงที่เคาะหนึ่งครั้งแล้วก็ทิ้งระยะห่างไปสักพัก แล้วก็เคาะขึ้นอีก แม้จะแปลกใจและรู้สึกสงสัย แต่คุณตาลก็ลุกขึ้นไปเปิดประตู เมื่อเปิดประตู คุณตาลก็รู้สึกถึงความเย็นบางอย่างแทรกเข้ามาที่แขน แต่เมื่อเปิดไปไม่เจอใคร จึงตัดสินใจกลับไปนอนต่อ ผ่านไปสักพักก็ได้กลิ่นเหม็นขึ้นมา คุณตาลเล่าเสริมว่า “เหม็นเหมือนกลิ่นหมาเน่า” และพยายามหาต้นตอกลิ่นนั้นด้วยการดมกลิ่นตัวเอง เมื่อคิดว่ากลิ่นตัวไม่ใช่ต้นเหตุ จึงสลัดความคิดออกจากหัว แล้วพยายามนอนต่ออีกรอบ สักพักก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังเดินอยู่รอบเตียง แล้วกลิ่นก็ตามไปรอบเตียงด้วย! คุณตาลทนไม่ไหว จึงลุกขึ้นไปเปิดบานเกล็ดแอร์ เพื่อเช็คว่ากลิ่นมาจากแอร์หรือไม่ แต่ก็ยังไม่ใช่ คุณตาลรู้สึกว่ากลิ่นเหม็นเน่านั้น ลอยมาจากข้างหลัง..! คุณตาลหันหลังกลับไปดู ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ จึงตัดสินใจเดินลงมาข้างล่าง ระหว่างที่เดินนั้นก็ยังรู้สึกเหมือนมีคนเดินตามอยู่เรื่อย ๆ

       ด้วยความที่ดึกมากและไม่มีใครอยู่ ชั้นล่างตรงนี้จึงเงียบสงัด คุณตาลเปิดตู้เย็นเพื่อที่จะหยิบน้ำ แล้วก็มีเสียงผู้หญิงแว่วน่าขนลุกดังขึ้นมาว่า “หิวน้ำ” คุณตาลคิดว่าคงฟุ้งซ่านไปเอง จึงหยิบน้ำมาดื่ม แต่ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างผลักขวดน้ำ แม้จะตงิดใจแต่คุณตาลก็พยายามไม่คิดอะไร จากนั้นก็เดินตามหากลิ่นเหม็นเน่าต่อ กระทั่งพบถุงกระดาษใบหนึ่งวางไว้ที่ซอกโซฟา คุณตาลคิดว่าคงเป็นของที่ลูกค้าหรือคนที่เข้ามาที่ร้านลืมไว้ จึงโทรหาพี่ที่รู้จักคนนึง แล้วก็ได้ยินเสียงปริศนาพูดขึ้นมาว่า “มึงอยากจะคุยกับกูหรอ?” คุณตาลใจดีสู้เสือไม่ตอบกลับอะไร และสงสัยว่าข้างในถุงกระดาษใบนั้นคืออะไร เมื่อเปิดดูก็พบว่าเป็นรูปผู้หญิงนั่งชันเข่าวางไว้ในขันสีเงิน และมีเลือดเก่า ๆ อยู่ในนั้น! เมื่อรู้สึกว่านอนไม่ได้แล้ว และคิดว่ากับตัวเองในใจว่า “เอาละ กูโดนละ” จึงพูดออกมาว่า “ชั้นจะเอายังไงกับแกดี?” เมื่อสังเกตดูอีกครั้งก็เห็นว่ามีอีกถุง จึงเปิดดูและพบว่ามีหม้อดินที่มียันต์เขียนไว้ ลักษณะเหมือนทำเพื่อคนที่รัก! สักพักก็มีเสียงผู้หญิงพูดขึ้นว่า “ลองเปิดดูสิ” แต่คุณตาลก็ไม่กล้าเปิดหม้อ และยังเห็นอีกด้วยว่าข้างในถุงมีหุ่นผู้หญิงกับผู้ชาย พร้อมคาถา และเขียนไว้ว่าถ้าสวดคาถานี้จะได้เป็นเจ้าของสิ่งนี้โดยสมบูรณ์ คุณตาลคิดว่าข้างในหม้อคงจะเป็นศพเด็ก เพราะมีใบกระดาษเขียนกำกับ มีเลขวันชาตะ วันมรณะให้ชัดเจน

       คุณตาลตัดสินใจหาลูกค้าที่ลืมสิ่งนี้ไว้จากกล้องวงจรปิด นั่นยิ่งสร้างความหลอนให้เสียวสันหลังเข้าไปใหญ่ เพราะคุณตาลก็จะเห็นตัวเองในภาพจากกล้อง ที่ขนหัวลุกไปยิ่งกว่าคือคุณตาลเห็นเป็นเงามืดนั่งอยู่ข้าง ๆ ชะโงกหัวดูโทรศัพท์พร้อมกับคุณตาล! คุณตาลบอกว่า ตอนนั้นตนรู้สึกตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าหันไปมอง และยังได้ยินเสียงหายใจครืดคราดอยู่ข้าง ๆ อีกด้วย! แม้ว่าจะลองปิด-เปิดกล้องดูแล้ว แต่ก็ยังเห็นเงานั้นอยู่เหมือนเดิม คุณตาลใจดีสู้เสืออีกครั้ง และพูดขึ้นมาว่า “แกอยู่ในบ้านเราไม่ได้นะ ไปตามคนของแกมา” แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ตอนนี้คุณตาลรู้แล้วว่าเจ้าของถุงกระดาษนี้คือลูกค้าคนหนึ่ง ซึ่งคุณตาลไม่มีเบอร์ติดต่อเลย คุณตาลตัดปัญหาด้วยการเอาถุงมาครอบต้นเหตุกลิ่นเหม็นนั้นก่อน แต่แล้วก็พบว่ามันไม่ได้เหม็นจากในถุง.. แต่มันเหม็นมาจากเงาข้าง ๆ ที่เดินตามอยู่!

       กระทั่งตีสาม คุณตาลที่เหนื่อยมากก็หลับไป จนหกโมงเช้าเสียงโทรศัพท์โชว์เบอร์แปลกโทรเข้ามา ปลายสายพูดขึ้นมาว่า “พี่คะ หนูลืมของไว้อ่ะค่ะ” คุณตาลดีใจมาก จึงบอกว่าจะให้ไรเดอร์ไปส่งของให้และขอที่อยู่ แต่ปลายสายกลับปฏิเสธบอกว่าไม่สะดวกที่จะรับ ขอฝากไว้ที่คุณตาลก่อน แต่คุณตาลก็ไม่ยอม เมื่อตกลงกันไม่ได้ จู่ ๆ ปลายสายก็วางสายไป คุณตาลโทรจี้ไปหลายรอบ พอสายนั้นรับก็พูดว่า “หนูให้มาส่งก็ได้ค่ะ ส่งมาตามที่อยู่นี้นะคะ”

       คุณตาลเรียกไรเดอร์และจัดแจงให้ไปส่งของตามที่อยู่นั้น แล้วเสียงปริศนาก็ดังเข้ามาในหูอีกครั้งว่า “อืม กูไปแล้วนะ” แต่ก็ไม่ได้สนใจเพราะอยากจะนำของออกไปให้พ้นความรับผิดชอบตัวเองมากที่สุด เมื่อไรเดอร์มาถึง ก็ถามคุณตาลว่าของที่จะให้ไปส่งเป็นอะไร เป็นอาหารหรือเป็นของที่แตกง่ายหรือเปล่า คุณตาลตอบไปว่า “ไม่ใช่อาหารค่ะ พี่ว่าน้องอย่าเปิดเลยนะ” แต่ไรเดอร์ก็เปิด แล้วกลิ่นเหม็นก็ตีเข้าหน้าอย่างจัง แล้วเขาก็เอามือล้วงลงไปหยิบหุ่นผู้หญิงผู้ชายนั้นขึ้นมา ทำให้มือเปื้อน เขาจึงใช้ผ้าเช็ดรถมาเช็ดมือ จากนั้นก็ขับรถออกไปส่งของ

       เมื่อไรเดอร์ไปถึง เขาก็โทรกลับมาหาคุณตาลด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “พี่ครับ นี่มันที่คนอยู่จริง ๆ หรอครับ ผมไม่เห็นอะไรเลยเนี่ย พี่ให้ผมมาต้นไม้อะไรเนี่ย ผมเห็นแต่ศาลใหญ่ ๆ ตรงเนี้ย!” คุณตาลจึงให้ไรเดอร์โทรไปหาลูกค้าเจ้าของถุงนี้ แต่ไรเดอร์ก็บอกว่า “ผมโทรไป 8-9 สายแล้วครับ เขาไม่รับเลย หลอกผมป้ะพี่” คุณตาลก็ช่วยโทรด้วย แต่ก็ยังไม่มีวี่แววรับสาย ผ่านไปสักพัก เจ้าของถุงก็รับสายไรเดอร์แล้วบอกว่า “หนูอยู่ตรงร้านคาราโอเกะXXXค่ะ” เมื่อส่งของเสร็จเรียบร้อย ไรเดอร์ก็บอกว่าเหมือนกลิ่นเหม็นมันติดมือ พอกลับไปที่บ้านก็ทะเลาะกับภรรยา ไรเดอร์โทรมาด่าคุณตาล 3 วันได้ เขายังบอกอีกว่า “พี่ เวลาผมไปไหนอ่ะ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างซ้อนรถผมอยู่อ่ะ” และยังบอกว่า “เขามาชวนไปอยู่ด้วยทุกวันเลย ผมไปหาหลวงพ่อมา เอาน้ำมนต์ล้างมือ เอามาอาบน้ำ ก็ยังเหม็นอยู่เลยพี่ แล้วผมได้กลิ่นคนเดียวด้วยนะ พี่ให้ผมไปส่งอะไรกันแน่” คุณตาลจึงไปหาข้อมูลมา สรุปว่าสิ่งนั้นคือ ‘เป๋อ’ หลังจากนั้นไรเดอร์ก็เงียบหายไปประมาณ 8-9 วัน คุณตาลคิดว่าคงไม่เจออะไรแล้ว แต่ก็มาทราบทีหลังว่าไรเดอร์คนนั้นเกิดอุบัติเหตุ! (ทราบเพราะไรเดอร์โทรมา) แล้วหลวงพ่อก็แนะนำให้ไรเดอร์ไปบวช 7 วัน ขณะที่บวชอยู่ก็ยังเห็นสิ่งนั้นอยู่เรื่อย ๆ เช่นที่ปลายเตียงบ้าง ฝันถึงบ้าง จนครบ 7 วันแล้ว แต่ไรเดอร์ก็ยังไม่กล้าสึก

       วันเวลาผ่านไปอีกสักพัก เวลาเที่ยงคืนกว่า ลูกค้าคนนั้นก็มาที่ร้านอีกครั้งพร้อมกับของบางอย่างในมือ คุณตาลจึงรีบบอกลูกค้าไปว่า “ร้านปิดแล้วค่ะ” แต่ลูกค้าก็คะยั้นคะยอขอให้ทำผมให้ แต่คุณตาลก็ปฏิเสธด้วยความสุภาพแต่ก็เสียมารยาทเพราะเธอปิดประตูร้านลงต่อหน้าลูกค้าไปเลย คุณตาลบอกว่าหลังจากนี้ คงจะหลอนกับลูกค้าที่ถือถุงกระดาษไปอีกนาน

 (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ไปทำงานต่างจังหวัดแล้วดันไปนอนโรงแรมเฮี้ยน! ลืมตาขึ้นมากลางดึก เห็นผู้หญิงเล่นผีผ้าห่มกับรุ่นน้องในห้อง ซ้ำยังมาชวนเราเล่นผีผ้าห่มอีก แต่ดีที่ปฏิเสธ ไม่งั้น...!

14 ก.ค. 2023

ไปทำงานต่างจังหวัดแล้วดันไปนอนโรงแรมเฮี้ยน! ลืมตาขึ้นมากลางดึก เห็นผู้หญิงเล่นผีผ้าห่มกับรุ่นน้องในห้อง ซ้ำยังมาชวนเราเล่นผีผ้าห่มอีก แต่ดีที่ปฏิเสธ ไม่งั้น...!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (4 กรกฎาคม 2566) มีเรื่องหลอนจาก ‘ป๋าแจ็ค’ เจ้าของเรื่อง ‘หมู่บ้านร้างซากไร่’ ครั้งนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับรุ่นน้องที่มีคนขอมานอนด้วย! เรื่องจะหลอนแค่ไหน หรี่ไฟให้แสงพอสลัว เอาผ้าห่มคลุมโปง แล้วไปอ่านกันเลย! ป๋าแจ็คเริ่มเล่าว่า ตนนั้นลาออกจากงานราชการก่อนเวลาเกษียณ 20 ปี จากนั้นก็ได้เข้าไปทำงานในฝ่ายการตลาดของบริษัทสื่อเจ้าใหญ่แห่งหนึ่ง หน้าที่ที่ป๋าแจ็คได้รับก็คือการเดินทางไปคุยงานกับลูกค้าทั่วทั้งภาคอีสาน และด้วยลักษณะงานแบบ ‘ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่น’ นี้ก็เป็นที่มาของเรื่องราว ตอนนั้นป๋าแจ็คไม่ได้เดินทางคนเดียว แต่เดินทางไปกับรุ่นน้องนามสมมติว่า ‘เส’ ทั้งสองเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่งในภาคอีสาน เพื่อที่เช้าวันต่อมาจะได้ไปคุยงานกับลูกค้าตามนัดหมาย เวลาตอนนั้นประมาณหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว ฟ้าก็เริ่มมืดและพวกเขาก็มาเจอโรงแรมนี้พอดี จึงตัดสินเข้าเช็คอิน โรงแรมนี้มีลักษณะเป็นตึกเก่าแต่ก็ใหญ่พอสมควร พนักงานที่เคาน์เตอร์แจ้งให้ป๋าแจ็คกับคุณเสทราบว่า หากต้องการอะไรขอให้เรียกเจ้าหน้าที่ก่อนเวลาห้าทุ่มเพราะหลังจากนั้นเคาน์เตอร์จะปิดแล้ว แต่ป๋าแจ็คก็ไม่ได้ติดใจอะไรเรื่องนี้ เพราะวันพรุ่งนี้ พวกเขาจะต้องไปพบลูกค้าตอนเช้าอยู่แล้ว หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ก็เรียกพนักงานให้มายกกระเป๋าขึ้นไป แต่พนักงานคนที่ถูกเรียกกลับตอบกลับมาว่า “ไม่ไป มืดแล้วไม่ขึ้นไป” ป๋าแจ็คในตอนนั้นก็ได้แต่คิดว่า “อะไรวะ?” สุดท้าย ป๋าแจ็คกับคุณเสก็ต้องยกสัมภาระขึ้นไปที่ห้องด้วยตัวเอง บรรยากาศในโรงแรมชวนให้คิดว่าเหมือนจะไม่ค่อยมีคนมาพัก เมื่อถึงที่พักตรงชั้น 3 ไฟแถวนั้นก็เปิดไม่ค่อยเต็ม พื้นพรมก็ส่งกลิ่นอับออกมา ห้องพักที่เหลือเหมือนกับว่าไม่มีคนพักอยู่ เมื่อป๋าแจ็คเปิดประตูเข้ามาในห้อง ก็ได้กลิ่นเหม็นสาบพรั่งพรูออกมา จึงพากันเปิดแอร์และหน้าต่างเพื่อระบายกลิ่นสาบออกนอกห้อง หลังจากอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จ ป๋าแจ็คกับคุณเสก็ตัดสินใจว่าจะลงไปที่คาเฟ่แถวล็อบบี้ ตอนนั้นเวลาประมาณสองทุ่มกว่า คาเฟ่นี้เป็นเหมือนกับร้านเหล้าเล็ก ๆ ที่มีคนมาสังสรรค์แกล้มฟังดนตรี แต่ป๋าแจ็คกับคุณเสก็ไม่ได้เข้าไปข้างในร้าน เพียงแต่สั่งอาหารกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เล็กน้อยออกมากินข้างนอกตรงล็อบบี้ จังหวะนั้นคุณเสก็หันไปเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าคาเฟ่ในมุมมืด ป๋าแจ็คคิดว่าเธอคนนี้คงจะเป็นนักร้องหรือไม่ก็พนักงานต้อนรับของโรงแรม แล้วคุณเสก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าได้นอนกอดสักคืนนะ จะไม่ลืมพระคุณ” คาเฟ่ปิดในเวลาห้าทุ่ม แต่ป๋าแจ็คกับคุณเสก็ยังนั่งคุยงานกันต่อจนเวลาใกล้เที่ยงคืน จากนั้นก็กลับมาที่ห้องพัก เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ล้มตัวลงนอน ตอนนั้นห้องทั้งห้องมืดสนิท เหลือไว้แต่ไฟจากห้องน้ำที่ยังคงเปิดเอาไว้ ป๋าแจ็คผล็อยหลับไป ตื่นอีกทีก็เป็นเวลาเกือบตีหนึ่ง ป๋าแจ็ครู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างในห้อง เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นผู้หญิงยืนหันหลังให้เขาตรงหน้าห้องน้ำ เธอกำลังหวีผมอยู่ ส่วนตัวป๋าแจ็คไม่ได้เอะใจอะไรมาก จนผู้หญิงคนนั้นเดินมาที่เตียงของคุณเสแล้วมุดเข้าไปในเตียง ป๋าแจ็คเล่าต่อว่า คุณเสกับผู้หญิงคนนั้นน่าจะกำลังเล่นผีผ้าห่มกัน ด้วยความที่ป๋าแจ็คเพลียมากจากการทำงานและฤทธิ์แอลกอฮอล์จึงข่มตาหลับต่อ รู้สึกตัวอีกทีก็เวลาตีสองตีสาม เพราะได้ยินเสียงน้ำจากห้องน้ำ แล้วป๋าแจ็คก็เห็นผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้าห้องน้ำ กำลังหวีผมอยู่เหมือนเดิม ป๋าแจ็คคิดว่าคุณเสกับเธอคงทำกิจกรรมอย่างว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ได้คิดอะไร แต่คราวนี้ป๋าแจ็คลืมตาตื่นขึ้นชัดเจนเห็นชัดกว่าครั้งที่แล้ว ผู้หญิงคนเดิมเดินมาหาป๋าแจ็คที่เตียง แล้วถามกับป๋าแจ็คด้วยสำเนียงอีสานว่า อยากมีอะไรกับเธอไหม ป๋าแจ็คปฏิเสธผู้หญิงคนนี้ทันที จากนั้นเธอก็หันกลับไปที่เตียงคุณเสอีกครั้ง และเริ่มเล่นผีผ้าห่มกับร่างที่นอนอยู่บนเตียงอีกรอบ ป๋าแจ็คผล็อยหลับไปจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น พอตื่นมาก็เห็นคุณเสนอนคลุมโปงอยู่ ป๋าแจ็คได้แต่คิดในใจว่าเมื่อคืนคงจะหนักน่าดู โดยปกติแล้วหากมาพักต่างบ้านต่างถิ่น เช้าวันรุ่งขึ้น ป๋าแจ็คจะต้องใส่บาตรเสมอ เขาจึงเข้าไปอาบน้ำแต่เช้า ในห้องน้ำก็มีเศษผมที่เหมือนเป็นของผู้หญิงคนเมื่อคืนตกอยู่ นอกนั้นก็ไม่มีร่องรอยของเธอเหลืออยู่เลย ป๋าแจ็คไม่ได้คิดอะไรต่อ เมื่ออาบน้ำเสร็จก็นั่งวินไปซื้อของทำบุญ หลังจากทำบุญเสร็จแล้วก็กลับมาที่ห้องเพื่อปลุกคุณเส สภาพที่ป๋าแจ็คเห็นคือคุณเสตาโหลและอ่อนเพลียค่อนข้างมาก ป๋าแจ็คก็ยังคงคิดว่าคุณเสอาจจะยังเหนื่อยจากเรื่องเมื่อคืนอยู่ จึงบอกให้คุณเสไปอาบน้ำแต่งตัวไปกินข้าวก่อนที่จะไปพบลูกค้าในวันนี้ “เมื่อคืนมาถึงเนี่ย นึกยังไงมานอนโรงแรมนี้” ลูกค้าของป๋าแจ็คและคุณเสถามขึ้น ตอนที่รู้ว่าทั้งสองคนพักอยู่โรงแรมแห่งนี้ ป๋าแจ็คจึงเล่ากิจกรรมผีผ้าห่มให้ลูกค้าฟัง เมื่อมองไปที่สีหน้าของคุณเส เขากลับดูมีความกังวลเหมือนจะร้องไห้ และในที่สุดรุ่นน้องคนนี้ก็พูดออกมาว่า “พี่ เมื่อคืนผมโดนผีอำ...” คุณเสเล่าว่า เมื่อคืนหลังจากที่ดับไฟแล้ว ก็ได้ยินเสียงเคาะที่ประตู เมื่อเดินอย่างสะลึมสะลือไปดูที่ตาแมวก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงคนที่ยืนอยู่หน้าคาเฟ่ เธอขอเข้ามานอนข้างในด้วยเหตุผลที่ว่า ยังกลับบ้านไม่ได้ คุณเสคิดว่าตอนนั้นตัวเองคงโชคดีแล้ว แต่พอเธอมุดเข้าตรงเตียงคุณเสเท่านั้น คุณเสก็รู้สึกเหมือนโดนผีตนนี้ปล้ำ! ผู้หญิงคนนี้พยายามเอาใบหน้ามาไถที่หน้าคู่นอน เลียหน้าเลียตา คุณเสตระหนักได้แล้วในตอนนั้นว่าตนถูกผีอำ จึงพยายามสวดมนต์จนเธอเลือนหายไป แต่เธอก็กลับมา เมื่อป๋าแจ็คปฏิเสธ เธอก็กลับมาที่เตียงของคุณเส! เมื่อลูกค้าได้ยินดังนั้นจึงเล่าที่มาที่ไปของผีตนนี้ให้ป๋าแจ็คและคุณเสฟัง เธอเคยเป็นนักร้องประจำคาเฟ่ที่โรงแรมมาก่อน วันหนึ่ง มีคนที่เข้ามาพักพาเธอขึ้นไปบนห้อง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเกิดการไม่ยอมหรือไม่ แต่สุดท้ายผู้หญิงคนนี้ก็ถูกบีบคอจนเสียชีวิต ลูกค้ารีบบอกให้ป๋าแจ็คและคุณเส เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมทันที จากนั้นก็พาไปอาบน้ำมนต์ ป๋าแจ็ครอดไปได้ในครั้งนี้เพราะปฏิเสธผู้หญิงคนนั้น มีแต่คุณเสที่ต้องเจอเรื่องราวไม่ดีเหล่านี้แต่เพียงผู้เดียว และเมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ หนึ่งอาทิตย์ต่อมาคุณเสก็ผมหงอกทั้งหัว คุณเสไม่เคยไปทำงานที่ต่างจังหวัดนับแต่นั้นเป็นต้นมา หลังจากเหตุการณ์ที่โรงแรมในวันนั้น ป๋าแจ็คก็บินเดี่ยวมาตลอดเช่นกัน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

รับของมาไม่รู้ตัว พอไม่สวดมนต์ให้ก็ตามมาหาถึงเตียง! ร้องบอก “กูหิว กูหิว!” จนอยู่แทบไม่ได้ สุดท้ายไปหลอกฝรั่งว่าเป็นแองเจิ้ลของไทย บูชาแล้วจะได้ดี!

24 ก.พ. 2024

รับของมาไม่รู้ตัว พอไม่สวดมนต์ให้ก็ตามมาหาถึงเตียง! ร้องบอก “กูหิว กูหิว!” จนอยู่แทบไม่ได้ สุดท้ายไปหลอกฝรั่งว่าเป็นแองเจิ้ลของไทย บูชาแล้วจะได้ดี!

เมื่อย้ายห้องไปอยู่กับรุ่นน้องที่ทำงาน แต่กลับเจอเป็นพวงกุญแจผู้หญิงเปลือยกาย ก็คิดว่าไม่มีอะไรจึงเก็บไว้กับตัว จนเจอดีถึง 3 ครั้ง! สุดจะทนต่างคนต่างอยู่ละกันก็นำไปทิ้งโดยไม่ทำพิธี แต่แล้วก็ต้องช็อคเมื่อสิ่งนั้นกลับมาอีกครั้ง! เรื่องนี้ ‘ขวัญ น้ำมันพราย’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘กูหิว’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณออโต้’ ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้คุณขวัญน้ำมันพรายได้ฟัง โดยคุณออโต้เล่าว่า พึ่งได้รับเรื่องนี้มาเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งคนที่ฝากเรื่องมาคือ ‘คุณดา’ มีอาชีพเป็นผู้ช่วยเชฟอยู่ต่างประเทศ (จากนี้จะขอเรียกว่าพี่ดา) เมื่อพี่ดาไปทำงานที่ต่างประเทศ ช่วงที่ไปทำงานแรก ๆ นั้นสถานที่พักอาศัยยังไม่สะดวก จึงต้องไปอยู่รวมกับคนไทยที่รู้จักกันในบ้านหลังใหญ่ แต่ด้วยความที่พี่ดาต้องการความเป็นส่วนตัว เมื่อทำงานได้ประมาณ 2-3 ปี อยู่ดี ๆ มีน้องที่ทำงานชื่อว่า ‘คุณส้ม’ บอกพี่ดาว่า “พี่ดา คอนโดที่หนูอยู่ รูมเมทที่อยู่ห้องเดียวกันเขาออก พี่ดาเอาป่าว?” พี่ดาใช้เวลาตัดสินใจไม่นานก็ตอบตกลง เช้าวันรุ่งขึ้นพี่ดาย้ายของไปอยู่ห้องใหม่ ซึ่งลักษณะของห้องนี้มี 2 ห้องอยู่ในห้องใหญ่ มีห้องน้ำและห้องครัวแยกต่างหาก พี่ดาอยู่อีกห้องหนึ่ง คุณส้มก็อยู่อีกห้องหนึ่ง ทั้งคู่อาศัยอยู่ด้วยกันเพราะทำงานที่เดียวกันและเป็นผู้ช่วยเชฟเหมือนกัน วันแรกที่พี่ดาเข้าไปอยู่นั้นก็ทำความสะอาดห้อง ด้วยความที่เป็นคนรักความสะอาดอยู่แล้ว ก็ปัดกวาดเช็ดถูผิวปากอารมณ์ดีเพราะดีใจที่ได้ห้องส่วนตัว นอกจากนี้ในห้องจะมีตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน พี่ดาปัดโดนอะไรบางอย่างหล่นลงบนพื้น พอหยิบขึ้นมาสิ่งนั้นเป็นเหมือนพวงกุญแจ รูปผู้หญิงเปลือย พี่ดาจึงคิดในใจว่า ‘น่ารักดี ใครเอามาทิ้งไว้ งั้นอยู่ด้วยกันละกัน’ จากนั้นพี่ดาจึงนำพวงกุญแจไปใส่ไว้ในกระป๋องสังกะสีที่วางอยู่บนหัวเตียงนอน พี่ดามักจะสวดมนต์และแผ่เมตตาก่อนนอนทุกคืน แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไป 2 เดือน มีอยู่คืนหนึ่งที่พี่ดาลืมสวดมนต์และแผ่เมตตา คืนนั้นฝันว่าตัวเองอยู่บนเตียง จู่ ๆ ระหว่างที่กำลังมองไปรอบ ๆ ห้อง ก็มีเสียงเหมือนดัง ก๊อกแก๊ก ๆ เสียงเหมือนคนรื้อของ พี่ดาก็เหลือบตาไปมองตรงบริเวณต้นเสียง ซึ่งตรงนั้นเป็นเหมือนโต๊ะกินข้าวที่อยู่ในห้อง (พี่ดาเป็นคนที่ชอบซื้อของตุนไว้ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร อาหารแห้ง ขนมก็วางไว้ตรงนั้น) เมื่อหันไปมองปรากฏว่าในฝัน เห็นผู้หญิงนั่งยอง ๆ หันหลังให้อยู่บนเก้าอี้ ผู้หญิงคนนั้นพยายามค้นอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะ ผ่านไปสักพักพี่ดาก็สงสัยว่าใครมาอยู่ในห้องของตน ซึ่งลักษณะของผู้หญิงคนนั้นคือไม่ใส่เสื้อผ้า ระหว่างที่พี่ดากำลังคิดและกำลังจะเอ่ยปากถาม ผู้หญิงคนนั้นก็หยุดการกระทำทุกอย่าง แล้วหันหน้ามาพูดว่า “เอากูมาเลี้ยง แล้วปล่อยให้กูอดอยากทำไม กูหิว!” สักพักผู้หญิงคนนั้นก็หันหน้ามาหาพี่ดาแล้วกระโดดใส่ที่เตียง! พี่ดาสะดุ้งตื่น เมื่อตื่นขึ้นมามีเสียงเคาะประตูจากข้างนอก คุณส้มมาเรียกว่า “พี่ดาไปทำงานเร็ว ยังไม่ตื่นหรอ?” จากนั้นพี่ดาก็ไปทำงานและไม่ได้เล่าอะไรให้คุณส้มฟัง เวลาผ่านไปอีกประมาณ 2 เดือน ช่วงนั้นพี่ดาติดละครไทยจึงดูแล้วเผลอหลับไปจนลืมสวดมนต์ แต่คราวนี้พี่ดายืนยันว่าตนไม่ได้ฝัน ขณะที่นอนอยู่นั้นก็มีเสียงเปิดประตูดัง แอ๊ด… แล้วก็มีเสียงเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงโต๊ะนั้น จากนั้นก็มีเสียงเหมือนค้นของ พี่ดาคิดว่าเป็นรูมเมท พี่ดาก็นอนตะแคงถามว่า “ส้มมารื้ออะไรวะตอนนี้ พี่จะนอน พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปทำงาน ไป ๆ พี่จะนอน” หลังจากนั้นเสียงก็เงียบลง และไม่มีเสียงตอบกลับ พี่ดาสงสัยว่าทำไมคุณส้มไม่ตอบ เพราะปกติคุณส้มจะเป็นคนโต้ตอบเสียงแจ๋น จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า ‘อ้าว กูล็อคห้องนี่หว่า!’ แล้วก็เอี้ยวคอหันไปดูที่โต๊ะ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเตียง ปรากฏว่าพี่ดาเห็นเป็นผู้หญิงที่อยู่ในฝันมารื้อของอยู่บนโต๊ะ พี่ดาตกใจจึงหันไปดู ระหว่างที่พี่ดากำลังจะเอ่ยปากถาม เหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนในฝัน และเหมือนผู้หญิงคนนั้นเขาจะรู้ว่าพี่ดารู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้ พี่ดาตกใจมาก ผู้หญิงคนนั้นก็หันมาพูดว่า “กูหิว!” แล้วกระโดดมาหาพี่ดา! พี่ดาดึงผ้าห่มคลุมโปงร้องกรี๊ดลั่นห้อง สักพักมีเสียงเคาะประตู คุณส้มถามว่า “พี่ดาเป็นอะไร ๆ” พี่ดากลั้นใจสะบัดผ้าห่มแล้ววิ่งไปเปิดประตู คุณส้มเข้ามาในห้องและกระโดดกอดร้องไห้ พี่ดาบอกคุณส้มว่า “พี่เจอผี” แล้วเล่าทุกอย่างให้คุณส้มฟัง เมื่อคุณส้มได้ฟังเรื่องทั้งหมดกลับไม่มีอาการตกใจ แต่กลับนิ่งแล้วพูดว่า “พี่ดาเจอผีบราซิลหรอ? ไม่ใช่พี่คนแรกหรอกที่เจอ คนที่อยู่ในคอนโดนี้ก็เจอกันหลายคน” พี่ดาก็ถามว่า “แล้วมันคืออะไร” คุณส้มก็เล่าย้อนกลับไปเมื่อต้นปีที่แล้วว่า ก่อนที่ส้มจะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ เขาเล่ากันว่าที่นี่เคยมีคนมาแบ่งห้องเช่ากัน และมีสาวจากประเทศบราซิลมาอยู่ที่นี่ เขาทำงานบริการก็พาลูกค้ามานอนที่ห้องนี้ แล้วเกิดการทะเลาะกัน จนผู้หญิงบราซิลถูกฆ่าตายในห้อง ซึ่งเป็นห้องที่พี่ดาอาศัยอยู่ พี่ดาก็พูดว่า “เฮ้ยแก แต่เขาพูดภาษาไทยนะ” ส้มก็พูดว่า “เอ๊ะ! หนูก็ไม่รู้อะพี่ แต่ที่นี่เขาเจอแต่ผีบราซิล” จบสนทนาเวลาก็ผ่านไป เช้าวันถัดมาพี่ดาก็บอกว่า “พี่ไม่ไหวว่ะส้ม พี่ลางานดีกว่า” พี่ดาลางานกับหัวหน้าแล้วนอนพักผ่อนอยู่ที่ห้อง เมื่อตื่นมาตอนสาย จึงเดินลงไปข้างล่างใต้ตึกที่มีร้านโชว์ห่วย เจ้าของร้านเป็นคนที่มาจากประเทศอินเดีย ร้านก็จะขายของกินและขายเครื่องรางสายมู พี่ดาจึงพยายามไปตะล่อมถามคนขายและเล่าว่าตนเจอกับอะไร เจ้าของร้านก็พูดว่า “เธอเจอผีบราซิลหรอ?” ลูกค้าที่อยู่ในตึกก็พูดเหมือนกัน เมื่อเสร็จจากซื้อของพี่ดาก็ขึ้นไปบนห้องคิดในใจว่า ‘ไม่รู้เป็นเจ้าที่หรืออะไร แต่ต่างประเทศเจ้าที่พูดไทยได้ด้วยหรอ’ ตามความเชื่อของตนนั้นเวลาเจอผีก็จะสวดมนต์แผ่เมตตา จึงซื้อของขึ้นไปวางไว้หน้าห้อง จุดธูป 1 ดอกแล้วก็ไหว้พร้อมพูดว่า “หนูมาอยู่ที่นี่นะ อย่าทำอะไรหนูเลย ให้หนูอยู่พักผ่อนอย่างดี” หลังจากนั้นพี่ดาก็เข้านอน เวลาผ่านไป 3-4 เดือนก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนอยู่มาวันหนึ่งเป็นวันที่พี่ดาเล่าให้คุณออโต้ฟังว่า “พี่จำไม่เคยลืมเลยเรื่องนี้” วันนั้นพี่ดารู้สึกเพลียเพราะเป็นประจำเดือนจึงนอนพัก จากนั้นก็เผลอหลับไปและลืมสวดมนต์อีกเช่นเคย พี่ดาตื่นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงเหมือนเดิม มีคนเปิดประตูเข้ามา แต่คราวนี้พี่ดาเปิดประตูไว้ เพราะว่าเผื่อคุณส้มจะเข้ามาเอาของ และเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมันห่างมาหลายเดือนคิดว่าผู้หญิงคนนั้นคงไม่อยู่แล้ว ระหว่างที่พี่ดานอนหลับนั้น เสียงเปิดประตูก็ดัง แอ๊ด… พี่ดาสงสัยว่าเป็นคุณส้มที่มาค้นของจึงพูดว่า “ส้ม รีบเอารีบออกไปพี่จะนอน พี่เพลีย วันนี้พี่เป็นประจำเดือนด้วย” หลังจากพูดจบเสียงก็เงียบ และไม่มีเสียงตอบกลับ สักพักพี่ดาลืมตาแล้วเอี้ยวคอมาดูเหมือนเดิม สิ่งที่เห็นคราวนี้ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมา ซึ่งครั้งแรกเจอในฝัน ครั้งที่ 2 เจอผู้หญิงนั่งหันหลังให้ แต่ครั้งนี้ผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปนั่งบนโต๊ะกินข้าว แล้วก็หันหน้ามามองพี่ดาพร้อมกับโยกหัว และพูดว่า “กูหิว เอากูมาเลี้ยงทำไมเลี้ยงกูไม่ดี กูหิว มึงเข้าใจไหม กูหิว!!!” หลังจากนั้นพี่ดาตกใจลืมตาขึ้นมาดู ก็เห็นผู้หญิงคนนั้นกำลังกระโดดเข้ามาหาตน และระหว่างที่จะลอยมาหานั้นร่างก็หายไป พี่ดาก็อึ้งกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พี่ดาจึงมองหาว่าผู้หญิงคนนั้นหายไปไหน เหลือบไปมองปลายเตียง ก็ค่อย ๆ มีมือเกาะขอบเตียง และผู้หญิงคนนั้นก็ค่อย ๆ โผล่หน้าขึ้นมาจากขอบเตียง เมื่อเห็นหน้าเต็ม ๆ พี่ดาเล่าให้ฟังว่า หน้าของเขาเป็นหน้าซีด ๆ แต่ที่แปลกคือตาของเขาโตเป็นไข่ห่าน และแลบลิ้นเลีย พี่ดารีบดึงเท้าของตน ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นตะปบขา แล้วจับขาไว้ แลบลิ้น และคลานเข้าไปหาพยายามเอาหน้าซุกตรงระหว่างขาของพี่ดา พี่ดากรีดร้องด้วยความกลัว จนคุณส้มเปิดประตูเข้ามาและถามว่า “พี่ดาเป็นอะไร ๆ” พี่ดาก็พยายามเหวี่ยงมือสะบัดจนปัดไปโดนกล่องบนหัวเตียง พี่ดาจะก้มเก็บ แต่คุณส้มบอกว่า “ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวหนูช่วย” คุณส้มก็ช่วยเก็บ เมื่อผ่านไปสักพักหนึ่ง คุณส้มก็พูดกับพี่ดาว่า “พี่ดาเลี้ยงอีเป๋อด้วยหรอ?” พร้อมทั้งหยิบของขึ้นมาแล้วชูให้พี่ดาดู พี่ดาก็ตอบกลับไปว่า “อีเป๋อไหน?” ความจริงแล้วเป็นพวงกุญแจที่เคยหล่น แล้วพี่ดาลืมไปว่าตนเก็บใส่กล่องเอาไว้ ซึ่งนั่นคืออีเป๋อ! พี่ดาก็ถามว่า “แล้วอีเป๋อมันคืออะไรพี่ไม่เข้าใจ” คุณส้มบอกว่า “ก็นี่ไงเล่นของเรียกมนต์เสน่ห์ ถ้าเลี้ยงบูชาดี ๆ หรือถ้าดีไปกว่านั้นก็คือ เนี่ยถ้าเอาประจำเดือนให้เขาจะดีมากจะประสบผลสำเร็จ” พี่ดาบอกว่า “อะไร กูไม่ได้เลี้ยง มันมาเอง กูเห็นมันอยู่บนหลังตู้” จากนั้นจึงโทรกลับไปหารูมเมทคนเก่าที่เป็นคนไทยซึ่งเคยทำงานด้วยกัน เมื่อโทรไปทั้งคู่เปิด สปีกเกอร์โฟนและด่าทอว่า “ทำไมเอามาเลี้ยงแล้วมึงไม่เอาไปด้วยล่ะ?” คนที่รับสายนั้นอยู่ประเทศไทยก็ไม่ฟังอะไร พูดสวนกลับมาว่าของมันดี ฝั่งพี่ดาก็พูดว่า “เดี๋ยวฉันออกค่าขนส่งให้ เดี๋ยวจ่ายเองเอาไปเลย” ปลายสายก็บอกว่า “ไม่เป็นไรพี่ แบ่ง ๆ กันใช้” แล้วก็รีบวางสายไป จากนั้นพี่ดาโมโหจึงเอาทิชชูห่ออีเป๋อเดินไปตรงหน้าต่าง แล้วก็พูดว่า “มึงกับกูต่างคนต่างอยู่ละกัน” แล้วจึงขว้างอีเป๋อออกไปข้างนอก เสร็จแล้วพี่ดาก็สบายใจขึ้น เช้าวันถัดมา ต่างคนก็ต่างออกไปทำงาน ตกเย็นพี่ดาเข้าห้องก่อน ส่วนคุณส้มซึ่งทำโอทีตามมาทีหลัง คุณส้มก็มาเคาะประตูแล้วพูดว่า “พี่ดา ๆ มานี่ มานี่เร็ว” พี่ดาเปิดประตูออกไปหาคุณส้ม ณ ตอนนั้นคุณส้มยืนอยู่ตรงหน้าประตู แต่ไม่ยืนใกล้ประตูและชี้ลงพื้น ถามว่า “พี่ดา พี่เอามาทำไม? ปรากฏว่าอีเป๋อวางอยู่หน้าห้อง เมื่อเห็นดังนั้นพี่ดาก็ช็อกไม่รู้จะทำอย่างไร น้ำตาคลอคิดว่าชีวิตเจอกับอะไรอยู่ ขนาดปาทิ้งยังกลับมาอีก คุณส้มก็บอกว่า “ไม่เป็นไรพี่ หนูจัดการเอง” คุณส้มจึงตัดสินใจคว้าอีเป๋อยัดใส่ถุงดำวิ่งลงไปข้างล่าง ขณะนั้นรถขยะมาพอดี คุณส้มจึงโยนใส่รถขยะไป และอีเป๋อก็ไปกับรถขยะ ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ เวลาผ่านไป 2-3 เดือน พี่ดาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าเชฟ จากที่เคยเป็นผู้ช่วยเชฟ แต่เจ้านายอยากให้พี่ดาไปดูแลสาขาอีกเมือง จึงต้องย้ายห้อง ระหว่างนั้นคุณส้มชวนแฟนชาวต่างชาติมาช่วยขนของ จากนั้นก็นั่งกินเลี้ยงกันเพื่อขอบคุณ พี่ดานั้นเป็นคนที่เก็บแก้วแหวนเงินทองที่สะสมไว้ในถุงแดง เมื่อหยิบมาจากบนหัวเตียงแล้วแกะดู จู่ ๆ ขณะที่เปิดถุงแดงพี่ดาก็ขว้างลงพื้น ของกระจายเต็มไปหมด และมีสิ่งหนึ่งกลิ้งมาตรงโต๊ะที่คุณส้มและแฟนนั่งอยู่ ปรากฏว่าอีเป๋ออยู่ในถุง! พี่ดาเห็นแบบนั้นก็ร้องไห้ พี่ดากลัวแฟนต่างชาติของคุณส้มตกใจ จึงวิ่งไปล้างหน้า เมื่อเปิดประตูออกมาก็เจอคุณส้มยืนยิ้มอยู่หน้าห้องน้ำ คุณส้มพูดว่า “พี่ดา ไม่ต้องห่วงแล้วนะ หนูหาทางออกให้พี่ได้แล้ว” พี่ดาก็ถามว่า “ยังไงอะ?” คุณส้มตอบว่า “ผัวฝรั่งหนูคนนี้ มันเปิดร้านอาหารกลางคืน หนูก็ไปหลอกมันว่าเป็นแองเจิ้ลของคนไทยนะ เนี่ยเอาไปบูชาถ้ามีประจำเดือนก็ให้กิน” แฟนของคุณส้มก็งงว่ากินประจำเดือนด้วยหรอ แต่ก็ยินดีรับไป หายไปประมาณเกือบครึ่งปี คุณส้มมีโอกาสได้ไปหาพี่ดาอีกเมือง เมื่อคุณส้มเจอพี่ดาก็ยื่นเงินให้หนึ่งหมื่น พี่ดาก็ถามว่า “เงินใคร?” คุณส้มก็บอกว่า “อ้าว ก็ส่วนแบ่งไง แบ่งกันคนละหมื่น” ฝรั่งคนนั้นบูชาอีเป๋อไปสองหมื่นบาท แล้วปรากฏว่า ในช่วงเวลานั้นกิจการของเขารุ่งเรือง เปิดร้านหลายสาขา แต่ชีวิตครอบครัวจากที่อบอุ่นก็แตกแยกกัน และทุกวันนี้อีเป๋อก็อยู่กับฝรั่งคนนั้น…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปร่วมงานเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต จองโรงแรมที่ครอบครัวไปประจำ แต่ครั้งนี้ดันเจอหลอนไม่ได้นอนยันเช้า! เมื่อได้รู้ความลับของที่นั่นถึงกับอึ้ง!

20 ม.ค. 2024

ไปร่วมงานเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต จองโรงแรมที่ครอบครัวไปประจำ แต่ครั้งนี้ดันเจอหลอนไม่ได้นอนยันเช้า! เมื่อได้รู้ความลับของที่นั่นถึงกับอึ้ง!

เมื่อต้องเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แต่เกิดเหตุการณ์ให้ต้องย้ายห้อง จากนั้นก็ต้องเจอกับเรื่องราวที่ทำให้ต้องขนหัวลุกจนนอนไม่ได้! เรื่องนี้ ‘คุณกิ๊ฟ’ ได้นำเรื่องราวมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (16 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘โรงแรมหลอน นอนไม่ได้’ จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คุณกิ๊ฟและครอบครัวได้ไปร่วมงานเทศกาลกินเจที่จังหวัดภูเก็ต ได้จองตั๋วเครื่องบินรอบเช้าสุดเพื่อรีบไปร่วมงาน ส่วนเรื่องที่พักนั้น คุณพ่อกับคุณแม่ของคุณกิ๊ฟเป็นคนจองโรงแรมให้ ซึ่งท่านจะมาพักที่โรงแรมนี้ทุกครั้ง เพราะใกล้กับศาลเจ้าที่นับถือมากที่สุด เมื่อไปถึง ก็เช่ารถขับไปยังโรงแรม เข้าเช็คอินเวลาประมาณ 8 โมงเช้า เมื่อเช็คอินเสร็จก็นำของขึ้นไปเก็บบนห้องและเช็คความเรียบร้อยต่าง ๆคุณกิ๊ฟเล่าว่า ห้องอยู่ชั้น 4 แต่จำเลขห้องไม่ได้ และอธิบายห้องเพิ่มเติมว่า หากหันหน้าเข้าห้อง ด้านหลังจะเป็นบันได ด้านขวามือจะเป็นลิฟต์ ซึ่งโรงแรมนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ส่วนบริเวณนี้จะเป็นตึกแถวเก่าที่นำมารีโนเวทเป็นโรงแรม อาคารนี้มีไม่เกิน 10 ชั้น ฝั่งที่คุณกิ๊ฟอยู่นั้นจะเป็นฝั่งห้องพัก ตรงข้ามจะเป็นฝั่งห้องอาหาร ห้องที่คุณกิ๊ฟและครอบครัวเข้าพักนั้นมี 2 ห้อง เป็นห้องของคุณพ่อกับคุณแม่ และอีกห้องจะเป็นของคุณกิ๊ฟกับน้องชายอีก 2 คน หลังจากเข้าห้องไป คุณกิ๊ฟก็เช็คไฟ เช็คแอร์ และเปิดแอร์ทิ้งไว้ จากนั้นก็ออกไปรับประทานอาหารและไปตะลุยไหว้เจ้า เมื่อกลับมาถึงโรงแรมประมาณบ่าย 2 คุณกิ๊ฟก็ขึ้นไปอาบน้ำเพื่อพักผ่อน เพราะเวลา 5 โมงเย็น จะต้องออกไปไหว้เจ้ากันต่อ คุณกิ๊ฟก็ขึ้นไปห้องของคุณพ่อและคุณแม่ ทุกอย่างก็เป็นปกติ แต่ห้องของคุณกิ๊ฟกับน้องชายนั้น อยู่ดี ๆ แอร์ก็ดับเปิดไม่ได้ ‘คุณโก้’ (นามสมมุติ) ที่เป็นน้องชายคนเล็ก จึงโทรไปที่ล็อบบี้แล้วบอกว่า “ช่วยมาดูหน่อย แอร์มันเสีย” หลังจากนั้น ช่างก็ขึ้นมาทันที ช่างใช้เวลาซ่อมอยู่นานมากประมาณ 1-2 ชั่วโมง แต่ก็ซ่อมไม่ได้ ช่างจึงโทรไปที่ล็อบบี้ ทางล็อบบี้จึงแจ้งว่าจะเปลี่ยนห้องให้ หลังจากนั้น ก็ส่งแม่บ้านขึ้นมาช่วยขนของ ‘คุณกร’ (นามสมมุติ) ที่เป็นน้องชายคนกลาง ก็บอกว่า “เดี๋ยวผมขอขึ้นไปดูห้องใหม่ด้วย” คุณกิ๊ฟบอกเสริมว่า คุณกรเป็นคนที่ค่อนข้างมีเซ้นส์ แล้วคุณกรก็พูดภาษาจีนว่า “เดี๋ยวเราส่งสัญญาณนะ เธอรอฟังสัญญาณ” จากนั้น คุณกรก็ตามแม่บ้านขึ้นไปซึ่งชั้นที่จะให้คุณกิ๊ฟย้ายไปคือชั้น 7 ห้อง 705 ขณะที่คุณกรขึ้นไป อยู่ดี ๆ เขาก็ตะโกนลงมาจากชั้น 7 เป็นภาษาจีนว่า “เฮ้ย ไม่เอานะห้องนี้ มันมีผี!” คุณกิ๊ฟก็สงสัยว่าทำไมคุณกรตะโกนมาแบบนั้น ก็เลยบอกให้คุณโก้โทรไปที่ล็อบบี้และบอกว่า “ขอไม่ย้ายห้อง ทำยังไงก็ได้ให้ห้องนี้มันอยู่ได้” ทางโรงแรมก็แจ้งว่า “มันไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ช่างแจ้งว่าแอร์มันเปิดไม่ติด แล้วก็ไม่รู้ว่าแอร์เป็นอะไร” คุณโก้ก็ยังยืนยันว่าจะไม่ย้าย จนโรงแรมหงุดหงิดและถามกลับมาว่า “ทำไมถึงไม่ย้ายคะ อยากทราบสาเหตุ” คุณโก้จึงตอบกลับไปว่า “ผมว่าคุณน่าจะมีคำตอบในใจนะว่าเพราะอะไร” หลังจากนั้นโรงแรมก็เงียบไปและตอบว่า “โอเคค่ะ” เวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง พนักงานโรงแรมก็โทรกลับมาว่า “มีอีกห้องนึงนะคะ อยู่ชั้น 5” ซึ่งก็อยู่ในมุมเดิมแถวหน้าลิฟต์ คุณกิ๊ฟตกลง คุณกรจึงขอไปดูห้องใหม่อีกครั้ง เมื่อเข้าไปทุกห้องก็เป็นเหมือนกัน คือเมื่อเปิดประตูเข้าไป หันหน้าเข้าห้อง ด้านขวามือจะเป็นห้องน้ำ ด้านซ้ายมือจะเป็นที่วางกระเป๋า ตู้เสื้อผ้า ถัดไปจะเป็นเตียง ถัดไปอีกก็จะเป็นมุมโซฟาเล็ก ๆ และด้านถัดมาจากโซฟาทางซ้ายก็จะเป็นประตูที่จะออกไประเบียง คุณกรก็ตกลง เพราะห้องนี้ดูใหม่จึงตัดสินใจเลือกห้องนี้ ทางโรงแรมจึงให้พนักงานขึ้นมาขนของ และย้ายไปอยู่ที่ชั้น 5 เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ต้องรีบทำเวลา เพราะอยู่ที่ภูเก็ตแค่ 3 วัน 2 คืน จึงรีบไปตะลุยไหว้เจ้าต่อ เสร็จก็กลับมาถึงโรงแรมประมาณ 5 ทุ่ม-เที่ยงคืนทุกวัน จึงเตรียมตัวเข้านอน ซึ่งคุณกิ๊ฟนอนตรงกลางขนาบด้วยน้องชายทั้ง 2 คน เวลาผ่านไปประมาณตี 3 คุณกรก็ปลุกคุณกิ๊ฟ แล้วบอกว่า “เจ้ ตื่นเร็ว!! อยู่ไม่ได้แล้ว นอนไม่ได้เลย” คุณกิ๊ฟก็บอกว่า “อะไรของแก ฉันพึ่งจะได้นอนเอง” คุณกรบอกต่อว่า “ถ้าไม่ตื่น จะไปแล้วนะ” ด้วยความที่คุณกิ๊ฟเคยเที่ยวกับคุณกรมา ก่อน เวลาคุณกรเจออะไรเขาก็จะพูดแบบนี้ คุณกิ๊ฟจึงรู้สึกว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ จากนั้นก็รีบลุกขึ้น แล้วหันไปปลุกคุณโก้ หลังจากนั้นก็ออกจากห้อง และคุณกรก็บอกว่า “เจ้ ไปเจอกันที่ล็อบบี้เลยนะ เดี๋ยวจะไปปลุกป๊ากับม๊าก่อน” คุณกิ๊ฟก็ลงลิฟต์ไปกับคุณโก้ และลงไปนั่งที่ล็อบบี้ จากนั้นก็รอกันจนถึงตี 5 เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อห้องอาหารเปิดก็ไปรับประทานอาหาร ในระหว่างนั้น คุณกิ๊ฟก็ถามคุณกรว่า “แกเจออะไร? ” คุณกรตอบว่า “เดี๋ยวค่อยเล่า ๆ” หลังจากนั้นก็ขึ้นรถออกจากโรงแรม ซึ่งคุณกิ๊ฟรับหน้าที่เป็นคนขับรถ คุณกิ๊ฟจึงถามอีกครั้งว่า “เกิดอะไรขึ้น?” คุณกรเล่าว่า หลังจากที่ล้มตัวลงนอน เขาฝันว่ามีคนมาเคาะประตู ซึ่งในฝันเขาอยู่คนเดียว เขาจึงส่องไปที่ตาแมวเห็นเป็นพนักงานที่ล็อบบี้ คุณกรก็สังสัยว่ามาทำไม จึงเปิดประตูและถามว่า “มีอะไรครับ” พนักงานก็ตอบว่า “พี่คะ ผู้หญิงที่อยู่ห้อง 705 ที่พี่เจออะค่ะ ตอนประมาณเย็น ๆ เขามีเรื่องให้หนูมาบอกพี่” คุณกรก็พูดว่า “บอกอะไร? ผมไม่อยากรู้” คุณกรรู้สึกว่ามันไม่ปกติจึงบอกต่อไปว่า “ผมไม่ฟัง ผมไม่รับรู้ ผมมาทำบุญคุณไม่ต้องมาบอกผม” พนักงานก็บอกว่า “พี่คะ ขอร้องค่ะ ช่วยฟังหน่อย คือเขาอะบอกให้หนูมาบอกพี่จริง ๆ เขามีเรื่องทุกข์ใจมาก” แต่คุณกรก็ไม่ฟัง และพยายามดันประตูปิด จากนั้นฝั่งตรงข้ามก็คุกเข่าและพูดว่า “อ๋อ โอเคได้” เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นกลับกลายเป็นหน้าผู้หญิงที่อยู่ห้อง 705! คุณกรตกใจมาก แล้วเขาก็บอกว่า “กูบอกให้มึงฟัง มึงก็ไม่ฟัง มึงอยากลองดีหรอ?!” จากนั้นก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดและนำเลือดมาทาตัว หลักจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน และเดินเข้ามาหาคุณกรเรื่อย ๆ คุณกรบอกว่า เมื่อเขาเดินเข้ามา รู้สึกว่าภาพบรรยากาศในห้องมันเปลี่ยนไป ห้องนั้นกลายเป็นห้องมืด ๆ มีม่านเก่า ๆ โซฟาเก่า ๆ จากนั้นเขาหันไปที่ระเบียง เตรียมตัวจะเปิดประตูออกไป แต่ตรงนั้นกลับเปลี่ยนเป็นลูกกรงเล็ก ๆ คุณกรก็ตกใจ หันมาอีกที ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่า “กูบอกมึงแล้วไง มึงอยากลองดี!” ด้วยความที่คุณกรกลัวมากจึงสวดมนต์ เมื่อสวดมนต์เสร็จ เขาก็บอกว่า “สวดมนต์หรอ กูไม่กลัวหรอก” คุณกรคิดว่าทำอย่างไรดีที่จะให้ตัวเองตื่น จึงสวดมนต์บทที่แรงขึ้น หลังจากนั้นก็หลุดออกมาได้! เมื่อหลุดออกมา จึงมาปลุกคุณกิ๊ฟกับคุณโก้ และในระหว่างที่คุณกรลงบันไดมานั้น คุณกรบอกว่า เมื่อมองเข้าไป ตรงบันได ถ้าหันหน้าเข้าห้อง ขวามือจะเป็นเหมือนทางเดินเข้าไปที่เป็นห้อง ๆ เป็นทางเดินระเบียง มีผู้หญิงมากวักมือเรียกกันเยอะมาก คุณกิ๊ฟจึงบอกว่า “ไม่เป็นไร เราไปไหว้เจ้า ทำใจสบาย ๆ ทำบุญให้เขาละกัน” คุณกรตัดสินใจจึงโทรหาเพื่อนที่เป็นคนภูเก็ตเพื่อจะถามเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น และได้นัดเจอกัน เมื่อเพื่อนรู้ชื่อโรงแรมที่คุณกรเข้าพักก็ถามขึ้นมาว่า “ทำไมถึงตัดสินใจนอนโรงแรมนี้หรอ?” คุณกรก็บอกว่า “ป๊ากับม๊ามาทีไรก็พักที่นี่ เพราะใกล้กับศาลเจ้าที่นับถือ” เพื่อนของคุณกรจึงบอกว่า “แกไม่รู้หรอว่าคนภูเก็ต ไม่มีใครเขามานอนที่นี่สักคน” คุณกรถามกลับว่า “ทำไมอะ มันเกิดอะไรขึ้น? ” เพื่อนของคุณกรก็ไม่อยากเล่า แต่ในที่สุดเขาก็ยอมและให้คุณแม่ของเขาเป็นคนเล่าแทน คุณแม่เล่าย้อนไปเมื่อ 20-30 ปีก่อน บริเวณที่โรงแรมนั้นตั้งอยู่เคยเป็น ‘ซ่องโสเภณีเก่า’ ได้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ตึก ผู้หญิงที่อยู่ในนั้นถูกไฟคลอกเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เมื่อทราบที่มาที่ไป คุณกิ๊ฟยังต้องนอนต่ออีก 1 คืน แต่ก็คิดว่าคงไม่มีอะไร เพราะย้ายห้องแล้วคงตามมาไม่ได้ และรุ่งเช้าก็ได้กลับบ้านแล้ว คืนสุดท้ายจะเป็นคืนทำบุญใหญ่ รุ่งเช้าจะมีการส่งเจ้าขึ้นสวรรค์ คุณกิ๊ฟก็เดินไปร่วมงานเทศกาลที่โรงเจ ในระหว่างนั้นก็ทำบุญ คุณกิ๊ฟก็บอกกับคุณกรว่า “ไม่เป็นไร เมื่อคืนเราเจอแล้ว วันนี้เราตั้งใจอุทิศบุญให้เขาเลย เธอเห็นหน้าเขาแล้วหนิ” คุณกิ๊ฟเล่าว่า ภาพที่คุณกรเห็นครั้งนั้นในห้อง 705 คือเห็นเป็นโซฟาเก่า ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งเหม่อมองไปข้างนอกหน้าต่าง แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้ว่าคุณกรเห็น ลักษณะการแต่งตัวคือใส่เสื้อคอกระเช้า และนุ่งผ้าถุงลายดอกเก่า ๆ คุณกิ๊ฟจึงบอกให้คุณกรนึกถึงหน้าผู้หญิงคนนั้น คุณกรก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้และขอให้มารับบุญนี้ หลังจากนั้นคุณกรก็ได้ยินเสียงผู้หญิงพูดขึ้นมาว่า “กูไม่เอา!” คุณกรไม่รู้จะทำอย่างไร คุณกิ๊ฟจึงบอกว่า “ช่างเถอะ เราจิตเป็นกุศลแต่ถ้าเขาไม่รับก็เรื่องของเขา” แล้วคุณกิ๊ฟก็ได้ของขลังกลับมา จึงนำมาวางรอบ ๆ เตียงเพื่อไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาได้ แต่ปรากฏว่าคืนนั้นกลับไม่ได้นอนอีกคืน เพราะผู้หญิงคนนั้นมาระราน เคาะตู้ เคาะเตียง และเหมือนมีเสียงคนเดินรอบ ๆ เตียงตลอดเวลา จนกระทั่งเช้าจึงรีบออกจากห้องไปที่ล็อบบี้ แล้วเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแห่งนั้น(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องหลอน ๆ ของคนมีเซนส์ หลังย้ายไปทำงานที่พังงา

21 มี.ค. 2023

เรื่องหลอน ๆ ของคนมีเซนส์ หลังย้ายไปทำงานที่พังงา

เรื่องหลอน ๆ ของคนมีเซนส์ หลังย้ายไปทำงานที่พังงา คืนหนึ่ง.. ต้องไปส่งเอกสารด่วน ขากลับขับผ่านโค้งหักศอก ตรงนั้นมีศาลตั้งอยู่ด้วย! พยายามมองแค่ทางตรงแล้ว แต่หางตาดันสะดุด ทำให้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น! สติหลุด ทั้งกรี๊ด ทั้งร้องไห้ ขับต่อแทบไม่ไหวจนต้องจอดพัก แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ก่อให้เกิดคลื่นน้ำขนาดยักษ์ที่เรารู้จักและหวาดกลัวอย่าง ‘สึนามิ’ พัดถล่มเข้าชายฝั่งหลายจังหวัดทางภาคใต้ในประเทศไทย ส่งผลให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ทั้งโลกไม่อาจลืมเลือน หนึ่งในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์เต็ม ๆ คือ จ.พังงา และยังเป็นจุดหมายปลายทางของ ‘คุณแนน’ สายจากทางบ้านที่พบเจอกับประสบการณ์หลอนทันทีที่ได้มาถึง ทำเอา ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ’ ถึงกับอ้าปากค้างในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (14 มีนาคม 2566) กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ย้ายไปพังงา’ คุณแนนเล่าว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์เมื่อ 13 ปีก่อน ตอนนั้นคุณแนนได้บรรจุเป็นราชการครั้งแรก ได้ทำงานอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งในจังหวัดพังงา แต่เดิมนั้นคุณแนนอาศัยอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี จึงใช้เวลาเดินทางไปที่พังงานานหลายชั่วโมง ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ทำงาน รวมทั้งบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยทะเลที่สวยงาม และความเหน็ดเหนื่อยจากเดินทางไกล ทำให้คุณแนนไม่ได้บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง และผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยทันทีที่เดินทางไปถึงบ้านพักข้าราชการ.. ทันทีที่หลับ คุณแนนก็ฝันว่าตัวเองนั้นนั่งอยู่ที่ท้ายกระบะ สักพักก็มีคนโยนศพขึ้นมาบนรถ! โยนมาจนเต็มหลังกระบะและเบียดพื้นที่ของคุณแนน ตอนนั้นคุณแนนรู้ตัวแล้วว่ากำลังฝันอยู่ แต่ก็ขยับตัวไม่ได้ จากนั้นก็พยายามพูดแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ส่งเสียง “อึกอัก อึกอัก” ไม่เป็นภาษา จนพี่ที่อยู่บ้านพักเดียวกันตื่นขึ้นมาเขย่าตัวคุณแนนและตะโกนเรียกเสียงดังจนคุณแนนตื่นขึ้นมาจากภวังค์นั้น และบอกว่า “เห้ยพี่ หนูฝันร้าย” เมื่อชาวบ้านทราบข่าวก็ถามขึ้นมาว่า “พอลงเกาะมาเนี่ย ได้ไหว้ ได้ขอเจ้าที่เจ้าทางบ้างหรือเปล่า” คุณแนนก็ตอบไปว่า “ไม่ได้ขอเลยค่ะ” เมื่อได้ยินดังนั้นก็พาคุณแนนไปที่หน้าหาดเพื่อทำพิธีไหว้เจ้าที่เจ้าทาง จะได้ทำงานและอยู่อาศัยที่นี่ได้อย่างราบรื่น คุณแนนเล่าเสริมอีกว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์สึนามิถล่ม จำนวนประชากรที่เกานี้มีประมาณ 500 - 600 คน จนปีที่คุณแนนบรรจุเข้าไปทำงาน เหลือประชากรเพียง 200 กว่าคนเท่านั้น นอกจากจะไปไหว้ที่หน้าหาดแล้ว ชาวบ้านยังพาคุณแนนไปไหว้ที่ศาลพ่อตาหินกอง ลักษณะคือเป็นศาลที่ตั้งอยู่บนหิน ซึ่งเป็นจุดเดียวที่ไม่โดนสึนามิแม้จะตั้งอยู่หน้าหาดก็ตาม หลังจากนั้นคุณแนนก็ไม่เจออะไรพิศวงจนกระทั่ง.. เวลาผ่านไปสักพัก ในคืนที่คุณแนนต้องนอนคนเดียว เพราะเพื่อนร่วมงานหลายคนส่วนใหญ่เป็นคนใต้ที่มาจากจังหวัดใกล้เคียง เช่น นครศรีธรรมราชบ้าง สุราษฎร์ธานีบ้าง พัทลุงบ้าง เขาก็จะกลับบ้านในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ คุณแนนเล่าว่าทุกครั้งที่ต้องนอนคนเดียว จะรู้สึกเหมือนว่าถูกผีอำ แล้วก็จะเห็นบางสิ่งบางอย่างอยู่ที่ปลายเท้า บางครั้งก็เป็นเด็ก บางครั้งก็เป็นผู้ชายแก่ หรือคนท้องบ้าง เรียกได้ว่ามาทุกรูปแบบ ทุกครั้งที่เจอคุณแนนก็จะสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ตลอด บางคนก็ไปง่าย แต่กับบางคนก็ต้องใช้เวลาสวดนาน คุณเล่าเสริมอีกว่าเขาจะมาปรากฏโดยที่ไม่ได้พูดหรือสื่อสารอะไร เหมือนมายืนมองเราเฉย ๆ แต่ก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่หลอนขนลุกจนคุณแนนจำได้ถึงทุกวันนี้.. คุณแนนเล่าให้ฟังว่าอำเภอที่อาศัยอยู่นั้นค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมือง ต้องใช้เวลาเดินทางกว่า 2 ชั่วโมง แถมที่นี่ยังมีฝนตกแทบจะตลอดเวลา วันนั้นต้องไปส่งเอกสารด่วนในตัวเมือง คุณแนนจึงรีบออกเดินทางเพราะรู้ดีว่าเส้นทางขากลับที่จะต้องผ่านหากว่ายิ่งมืดก็ยิ่งอันตราย เส้นทางที่ว่าจะมีลักษณะเป็นทางโค้งหักศอกหากหลุดโค้งก็เท่ากับตกเหว นอกจากนั้นยังมีศาลตั้งอยู่ด้วย ทุกครั้งที่ผ่านคุณแนนก็จะรู้สึกอึดอัดใจทุกครั้ง แต่ด้วยงานที่ยังค้างคาและกว่าจะสะสางเสร็จ เวลากลับก็ล่วงเลยมาถึงหนึ่งทุ่ม คุณแนนตั้งใจว่าจะไม่วอกแวกและจะตั้งสติในการขับรถเพียงอย่างเดียว พี่ที่นั่งมาด้วยก็รู้ดีว่าคุณแนนสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง เขาก็พยายามหาเรื่องอื่นคุยกับคุณแนน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเครียด พอใกล้จะถึงทางโค้ง พี่เขาก็จับขาคุณแนน แล้วก็บอกว่า “พี่อยู่นี่นะ ไม่ต้องกลัว เราอยู่ด้วยกัน” คุณแนนก็พยายามมองแค่ทางตรง แต่ก็ต้องเสียสมาธิเพราะมีอะไรบางอย่างดึงความสนใจอยู่ที่หางตา! คุณแนนเผลอหันไปมองเข้าเต็ม ๆ ภาพที่เห็นคือศพหน้าเละที่ถูกผ้าห่อเต็มไปด้วยเลือดสีแดงยืนอยู่ตรงศาล! คุณแนนเห็นแบบนั้นก็ร้องกรี๊ดออกมาทันที สติแทบไม่อยู่กับตัว! พี่ที่นั่งมาด้วยก็พยายามช่วยตั้งสติ เพราะกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ คุณแนนพอเริ่มได้สติก็พยายามขับรถให้ผ่านตรงนั้นไปแม้จะยังร้องไห้และช็อคกับสิ่งที่เห็น เมื่อขับผ่านจุดนั้นก็จอดรถและรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด เมื่อทุกอย่างเริ่มโอเคขึ้น ก็ขับรถกลับที่พักอย่างปลอดภัย ปัจจุบันนี้คุณแนนได้ย้ายกลับมาทำงานที่จังหวัดสุพรณบุรีแล้ว แต่ก็ยังคงมีความรู้สึกสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้คิดร้ายอะไร ขอแค่ถ้าอยากได้อะไรก็ให้มาบอกดี ๆ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่

album

0
0.8
1