เรื่องเล่าจากคุณคิงส์ ‘ทวงสัญญา’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณคิงส์ ‘ทวงสัญญา’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

03 มิ.ย. 2024

       เรื่องราวนี้ ’คุณคิงส์’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอน มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (28 พฤษภาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘ทวงสัญญา’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย!

       คุณคิงส์เล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเองตอน 10 ขวบ (เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว) ด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัด ไม่ค่อยมีที่เล่นอะไรมากมาย นอกจากไปโรงเรียนหรือไปวัด และไฮไลท์สำคัญคือการไปเล่นน้ำคลอง ซึ่งคุณคิงส์มีเพื่อนรักที่สนิทกัน ชื่อ ‘นพ’ (นามสมมติ) ที่มักจะเล่นด้วยกัน ไปโรงเรียนด้วยกัน

       จนกระทั่งวันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันหยุดไม่ได้ไปโรงเรียน ทั้งสองคนจึงชวนกันไปเล่นน้ำคลองตามประสาเด็กบ้านนอก ตอนแรกก็เล่นกันที่น้ำตื้น สักพักก็เริ่มไปที่ลึกเรื่อย ๆ ในขณะที่แหวกว่ายเล่นน้ำกันสนุกสนาน คุณคิงส์ได้ยินเสียงเพื่อนตะโกนเรียกให้ช่วย ซึ่งตอนแรกก็เข้าใจว่าเพื่อนแกล้งให้เข้าไปใกล้ ๆ เพราะคุณนพก็ว่ายน้ำเป็น คุณคิงส์จึงตอบกลับไปว่า

       “ก็ว่ายขึ้นฝั่งสิ”

       แต่คุณนพก็ตอบกลับว่า “ไม่ได้ เป็นตะคริว”

       เมื่อเห็นท่าไม่ดี คุณคิงส์คิดว่าน่าจะจริง ก็เลยว่ายเข้าไปหา พอเข้าไปถึงใกล้ ๆ ด้วยความที่คุณนพยังเด็กก็ตกใจ กระโดดกอดคอแล้วก็กดคุณคิงส์เหมือนพยายามจะขึ้นมายืนบนบ่า เพื่อให้ตัวเองพ้นน้ำตามสัญชาตญาณเอาตัวรอด พอคุณคิงส์โดนกดก็จะจมด้วยเลยสลัดเพื่อนออก แล้วรีบว่ายน้ำขึ้นฝั่ง พอไปถึงฝั่งก็มองหาไม้เพื่อมาช่วย แต่ว่าหันมาอีกที เพื่อนก็หายไปแล้ว คุณคิงส์ตะโกนเรียกหาก็ไม่มีสัญญาณตอบ พอหาไม่เจอ จึงตะโกนขอความช่วยเหลือ คนแถวนั้นที่ทำไร่ทำนาอยู่วิ่งรีบมาช่วยกัน พอมาถึงก็ช่วยกันงมคุณนพที่จมน้ำขึ้นมาแล้วรีบปฐมพยาบาล แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล คุณนพเสียชีวิต

       

       หลังจากที่ผ่านงานศพของคุณนพไป พ่อและแม่ของคุณคิงส์ก็สั่งห้ามไม่ให้ไปเล่นน้ำคลองอีกโดยเด็ดขาด เวลาผ่านไปหลายเดือน คุณคิงส์ได้ฝันว่าตนเองยืนอยู่ริมคลอง เห็นคุณนพ นั่งกอดเข่าหนาวสั่นอยู่ เขาก็หันมามองหน้า แล้วถามว่า “ทำไมถึงทิ้งกูไป ทำไมถึงทิ้งกูไป” และขณะที่กำลังจะตอบไป คุณคิงส์ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะแม่มาปลุก

       แม่บอกว่า “ทำไมไม่ล้างเท้าก่อนเข้านอน ดูสิคราบดินคราบโคลนเปื้อนพื้นหมดแล้ว”

       คุณคิงส์มองไปก็เห็นเป็นรอยเปื้อนตั้งแต่บันไดขึ้นมาถึงบริเวณที่นอน แล้วพอมองเท้าตนเองปรากฎว่าเท้าก็ไม่ได้เปื้อนโคลน ตอนนั้นก็ไม่ได้บอกอะไรแม่ เพราะดูแล้วคงจะอารมณ์ไม่ดีแล้ว จึงตอบกลับไปแค่ “ครับ ๆ” แล้วรีบหาผ้ามาเช็ด และคุณคิงส์ก็ฝันแบบนี้อีกหลาย ๆ ครั้ง ฝันซ้ำ ๆ

       จนกระทั่งคืนหนึ่ง ขณะที่คุณคิงส์นอนเคลิ้มกำลังจะหลับ ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนร้องไห้อยู่ข้าง ๆ หู ตอนแรกนั้นนอนหงายอยู่ จึงพลิกตัวมาทางด้ายซ้ายมือ ปรากฎว่า เจอคุณนพ นอนอยู่ข้าง ๆ นอนตัวซีด เปียก มีโคลนติดตามตัวกำลังสะอื้นปากขมุบขมิบ และน้ำตาไหล จ้องมองมาที่คุณคิงส์! ตอนนั้นด้วยความที่เป็นแค่เด็ก  10 ขวบ ก็กลัวมากจนขยันตัวไม่ได้ เหมือนโดนสะกดให้ต้องจ้องมองเขา คุณคิงส์คิดว่าไหน ๆ ก็มาแล้ว ลองตั้งใจฟังดูว่าจะว่ายังไง ก็พูดในใจว่า

       “พูดมาว่าต้องการอะไร ยังไง”

       แล้วก็ได้ยินเสียงเข้ามาในหูว่า “เอาของที่จะให้ มาให้กูด้วย”

       จากนั้น คุณนพก็ลุกไปเปิดมุ้งแล้วเดินไปทางหน้าต่างเพราะห้องที่อยู่ชั้น 2 แล้วก็กระโดดลงไป!

       ขณะนั้นคุณคิงส์ได้สติ ขยับตัวได้ จึงตะโกนไปว่า

       “นพ อย่าเพิ่งไป!”

       พ่อแม่ได้ยินจึงรีบวิ่งขึ้นมาแล้วถามว่า “เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น”

       คุณคิงส์จึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง พ่อกับแม่จึงไปเปิดไฟ ปรากฎว่าไม่มีร่องรอยอะไรเลย ไม่มีโคลน หรือเปียกน้ำเลย แม่จึงบอกว่า “ท่าจะไม่ดีแล้ว สงสัยเด็กจะคิดถึงกัน” เพราะมีความเชื่อว่า คนเราหรือเด็ก ๆที่ผูกพันธ์กัน จะมีจิตที่ผูกหากันได้ แม่จึงรีบไปหุงข้าวแล้วบอกคุณคิงส์ว่า

       “ต้องมาใส่บาตรพร้อมกับแม่”

       แล้วพ่อก็ถามว่า “ที่นพบอกให้เอาของไปให้ เราไปสัญญาอะไรไว้” คุณคิงส์นั่งนึกจนนึกออก แล้วเล่าให้พ่อฟังว่า

       “ก่อนที่เราจะลงไปเล่นน้ำในคลองกัน ผมกับนพนั่งขุดดินเหนียวมาปั้นเล่นกัน นพปั้นไม่เป็น ปั้นได้แต่ลูกกระสุนกลม ๆ เหมือนลูกแก้ว ส่วนผมปั้นเป็นรูปสัตว์ได้หลายชนิด นพเลยขอว่า อยากได้อะ ปั้นรูปช้างให้หน่อยได้มั้ย คิงส์เลยบอกว่า ได้สิ แต่ขอไปล้างมือล้างตัวก่อนนะ เดี๋ยวมาปั้นให้”

       จากนั้น เด็กทั้งสองก็ชวนกันไปที่คลอง หลังจากล้างมือเสร็จ ด้วยความที่น้ำน่าเล่น จึงชวนกันเล่นน้ำ และก็เกิดเหตุการณ์จมน้ำขึ้น พ่อก็บอกว่า “สงสัยคงต้องทำตามคำสัญญาแล้วแหล่ะลูก นพน่าจะมาทวง”

       แล้วพ่อก็พาไปขุดดินเหนียวมาปั้นเป็นช้างตามสัญญา พอเสร็จแล้วก็พาซ้อนจักรยานไปบริเวณริมคลองที่นพจมน้ำ แล้วก็พาจุดธูปบอกว่า

       “นพ คิงส์ทำตามสัญญาแล้วนะลูก ปั้นช้างมาให้แล้ว”

       หลังจากนั้นมาก็ไม่ฝันถึงคุณนพอีกเลย แต่พอถึงวันครบรอบที่เขาเสีย คุณคิงส์ก็จะมาปั้นช้างดินเหนียวไปวางให้ทุก ๆ ปี..

       จนกระทั่งเรียนจบมัธยม ไม่ได้เรียนต่อแถวบ้าน เข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพ แล้วทำงานต่อ จึงไม่มีเวลาว่าง ไม่ได้ไปปั้นช้างดินเหนียวให้ คุณนพก็มาเข้าฝันแล้วบอกว่า

       “ยังไม่ได้เอาช้างมาให้นะ”

       เขายังมาในสภาพเป็นเด็กเหมือนวันที่จมน้ำ หลังจากนั้นคุณคิงส์มีโอกาสกลับไปบ้าน จึงซื้อช้างปั้นเซรามิกคู่หนึ่ง ไปวางไว้ให้ที่เจดีย์ที่บรรจุอัฐิเขา แล้วบอกว่า

       “นพ ต่อไปนี้ไม่ว่างปั้นช้างไปไว้ให้ตรงคลองแล้วนะ แต่เราเอาช้างปั้นอย่างดีมาไว้ให้ตรงเจดีย์นี้แทนก็แล้วกัน ต่อจากนี้ไปนี้ก็ให้ช้างคู่นี้เป็นตัวแทนช้างที่ปั้นไปให้ทุกปี จนกว่ามันจะแตกสลาย แล้วเราจะหามาให้ใหม่”

       หลังจากนั้นก็ไปทำบุญ ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนบุญกุศลให้เขา พอตกกลางคืนก็ฝันว่า ตัวเองไปนั่งเล่นอยู่ที่ริมคลองที่เขาจมน้ำ แล้วเขาก็วิ่งมากอดแล้วพูดว่า

       “ขอบใจมากนะที่ปั้นช้างมาให้ตามสัญญา ต่อไปนี้ไม่ต้องปั้นมาให้แล้วนะ ช้างที่เอามาให้ใหม่แข็งแรงมากเลย”

       แล้วเขาก็หัวเราะ และในความฝัน เขาก็ยังเป็นเด็ก เสื้อผ้าหน้าผมก็ยังคงเหมือนเดิม ในขณะที่คุณคิงส์โตเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็บอกว่า

       “ต่อไปนี้ไม่ต้องกังวลกับคำสัญญานะ เพราะเรามาทำตามสัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอให้นพไปสู่ภพภูมิที่ดี”

       หลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ไม่เจอเขาอีกเลย อาจะเป็นเพราะว่าเขาไปสู่ดินแดนที่เขาหมดห่วงไปแล้ว..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ห้องรวมความหลอน!! เรื่องราวของคนไข้ห้องรวม ที่ห้ามเรียกพยาบาลกลางดึก เพราะไม่รู้ว่า ที่เดินมาจะเป็นคนหรือผี!!

26 ม.ค. 2024

ห้องรวมความหลอน!! เรื่องราวของคนไข้ห้องรวม ที่ห้ามเรียกพยาบาลกลางดึก เพราะไม่รู้ว่า ที่เดินมาจะเป็นคนหรือผี!!

ต้องแอดมิทนอนห้องรวมที่โรงพยาบาล แต่บรรยากาศของคนไข้ที่นี่แปลกชอบกล เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับ ‘คุณไก่’ โดย ‘ครูตรี’ ได้นำเรื่องนี้มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านเลย คุณไก่เล่าว่า ย้อนไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา คุณไก่ไม่สบาย อาหารเป็นพิษ มีอาการอาเจียน ท้องเสีย มีไข้สูง แฟนคุณไก่จึงตัดสินใจพาไปโรงพยาบาลใกล้บ้านหมอสั่งให้คุณไก่แอดมิทเพราะมีไข้ขึ้นสูง คุณไก่จึงขอห้องพิเศษเพื่อที่จะให้แฟนอยู่ด้วยได้ แต่ทางโรงพยาบาลแจ้งว่าห้องพิเศษเต็มหมดทุกห้อง เหลือแค่ห้องรวมที่มีเตียงว่าอยู่เพียงแค่ 2 เตียง คุณไก่จึงตัดสินใจพักอยู่ที่ห้องรวม บุรุษพยาบาลเข็นรถที่คุณไก่นั่ง เข้าไปยังห้องพักรวม คุณไก่บอกว่า “ตอนไปถึงหนูแทบอยากจะกลับ ต่อให้ต้องคลานกลับก็อยากกลับ” ด้วยความที่เป็นโรงพยาบาลเล็ก ๆ แสงไฟก็ไม่ได้มากมายนัก ภายในห้องพักรวม จะมีทั้งหมด 8 เตียง แบ่งเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งละ 4 เตียง และกั้นระหว่างเตียงด้วยผ้าม่าน จากที่คุณไก่สังเกตุ มีเตียงว่างอยู่ 2 เตียง คือเตียงที่ 2 จากฝั่งขวา และเตียงในสุดฝั่งซ้าย คุณไก่ได้ไปนอนที่เตียงฝั่งขวา หลังจากคุณไก่ได้เตียงนอน แฟนของคุณไก่ก็บอกว่า “เฝ้าไม่ได้นะ เพราะมันเป็นห้องรวม และที่สำคัญตอนนี้มันดึกแล้ว เราต้องกลับแล้ว” หลังจากแฟนคุณไก่กลับไป คุณไก่ก็นอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็มีพยาบาลเดินเข้ามาเช็คคนไข้แต่ละเตียงจนเสร็จแล้วก็เดินออกไป คุณไก่ก็นอนเล่นต่อจนได้ยินเสียงเตียงข้าง ๆ ไอหนักมาก คุณไก่จึงลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “ขอโทษนะคะ ให้หนูเรียกพยาบาลให้ไหม” หลังจากพูดจบ เสียงไอขอเตียงฝั่งขวาก็ค่อย ๆ เบาลงเหลือเพียงเสียงไอในลำคอ คุณไก่ก็เอนตัวลงนอนต่อ แต่ด้วยอาการอาหารเป็นพิษกำเริบ จึงทำให้ปวดหนักต้องไปห้องน้ำและต้องเข็นน้ำเกลือไปด้วย ทำให้ไปห้องน้ำไม่ทัน คุณไก่ก็ใช้เวลาพอสมควรในการจัดการความเรียบร้อยของตัวเองจนเสร็จจึงกลับมาที่เตียง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเตียงสุดท้ายที่ว่างอยู่มีผ้าม่านปิดแสดงว่ามีคนมาอยู่แล้ว หลังจากคุณไก่มาถึงเตียงก็นอนเช่นโทรศัพท์จนเผลอหลับไป มาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงไอจากเตียงเดิมข้าง ๆคุณไก่จึงลุกขึ้นเปิดผ้าม่านเตรียมจะเรียกพยาบาล แต่สายตาไปเห็นคุณยายนั่งอยู่บนเตียง นั่งจ้องเตียงข้างคุณไก่ หันมาหาคุณไก่แล้วบอกว่า “จุ๊ จุ๊ จุ๊ ผี ๆ” คุณไก่สังเกตุเห็นว่ามีการเลื่อนผ้าม่านออก คุณยายคนนั้นก็บอกอีกเหมือนเดิมว่า “จุ๊ จุ๊ จุ๊ ผี ๆ” คุณไก่จึงปิดผ้าม่านของเตียงตัวเองและนอนลง สักพักหนึ่งมีเสียงเคาะผ้าม่านจากทางฝั่งซ้ายและมีมือเลื่อนผ้าม่านออก เจอคุณป้าคนหนึ่งบอกว่า “หนู นอนไปเหอะ อย่าอะไรเลย พักผ่อน ๆ เดี๋ยวก็เช้าแล้ว” คุณไก่ตัดสินใจนอน เอาผ้ามาคลุมและหลับไป มารู้ตัวอีกทีนึงคือแฟนมาปลุก ระหว่างที่คุณไก่เล่าเรื่องทุกอย่างให้แฟนฟัง คุณหมอก็เดินมาตรวจคนไข้แต่ละเตียง จนมาถึงเตียงคุณไก่ คุณหมอบอกว่า “หลังจากให้น้ำเกลือไปคืนนึงแล้ว อาการดีขึ้น วันนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว” คุณไก่จึงรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แฟนก็เก็บของที่เตียงให้ หลังจากกลับมาจากห้องน้ำ เห็นคุณหมอกำลังตรวจคนไข้เตียงข้าง ๆ ก็เบาใจว่าเป็นคนที่อยู่เตียงนั้นไม่ใช่ผี ก่อนกลับ คุณไก่ก็หันไปเห็นคุณยายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามและเดินไปไหว้ เพื่อที่เวลาหันกลับมาจะได้เห็นคนไข้เตียงข้าง ๆ เรียกได้ว่าเป็นการเนียนแอบดู คุณไก่ก็เดินไปลาคุณยายและหันหลังกลับมา เห็นคุณตาที่มีอายุมากนอนอยู่เตียงข้าง ๆ (เตียงที่ต้องการจะแอบเนียนดู) ก็เดินมาหาแฟนกำลังจะกลับ ก็เห็นคุณป้าเตียงข้าง ๆ ที่เตือนเมื่อคืนนี้ แล้วจึงเดินไปบอกว่า ”สวัสดีค่ะคุณป้า หนูกลับแล้วนะคะ“ ป้าก็บอกว่า “ก็บอกแล้วนอนไปเดี๋ยว เช้าแล้วก็ได้กลับ” คุณไก่ก็เกิดคำถามอยู่ในใจว่า ทำไมถึงย้ำให้นอน คุณไก่เลยถามป้าไปว่า “ป้า หนูถามหน่อยสิ ทำไมถึงเชียร์ให้หนูนอนจังเลยอะ มีอะไรหรอป้า ป้าบอกหนูหน่อยสิ” คุณไก่ตื้อจนป้ายอมบอก ป้าเล่าให้ฟังว่า “ที่นี่เป็นโรงพยาบาลเล็ก ๆ และมีพยาบาลคนหนึ่ง ที่ต้องมาเข้ากระดึก กำลังจะมาที่โรงพยาบาล แต่โดนรถเบียด จนมอเตอร์ไซค์ล้มแล้วหน้าฝั่งซ้ายไถลไปกับพื้น แต่ปรากฏว่า มีหลาย ๆ คน เห็นพยาบาลคนนี้ มาเดินตรวจคนไข้ตามปกติทั้งที่หน้ายังเละ โดยเฉพาะก่อนที่จะปิดห้องจะมีพยาบาลเดินเข้ามาเช็ด บางวันก็ไม่ใช่พยาบาลจริง แต่เป็นพยาบาลคนที่หน้าเละเดินเข้ามาตรวจห้อง คนที่รู้เรื่องราวนี้ก็จะปิดผ้าม่านตรงปลายเท้าตลอด” ครูตรียังเล่าเสริมอีกว่า “เคยมีคนไข้เรียกพยาบาลเพราะหายใจไม่ออกและนอนรอพยาบาลเดินมา ปรากฏว่าเป็นพยาบาลที่หน้าฝั่งซ้ายเละเดินมา บ้างคนก็เจอเข็นรถอยู่ในโรงพยาบาล” นั่นหมายความว่าคนไข้ทั้งหมดในห้องเตียงรวมที่คุณไก่เจอนั้น เป็นคนไข้ปกติ แต่พยาบาลที่เดินเข้ามา อาจจะเป็นพยาบาลที่เป็นคนจริง ๆ หรือไม่ก็อาจจะเป็นผีก็ได้ เพราะในคืนนั้น หลังจากที่คุณไก่ได้ยินเสียงไอ ก็อาสาเรียกพยาบาลให้ แต่คุณยายกลับบอกว่า “จุ๊ จุ๊ จุ๊ ผี ๆ” ก็เพราะกลัวว่าอาจจะเป็นวิญญาณของพยาบาลหน้าเละที่เสียชีวิตไปแล้วมาเดินตรวจอาการก็เป็นได้..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

รับของมาไม่รู้ตัว พอไม่สวดมนต์ให้ก็ตามมาหาถึงเตียง! ร้องบอก “กูหิว กูหิว!” จนอยู่แทบไม่ได้ สุดท้ายไปหลอกฝรั่งว่าเป็นแองเจิ้ลของไทย บูชาแล้วจะได้ดี!

24 ก.พ. 2024

รับของมาไม่รู้ตัว พอไม่สวดมนต์ให้ก็ตามมาหาถึงเตียง! ร้องบอก “กูหิว กูหิว!” จนอยู่แทบไม่ได้ สุดท้ายไปหลอกฝรั่งว่าเป็นแองเจิ้ลของไทย บูชาแล้วจะได้ดี!

เมื่อย้ายห้องไปอยู่กับรุ่นน้องที่ทำงาน แต่กลับเจอเป็นพวงกุญแจผู้หญิงเปลือยกาย ก็คิดว่าไม่มีอะไรจึงเก็บไว้กับตัว จนเจอดีถึง 3 ครั้ง! สุดจะทนต่างคนต่างอยู่ละกันก็นำไปทิ้งโดยไม่ทำพิธี แต่แล้วก็ต้องช็อคเมื่อสิ่งนั้นกลับมาอีกครั้ง! เรื่องนี้ ‘ขวัญ น้ำมันพราย’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘กูหิว’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณออโต้’ ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้คุณขวัญน้ำมันพรายได้ฟัง โดยคุณออโต้เล่าว่า พึ่งได้รับเรื่องนี้มาเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งคนที่ฝากเรื่องมาคือ ‘คุณดา’ มีอาชีพเป็นผู้ช่วยเชฟอยู่ต่างประเทศ (จากนี้จะขอเรียกว่าพี่ดา) เมื่อพี่ดาไปทำงานที่ต่างประเทศ ช่วงที่ไปทำงานแรก ๆ นั้นสถานที่พักอาศัยยังไม่สะดวก จึงต้องไปอยู่รวมกับคนไทยที่รู้จักกันในบ้านหลังใหญ่ แต่ด้วยความที่พี่ดาต้องการความเป็นส่วนตัว เมื่อทำงานได้ประมาณ 2-3 ปี อยู่ดี ๆ มีน้องที่ทำงานชื่อว่า ‘คุณส้ม’ บอกพี่ดาว่า “พี่ดา คอนโดที่หนูอยู่ รูมเมทที่อยู่ห้องเดียวกันเขาออก พี่ดาเอาป่าว?” พี่ดาใช้เวลาตัดสินใจไม่นานก็ตอบตกลง เช้าวันรุ่งขึ้นพี่ดาย้ายของไปอยู่ห้องใหม่ ซึ่งลักษณะของห้องนี้มี 2 ห้องอยู่ในห้องใหญ่ มีห้องน้ำและห้องครัวแยกต่างหาก พี่ดาอยู่อีกห้องหนึ่ง คุณส้มก็อยู่อีกห้องหนึ่ง ทั้งคู่อาศัยอยู่ด้วยกันเพราะทำงานที่เดียวกันและเป็นผู้ช่วยเชฟเหมือนกัน วันแรกที่พี่ดาเข้าไปอยู่นั้นก็ทำความสะอาดห้อง ด้วยความที่เป็นคนรักความสะอาดอยู่แล้ว ก็ปัดกวาดเช็ดถูผิวปากอารมณ์ดีเพราะดีใจที่ได้ห้องส่วนตัว นอกจากนี้ในห้องจะมีตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน พี่ดาปัดโดนอะไรบางอย่างหล่นลงบนพื้น พอหยิบขึ้นมาสิ่งนั้นเป็นเหมือนพวงกุญแจ รูปผู้หญิงเปลือย พี่ดาจึงคิดในใจว่า ‘น่ารักดี ใครเอามาทิ้งไว้ งั้นอยู่ด้วยกันละกัน’ จากนั้นพี่ดาจึงนำพวงกุญแจไปใส่ไว้ในกระป๋องสังกะสีที่วางอยู่บนหัวเตียงนอน พี่ดามักจะสวดมนต์และแผ่เมตตาก่อนนอนทุกคืน แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไป 2 เดือน มีอยู่คืนหนึ่งที่พี่ดาลืมสวดมนต์และแผ่เมตตา คืนนั้นฝันว่าตัวเองอยู่บนเตียง จู่ ๆ ระหว่างที่กำลังมองไปรอบ ๆ ห้อง ก็มีเสียงเหมือนดัง ก๊อกแก๊ก ๆ เสียงเหมือนคนรื้อของ พี่ดาก็เหลือบตาไปมองตรงบริเวณต้นเสียง ซึ่งตรงนั้นเป็นเหมือนโต๊ะกินข้าวที่อยู่ในห้อง (พี่ดาเป็นคนที่ชอบซื้อของตุนไว้ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร อาหารแห้ง ขนมก็วางไว้ตรงนั้น) เมื่อหันไปมองปรากฏว่าในฝัน เห็นผู้หญิงนั่งยอง ๆ หันหลังให้อยู่บนเก้าอี้ ผู้หญิงคนนั้นพยายามค้นอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะ ผ่านไปสักพักพี่ดาก็สงสัยว่าใครมาอยู่ในห้องของตน ซึ่งลักษณะของผู้หญิงคนนั้นคือไม่ใส่เสื้อผ้า ระหว่างที่พี่ดากำลังคิดและกำลังจะเอ่ยปากถาม ผู้หญิงคนนั้นก็หยุดการกระทำทุกอย่าง แล้วหันหน้ามาพูดว่า “เอากูมาเลี้ยง แล้วปล่อยให้กูอดอยากทำไม กูหิว!” สักพักผู้หญิงคนนั้นก็หันหน้ามาหาพี่ดาแล้วกระโดดใส่ที่เตียง! พี่ดาสะดุ้งตื่น เมื่อตื่นขึ้นมามีเสียงเคาะประตูจากข้างนอก คุณส้มมาเรียกว่า “พี่ดาไปทำงานเร็ว ยังไม่ตื่นหรอ?” จากนั้นพี่ดาก็ไปทำงานและไม่ได้เล่าอะไรให้คุณส้มฟัง เวลาผ่านไปอีกประมาณ 2 เดือน ช่วงนั้นพี่ดาติดละครไทยจึงดูแล้วเผลอหลับไปจนลืมสวดมนต์ แต่คราวนี้พี่ดายืนยันว่าตนไม่ได้ฝัน ขณะที่นอนอยู่นั้นก็มีเสียงเปิดประตูดัง แอ๊ด… แล้วก็มีเสียงเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงโต๊ะนั้น จากนั้นก็มีเสียงเหมือนค้นของ พี่ดาคิดว่าเป็นรูมเมท พี่ดาก็นอนตะแคงถามว่า “ส้มมารื้ออะไรวะตอนนี้ พี่จะนอน พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปทำงาน ไป ๆ พี่จะนอน” หลังจากนั้นเสียงก็เงียบลง และไม่มีเสียงตอบกลับ พี่ดาสงสัยว่าทำไมคุณส้มไม่ตอบ เพราะปกติคุณส้มจะเป็นคนโต้ตอบเสียงแจ๋น จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า ‘อ้าว กูล็อคห้องนี่หว่า!’ แล้วก็เอี้ยวคอหันไปดูที่โต๊ะ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเตียง ปรากฏว่าพี่ดาเห็นเป็นผู้หญิงที่อยู่ในฝันมารื้อของอยู่บนโต๊ะ พี่ดาตกใจจึงหันไปดู ระหว่างที่พี่ดากำลังจะเอ่ยปากถาม เหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนในฝัน และเหมือนผู้หญิงคนนั้นเขาจะรู้ว่าพี่ดารู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้ พี่ดาตกใจมาก ผู้หญิงคนนั้นก็หันมาพูดว่า “กูหิว!” แล้วกระโดดมาหาพี่ดา! พี่ดาดึงผ้าห่มคลุมโปงร้องกรี๊ดลั่นห้อง สักพักมีเสียงเคาะประตู คุณส้มถามว่า “พี่ดาเป็นอะไร ๆ” พี่ดากลั้นใจสะบัดผ้าห่มแล้ววิ่งไปเปิดประตู คุณส้มเข้ามาในห้องและกระโดดกอดร้องไห้ พี่ดาบอกคุณส้มว่า “พี่เจอผี” แล้วเล่าทุกอย่างให้คุณส้มฟัง เมื่อคุณส้มได้ฟังเรื่องทั้งหมดกลับไม่มีอาการตกใจ แต่กลับนิ่งแล้วพูดว่า “พี่ดาเจอผีบราซิลหรอ? ไม่ใช่พี่คนแรกหรอกที่เจอ คนที่อยู่ในคอนโดนี้ก็เจอกันหลายคน” พี่ดาก็ถามว่า “แล้วมันคืออะไร” คุณส้มก็เล่าย้อนกลับไปเมื่อต้นปีที่แล้วว่า ก่อนที่ส้มจะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ เขาเล่ากันว่าที่นี่เคยมีคนมาแบ่งห้องเช่ากัน และมีสาวจากประเทศบราซิลมาอยู่ที่นี่ เขาทำงานบริการก็พาลูกค้ามานอนที่ห้องนี้ แล้วเกิดการทะเลาะกัน จนผู้หญิงบราซิลถูกฆ่าตายในห้อง ซึ่งเป็นห้องที่พี่ดาอาศัยอยู่ พี่ดาก็พูดว่า “เฮ้ยแก แต่เขาพูดภาษาไทยนะ” ส้มก็พูดว่า “เอ๊ะ! หนูก็ไม่รู้อะพี่ แต่ที่นี่เขาเจอแต่ผีบราซิล” จบสนทนาเวลาก็ผ่านไป เช้าวันถัดมาพี่ดาก็บอกว่า “พี่ไม่ไหวว่ะส้ม พี่ลางานดีกว่า” พี่ดาลางานกับหัวหน้าแล้วนอนพักผ่อนอยู่ที่ห้อง เมื่อตื่นมาตอนสาย จึงเดินลงไปข้างล่างใต้ตึกที่มีร้านโชว์ห่วย เจ้าของร้านเป็นคนที่มาจากประเทศอินเดีย ร้านก็จะขายของกินและขายเครื่องรางสายมู พี่ดาจึงพยายามไปตะล่อมถามคนขายและเล่าว่าตนเจอกับอะไร เจ้าของร้านก็พูดว่า “เธอเจอผีบราซิลหรอ?” ลูกค้าที่อยู่ในตึกก็พูดเหมือนกัน เมื่อเสร็จจากซื้อของพี่ดาก็ขึ้นไปบนห้องคิดในใจว่า ‘ไม่รู้เป็นเจ้าที่หรืออะไร แต่ต่างประเทศเจ้าที่พูดไทยได้ด้วยหรอ’ ตามความเชื่อของตนนั้นเวลาเจอผีก็จะสวดมนต์แผ่เมตตา จึงซื้อของขึ้นไปวางไว้หน้าห้อง จุดธูป 1 ดอกแล้วก็ไหว้พร้อมพูดว่า “หนูมาอยู่ที่นี่นะ อย่าทำอะไรหนูเลย ให้หนูอยู่พักผ่อนอย่างดี” หลังจากนั้นพี่ดาก็เข้านอน เวลาผ่านไป 3-4 เดือนก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนอยู่มาวันหนึ่งเป็นวันที่พี่ดาเล่าให้คุณออโต้ฟังว่า “พี่จำไม่เคยลืมเลยเรื่องนี้” วันนั้นพี่ดารู้สึกเพลียเพราะเป็นประจำเดือนจึงนอนพัก จากนั้นก็เผลอหลับไปและลืมสวดมนต์อีกเช่นเคย พี่ดาตื่นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงเหมือนเดิม มีคนเปิดประตูเข้ามา แต่คราวนี้พี่ดาเปิดประตูไว้ เพราะว่าเผื่อคุณส้มจะเข้ามาเอาของ และเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมันห่างมาหลายเดือนคิดว่าผู้หญิงคนนั้นคงไม่อยู่แล้ว ระหว่างที่พี่ดานอนหลับนั้น เสียงเปิดประตูก็ดัง แอ๊ด… พี่ดาสงสัยว่าเป็นคุณส้มที่มาค้นของจึงพูดว่า “ส้ม รีบเอารีบออกไปพี่จะนอน พี่เพลีย วันนี้พี่เป็นประจำเดือนด้วย” หลังจากพูดจบเสียงก็เงียบ และไม่มีเสียงตอบกลับ สักพักพี่ดาลืมตาแล้วเอี้ยวคอมาดูเหมือนเดิม สิ่งที่เห็นคราวนี้ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมา ซึ่งครั้งแรกเจอในฝัน ครั้งที่ 2 เจอผู้หญิงนั่งหันหลังให้ แต่ครั้งนี้ผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปนั่งบนโต๊ะกินข้าว แล้วก็หันหน้ามามองพี่ดาพร้อมกับโยกหัว และพูดว่า “กูหิว เอากูมาเลี้ยงทำไมเลี้ยงกูไม่ดี กูหิว มึงเข้าใจไหม กูหิว!!!” หลังจากนั้นพี่ดาตกใจลืมตาขึ้นมาดู ก็เห็นผู้หญิงคนนั้นกำลังกระโดดเข้ามาหาตน และระหว่างที่จะลอยมาหานั้นร่างก็หายไป พี่ดาก็อึ้งกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พี่ดาจึงมองหาว่าผู้หญิงคนนั้นหายไปไหน เหลือบไปมองปลายเตียง ก็ค่อย ๆ มีมือเกาะขอบเตียง และผู้หญิงคนนั้นก็ค่อย ๆ โผล่หน้าขึ้นมาจากขอบเตียง เมื่อเห็นหน้าเต็ม ๆ พี่ดาเล่าให้ฟังว่า หน้าของเขาเป็นหน้าซีด ๆ แต่ที่แปลกคือตาของเขาโตเป็นไข่ห่าน และแลบลิ้นเลีย พี่ดารีบดึงเท้าของตน ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นตะปบขา แล้วจับขาไว้ แลบลิ้น และคลานเข้าไปหาพยายามเอาหน้าซุกตรงระหว่างขาของพี่ดา พี่ดากรีดร้องด้วยความกลัว จนคุณส้มเปิดประตูเข้ามาและถามว่า “พี่ดาเป็นอะไร ๆ” พี่ดาก็พยายามเหวี่ยงมือสะบัดจนปัดไปโดนกล่องบนหัวเตียง พี่ดาจะก้มเก็บ แต่คุณส้มบอกว่า “ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวหนูช่วย” คุณส้มก็ช่วยเก็บ เมื่อผ่านไปสักพักหนึ่ง คุณส้มก็พูดกับพี่ดาว่า “พี่ดาเลี้ยงอีเป๋อด้วยหรอ?” พร้อมทั้งหยิบของขึ้นมาแล้วชูให้พี่ดาดู พี่ดาก็ตอบกลับไปว่า “อีเป๋อไหน?” ความจริงแล้วเป็นพวงกุญแจที่เคยหล่น แล้วพี่ดาลืมไปว่าตนเก็บใส่กล่องเอาไว้ ซึ่งนั่นคืออีเป๋อ! พี่ดาก็ถามว่า “แล้วอีเป๋อมันคืออะไรพี่ไม่เข้าใจ” คุณส้มบอกว่า “ก็นี่ไงเล่นของเรียกมนต์เสน่ห์ ถ้าเลี้ยงบูชาดี ๆ หรือถ้าดีไปกว่านั้นก็คือ เนี่ยถ้าเอาประจำเดือนให้เขาจะดีมากจะประสบผลสำเร็จ” พี่ดาบอกว่า “อะไร กูไม่ได้เลี้ยง มันมาเอง กูเห็นมันอยู่บนหลังตู้” จากนั้นจึงโทรกลับไปหารูมเมทคนเก่าที่เป็นคนไทยซึ่งเคยทำงานด้วยกัน เมื่อโทรไปทั้งคู่เปิด สปีกเกอร์โฟนและด่าทอว่า “ทำไมเอามาเลี้ยงแล้วมึงไม่เอาไปด้วยล่ะ?” คนที่รับสายนั้นอยู่ประเทศไทยก็ไม่ฟังอะไร พูดสวนกลับมาว่าของมันดี ฝั่งพี่ดาก็พูดว่า “เดี๋ยวฉันออกค่าขนส่งให้ เดี๋ยวจ่ายเองเอาไปเลย” ปลายสายก็บอกว่า “ไม่เป็นไรพี่ แบ่ง ๆ กันใช้” แล้วก็รีบวางสายไป จากนั้นพี่ดาโมโหจึงเอาทิชชูห่ออีเป๋อเดินไปตรงหน้าต่าง แล้วก็พูดว่า “มึงกับกูต่างคนต่างอยู่ละกัน” แล้วจึงขว้างอีเป๋อออกไปข้างนอก เสร็จแล้วพี่ดาก็สบายใจขึ้น เช้าวันถัดมา ต่างคนก็ต่างออกไปทำงาน ตกเย็นพี่ดาเข้าห้องก่อน ส่วนคุณส้มซึ่งทำโอทีตามมาทีหลัง คุณส้มก็มาเคาะประตูแล้วพูดว่า “พี่ดา ๆ มานี่ มานี่เร็ว” พี่ดาเปิดประตูออกไปหาคุณส้ม ณ ตอนนั้นคุณส้มยืนอยู่ตรงหน้าประตู แต่ไม่ยืนใกล้ประตูและชี้ลงพื้น ถามว่า “พี่ดา พี่เอามาทำไม? ปรากฏว่าอีเป๋อวางอยู่หน้าห้อง เมื่อเห็นดังนั้นพี่ดาก็ช็อกไม่รู้จะทำอย่างไร น้ำตาคลอคิดว่าชีวิตเจอกับอะไรอยู่ ขนาดปาทิ้งยังกลับมาอีก คุณส้มก็บอกว่า “ไม่เป็นไรพี่ หนูจัดการเอง” คุณส้มจึงตัดสินใจคว้าอีเป๋อยัดใส่ถุงดำวิ่งลงไปข้างล่าง ขณะนั้นรถขยะมาพอดี คุณส้มจึงโยนใส่รถขยะไป และอีเป๋อก็ไปกับรถขยะ ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ เวลาผ่านไป 2-3 เดือน พี่ดาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าเชฟ จากที่เคยเป็นผู้ช่วยเชฟ แต่เจ้านายอยากให้พี่ดาไปดูแลสาขาอีกเมือง จึงต้องย้ายห้อง ระหว่างนั้นคุณส้มชวนแฟนชาวต่างชาติมาช่วยขนของ จากนั้นก็นั่งกินเลี้ยงกันเพื่อขอบคุณ พี่ดานั้นเป็นคนที่เก็บแก้วแหวนเงินทองที่สะสมไว้ในถุงแดง เมื่อหยิบมาจากบนหัวเตียงแล้วแกะดู จู่ ๆ ขณะที่เปิดถุงแดงพี่ดาก็ขว้างลงพื้น ของกระจายเต็มไปหมด และมีสิ่งหนึ่งกลิ้งมาตรงโต๊ะที่คุณส้มและแฟนนั่งอยู่ ปรากฏว่าอีเป๋ออยู่ในถุง! พี่ดาเห็นแบบนั้นก็ร้องไห้ พี่ดากลัวแฟนต่างชาติของคุณส้มตกใจ จึงวิ่งไปล้างหน้า เมื่อเปิดประตูออกมาก็เจอคุณส้มยืนยิ้มอยู่หน้าห้องน้ำ คุณส้มพูดว่า “พี่ดา ไม่ต้องห่วงแล้วนะ หนูหาทางออกให้พี่ได้แล้ว” พี่ดาก็ถามว่า “ยังไงอะ?” คุณส้มตอบว่า “ผัวฝรั่งหนูคนนี้ มันเปิดร้านอาหารกลางคืน หนูก็ไปหลอกมันว่าเป็นแองเจิ้ลของคนไทยนะ เนี่ยเอาไปบูชาถ้ามีประจำเดือนก็ให้กิน” แฟนของคุณส้มก็งงว่ากินประจำเดือนด้วยหรอ แต่ก็ยินดีรับไป หายไปประมาณเกือบครึ่งปี คุณส้มมีโอกาสได้ไปหาพี่ดาอีกเมือง เมื่อคุณส้มเจอพี่ดาก็ยื่นเงินให้หนึ่งหมื่น พี่ดาก็ถามว่า “เงินใคร?” คุณส้มก็บอกว่า “อ้าว ก็ส่วนแบ่งไง แบ่งกันคนละหมื่น” ฝรั่งคนนั้นบูชาอีเป๋อไปสองหมื่นบาท แล้วปรากฏว่า ในช่วงเวลานั้นกิจการของเขารุ่งเรือง เปิดร้านหลายสาขา แต่ชีวิตครอบครัวจากที่อบอุ่นก็แตกแยกกัน และทุกวันนี้อีเป๋อก็อยู่กับฝรั่งคนนั้น…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณนุ๊ก ‘อดีตที่ตามหลอกหลอน’ I อังคารคลุมโปง X เป้ MVL [ 16 ก.ค. 2567]

22 ก.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณนุ๊ก ‘อดีตที่ตามหลอกหลอน’ I อังคารคลุมโปง X เป้ MVL [ 16 ก.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ’คุณนุ้ก’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (16 กรกฎาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘อดีตที่ตามหลอกหลอน’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! คุณนุ้กมีอาชีพเป็นหมอดู มีลูกดวงท่านหนึ่งสมมุติว่าชื่อ ‘เจฟ’ ระหว่างที่ดูดวงอยู่ เขาดูเหมือนกับว่ามีปัญหากวนใจอยู่ แต่ไม่กล้าพูด อยากเล่าก็ไม่กล้าเล่า แต่ก็เร่งเร้าจะดู พอถึงเวลาดู เขาถามว่าดวงเขาเป็นยังไงบ้าง คุณนุ้กตอบกลับไปว่า ”ไม่ค่อยโอเค ความรัก การเงิน การงาน มีปัญหา” คุณเจฟจึงบอกว่า “ผมดูให้ตัวเองแล้ว ความรักดวงตก แต่เรื่องอื่นไม่มีปัญหาเลย” คุณนุ้กจึงคิดในใจว่า ‘ทำไมถึงมาดูกับเรา’ แล้วคุณเจฟยังบอกว่า “มันแปลก คือผมต้องไม่ดีแค่เรื่องความรัก ผมราศีนี้ ยังไงเรื่องงานเรื่องเงินก็รุ่ง แต่ดวงผมร่วงหมดตั้งแต่เดือนกุมภา คนรักนอกใจ ผมเคยขายพระเครื่องรายได้อาทิตย์ละ 5,000-10,000 บาท แต่ตอนนี้ไม่มีเลย ร้านอาหารที่ผมเปิด ก็เจ๊งอีก ส่วนเรื่องเงินไม่ต้องพูดถึงเลย“ คุณนุ้กก็คิดว่าทำไมชีวิตเป็นแบบนี้ พอดูดวงไปสักพัก ก็เห็นภาพในหัวระหว่างเปิดไพ่ เป็นเหมือนผู้หญิงจะมาเอาวิญญาณคุณเจฟ จึงถามคุณเจฟว่ามีใครตามไหม คุณเจฟบอกว่าเขาก็รู้ตัว แต่ที่โทรมาดูดวงเพราะอยากให้มีคนช่วยคอนเฟิร์ม คุณนุ้กบอกไปว่าเห็นเรื่องในอดีตที่ไม่ใช่ภพนี้ คุณเจฟเคยเป็นสามีของผู้หญิงคนนี้ แต่มีเรื่องมือที่ 3 แล้วฆ่าผู้หญิงคนนี้ ซึ่งผู้หญิงคนนี้ตั้งใจตามมาเอาชีวิตคุณเจฟ พอเปิดไพ่ไปอีก ก็มีไพ่ที่บอกว่า มีคนขอให้ไว้ชีวิตคุณเจฟ คุณเจฟจึงเล่าว่า “จริง ๆ ก่อนมาหาพี่ ผมไปมาทุกสำนักแล้วทำมาทุกอย่าง ไม่เกิน 3 วันดวงก็ตกเหมือนเดิม จนไม่นานมานี้ไปวัดชื่อดังแห่งหนึ่ง ได้เจอหลวงพี่ที่เป็นพระดัง ท่านเดินเข้ามาหาแล้วทักว่า โยมจะต้องบวชนะ บวชแล้วดีขึ้น” คุณนุ้กจึงคิดว่าน่าจะเป็นพระรูปนี้ที่ขอบิณฑบาต เหมือนให้บวชเพื่อไม่ถึงเเก่ชีวิต จากนั้นคุณนุ้กก็ให้เลขบัญชีของพระตามวัดที่คัดมาแล้วว่าปฏิบัติธรรมจริง ให้คุณเจฟทำบุญบวชพระทุกวัน วันละ 1 บาท พอครบ 7 วันให้มาบอก หลังจากนั้นไม่นานก็มีข้อความเข้ามาหาตนว่า “พี่ ผมเจอแล้วนะ“ แล้วก็เล่าว่า ”ผมทำบุญตามที่พี่บอก จนวันหนึ่งผมไปนวด ในร้านก็จะมีไฟสลัวส่องหน้าคนนวด ผมเห็นหน้าคนนวด ปรากฎว่าไม่ใช่หน้าคน มันเป็นหน้าดำ ๆ มืดสนิทที่มองผมอยู่“ พอฟังเสร็จคุณนุ้กก็เปิดไพ่ ณ ตอนนั้นปรากฎว่า มันดีขึ้น การเงินไม่ขัดแล้ว แต่ความรักยังขัดอยู่ คุณเจฟก็ตอบว่า “ใช่ครับพี่ ผมทำตามพี่ไม่ถึง 7 วันเลย ได้เงินมา 1 แสนละ ตอนนี้กำลังรอบวช“ คุณนุ้กจึงบอกให้ทำบุญไปจนกว่าจะบวช จนล่าสุดก่อนที่จะมาเล่าในรายการได้ทักไปถามคุณเจฟ เขาก็บอกว่า ”บวชอยู่ครับตอนนี้ ได้บวชแล้ว“ ตั้งแต่ที่เขาดูดวงจนบวช ใช้เวลาไม่ถึงเดือนเป็นไปตามที่คุณนุ้กเปิดไพ่ว่า “ถ้าบวช ยังไงก็รอด”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

บ้างานจนมีป่วยหนัก รู้สึกเหมือนจะตายแล้วก็วูบไป!

16 มี.ค. 2024

บ้างานจนมีป่วยหนัก รู้สึกเหมือนจะตายแล้วก็วูบไป!

เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘อ.บาส 7th Sense’ ที่ได้นำเรื่องมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 มีนาคม 2567) พร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตหลังความตายที่้เกิดขึ้นกับตัวเอง เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านเลย อ.บาส ได้เล่าย้อนไปเมื่อช่วงที่ตนอายุประมาณหนึ่งขวบกว่า ตอนนั้นคุณย่าเสีย ส่วนคุณพ่อกับคุณแม่ก็ไม่มีเวลาดูแล จึงพาไปฝากไว้สถานรับเลี้ยงเด็ก เนื่องจากนมที่นั่นอาจจะไม่สะอาด หลังจากที่พ่อแม่กลับมาจากงานศพย่า เห็นว่าลูกเงียบไปรวมทั้งมีอาการช็อกจึงรีบนำส่งโรงพยาบาล ระหว่างทางแม่ก็สันนิษฐานว่าน่าจะไม่อยู่แล้ว พอถึงโรงพยาบาลหมอก็ได้ทำการเอาน้ำเกลือเจาะเข้าที่หัวและเท้า ผ่านไปสักพัก หัวใจก็กลับมาเต้นปกติ อ.บาส ได้เล่าอีกว่า ตั้งแต่เด็ก ๆ ตนชอบทำบุญ แต่ก็รู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นคนโกรธง่าย พอมีปัญหาก็จะชอบทำสมาธิ พอช่วงอายุประมาณ 25 ปี เริ่มเข้าสู่วัยทำงาน เริ่มทำงานเกี่ยวกับ IT ในบริษัทแห่งหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นช่วงกำลังสร้างตัว ตนจึงทำงานหักโหมมากตั้งแต่เที่ยงวันถึงเที่ยงคืน ทำให้ อ.บาส ห่างหายไปจากการทำบุญ และช่วงนั้นเป็นช่วงที่ใช้ชีวิตหนักมาก วันหนึ่ง ตนรู้สึกว่าไม่มีเอเนอร์จีและเจ็บที่หน้าอก แต่ก็ยังไปทำงานใช้ชีวิตปกติ ผ่านไปหลายวันก็รู้สึกว่ามันเจ็บมากขึ้น มีไข้และเริ่มไปทำงานไม่ไหว จึงไปหาหมอแต่ก็ตรวจไม่เจออะไร หมอบอกแค่ว่าพักผ่อนน้อย หลายวันผ่านไป อ.บาส รู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวและมีไข้สูงประมาณ 39-40 องศา จะเรียกรถพยาบาลแต่ก็ไม่มีแรงแม้กระทั่งลืมตา และเริ่มคิดว่า “คนจะตายความรู้สึกเป็นแบบนี้หรอ” หลังจากนั้นก็รู้สึกเหมือนลูกตามันกลับเข้าไปแล้วมันก็มืดไปหมดและรู้สึกว่า ตนยืนอยู่ข้างเตียงและเห็นตัวเองกำลังนอนอยู่ก็ตกใจ หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง จึงเริ่มเข้าใกล้ตัวเองที่นอนอยู่ แต่ก็ไปไม่ได้และคิดว่าจะทำอย่างไรให้พ่อกับแม่รู้ ผ่านไปสักพัก ก็มีอาการเจ็บปอดขึ้นมาและรู้สึกว่าตนเองถูกดูดไป เห็นบ้านพ่อกับแม่ และเห็นกิจกรรมต่าง ๆ ที่ตนทำ หลังจากนั้น ก็รู้สึกว่าเจ็บปอดและก็โดนดูดมาที่บ้านเกิดในจ.อยุธยา ตรงสวนมะม่วงและได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มมาให้ หลังจากนั้น หน้าของผู้ชายคนนี้ก็เปลี่ยนจากหน้าผู้ชายกลายเป็นหมาแต่ร่างกายยังเป็นคนปกติ อ.บาสจำแววตาได้ว่านี่คือ ดำ หมาที่ตนเคยเลี้ยงสมัยประถม ดำเป็นหมาที่ตนรักมาก แต่ดำโดนยิงตายเพราะไปกัดคนอื่น หลังจากที่อ.บาสรู้ว่านี่คือดำ ในใจก็คิดว่า “ตกลงเราตายหรือยัง” หลังจากสิ้นสุดความคิดก็ได้ยินเสียงออกมาจากผู้ชายคนนั้นว่า “ให้แรงบุญ แรงกรรมพาไป และมีอะไรให้ พุท โธ ไว้นะ” หลังจากนั้นก็เกิดอาการเจ็บปอดและถูกดูดมาอีกที่หนึ่ง ที่นี่มืดมีแสงเพียงเล็กน้อยและร้อนเหมือนอยู่ในเตา สิ่งที่เห็นคือเหมือนเป็นกรงไม้ไผ่สูงยาวเป็นแถว ส่วนชั้นล่างเป็นเหมือนริมน้ำ มีคนและสัตว์อยู่ข้างในเหมือนกำลังเอาตัวรอด หลังจากนั้น อ.บาสได้เห็นห้องหนึ่ง ตนจึงคิดกับตัวเองในใจว่า “เราต้องไปอยู่ในห้องนั้นแน่เลย” แต่ก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ และอยู่ ๆ ก็มีภาพย้อนเข้ามาในหัวว่า ตอนที่อ.บาสอยู่บ้านหลังเก่าได้เจอกับลูกเจี๊ยบตัวหนึ่ง ตนนั้นจับมันขึ้นมาแล้วบีบ แต่ไม่รู้ว่าตอนนั้นมันตายหรือเปล่าจึงโยนลงไปในบ่อน้ำ นั่นทำให้คิดได้ว่าคงต้องอยู่ที่นี่เพื่อรับกรรม และก็นึกขึ้นมาได้ว่า ดำ เคยบอกไว้ว่า “มีอะไรให้ พุธ โธ” จึงท่อง พุธ โธ หลังจากพูดได้ 2-3 ครั้ง ก็รู้สึกถูกดูดไปอีกที่ ที่นี่เป็นที่ที่สว่างมาก เป็นสนามหญ้ายาว ด้านข้างของสนามหญ้ามีโต๊ะอาหารยาว แต่ละโต๊ะมีทั้งคนแก่และเด็กยิ้มแย้มแจ่มใส อ.บาสมีความรู้สึกว่า “อยากอยู่ที่นี่จังเลย อาหารน่ากิน” จึงเดินเข้าไปหาคุณยาย คุณยายได้บอกว่า “กินสิ กินแล้วก็อยู่ที่นี่เลย ที่นี่สบาย” หลังจากนั้นก็รู้สึกอบอุ่นและได้หยิบอาหารขึ้นมา แต่พอคิดไปคิดมาก็ไม่อยากกิน รู้สึกหิวน้ำมากกว่า หลังจากนั้นจิตของ อ.บาส ก็ถูกดูดไปอีกที่ ที่นี่มีพราหมณ์ มีกระดานชนวนและมีคนนั่งเรียนเหมือนในละครจักร ๆ วงศ์ ๆ หลังจากนั้นพราหมณ์คนหนึ่งก็หันมาหา อ.บาส และเอาเงินให้ 600 บาท แล้วก็เขียนเบอร์โทรศัพท์ใส่ในกระดานชนวน เขาบอกว่า “จำไว้ เอาเงินไปใช้แล้วก็กลับไปก่อนยังไม่ถึงเวลา” หลังจากนั้นไม่นาน อ.บาส บอกว่าถูกดูดกลับมา เจ็บหน้าอกเหมือนเดิมแล้วลืมตาขึ้นมาและรู้สึกว่ามีแรงขึ้น จึงลองโทรไปเบอร์ที่พราหมณ์เขียนไว้ให้ พอปลายสายรับ อ.บาส ก็ได้ถามว่า “ที่นั่นที่ไหน” ปลายสายตอบว่า “โรงพยาบาล…ค่ะ” “ช่วยส่งรถมารับหน่อยครับ ผมไม่ไหวแล้ว ผมหายใจไม่ออก” อ.บาสรีบบอก “ทำใจดี ๆ ไว้นะคะ… ขอแจ้งนิดนึงนะคะ ที่นี่ถ้าจะส่งรถพยาบาลไปรับคนต้องมีค่าบริการนะคะ” ปลายสายรีบบอกเงื่อนไข “เท่าไหร่ครับว่ามาเลย” “600 บาท ค่ะ” ทันทีปลายสายบอกราคา อ.บาสก็นึกขึ้นมาได้ว่าพราหมณ์คนนั้นให้เงินมาด้วย 600 บาท จึงลองเปิดดูในกระเป๋าสตางค์ปรากฏว่ามีเงินอยู่ในนั้น 600 บาท เป็นแบงก์ร้อยทั้งหมด อ.บาสบอกว่าอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้เพราะตนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าในกระเป๋านั้นมีเงินอยู่แล้วหรือไม่ หลังจากนั้นรถโรงพยาบาลก็มารับที่หอพัก หลังจากนั้น อ.บาส นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 9 วัน เพราะหมอบอกว่าปอดติดเชื้อ ช่วงที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลก็มีความรู้สึกเหมือนได้ชีวิตใหม่ ร่างกายค่อย ๆ ดีขึ้น หลังจากออกจากโรงพยาบาลก็กลับมาดูดวงเพราะอยากรวย หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยป่วยโรคร้ายอะไรอีกเลย อ.บาสเองบอกว่าตอนที่วูบไปรู้สึกว่านานมากเหมือนเป็นวัน แต่จริง ๆ แล้วมันแค่ครู่เดียว มันอาจจะแค่ฝันไปก็ได้ แต่มันก็มีเหตุผลของมัน..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1