เรื่องเล่าจากคุณเอฟ ‘หุ่นลอยได้’ I อังคารคลุมโปง X เอฟ พงศ์พิทักษ์ [ 14 พ.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเอฟ ‘หุ่นลอยได้’ I อังคารคลุมโปง X เอฟ พงศ์พิทักษ์ [ 14 พ.ค. 2567]

19 พ.ค. 2024

       เรื่องราวนี้ ‘คุณเอฟ พงศ์พิทักษ์’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (14 พฤษภาคม 2567) ขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘หุ่นลอยได้’ จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกัน! 

       คุณเอฟเล่าว่าเรื่องราวนี้เกิดช่วงปิดเทอมหน้าร้อน คุณเอฟนัดกับเพื่อนไปเที่ยวที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพประมาณ 2-3 วัน ซึ่งเพื่อนของคุณเอฟก็บอกว่าสามารถมาได้ แต่ก็ได้ขอให้คุณเอฟช่วยงานที่มหาวิทยาลัยด้วย คุณเอฟจึงตอบตกลงไป

       เรื่องนี้จะมีสถานที่สำคัญอยู่ 2 แห่ง คือ ‘ตึกที่เกิดเหตุ’ และ ‘ตึกที่คุณเอฟจะไปช่วยงาน’ คุณเอฟได้อธิบายเพิ่มว่าทั้ง 2 ตึกนี้อยู่ตรงข้ามกันขั้นกลางด้วยถนนสี่แยก โดยตึกที่เกิดเหตุจะมีหุ่นลองเสื้อผ้าจำนวนมากและศิลปะทำมือเก่า ๆ ส่วนตึกที่คุณเอฟไปช่วยงานเป็นตึกที่ด้านล่างจะเป็นลานกว้าง และมีโต๊ะสำหรับนักศึกษา 

       เมื่อคุณเอฟไปถึงที่มหาวิทยาลัย เพื่อนคุณเอฟได้สอบถามว่า “มีใครขับมอเตอร์ไซค์เป็นบ้าง”

       คุณเอฟจึงตอบกลับไปว่า “ผมขับเป็น”

       เพื่อนคุณเอฟจึงวานให้คุณเอฟเอากระติกน้ำไปให้กับกลุ่มเชียร์หลีดเดอร์ทุก ๆ 2 ทุ่มและไปนำกระติกกลับในช่วงเที่ยงคืน - ตี1 เพราะในช่วงนั้นมหาลัยของเพื่อนคุณเอฟจะมีการซ้อมเชียร์หลีดเดอร์เพื่อแข่งงานกีฬาของมหาวิทยาลัย 

       ในวันแรก คุณเอฟได้นำกระติกน้ำไปให้กลุ่มเชียร์หลีดเดอร์ตามที่ตกลงกับเพื่อนไว้ เมื่อถึง ก็ได้บอกกับกลุ่มเชียร์หลีดเดอร์ว่า

       “เดี๋ยวช่วงเที่ยงคืน – ตี1 จะมาเอากระติกคืนนะ”

       หลังจากนั้นคุณเอฟก็ขับรถไปที่ร้านเกมและนั่งเล่นเกมตั้งแต่ 2 ทุ่มถึงเที่ยงคืน เมื่อถึงเวลาคุณเอฟก็ขับรถไปเอากระติกคืน คุณเอฟเล่าว่าบริเวณสี่แยกจะมีช่องถนนที่ทำให้เห็นบริเวณหลังตึกของตึกเกิดเหตุ ซึ่งในบริเวณนั้นจะมีนักศึกษากำลังทำอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการขึ้นแสตนด์ของงานแข่งกีฬา เช่น อุปกรณ์เชียร์ เมื่อเก็บกระติกเสร็จคุณเอฟก็กลับห้องตามปกติ

       ในวันที่สอง คุณเอฟก็นำกระติกไปให้ตามปกติ วันนี้คุณเอฟสังเกตว่าจำนวนนักศึกษานั้นมากกว่าปกติถึงเท่าตัว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร เพราะคิดว่าน่าจะใกล้วันงานแล้วนักศึกษาจึงรีบมาช่วยกันทำ หลังจากนั้นคุณเอฟก็ขับรถกลับไปนั่งเล่นเกมเหมือนเดิม 

       ซึ่งจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้กำลังจะเกิดขึ้น ในตอนที่คุณเอฟกำลังจะไปนำกระติกคืน เมื่อถึงก็คุยกับเพื่อนเชียร์หลีดเดอร์ตามปกติ หลังจากนั้นในตอนที่กำลังกลับ คุณเอฟจะต้องกลับรถไปทางฝั่งตึกที่เกิดเหตุเนื่องจากเป็นทางเข้าทางเดียว ในขณะที่คุณเอฟกำลังกลับรถก็มีสายโทรศัพท์โทรเข้ามา คุณเอฟจึงขับรถชิดขวาซึ่งอยู่บริเวณตึกที่เกิดเหตุ และบอกกับเพื่อนที่ซ้อนท้ายว่าขอคุยโทรศัพท์ก่อน ซึ่งในตอนที่คุณเอฟกำลังคุยโทรศัพท์ก็โดนเพื่อนที่ซ้อนท้ายสะกิดเหมือนกับส่งสัญญาณว่าให้ไปได้แล้ว หลังจากที่คุณเอฟวางสายก็ได้ถามเพื่อนว่า

       “มีอะไรหรือเปล่า”

       แต่เพื่อนก็ตอบแค่ว่า “ไป ไปก่อน ไปเดี๋ยวนี้”

       เมื่อคุณเอฟขับถึงประตูทางเข้า คุณเอฟก็จอดแล้วถามเพื่อนว่า

       “เป็นอะไร ทำไมถึงมาสะกิดเร่งให้ไป”

       เพื่อนคุณเอฟจึงบอกว่าตัวเขาไม่รู้ว่าตัวเขาตาฝาด หรือมองพลาดไป เพราะในตอนที่คุณเอฟจอดรถคุยโทรศัพท์ เพื่อนของคุณเอฟก็เห็นกลุ่มนึกศึกษาบริเวณตึกเกิดเหตุกำลังขนของกันตามปกติ แต่คนสุดท้ายของแถวที่กำลังแบกไม้อยู่นั้น ดันมีแค่หัวของหุ่นลองเสื้อผ้าสีชมพูอมม่วงที่ลอยตามหลังไป ซึ่งเพื่อนของคุณเอฟก็ตกใจจนกระอักกระอ่วน คุณเอฟรู้สึกว่าอยากให้เพื่อนสบายใจจึงขับรถกลับไปดูบริเวณที่เพื่อนของคุณเอฟเห็น

       เมื่อคุณเอฟเลี้ยวไปจอดที่บริเวณนั้น สิ่งที่คุณเอฟเห็นคือซากหุ่นจำนวนมากที่กองอยู่ แต่มีหุ่นอยู่ตัวหนึ่งที่ลำตัวยืนอยู่ แต่หัวของหุ่นวางอยู่ที่พื้นซึ่งสีของหุ่นตัวนี้คือสีชมพูอมม่วง ในขณะที่หุ่นที่เหลือนั้นเป็นสีขาวครีมทั้งหมดเลย!

       คุณเอฟอยากรู้จึงถามเพื่อนที่เรียนที่นี่ว่ามีประวัติอะไรหรือไม่ เพื่อนคุณเอฟได้บอกว่า

       “โดนรับน้องซะแล้ว เพราะจริง ๆ สถานที่นี้เคยเป็นป่าช้าเก่าที่เคยมีสงครามมาก่อนและมีคนเคยเจอเยอะมาก ส่วนใหญ่ที่เจอคือจะเป็นหัวของหุ่นลอย และตัวหุ่นจะเปลี่ยนท่าทางยืนเอง หรือไม่ก็เจ้าที่ใส่ชุดไทยเดินผ่านไปผ่านมา”

       หลังจากเหตุการณ์นี้ คุณเอฟก็ไม่ขอวนรถกลับไปดูอีก คุณเอฟกล่าวว่าถ้ากลางวันไปถ่ายรูป Portrait ก็ดูอาร์ตและเท่ดี แต่ถ้ากลางคืนคงไม่กล้าไปอีกเพราะหลอนมาก

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเอก ตายเเน่ 'เรื่องของลุงยาม' I อังคารคลุมโปง X ม้าม่วง Powerpuff GAY [28 ม.ค. 2568]

01 ก.พ. 2025

เรื่องเล่าจากคุณเอก ตายเเน่ 'เรื่องของลุงยาม' I อังคารคลุมโปง X ม้าม่วง Powerpuff GAY [28 ม.ค. 2568]

หน้าที่ยาม ที่ดูแลผีมากกว่าคน!! ‘คุณเอก ตายแน่’ ได้นำเรื่อง ‘เรื่องของลุงยาม‘ มาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’(28 มกราคม 2568) เรื่องเล่าสุดหลอนของตึก 13 ชั้น จากลุงยามเฝ้าตึก ที่ทำให้ ‘ดีเจแนน’ และ ’ดีเจเจ็ม’ ต้องขนลุกไปพร้อม ๆ กับการหลอกของเหล่าผี!! เมื่อ 7 ปีที่แล้ว คุณเอกได้ทำงานทีี่บริษัทรักษาความปลอดภัยแห่งหนึ่ง มีหลายครั้งที่แวะเข้าไปในออฟฟิศ และภายในออฟฟิศมักจะเจอคุณลุงอายุ 65 ปี ด้วยประสบการณ์การทำงานและความเคารพจากบริษัท จึงได้ให้คุณลุงทำงานด้านเอกสาร คุณเอกที่เป็นพนักงานใหม่และชื่นชอบการคุยกับคนที่มีอายุมากกว่า ก็ได้เขาไปพูดคุยกับคุณลุง คุณเอกที่ชื่นชอบเรื่องเล่าผีได้เข้าไปถามคุณลุงว่า “ลุงครับ ไม่ทราบว่าลุงเคยเจอเรื่องน่ากลัวๆ เรื่องผีบ้างไหมครับ” คุณลุงจึงตอบว่า “จริงๆ ก็เจอมาตลอดในการทำงาน เพราะชอบเลือกอยู่กะกลางคืน” คุณเอกได้ถามต่อว่า “แล้วมีเหตุการณ์ไหมที่เจอจังๆ ไหม เจอพี่เจอเป็นตัวเลยหรอ” คุณลุงก็บอกว่า “เจอแบบชักปลั๊กเลย สลบไปเลย” คุณลุงเล่าต่อว่าเป็นครั้งแรกที่กลัวผีจนสลบไปและเลิกเป็นยามเฝ้าตึก เรื่องมีอยู่ว่า.. ย้อนไป 10 ปีที่แล้ว คุณลุงอายุ 55 ปี ทำอาชีพเป็นยามเฝ้าตึกแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ย่านใกล้เคียงกับสถานบันเทิงและโรงแรม ตึกที่คุณลุงทำงานอยู่นั้นเป็นตึกค่อนข้างเก่า มีทั้งหมด 13 ชั้น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ชั้นที่ 13 จึงสร้างเป็นตึกเสริมแทน และบริเวณป้อมยามที่คุณลุงอยู่จะมีโต๊ะไม้หินอ่อนอยู่ข้าง ๆ กิจวัตรประจำวันทุกครั้งหลังจากตรวจตึกเสร็จ คุณลุงจะกลับมาที่ป้อมยามในเวลาประมาณ 2-3 ทุ่ม เพื่อนอนหลับ จนมีอยู่หนึ่งคืน ที่คุณลุงกำลังหลับอยู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงเคาะกระจกป้อมยาม เมื่อมองออกไปด้านนอกก็เจอกับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หน้าตาสะสวย สวมใส่ชุดเดรสสีแดง คุณลุงจึงทักทาย “สวัสดีครับคุณผู้หญิง มีอะไรให้ผมช่วยไหมครัับ” ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับมาว่า “เรียกหนูว่าแยมเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ พอดีหนูอยู่ชั้นที่ 8 หนูกลัวผีค่ะ ช่วยพาหนูขึ้นไปหน่อยได้ไหมคะ” คุณลุงก็ตกใจ และนึกได้ว่าช่วงที่เข้ามาทำงานใหม่ ๆ ตึกนี้เคยมีเรื่องเล่าว่า มีคนกระโดดตึกลงมาเสียชีวิต ร่วมถึงคนป่วยเป็นมะเร็งปอดแล้วเสียชีวิตภายในห้องพักส่วนตัว คุณลุงก็ไม่ทราบว่าชั้นไหน แต่เมื่อลูกบ้านกลัวและเป็นหน้าที่ของรปภ. คุณลุงจึงอาสาไปส่ง จากนั้นคุณลุงก็ได้หยิบกระบอกไฟฉายมาเหน็บไว้ที่กระเป๋าหลังกางเกง แต่เหตุการณ์แปลก ๆ ก็เกิดขึ้น เนื่องจากปกติแล้วคนกลัวผีมักจะเดินตามหลังแต่ผู้หญิงคนนี้วิ่งนำหน้าคุณลุงไปและพุ่งตัวเข้าไปในลิฟต์ คุณลุงที่อายุมากแล้วและขาไม่ค่อยดีจึงค่อย ๆ เดินตามผู้หญิงคนนั้นไป เมื่ออยู่ในลิฟต์ผู้หญิงคนนั้นยืนตัวตรง ขาชิด หันหน้าไปทางประตูลิฟต์ และนิ้วของเขาก็กดไปที่เลข 8 ย้ำ ย้ำ ย้ำ เหมือนให้ลิฟต์รีบขึ้นไป พอลิฟต์ปิดลง พื้นที่เริ่มน้อย ทำให้คุณลุงได้กลิ่นชัดขึ้น ซึ่งเป็นกลิ่นของน้ำอบดาวเรือง คุณลุงก็คิดในใจว่า ผู้หญิงวัยรุ่นที่เที่ยวกลางคืน มันควรจะเป็นน้ำหอมอีกกลิ่นหนึ่งหรือเปล่า และในตอนนั้นคุณลุงก็รู้สึกว่าระหว่างชั้น 1 ถึงชั้น 8 นั้นนานกว่าปกติ ผู้หญิงคนนั้นไม่พูดไม่จากับคุณลุง คุณลุงจึงได้แต่ก้มหน้า แต่หางตาก็มองไปที่เลขลิฟต์ว่าเมื่อไร่จะถึงชั้น 8 เมื่อถึงชั้นที่ 8 ผู้หญิงคนนั้นก็ทำเหมือนเดิม โดยใช้มือกดย้ำ ย้ำ ย้ำ ไปที่ปุ่มเปิดลิฟต์ พอประตูลิฟต์เปิดผู้หญิงคนนี้ก็พุ่งตัวออกจากลิฟต์ทันที และกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ห้องของตัวเอง ซึ่งอยู่เกือบสุดทางเดินของชั้นนี้ คุณลุงจึงบอกว่า “ใจเย็น ๆ คุณหนู ผมขาไม่ค่อยดี” แต่ผู้หญิงคนนั้นยังเดินต่อไป ไม่ได้หันมามอง จนไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นก็ยังยืนนิ่ง ๆ อยู่หน้าประตูไม่ได้เข้าห้องไปทันที และผู้หญิงก็พูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “เดี๋ยวหนูเข้าไปเองค่ะ” พอได้ยินแบบนั้นคุณลุงก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา เพราะหลาย ๆ อย่างมันดูแปลก คุณลุงจึงบอกไปว่า “งั้นผมส่งตรงนี้นะครับ” และหันหลังกลับไป แต่เมื่อกำลังจะเดินไปก็ได้ยินเสียงประตูเปิด พอหันกลับไปดูว่าผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในห้องแล้วหรือยัง แต่เมื่อหันกลับไปก็พบว่าประตูห้องเปิดอ้าอยู่ ด้วยความตกใจคุณลุงจึงรีบวิ่งไปทางบันไดหนีไฟ เพราะมันไวกว่ารอลิฟต์ พอลงมาถึงข้างล่าง ด้วยความที่วิ่งลงมาคุณลุงเหนื่อยมากและเผลอหลับไป หลับไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะอีกครั้งจนสะดุ้งตื่นขึ้นมา คุณลุงได้มองออกไปข้างนอก ก็พบกับผู้หญิงคนเดิมใส่ชุดเดรสสีแดง ยืนตัวตรง แล้วบอกกับคุณลุงว่า “คุณลุงคะ คุณลุงพาหนูขึ้นไปอีกรอบได้ไหม หนูกลัวผี” คุณลุงก็รู้สึกตกใจจนพูดไม่ออกผู้หญิงคนนั้นจึงพูดขึ้นมาอีกว่า “คุณลุงลืมของไว้ บางอย่างที่สำคัญมากเลยนะคะ ขึ้นไปเอากับหนูหน่อย” คุณลุงคิดว่านี่ไม่ใช่คนแล้ว จึงเปิดประตูออกแล้วรีบวิ่งออกไป ข้าง ๆ ตึกมีร้านสะดวกซื้ออยู่ คุณลุงก็ได้ไปนั่งอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อจนถึงเช้า และรายงานกับหัวหน้าว่าเมื่อคืนตนได้เจอกับเรื่องแปลก ๆ หลังจากนั้น คุณลุงก็เดินขึ้นไปชั้น 1 ที่ห้องประชาสัมพันธ์ เพื่อขออนุญาตดูกล้องวงจรปิดเพราะยังข้องใจกับเรื่องเมื่อคืน ภาพที่ปรากฎขึ้นบนจอคือภาพที่คุณลุงยืนคุยกับอากาศ แล้วเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เหตุขึ้นก็ปรากฎแค่คุณลุงคนเดียว ไม่มีผู้หญิงคนนั้นในภาพ และเมื่อภาพมาถึงช่วงที่ประตูห้องเปิดออกในจังหวะที่คุณลุงหันหลังกลับแล้ววิ่งไป กระบอกไฟฉายที่พกไปด้วยนั้นก็หล่นลงมาและกลิ้งเข้าไปในห้องนั้น เมื่อเห็นอย่างนั้นคุณลุงก็ได้แต่ขนลุกพลางว่าถ้าเกิดขึ้นไป ตนนั้นก็อาจจะไม่มีโอกาสได้ลงมาอีกเลย หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น คุณลุงจึงเริ่มปรับตัวกับการอยู่เฝ้ายาม เช่น นำพระมาห้อยจนเต็มคอ เริ่มตรวจตึกตั้งแต่ 6 โมงเย็นแล้วรีบกลับมาที่ป้อมยาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถทนได้ จึงขอลาออก คุณลุงได้บอกกับเจ้าของตึกว่า “ผมขอออกนะครับ แต่ผมจะอยู่จนกว่าจะหาคนได้” เจ้าของตึกจึงบอกว่า“เดี๋ยวจะเอาหัวหน้ารปภ. จากสาขาอื่นมาเปลี่ยน เดี๋ยวเขาจะมาดูงานและมาเปลี่ยนคืนนี้แหละ อยู่ให้อีกสักคืนนะลุง” คุณลุงก็รับปากจะอยู่ให้ จากนั้นคุณลุงก็ทำตามกิจวัตรปกติตามเดิม พอกลับมาพักที่ป้อมยาม ผ่านไปสักพักคุณลุงก็สะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงเคาะเหมือนคนเอากำปั้นทุบกระจก คุณลุงจึงรีบเปิดประตูออกมา และสิ่งที่คุณลุงได้เห็นคือมีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดรปภ. อายุประมาณ 40 ปีกว่า ๆ ร่างอวบนิด ๆ และผู้หญิงคนนั้นยังจองมาที่คุณลุงตาเขม็งพร้อมบอกว่า “เป็นรปภ. ที่นี่ยังไง นอนหลับไม่ดูป้อมไม่ตรวจตาเลยเหรอ แล้วดูซิเนี่ย! แต่งตัวทำไมไม่เอาเสื้อเข้ากางเกง ก็สมควรแหละที่ได้ออก ทำตัวไม่ได้มีความเป็นรปภ.เลย ฉันจะมาเปลี่ยนนะ แล้วจะมาดูความเรียบร้อยด้วย มาดูความประพฤติกรรมด้วยว่าเป็นยังไง” ได้ยินแบบนั้นคุณลุงก็ตกใจ นอกจากนี้ ผู้หญิงรปภ. คนนี้ก็ไปนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้หินอ่อนข้างป้อมยาม คุณลุงจึงกลับไปนั่งในป้อม แต่ก็ได้แต่นั่งเกร็งเพราะมีคนจ้องอยู่ด้านนอก คุณลุงไม่รู้จะทำอะไรจึงหยิบยาดมขึ้นมาดม แต่ก็มีเสียงตะโกนมาว่า “อย่าดม! อย่าดม! เหม็น! ทำไมต้องดมยาดม เป็นคนเสพติดของพวกนั้นหรอ” คุณลุงก็คิดในใจว่าแค่ดมยาดมก็ไม่ได้หรอ แต่คุณลุงก็เก็บยาดมไป นั่งไปได้สักพักคุณลุงก็เผลอหลับไป แต่ก็ยังสะดุ้งตื่นและลุกมาดูแถวโต๊ะไม้หินอ่อนว่ามีใครอยู่รึเปล่า แต่ก็ไม่มีใคร มีแค่โต๊ะโล่ง ๆ คุณลุงก็สงสัยว่าหัวหน้ารปภ. ผู้หญิงคนนั้นหายไปไหน คุณลุงจึงเดินขึ้นไปชั้น 1 ที่ห้องประชาสัมพันธ์ ซึ่งเวลานั้นก็ไม่มีใครอยู่แล้ว พอไปถึง คุณลุงก็มองหารปภ.ผู้หญิง แต่ก็หาไม่พบ คุณลุงก็คิดว่าเขาคงกลับไปแล้ว คุณลุงจึงเดินออกมาข้างหน้าตึกพร้อมกับหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ แต่งตัวสบาย ๆ เอาเสื้อออกนอกกางเกงเหมือนอย่างที่เคยทำ สักพักก็ได้ยินเสียงแว่วมา ในเวลานั้นเองได้มีร่างของคนร่วงลงมาจากข้างบนตึกแล้วตกลงที่ตรงหน้าของคุณลุงพอดี!สภาพของร่างนั้นเป็นกองเนื้อที่กระจายเต็มหน้าคุณลุง แขน ขาบิดผิดรูป คุณลุงจึงได้แต่อึ้งค้างอยู่แบบนั้นและในกองเนื้อนั้นก็มีหัวคนที่อยู่เป็นยอดเหมือนเชอร์รี่ที่อยู่บนก้อนเค้ก ซึ่งหัวคนนั้นก็คือหน้าของรปภ.ผู้หญิงคนนั้น แล้วถลึงตาหันมามองคุณลุง และบอกกับคุณลุงว่า “กูบอกให้เอาเสื้อใส่ในกางเกง!” หลังจากนั้นคุณลุงก็สลบไปทันที รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกส่งไปโรงพยาบาล ในตอนนั้นก็มีเจ้าหน้าที่นิติ และเจ้าของตึกมาเยี่ยมคุณลุง คุณลุงจึงเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้ทั้ง 2 คนฟัง หลังจากเล่าเสร็จคุณลุงจึงถามว่านั้นคือผีหรือเปล่า เจ้าหน้าที่นิติจึงตอบว่า “ไม่น่าจะเป็นผีนะคะ ที่นี่ไม่เคยมีรปภ. ผู้หญิง” คุณลุงจึงถามต่อว่า “แล้วบอกจะมีหัวหน้ามาดูงานกลางคืนไม่ใช่หรอครับ” เจ้าหน้าที่นิติก็ได้บอกว่า “ไม่ใช่ ที่จะมา เขามาพรุ่งนี้ แล้วเขาเป็นผู้ชาย เขาติดงาน มาไม่ได้” ได้ยินดังนั้นเจ้าของตึกจึงได้เอามือมาผลักเจ้าหน้าที่นิติออกและพูดเบาๆ ว่า “เธอไม่รู้ เธอพึ่งมา จริง ๆ เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน ฉันได้จ้างรปภ. ผู้หญิงมา” เจ้าของตึกจึงเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ได้สร้างตึกนี้เสร็จเมื่อ 30 ปีก่อน เจ้าของตึกได้คัดเลือกรปภ.ที่จะเข้ามาทำงานเฝ้าตึกด้านบนด้วย เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กำลังสร้างชั้นที่ 13 พอดี ซึ่งคนที่ต้องตรวจตราข้างบนก็คือ รปภ. ผู้หญิงคนนี้ เธอเป็นคนที่เข้มงวด ปากจัดมาก เนี๊ยบ ใครที่ไม่ถูกใจเธอก็มักจะด่าทันที จึงไม่ค่อยมีใครชอบเธอสักเท่าไหร่ วันหนึ่งตอนประมาณ 6 โมงเย็น รปภ.ผู้หญิงคนนี้ก็ตกลงมาจากชั้นที่ 13 จนร่างกายแตกกระจายอยู่หน้าตึก และคนอื่น ๆ ก็ได้ตีความกันว่าเป็นคนงานที่มาสร้างชั้น 13 ทนกับคำด่าของรปภ.คนนี้ไม่ไหวจึงผลักเธอตกลงมา แต่ก็มีการปิดข่าวทำให้ข่าวเรื่องนี้เงียบไป คุณลุงที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดจึงใช้โอกาสนี้ในการลาออกทันที หลังจากนั้นคุณลุงก็นั่งโต๊ะทำงานเอกสารเป็นต้นมา(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

3 เรื่องหลอนของคนขับรถ ที่ต้องเจอกับเหตุการณ์แปลกๆ ระหว่างทาง!

01 มี.ค. 2024

3 เรื่องหลอนของคนขับรถ ที่ต้องเจอกับเหตุการณ์แปลกๆ ระหว่างทาง!

เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณโก้’ ที่ ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำเรื่องมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 กุมภาพันธ์ 2567) พร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวคุณโก้ตอนที่ขับรถไปรับผู้โดยสาร เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย!เรื่องที่หนึ่ง คุณโก้เคยทำอาชีพไรด์เดอร์ส่งอาหาร หลังจากเกิดอุบัติเหตุก็เปลี่ยนจากขับมอเตอร์ไซค์มาขับรถยนต์รับ-ส่งคนแทน วันหนึ่ง คุณโก้ได้ขับรถจากจังหวัดปราณบุรีกำลังจะเข้าหัวหิน ระหว่างทางได้เจอพระรูปหนึ่งกำลังเดินอยู่ข้างทาง คุณโก้จึงจอดรถแล้วถามพระว่า “หลวงพี่จะไปหัวหินหรือเปล่า ผมกำลังจะเข้าหัวหิน เดี๋ยวผมไปส่งถึงวัดเลย จะได้ไม่ต้องเดินเหนื่อย” หลังจากพูดคุยกันเสร็จ หลวงพี่ก็เปิดประตูด้านหลังแล้วก็ขึ้นไปนั่งข้างซ้าย ตลอดการเดินทาง พระท่านสวดมนต์แผ่เมตตาอยู่ตลอดเวลา นั่นทำให้คุณโก้รู้สึกสงสัย เพราะปกติคุณโก้ก็ไม่เคยรับผู้โดยสารที่เป็นพระมาก่อน แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรจนกระทั่งถึงวัด หลวงพี่ก็ได้เปิดประตูลงจากรถจากนั้นก็ชะโงกหน้าเข้ามาในรถแล้วพูดว่า “โยม โยมที่มากับเขาเนี่ย ลงมาเถอะไม่ต้องตามเขาไป ไม่ต้องจองเวรจองกรรมอะไรกับเขา เขาเป็นคนดี ลงมาอาตมาขอบิณฑบาตนะโยม” จากนั้นหลวงพี่ก็ปิดประตูรถแล้วเดินจากไป ทิ้งคุณโก้ให้อยู่กับความสงสัยคนเดียวในรถ แต่คุณโก้ก็ไม่ได้ลงไปถามว่าหลวงพี่พูดอะไร พูดกับใคร นอกจากนี้ พี่แจ็คยังได้สอบถามคุณโก้ว่า “ก่อนหน้านั้นตอนที่อยู่บนรถคุณโก้มีความรู้สึกแปลก ๆ อะไรบ้างไหม” แต่คุณโก้ก็ไม่ได้มีอาการอะไร ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร คุณโก้จึงวิเคราะห์กับพี่แจ็คเล่น ๆ ว่า เป็นเพราะคุณโก้อัธยาศัยดี เวลาที่ผู้โดยสารขึ้น คุณโก้ก็จะพูดว่า “เชิญคร้าบ!” อาจจะมีสิทธิ์เป็นไปได้ที่จะมีวิญญาณขึ้นมาด้วยเรื่องที่สอง หลังจากวันนั้นเวลาผ่านไปไม่นาน คุณโก้ได้ไปรับผู้โดยสาร เมื่อไปยังจุดหมายที่จะรับผู้โดยสาร คุณโก้ก็เห็นมีผู้โดยสารทั้งหมด 4 คน คนแรกเป็นผู้สูงอายุ คนที่สองเป็นผู้ชายวัยกลางคน คนที่สามเป็นผู้หญิงวัยกลางคน และคนสุดท้ายเป็นผู้หญิงอายุไม่มากเท่าไร ทั้งหมดขึ้นมาบนรถ โดยที่น้องผู้หญิงขึ้นมาก่อน และตามด้วย ชาย-หญิง วัยกลางคน แต่คุณป้าคนแก่ไม่ได้ขึ้นมาด้วย คุณโก้เข้าใจว่าอาจจะมายืนส่งขึ้นรถ จุดที่น่าสังเกตคือทั้ง 3 คนที่ขึ้นมาใส่ชุดดำหมดเลย แต่คุณโก้ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ขับรถไปเรื่อย ๆ จนถึงที่หมาย ชายวัยกลางคนเปิดประตูลงไปก่อน ผู้หญิงลงตาม คุณโก้เช็คในแอปฯว่าจ่ายเงินแล้ว จึงกดเสร็จสิ้นการรับส่งในครั้งนี้ จากนั้นผู้โดยสารก็ปิดประตูแล้วคุณโก้ก็ขับรถออกไป คุณโก้ขับไปได้ยังไม่ถึง 1 กิโลเมตร ก็ได้ยินเสียงเหมือนผู้หญิงร้องไห้มาจากเบาะข้างหลัง เขามองกระจกหลังและสิ่งที่เห็นคือ เด็กผู้หญิงผมสั้นนั่งกอดเข่าพิงเบาะรถมองออกไปนอกหน้าต่าง คุณโก้พยายามถามว่า “น้องทำไมถึงไม่ลง แล้วพี่ต้องทำยังไง จะให้ไปกลับไปส่งไหม” น้องผู้หญิงร้องไห้สะอื้นแล้วก็บอกว่า “กลับ ไป” คุณโก้ตอบกลับไปว่า “พี่ต้องกลับไปส่งน้องใช่ไหมเนี่ย มันเสียเวลาพี่นะ พี่ต้องทำมาหากินด้วยนะเนี่ย” แต่คุณโก้ก็กลับไปส่ง พอถึงที่หมาย ผู้ชายวัยกลางคนก็เปิดประตูรถแล้วพูดว่า “รู้ได้ยังไงเนี่ย ว่าผมลืมของไว้ ผมกำลังแจ้งที่ศูนย์เลยว่าช่วยตามรถให้หน่อย ผมลืมของไว้” แล้วคุณโก้ก็บอกว่า “ยังไม่มีใครแจ้งผมเลย ผมมาเองก็พี่ลืมน้องไว้” ผู้โดยสารอึ้งแล้วก็เข้ามาหยิบของออกไป แล้วก็บอกว่า “มาคุยกับผมก่อน” คุณโก้จึงลงจากรถ ผู้ชายคนนั้นก็ถามว่า “น้องคืออะไร” คุณโก้ตอบไปว่า “ก็พี่ขึ้นมา แล้วก็น้องขึ้นมา แล้วตอนลงไปผมก็นึกว่าลงไปหมดแล้ว เนี่ยผมก็วนมาส่ง” ผู้ชายคนนั้นจึงเปิดถุงกระดาษที่ลืมไว้แล้วบอกว่า “เนี่ย น้องผมอยู่ในนี้” ในถุงกระดาษนั้นมีตลับใส่อัฐิไว้ แล้วก็พูดอีกว่า “น้องเสียไปนานแล้ว คนที่ดูแลอัฐินี้ตลอดคือแม่ผม แล้วก็เมื่อ 2 วันก่อนแม่ผมเพิ่งเสีย” คุณโก้ตกใจจึงพูดว่า “เดี๋ยวนะ แม่เพิ่งเสีย ใช่ป้าที่มาส่งแล้วแต่งตัวแบบนี้ ใช่ไหม” ชายคนนั้นบอกว่า “ใช่ นั่นคือชุดสุดท้ายที่ผมใส่ไปในโลงให้กับคุณแม่ผม” พี่แจ็คก็ได้สอบถามว่า “แล้วหลังจากนั้นทำยังไง เพราะตอนนั้นก็ประมาณ 3 ทุ่ม แล้วต้องขับรถกลับจากหัวหินไปปราณบุรี” คุณโก้บอกว่า “ก็เปิดรายการผีฟัง” พี่แจ็คจึงถามว่า “แล้วกลับได้ใช่ไหม” คุณโก้ตอบกลับว่า “มันก็ต้องได้แหละ เพราะยังไงผมก็ต้องกลับ”เรื่องสุดท้าย วันหนึ่ง คุณโก้ขับรถจนถึงช่วงกลางคืน มีคนเรียกให้ไปรับตามปกติ พอไปถึงก็มีผู้หญิงวัยกลางคน เปิดประตูขึ้นมานั่งอยู่ด้านหลังฝั่งซ้าย วันนั้นคุณโก้ขับรถมาทั้งวันจึงรู้สึกอ่อนเพลีย สักพักก็รู้สึกว่าด้านหลังเบาะเหมือนมีอะไรดันอยู่ตลอด คุณโก้คิดว่ารถคงสะเทือน จากนั้นก็มีความรู้สึกว่าที่พิงเบาะข้างหลังเหมือนมีมือเล็ก ๆ เย็น ๆ ลูปที่คอ คุณโก้จึงเอาปกคอเสื้อขึ้นมาบังไว้แล้วก็ขับรถต่อ ผ่านมาสักพัก เหมือนมีลมมาเป่าที่หูซ้ายที ขวาที แล้วคุณโก้ก็ได้พูดออกมาว่า “อะไรวะเนี่ย!” ผู้โดยสารจึงกระแอมขึ้นมา แล้วทุกอย่างก็หยุดแล้วหายไป แม้คุณโก้จะรู้สึกแปลก ๆ แต่เขาก็ขับรถต่อไป รถคุณโก้เป็นรถ 7 ที่นั่ง จึงพับเบาะหลังไว้เพื่อที่จะได้มีพื้นที่ใส่กระเป๋าผู้โดยสาร คุณโก้มองกระจกหลังแล้วเห็นเด็กนั่งหันหลังแล้วขย่มรถอยู่! แต่รถคุณโก้ไม่ได้ขยับตาม คุณโก้ตกใจจึงจอดรถแล้วกำลังจะหันไปถามผู้โดยสาร แต่ผู้หญิงคนนั้นพูดออกมาก่อนว่า “พี่ขับไปเถอะ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว” คุณโก้รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ แน่นอน เมื่อถึงที่หมาย ผู้หญิงคนนี้ก็เปิดประตูแล้วพูดว่า “ ถ้าขับรถแล้วง่วงอะ อันตรายนะ นอนหลับให้เพียงพอ ที่พี่เห็นอะลูกหนูเอง” จากนั้นผู้หญิงคนนี้ก็ลงจากรถปิดประตูแล้วก็ไปเลย คุณโก้ก็คิดในใจว่า สิ่งที่มาด้วยน่าจะเป็นอะไรบางอย่างที่เธอเลี้ยงไว้ แล้วก็พามาด้วย สิ่งที่เขาทำ (ขย่มรถให้สะเทือน) น่าจะเป็นเพราะคุณโก้ง่วง จึงมาทำให้มีสติเพื่อที่จะให้แม่ของเขาปลอดภัย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เปิดร้านทำผมใกล้สถานศึกษาจนได้รู้จักกับน้องคนหนึ่ง ทั้งคู่เกิดความรู้สึกดี ๆ ให้กัน คืนหนึ่งรุ่นน้องมานอนพักที่ร้าน จากนั้นก็ฝันว่าน้องคนนั้นตาย! พอตื่นมาก็เห็นข่าวว่าน้องโดนยิงตาย แต่ไม่เชื่อ จึงขึ้นไปเช็คที่ห้องนอน ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลย!

14 ก.ย. 2023

เปิดร้านทำผมใกล้สถานศึกษาจนได้รู้จักกับน้องคนหนึ่ง ทั้งคู่เกิดความรู้สึกดี ๆ ให้กัน คืนหนึ่งรุ่นน้องมานอนพักที่ร้าน จากนั้นก็ฝันว่าน้องคนนั้นตาย! พอตื่นมาก็เห็นข่าวว่าน้องโดนยิงตาย แต่ไม่เชื่อ จึงขึ้นไปเช็คที่ห้องนอน ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลย!

เมื่อความรักเกิดขึ้นได้ทุกช่วงเวลา แต่กลับถูกความตายมาพลัดพราก ทำให้ความสัมพันธ์ยังคลุมเครือไม่ได้ไปต่อ เรื่องราวความรักสีดำครั้งนี้จะเป็นยังไง รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 กันยายน 2566) ขอต้อนรับ ‘พี่ขวัญ น้ำมันพราย’ พบกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ที่จะมาร่วมปิดไฟ แล้วเปิดประสบการณ์ความรักสุดหลอนกันในค่ำคืนนี้! ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน เรื่องราวเกิดขึ้นกับ LGBTQ ท่านหนึ่ง ชื่อว่า ‘พี่แอน’ อดีตเคยเป็นลูกจ้างร้านเสริมสวยร้านหนึ่ง สะสมประสบการณ์เก็บเงินจนเติบโตกลายเป็นเจ้าของร้านเสริมสวยแถวมหาวิทยาลัยย่านรังสิต หลังจากเปิดมาได้ปีกว่าก็มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก พี่แอนจึงตัดสินใจจ้างลูกน้องให้มาช่วยงานที่ร้าน ตัวพี่แอนเองมักจะสนิทสนมกับนักศึกษาหลายคน แต่มีนักศึกษาผู้ชายคนหนึ่ง มักจะมากับกลุ่มเพื่อนบ่อย ๆ แต่ตัวน้องผู้ชายไม่เคยตัดผมที่ร้านเลย และด้วยความหน้าตาดี เรียบร้อย พี่แอนก็เกิดความรู้สึกดี มีใจให้กับนักศึกษาหนุ่มคนนี้ เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองเริ่มรู้จักกันมากขึ้นเรื่อย ๆ น้องคนนี้มีชื่อว่า ‘นัท’ เป็นเด็กต่างจังหวัดเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ หางานพิเศษทำเพื่อส่งตัวเองเรียน พี่แอนเองก็ไม่กล้าบอกคนอื่นว่ามีตนเองมีใจให้กับนัท เพราะกลัวนัทจะอาย พี่แอนจึงทำได้เพียงบอกให้นัทมาตัดผมฟรีที่ร้าน แต่ห้ามบอกใครว่าได้ตัดผมฟรี นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสเจอกันอยู่บ่อยครั้ง วันหนึ่งนัทมานั่งในร้านทำผมด้วยหน้าตาที่เศร้าหมอง พี่แอนจึงเดินเข้าไปถามว่า “นัทเป็นอะไร?ปกติจะร่าเริงกว่านี้” นัทเล่าเรื่องราวให้ฟังถึงปัญหาที่ตนกำลังพบเจอ ทั้งหางานพิเศษไม่ได้ ไม่มีเงิน แต่ที่ตัดสินใจเล่าให้ฟัง ไม่ได้ต้องการให้พี่แอนมาช่วย เพราะอยากจะหาเงินให้ได้ด้วยตัวเอง เหตุการณ์นี้ทำให้รู้ว่าความจริงแล้ว ทั้งนัทและพี่แอนก็ต่างมีความรู้สึกดี ๆให้กัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้สานความสัมพันธ์เกินกว่าพี่น้อง อยู่มาวันหนึ่งขณะที่พี่แอนกำลังดึงบานประตูเหล็กลงมาเพื่อปิดร้าน ระหว่างนั้นสายตาก็มองออกไปข้างนอก เห็นโต๊ะหินอ่อนที่ตั้งอยู่เยื้อง ๆ กับหน้าร้าน มีคนนั่งอยู่ พี่แอนก้มลงไปมองด้วยความสงสัย ทำให้เห็นว่าคนที่นั่งอยู่คือนัท จึงตะโกนออกไปว่า “นัท นัททำอะไรลูก” นัทหันหน้ามามองที่พี่แอนแล้วตอบกลับว่า “พี่แอน ผมปวดหัว” พี่แอนจึงตัดสินใจพานัทเข้ามานั่งในร้านเพื่อที่จะพูดคุย และยังหายามาให้ พี่แอนบอกกับนัทด้วยความห่วงใยว่า “นัท ถ้าไม่ไหว ไม่ต้องคิดอะไรมาก นอนที่นี่ก็ได้นะ ไม่ต้องกลัว พี่ไม่ทำอะไรหรอก” นัทก็นั่งซึมน้ำตาไหล พูดซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ ว่า “พี่แอน ผมปวดหัว ผมไม่ไหวแล้วพี่ ปวดหัวมากเลยพี่แอน” สักพักพี่แอนตัดสินใจอีกครั้งที่จะจับมือนัทขึ้นไปบนห้อง แล้วบอกว่า “นอนที่นี่แหละ ไม่ต้องกลัว พี่ไม่บอกใครว่านัทอยู่ที่นี่” ข้างบนห้องจะมีทีวีตั้งอยู่ปลายเตียง มีที่นอนประมาณ 5-6 ฟุตตั้งอยู่ นัทนอนลงบนที่นอนด้วยท่าตะแคงและหันหน้าไปทางกำแพง ส่วนพี่แอนเข้าไปอาบน้ำ เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นนัทกำลังนอนอยู่จึงเรียก “นัท นัท นัท นัทโอเคนะ” แต่ก็เงียบไม่มีเสียงตอบกลับ พี่แอนคิดในใจว่าสงสัยนัทจะหลับไปแล้ว พี่แอนจึงล้มตัวนอนลงข้าง ๆ โดยเว้นระยะไว้ให้ห่างจากนัท เพราะกลัวนัทตื่นมาจะตกใจ สถานการณ์ในตอนนั้นก็ต่างคนต่างนอน แต่แล้วจู่ ๆ พี่แอนก็ลืมตาขึ้นมา หันไปเห็นประตูฝั่งระเบียงเปิดอยู่ และเห็นเป็นคนกำลังยืนที่ระเบียง พอสายตาเริ่มปรับโฟกัสได้ก็พยายามมองว่าคนนั้นเป็นใคร แล้วตัดสินใจหันไปมองข้าง ๆ ที่นัทกำลังนอนอยู่ แต่สิ่งที่เห็นคือ นัทหายไป! พี่แอนเบนสายตากลับไปมองที่ระเบียงอีกครั้ง แต่คนที่ยืนอยู่คือนัท! พี่แอนรีบลุกขึ้นไปที่ระเบียงพร้อมกับส่งเสียง “นัท ไปทำอะไรตรงนั้นลูก” นัทก็หันหน้ามาตอบว่า “พี่แอนผมไม่ไหวแล้ว ผมปวดหัว” จากนั้นค่อย ๆ ปีนระเบียง และนั่งลงที่ขอบปูนเพื่อให้ขาห้อยไปด้านล่าง ด้วยความตกใจพี่แอนก็พูดขึ้นว่า “อย่า อย่า อย่า ลงมาเดี๋ยวตก!” นัทหันมาพูดซ้ำอีกว่า “พี่แอน ผมปวดหัว” จังหวะที่พี่แอนกำลังจะเอื้อมมือจับไหล่ สิ่งที่เห็นคือหน้าอีกข้างของนัทเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด แล้วนัทก็พูดขึ้นอีกว่า “พี่แอน ผมปวดหัว” จากนั้นก็ทิ้งตัวลงไปด้านล่างทันที! ด้วยความตกใจ พี่แอนก็ส่งเสียงกรี๊ดดังลั่น “นัท!!!” และสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมา เห็นว่าตัวเองนอนอยู่กับที่ แล้วหันไปมองที่นัทอีกครั้งก็ตกใจขึ้นอีก เพราะนัทนอนตะแคงจ้องตาโตมาที่พี่แอน แล้วพูดขึ้นว่า “พี่แอน ผมรักพี่นะ” พี่แอนตกใจส่งเสียงออกมา “เห้ยย!!” แล้วสะดุ้งตื่นอีกครั้ง กลายเป็นความฝันซ้ำสองรอบ! ลืมตามาอีกทีหันไปมองที่นัท ยังคงนอนนิ่ง ตะแคงไปทางกำแพงท่าเดิม แต่ตัวนัทเต็มไปด้วยเหงื่อ หัวเปียกเต็มไปหมด พี่แอนเองไม่กล้าจับนัท กลัวจะทำให้นัทตกใจตื่น จึงต่างคนต่างนอนไปแบบเดิม รุ่งเช้าพี่แอนลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเตรียมลงไปเปิดร้าน สายตาก็หันไปมองที่นัทอีกครั้ง นัทก็ยังคงนอนอยู่ท่าเดิม พี่แอนคิดว่าจะลงไปใส่บาตรพระ แล้วเปิดร้านตามปกติ และปล่อยให้นัทได้นอนพักไปก่อน ขณะที่กำลังใส่บาตรหน้าร้านตัวเอง หลวงพ่อกำลังจะเดินบิณฑบาตต่อ แต่ก็หยุดชะงักแล้วมองขึ้นไปด้านบนชั้นสอง พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “โยม ยังไงก็อย่าลืมหมั่นทำบุญให้เค้าบ่อย ๆนะ” พี่แอนก็สงสัยแต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ จากนั้นก็เปิดร้านทำความสะอาดกับน้องพนักงานที่ช่วยกันตามปกติ และเปิดทีวีขึ้น จังหวะนั้นก็มีเสียงอ่านข่าวดังขึ้น “ย่านรังสิต เกิดเหตุนักศึกษายิงกันเสียชีวิต จับคนร้ายได้แล้วแต่ดันยิงผิดคน” น้องพนักงานก็บ่นขึ้นว่า “ดูในข่าวดิพี่แอน ทำไมเดี๋ยวนี้คนมันใจร้ายเนอะ ฆ่ากันตายง่ายจังเลย เห้ย! พี่แอน ทำไมรถในข่าวมันเหมือนรถพี่นัทจัง” พี่แอนตอบกลับด้วยความไม่สนใจ “จะบ้าหรอไม่ใช่หรอก” จากนั้นก็ทำความสะอาดร้านต่อ จนกระทั่งมีโทรศัพท์โทรเข้ามาเป็นสายของลูกค้าโทรเข้ามาเพื่อที่จะจองคิวทำผม ไม่นานลูกค้าคนนั้นก็เข้ามาที่ร้าน และบังเอิญว่าเขาเป็นเพื่อนของนัท แล้วก็พูดขึ้นมาว่า “พี่แอนรู้ข่าวยัง นัทถูกยิงตาย” พี่แอนตกใจแต่ก็ไม่เชื่อแล้วพูดว่า “ถูกยิงยังไง จะบ้าหรอ ไม่จริงไม่เชื่อหรอก อย่ามาเล่น ไม่เอา!” เพื่อนของนัทยังคงยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง จนพี่แอนเกิดความโมโห เพราะรู้ว่านัทนอนอยู่ด้านบน พี่แอนพูดขึ้นมาอีกว่า “คือแบบนี้ ที่ไม่เชื่อเพราะนัทมันนอนอยู่ข้างบน ไม่กล้าตั้งแต่แรก บอกเพราะกลัวจะหาว่าอย่างนู้นอย่างนี้กัน เมื่อคืนมันไม่สบาย ก็เลยมาหา” เพื่อนก็ยังยืนยันอีกว่า “พี่แอน ไม่จริงหรอกนัทมันตายแล้วพี่” พี่แอนทนไม่ไหวจึงตัดสินใจพาทุกคนไปพิสูจน์ความจริง “ถ้านัทไม่อยู่เดี๋ยวให้คนละ 500 เลย แต่ถ้ามันนอนอยู่จ่ายมาด้วยคนละ 500 ด้วย” ทั้งสามคนพากันขึ้นไปดูที่ชั้นสอง แง้มประตูให้เปิดออกช้า ๆ ด้วยความมืดพี่แอนก็มองเห็นว่านัทลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง “นั่นไง เห็นไหมมันนั่งอยู่ในห้อง” พอเปิดประตูจนสุดปรากฏว่า ไม่มีใครอยู่ในห้องเลย มีเพียงความเงียบเท่านั้น พี่แอนเริ่มรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ยังไม่เชื่อ “ต้องมีดิ เมื่อกี้ยังเห็นนัทมันนั่งอยู่เลย เมื่อคืนก็อยู่ด้วยกัน” ด้วยความที่ใจไม่ดีแล้ว ลูกค้าหลายคนก็พูดถึงเรื่องนัทกันอย่างต่อเนื่อง พี่แอนจึงรีบปิดร้าน เพื่อจะเดินทางไปดูศพที่ถูกยิง แล้วสุดท้ายภาพที่เห็นก็คือศพนัทจริง ๆ เมื่อรู้ความจริงทำให้พี่แอนหดหู่ใจคอไม่ดี จึงตัดสินใจปิดร้าน 3 วัน เพื่อกลับต่างจังหวัด จากนั้นก็กลับมาเปิดร้านอีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงร้านลูกน้องก็รีบเดินเข้ามาบอกกับพี่แอนว่า “พี่แอน มีคนเขาพูดกันว่า เห็นนัทมาที่หน้าร้านพี่แอนทุกคืนเลย” แต่พี่แอนเองก็ไม่เชื่อ จนอยู่มาวันหนึ่ง พี่แอนกำลังกำลังดึงบานประตูเหล็กลงมาล็อคเพื่อปิดร้านตามปกติ แต่จังหวะที่กำลังจะหันหลังกลับ ก็มีเสียงเคาะประตูเหล็กดังขึ้น ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง! “พี่แอน พี่แอน นัทเอง!” ตัวพี่แอนก็ลืมว่านัทตายแล้ว จึงตอบกลับแบบไม่ทันคิด “อ้าว! นัทเข้ามาก่อน เดี๋ยวพี่เปิดประตูให้” เมื่อกำลังเอื้อมมือไปเปิดกุญแจ ก็นึกขึ้นได้ว่านัทตายแล้ว ด้วยความสงสัยก็ส่งเสียงออกไปอีกครั้งว่า “นัทแน่นะ” แม้ในใจยังคิดสับสนกับตัวเองว่าใครมาแกล้ง หรือว่าเป็นนัทจริง ๆ คิดในใจวนไปวนมา จนมีเสียงดังขึ้น “ไม่มีใครแกล้งหรอก ผมมาลาพี่นะ” ด้วยความสงสารนัท พี่แอนรวบรวมความกล้าตัดสินใจ ไขกุญแจแล้วเปิดประตูบานเหล็กขึ้น สิ่งที่เห็นคือ ความว่างเปล่า มีแต่เสียงหมาหอนค่อย ๆ ดังขึ้นเท่านั้น หลังจากเหตุการณ์คืนนั้นพี่แอนก้ไม่เคยเห็นหรือได้ยินเสียงนัทอีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ป่วยหนักทั้งครอบครัว รักษายังไงก็ไม่หาย ไปรักษาด้วยพิธีกรรมกับแม่หมอ จนหายสนิท แต่หลังจากนั้นก็เจอเรื่องน่าขนลุก!

16 ม.ค. 2024

ป่วยหนักทั้งครอบครัว รักษายังไงก็ไม่หาย ไปรักษาด้วยพิธีกรรมกับแม่หมอ จนหายสนิท แต่หลังจากนั้นก็เจอเรื่องน่าขนลุก!

เรื่องนี้ ‘หมอบี ฑูตสื่อวิญญาณ’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคุมโปง X’ (9 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘อูน ชนิสรา’ , ‘ดีเจแนน’ และ’ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องราวของหญิงชาวต่างชาติ ตัวเธอ ลูกสาวและพี่สาว ทั้ง 3 คนป่วยหนักเป็นโรคที่รักษาไม่หาย และได้ไปรักษาด้วยพิธีกรรมกับแม่หมอคนหนึ่ง ในที่สุดหายเป็นปกติ แต่หลังจากนั้นก็สังเกตเห็นความผิดปกติ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย นี่เป็นเรื่องของหญิงต่างชาติประเทศเพื่อนบ้านเรา สมมุติว่าชื่อ ‘คุณเอ’ คุณเอมาหาหมอบี 3 รอบ สองรอบแรกนั้นคุยเรื่องทั่วไป ไม่มีเรื่องผิดปกติ แต่รอบที่ 3 คุณเอมาพร้อมกับลูกสาวและพี่สาว เธอเล่าให้หมอบีฟังว่า เธอป่วยเป็นมะเร็ง ลูกสาวก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนพี่สาวก็ป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่าง ซึ่งหมอบีเล่าว่าจำไม่ได้แล้ว จำได้แค่ว่าป่วยเป็นอะไรสักอย่างที่แย่มาก ๆ คุณเอยังเล่าอีกว่า ที่ประเทศของเธอ จะมีแม่หมอคนหนึ่ง เก่งมาก หาตัวจับยากมาก คุณเอกับลูกสาวและพี่สาว ก็ไปรักษากับแม่หมอคนนั้น จากนั้นไม่นาน พวกเธอก็หายเป็นปกติ หมอบีฟังก็คิดว่าโอเค แต่ครั้งนี้ที่คุณเอมาหาหมอบีก็เพราะว่า คุณเอกังวลใจเกี่ยวกับสิ่งที่พบหลังจากไปหาแม่หมอคนนี้นั่นก็คือจะมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นกับคนที่ไปรักษา หลังจากรักษาจนหายพอกลับมาก็จะมีอาการทางจิต ทั้งเครียด กังวล หลอน ไม่เป็นตัวของตัวเอง สุดท้ายก็ทนตัวเองไม่ไหว จากนั้นก็ตัดสินใจผูกคอตายทุกคน! คุณเอยังจับสังเกตได้อีกว่า ทุกคนที่ผูกคอตายก็ตายเป็นลำดับ ใครเข้าไปหาก่อนก็จะตายก่อน ไล่ตามลำดับมา และรอบที่กำลังจะมาถึง เป็นรอบของพี่สาว ต่อมาเป็นลูกสาว แล้วก็ถึงตาคุณเอ คุณเอรู้สึกเครียด คิดว่าก็ต้องมาถึงคิวคุณเออย่างแน่นอน จึงอยากกลับไปหาแม่หมอคนนั้นอีกครั้ง ด้วยความที่แม่หมอหาตัวยากมาก ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน คุณเอก็สืบค้นจนรู้ว่า แม่หมอคนนี้มาที่ประเทศไทย คุณเอกับลูกสาวและพี่สาว จึงเดินทางมาตามหาแต่ก็ไม่เจอ คุณเอก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อ มีคนบอกให้คุณเอไปหาพระ ท่านอายุเยอะ แต่ท่านเก่งมาก อยู่ที่จังหวัดลำปาง พวกเธอก็ไปหา แต่พระท่านก็ได้แค่บอกให้พวกเธอไปหาหมอบี ท่านบอกว่าหมอบีช่วยได้ ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาพวกเธอจึงมาหาและเล่าให้หมอบีฟัง พอเล่าเสร็จก็เปิดรูปให้หมอบีดู รูปเยอะมาก ซึ่งรูปนั้นเป็นรูปของผู้เสียชีวิตตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่รูปที่ผูกคอตาย เป็นรูปที่ถ่ายติดคน บางรูปเป็นจาง ๆ บางรูปเป็นเหมือนนั่งกินข้าวด้วยกันเป็นกลุ่มแต่จะมีที่ว่างหนึ่งที่ราวกับมีคนนั่งอยู่ด้วย เป็นแบบนี้ทุกรูป รูปถัดมาเป็นรูปคุณเอกับคุณป้า แต่รูปนี้มีสิ่งผิดปกติ เช่น ถ่ายรูป 2 คน ก็เว้นที่ว่างไว้เหมือนถ่าย 3 คน และรูปที่ถ่ายคนเดียว แต่เว้นที่ว่างเหมือนถ่าย 2 คน เจอแบบนี้ทั้งหมด ทั้งลูกสาวและพี่สาวก็เจอแบบนี้เหมือนกัน แต่ของพี่สาวถึงขั้นไปร้านถ่ายรูป พี่สาวก็เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ไปนั่งถ่ายที่เป็นสตูดิโอ คนที่ถ่ายรูปก็มาจัดเก้าอี้ให้พี่สาวนั่ง ลูกสาวของพี่สาว 1 คน และก็เอาเก้าอี้อีกตัวมาวางข้าง ๆ พี่สาว พี่สาวจึงถามว่า “เอามาตั้งทำไม?” คนที่ถ่ายรูปก็ตอบว่า “ก็มาอีกคน เป็น 3 คน” พอพี่สาวได้ยินแบบนั้น ก็ตัดสินใจยกเลิกการถ่ายรูปไป เรื่องนี้หมอบีสัมผัสไม่ได้ สุดท้ายหมอบีก็พูดให้คุณเอเข้าใจว่า ‘ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ’ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับแต่ละคน ที่รักษาหายนั้น แท้จริงแล้วคือ ‘คนที่ถึงเวลาตาย แต่โกงความตายมา’ สุดท้ายก็ต้องกลับไปที่เดิมอยู่ดี ได้แค่ยื้อเวลา พอฟังที่หมอบีพูด คุณเอก็เข้าใจว่า “หนึ่งคือทุกคนป่วยหนักมาก สองพิธีกรรมของแม่หมอคือการเอาชีวิตของอีกคนที่มีชีวิตอยู่ มาแทนชีวิตให้อีกคนที่กำลังจะตาย มันถูกต้องแล้วหรอ คนเราไม่สามารถเปลี่ยนระบบกรรมได้ จุดเริ่มต้นของความตายคือการเกิดไม่ใช่หรอ แล้วเราควรเสียใจกับความตายหรือเสียใจเรื่องการเกิดมากกว่ากัน”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1