ได้ดีเพราะเซ่นสัมภเวสี! เฮงจริง! ปังจริง! แต่...

อังคารคลุมโปง RECAP

ได้ดีเพราะเซ่นสัมภเวสี! เฮงจริง! ปังจริง! แต่...

06 ต.ค. 2023

            เตรียมตัวรับความหลอน ชวนขนลุกกันได้เลย! เพราะสายจาก ‘คุณจอย’ ได้โทรมาเล่าประสบการณ์หลอนจากต่างแดน จนทำให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถึงกับอ้าปากค้าง! เรื่องราวจะหลอนแค่ไหน ตามไปฟังกันได้กับรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 ตุลาคม 2566) แต่ถ้าอยากจะอ่านเอง ก็ปิดไฟแล้วแท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย!

            เรื่องนี้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงของคุณจอย ย้อนกลับไปก่อนที่จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 คุณจอยมีโอกาสได้ไปทำงานร้องเพลงที่ประเทศมาเลเซีย ส่วนตัวคุณจอยนั้นไม่ได้เป็นสายมู แต่เห็นเพื่อนเริ่มเฮง ๆ ปัง ๆ ในขณะที่ตัวเองกลับไม่มียอด (รายได้) เหมือนคนอื่น ๆ เลย จึงเกิดความสงสัยว่าเขาทำยังไงกัน

            วันหนึ่ง มีเพื่อนที่ร้องเพลงด้วยกันมาชวนว่า “วันพระใหญ่เนี่ย เราไปมูกันนะ เดี๋ยวพาไปไหว้อากงที่ตั้งอยู่หลังร้าน”  ของที่ใช้ไหว้คือ ‘ไก่ทั้งตัวกับเบียร์ดำ’ ซึ่งว่ากันว่าเป็นของที่อากงชอบ ในทุกวันพระเพื่อน ๆ ก็จะเตรียมของเพื่อไหว้อากงเป็นประจำ

            คุณจอยมีเพื่อนที่นอนในห้องพักเดียวกัน 3 คน มีเพื่อนคนนึงที่จะลงไปทานข้าวด้วยกัน ซึ่งก็เป็นประจำทุกครั้งหลังทานข้าวเสร็จ เพื่อนจะขอสั่งกลับอีกหนึ่งกล่อง ในตอนนั้นคุณจอยคิดว่าเพื่อนคงจะเก็บเอาไว้ทานทีหลัง แต่ไม่ใช่ สิ่งที่เห็นคือ เพื่อนคนนั้นกลับไปร้านที่ทำงานร้องเพลง เพื่อไปเอาธูปมาหนึ่งดอก แล้วหันมาพูดกับคุณจอยว่า “มานี่ เดี๋ยวกูพาไปทำอะไร มึงอยากปังใช่ไหม” จากนั้นเขาก็พาเดินไปที่หลังร้านแล้วจุดธูปปักไปที่กล่องข้าว แต่สิ่งที่กำลังไหว้ไม่ใช่อากงอย่างที่คุณจอยคิดในตอนแรก กลายเป็นการไหว้สัมภเวสีแทน! คุณจอยเองก็ไม่ได้คิดอะไร คิดเพียงว่าลองดูไม่เสียหาย เมื่อเตรียมทุกอย่างครบแล้ว เพื่อนคุณจอยก็เริ่มพาทำพิธีไหว้ “มึงอธิฐานนะว่า วันนี้ขอให้ได้ยอดเยอะ ๆ นะ ถ้าได้แล้วเดี๋ยวจะได้กินแบบนี้ทุกวัน”

            เพื่อนคุณจอยเล่าว่า เขาทำแบบนี้มาโดยตลอด และตั้งแต่เริ่มไหว้ชีวิตก็ดี ได้ยอดเยอะขึ้นมาโดยตลอด ตัวคุณจอยก็คิดว่าลองดูไม่เสียหาย ซึ่งในการไหว้ก็จะมีข้อห้ามกันว่า ‘ห้ามนำหมูมาไหว้โดยเด็ดขาด’ วันแรกที่คุณจอยไหว้ ปรากฎว่าได้ยอดขึ้นจริง ๆ ตอนนั้นคุณจอยเองก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะปกติต้องทำงานเหนื่อยมาก ๆ กว่าจะได้แต่ละบาท แต่หลังจากที่ไปไหว้สัมภเวสี ในคืนนั้นก็ทำงานโดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยและยังมีคนให้พวงมาลัยให้ดอกไม้มากกว่าทุก ๆ คืนด้วย ทำให้หลังจากนั้น เพื่อนและคุณจอยก็พากันไหว้แบบนี้ทุกวันก่อนเริ่มงาน

            ไม่นาน ก็มีเหตุที่ทำให้เพื่อนคนสนิทคนนั้นต้องเลิกทำงาน และกลับบ้านเกิดไป ทำให้คุณจอยต้องไปไหว้เพียงคนเดียว แม้ยอดรายได้ของคุณจอยจะขึ้น ๆ ลง ๆ ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่จะได้ยอดดีเป็นส่วนใหญ่

            วันหนึ่ง มีคนเข้ามาทำงานใหม่ ให้นามสมมุตว่า ‘พี่ส้ม’ และเริ่มสนิทสนมกับคุณจอย คุณจอยจึงตัดสินใจแนะนำว่าตัวคุณจอยทำอะไรเพื่อให้มียอดดี ในตอนแรกพี่ส้มก็ไม่รู้ว่าคุณจอยทำอะไร คิดเพียงว่าไหว้อากงตามปกติที่ทุกคนไหว้กัน แต่พอพี่ส้มรู้ว่าสิ่งที่คุณจอยทำคือการซื้อข้าวไปวางไว้ให้สัมภเวสีแล้วอธิฐาน พี่ส้มก็รีบตอบกลับคุณจอยทันทีว่า “พี่ไม่เอา พี่ไม่ทำ” ตัวคุณจอยก็ยืนยันกลับไปว่าการที่ทำแบบนี้มันได้ผลจริง เพราะคุณจอยสัมผัสเองกลับตัวมาแล้ว แต่พี่ส้มก็บอกว่า “สัมภเวสีนะจอย มันน่ากลัวไหม แล้วถ้าเกิดเราทำอะไรไม่ถูกใจเขา หรือถ้าเขาอยากได้อะไรที่มากกว่านั้น เราจะทำยังไง” หลังจากประโยคนี้จบลง คุณจอยก็เริ่มคิดและเกิดความสับสนขึ้นกับตัวเอง เพราะสิ่งที่ได้รับกลับมาก็เป็นสิ่งที่คุณจอยต้องการจริง ๆ และเพื่อนที่พามาไหว้ก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นที่ไม่ดีกับเขาเลย พี่ส้มที่เป็นสายธรรมมะ ชอบเข้าวัดทำบุญ เคยบวชเป็นพราหมณ์มาก่อน จึงแนะนำให้คุณจอยอธิษฐานว่านี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นำอาหารมาไหว้ คุณจอยจึงตัดสินใจที่จะเชื่อและอธิฐานในใจว่า “ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะให้แล้วนะ ต่อไปถ้าจะช่วยเหลือกันก็ช่วย แต่ถ้าไม่ได้กินแล้ว แล้วจะไม่ช่วยเหลือก็ไม่เป็นไร”

            จนเวลาผ่านไปได้ประมาณ 3 วัน เริ่มมีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้น คุณจอยรู้สึกว่าได้ยินเสียงเท้า เดินตามหลังขณะที่กำลังก้าวขึ้นบันได แต่เมื่อหยุดและหันหลังกลับไปดูสิ่งที่เห็นคือความว่างเปล่า และเสียงเท้าที่ได้ยินนั้นก็เงียบหายไป วันถัดมาคุณจอยก็ได้ยินเสียงเท้าตามหลังแบบเดิมขึ้นซ้ำอีก แต่ในครั้งนี้เสียงเท้านั้นเริ่มดังขึ้นใกล้ตัวคุณจอยเข้ามาทุกที คุณจอยตัดสินใจหันหลังกลับไปดู แต่ก็ไม่เจออะไรและเสียงก็หายเงียบไปเช่นเดิม

            คุณจอยเริ่มรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเดิมทีคุณจอยได้ยินเสียงแปลก ๆ อยู่บ่อยครั้ง และสิ่งที่เจอเป็นเพียงแค่เสียงไม่ได้มีอะไรน่ากลัว ต่อมาคืนหนึ่งคุณจอยขึ้นมานอนที่ห้องคนเดียว ตัวคุณจอยเองคิดว่าเพื่อน ๆ คงไปสังสรรค์กันและช่วงเช้าจะกลับเข้ามาที่ห้องตามปกติ

            บรรยากาศในห้องนอนของคุณจอยเป็นห้องที่เมื่อปิดไฟและปิดประตู ภายในห้องจะมืดสนิท เพราะในห้องไม่มีหน้าต่าง มีเพียงแสงส่องผ่านช่องเล็ก ๆ จากประตูเข้ามาในห้องเพียงเท่านั้น ในขณะที่คุณจอยกำลังล้มตัวนอนและหลับตา จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนอยู่บนห้อง คุณจอยลืมตาขึ้นมาดู ในใจคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนร่วมห้องกลับมาแล้ว  แต่พอลืมตาขึ้นมา ทุกอย่างมืดสนิท และเสียงนั้นก็หายไป! คุณจอยหลับตาอีกครั้งเพื่อที่จะนอนต่อ แต่เมื่อหลับตาได้ไม่นาน ก็มีเสียงลมหายใจเบา ๆ เป่ามาที่หูข้างซ้าย คุณจอยตัดสินใจที่จะลืมตาขึ้นมาดูทันที ปรากฏว่าคุณจอยไม่สามารถขยับตัวได้เลย! ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนโดนผีอำ คุณจอยพยายามกรอกตาไปมองยังฝั่งที่ได้ยินเสียง ภาพที่เห็นจะเบลอ ๆ เนื่องจากในห้องมืดมีเพียงแสงไฟสลัว เห็นเป็นผู้หญิงผมประบ่า ค่อย ๆ อ้าปากขึ้นเรื่อย ๆ จนปากเปิดกว้างไปถึงจมูก ทำให้เห็นเพียงตากับปากเท่านั้น! ทำท่าทางเหมือนตุ๊กตาล้มลุก โดยค่อย ๆ เอนตัวล้มมาที่ตัวคุณจอยที่นอนอยู่บนเตียง และค่อย ๆ เอนตัวออก และโน้มตัวล้มมาที่คุณจอย และเอนตัวออกอีกครั้ง ล้ม ๆ ลุก ๆ พร้อมกับเสียงลมหายใจเบา ๆ อยู่ได้สักพักนึง เสียงลมหายใจนั้นก็กลายเป็นเสียงกรีดร้องแหลมปี๊ดขึ้นมา!!!  ตอนนั้นคุณจอยทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากนอนท่อนบทสวดมนต์ภายในใจและร้องไห้ ตัวแข็งทื่อ แต่ผู้หญิงผมประบ่าก็ยังไม่หยุดง่าย ๆ ยังคงล้มลุกและส่งเสียงกรีดร้องดังขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มมีน้ำอะไรสักอย่างไหลออกมาจากปากกว้าง ๆ ของผู้หญิงคนนั้น โดยคุณจอยสัมผัสได้เลยว่าขณะที่ผู้หญิงคนนั้นโน้มตัวลงมา น้ำจากปากก็ไหลมาโดนตัวคุณจอยจนเนื้อตัวและเสื้อผ้าเปียกไปหมด!

            เวลาผ่านไป ท่าทีของผู้หญิงคนนั้นยังคงทำพฤติกรรมล้มลุก เดิม ๆ ซ้ำ ๆ ใส่คุณจอยโดยไม่เกรงกลัวบทสวดมนต์อะไรทั้งสิ้น คุณจอยเริ่มรู้สึกไม่ไหว เพราะสวดมนต์ก็ช่วยไม่ได้ ในตอนนั้นเหลือเพียงความคิดเดียวคือการนึกถึงบุพการี “พ่อจ๋า แม่จ๋าช่วยด้วย” สักพักคุณจอยรู้สึกหลุดพ้นเริ่มขยับตัวได้ และร่างผู้หญิงคนนั้นก็หายไปทันที คุณจอยรีบลุกขึ้นไปเปิดไฟ สิ่งที่เห็นเหลือเพียงน้ำอะไรไม่รู้เปียกเต็มตัวคุณจอยไปหมด! ในความคิดคุณจอยคิดว่าอาจจะเป็นเหงื่อจากตัวคุณจอยเอง แต่มันก็เปียกเพียงแค่ฝั่งซ้าย ฝั่งที่ร่างผู้หญิงคนนั้นอยู่เพียงฝั่งเดียว หลังจากนั้นคุณจอยเปิดประตูออกไปและไปนั่งบริเวณห้องครัวด้านนอก ตัวคุณจอยเองก็ไม่รู้ทำไมต้องนั่งอยู่เฉย ๆที่ตรงนั้น รู้เพียงว่านอนไม่ได้และทำอะไรไม่ได้เลย

สักพักคุณจอยตัดสินใจเดินไปหาพี่ส้ม และก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง เมื่อเล่าจบพี่ส้มก็พูดขึ้นมาทันที “พี่ว่าแล้ว เพราะเราไม่ได้ให้เขาหรือเปล่า” ตัวคุณจอยก็เพิ่งเอะใจคิดได้ว่า คืนที่บอกว่าจะเลิกให้ข้าวให้น้ำ ทางสัมภเวสีเขารับรู้และพอใจหรือไม่พอใจแค่ไหนก็ไม่รู้ และด้วยความที่คุณจอยคอยเลี้ยงให้ข้าวให้น้ำเป็นเวลานาน จนเหลือเวลาทำงานอีกเพียงสองอาทิตย์สุดท้ายเท่านั้นก่อนที่จะต้องเดินทางกลับบ้าน แต่จู่ ๆ ก็มาหยุดให้ข้าวให้น้ำทำให้เจอกับเหตุการณ์หลอนในคืนนั้นเกิดขึ้น

            หลังจากนั้น คุณจอยตัดสินใจไปไหว้ขออากงหลังร้าน เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยดูแลปกป้องดูแลคนทั้งตึก และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนในร้านก็นับถือและไหว้ ทำให้คุณจอยจากคนที่ไม่เคยไปไหว้ ก็ไหว้ ขออากงทุกวัน โดยเฉพาะวันพระใหญ่ยิ่งห้ามลืมไหว้เด็ดขาด โดยคุณจอยจะไหว้ขอให้ช่วย อย่าให้มีสิ่งไม่ดีมาถึงตัวอีกเลย หลังจากหันมาไหว้อากงก็ยังได้ยินเสียงคนเดินตาม หรือเสียงของตกหล่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แรง ๆ แบบคืนนั้นอีกเลย...

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจาก ณัฐผี 'ทายาทสืบสยอง' I อังคารคลุมโปง X คืนเผาผี Ghost Night [ 29 ต.ค. 2567]

07 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจาก ณัฐผี 'ทายาทสืบสยอง' I อังคารคลุมโปง X คืนเผาผี Ghost Night [ 29 ต.ค. 2567]

กลับมาอีกครั้งกับ ‘ณัฐผี’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X (29 ต.ค. 2567) กับเรื่องเล่า ‘ทายาทสืบสยอง’ ที่มีทั้งความหลอน ความตื่นเต้น และเศร้าในเรื่องเดียวกัน มาดูกันว่า ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟังแล้วจะเป็นอย่างไร ไปอ่านพร้อมกันเลย! คุณณัฐผีบอกว่า เจ้าของเรื่องนี้คือ ‘คุณมาตาลดา’ เธอเล่าว่าเรื่องนี้ผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว คุณมาตาลดาเป็นคนจังหวัดราชบุรี สอบติดเข้าเรียนมหาวิทยลัยแห่งหนึ่งในภาคอีสาน จึงต้องย้ายจากราชบุรีไปอยู่ภาคอีสาน เมื่อเข้าไปเรียนก็ได้เจอเพื่อนที่มาจากหลากหลายที่ แต่จะมีอยู่คนหนึ่งที่ได้เรียนอยู่ห้องเดียวกัน คณะเดียวกัน พักอยู่หอเดียวกัน ทำให้สนิทกัน เพื่อนของคุณมาตาลดาเป็นคนภาคอีสาน ให้นามสมมุติว่า ‘คุณฝน’ คุณฝนเป็นคนสวยระดับดาวมหาลัย ขาว หุ่นดี แต่งตัวดี ทั้งคู่ใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยด้วยกันเรื่อยมา จนกระทั่งปิดเทอม คุณมาตาลดาไม่อยากกลับบ้านที่ราชบุรี แต่อยากไปเที่ยวบ้านเพื่อนในแถบภาคอีสานมากกว่า และเนื่องจากคุณมาตาลดาสนิทกับคุณฝนมาก จึงตกลงว่าจะไปเที่ยวบ้านคุณฝน คุณมาตาลดาไปเที่ยวบ้านคุณฝนทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งแรกและครั้งที่สองก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ครั้งที่สามเริ่มมีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้น ครั้งนี้ในหมู่บ้านของคุณฝนได้จัดงานทำบุญ คนในหมู่บ้านมารวมตัวกัน คุณมาตาลดาจึงถามคุณฝนว่า “จัดงานอะไร” คุณฝนตอบว่า “เหมือนจะเป็นงานขับไล่สิ่งไม่ดีในหมู่บ้าน” คุณฝนอธิบายต่อว่า มีผู้ชายตายในหมู่บ้านอย่างไม่มีสาเหตุประมาณ 5-6 คน เชื่อกันว่าเป็นผีแม่ม้าย จึงให้ผู้ชายทาสีเล็บเป็นสีแดงและทาปากแดงกัน ในวันแรกที่ไปถึงเป็นช่วงเย็นโพล้เพล้ มีผู้ใหญ่บ้านประกาศเสียงตามสายว่า “พวกผู้หญิง ลูกเด็กเล็กแดง ผู้หญิงท้องเข้าบ้านห้ามออกมาตอนกลางคืน ส่วนผู้ชายที่จะมาช่วยงานให้ออกมา” คุณมาตาลดาก็เกิดความสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็เชื่อฟังผู้ใหญ่บ้านจึงไม่ออกไปไหน คืนแรกไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันที่สองคุณมาตาลดาเริ่มสบายใจจึงไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนอย่างสนุกสนานเมื่อตกเย็น ผู้ใหญ่บ้านก็ประกาศเสียงตามสายเหมือนเดิม คุณมาตาลดาอธิบายเพิ่มเติมว่าบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัดนั้น เป็นบ้านไม้สองชั้น ข้างล่างมีใต้ถุนสูง ห้องน้ำแยกออกจากตัวบ้าน ช่วงกลางวันคุณมาตาลดากินเยอะจนแน่นท้อง ตกกลางคืนก็รู้สึกปวดท้องจึงชวนคุณฝนไปเข้าห้องน้ำด้วยกัน พร้อมกับหยิบไฟฉายไปหนึ่งกระบอก ทั้งคู่พากันไปเข้าห้องน้ำ ด้วยความที่ปวดท้องหนักจึงใช้เวลาในการเข้าห้องน้ำนานพอสมควร จนคุณฝนบอกว่า “ทำไมนานจัง รอนานแล้วเนี่ย” คุณมาตาลดาก็ตอบกลับไปว่า “ถ้ารีบขึ้นไปก่อนเลย ทิ้งไฟฉายไว้” คุณฝนจึงขึ้นกลับเข้าบ้านแล้วปล่อยให้คุณมาตาลดาทำธุระในห้องน้ำคนเดียว เมื่อทำธุระในห้องน้ำเสร็จก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา ก้มเก็บกระบอกไฟฉายที่คุณฝนวางไว้ให้ โดยก่อนทางขึ้นบันไดบ้านจะมีต้นมะม่วงใหญ่อยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นลิงตัวหนึ่ง เป็นลิงเผือก สีขาว ตัวเท่าคนกำลังปีนอยู่ต้นมะม่วงอยู่! คุณมาตาลดาพยายามมองให้ชัด ก็ยิ่งมั่นใจว่านั่นคือลิงแน่นอน จากนั้นก็รีบวิ่งขึ้นบ้านไปเล่าเหตุการณ์ให้คุณฝนฟัง จนคุณอาได้ยิน (บ้านของคุณฝนมี คุณยาย คุณอา และคุณฝนที่อาศัยอยู่) คุณอาถามว่าเกิดอะไรขึ้น คุณมาตาลดาก็ได้เล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เจอให้ฟัง แต่คุณอากลับรู้สึกเรียบเฉยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คุณอาบอกว่าถ้าจะไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนให้มาบอกอาด้วย อาจะพาไปเอง คุณมาตาลดาบอกว่าคืนนั้นตนไม่กล้านอน เพราะกลัวมาก แต่สุดท้ายก็หลับไปเพราะความเพลีย วันสุดท้ายก่อนกลับเวลาโพล้เพล้เหมือนเดิม ผู้ใหญ่ประกาศเสียงตามสายเหมือนเดิม ในคืนนั้นเวลาประมาณ 2-3 ทุ่ม คุณมาตาลดาก็ได้ยินเสียงคนเดินแห่ขบวนเคาะมาตลอดทาง แล้วมาหยุดที่บ้านของคุณฝนที่คุณมาตาลดานอนอยู่ คุณอาก็เปิดหน้าต่างออกมาถามพูดผู้ใหญ่บ้านว่า “มีอะไรกันผู้ใหญ่” ผู้ใหญ่บ้านก็ตะโกนกลับมาว่า “ที่บ้านนี้มีปอบ ปอบอยู่ที่นี่!” จากนั้นผู้ใหญ่บ้านก็ขอให้คนที่อยู่ในบ้านหลังนี้ลงมาให้หมด ทางฝั่งที่มากับผู้ใหญ่บ้านจะมีหมอธรรมหรือหมอไสยศาสตร์ประมาณ 6 คน พวกเขากระโดดขึ้นบ้านไล่จับปอบ ส่วนทางฝั่งคุณมาตาลดาทุกคนในบ้านลงมาจากบ้านหมดยกเว้นคุณยายของคุณฝนที่ไม่ลงมา จากนั้นหมอธรรมก็ตะโกนบอกว่า “มันมีทั้งหมด14 ตัว” สิ่งที่คุณมาตาลดาเห็นคือมีลิงตัวเล็ก ๆ ปีนเกาะตามผนังบ้าน แล้วก็ช่วยกันจับได้แค่ 6 ตัว หมอธรรมจึงเขาไปที่ห้องของคุณยาย คุณยายพูดกลับมาว่า “มึงออกไป มึงอย่ามายุ่งกับกู!” หมอธรรมถามกลับว่า “มึงเป็นใคร” คุณยายพูดกลับมาว่า “กูไง อีสอง” สองคือชื่อของคุณยาย คุณยายได้แต่พูดซ้ำๆ ว่า “มึงออกไป มึงอย่ามายุ่งกับกู” จนสุดท้ายหมอธรรมได้ทำพิธีบริเวณที่ยายสองนอนอยู่ ยายสองก็กีดร้องเรียกชื่อลูกนั้นก็คือคุณอา “ดำช่วยแม่ด้วย ดำช่วยแม่ด้วย” จนเสียงเงียบไป หมอธรรมบอกให้นำตัวคุณยายไปที่ลานกลางหมู่บ้านที่กำลังทำพิธีกัน จากนั้นหมอธรรมก็ได้ผูกสายสิญจน์ตรงข้อมือและข้อเท้าของคุณยายเพื่อที่จะนำคุณยายไปที่ลานทำพิธี คุณมาตาลดากลัวมากและงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในตอนนั้น ทุกคนก็ไปที่ลานกลางพิธี แต่คุณมาตาลดาบอกว่า “หนูอยู่ไม่ได้แล้ว” และขอร้องให้ผู้ใหญ่บ้านพากลับหอพักที่มหาวิทยาลัย หลังจากนั้นผ่านไปไม่กี่วัน ที่บ้านของคุณฝนก็โทรมาหาบอกว่าคุณยายเสียแล้ว คุณฝนได้กลับบ้านไปงานศพคุณยายจนกลับมาหอพัก สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่คุณฝนกลับมาคือ คุณฝนซึมเก็บตัวเงียบไม่พูดคุยกับใคร ที่แปลกคือตอนเช้านอน กลางคืนตื่นและจะตื่นเวลาประมาณเที่ยงคืน ในตอนเช้าคุณมาตาลดาจะเอาข้าวมาให้ คุณฝนก็ไม่กิน แต่จะออกมากินตอนประมาณเที่ยงคืน หลังจากนั้นคุณฝนก็หยุดเรียนไปหนึ่งเดือน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ อาการเริ่มแปลกขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ตื่นมาตอนเที่ยงคืนแล้วก็ลุกเดินรอบห้อง คุยภาษาแปลก ๆ ร้องบ่นแสบท้องปวดท้อง แล้วพูดว่าหิว คุณมาตาลดาจึงบอกว่า “ไปกินสิ อะไรอยู่ในตู้เย็นก็ไปกินสิ” คุณฝนก็เดินไปที่ตู้เย็น แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ เมื่อคุณมาตาลดาเปิดตู้เย็นกลับเจอแต่ของสดของดิบอยู่ในตู้เย็น! คุณมาตาลดาแปลกใจ เพราะคุณฝนไม่ได้มีพฤติกรรมการกินแบบนี้ แต่พอกลับมาจากงานศพเธอก็ได้เปลี่ยนไป จนมีอยู่วันหนึ่งคุณฝนมีอาการปวดท้องหนัก กรีดร้องโวยวายจนคุณมาตาลดาต้องโทรบอกอาจารย์ ให้ช่วยพาคุณฝนไปหาหมอ อาจารย์จึงรีบออกมาพาฝนไปหาหมอ สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่จะพาคุณฝนขึ้นรถคืออาจารย์ได้เปิดประตูห้องเข้าไป คุณฝนบอกว่า “มึงเป็นใคร มึงอย่ามายุ่งกับกู ออกไป!!” จากนั้นไม่ว่าจะเป็นใครที่เข้ามายุ่งกับคุณฝน ก็จะมีอาการเกรี้ยวกราดทันที แต่ถ้าเป็นคุณมาตาลดาคุณฝนกลับยอม เมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลถามคุณฝนถึงอาการแต่คุณฝนไม่แม้แต่จะตอบ กลับเป็นคุณมาตาลดาที่บอกอาการแปลก ๆ ของคุณฝนแทน พยาบาลยังคงยืนยันที่จะเอาคำตอบจากคุณฝน จึงเงียบและนิ่งไปพร้อมกับพูดออกมาว่า “คุณเป็นใคร” คุณฝนก็ตอบ “กูเป็นปอบ!!!” ทุกคนตกใจ เดินถอยออกมาห่าง ๆ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ สักพักก็ได้เข้าไปตรวจ แต่ผลตรวจที่เป็นปกติทุกอย่างหมอจึงให้กลับบ้านได้ อาจารย์จึงมาถามคุณมาตาลดาว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร คุณมาตาลดาก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้อาจารย์ฟัง อาจารย์บอกว่าที่นี่เขาเชื่อเรื่องปอบนะ อาจารย์จึงถอดพระให้กับคุณฝน หลังจากนั้นก็นั่งรถกลับบ้าน คุณฝนถามคุณมาตาลดาว่า “ฉันเป็นอะไร หิวจังเลย” คุณมาตาลดาจึงบอกให้อาจารย์แวะซื้อข้าวต้มให้คุณฝนกินตรงนั้น อาการคุณฝนปกติเหมือนคนทั่วไปแต่มีความเหนื่อยล้า พอมาถึงห้อง อาจารย์บอกว่าให้คล้องพระไว้ จนตกกลางคืนคุณฝนจะอาบน้ำจึงต้องถอดพระออก แล้วก็พูดว่า “วันนี้ร้อนจังเลย เธอนอนบนเตียงนะ ฉันนอนตรงพื้น” พอถึงเที่ยงคืน คุณฝนกลับมามีอาการแปลก ๆ อีกครั้งคุณฝนบอกว่า “หิวจังเลย” คุณมาตาลดาจึงบอกว่าจะพาไปหาอะไรกิน แต่คุณฝนยืนยันที่จะไปเอง จากนั้นคุณฝนก็หายไปสักพักใหญ่ จนคุณมาตาลดาต้องเดินไปดูด้วยตัวเอง สิ่งที่เห็นคือ คุณฝนกำลังต้มและกำลังกินไส้อยู่! คุณมาตาลตาบอกกับคุณฝนไปว่า “ฝนอย่ากินแบบนี้ได้ไหม มันเหม็นคาว มันไม่ดี” คุณฝนก็หันกลับมาตอบว่า “ถ้ากูไม่กินมัน มันสั่งให้กูกินมึง!” คุณมาตาลดาอยู่ไม่ไหวอีกต่อไป แต่อีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงเพื่อนจึงตัดสินใจโทรหาที่บ้านคุณฝนให้มารับพอญาติมารับ คุณฝนก็ได้กลับไปอยู่ที่บ้าน คุณมาตาลดาก็พักอยู่ที่หอ หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ที่บ้านของคุณฝนโทรมาบอกว่า “มาดูใจฝนมันหน่อย มันจะไม่ไหวแล้ว” ด้วยความเป็นเพื่อนคุณมาตาลดาก็เลยไปที่บ้านของฝน พอไปถึงคุณมาตาลดาเห็นคุณฝนซูบผอมเนื้อติดกระดูก เสื้อผ้าไม่ใส่ นอนหมดสภาพ จึงเดินเข้าไปจับมือคุณฝนและพูดคุยกัน คุณฝนพูดว่า “มาตาลดา.. ในระหว่างที่อยู่ด้วยกัน มันสั่งให้กูกินมึงทุกวันเลย แต่กูเลือกที่จะไปกินของดิบของสด” คุณฝนพยายามจะยื้อสิ่งที่อยู่ในตัว เหมือนมีอะไรอยู่ในตัวเขา และมีเสียงในหูบอกว่า “มึงกินมันสิ มึงกินมันสิ ” หลังจากนั้นคุณฝนก็เสียชีวิตลงในวันนั้น...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเเชมพู 'พี่พยาบาล' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 19 พ.ย. 2567 ]

23 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเเชมพู 'พี่พยาบาล' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 19 พ.ย. 2567 ]

ขนลุกกับเรื่องราวสุดหลอนในโรงพยาบาล โดย ‘คุณแชมพู’ ที่ได้นำเรื่อง ‘พี่พยาบาล’ มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 พฤศจิกายน 2567) ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ขนลุกซู่! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ตามไปอ่านกันเลย! ‘คุณแชมพู’ ได้เล่าว่าตนเป็นพนักงานอยู่ที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ ซึ่งในตึกที่คุณแชมพูทำงานอยู่มีการก่อสร้าง ทำให้ต้องใช้ทางออกทางเดียว และอาชีพนี้ก็ทำให้คุณแชมพูต้องกลับบ้านช่วงเย็น - ค่ำทุกวัน ต้องผ่านจุด ๆ นี้ตลอด โดยส่วนตัวคุณแชมพูเป็นคนที่กลัวผีมาก แต่ใจสู้ คิดว่าคงไม่มีอะไร จึงใช้ชีวิตตามปกติต่อไป อยู่มาวันหนึ่ง คุณแชมพูมีโอกาสได้เจอกับ ‘พี่พยาบาล’ คนหนึ่งที่อายุประมาณ 50 ปี ทุกครั้งที่เจอ ก็จะสวัสดีทักทายตลอด ซึ่งครั้งสองครั้งแรกที่สวัสดี พี่พยาบาลคนนั้นไม่เห็นคุณแชมพู และไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมา จนคุณแชมพูเริ่มเอะใจว่า ‘เขาจะไม่เห็นเราจริง ๆ หรอ?’ ด้วยความที่ทางเดินไม่ได้กว้างมากนัก ออกไปทางแคบด้วยซ้ำ แถมพื้นที่ตรงนั้นมีแค่พวกเขาสองคน โอกาสที่พี่พยาบาลคนนั้นจะไม่เห็นคุณแชมพูมีน้อย เพราะมันใกล้กันมาก แต่คุณแชมพูก็ไม่ได้ติดใจอะไร จนมาครั้งที่สาม - ครั้งที่สี่ คุณแชมพูก็เจออีก ในช่วงเวลาเดิมประมาณ 6 โมงครึ่ง เป็นช่วงที่ฟ้าจะมืดก็ไม่มืด จะสว่างก็ไม่สว่าง ตะวันโพล้เพล้ เมื่อเดินไปเจอพี่พยาบาล ก็หันไปสวัสดี แต่พี่พยาบาลไม่หันมอง จนคุณแชมพูคิดว่าตนนั้นไปทำผิดอะไรมาหรือเปล่า อาจทำให้เขาไม่พอใจ และไม่อยากคุยกับตน แต่สายตาของพี่พยาบาลคนนี้ที่คุณแชมพูเห็น เป็นสายตาที่ว่างเปล่า เหมือนมองไม่เห็นอะไรที่อยู่รอบตัวเลย ซึ่งในครั้งสองครั้งแรกคุณแชมพูก็ยังไม่ทันได้สังเกต แต่พอหลายครั้งเริ่มรู้สึกว่าแปลก ๆ พี่พยาบาลคนนั้น ไม่ได้มีสีหน้าตึงเครียด แต่เป็นสีหน้าที่เรียบเฉย ขาวซีด สายตาของเขามองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่ได้มีการหันกลับมามองตัวคุณแชมพูเลย ตอนนั้นเอง คุณแชมพูเริ่มเอะใจขำ ๆ ว่า ‘ใช่คนหรือเปล่านะ’ แต่ก็คิดว่าไม่ใช่ จึงได้ไปปรึกษากับพี่ในห้องที่ทำงานมานานแล้ว คุณแชมพูเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับเรื่องที่เจอ และพูดทิ้งท้ายตลก ๆ ว่า ‘เขาจะใช่คนหรือเปล่านะ’ พี่คนนั้นก็ได้เงียบไป และให้คุณแชมพูบอกถึงรูปพรรณสัณฐานของพี่พยาบาลคนนี้แทน คุณแชมพูได้ตอบไปว่า “เป็นพี่พยาบาลผมสั้นแบบลอนประบ่า ส่วนสูงกลาง ๆ ส่วนสูงประมาณนี้ สีผิวประมาณนี้ ใส่เสื้อพยาบาลที่ค่อนข้างขาวไปทางสีขาวซีด” พี่ในห้องคนนั้นก็ถามเพิ่มเติม และก็ได้เงียบไป ตอบกลับแค่ว่า “ไม่มีอะไรหรอก คิดมากไป ลองไปทำบุญดูจะได้สบายใจ” คุณแชมพูเล่าต่อว่า มีหลายเหตุการณ์ที่พอมีคนรู้ว่าคุณแชมพูเจอแบบนี้ เขาก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘คิดมาก ไม่มีอะไรหรอก’ แต่คุณแชมพูรู้สึกว่าเหมือนพวกเขาจะรู้อะไรบางอย่าง แต่ไม่อยากบอกให้คุณแชมพูรู้ เพราะกลัวคุณแชมพูจะคิดมากและรู้สึกกลัว จนอยู่มาวันหนึ่ง เพื่อนสนิทที่อยู่แถวบ้านคุณแชมพู ซึ่งแม่ของเพื่อนคนนี้เป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกัน โดยที่เพื่อนสนิท ก็ให้คุณแชมพูได้พูดคุยสอบถามกับแม่ของเขา ด้วยความที่รูปพรรณสัณฐานไม่ได้สังเกตยากมาก แม่ของเพื่อนก็เลยหยิบรูปมาให้คุณแชมพูดูและถามว่า “ใช่คนนี้หรือเปล่า” พอคุณแชมพูเห็นรูป ‘มันใช่เลย คือมันใช่!’ นี่คือสิ่งที่คุณแชมพูคิดเป็นอย่างแรกหลังจากที่เห็นรูป และสิ่งที่รู้ต่อมาคือ ‘เขาไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว’ เพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ พอคุณแชมพูได้ยินก็ขนลุกซู่ และคิดในใจว่า ‘คงไม่ใช่หรอก หรืออาจจะหน้าคล้าย’ นอกจากนี้ เมื่อสอบถามคนอื่น ๆ ก็ได้ความว่าบุคลากรที่เข้ามาใหม่ก็มักจะเห็นแบบเดียวกัน ส่วนคนเก่า ๆ ก็ชินแล้ว เหมือนจิตของพี่พยาบาลคนนั้นยังอยากทำงานอยู่ และยังผูกพันกับที่ที่เขาเคยอยู่ และหลังจากที่คุณแชมพูได้รู้ความจริงก็ไม่เคยเจอพี่พยาบาลคนนั้นอีกเลย...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

หนุ่มไรเดอร์วิ่งงานกะดึก ได้ออเดอร์ส่งอาหารแต่ลูกค้าขอให้ซื้อธูปไปด้วย พอถึงหมุดหมายก็พบว่าเป็นบ้านร้าง แถมลูกค้ายังบอกอีกว่า “ถ้าส่งเสร็จแล้วให้ขับรถออกไป อย่าหันมามองเด็ดขาด” แต่ด้วยความห้าว! จึงหันกลับไปมอง ...เท่านั้นแหล่ะ บิดรถสุดกำลัง!

07 เม.ย. 2023

หนุ่มไรเดอร์วิ่งงานกะดึก ได้ออเดอร์ส่งอาหารแต่ลูกค้าขอให้ซื้อธูปไปด้วย พอถึงหมุดหมายก็พบว่าเป็นบ้านร้าง แถมลูกค้ายังบอกอีกว่า “ถ้าส่งเสร็จแล้วให้ขับรถออกไป อย่าหันมามองเด็ดขาด” แต่ด้วยความห้าว! จึงหันกลับไปมอง ...เท่านั้นแหล่ะ บิดรถสุดกำลัง!

เรื่องราวในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมานั้น (21 มีนาคม 2566) ได้มีสายจาก ‘คุณอาร์ท’ ไรเดอร์หนุ่มที่ได้เจอประสบการณ์ขวัญผวาขณะขับรถไปส่งอาหารกะกลางคืน ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ ต้องเสียวสันหลังวาบ! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญอ่านกันได้เลย! คุณอาร์ทเล่าว่า ตนเองนั้นทำอาชีพไรเดอร์เป็นหลักได้เกือบหนึ่งปีแล้ว ส่วนใหญ่จะรับงานช่วงกลางคืน เพราะอากาศไม่ร้อนและรถไม่ติด คืนที่เกิดเรื่อง คุณอาร์ทจำได้ขึ้นใจว่าเป็นคืนสิ้นปี วันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมานี้เอง ถึงแม้จะเป็นคืนเคาท์ดาวน์ แต่คุณอาร์ทก็ยังรับงานเป็นปกติ เมื่อได้รับออเดอร์จากร้านอาหารก็ขับรถจักรยานยนต์ไปรับอย่างที่เคยทำ เมื่อถึงที่ร้านก็ได้บังเอิญเจอพี่ไรเดอร์ที่รู้จักกัน ระหว่างที่รออาหารก็ทักทายพูดคุยกันทั่ว ๆ ไปว่า “ได้ออเดอร์หรอ? แล้วต้องเอาไปส่งแถวไหน?” คุณอาร์ทไม่รู้จักสถานที่เพราะไม่เคยไปส่งเลยไม่รู้จะบอกยังไง จึงยื่นโทรศัพท์ที่ปักหมุดสถานที่นั้นให้พี่ไรเดอร์ดู ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็ถอดสี! คุณอาร์ทเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของพี่ไรเดอร์ก็ถามกลับไปว่า “พี่ป่วยรึเปล่า? เป็นอะไรมั้ยพี่?” แต่พี่ไรเดอร์ก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไร และถามกลับมาว่า “ไปคนเดียวหรอ?” คุณอาร์ทได้ยินก็ตอบติดเล่นไปว่า “ไปคนเดียวดิพี่ ผมไม่ได้พาแฟนด้วยด้วยหนิ” แล้วเขาก็รีบยิงคำถามกลับมาว่า “แล้วเคยไปที่นี่มั้ย?” คุณอาร์ทที่แม้จะงงกับคำถาม แต่ก็ตอบกลับไปว่า “ไม่เคยไป ไม่รู้ชื่อหมู่บ้านด้วย” พอตอบไปแบบนั้นพี่ไรเดอร์ก็บอกว่า “ไม่ต้องกลัวผีหรอก กลัวคนดีกว่า” คำพูดนั้นตงิดใจคุณอาร์ทขึ้นมา จึงนึกถึงตอนที่พี่ไรเดอร์คนนี้หน้าถอดสีเมื่อเห็นโลเคชั่นบนโทรศัพท์ คุณอาร์ทเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อยแต่ก็ไม่กล้าถามอะไรต่อ เพราะหากได้ยินเรื่องเล่านั้นขึ้นมา คุณอาร์ทจะกลัวกว่าเดิม... พอคุณอาร์ทรับอาหารเสร็จ พี่ไรเดอร์ก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “มีไฟแช็คมั้ย?” คุณอาร์ทก็สงสัยถามกลับไปว่า “ถามทำไมอ่ะพี่ พี่จะดูดบุหรี่หรอ?” เขาก็ตอบว่า “ถ้าไม่มีเดี๋ยวพี่ให้ยืม” ทันใดนั้นก็มีข้อความของลูกค้าเด้งขึ้นมาว่า “น้องไรเดอร์คะ แวะร้านขายของชำซื้อธูปให้พี่มัดนึงได้มั้ย?” พี่ไรเดอร์ที่เห็นข้อความนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “นี่ไง พี่ถึงได้ถามว่ามีไฟแช็คหรือเปล่า จะได้ให้ยืมไป” คุณอาร์ทได้ยินดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกงงเข้าไปใหญ่ และไม่เข้าใจว่านี่มันเรื่องอะไร แต่ก็ตอบตกลงไปเพราะลูกค้าบอกว่าจะให้ทิปพิเศษ เมื่อซื้อของตามที่ลูกค้าบอกแล้ว คุณอาร์ทก็ขับรถมุ่งหน้าสู่โลเคชั่นตามที่หมุดหมายเอาไว้.. ห่างจากร้านอาหารประมาณ 5 กิโลเมตร คุณอาร์ทก็มาถึงหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แต่ก็รู้สึกแปลกใจเพราะวันนี้เป็นคืนสิ้นปี คนส่วนใหญ่ก็จะเลี้ยงสังสรรค์ฉลองเคาท์ดาวน์กัน แต่ที่นี่กลับไร้วี่แวว มีเพียงบ้านบริเวณด้านหน้าไม่กี่หลังที่เปิดไฟอยู่ ส่วนบ้านที่คุณอาร์ทต้องไปส่งอยู่ท้ายหมู่บ้าน เป็นบ้านในซอย 7 หลังที่ 4 ซึ่งบ้านในซอยนี้ล้วนแล้วแต่มีป้ายประกาศยึดทรัพย์จากธนาคารแทบทุกหลัง คุณอาร์ทจึงโทรกลับไปถามลูกค้า เพราะอาจจะปักหมุดผิด แต่ลูกค้าก็บอกว่า “ที่นี่แหล่ะ ถึงแล้ว” และลูกค้ายังบอกอีกว่า “น้องไรเดอร์คะ รบกวนเปิดกล่องข้าวและจุดธูปปักให้หน่อยได้มั้ย” คุณอาร์ทจึงบอกไปว่า “โห่พี่ นี่มันจะนอกเหนือหน้าที่ของผมแล้วนะครับ” แต่ลูกค้าก็ยังยืนกรานว่าจะให้ทำแถมยังเพิ่มทิปพิเศษให้อีก คุณอาร์ทยอมจำนนจึงยอมทำตาม และในใจลึก ๆ ก็เริ่มรู้สึกกลัว จึงรีบทำแบบส่ง ๆ ไป พอใกล้จะเสร็จลูกค้าก็ยังบอกอีกว่า “น้อง ถ้าน้องทำเสร็จแล้ว ให้เดินไปที่รถและรีบขับออกไปเลย ไม่ว่ายังไงอย่าหันกลับไปมองนะ” ได้ยินดังนั้นคุณอาร์ทก็ทำตาม แต่ด้วยความที่ห้ามความห้าวของตัวเองไว้ไม่ไหว จึงแอบชำเลืองหันไปมอง ภาพที่เห็นทำให้คุณอาร์ทต้องขนลุกไปทั้งตัว! เพราะมันคือเงาดำ ๆ รุมกินข้าวกล่องที่เปิดอยู่ เท่านั้นยังไม่พอ หนึ่งในเงาดำนั้นรู้ว่าคุณอาร์ทมอง จึงทำท่าจะพุ่งเข้ามาหา! คุณอาร์ทตกใจมากจึงรีบตั้งสติแล้วรีบขับรถออกมาให้พ้นหมู่บ้านนั้นทันที! คุณอาร์ทขับรถกลับมาที่ร้านอาหารอีกครั้ง และพบว่าพี่ไรเดอร์คนเดิมยังนั่งอยู่ เมื่อเห็นคุณอาร์ก็ส่งยิ้มอย่างมีเลศนัยมาให้และถามว่า “เป็นไง เรียบร้อยมั้ย” คุณอาร์ทที่ทั้งกลัวและหัวเสียจึงตอบไปว่า “โหย เรียบร้อยอะไรพี่ ผมโดนผีหลอกมาเนี่ย” พี่ไรเดอร์จึงเลยบอกว่า “ตอนไปครั้งแรกพี่ก็โดนแบบเอ็งนี่แหละ เค้าโดนกันมาหมดแล้ว และที่พี่ไม่บอก เพราะอยากให้เอ็งได้รู้ไง” คุณอาร์ทจึงถามพี่ไรเดอร์ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันมีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ พี่ไรเดอร์บอกว่า “บ้านหลังนี้ไม่เคยมีประวัติอะไรทั้งนั้น เป็นบ้านคนทั่ว ๆ ไป แต่พอไม่มีคนอยู่ ผีก็มาอาศัยอยู่แทน ทำให้มีคนมาขอสิ่งต่าง ๆ กับผีเหล่านี้ และพอได้ตามใจหวัง เลยเลี้ยงอาหารผีเป็นการตอบแทน” เช้าวันถัดมา คุณอาร์ทยังค้างคาใจกับเรื่องนี้ไม่หาย จึงกลับไปดูบ้านหลังนั้นอีกครั้ง พอไปถึงก็เห็นว่ากล่องข้าวที่วางทิ้งไว้ประมาณ 30-40 กล่อง มีเศษธูปเกลื่อนเต็มหน้าบ้าน มีผ้าสามสีผูกไว้กับต้นไม้ใกล้ ๆ กันเต็มไปหมด! พอคุณอาร์ทนึกย้อนกลับไปก็พบว่าเมื่อคืนนี้คุณอาร์ทไม่เห็นวี่วแววของสิ่งเหล่านี้เลยทั้ง ๆ ที่ไฟก็ส่องถึง จึงกลับไปเล่าเรื่องนี้ให้พี่ไรเดอร์คนเดิมฟังอีกครั้ง ซึ่งพี่เขาก็ได้เล่าประสบการณ์ของตัวเองว่าเจอมาหนักกว่าคุณอาร์มาก นั่นก็คือเจอผีตามถึงบ้าน เพราะพี่เขาเป็นคนไม่เชื่อ แถมในวันนั้นก็ยังลบหลู่โดยการจุดธูปเสร็จก็เอาเท้าเขี่ยกล่องข้าวและบอกว่า “อ่ะกิน ๆ แ*ก ๆ ไอ้พวกผีไม่มีญาติ” ถึงขั้นต้องไปหาหลวงพ่อที่วัดให้ช่วยเพราะผีตามหลอกหลอนไม่หยุด และจนถึงปัจจุบันออเดอร์เลี้ยงอาหารผีที่บ้านหลังนี้ก็มีมาเรื่อย ๆ ซึ่งคนที่กดรับคำสั่งก็มักจะเป็นไรเดอร์หน้าใหม่ที่ยังไม่เคยเจอ ซึ่งหากมาถามคุณอาร์ท คุณอาร์ทก็จะไม่บอกเช่นกัน “เพราะถ้าเรารู้ นายก็ต้องรู้ด้วย” เรื่องหลอนจากการส่งอาหารกลางดึกยังไม่หมดเพียงเท่านี้ คุณอาร์ทเล่าอีกว่ามีครั้งหนึ่งได้รับออเดอร์ให้ไปส่งอาหารที่หอพักนักศึกษา โดยเส้นทางนี้มีถนนสองเลน ไฟข้างทางก็ส่องลงมาตามถนน คุณอาร์ทเห็นไกล ๆ ว่ามีอะไรสักอย่างสีขาวใหญ่ ๆ ยาว ๆ อยู่ตรงถนน จึงคิดว่าคงมีสุนัขมานอนขวาง และขับเบี่ยงไปทางซ้ายเพื่อที่จะหลบ แต่เมื่อยิ่งขับไปใกล้เท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นชัดว่ามันคือผ้าขาวที่ห่อเป็นรูปร่างคล้ายศพ คุณอาร์ทก็ทำใจดีสู้เสือโดยการขับรถผ่านแบบไม่มอง แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงหันไปดูว่ามีอะไรตามมามั้ย ซึ่งความท้าทายนั้นก็สนองแด่คุณอาร์ท เพราะสิ่งนั้นมันกลิ้งตาม! คุณอาร์ทเห็นเข้าก็บิดรถสุดกำลังจนถึงคอสะพานที่มีไฟสว่างๆ ผ้าขาวห่อศพนั้นมันก็ค่อยๆหายไปแบบไร้ร่องรอยทันที! และนี่คือเรื่องหลอนชวนผวาจากคุณอาร์ท ไรเดอร์ส่งอาหารกะดึก ที่นอกจากจะต้องระวังเรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว ยังต้องระวังออเดอร์แปลก ๆ ที่อาจพาความหลอนมาส่งแทนด้วย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณคิงส์ ‘ทวงสัญญา’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

03 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณคิงส์ ‘ทวงสัญญา’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ’คุณคิงส์’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอน มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (28 พฤษภาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘ทวงสัญญา’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! คุณคิงส์เล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเองตอน 10 ขวบ (เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว) ด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัด ไม่ค่อยมีที่เล่นอะไรมากมาย นอกจากไปโรงเรียนหรือไปวัด และไฮไลท์สำคัญคือการไปเล่นน้ำคลอง ซึ่งคุณคิงส์มีเพื่อนรักที่สนิทกัน ชื่อ ‘นพ’ (นามสมมติ) ที่มักจะเล่นด้วยกัน ไปโรงเรียนด้วยกัน จนกระทั่งวันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันหยุดไม่ได้ไปโรงเรียน ทั้งสองคนจึงชวนกันไปเล่นน้ำคลองตามประสาเด็กบ้านนอก ตอนแรกก็เล่นกันที่น้ำตื้น สักพักก็เริ่มไปที่ลึกเรื่อย ๆ ในขณะที่แหวกว่ายเล่นน้ำกันสนุกสนาน คุณคิงส์ได้ยินเสียงเพื่อนตะโกนเรียกให้ช่วย ซึ่งตอนแรกก็เข้าใจว่าเพื่อนแกล้งให้เข้าไปใกล้ ๆ เพราะคุณนพก็ว่ายน้ำเป็น คุณคิงส์จึงตอบกลับไปว่า “ก็ว่ายขึ้นฝั่งสิ” แต่คุณนพก็ตอบกลับว่า “ไม่ได้ เป็นตะคริว” เมื่อเห็นท่าไม่ดี คุณคิงส์คิดว่าน่าจะจริง ก็เลยว่ายเข้าไปหา พอเข้าไปถึงใกล้ ๆ ด้วยความที่คุณนพยังเด็กก็ตกใจ กระโดดกอดคอแล้วก็กดคุณคิงส์เหมือนพยายามจะขึ้นมายืนบนบ่า เพื่อให้ตัวเองพ้นน้ำตามสัญชาตญาณเอาตัวรอด พอคุณคิงส์โดนกดก็จะจมด้วยเลยสลัดเพื่อนออก แล้วรีบว่ายน้ำขึ้นฝั่ง พอไปถึงฝั่งก็มองหาไม้เพื่อมาช่วย แต่ว่าหันมาอีกที เพื่อนก็หายไปแล้ว คุณคิงส์ตะโกนเรียกหาก็ไม่มีสัญญาณตอบ พอหาไม่เจอ จึงตะโกนขอความช่วยเหลือ คนแถวนั้นที่ทำไร่ทำนาอยู่วิ่งรีบมาช่วยกัน พอมาถึงก็ช่วยกันงมคุณนพที่จมน้ำขึ้นมาแล้วรีบปฐมพยาบาล แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล คุณนพเสียชีวิต หลังจากที่ผ่านงานศพของคุณนพไป พ่อและแม่ของคุณคิงส์ก็สั่งห้ามไม่ให้ไปเล่นน้ำคลองอีกโดยเด็ดขาด เวลาผ่านไปหลายเดือน คุณคิงส์ได้ฝันว่าตนเองยืนอยู่ริมคลอง เห็นคุณนพ นั่งกอดเข่าหนาวสั่นอยู่ เขาก็หันมามองหน้า แล้วถามว่า “ทำไมถึงทิ้งกูไป ทำไมถึงทิ้งกูไป” และขณะที่กำลังจะตอบไป คุณคิงส์ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะแม่มาปลุก แม่บอกว่า “ทำไมไม่ล้างเท้าก่อนเข้านอน ดูสิคราบดินคราบโคลนเปื้อนพื้นหมดแล้ว” คุณคิงส์มองไปก็เห็นเป็นรอยเปื้อนตั้งแต่บันไดขึ้นมาถึงบริเวณที่นอน แล้วพอมองเท้าตนเองปรากฎว่าเท้าก็ไม่ได้เปื้อนโคลน ตอนนั้นก็ไม่ได้บอกอะไรแม่ เพราะดูแล้วคงจะอารมณ์ไม่ดีแล้ว จึงตอบกลับไปแค่ “ครับ ๆ” แล้วรีบหาผ้ามาเช็ด และคุณคิงส์ก็ฝันแบบนี้อีกหลาย ๆ ครั้ง ฝันซ้ำ ๆ จนกระทั่งคืนหนึ่ง ขณะที่คุณคิงส์นอนเคลิ้มกำลังจะหลับ ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนร้องไห้อยู่ข้าง ๆ หู ตอนแรกนั้นนอนหงายอยู่ จึงพลิกตัวมาทางด้ายซ้ายมือ ปรากฎว่า เจอคุณนพ นอนอยู่ข้าง ๆ นอนตัวซีด เปียก มีโคลนติดตามตัวกำลังสะอื้นปากขมุบขมิบ และน้ำตาไหล จ้องมองมาที่คุณคิงส์! ตอนนั้นด้วยความที่เป็นแค่เด็ก 10 ขวบ ก็กลัวมากจนขยันตัวไม่ได้ เหมือนโดนสะกดให้ต้องจ้องมองเขา คุณคิงส์คิดว่าไหน ๆ ก็มาแล้ว ลองตั้งใจฟังดูว่าจะว่ายังไง ก็พูดในใจว่า “พูดมาว่าต้องการอะไร ยังไง” แล้วก็ได้ยินเสียงเข้ามาในหูว่า “เอาของที่จะให้ มาให้กูด้วย” จากนั้น คุณนพก็ลุกไปเปิดมุ้งแล้วเดินไปทางหน้าต่างเพราะห้องที่อยู่ชั้น 2 แล้วก็กระโดดลงไป! ขณะนั้นคุณคิงส์ได้สติ ขยับตัวได้ จึงตะโกนไปว่า “นพ อย่าเพิ่งไป!” พ่อแม่ได้ยินจึงรีบวิ่งขึ้นมาแล้วถามว่า “เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น” คุณคิงส์จึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง พ่อกับแม่จึงไปเปิดไฟ ปรากฎว่าไม่มีร่องรอยอะไรเลย ไม่มีโคลน หรือเปียกน้ำเลย แม่จึงบอกว่า “ท่าจะไม่ดีแล้ว สงสัยเด็กจะคิดถึงกัน” เพราะมีความเชื่อว่า คนเราหรือเด็ก ๆที่ผูกพันธ์กัน จะมีจิตที่ผูกหากันได้ แม่จึงรีบไปหุงข้าวแล้วบอกคุณคิงส์ว่า “ต้องมาใส่บาตรพร้อมกับแม่” แล้วพ่อก็ถามว่า “ที่นพบอกให้เอาของไปให้ เราไปสัญญาอะไรไว้” คุณคิงส์นั่งนึกจนนึกออก แล้วเล่าให้พ่อฟังว่า “ก่อนที่เราจะลงไปเล่นน้ำในคลองกัน ผมกับนพนั่งขุดดินเหนียวมาปั้นเล่นกัน นพปั้นไม่เป็น ปั้นได้แต่ลูกกระสุนกลม ๆ เหมือนลูกแก้ว ส่วนผมปั้นเป็นรูปสัตว์ได้หลายชนิด นพเลยขอว่า อยากได้อะ ปั้นรูปช้างให้หน่อยได้มั้ย คิงส์เลยบอกว่า ได้สิ แต่ขอไปล้างมือล้างตัวก่อนนะ เดี๋ยวมาปั้นให้” จากนั้น เด็กทั้งสองก็ชวนกันไปที่คลอง หลังจากล้างมือเสร็จ ด้วยความที่น้ำน่าเล่น จึงชวนกันเล่นน้ำ และก็เกิดเหตุการณ์จมน้ำขึ้น พ่อก็บอกว่า “สงสัยคงต้องทำตามคำสัญญาแล้วแหล่ะลูก นพน่าจะมาทวง” แล้วพ่อก็พาไปขุดดินเหนียวมาปั้นเป็นช้างตามสัญญา พอเสร็จแล้วก็พาซ้อนจักรยานไปบริเวณริมคลองที่นพจมน้ำ แล้วก็พาจุดธูปบอกว่า “นพ คิงส์ทำตามสัญญาแล้วนะลูก ปั้นช้างมาให้แล้ว” หลังจากนั้นมาก็ไม่ฝันถึงคุณนพอีกเลย แต่พอถึงวันครบรอบที่เขาเสีย คุณคิงส์ก็จะมาปั้นช้างดินเหนียวไปวางให้ทุก ๆ ปี.. จนกระทั่งเรียนจบมัธยม ไม่ได้เรียนต่อแถวบ้าน เข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพ แล้วทำงานต่อ จึงไม่มีเวลาว่าง ไม่ได้ไปปั้นช้างดินเหนียวให้ คุณนพก็มาเข้าฝันแล้วบอกว่า “ยังไม่ได้เอาช้างมาให้นะ” เขายังมาในสภาพเป็นเด็กเหมือนวันที่จมน้ำ หลังจากนั้นคุณคิงส์มีโอกาสกลับไปบ้าน จึงซื้อช้างปั้นเซรามิกคู่หนึ่ง ไปวางไว้ให้ที่เจดีย์ที่บรรจุอัฐิเขา แล้วบอกว่า “นพ ต่อไปนี้ไม่ว่างปั้นช้างไปไว้ให้ตรงคลองแล้วนะ แต่เราเอาช้างปั้นอย่างดีมาไว้ให้ตรงเจดีย์นี้แทนก็แล้วกัน ต่อจากนี้ไปนี้ก็ให้ช้างคู่นี้เป็นตัวแทนช้างที่ปั้นไปให้ทุกปี จนกว่ามันจะแตกสลาย แล้วเราจะหามาให้ใหม่” หลังจากนั้นก็ไปทำบุญ ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนบุญกุศลให้เขา พอตกกลางคืนก็ฝันว่า ตัวเองไปนั่งเล่นอยู่ที่ริมคลองที่เขาจมน้ำ แล้วเขาก็วิ่งมากอดแล้วพูดว่า “ขอบใจมากนะที่ปั้นช้างมาให้ตามสัญญา ต่อไปนี้ไม่ต้องปั้นมาให้แล้วนะ ช้างที่เอามาให้ใหม่แข็งแรงมากเลย” แล้วเขาก็หัวเราะ และในความฝัน เขาก็ยังเป็นเด็ก เสื้อผ้าหน้าผมก็ยังคงเหมือนเดิม ในขณะที่คุณคิงส์โตเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็บอกว่า “ต่อไปนี้ไม่ต้องกังวลกับคำสัญญานะ เพราะเรามาทำตามสัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอให้นพไปสู่ภพภูมิที่ดี” หลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ไม่เจอเขาอีกเลย อาจะเป็นเพราะว่าเขาไปสู่ดินแดนที่เขาหมดห่วงไปแล้ว..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1